เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 12 ม.ค. 24, 17:35
|
|
แต่ถ้า "เจ้าคุณ" หมายถึง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ตามที่คุณหญิงนาคเรียกแม้ว่าทรงขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ต้องมีเหตุการณ์สมัยธนบุรีอะไรสักอย่าง ที่เจ้าพระยาจักรีต้องพระราชอาญาจากพระเจ้าตากเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จากเอกสาร 'อภินิหารบรรพบุรุษ' หน้า ๔๕-๔๗ ได้ระบุไว้ว่า เมื่อคราวพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระมารดาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ได้ทำงานผิดพลาด
"..ทรงทอดพระเนตรเห็นกระดาษทองน้ำตะโกที่ปิดประดับประดาเครื่องพระเมรุหลุดร่วงลงมาสิ้น จึ่งพระพิโรธเจ้าพระยาจักรีผู้เปนแม่กองทำพระเมรุ.."
จึงสั่งให้ลงโทษ ด้วยการโบยหลัง
"..จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งว่า เราไว้ใจให้เปนแม่กองทำพระเมรุต่างหูต่างตาเรา เจ้าไม่เอาใจใส่ในราชการทำมักง่ายให้เมรุเปนเช่นนี้ดีแล้วฤๅ ทำให้พระเกียรติยศพระเจ้าแผ่นดินเสื่อมเสียไป จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งให้เจ้าพนักงานองครักษ ให้ลงพระราชอาญาโบยหลังเจ้าพระยาจักรี ๕๐ ที.."
ในเอกสาร 'อภินิหารบรรพบุรุษ' ยังระบุต่อไปว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น เคยรับพระราชอาญาเฆี่ยนหลัง ๓๐ ที เมื่อจุลศักราช ๑๑๓๒ ครั้งเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ครั้งหนึ่ง ซึ่งมีพระชนม์ได้ ๓๔ พรรษา ครั้งหลังนี้เมื่อจุลศักราช ๑๑๓๗ พระชนม์ได้ ๓๙ พรรษา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 12 ม.ค. 24, 19:09
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 12 ม.ค. 24, 19:16
|
|
ปกติไม่ค่อยจะให้คะแนนเชื่อถือ "หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษ" นัก แต่เหตุการณ์เรื่องนี้ สอดรับกับคำปรารภด้วยความวิตกของคุณหญิงนาคหรือสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีเอามากๆ ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 13 ม.ค. 24, 10:22
|
|
พระราชนิพนธ์กาพย์ห่อโคลงเห่เรือชมเครื่องคาวหวานมีบทหนึ่งกล่าวว่า ทองหยอดทอดสนิท ทองม้วนมิดคิดความหลัง สองปีสองปิดบัง แต่ลำพังสองต่อสอง สองต่อสองในที่นี้คืออยู่ในห้องเดียวกันสองคน ไม่ได้หมายความว่ารู้กันแค่สองคน การลักลอบกันระหว่างหนุ่มสาวในสมัยโบราณ ไม่อาจเป็นเรื่องที่รู้กันแค่สองคนเท่านั้น ยิ่งในรั้วในวังหรือตามบ้านขุนนางผู้ใหญ่แล้ว (หรือแม้แต่ตามบ้านชาวบ้านที่อยู่กันเป็นครอบครัวขยายก็เถอะ) เพราะสภาพแวดล้อมไม่เป็นใจ บ้านเรือนสมัยนั้นไม่มีความเป็นส่วนตัว (privacy) แม้แต่หญิงสาวลูกผู้ดีเองก็ไม่ได้นอนตามลำพัง อาจจะนอนกับคุณหญิงแม่ หรือน้องเล็กๆ (เจ้าคุณพ่อนอนห้องเดี่ยวของตัวเอง) หรือไม่ก็ต้องมีพี่เลี้ยงหรือบ่าวนอนรับใช้ในห้อง หรือนอนเฝ้าหน้าประตู แม่สื่อเป็นบุคลากรจำเป็นในเรื่องลักลอบ ที่ชายหนุ่มต้องผ่านด่านไปได้ก่อน เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ในหลายตอน พลายแก้วจะเข้าถึงห้องนางพิมได้ก็ต้องได้ไฟเขียวจากนางสายทองพี่เลี้ยงเป็นแม่สื่อเสียก่อน พลายงามจะเข้าห้องนางศรีมาลา นางเม้ยพี่เลี้ยงก็ต้องเป็นใจปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่กับนายสาว ยิ่งในวังด้วยแล้ว นางในทั้งหลายไม่มีห้องเป็นส่วนตัว ห้องหนึ่งนอนกันหลายคน ในสี่แผ่นดิน พลอย ช้อยและคุณสายนอนในห้องเดียวกันแต่กางมุ้งคนละหลัง ตัดปัญหาไปได้ว่าใครจะปีนเข้าวังแอบมาหาได้ถึงตัว แม้แต่กรณีอ้ายโตกับพระองค์ยิ่งเยาวลักษณ์ ก็มีนางบ่าวเป็นสื่อชักนำพาเข้ามาถึงตำหนัก ดังนั้น เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรจะทรงมีความสัมพันธ์กับเจ้าฟ้าบุญรอด ก็ต้องมีพระน้องนางสององค์เป็นผู้ช่วยเหลือ รวมทั้งนางข้าหลวงในตำหนักที่ถูกสั่งให้ปิดจนพระมารดาจับคาหนังคาเขาไม่ได้จนแล้วจนรอด ทั้งหมดนี้กินเวลา 2 ปี ที่ปิดคนภายนอกได้สำเร็จ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 13 ม.ค. 24, 10:39
|
|
ฝ่ายเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองพระองค์ ไม่สบายพระทัยว่าพระมารดาเกือบจะจับได้อย่างหวุดหวิดอยู่แล้ว ก็เลยหาทางใหม่ เช้าวันต่อมา ทรงย้ายจากตำหนักของท่านไปเล่นสกาที่ตำหนักของเจ้าฟ้าบุญรอดแทน เพราะคุณหญิงนาคคงจะไม่เดินไปถึงตำหนักนั้น แต่สั่งกับนางข้าหลวงว่าถ้าพระเชษฐาเสด็จเข้ามาที่ตำหนัก ให้ทูลว่ากูไปเล่นอยู่ที่ตำหนักแดง ให้เสด็จตามไปเถิด รับสั่งไว้แล้วก็เสด็จไปเล่นอยู่ที่ตำหนักแดง เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรทรงได้ "ซิก" จากพระน้องนาง ก็ดีพระทัย ว่าเจ้าฟ้าหญิงคงจะทรงวางอุบายช่วยให้ปลอดเส้นทางมากกว่าเมื่อก่อน เพราะตำหนักแดงนี้ก็อยู่เคียงกัน ไม่มีผู้ใดนอกจากคนในสองตำหนักนั้นได้เห็น ครั้นเสด็จไปถึงตำหนักแล้ว ก็เข้าไปทรงเล่นด้วยกัน ก็คุ้นเคยสนิทกันยิ่งขึ้น แต่ว่า..ตำหนักแดง ไม่ใช่ที่ประทับของเจ้าฟ้าบุญรอดพระองค์เดียว แต่มีเจ้าฟ้าฉิม พระพี่นางของเจ้าฟ้าบุญรอดประทับร่วมอยู่ด้วยอีกองค์หนึ่ง เจ้าฟ้าฉิม (ต่อมาเมื่อสิ้นพระชนม์แล้วในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สถาปนาพระอัฐิของพระองค์เป็น กรมขุนอนัคฆนารี) องค์นี้ชาววังเรียกว่า "มีพระสติวิปลาส" ถ้าเป็นปัจจุบันก็คงเรียกกันว่า "เพี้ยนๆ" หรือ "บ้าๆบอๆ" เหตุการณ์ที่เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จเข้ามาเล่นสกา ประทับเคียงข้างเจ้าฟ้าบุญรอดอย่างสนิทสนม ไม่ได้รอดพ้นสายพระเนตรเจ้าฟ้าฉิม(หญิง) ไปได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 13 ม.ค. 24, 10:46
|
|
พอทรงเห็นก็เสด็จกลับออกมาตรัสแก่ข้าหลวงด้วยสุรเสียงอันดังว่า “ท้าวพรหมทัต ล่วงลัดตัดแดน มานั่งท้าวแขน ทอดสะกาพนัน สูสูสีสี อีแม่ทองจันท์ อีกสองสามวัน จะเป็นตัวจิ้งจก” ความที่รับสั่งร้องดังนี้ จะเป็นโดยความขัดเคืองพระทัย หรืออย่างไรก็ไม่ได้ความชัด แต่รับสั่งอยู่อย่างนี้หลายวัน ถ้าเสด็จเยี่ยมพระแกลแลเห็นผู้ใดเดินไปมาก็ร้อง “สูสูสีสี อีแม่ทองจันท์ อีกสองสามวัน จะเปนตัวจิ้งจก” ร้องได้วันละหลายๆ ครั้ง
พระสติวิปลาสก็จริง แต่พระปัญญาน่าจะเฉียบไม่เบา แสดงว่าเห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าต่อไปเหตุการณ์จะดำเนินไปในทางไหน ตรัสคล้องจองเป็นคำร้อยกรองเสียด้วย คำว่า "ตัวจิ้งจก" นั้นทรงเลือกใช้คำนี้เพราะอะไรไม่ทราบ แต่จิ้งจก มันเป็นไข่กลมๆ มาก่อนจะแตกออกมาเป็นตัว ก็ได้ความหมายว่า อีกหน่อยก็คงมีตัวอะไรออกจากท้องมาเป็นหลักฐานให้เห็น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 14 ม.ค. 24, 09:19
|
|
สิ่งน่าสังเกตอีกอย่างคือเจ้าฟ้าฉิม กรมขุนอนัคฆนารีเป็นคนสมองดี ความจำแม่น ท่านอาจเป็นเจ้านายที่อ่านออกเขียนได้ หรือถ้าไม่ได้ ต้องให้นางข้าหลวงอ่านหนังสือถวาย ท่านก็เข้าใจเรื่องที่อ่านอย่างดี เรื่องนั้นคือเรื่องกากีของเจ้าพระยาพระคลัง(หน) เล่าถึงท้าวพรหมทัตที่โปรดปรานการเล่นสกา จนพญาครุฑแปลงตัวเป็นมานพหนุ่มน้อยมาเล่นด้วย พอเห็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรมาเล่นสกากับเจ้าฟ้าบุญรอด เจ้าฟ้าฉิมก็โยงเข้ากับท้าวพรหมทัตได้ทันที สามารถเปรียบเปรยออกมาได้ แบบมีชั้นเชิง ท่านก็คงไม่พอพระทัยกับการลักลอบครั้งนี้ จึงฟ้องผู้คนไปทั่วด้วยคำคล้องจองที่ว่า เจ้าฟ้าบุญรอดได้ยินก็ตกพระทัย ว่าแบบนี้คงปิดเป็นความลับต่อไปไม่ได้ เป็นอันว่าวงสกาแตก กรมหลวงศรีสุนทรเทพต้องย้ายวงกลับไปที่ตำหนักของท่านอย่างเดิม เพิ่มความระมัดระวังโดยให้นางข้าหลวงไปนั่งดูต้นทางอยู่หน้าตำหนัก วันไหนเห็นคุณหญิงนาคเดินเลี้ยวมุมวังเข้ามาให้วิ่งมาทูล จะได้ซ่อนองค์ทัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 14 ม.ค. 24, 09:29
|
|
จากนั้นก็ตกลงนัดแนะกันใหม่ว่า วันไหนพระมารดามาถึง คนที่ต้องเข้าไปหลบซ่อนในห้องด้านในคือเจ้าฟ้าบุญรอด ส่วนอีกสามองค์พี่ชายน้องสาวอยู่รับหน้าพระมารดาตามปกติ ถ้าคุณหญิงนาคมาเยี่ยม เห็นแต่พี่น้องนั่งเล่นอยู่ด้วยกัน ก็จะไม่สงสัย นึกว่าพี่ชายมาเยี่ยมน้องสาวตามปกติ แต่ถ้ามาทีไรเห็นเจ้าฟ้าบุญรอดอยู่ด้วยทีนั้น ก็จะสงสัยขึ้นมา ส่วนอุบายแบบเดิมคือลูกชายหนีไปซ่อนในห้อง คงใช้ไม่ได้แล้ว เพราะคุณหญิงนาคสงสัยเจ้าฟ้าบุญรอดก็คงเข้าไปค้นตามห้องหับในตำหนัก เจอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรเข้า ความแตกแน่นอน คุณหญิงคงไม่ยอมปกปิดไว้เพราะเกรงความผิดจะมาถึงตัว เมื่อตกลงหาทางออกกันได้แล้ว ทุกคนก็ตกลงเห็นพร้อมกัน จากนั้นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็เสด็จกลับวังที่พระราชวังเดิม วันต่อๆมา เจ้าฟ้าบุญรอดก็เสด็จไปเล่นที่ตำหนักกรมหลวงศรีสุนทรเทพและกรมหลวงเทพยวดี เป็นประจำ นางข้าหลวงทุกคนถูกสั่งให้เย็บปากสนิท มีคนดูต้นทางไม่ให้คุณหญิงนาคจู่โจมเข้ามาถึงตำหนักได้สำเร็จ เป็นอันว่าท่านจับความจริงไม่ได้จนแล้วจนรอด พระเอกนางเอกเรื่องนี้ก็ปกปิดความสัมพันธ์กันมาได้ถึง 2 ปี จนความแตกออกมาเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Rattananuch
อสุรผัด
ตอบ: 37
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 14 ม.ค. 24, 12:32
|
|
มีความสงสัยในความรักของทั้งสองพระองค์มานานแล้วในเรื่องที่พระองค์ท่านมาเพิ่งมาตกหลุมรักกันในวัย32ทั้งคู่ ทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกันที่พ่อแม่ของแต่ละฝ่ายสนิทสนมกันมาก ซึ่งลูกๆของแต่ละฝ่ายก็ต้องเล่นหัวคลุกคลีกันมาตั้งแต่เล็กๆ จนอายุสิบสี่สิบห้าและคงแยกกันไม่ค่อยได้พบปะเมื่อสถาปนาราชวงศ์จักรี และฝ่ายหญิงต้องเข้าไปอยู่ฝ่ายใน คำถามคือทำไม่พระองค์ท่านถึงไม่ต้องใจกันตั้งแต่วัยรุ่น ซึ่งในยุคนั้นก็เป็นวัยสมควรแต่งงานออกเรือนได้แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 14 ม.ค. 24, 13:01
|
|
ตอนที่พระบาทสมเเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯเจริญพระชนม์รุ่นหนุ่มขึ้นมาสมัยปลายธนบุรี ท่านมี "แฟน" หรือคนรักอยู่แล้ว ชื่อคุณสี หรือศรี ธิดาเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) บิดามีเคหสถานใกล้กับเคหสถานของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งขณะนั้นยังดำรงยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก คุณสีเป็นคนงามมาก เคยเป็นนางละครหลวงรุ่นเล็ก มีสมญาว่า "ศรีสีดา" หมายถึงรำเป็นตัวนางสีดา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขึ้นครองราชย์ จึงได้พระราชทานให้เป็นหม่อมห้ามในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ราวปี พ.ศ. 2328 เมื่อหม่อมสีอายุ 15 ปี เจ้าจอมมารดาสีมีพระราชธิดา 2 พระองค์ คือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรจั่น (ประสูติ พ.ศ. 2328 — สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 1) บ้างเรียก พระองค์เจ้าหญิงใหญ่ กับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุบผา หรือบุพภาวดี (ประสูติ พ.ศ. 2334 — สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2367)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Rattananuch
อสุรผัด
ตอบ: 37
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 14 ม.ค. 24, 14:03
|
|
ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ ก็คือทั้งสองพระองค์โตมาด้วยกัน ตอนนั้นก็คิดกันแบบพี่น้องไม่มีความรู้สึกแบบชายหญิง ฝ่ายชายก็ไปมีกิจกรรมนอกบ้าน มีสาวๆให้มองติดพันตามประสาหนุ่มรูปงามเนื้อหอม จนแยกจากกันเป็นสิบกว่าปีเมื่อตั้งราชวงศ์ และเมื่อกลับมาพบกันอีก ความรู้สึกเดิมๆก็เปลี่ยนไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 15 ม.ค. 24, 08:36
|
|
ความรอบคอบของเจ้าฟ้าหญิงทั้งสองที่ใช้นางข้าหลวงไปดูต้นทางเป็นประจำ นับว่าไม่เกินกว่าเหตุ เพราะเวลาคุณหญิงนาคท่านมาเยี่ยมพระธิดา ท่านไม่ได้ส่งข่าวล่วงหน้า หมายความว่าท่านอยากมาวันไหนท่านก็มา วันหนึ่งท่านคิดถึงพระธิดาก็ออกจากพระราชวังเดิมมาถึงพระบรมมหาราชวัง พอเลี้ยวมุมพระที่นั่งเข้ามา นางข้าหลวงที่นั่งคอยดูอยู่หน้าตำหนัก ก็วิ่งเข้าไปกราบทูลเจ้านาย วันนั้น แจ๊กพ็อท เสด็จพร้อมกันอยู่ทั้งสี่พระองค์ พอเกิดเหตุจวนตัว เจ้าฟ้าบุญรอดก็เสด็จวิ่งหนีเข้าไปซ่อนอยู่ในห้องพระบรรทมของเจ้าฟ้าหญิงทั้งสอง เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรก็ไม่อยู่รับหน้าพระมารดา ทรงวิ่งหนีตามเข้าไปบ้าง พอคุณหญิงนาคเข้ามาถึงตำหนัก ก็เห็นพระธิดาทั้งสองพระองค์ประทับนั่งกันอยู่ ไม่มึคนอื่น ก็ไม่ระแวงพระทัย เสด็จประทับอยู่ตั้งแต่เช้าจนเย็น ได้เวลาก็เสด็จกลับข้ามไปวัง ในเรื่องบอกว่าพระมารดาไม่ระแวง แต่ดิฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านนั่งอยู่ตั้งแต่เช้าจนเย็น นอกจากอยากเห็นอยากคุยกับลูกสาวตามประสาแม่ๆลูกๆ แล้ว คงนั่งคุมเชิงอยู่ว่าจะมีใครเข้ามาหาในวันนั้น หรือว่ามีพิรุธเห็นใครวอบๆแวบๆ อยู่ในตำหนักบ้างไหม ตามเหตุการณ์ที่ว่านี้ ก็กลายเป็นว่าเจ้าฟ้าอิศรสุนทรกับเจ้าฟ้าบุญรอดได้อยู่กันสองต่อสองในห้องบรรทม ไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่ต้องเดากันให้ยุ่งยาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 16 ม.ค. 24, 09:36
|
|
ในเมื่ออยู่ประจำตำหนักเดียวน่าจะเสี่ยงมากกว่าย้ายไปมา 2 ตำหนัก แต่นั้นมา ทั้ง 4 พระองค์ก็ผลัดเปลี่ยนกันไปเล่นตำหนักโน้นบ้าง ตำหนักนี้บ้าง แต่ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า สังคมสมัยนั้นไม่มี privacy ถึงจะเล่นซ่อนหากับคุณหญิงนาคได้สำเร็จ ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเจ้านายฝ่ายในและนางข้าหลวงชาววังด้วยกันไปได้ เรื่องซุบซิบก็แพร่กระจายไปถึงพระกรรณกรมหลวงพิทักษมนตรี สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี มีพระนามเดิมว่า จุ้ย ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ 5 ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ นับง่ายๆอีกทีคือเป็นพระอนุชาของเจ้าฟ้าบุญรอด กรมหลวงพิทักษมนตรีเป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เรียกได้ว่าโตมาด้วยกัน เมื่อก่อนก็สนิทสนมกลมเกลียวกันดี แต่พอรู้ข่าวซุบซิบนี้ก็ไม่พอพระทัยว่าเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรกระทำการผิดราชประเพณี ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิง เวลาเข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ตามหน้าที่ ทรงพบเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ก็มีพระกิริยามึนตึงด้วยความขัดเคืองพระทัย ส่วนอีกฝ่ายทรงเห็นพระกิริยากรมหลวงพิทักษมนตรีไม่เหมือนแต่เดิม เห็นสีพระพักตร์เจื่อน ท่าทีจำใจจำตรัสด้วย ก็เข้าพระทัยว่ากรมหลวงพิทักษมนตรีจะล่วงรู้ความลับที่ไม่ลับอีกแล้ว จึงได้มึนตึงออกมานอกหน้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 16 ม.ค. 24, 09:56
|
|
เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรท่านเป็นกวี เวลาคิดอะไรเปรียบอะไรท่านก็ออกมาในรูปของบทกวี อย่างเรื่องที่คิดเกลี้ยกล่อมให้กรมหลวงพิทักษมนตรีหายขุ่นเคือง ท่านก็ยกบทละครเรื่อง "อิเหนา" ที่ลือชื่อมาตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา ขึ้นมาเป็นนัยเปรียบเทียบ ดังที่ในหนังสือเล่าว่า "วันหนึ่งยังไม่มีเจ้านายอื่นเข้าไปเฝ้า มีอยู่แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ กับกรมหลวงพิทักษมนตรี สองพระองค์เท่านั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงรับสั่งแก่กรมหลวงพิทักษมนตรี ว่าบ้านเมืองเราทุกวันนี้เหมือนวงศอสัญแดหวา ไปภายหน้าจะรุ่งเรืองถาวรยิ่งนัก เมื่อกรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้นก็เฉลียวพระทัย อยากจะใคร่ทรงฟังเรื่องราวต่อไป จึงทูลถามขึ้นว่าเมืองกุเรปันอยู่ที่ไหน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงตรัสตอบว่า พ่อจุ้ยมานั่งอยู่ที่นี่เมืองของใครเล่า กรมหลวงพิทักษมนตรีก็เข้าพระทัย จึงแส้งทูลถามต่อไปว่า อย่างนั้นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาบน มิต้องเกณฑ์ให้เปนดาหาหรือ และกาหลัง สิงหัดส่าหรียังแลไม่เห็น" คนที่ไม่ได้อ่านเรื่องอิเหนา หรืออ่านแต่ลืมไปแล้ว คงไม่เข้าใจว่าเจ้านาย 2 องค์นี้ตรัสเรื่องอะไรกัน จึงขออธิบายพื้นหลังของเรื่องอิเหนาว่า แต่เดิมมาในแคว้นชวา ถือกันว่ามีอยู่ 4 เมืองใหญ่ที่กษัตริย์ผู้ครองเมืองเป็นวงศ์อสัญแดหวา(แปลว่าวงศ์เทวดา) เพราะสืบเชื้อสายมาจากเทพผู้เป็นใหญ่ชื่อองค์ปะตาระกาหลา ท้าวพระยาพี่ใหญ่สุดครองกรุงกุเรปัน รองลงมาคือครองเมืองดาหา แล้วก็กาหลัง และสิงหัดส่าหรีเป็นเมืองน้องเล็กสุด ส่วนเมืองอื่นๆแม้ว่ามีกษัตริย์ครองเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้สืบเชื้อสายเทวดา จึงนับว่าต่ำกว่า 4 เมืองที่ว่า ดังนั้น 4 เมืองที่เป็นวงศ์เทวัญด้วยกันนี้ จึงนิยมให้ลูกหลานได้เสกสมรสกันเอง เพื่อรักษาเชื้อสายเทวดาไว้ในกลุ่มเดียวกัน ไม่นิยมให้ไปเสกสมรสกับเจ้าเมืองอื่นๆ ถ้าเจ้านายฝ่ายชายไปได้ลูกสาวเจ้าเมืองอื่นมาเป็นนางเล็กๆ ก็ไม่ว่ากัน หรือแม้จะมาได้เป็นชายาเอกก็ยังพอไหว แต่ถ้าพระธิดาวงศ์อสัญแดหวาต้องไปเสกสมรสกับเจ้านายชายเมืองอื่นๆนี่ ถือว่าเสื่อมเสียพระเกียรติทีเดียว
เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงเปรยขึ้นมาก่อนทำนองนี้ ก็หมายความว่า เป็นเรื่องดี ถ้าในพระราชวงศ์จักรีจะมีเจ้านายลูกพี่ลูกน้องเสกสมรสกันเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 16 ม.ค. 24, 10:44
|
|
ต่อไปนี้คือการตีความ เมื่อกรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้นก็เฉลียวพระทัย อยากจะใคร่ทรงฟังเรื่องราวต่อไป จึงทูลถามขึ้นว่าเมืองกุเรปันอยู่ที่ไหน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงตรัสตอบว่า พ่อจุ้ยมานั่งอยู่ที่นี่เมืองของใครเล่า นั่งอยู่ในกรุงเทพ เมืองนี้ก็เปรียบได้กับกรุงกุเรปัน ของอิเหนา( หรือเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) กรมหลวงพิทักษมนตรีก็เข้าพระทัย จึงแสร้งทูลถามต่อไปว่า "อย่างนั้นล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาบน มิต้องเกณฑ์ให้เปนดาหาหรือ และกาหลัง สิงหัดส่าหรียังแลไม่เห็น" กรมหลวงพิทักษมนตรีก็หยั่งเชิงต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้น เมืองใหญ่รองลงมาเป็นอันดับ 2 คือกรุงดาหา ก็เท่ากับวังหน้า (ทูลกระหม่อมหาบน หมายถึงกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) กาหลัง สิงหัดส่าหรียังแลไม่เห็น คือเมืองที่ 3 และ 4 ก็ยังไม่รู้ว่าหมายถึงใคร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงพระสรวล แล้วรับสั่งว่าพ่อจุ้ยพูดยังไม่ถูก ล้นเกล้าล้นกระหม่อมหาบนมีแต่สะกาหนึ่งหรัด ควรจะเปนแต่กาหลัง ล้นเกล้าฯหาบนมีแต่สะกาหนึ่งหรัด = กรมพระราชวังบวรมีพระธิดาพระองค์เดียวคือเจ้าฟ้าพิกุลทอง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ จึงควรจะเป็นเมืองกาหลัง วงศ์เทวดาเมืองที่ 3 ซึ่งมีลูกสาวคนเดียวชื่อนางสะการะหนึ่งหรัด กรมหลวงพิทักษมนตรีจึงทูลว่ากระนั้นดาหาอยู่ที่ไหนเล่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ จึงรับสั่งว่าดาหาก็อยู่ริมที่นี่เอง กรมหลวงพิทักษมนตรีได้ทรงฟังดังนั้นพระพักตร์ก็ตึงมากขึ้น ไม่ทูลโต้ตอบประการใด ดาหา คือเมืองของนางบุษบา นางเอกของอิเหนา เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรตรัสว่า ดาหาอยู่ริมที่นี่เอง คือหมายถึงวงศ์ของกรมหลวงพิทักษมนตรี อันได้แก่เจ้าฟ้าบุญรอด เท่ากับตรัสว่า นางเอกของข้าคือพี่สาวของเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรีไม่ได้ยินดีในเรื่องนี้ แถมยังเคืองอีกด้วย ก็เลยพระพักตร์บึ้งแทนคำตอบ แทนคำว่า say no
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|