ก่อนอื่นก็ขอตอบคุณ นิลกังขาก่อนนะครบผม
ที่ว่า
"เมื่อพระพุทธเจ้าตั้งศาสนาไว้ ๕๐๐๐ ปีแล้ว ปรไมสวรมีใจศรัทธา จึงเนรมิตอาวาสปราสาทอันประดับประดาด้วยแก้ว ๗ ประการ ภายในปราสาทนั้นประดับด้วยแก้วต่าง ๆ เสาเป็นแก้ว พื้นก็ปูด้วยแก้วทับทิม เวลาเหยียบลงไปก็จะยุบอ่อนนุ่ม แต่พอยกเท้าขึ้นก็ยกตัวมาเสมอกันดังเดิม ส่วนบันไดนั้นทำมาจากเงิน และก่อศาลาบริจาคด้วยแก้วต่าง ๆ มากมายสุดจะคณนานับ
"
นั้น หมายถึงว่า พระพุทธเจ้าประกาศตั้งศาสนาไว้ ๕๐๐๐ ปี (อันที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งไว้ ๕๐๐๐ ปีหรอก แต่มีเทวดาหลายต่อหลายองค์มาขออายุศาสนาจนพระพุทธเจ้าประกาศตั้งไว้ ๕๐๐๐ ปีในที่สุด) แล้วปรินิพพาน หลังจากนั้น ปรไมสวรจึงสร้างพระพุทธรูป พิหาร ดังกล่าว น่ะครับผม ไม่ได้หมดศาสนาหลัง ๕๐๐๐ แล้วสร้างน่ะครับผม ผมอาจเขียนคลุมเครือก็ขออภ้ยด้วยครับผม
และที่ว่า
"นายมกฏะเทวบุตรอันเป็นใหญ่แก่วอกทั้งหลายเป็นข้าพระ"
ก็คงจะหมายความว่า นายมกฏะ เห็นหัวหน้าลิง (ไม่รู้ว่าจะเป็นลิงด้วยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ครับ)
เอาละครับ เหลืออีกนิดนึง เอามาต่อให้จบละกันครับ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ในยามนั้น ยังมีฤๅษีอยู่ ๔ ตน ซึงได้ปัญจอภิญญา และคุ้นเคยกันกับปรไมสวร ฤๅษีทั้ง ๔ ก็คุยกันว่า จะไปหาปรไมสวรเพื่อที่จะได้ ตบะอันบริสุทธิ์ จึงเหาะมาหาปรไมสวร เมื่อเจอพระพุทธรูปก็เป็นที่ประหลาดใจแก่ทั้งสี่เป็นอย่างมาก จึงแอบนั่งชิดอยู่ที่ฝาด้านหนึ่ง
ยามนั้น นายมกฏะอันเป็นอารามิก ( หรือ ข้าพระ หรือที่เอกสารทางอยุธยาเรียกว่า คนทานพระกัลปนา นั่นเอง) ก็ตกแต่งอาหารของฉันสำหรับอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ และเครื่องบูชาสำหรับพระพุทธเจ้า พร้อมกับผอบแก้วสองอัน เข้ามาจัดแจงภายในปราสาทเพื่อรอคอยปรไมสวร และอรหันต์ที่จะมา
เมื่ออรหันต์ทั้ง ๕๐๐ เหาะมาถึง นายมกฏะก็ถวายดอกไม้แก่อรหันต์ทั้งหลายเพื่อไปบูชาพระพุทธรูป แล้ววียนปทักขิณ ๓ ทีแล้วออกมา ยามนั้น ปรไมสวรเมื่อเห็นอรหันตาทั้งหมดมาถึงด้วยญาณทิพย์ ก็เสด็จมาพร้อมกับอุมมาเทวี บนหลังอุศุภราช พร้อมทั้งบริวารทั้งหลายมาถึง นายมกฏะก็เอาผอบแก้วให้กับปรไมสวรและอุมมาเทวี เอาไปไหว้บูชาพระพุทธรูป แล้วออกมาไหว้กับอรหันตาและบูชาด้วยอามิสบูชาต่าง ๆ พร้อมทั้งถวายของฉันทั้งมวล แล้วอรหันตาทั้งหมดก็เหาะกลับไปยังแห่งที่อยู่
แล้วปรไมสวรก็เจรจากับฤษีทั้ง ๔ ที่แอบอยู่นั้นแล้วก็เสด็จกลับ
แล้วนายมกฏะก็เสสังฆ์เอาข้าวที่พระอรหันตาฉันเหลือมาให้กับฤๅษีทั้ง ๔ เมื่อฤๅษีฉันแล้วก็เห็นอัศจรรย์ทั้งหลายในสิ่งที่ปรไมสวรกระทำด้วยศรัทธาเลื่อมใสในแก้วสามประการ แล้วฤๅษีทั้ง ๔ ก็มีใจเลื่อมใสด้วย จึงคิดใคร่บวชในศาสนาของพระตถาคต จึงลากลับ เมื่อฤๅษีพ้นจากพิหารไปแล้ว พิหารนั้นก็อันตรธานหายไปกลายเป็นป่าดงดอย แล้วในที่สุด ฤๅษีทั้ง ๔ ก็แสวงหาอาจารย์และบวชในบวรพุทธศาสนา
และการที่ปรไมสวรเนรมิตพุทธรูปและวิหารไวสักการบูชา แล้วไว้อารามิก(ข้าพระ) ไว้อุปัฏฐากพระพุทธรูป ดังกล่าว กลายเป็นจารีตที่สืบต่อกันมา ในการสร้างกุฏี พิหาร เจติยะ ทั้งหลายเพื่อบูชา และมีการกัลปนา “ข้าพระ” ไว้อุปปัฏฐากอยู่เนืองๆ
นิฏฐิตัง กรียา สังวัณณาวิเสส จาห้องเหตุปรเมสสรวัตถุกถา ก็สมเร็จสระเด็จเท่านี้ก่อนแล ๚๛