เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: han_bing ที่ 25 ก.ค. 11, 11:11



กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 25 ก.ค. 11, 11:11
เรียนสมาชิกเรือนไทยทราบ

หลังจากข่าวเสียชีวิตของเหล่าทหารซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในป่า ก็มีข่าวเกี่ยวกับอาถรรพ์ของป่าแก่งกระจานไปทั่วตามหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อต่างๆ

ทั้งนี้ ข้าพเจ้าเลยนึกๆดูว่า แนวความคิดของคนไทยเกี่ยวกับอาถรรพ์ป่ามีมานานเท่าไรแล้ว คงต้องอาศัยความคิดแบบคติชนวิทยามาอธิบาย

ข้าพเจ้าก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ ท่านใด พอจะทราบ และมาเล่าสู่กันฟังคงจะดีไม่น้อย ถึงที่มาและการปรากฏครั้งแรกของความเชื่อเหล่านี่้ (ว่าเก่าที่สุดปรากฏอยู่ในยุคใด)

อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้จะอธิบายแนวคิดที่เชื่อเกี่ยวกับอาถรรพ์ของป่าไม่ได้ แต่ก็น่าจะพูดถึงเรื่องอาถรรพ์ของป่าผ่านวรรณกรรมไทยได้ เพราะว่ามักปรากฏอยู่ในวรรคดีหลายเรื่อง

เช่น พระลอ หรือในโองการแช่งน้ำเป็นต้น กระทั่งกาพย์ขับไม้ใช้กล่อมช้างยังมี

นิยายน่าจะมีเยอะ อาทิเพชรพระอุมา (แต่ไม่เคยอ่าน) ภาพยนต์ที่ดังๆเมื่อหลายปีก่อนก็เคยพูดเกี่ยวกับอาถรรพ์ของป่าคำชะโนด

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่นักวรรณคดีที่เชี่ยวชาญ เลยขอมาถามผู้รู้ทั้งหลายว่า มีเรื่องอื่นๆอีกหรือไม่ หากใครว่าพอจะยกตัวอย่างข้อความให้ดูได้ไหม

บังเอิญตอนนี้หนังสือวรรณคดีไทยทั้งหมด คุณแม่ย้ายไปเก็บไว้ที่อยุธยา เลยไม่มีความสามารถมาลงพิมพ์ตอนนี้ได้

สวัสดี

อนึ่ง ย้ำว่าไม่ได้ชวนให้เล่าเรื่องผีอะไร แต่ถามถึงที่มาของความเชื่อ และการปรากฎความเชื่อเรื่องดังกล่าวเก่าที่่สุดยุคใด รวมไปถึงการปรากฏของแนวคิดดังกล่าวในวรรณกรรมต่างๆ ขออย่างเข้าใจผิด


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ก.ค. 11, 13:26
ถ้าพูดถึงภูตผีปีศาจที่ปรากฏอยู่ในป่า    นึกออกตอนนี้คือลิลิตพระลอ  พูดถึงป่าที่นางรื่นนางโรยเดินทางไปพบปู่เจ้าสมิงพรายเพื่อทำเสน่ห์พระลอ
พูดถึงสัตว์ตามธรรมชาติ คือจระเข้   และสัตว์เหนือธรรมชาติ มีช้างน้ำ และเงือก

เอ็นดูสองนางตกใจกลัว  ระรัวหัวอกสั่น  ลั่นทะทึกทะทาว สราวตามหมอผะผ้ำ เห็นแนวน้ำบางบึง  ชรทึงธารห้วยหนอง  จระเข้มองแฝงฝั่ง  สระพรั่งหัวขึ้นขวักไขว่  ช้างน้ำไล่แทงเงา  เงือกเอาคนใต้น้ำ กระล่ำตากระเลือก กระเกลือกกลอกตากลม  ผมกระหวัดจำตาย

ช้างน้ำที่ไล่แทงเงาตัวเองเป็นสปีชี่ส์ไหนไม่ทราบ  ยังนึกหน้าตาไม่ออก ต้องถามคุณเพ็ญชมพู
ส่วนเงือกในที่นี้เป็นผีน้ำชนิดหนึ่ง ตาเหลือกกลอกไปมา  ผมยาว   เอาผมพันรัดคนที่ลงไปเล่นน้ำแล้วฉุดลงไปจนจมน้ำตาย


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 25 ก.ค. 11, 13:44
เรื่องอาถรรพ์ของป่าผ่านวรรณกรรมไทย

อ่านมาหลายเรื่องแต่ยอมรับว่า จำไม่ค่อยได้

แต่นำแนวความคิดเรื่องคติชนวิทยามาอธิบายก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

วรรณกรรมไทยเท่าที่เคยอ่านและมีเรื่องอาถรรพ์ป่านั้น เท่าที่พอจำได้ ก็เรื่อง

เพชรพระอุมา
ชุด ล่องไพร
ใบไม้ร่วงในป่าใหญ่


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 25 ก.ค. 11, 13:51
ความคิดส่วนตัว

แนวความคิดเรื่องอาถรรพ์มีอยู่คู่กับคนมาช้านานแล้ว(ไม่ว่าชาติไหน)
เนื่องจากก่อนที่กลุ่มคนจะพัฒนามาเป็นเมืองก็มาจากป่านั่นแหละ
ยิ่งเมื่อก่อนไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาตร์ ก็พี่งเรื่องความเชื่อ-สิ่งเหนือธรรมชาติมาอธิบายปรากฏการต่างๆ

เนื่องจากความไม่รู้นั่นเอง (อาจเรียกว่าความลี้ลับก็ได้)

เช่น ฝนตกลงมาเป็นกบ
เป็นการเชื่อมโยงปรากฎการณ์จากการสังเกตุเห็น
ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้น จาก อะไร โดยไม่รู้กระบวนการที่เกิดมาอย่างไร


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: kui045 ที่ 25 ก.ค. 11, 14:07
โดยส่วนตัวแล้ว ชอบท่องเที่ยวธรรมชาติ เดินป่า
แล้วก็เคยเดินหลงป่า

ก็อยากอธิบายว่า
สภาพภายในป่านั้นเป็นสิ่งที่เราคนเมืองไม่คุ้นเคย

การเข้าไปสัมผัสจึงถือว่าเป็นการแปลกใหม่
ปราศจากการคุ้นเคยแบบเดิมๆ
จึงแยกอะไรไม่ค่อยออก
ต้นไม้ก็เหมือนๆกัน

จากเดินทางที่ทำให้สภาพร่างกายและจิดใจอ่อนแอท้อถอย
ทำให้สภาพการรับรู้ต่างไปจากเดิม
จึงเกิดภาพและเสียงหลอนต่างๆ

ประกอบกับสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดภัย
เช่นต้นไม้มีพิษ สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ

จึงเกิดอาถรรพ์ต่างๆ



กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 25 ก.ค. 11, 20:15
ร่าย
ปล้ำเงี้ยวรอนราญรงค์ ผีดงผีหมื่นถ้ำ ล้ำหมื่นผา มาหนน้ำหนบก ตกนอกขอกฟ้าแมน แดนฟ้าตั้งฟ้าต่อ ล่อหลวงเต้า ทั้งเหง้าภูติพนัสบดี ศรีพรหมรักษ์ยักษ์กุมาร หลายบ้านหลายเท่า ล้วนผีห่าผีเหว เร็วยิ่งลมบ้า หน้าเท่าแผง แรงไกยเอาขวัญ ครั้นมาถึงถับเสียงเยียชระแรงชระแรง แฝงข่าวยินเยียรชระรางชระราง

อันนี้มาจากลิลิตโองการแช่งน้ำ


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 ก.ค. 11, 22:14
ช้างน้ำที่ไล่แทงเงาตัวเองเป็นสปีชี่ส์ไหนไม่ทราบ  ยังนึกหน้าตาไม่ออก ต้องถามคุณเพ็ญชมพู

ช้างน้ำไม่ได้ไล่แทงเงาตัวเองดอก แต่มันแทงเงาผู้รุกราน

ตามตำนานล้านนากล่าวถึงผีจ๊างน้ำลำห้วย ไว้ว่า
 
ผู้คนเล่าขานตำนานจ๊างน้ำ(ช้างน้ำ) มากมายหลายส่ำสายผู้คนล้านนาต่างก็มีเรื่องจ๊างน้ำที่แทงเงาคนที่ไปป่นปี้ทำลายกระแสลำห้วย ด้วยว่าจ๊างน้ำเป็นสัตว์เลี้ยงของผีเสื้อห้วยที่ช่วยกันรักษาป่า รักษาลำห้วยให้มีน้ำหลากไหลบริสุทธิ์สดใสให้ผู้คนได้ดื่ม สัตว์ได้กินเลี้ยงชีวิต

อันว่าจ๊างน้ำมันเป็นวิญญาณสัตว์ตัวเล็กเท่า ๆ หนูปุ๊ก(พุก)ที่แอบซ่อนอยู่ตามเงิบเงื้อมหินผา เทือกไม้ริมน้ำลำห้วย พวกมันอยู่กันเป็นฝูง หากวันใดเป็นวันเดือนเป็ง (เพ็ญ) พวกมันพากันออกมาหล้นเล่นตามหาดทรายในลำห้วย เสียงเล่นน้ำของพวกมันดังจุ๋มจ๋าม....จุ่มจ๋าม...ร้องดังแผ้...แผ้.......แต่ก็แปลก ไม่เห็นตัวมัน  ผีจ๊างน้ำมันมีงาที่พิษร้ายหากงามันแก่จัดมันต้องถอดงาด้วยการแทงต้นกล้วยริมลำห้วยแล้วฝังงาคาไว้ ผู้คนที่มีบุญญาธิการมากนัก  เมื่อไปเที่ยวเตียวแอ่วป่าก็จะเห็นงาช้างน้ำฝังคาต้นกล้วยอยู่  หากอยากได้ต้องอธิษฐานว่า " ถ้าผู้ข้าเป๋นคนมีบุญขอจักถอดงาวิเศษนี้ได้จิ่มเตอ๊ะ "  แล้วทำการถอดงาออกมาจากต้นกล้วย  แต่ถ้าไม่มีบุญก็ไม่สามารถถอดงาออกมาได้ผู้คนก็ต้องสุมา ขออภัยในการที่ล่วงล้ำก้ำเกินผีจ๊างน้ำ

ด้วยเหตุที่จ๊างน้ำมักถอดงาไว้ตามต้นกล้วยนี้เอง  หากผู้คนอยากจับช้างน้ำหรืออยากได้งาช้างน้ำพวกเขาจะตัดต้นกล้วยไปขวางลำห้วยไว้ตอนใกล้วันเดือนเป็ง โดยหวังว่าจ๊างน้ำจะโกรธเพราะถูกขวางทางมันจะแทงให้งาถอดคาต้นกล้วยไว้   ผู้คนจะรอตอนกลางวันก็จะเข้าไปเก็บงาจ๊างน้ำมาไว้เป็นเครื่องรางของขลังนัยว่า มันป้องกันอาถรรพ์หรือขึ้ด  ป้องกันเภทผีร้ายได้แม่นแต๊ดีหลี

หากว่าใครไปทำลายป่าไม้ลำห้วยพวกมันจะพากันแทงเงาของผู้คนแล้วปล่อยพิษเรียกกันว่า  "ปิ๊ดเลาะ " ใส่ผู้คนพิษจะไล่เลาะไปตามกระดูกกระเดี้ยวเจ็บปวดตายในทันทีทันใดสะใจของของพวกผีจ๊างน้ำแต๊ ๆ

ด้วยศักดาวิเศษของพิษงาจ๊างน้ำพ่อหมอผีทั้งหลายจึงคิดคำภาษาอัญเชิญวิญญาณผีช้างน้ำเข้าสิงงาช้างหรือมีดหมอเพื่อใช้เป็นอาวุธในการปราบไล่บรรดาผีร้ายซะป๊ะผี เรียกกันว่า "คาถาจ๊างน้ำ" มีคำขึ้นต้นว่า "โอม......จ๊างน้ำหน้อยงาแดง  จ๊างน้ำแม่นแกว่นแตงเงา.........." ที่ละว่าง.....ไว้เพราะเป็นข้อห้ามของพ่อครูห้ามไว้มิให้ใครเรียนโดยไม่มีการยกครูจะผิดผีครู ทำให้ผู้ทรยศต่อคำสอนมักมีอันเป็นไปเรียกกันว่า " ผิดผีครู" เกิดอาการดั่งบ้า

http://www.gotoknow.org/blog/nhanphromma/150343

หน้าตาช้างน้ำประมาณนี้กระมัง

 ;D



กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 25 ก.ค. 11, 22:26
นิราศพระประธม ของท่านสุนทรภู่ .... ;D

..สงัดเงียบเยียบเย็นทุกเส้นหญ้า
แต่สัตว์ป่าปีบร้องก้องกระหึ่ม
ไม่เป็นหนต้นไม้พระไทรครึ้ม
เสียงงึมงึมเงาไม้พระไทรคะนอง

ทั้งเปรตผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด
จังหรีดกรีดกรีดเกรียวเสียวสยอง
เสียงหริ่งหริ่งไทรเรไรร้อง
แม่ม่ายลองไนเพราะเสนาะใน...

นิราศเมืองแกลง ของท่านสุนทรภู่ .... ;D

..ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดก็ลงถ่อ
ค่อยลอบรอเรียงลำตามน้ำไหล
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัย
ล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวาง
เป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง
ว่าผีสางสิงนางตะเคียนทอง
ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปาก
เห็นเรือจากแจวตรงลงถลำ
กระทบผางตอนางตะเคียนตำ
ก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา..

เป็นความเชื่อ เกี่ยวกับอาถรรพ์ป่า จากวรรณคดี....


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 11, 16:43
๑    จำได้ว่าช้างน้ำตัวเล็กๆเคยออกทีวีให้ดูกัน   ดูเหมือนเนื้อหนังจะเหมือนเรซิ่นราวกับแกะ  ;D 
๒    กลอนบทที่คุณ DD ยกมาข้างบนนี้   มีคำว่า เปรตผี
      กลอนวรรคนี้ พบอีกหนใน ขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม  สุนทรภู่เขียนว่า

     ทั้งเป็ดผีปี่แก้วแว่วแว่วหวีด
     เสียงจังหรีดกรีดแซ่ดังแตรสังข์
     
      ขุนช้างขุนแผนบางฉบับพิมพ์สะกดผิดเป็นเปรตผี  อาจเป็นเพราะผู้ตรวจพิสูจน์อักษรไม่รู้จักคำว่า เป็ดผี     แต่ในฉบับที่ดิฉันเคยเรียน สะกดว่า เป็ดผี    ในนิราศฉบับนี้ก็คงสะกดผิดเหมือนกัน  คำที่ถูกต้องคือเป็ดผี  เป็นแมลงชนิดหนึ่ง  สุนทรภู่บรรยายไว้เข้ากับบรรยากาศ
      รอยอินให้คำอธิบายว่า เป็ดผีเป็นตั๊กแตนหนวดยาวพวกหนึ่งในวงศ์ Tettigoniidae ทําเสียงดังหวีดหวิวในเวลากลางคืนโดยใช้ปีกกรีดกัน มีทั้งชนิดที่มีปีกยาวคลุมลําตัว ลักษณะปีกเหมือนใบไม้ เวลาเกาะเหมือนเอาใบไม้ ๒ ใบมาประกบกัน เช่น ชนิด Holochlora siamensis และชนิดปีกสั้นซึ่งไม่สามารถหุ้มลําตัวได้ เช่น ชนิด Eleandrus titan.


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 26 ก.ค. 11, 16:57
อ้าว...หนูนึกว่า เปรต...กลายเป็นเป็ด... ;D
ขอโทษนะคะ ไม่รู้จัก แมลงเป็ดผี รู้จักแต่นกเป็ดผี ...

ถ้างั้น กลอนนิราศพระประธม ที่เอามา ก็เป็นบทพรรณาความวังเวงในป่าเฉยๆ ค่ะ ไม่มีบทความเชื่อ อาถรรพ์... :-[
แต่ นิราศเมืองแกลง เป็นเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับนางตะเคียนค่ะ


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 11, 16:59
พาเป็ดผีมาแนะนำกับคุณ DD ค่ะ


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: wat ที่ 06 ต.ค. 11, 15:04
พาเป็ดผีมาแนะนำกับคุณ DD ค่ะ

 ;D  ตัวนี้ที่ลาวเค้าเรียก...แมงจรวด...คับ เคยเห็นตัวโตสุดก็ร่วมๆฝ่ามือผู้ชาย  ถ้าตัวเมียมีใข่ด้วย...ยิ่งเด็ด...ผมเคยเจอตัวจริงๆตอนแรกก็ตกใจ แต่คนแถวนั้นจับมาให้ดู ดูเสร็จเค้าก็เอายัดเข้าใต้เตาไฟ...  :-\  ...ไม่นานกลิ่นโชยออกมา...กลิ่นกุ้งเผาดีๆนี่เอง...ย่างไปสักพัก เค้าเอามาให้ชิม... ถ้าไม่เห็นตัวนะ บอกได้เลยว่ากุ้งเผาดีๆนี่เอง...นิยมกันมากที่โน่นคับ   8)


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 06 ต.ค. 11, 15:59
ท่านใดมีความรู้เกี่ยวกับเรไรบ้างครับ
ผมไม่มีเอกสารชั้นต้นภาษาไทยเก่าๆ ที่พูดถึงเรไร ว่ามีลักษณะอย่างไร
เอกสารที่มีอยู่เป็น secondary มีชว่งหลังๆ แล้วครับ
เคยได้ยินมากขึ้นหลังยุคหมอบุญส่งหรือหลังปี 2500 แล้ว
ท่านใดเคยผ่านตา กรุณาแจ้งให้ทราบจะเป็นพระคุณยิ่งครับ


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ต.ค. 11, 17:40
ข้อมูลจาก :จารุจินต์ นภีตะภัฏ : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย http://www.tistr.or.th/t/publication/page_area_show_bc.asp?i1=44&i2=44&noshow=1

เรไร (imperial cicadas) เป็นแมลงกลุ่มหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์จักจั่น (Cicadidae) เช่นเดียวกับจักจั่นแม่ม่ายลองไน แมลงอื๋ ฯลฯ
เป็นแมลงที่มีปากดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นไม้ และมีปีกใส มีเส้นปีกเป็นโครงร่างมากมาย ทั้งปีกคู่หน้าและปีกคู่หลัง จึงจัดอยู่ในอันดับโฮมอพเทอรา (Homoptera) ส่วนใหญ่จัดอยู่ในสกุล Pomponia ส่วนน้อยที่เหลืออยู่ในสกุล Tosena, Cryptotympana และ Platylomia ชนิดที่พบบ่อยๆ ในประเทศไทย มีชนิด Pomponia intermedia, P. fusca และ P. lactea

เรไรมีลำตัวยาว 35-65 มิลลิเมตร และปีกทั้งสองแผ่ออกกว้างถึง 80-176 มิลลิเมตร จึงมีลักษณะที่เด่นต่างออกมาจากจักจั่นสกุลอื่นๆ ที่พบในประเทศไทย สีลำตัวส่วนใหญ่ เป็นสีน้ำตาลอมเขียว หัวกว้างไล่เลี่ยกับส่วนอก ตาเดี่ยว (ocelli) อยู่รวมกันเป็นกระจุก 3 ตา ตรงกลางหน้าผาก ด้านหลังของอกปล้องแรก มีขอบด้านข้างแบนยื่นออกไป ส่วนท้องมี 6 ปล้อง ซึ่งส่วนท้องของ ตัวผู้ยาวกว่าความยาวของหัวรวมส่วนอก เฉพาะตัวผู้เท่านั้นที่มีอวัยวะสำหรับทำเสียงและมีแผ่นปิดอวัยวะนี้ ลักษณะสั้นและวางตัวตามแนวขวาง ปากดูดเวลาไม่ใช้งานจะสอดเข้าไปใต้ส่วนหัว โดยมีปลายปากยาว เลยโคนขาคู่ที่สามออกไป โคนขาคู่หน้ามักพองโตออกและมีหนาม ขนาดใหญ่อยู่ข้างใต้

เรไรมีเสียงร้องที่ดังกว่าจักจั่นชนิดอื่นๆ มาก เมื่อฟังดูจะคล้ายกับเสียงเลื่อยวงเดือนกำลังเลื่อยไม้ เสียงดัง ว้าง-ว้าง-ว้าง เป็นจังหวะ ไปเรื่อยๆ นานประมาณ 30-45 วินาทีจึงหยุด ประมาณ 10-20 วินาที จึงเริ่มต้นส่งเสียงอีกครั้งหนึ่ง เวลาที่เรไรส่งเสียงคือตอนพลบค่ำเวลา 17.00-18.00 นาฬิกา แต่ต้องไม่มีฝนตกในช่วงเวลานี้ และอากาศไม่หนาวเย็นจนเกินไป ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มร้องเวลา 17.30 นาฬิกา จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “แมงง่วง” เพราะได้เวลาเลิกงาน เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้ว
ในบริเวณป่าดิบภาคใต้ เรไรในสกุล Tosena และ Pomponia มักมีชื่อเรียกว่า "สามลูกควน" หรือ "สาวลูกครวญ" เพราะมีเสียง ร้องได้ยินไปไกลถึงสามลูกภูเขา (ควน) หรือร้องเพลงกล่อมลูกอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากมีลูกที่ร้องกวนใจ


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4321.0;attach=17878;image)

 ;D


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 07 ต.ค. 11, 03:58
ขอบคุณมากครับคุณเพ็ญชมพู
ข้อมูลด้านบนนี้แหละที่ผมเรียกว่า secondary คือพอเถียงกันในที่ประชุมเอาเข้าจริงๆ
ไม่เคยมีคนเห็นคำว่าเรไรในเอกสารภาษาไทยอย่างเช่นในโคลง หรือวรรณคดีต่างๆ
อาจเป็นเพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์กันเสียส่วนใหญ่ แม้ว่าหลายท่านจะมีอายุสูงเกือบ 80 ปีแล้วก็ตาม
เลยไม่แน่ใจว่าอยู่ในเอกสารไทยฉบับใดบ้าง ค้นสัตวาภิธานของพระศรีสุนทรโวหารก็ไม่พบ
ตอนนี้เลยกำหนดว่าเรไรเป็นจิ้งหรีดชนิดหนึ่ง (อันดับ Orthoptera)
ซึ่งถ้าเทียบกับเอกสารที่คุณเพ็ญชมพูหามาเรไรเป็นจักจั่น (อันดับ Homoptera)
เสียงของทั้งสองต่างกันมากโขนะครับ
ผมคนรุ่นใหม่ อายุยังไม่มาก เกิดเกือบฉลองกรุง 200 ปี
ขณะที่หลายๆ ท่านเกษียณไปนานแล้วแต่ยังคงทำงานอยู่ เกิดในสมัยปลายรัชกาลที่ 7
ถามว่าท่านเคยได้ยินเสียงเรไรไหม ท่านบอกว่าไม่เคย
แต่ผมรู้สึกว่าเรไรไม่ใช่จิ้งหรีด แต่จะเป็นอะไรนั้นก็ไม่ทราบแน่ชัด
เสียดายมากครับ ต่อไปก็จะมีการระบุแน่ชัดในรอยอินว่าเป็นจิ้งหรีด
คิดแล้วยังคาใจอยู่ไม่หายจนถึงทุกวันนี้ คงทำหน้าที่ได้เท่านี้ครับ


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ต.ค. 11, 04:27
ถ้างั้นเอกสาร primary. ตามความหมายของคุณคืออะไรคะ
เท่าที่อ่านจากข้างบน. สรุปจากคำบอกเล่าของคุณว่ามีกรรมการชุดหนึ่งไม่รู้จักว่าเรไรคืออะไร.  หาเอกสารภาษาไทยหรือวรรณคดีมาอ่านไม่กว้างพอ จึงไม่เจอความหมายของคำนี้
เลยโมเมว่าเป็นจิ้งหรีด. พอคุณเพ็ญชมพูให้คำตอบว่าเป็นจักจั่นต่างหาก. คุณบอกว่าไม่ใช่
เพราะข้อมูลของคุณเพ็ญชมพูเป็นเอกสารชั้นรองหรือทุติยภูมิ
คำถามคือเอกสารขั้นปฐมภูมิที่จะตอบได้ว่าเรไรคืออะไร. ควรเป็นเอกสารในสาขากีฏวิทยา หรือวรรณคดีกันแน่


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 11, 06:41
ต่อไปก็จะมีการระบุแน่ชัดในรอยอินว่าเป็นจิ้งหรีด
คิดแล้วยังคาใจอยู่ไม่หายจนถึงทุกวันนี้ คงทำหน้าที่ได้เท่านี้ครับ

รอยอินท่านก็ให้ความหมายของ "เรไร" ว่า "จักจั่น"

เรไร ชื่อจักจั่นสีนํ้าตาลหลายชนิดในสกุล Pomponia, Tosena และสกุลอื่น ๆ ในวงศ์ Cicadidae ส่วนใหญ่ตัวค่อนข้างโต ตัวผู้มีอวัยวะพิเศษทําให้เกิดเสียงสูงและตํ่ามีกังวานสลับกันไปได้หลายระดับ ชนิดที่โตที่สุดซึ่งพบได้ง่ายในประเทศไทย คือ ชนิด P. intermedia.

(http://tropicalbutterflies.com/images/images320/8C-065.jpg)

คุณโฮโบคงเคยได้ยินคำว่า "หรีดหริ่งเรไร"

หรีด =  จิ้งหรีด  

ส่วน หริ่ง รอยอินท่านให้ความหมายว่าเป็นเสียงร้องของเรไร

คงได้มาจากเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงามว่า

เสียงซ้อแซ้แกกาผวาว่อน
จิ้งจอกหอนโหยหาที่อาศัย
จักจั่นเจื้อยร้องริมลองไน
เสียงเรไรหริ่งหริ่งที่กิ่งรัง  

เรื่องเสียงร้องของเรไร มีข้อมูลอีกทางหนึ่ง คุณจารุจินต์ นภีตะภัฏ เขียนไว้ในเว็บที่คุณดีดีอ้างไว้ตอนแรก (http://www.tistr.or.th/t/publication/page_area_show_bc.asp?i1=44&i2=44&noshow=1)ว่า "เรไรมีเสียงร้องที่ดังกว่าจักจั่นชนิดอื่น ๆ มาก เมื่อฟังดูจะคล้ายกับ เสียงเลื่อยวงเดือนกำลังเลื่อยไม้ เสียงดัง ว้าง-ว้าง-ว้าง เป็นจังหวะ  ไปเรื่อย ๆ นานประมาณ ๓๐-๔๕ วินาทีจึงหยุด ประมาณ ๑๐-๒๐ วินาที จึงเริ่มต้นส่งเสียงอีกครั้งหนึ่ง"

แต่หรีดในคำว่า "หรีดหริ่งเรไร" น่าจะหมายถึง แมลงชนิดหนึ่ง มากกว่าเสียงร้องของเรไร

ตัวนี้แหละน่าสงสัยว่ามีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร

 ???



กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 11, 06:58
ข้อมูลปฐมภูมิเรื่องเรไรตามความต้องการของคุณโฮโบ

จากขุนช้างขุนแแผนตอนกำเนิดพลายงามเช่นกัน

ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัด
ไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว
จังหรีดร้องก้องเสียงเคียงเรไร  
ทั้งลองไนเรื่อยแร่แวแววับ

ฉะนั้น เรไรจึงไม่ใช่จิ้งหรีด

 ;D


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 11, 07:19
เพลงไพรระกำ

หริ่งเรไรระงมร้องเร่า
เสียงหริ่งกรีดกริ่งไม่เบา
ทั่วลำเนาเสียงเจ้ากล่อมไพร
หริ่งเจ้าร้องเสียงก้องลอยล่องจับใจ
หริ่งระงมผสมเรไร
ครวญหาใครหรือขาดคู่เชย

http://www.youtube.com/watch?v=QS3zn0Lzilc

และเรไรก็ไม่ใช่หริ่ง ด้วยเหมือนกัน

 ;D



กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 07 ต.ค. 11, 08:30
ขอบพระคุณทุกท่านครับ และต้องขออภัยที่ทำให้สับสน
ในความหมายของผมที่ว่า primary คือเอกสารคนโบราณจริงๆ ที่รู้จักเรไรได้เขียนบันทึกไว้ในรูปแบบวรรณคดี
หรือเอกสารอื่นๆ อาจบรรยายว่าเป็นแมลงมีลักษณะอย่างใด

จากที่ทุกท่านนำมาให้ดูเข้าใจว่าไรไรไม่น่าจะใช่จิ้งหรีด แต่เป็นตัวอะไรกันแน่
ผมพึ่งได้เห็นขุนช้างขุนแผน และพึ่งได้เห็นว่าในรอยอินยังคงเป็นจักจั่น
ถ้าอย่างนั้นคงขอยุติไว้ที่ความหมายปัจจุบันของรอยอินดีที่สุดครับ
เป็นอันว่าผมต้องขออภัยที่นำเรื่องบางเรื่องมาเล่าสู่ให้กันฟังทั้งที่ยังไม่เป็นตกลงกันแน่ชัด
ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ต้องกราบขอโทษทุกท่านๆ ครับ


กระทู้: อาถรรพ์ป่า - ที่มาของความเชื่อ และภาพในวรรณคดีไทย
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 11, 13:44
แต่หรีดในคำว่า "หรีดหริ่งเรไร" น่าจะหมายถึง แมลงชนิดหนึ่ง มากกว่าเสียงร้องของเรไร

ตัวนี้แหละน่าสงสัยว่ามีลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร

 ???

รอยอินท่านให้ความหมายคำว่า "หริ่ง" ไว้เพียง ๒ อย่าง

หริ่ง น. ชื่อหนูขนาดเล็กหลายชนิดในวงศ์ Muridae เช่น หนูหริ่งบ้าน (Musmusculus) หนูหริ่งไม้หางพู่ (Chiropodomys gliroides).
 
หริ่ง ๆ ว. เสียงร้องของเรไร.

แท้จริง หริ่ง ยังมีความหมายมากกว่านั้นเยอะ ยังมี หมาหริ่ง (http://หมาหริ่ง) และ หมูหริ่ง (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87)

หริ่ง ยังเป็นชื่อ เครื่องมือสำหรับต่อนก (http://www.nokkhao.com/smf/index.php?topic=3627.0) อีกด้วย

 ;D