กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: ป้าหวัน ที่ 09 มี.ค. 15, 19:40 บางระจัน: อยากเรียนถามว่าการต่อสู้ของชาว บางระจัน นั้นมีอยู่จริงหรือ ดิฉันได้อ่านในhttp://th.wikipedia.org/wiki/ในทำนองว่าเป็นการมโนเพื่อเหตุผลทางการเมือง ยังไม่มีข้อยุติจึงอยากทราบจากเรือนไทยค่ะ : "การวิเคราะห์[แก้]
เรื่องราวของชาวบ้านบางระจัน มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เท่านั้น ไม่ปรากฏในพงศาวดารหรือบันทึกทางประวัติศาสตร์ฉบับอื่น แม้แต่พงศาวดารร่วมสมัยคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เช่น คำให้การชาวกรุงเก่า หรือแม้แต่ในพงศาวดารของฝ่ายพม่าเองด้วย ดังนั้น ปัจจุบัน นักวิชาการทางประวัติศาสตร์จึงมีความเชื่อโน้มเอียงไปในทางที่ว่า วีรกรรมของชาวบ้านบางระจันไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริง ก็ไม่ใช่วีรกรรมเพื่อชาติ แต่เป็นไปในลักษณะเป็นชุมนุมป้องกันตนเองจากผู้รุกราน และก็มีชุมนุมลักษณะนี้มากมาย ไม่เพียงเฉพาะบ้านบางระจัน และการต่อต้านทัพพม่าของชาวบ้านบางระจันก็ไม่น่ายาวนานถึง 5-6 เดือน น่าจะไม่เกิน 3 เดือน[1] วีรกรรมของชาวบ้านบางระจันได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ระบาดในประเทศไทย เพื่อเป็นการปลุกใจให้รักและหวงแหนในชาติ เช่น มีการบรรจุในแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ บทละครร้อง ฯลฯ ความรับรู้ของคนทั่วไปจะรับรู้ผ่านทางแบบเรียน นิยาย ละคร รวมทั้งภาพยนตร์ และเชื่อตามการนำเสนอนั้นว่าวีรกรรมและตัวละครมีตัวตนจริง" ขอบคุณค่ะ กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 08:26 ลองอ่านกระทู้นี้ดูค่ะ
http://pantip.com/topic/33080605 (http://pantip.com/topic/33080605) คห.ที่ 2-1 บทความนี้ผิดครับ ข้อความเก่าที่สุดที่กล่าวถึงบางระจันมีอยู่ในพระราชพงศาวดารที่ชำระสมัยรัชกาลที่ ๑ แล้วครับ อย่างในลิ้งที่ คห.3 ยกมา และปรากฏในพงศาวดารที่ชำระหลังจากนั้นทุกฉบับ ไม่ใช่แค่ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตเลขาฉบับเดียว พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ก็ไม่ใช่งานนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เป็นรัชกาลที่ ๔ โปรดให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิทชำระขึ้น แล้วสันนิษฐานว่ารัชกาลที่ ๔ ก็ทรงตรวจแก้ไขซ้ำ กรมพระยาดำรงทรงแค่เอามาตีพิมพ์และอธิบายเนื้อหาเท่านั้น เรื่องนี้กรมพระยาดำรงฯทรงอธิบายไว้ว่า "หนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่พิมพ์นี้ฉบับ ๑ ฉบับกรมหลวงมหิศวรินทร์ฉบับ ๑ ๒ ฉบับนี้ความต้องกัน หนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานี้ ได้ความว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีรับสั่งให้กรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงชำระใหม่ แก้ไขเพิ่มเติมของเก่าหลายแห่ง เนื้อความบริบูรณ์ดีขึ้นมาก ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เมื่อกรมหลวงวงศาธิราชสนิททรงชำระแล้ว นำต้นฉบับขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรวจแก้ไข จึงปรากฏพระราชหัตถเลขาอยู่ในต้นฉบับ หอหลวงพระสมุดได้มาแต่ ๒๒ เล่ม แต่เคราะห์ดีที่ได้ฉบับกรมหลวงมหิศวรินทร์มาประกอบกัน ได้เนื้อความบริบูรณ์เป็นหนังสือ ๔๒ เล่มสมุดไทย กล่าวความแต่สร้างกรุงศรีอยุธยามาจนถึงในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ จบเพียงจุลศักราช ๑๑๕๒ " พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามีการเพิ่มเติมเนื้อหาความพิสดารต่างๆเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับพงศาวดารเก่าๆ เช่นว่าพระเจ้าอลองพญาถูกปืนใหญ่สิ้นพระชนม์ ในขณะที่พงศาวดารเก่ากล่าวว่าประชวรสอดคล้องกับหลักฐานพม่า มีการกล่าวเน้นถึงการแสดงออกความอยากได้ราชสมบัติของพระเจ้าเอกทัศ ในขณะที่พงศาวดารเก่าไม่มีกล่าวเลย(เช่นว่าเอาพระแสงดาบพาดพระเพลา) รวมถึงรายละเอียดยิบย่อยอย่างเรื่องบางระจัน ขุนรองปลัดชู ซึ่งพงศาวดารเก่าๆจะกล่าวเพียงเหตุการณ์คร่าวๆเท่านั้น มีการนำเนื้อหาจากเอกสารอื่นๆมาลงเสริมเช่นคำให้การชาวอังวะ พงศาวดารมอญพม่า พงศาวดารพม่าเป็นต้นครับ ศรีสรรเพชญ์ 10 มกราคม 2558 เวลา 10:01 น. กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 09:58 คำถามของคุณป้าหวัน มีข้อความที่คุณวิกกี้วิเคราะห์ไว้ด้วย อาสาช่วยแก้ไขให้สมบูรณ์ ;D
บางระจัน: อยากเรียนถามว่าการต่อสู้ของชาว บางระจัน นั้นมีอยู่จริงหรือ ดิฉันได้อ่านใน http://th.wikipedia.org/wiki/ (http://th.wikipedia.org/wiki/) ในทำนองว่าเป็นการมโนเพื่อเหตุผลทางการเมือง ยังไม่มีข้อยุติจึงอยากทราบจากเรือนไทยค่ะ : "การวิเคราะห์" เรื่องราวของชาวบ้านบางระจัน มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เท่านั้น ไม่ปรากฏในพงศาวดารหรือบันทึกทางประวัติศาสตร์ฉบับอื่น แม้แต่พงศาวดารร่วมสมัยคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เช่น คำให้การชาวกรุงเก่า หรือแม้แต่ในพงศาวดารของฝ่ายพม่าเองด้วย ดังนั้น ปัจจุบัน นักวิชาการทางประวัติศาสตร์จึงมีความเชื่อโน้มเอียงไปในทางที่ว่า วีรกรรมของชาวบ้านบางระจันไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริง ก็ไม่ใช่วีรกรรมเพื่อชาติ แต่เป็นไปในลักษณะเป็นชุมนุมป้องกันตนเองจากผู้รุกราน และก็มีชุมนุมลักษณะนี้มากมาย ไม่เพียงเฉพาะบ้านบางระจัน และการต่อต้านทัพพม่าของชาวบ้านบางระจันก็ไม่น่ายาวนานถึง 5-6 เดือน น่าจะไม่เกิน 3 เดือน วีรกรรมของชาวบ้านบางระจันได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานราชการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ลัทธิคอมมิวนิสต์ระบาดในประเทศไทย เพื่อเป็นการปลุกใจให้รักและหวงแหนในชาติ เช่น มีการบรรจุในแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ บทละครร้อง ฯลฯ ความรับรู้ของคนทั่วไปจะรับรู้ผ่านทางแบบเรียน นิยาย ละคร รวมทั้งภาพยนตร์ และเชื่อตามการนำเสนอนั้นว่าวีรกรรมและตัวละครมีตัวตนจริง" ขอบคุณค่ะ สองย่อหน้าแรก คุณวิกกี้ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99) อ้างอิงจาก เทปสนทนาเรื่องวาระสุดท้ายกรุงศรีอยุธยา: วีระ ธีรภัทร กับ ดร.สุเนตร ชุตินทรานนท์ ทาง F.M. ๙๗.๐ เมกะเฮิร์ตซ์ ตรินิตี้เรดิโอ: ๒๕๔๔ กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 10:16 เชิญคุณป้าหวันกลับไปอ่านกระทู้พันทิปอีกทีค่ะ
กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 10:39 เมื่อคุณวิกกี้อ้าง ดร.สุเนตร ชุตินทรานนท์ จึงควรทำความรู้จัก ดร.สุเนตร ชุตินทรานนท์ ก่อนในเบื้องต้น ก่อนจะอ่านแนวความคิดของอาจารย์เกี่ยวกับ "วีรกรรมที่บางระจัน" คุณวิกกี้ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3_%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C) แนะนำไว้ดังนี้
รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์จบการศึกษา ศิลปศาสตร์บัณฑิต (ประวัติศาสตร์) เกียรตินิยมอันดับ ๑ เหรียญทองจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิต สาขา ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษาและผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญามหาบัณฑิต (นานาชาติ)สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้สนใจและศึกษาประวัติศาสตร์โบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่า จนเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พม่า ๑ ใน ๕ คน ของประเทศ เมื่อไม่นานมานี้ มีงานเสวนาหัวข้อ "ศึกบางระจัน พงศาวดาร-เรื่องจริง และที่อิงนิยาย" จัดโดยนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ที่อาคารมติชน อคาเดมี อาจารย์สุเนตรพูดถึง "วีรกรรมที่บางระจัน" สรุปได้ดังนี้ เท่าที่พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์พม่า ไม่มีการพูดถึงบางระจัน รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับบางระจันมีอยู่ ในเฉพาะพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงให้มีการชำระขึ้น กลายเป็นต้นแบบการเขียนประวัติศาสตร์ กระทั่งไปปรากฏเป็นนิยายประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ที่ประพันธ์โดย ไม้ เมืองเดิม หรือ ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา อาจารย์สุเนตรพูดถึงพงศาวดารอีกฉบับไว้ด้วยคือ ฉบับพันจันนุมาศ พร้อมทั้งตั้งคำถาม พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา มีเรื่องราวของบางระจันที่ละเอียดกว่า พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ ที่มีความเก่าแก่กว่า ทำให้เกิดข้อสงสัย ๒ ประการ คือ ๑. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ที่ห่างกับฉบับพันจันทนุมาศ กว่า ๑๐๐ ปี ทำไมถึงกลับมีรายละเอียดที่มากกว่าและ ๒. ใครเป็นผู้เขียน ที่มา บล็อกของคุณ sirivinit (http://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=vinitsiri&month=02-02-2015&group=386&gblog=115) กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: ป้าหวัน ที่ 10 มี.ค. 15, 10:41 ขอบคุณค่ะอาจารย์พี่วินิตา (ขออนุญาตถือวิสาสะนะคะ เพราะเป็นรุ่นน้องสามปีค่ะ) ป้าหวันไปอ่านPantipมาเมื่อครู่นี้เอง และคิดว่าผู้ที่อ้างว่าบางระจันไม่มีจริง อาจมีเจตนาแอบแฝงอยู่ เหมือนMinistry of Truthในเรื่อง 1984 ของ George Orwell
กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 11:01 อาจารย์สุเนตรอ้างถึงพงศาวดาร ๒ ฉบับ ฉบับพระราชหัตถเลขา เรารู้จักกันแล้วจากคำอธิบายของคุณศรีสรรเพชญ์ซึ่งคุณเทาชมพูนำมาแสดง อีกฉบับหนึ่งคือ ฉบับพันจันนุมาศ ขอแนะนำพอสังเขป ดังนี้
พันจันทนุมาศ (เจิม) ไม่ใช่คนแต่งพงศาวดารธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ตามที่เข้าใจกัน พันจันทนุมาศ (เจิม) คงเป็นเจ้าของต้นฉบับเอกสารตัวเขียนพงศาวดารธนบุรีฉบับนี้ ต่อมา คงจะได้นำต้นฉบับพงศาวดารดังกล่าวไปมอบแก่หอพระสมุดวชิรญาณ ทางหอพระสมุดฯ จึงตั้งชื่อพงศาวดารฉบับนั้น ว่า พงศาวดารธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าของต้นฉบับ อย่างเดียวกับที่ให้ชื่อพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงประเสริฐอักษรนิติ ซึ่งต่อมาคือ พระยาปริยัติธรรธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ที่ไปพบต้นฉบับเอกสารนี้ที่เมืองเพชรบุรี แล้วนำมามอบแก่หอพระสมุดวชิรญาณ เหตุที่ว่า พันจันทนุมาศ (เจิม) ไม่ใช่คนแต่งพงศาวดารธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เพราะตำแหน่งราชทินนามพันจันทนุมาศ ไม่ใช่ตำแหน่งขุนนางในกรมพระอาลักษณ์หรือราชบัณฑิต ทั้งไม่ใช่ขุนนางระดับที่สูงมากนัก จึงไม่น่าจะเป็นผู้แต่งพงศาวดารฉบับนี้ พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศก็คือพงศาวดารที่ชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ ที่คุณศรีสรรเพชญ์กล่าวถึง เรื่องที่ว่าชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็เป็นอย่างข้างบนบอกครับคือมีบานแพนกระบุว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงชำระพงศาวดารฉบับนี้เองใน พ.ศ.๒๓๓๘ "ศุภมัสดุ ศักราช ๑๑๕๗ ปี เถาะสัปตศก สมเด็จพระบรมธรรมิกมหาราชาธิราชพระเจ้าอยู่หัว ผ่านถวัลราชย์ ณ กรุงเทพทราวดีศรีอยุธยา เถลิงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงชำระพระราชพงศาวดาร" เรื่องการพิสูจน์ว่าบานแพนกจริงมั้ยนอกจากกระบวรการทางวิทยาศาสตร์คงไม่มีทางพิสูจน์ แต่เมื่อเทียบกับพงศาวดารฉบับอื่นอย่างฉบับบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอนซึ่งชำระในสมัยรัชกาลที่ ๑ เช่นเดียวกัน(พ.ศ.๒๓๕๐ รัชกาลที่ ๒ เมื่อครั้งเป็นกรมพระราชวังบวรฯทูลเกล้าถวายรัชกาลที่ ๑) ฉบับพันจันทนุมาศมีภาษาที่เก่ากว่า มีข้อความพิสดารน้อยกว่า เนื้อหาบางอย่างตรงตามหลักฐานร่วมสมัยมากกว่า จึงพออนุมานได้ว่าฉบับบริติชมิวเซียมฯชำระโดยใช้ฉบับพันจันทนุมาศเป็นต้นแบบ แต่เพิ่มเนื้อหาต่างๆเสริมเข้ามาเช่นเพิ่มเนื้อหาสุดพิสดารเหนือจริงและไม่สอดคล้องกับหลักฐานร่วมสมัยในตอนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ที่ฉบับพันจันทุมาศขาดไป ๒ เล่มเป็นต้น(เช่นโกษาปานเอาหมอผีไปโชว์อาคมที่ฝรั่งเศส ประวัติพระเจ้าเสือ พระยาช้างรู้ภาษาคน) ข่อความบางที่เพิ่มตอนพอเห็นได้ว่าเอามาจากคำให้การขุนหลวงหาวัดมาเสริม ในส่วนพงศาวดารธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศน่าจะชำระโดยใช้พงศาวดารที่เขียนตั้งแต่สมัยธนบุรีเป็นแม่แบบ เพราะมีข้อความยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรีอยู่มาก แต่ในฉบับบริติชมิวเซียมฯเป็นต้นมาได้ลดข้อความเหล่านั้นลง แล้วเพิ่มบทบาทของรัชกาลที่ ๑ กับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทขึ้นมา จาก คุณศรีสรรเพชญ์แห่งพันทิป (http://pantip.com/topic/32606848#2) กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 10 มี.ค. 15, 11:03 ล่วงมาถึงสมัย ร5 มีคนเคยเห็นพระพักตร์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ประมาณ 5 คน (เคยอ่านเจอ)
ในสมัย ร 4 น่าจะมีคนจำเรื่องราวสมัยกรุงเก่าได้บ้าง ย้อนไปเพียง15 ปี ถ้าสมเด็จพระจอมเกล้ายังทรงพระเยาว์ น่าจะมีคนรู้เรื่องราวกรุงเก่ามากขึ้นไปอีก คงมีความจริงอยู่บ้าง ไม่มีใครคิดจะเล่นกุเรื่องลงในพงศาวดาร ทำไมฉบับอื่นไม่เขียนเรื่องนี้ไว้ ไม่รู้ (ทำไมไม่เขียนให้ละเอียด --- มีสาเหตุมากมาย) กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 11:12 พงศาวดารฉบับพันจันทุมาศ (เจิม) กล่าวถึง "วีรกรรมที่บางระจัน" ไว้กระไร คุณ Penedge (https://www.facebook.com/365098623566983/photos/a.634392893304220.1073742273.365098623566983/698881430188699?type=1&theater) ถ่ายทอดไว้ดังนี้
"ศุภมัสดุ ศักราช ๑๑๕๗ ปี เถาะสัปตศก สมเด็จพระบรมธรรมิกมหาราชาธิราชพระเจ้าอยู่หัว ผ่านถวัลย์ราชย์ ณ กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา เถลิงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงชำระพระราชพงศาวดาร" แปลความง่าย ๆ ว่า พระราชพงศาวดารฉบับนี้ชำระขึ้นใหม่ในปีศักราช ๑๑๕๗ ซึ่งเท่ากับปี พ.ศ. ๒๓๓๘ หรือเป็นปีที่ ๑๔ ในรัชกาลที่ ๑ นั่นล่ะครับ สำหรับเนื้อความที่กล่าวถึงชาวบ้านบางระจันนั้น มีปรากฏอยู่ในช่วงเหตุการณ์กองทัพพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ซึ่งผมจะขอคัดตอนที่กล่าวถึงชาวบ้านบางระจันเป็นหลักเท่านั้น ดังต่อไปนี้ครับ "ขณะนั้น พระอาจารย์วัดเขานางบวชมาอยู่ ณ วัดบ้านระจัน ชาวบ้านแขวงเมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสุพรรณบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรีอพยพหนีเข้าพึ่งพระอาจารย์นั้นเป็นอันมาก ฝ่ายพม่าไปเกลี้ยกล่อม ชาวค่ายบ้านระจันแต่งกันลงมาฆ่าพม่าตายเสียกลางทางเป็นอันมาก พม่าจึงแบ่งกันทุกค่ายยกขึ้นไปจะรบ ฝ่ายชาวค่ายบ้านระจันยกออกตั้งอยู่นอกค่าย พอพม่ายกมาก็ขับกันออกไปตะลุมบอนแทงพม่าล้มตายเป็นอันมาก..." "ประมาณ ๒ - ๓ วัน พม่ายกไปตีค่ายบ้านระจันทำการกวดขันขึ้นกว่าเก่า ชาวบ้านระจันให้เข้ามาขอปืนใหญ่ ๒ บอก ปรึกษากราบทูลว่า ถ้าค่ายบ้านระจันเสียแก่พม่า พม่าจะเอาปืนเข้ามารบกรุง จะให้ไปนั้นมิบังควร... "ครั้นรุ่งขึ้น พม่ายกไปตั้งค่าย ณ บ้านขุนโลก นายจันหนวดเขี้ยวคุมพรรคพวกออกมาตีพม่า ฆ่าพม่าตายเป็นอันมาก ประมาณสัก ๕๐๐ ตัวก็ต้องปืนตายในที่รบ .... "อนึ่ง พระยารัตนาธิเบศร์ออกไปไรทอง หล่อปืนใหญ่ขึ้น ณ บ้านระจัน ๒ บอก ครั้งพม่ายกไปตีอีก ค่ายบ้านระจันก็แตก ไพร่พลล้มเป็นอันมาก" สรุปก็คือว่า เอกสารในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้รายงานว่ามีการศึกของชาวบ้านบางระจันจริง ๆ แต่หากอธิบายเหตุการณ์เพียงคร่าว ๆ ว่า มีชาวบ้านที่หนีพวกพม่ามารวมตัวกันที่บ้านระจัน และสามารถต้านทัพพม่าได้อยู่หลายคราว แต่แล้วชาวบ้านก็ตัดสินใจส่งคนไปขอปืนใหญ่จากราชสำนักที่กรุงศรีอยุธยา ซึ่งทางราชสำนักไม่มอบให้ จนทำให้ชาวบ้านต้องหล่อปืนกันเองและเสียค่ายให้กับพม่าในที่สุด อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับอย่างเป็นกลางตามความในเอกสารว่า แม้ว่าพระราชพงศาวดารฉบับพันจันทุมาศนี้จะบรรยายถึงเหตุการณ์วีรกรรมบ้านบางระจันจริงในคราวนั้นไว้จริง แต่กลับไม่ได้บอกรายละเอียดอื่น ๆ เช่นว่า ๑. ในพงศาวดารฉบับนี้ไม่ได้ว่าผู้นำบ้านบางระจันคือใครและมีกี่คน บอกแต่เพียง "พระอาจารย์วัดเขานางบวช" และ "นายจันหนวดเขี้ยว" เท่านั้น มิได้บอกว่ามีวีรชนทั้งสิ้น ๑๑ คนอย่างที่มีการกล่าวอ้างในยุคหลัง ๆ ๒. ช่วงเวลาการทำศึกระหว่างค่ายบางระจันกับกองทัพพม่าไม่เป็นที่ปรากฏอย่างแน่ชัด เพราะความในพงศาวดารตอนนี้มักเรียงปะปนกับศึกพม่าในเขตอื่น ๆ ร่วมไปด้วย จึงทำให้เราไม่รู้แน่ว่าชาวบ้านบางระจันรบกับพม่าได้นานแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่าน่าจะรบกันได้นานที่สุดก็เพียง ๓ เดือนก็เต็มกลืนแล้ว ไม่น่าจะเป็น ๖ เดือนอย่างที่กล่าวอ้างกันในยุคหลัง ๓. ชาวบ้านบางระจันมีความพยายามในการหล่อปืนใหญ่ขึ้นใช้เองจริง แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามีเหตุปืนใหญ่แตกอย่างที่มีการกล่าวอ้างในสมัยหลังๆแต่อย่างใด (อีกแล้ว) ซึ่งผมเชื่อว่าไม่น่าจะเกิดเหตุปืนแตก แต่ควรเป็น "ปืนใหญ่หล่อไม่เสร็จ" ก็ถูกทัพพม่าตีแตกเสียก่อนแล้ว ดังนั้น สรุปได้ว่าพระราชพงศาวดารพันจันทุมาศ (เจิม) เป็นเอกสารที่เก่าแก่ที่สุดในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์บ้านบางระจันเอาไว้จริง ๆ แต่ส่วนเรื่องราวและตัวละครอื่นๆนั้น น่าจะถูกแต่งเติมเสริมเรื่องกันมาเรื่อยๆมากกว่านั่นเองครับ กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 10 มี.ค. 15, 11:19 สงสัยเหมือนกันค่ะว่าตกลง "บ้านระจัน" นี้มีจริงหรือไม่ แต่รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับการที่หยิบยกมาทำละครในยุคที่เพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในบ้านเรามากมาย และแถมจะเปิด AEC อีก :o :o
กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 11:21 พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขามีรายละเอียดมากนัก ถือเป็นต้นฉบับให้ "ไม้ เมืองเดิม" เขียนเรื่อง "บางระจัน" ในกาลต่อมา
ครั้น ณ เดือนสาม ปีระกา สัปตศก พวกชาวเมืองวิเศษชัยชาญ และเมืองสิงคบุรี เมืองสรรคบุรี เข้าเกลี้ยกล่อมพม่า พม่าเร่งเอาทรัพย์เงินทองและบุตรหญิง จึงชวนกันลวงพม่าว่าจะให้บุตรหญิงและเงินทอง แล้วคิดกันจะสู้รบพม่า บอกกล่าวชักชวนกันทุกๆ บ้าน และ นายแท่น ๑ นายโช ๑ นายอิน ๑ นายเมือง ๑ ชาวบ้านสีบัวทองแขวงเมืองสิงห์ นายดอกชาวบ้านตรับ นายทองแก้วชาวบ้านโพทะเล คนเหล่านี้มีสมัครพรรคพวกมาก เข้าเกลี้ยกล่อมพม่าซึ่งยกทัพมาทางเมืองอุทัยธานี ครั้นพม่าตักเตือนเร่งรัดจะให้ส่งบุตรหญิง จึงให้นายโชคุมพรรคพวกเข้าฆ่าพม่าตาย ๒๐ เศษ แล้วพากันหนีมาหาพระอาจารย์ธรรมโชติวัดเขานางบวช มีความรู้วิชาการดี มาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้น ในบ้านบางระจันเอาเป็นที่พึ่ง และพาสมัครพรรคพวกครอบครัวทั้งปวงมาอยู่ ณ บ้านระจัน และนายแท่นกับผู้มีชื่อเหล่านั้นชักชวนคนชาวบ้านได้ ๔๐๐ เศษ มาตั้งค่ายมั่นอยู่ที่บ้านระจันทั้งสองค่าย พระอาจารย์นั้นลงตะกรุด ประเจียดและมงคลแจกให้ และพม่าประมาณร้อยเศษตามมาจับพันเรือง มาถึงบ้านระจันก็หยุดอยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำฟากข้างโน้น นายแท่นรู้จึงจัดแจงคนให้รักษาค่าย แล้วก็พาคนสองร้อยข้ามน้ำไปรบกับพม่า พม่ายิงปืนได้นัดเดียว นายแท่นกับคนสองร้อยล้วนถืออาวุธสั้นเข้าฟันแทงพวกพม่าถึงตะลุมบอนฆ่าพม่าตายทั้งร้อยเศษเหลือแต่ตัวนายสองคนขึ้นม้าควบหนีไปได้ จึงไปแจ้งความแก่นายทัพนายกองซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ แขวงเมืองวิเศษชัยชาญ แล้วบอกไปถึงแม่ทัพ แม่ทัพจึงให้เยกิหวุ่นคุมพลพม่าเจ็ดร้อยยกไปตีค่ายบ้านระจัน ก็แตกพ่ายมาอีกเป็นสองครั้ง จึงให้ติงจาโปคุมพลเก้าร้อยยกไปตีอีก ก็แตกพ่ายมาเป็นสามครั้ง พวกพม่าขยาดฝีมือไทยค่ายบ้านระจันยิ่งนัก หยุดอยู่อีกสองวันสามวัน แม่ทัพจึงเกณฑ์ให้สุรินทจอข่องเป็นนายทัพใหญ่ คุมพลทหารเกณฑ์กันทุกค่ายเป็นคนพันเศษ ม้าหกสิบม้า ยกไปตีค่ายบ้านระจันอีกเป็นสี่ครั้ง สุรินทจอข่องก็ยกพลทหารไปถึงทุ่งบ้านห้วยไผ่ พวกค่ายบ้านระจันจึงจัดกันให้นายแท่นเป็นนายทัพ พลสองร้อยให้นายทองเหม็นเป็นปีกขวา พันเรืองเป็นปีกซ้าย คุมพลกองละสองร้อยทั้งสามกองเป็นคนหกร้อย มีปืนคาบชุดคาบศิลาของชาวบ้านบ้าง ปืนของพม่าซึ่งแตกหนีล้มตายเก็บได้บ้าง ทั้งเก็บกระสุนดินของพม่าซึ่งทิ้งเสียเก็บไว้ได้บ้าง และตัวนายทั้งสามคนนั้นก็นำพลทหารทั้งสามกองยกออกจากค่าย ไปถึงคลองสะตือสี่ต้น จึงตั้งทัพดากันอยู่ทั้งสามกอง คอยรับทัพพม่า ที่ต้นสะตือใหญ่มีบ่อน้ำอยู่กลางทุ่ง กองทัพพม่ายกมาตั้งอยู่ฟากคลองข้างโน้น ได้ยิงปืนโต้ตอบกันทั้งสองฝ่าย พม่าเห็นพวกไทยน้อยก็ตั้งรบอยู่มิได้ท้อถอย ทัพไทยจึงขนเอาไม้และหญ้ามาถมคลอง แล้วยกข้ามรุกไปรบพม่าถึงอาวุธสั้น เข้าไล่ตะลุมบอนแทงฟันฆ่าพม่าล้มตายเป็นอันมาก และสุรินทจอข่องนายทัพนั้นกั้นร่มระย้าอยู่ในกลางพล เร่งให้ตีกลองรบ รบกั้นตั้งแต่เช้าจนตะวันเที่ยง พลทหารไทยวิ่งเข้าฟันตัดศีรษะสุรินทจอข่องขาดตกม้าตายในท่ามกลางสนามรบ และนายแท่นซึ่งเป็นนายทัพไทยนั้นวิ่งเข้าไปในกลางพลพม่า ไล่แทงพม่าตายเป็นหลายคน และตัวนายแท่นนั้นถูกปืนพม่าที่เข่าล้มลง พวกพลช่วยกันหามออกมาจากที่รบ และพลทหารทั้งสองฝ่ายต่างเหนื่อยอ่อนอิดโรย ก็รอรบถอยออกจากกันทั้งสองข้าง หยุดพักอยู่ข้างละฟากคลอง พวกชาวบ้านระจันก็นำอาหารออกมาส่งเลี้ยงดูพวกทหาร ฝ่ายพม่าก็หุงข้าวสุกบ้างยิงบ้าง ที่ได้กินข้าวบ้างยังไม่ได้กินบ้าง พวกทหารไทยกินอาหารเสร็จพร้อมกันแล้ว ก็แต่งตัวยกข้ามคลองแล่นเข้าโจมตีทัพพม่าพร้อมกัน ฝ่ายพลพม่าสาละวนขุดหลุมฝังศพนายอยู่ บ้างตีกลองประโคมศพ บ้างร้องไห้รักนาย ไม่เป็นอันจะต่อรบ ก็แตกพ่ายหนีไปต่อหน้า พลทหารไทยไล่ติดตามไปทันฆ่าฟันพม่าตายเสียเป็นอันมาก เก็บได้ปืนและเครื่องศัสตราวุธผ้านุ่งห่มต่างๆ แต่ไล่ติดตามพม่าไปจนเย็นจวนจะใกล้ค่ำจึงกลับมายังค่าย และพลพม่าตายประมาณแปดร้อยเศษ ที่เหลือรอดกลับมาสามร้อยเศษ ต้องอาวุธบาดเจ็บก็มาก ข้างทัพไทยตายหกสิบเศษ ป่วยเจ็บสิบสองคน ขณะนั้นชาวบ้านอื่นๆ พาครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู่ในค่ายบ้านระจันเป็นอันมาก ฝ่ายพม่ากลัวฝีมือชาวบ้านระจันยิ่งนัก แต่จัดแจงกะเกณฑ์ปรึกษากันอยู่ประมาณสิบเอ็ดสิบสองวัน แม่ทัพจึงแต่งให้แยจออากาเป็นนายทัพ เกณฑ์แบ่งพลทหารไปทุกๆ ค่ายเป็นคนพันเศษ สรรพด้วยม้าเครื่องสรรพาวุธให้ยกไปตีค่ายบ้านระจันอีก ก็แตกพ่ายหนีมาเป็นห้าครั้ง แล้วแม่ทัพจึงแต่งให้จิกแกปลัดเมืองทวายเป็นนายทัพคุมพลร้อยเศษยกไปตีเป็นหกครั้งก็แตกพ่ายมา จึงแต่งให้อากาปันญีเป็นนายทัพคุมพลพันเศษยกไปรบอีกเป็นเจ็ดครั้ง และอากาปันญียกไปตั้งค่ายอยู่ ณ ตำบลบ้านขุนโลก ฝ่ายทัพไทยข้างบ้านระจันจึงจัดให้ขุนสันฝีมือยิงปืนแม่นเป็นนายพวกทหารปืน คอยป้องกันทหารม้าพม่า แล้วแต่งให้นายจันหนวดเขี้ยวเป็นนายทัพใหญ่คุมทหารพันเศษยกออกตีทัพพม่า เข้าล้อมค่ายไว้ ฝ่ายทัพพม่าตั้งค่ายยังไม่ทันแล้ว ทัพไทยวกเข้าโจมตีข้างหลังค่าย ยิงแทงฟันพม่าตายแทบถึงพัน และอากาปันญีนายทัพนั้นก็ตายอยู่ในค่าย ทัพไทยได้ม้าและผ้านุ่งห่มศัสตราวุธต่างๆ เป็นอันมาก พม่าแตกหนีเหลือรอดมานั้นน้อยประมาณร้อยเศษ ตั้งแต่นั้นมาพม่ายิ่งกลัวฝีมือไทยค่ายบ้านระจันนัก เกณฑ์กันจะให้ไปรบอีกมิใคร่ได้หยุดนานไปถึงกึ่งเดือน กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 11:26 ฝ่ายในกรุงเทพมหานครนั้น ขณะเมื่อกองทัพพม่ายกเข้ามาจะใกล้ถึงกรุงนั้น สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งให้ออกไปนิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะซึ่งอยู่วัดนอกเมืองนั้นให้เข้ามาอยู่ในวัดพระนครทั้งสิ้น และสมเด็จพระอนุชาธิราชซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดประดู่นั้น ก็เสด็จเข้ามาอยู่ ณ วัดราชประดิษฐาน ขุนนางและราษฎรชวนกันไปทูลเชิญเสด็จให้ลาผนวชออกช่วยราชการแผ่นดินป้องกันรักษาพระนครเหมือนเมื่อศึกมังลอกครั้งก่อน ก็หาลาผนวชออกไม่ และเพลาเสด็จไปทรงรับบิณฑบาตชาวเมืองชวนกันเขียนหนังสือห่อใส่บาตรเป็นใจความทูลวิงวอนให้ลาผนวช และได้ห่อหนังสือในบาตรเป็นอันมากทุกๆ วัน
ขณะนั้น ในพระนครได้ทราบข่าวชาวบ้านระจันตั้งค่ายต่อรบพม่า พม่ายกทัพไปตีแตกพ่ายมาเป็นหลายครั้ง ชาวบ้านระจันฆ่าพม่าเสียเป็นอันมาก เห็นพม่าย่อท้อถอยกำลังลง สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินจึงดำรัสให้เสนาบดีเกณฑ์กองทัพจะให้ยกออกไปรบพม่า แล้วโปรดให้ถอดเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ออกจากโทษ ให้คงฐานาศักดิ์ทำราชการดังเก่า จึงโปรดให้พระยาพระคลังเป็นแม่ทัพ กับทั้งท้าวพระยาข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นหลายนาย และทัพหัวเมืองสมทบด้วยก็หลายเมืองเป็นคนหมื่นหนึ่ง ให้ยกออกไปตีค่ายพม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ วัดป่าฝ้าย ปากน้ำประสบ และให้สานกระชุกแบกไปเป็นอันมาก สำหรับเมื่อจะตั้งรบที่ใดจะเอากระชุกตั้งเรียงให้ชิดกัน แล้วจะขุดมูลดินบรรจุลงในกระชุกเป็นสนามเพลาะ บังตัวพลทหารกันปืนข้าศึก พระยาพระคลังและนายทัพนายกองทั้งปวงกราบถวายบังคมลาแล้วยกกองทัพออกจากพระนครวันนั้น รี้พลมากเต็มไปทั้งท้องทุ่ง แม่มัพหยุดแคร่ที่ใดกองทัพก็หยุดที่นั้น พร้อมๆ กันเป็นกองๆ รั้งรอไป ครั้นไปถึงที่ใกล้ค่ายพม่าก็ตั้งทัพดากันอยู่ และทหารพม่าขี่ม้าข้ามน้ำไปหาค่ายใหญ่ฟากตะวันตกเป็นหลายม้า จึงขับทหารเข้าตีค่าย พม่าในค่ายยิงปืนใหญ่น้อยออกมาต้องพลทัพไทยล้มลงสี่ห้าคน กองทัพทั้งนั้นก็ถอยมาสิ้น ครั้นเพลาเย็นก็เลิกกลับเข้าพระนครอยู่สองสามวัน จึงมีพระราชดำรัสให้ทัพพระยาพระคลังยกออกไปตีค่ายปากน้ำประสบอีก ขณะนั้นบรรดาชาวพระนครทั้งคฤหัสถ์และสมณะไม่เคยเห็นเขารบกัน ชวนกันตามกองทัพออกไปรบดูพม่าเป็นอันมากและกองทัพยกออกไปตั้งอยู่ยังไม่ทันเข้าตีค่าย พม่าแต่งกลให้รี้พลยกหาบคอนออกหลังค่ายทำทีจะแตก พวกกองอาจสามารถชวนกันวิ่ง่เข้าไปใกล้ค่ายพม่า และเนเมียวแม่ทัพขับพลทหารทั้งคนทั้งม้าออกไล่โอบหลังกองทัพไทย พุ่งหอกซัดและยิงปืนบนหลังม้าต้องพลทัพไทยตายเป็นหลายคน กองทัพไทยมิได้ต่อรบ พากันแตกพ่ายหนีถอยลงมา ณ โพธิ์สามต้นทั้งสิ้น และเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์ เจ้าหมื่นเสมอใจราช ขี่ม้าข้ามน้ำหนีมาฟากตะวันออก แต่กองพระยาตากรอรบอยู่ค่อยข้ามมาต่อภายหลัง ทัพม้าพม่าไล่ติดตามพุ่งหอกซัดต้องพลทัพไทยและคนซึ่งตามออกไปดูรบศึกนั้นบาดเจ็บเป็นอันมาก ที่ล้มตายก็กลาดเกลื่อนไป กองทัพไทยก็พ่ายหนีเข้าพระนคร พวกทัพพม่าก็กลับไปค่าย ฝ่ายนายทัพนายกองพม่าทั้งปวง จึงปรึกษากันจัดหาผู้ซึ่งจะเป็นนายทัพ จะให้ยกไปตีเอาค่ายบ้านระจันให้จงได้ ขณะนั้นรามัญคนหนึ่งเป็นมอญเก่าอยู่ในพระนครนี้มาช้านาน เข้าเกลี้ยกล่อมพม่าฝีมือรบเข้มแข็ง แม่ทัพพม่าตั้งให้เป็นพระนายกอง จึงเข้ารับอาสาจะขอไปตีค่ายบ้านระจันให้แตกจงได้ แม่ทัพจึงเกณฑ์พลพม่ารามัญให้สองพัน ตั้งให้พระนายกองเป็นนายทัพ สรรพด้วยม้าเครื่องสรรพาวุธ ให้ยกไปตีค่ายบ้านระจันอีกเป็นแปดครั้ง และพระนายกองยกทัพไปตีค่ายบ้านระจันครั้งนั้นมิได้ตั้งทัพกลางแปลง ให้ตั้งค่ายรายไปตามทางสามค่าย แล้วให้รื้อค่ายหลังผ่อนไปตั้งข้างหน้าอีก แต่เดินค่ายไปตามทางทีละสามค่าย ดังนี้ถึงกึ่งเดือนจึงไปเกือบจะใกล้ค่ายบ้านระจัน พวกตัวนายค่ายบ้านระจันคุมพลทหารยกออกตีค่ายพระนายกองเป็นหลายครั้งไม่แตกฉาน และพระนายกองตั้งมั่นรับอยู่แต่ในค่ายมิได้ออกรบนอกค่าย พวกบ้านระจันเสียคนล้มตายเป็นอันมาก วันหนึ่งนายทองเหม็นกินสุราเมาขี่กระบือเผือกยกพลเข้าตีค่ายพม่า พระนายกองขับพลรามัญออกต่อรบนอกค่าย นายทองเหม็นขับกระบือไล่ถลำเข้าในกลางทัพแต่ผู้เดียว แทงพลพม่ารามัญตายเป็นหลายคน พวกพม่าต่อรบต้านทานล้อมเข้าไว้ได้ เข้ารุมฟันแทงนายทองเหม็นไม่เข้า นายทองเหม็นสูรบอยู่ผู้เดียวจนสิ้นกำลัง พม่าจับตัวได้ก็ทุบตีตายในที่นั้น พวกทัพบ้านระจันเสียนายแล้วก็แตกหนีไปค่าย ทัพพม่าพระนายกองก็ยกติดตามมาถึงบ้านขุนโลกใกล้ค่ายบ้านระจันจึงให้เก็บเอาศพพม่าซึ่งตายแต่ทัพก่อนๆ นั้นเผาเสียสิ้น แล้วก็ตั้งค่ายใหญ่ลงที่นั้นรักษามั่นอยู่ ทัพบ้านระจันออกตีเป็นหลายครั้งไม่แตกก็เสียน้ำใจท้อถอย พระนายกองจึงให้ขุดอุโมงค์เดินเข้าไปใกล้ค่ายบ้านระจันแล้วปลูกหอรบขึ้นสูง เอาปืนใหญ่ยิงเข้าไปในค่ายต้องไทยตายเป็นอันมาก และตีเอาค่ายน้อยบ้านระจันได้ ยังแต่ค่ายใหญ่ และนายแท่นซึ่งถูกปืนพม่าเข่าหักแต่ก่อนนั้นป่วยมานาน ก็ถึงแก่กรรมลงในเดือนหก ปี จอ อัฐศก ขณะนั้นขุนสันซึ่งมีฝีมือเข้มแข็งถือปืนอยู่เป็นนิจและนายจันหนวดเขี้ยวยกพลทหารออกรบกับพม่าอีกเป็นหลายครั้ง วันหนึ่งพลพม่าโอบหลังเข้าได้ ก็ฆ่าขุนสันกับทั้งนายจันหนวดเขี้ยวตายในที่รบทั้งสองนาย ยังแต่พันเรืองกับนายทองแสงใหญ่อยู่ในค่ายบ้านระจัน เห็นเหลือกำลังจะสู้รบพม่าจึงบอกเข้ามาในเมือง ขอปืนใหญ่และกระสุนดินดำ เสนาบดีจึงปรึกษาลงเห็นพร้อมกันมิได้ให้ ว่าถ้าพม่าตีค่ายบ้านระจันแตกแล้วก็จะได้ปืนใหญ่และกระสุนดินดำเป็นกำลังเข้ามารบพระนคร เหมือนหนึ่งให้กำลังแก่ข้าศึก แต่พระยารัตนาธิเบศนั้นหาลงเห็นด้วยไม่ จึงออกไป ณ ค่ายบ้านระจัน คิดอ่านเรี่ยไรทองชาวบ้านซึ่งอยู่ในค่ายมาหล่อปืนใหญ่ขึ้นได้สองกระบอก ก็บกพร่องร้าวรานไปหาบริบูรณ์ไม่ เห็นจะคิดการสงครามไม่สำเร็จก็กลับเข้าพระนคร ฝ่ายชาวบ้านระจันหาที่พึ่งมิได้ ไม่มีใครช่วยอุดหนุน ก็เสียใจย่อหย่อนอ่อนฝีมือลง เห็นจะสู้รบต้านทานพม่าไม่ได้ แต่ตั้งต่อรบพม่ามาแต่เดือนสี่ปลายปีระกาสัปตศก จึงถึงเดือนแปดปีจออัฐศกได้ห้าเดือน เห็นเหลือกำลังที่จะขับเคี่ยวทำสงครามกับพม่าสืบไปอีก ต่างคนก็พาครอบครัวหนีไปจากค่าย ที่ยังอยู่นั้นน้อย ผู้คนก็เบาบางลง ครั้นถึง ณ วันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือน ๘ ปีจอ อัฐศก พม่าก็ยกเข้าตีค่ายใหญ่บ้านระจันแตก ฆ่าคนเสียเป็นอันมาก ที่จับเป็นไปได้นั้นก็มาก บรรดาครอบครัวชายหญิงเด็กและผู้ใหญ่ซึ่งเหลือตายอยู่นั้นให้กวาดเอาไปสิ้น แล้วก็เลิกทัพกลับไปยังค่ายพม่า ตั้งแต่รบกันมาห้าเดือนจนเสียค่ายนั้น ไทยตายประมาณพันเศษ พม่าตายประมาณสามพันเศษ และพระอาจารย์ธรรมโชตินั้น กระทำสายสิญจน์มงคล ประเจียด ตะกรุดต่างๆ แจกให้คนทั้งปวง แต่แรกนั้นมีคุณอยู่คงแคล้วคลาดคุ้มอันตรายอาวุธได้ขลังอยู่ ภายหลังผู้คนมาอยู่ในค่ายมากสำส่อน ที่นับถือแท้บ้างไม่แท้บ้าง ก็เสื่อมตบะเดชะลง ที่อยู่คงบ้างที่ต้องอาวุธบาดเจ็บล้มตายบ้าง และตัวพระอาจารย์นั้นที่ว่าตายอยู่ในค่ายก็มี ที่ว่าหายศูนย์ไปก็มี ความหาลงเป็นแน่ไม่ ที่มา กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์พระอธิบายประกอบ, สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ ๒๕๐๕ หน้า ๒๖๙-๒๗๗ (http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711169) กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 11:48 ในสมัย ร 4 น่าจะมีคนจำเรื่องราวสมัยกรุงเก่าได้บ้าง ย้อนไปเพียง15 ปี ย้อนจากปีครองราชย์ (พ.ศ. ๒๓๙๔) ไปจนปีเสียกรุง (พ.ศ. ๒๓๑๐) เป็นเวลา ๘๔ ปี ไม่น่าจะมีคนจำรายละเอียดได้มากขนาดนั้น หากมีรายละเอียดขนาดนั้น ในการชำระพงศาวดารใน พ.ศ. ๒๓๓๘ ในรัชกาลที่ ๑ เหตุการณ์ผ่านมาเพียง ๒๘ ปี น่าจะจำรายละเอียดของเหตุการณ์ได้มากกว่า คำถามที่น่าจะหาคำตอบคือ ๑. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ที่ห่างกับฉบับพันจันทนุมาศ กว่า ๑๐๐ ปี ทำไมถึงกลับมีรายละเอียดที่มากกว่าและ ๒. ใครเป็นผู้เขียน กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 10 มี.ค. 15, 14:17 คราวนี้ผมกลับเห็นแย้งกับคุณเพ็ญครับ
เรื่องเหล่านี้คงเล่าสืบๆ กันมาเป็นเกร็ดพงศาวดารแล้วทรงโปรดให้เพิ่มเติมเข้าไป เพราะทรงทราบว่ามีเรื่องอย่างนี้อยู่ เนื้อความคงไม่ถูกต้องเที่ยงตรงทั้งหมดแต่มีเค้าของเดิมอยู่บ้าง จะเห็นว่ารัชกาลที่ 4 ทรงใช้เวลากับตำรา ศึกษาเล่าเรียนนานมาในช่วงที่ทรงผนวช พระราชทานความรู้หลายอย่างที่ทรงทราบให้กับ ร.5 ซึ่งได้ตรัสเล่าให้สมเด็จกรมพระยาดำรงอีกต่อหนึ่ง มีหลายครั้งที่สมเด็จกรมพระยาดำรงทรงอ้างถึงเรื่องที่ ร.5 ทราบผ่านทาง ร.4 ครับ ผมทราบว่าหลักฐาน ข้อมูลมีหลายระดับ จะมารอ primary อย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ครับ กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 มี.ค. 15, 14:31 พงศาวดารไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นเพียงเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์
ส่วนประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ในอดีต ที่มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นจริงตามนั้น กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 15:08 สงสัยเหมือนกันค่ะว่าตกลง "บ้านระจัน" นี้มีจริงหรือไม่ ในคำให้การชาวกรุงเก่ากล่าวถึงการตั้งค่ายของกรุงศรีอยุธยาเพื่อกันมิให้กองทัพอังวะเข้าประชิดติดคูพระนครจำนวน ๖ ค่าย ในจำนวนนั้นมีค่ายหนึ่งตั้งที่ “บ้านยายจัน” สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีพระวินิจฉัยว่าหมายถึง "ค่ายบางระจัน" หลักฐาน “คำให้การชาวกรุงเก่า” แปลมาจากหนังสือ “โยธยายาสะวิน” (พงศาวดารโยธยา) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงได้ต้นฉบับซึ่งเป็นภาษาพม่า มาจากนักวิชาการพม่าเชื้อสายจีนชื่อ “ทอเซียนโก” บรรณารักษ์หอสมุดกรุงย่างกุ้ง เมื่อได้แปลออกเป็นภาษาไทยและพบว่าเนื้อความใกล้เคียงกับคำให้การขุนหลวงหาวัด ทรงมีพระวินิจฉัยว่าเอกสารทั้งสองฉบับนี้น่าจะมีที่มาเดียวกันคือ เป็นคำให้การของเหล่าเชลยศึกชาวกรุงศรีอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปในคราวเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ช่วยกันปะติดปะต่อความ จึงทรงเรียกว่า “คำให้การชาวกรุงเก่า” ข้อมูลจาก เฟซบุ๊กของเอเชียศึกษา (https://th-th.facebook.com/AsianStudiesTH/photos/a.386706838070904.91189.385740758167512/789371434471107/?type=1) กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มี.ค. 15, 15:26 เอกสารที่บันทึกเรื่อง "บางระจัน" เพียงชื่อ มีอีก ๒ ฉบับ คือ จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี และ คำให้การขุนหลวงหาวัด เอกสารฉบับแรกกล่าวถึง "บางระจัน" ในฐานะที่เป็นชื่อค่ายที่พม่าตั้งประชิดล้อมกรุงศรีอยุธยา และชื่อ "ค่ายบ้านระจัน" ไม่ใช่ "ค่ายบางระจัน" ที่สำคัญก็คือ ไม่มีวีรกรรมของชาวบ้านไทยเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ ส่วนคำให้การขุนหลวงหาวัดกล่าวถึง "บางระจัน" ว่าเป็นชื่อค่ายหนึ่งใน ๑๘ ค่ายที่พม่าตั้งอยู่รายล้อมกรุงศรีอยุธยา และชื่อ "ค่ายบ้านระจัน" ไม่ใช่ "ค่ายบางระจัน" เช่นเดียวกับจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี
ที่มา บทความเรื่อง "บางระจัน : ประวัติศาสตร์ในวรรณกรรม" ของ รองศาสตราจารย์บาหยัน อิ่มสำราญ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ กระทู้: บางระจัน เริ่มกระทู้โดย: นางมารน้อย ที่ 10 มี.ค. 15, 16:36 แสดงว่า "บ้านระจัน" น่าจะมีจริง แต่ บทบาทจะเป็นเช่นไร ยังหาได้ชัดเจนไม่ ;D ;D ;D
|