เรือนไทย

        เคยส่องแสงประดับฟ้าดาราหนุ่ม           ปลายคางบุ๋มรับรอยยิ้มแย้มสดใส

แต่คืนนี้ดาวมืดดับลับฟ้าไป                         คงเหลือไว้เพียงภาพงามความทรงจำ

John Gavin(April 8, 1931 – February 9, 2018)

   ขอบคุณอีกครั้งค่ะคุณหมอ SILA  ใช่เลย นี่แหละดาวรูปหล่อดวงนี้  John Gavin  เพิ่งลับฟ้าไปในวัย 86 ปี ด้วยโรคปอดบวม หลังจากสู้กับโรคลูคีเมียหรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวมาหลายปี
    จอห์นเป็นชาวคาลิฟอร์เนียโดยกำเนิด   มีเชื้อสายเมกซิกัน ผสมชิลี ผสมสเปญ ที่ล้วนแต่ส่งผลให้เจ้าตัวโตขึ้นมาเป็นหนุ่มคมเข้ม หล่อเหลาหาตัวจับยาก    หุ่นก็ดี สูงถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว  ตระกูลก็ดี  ความรู้ก็ดี จบเกียรตินิยมจากสแตนฟอร์ด   สรุปว่ามองทางไหนก็ดีหมด  เพราะฉะนั้นก็เลยไปเข้าตาบริษัทหนังยูนิเวอร์แซล ยักษ์ใหญ่ในวงการมายาเข้า   ถึงแม้ว่าจอห์นไม่ได้มีความใฝ่ฝันจะเป็นดารา  แต่ราชรถลอยมาเกยตรงหน้า  เขาก็ไม่โง่ถึงขั้นไม่ยอมก้าวขึ้นไปนั่ง

    ยุคปลาย 1950s และต่อมาถึง 1960s  ฮอลลีวู้ดชอบหาดาราใหม่มาเข้าคิวต่อจากดาราเก่า แบบตัวตายตัวแทนสำรองเอาไว้       ในเมื่อหล่อในสไตล์เดียวกัน   จอห์น แกวินก็เลยถูกวางตัวให้เป็น "ร็อค ฮัดสัน คนต่อไป" ยูนิเวอร์แซลป้อนหนังใหญ่ให้เล่นหลายเรื่อง    หนุ่มหล่อรายนี้ก็ดังทะลุฟ้าสมใจผู้สร้าง
    อย่างเรื่อง Imitation of Life จอห์นได้เล่นคู่กับดาราสาวใหญ่แม่เหล็กขนาดยักษ์ของฮอลลีวู้ด  ลานา เทินเนอร์

    ยุคนั้นฮอลลีวู้ดยังติดอยู่กับดาราสวยและหล่อเกินมนุษย์มะนา    ดาราดังๆทั้งหลายจึงเป็นเทพบุตรเทพธิดาจุติกันลงมาเป็นส่วนใหญ่    หน้าตาบ้านๆ ก็เป็นตัวประกอบ หรือไม่ก็ไปรับบทฝ่ายร้ายไปเลย
    ดูคลืปนี้แล้วจะเห็นว่าจอห์นหล่อขนาดไหน  บางบทก็หล่อเกินบทไปมาก เช่นบทแฟนหนุ่มของเจเน็ต ลีห์ ในหนังสยองขวัญคสาสสิคอมตะนิรันดร์กาล Psycho  ของอัลเฟรด ฮิทช์ค็อก   ซึ่งจะเอาดาราหล่อน้อยกว่านี้มาเล่นก็ได้ แต่เขาก็เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนดูได้มากในช่วงนั้น

https://www.youtube.com/watch?v=BtT9zTXNiPo

ฉากในหนัง Psycho   ที่แฟนหนุ่มและน้องสาวของไลลา(เจเน็ต ลีห์) รับบทโดยเวร่า ไมลส์  มาตามหาหญิงสาวผู้หายตัวไปหลังจากมาพักค้างคืนที่โมเต็ลโทรมๆแห่งนี้
แอนโธนี เพอร์กินส์รับบทหนุ่มหน้าซื่อ  เจ้าของและผู้จัดการโมเต็ล    ฝีมือเล่นในฉากสั้นๆนี้กินขาด   ทำให้เขากลายเป็น "ตำนาน" ของหนังสยองขวัญ

https://www.youtube.com/watch?v=5KoxuK3ai8U

     ด้วยแรงดันจากผู้กำกับในยูนิเวอร์แซล   จอห์นได้เล่นหนังใหญ่หลายเรื่อง  เช่นบทของจูเลียส ซีซาร์ใน Spartacus นอกจากนี้ยังได้ประกบคู่กับดาราสาวที่ล้วนดังเป็นพลุแตก อย่าง Imitation of Life คู่กับลานา เทินเนอร์   เล่นคู่กับ Doris Day ใน  Midnight Lace, คู่กับ Sophia Loren ใน A Breath of Scandal คู่กับ Susan Hayward ใน  Back Street   นอกจากบทหนักๆพวกนี้   เขาก็ได้เล่นหนังสวีทหวานคู่กับดาราสาวรุ่นยอดนิยมคือ  Sandra Dee ถึง 2 เรื่องด้วยกันคือ Romanoff and Juliet กับ Tammy Tell Me True    
    หนังสำคัญอีกเรื่องที่จอห์นได้เล่น คือ Throughout Modern Millie ที่มีดาราสาวระดับอินเตอร์อย่างจูลี่ แอนดรูส์ เป็นนางเอก
    แต่ความหล่อของจอห์น ที่เป็นจุดเด่น กลับกลายเป็นจุดด้อย  คือกี่เรื่องๆเขาก็ได้เล่นบทที่ชูความหล่อเป็นหลัก ฝีมือเป็นรอง    ก้าวข้ามจุดนี้ไปไม่พ้น  อย่างที่ฮอลลีวู้ดเรียกว่า typecast  ที่ดารากลัวกันนักหนา   คือเด่นในบทไหนหรือแบบไหนก็จะได้รับบทแบบนั้นเรื่อยไปจนกระทั่งเล่นบทอื่นไม่ได้    แล้วตกวูบจากฟ้ามายาไปในที่สุด  
   จอห์นก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน     เมื่อคนดูชักจะเบื่อบทซ้ำๆที่เน้นแต่โชว์หล่อ  คะแนนนิยมก็เริ่มหล่น  แม้ว่าไปเล่นบทพระเอกคาวบอยชื่อ Destry ในหนังทีวีชื่อเดียวกัน    หนังก็เรตติ้งไม่ดี จนต้องหลุดผังไปในเวลาไม่นาน
https://www.youtube.com/watch?v=FiUVJhSIk7g

     ในยุค 1960s มีบทดาราฝ่ายชายที่ดังเปรี้ยงทะลุฟ้าเกิดขึ้นาอยู่บทหนึ่ง คือบทสายลับเจมส์ บอนด์ 007   พอฌอน คอนเนอรี่ ทำให้บทนี้ดังขึ้นมา  ฮอลลีวู้ดก็เฮโลผลิตพยัคฆ์ร้ายตามด้วยรหัสตัวเลขออกมาอีกเป็นโหล   เอาอกเอาใจคนดู   
     จอห์น แกวิน ได้รับบทหนึ่งในนี้เช่นกัน ชื่อ  OSS 117 – Double Agent  มีชื่อสำรองที่จำจนเหนื่อยอีกหลายชื่อว่า  OSS 117: Murder for Sale  หรือ   No Roses for OSS 117 หรือ   No Roses for Robert

     https://www.youtube.com/watch?v=40v7uvsiT7Y

    หลังจากเป็นพ่อบุญมีมาหลายเรื่องแล้ว   ชะตากรรมก็ส่งกรรมบังมาให้บ้าง   จอห์นได้รับการติดต่อให้เล่นบทเจมส์ บอนด์ ในตอนใหม่ Diamonds Are Forever ขนาดเซ็นสัญญาแล้ว  แต่เอาเข้าจริงพอจะลงมือ   ผู้กำกับกลับเปลี่ยนใจไปทุ่มเงินซื้อตัวฌอน คอนเนอรี่  กลับมาเล่นใหม่อีกครั้ง    ส่วนจอห์นก็ได้ไปแต่สัญญา แต่ไม่ได้บท
    กรรมบังอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อเขาถูกวางตัวให้เล่นเป็นเจมส์ บอนด์ตอนใหม่   Live and Let Die  ในปี 1973 แต่เอาเข้าจริงผู้กำกัับก็กลับไปเลือกดาราอังกฤษโรเจอร์  มัวร์  มาเล่นแทน

     ถึงตอนนั้นยุคทองของเขาก็ผ่านไปแล้ว   บวกกับไม่ได้มีใจรักทางการแสดงแน่นแฟ้นแต่แรก  จอห์น แกวินก็เลยอำลาวงการมายา   แต่ไปได้ดีกว่าดาราอีกมากมายที่อับแสงไปเฉยๆ    ด้วยพื้นฐานการศึกษาดีเยี่ยมและประสบการณ์เมื่อครั้งรับราชการทหารเรืออยู่ฝ่ายประมวลข่าว ก่อนจะเข้าวงการดารา      ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แต่งตั้งดาราหนุ่มรูปหล่อเป็นเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำเมกซิโก     เขาก็จากวงการไปทำงานในแวดวงรัฐบาล  และจากนั้นไปทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อสาร   มีตำแหน่งใหญ่โตหลายตำแหน่งซึ่งไม่จำเป็นต้องบรรยายให้หมดในที่นี้   ถือว่าเป็นดาราที่ไปได้ดี ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าบทบาทดาราเสียอีก จนถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 86 ปี

    

          ปู่แกวินเป็นดาราหนุ่มสุดหล่อในสมัยนั้น,ได้แสดงหนังมากหลาย น่าเสียดายที่ไม่เด่นดังเท่าคนอื่นๆ
เช่น ร็อค ฮัดสัน
          เมื่อปู่จากไป,พาดหัวข่าวส่วนใหญ่กล่าวถึงปู่ว่าเป็นดาราแสดงในหนังเด่นสองเรื่อง นั่นคือ Psycho กับ
Spartacus
          จากจอแก้วปู่แวะมาจอเงิน,รับเชิญในซีรี่ส์สมัยนั้นที่มีดาราเก่าแวะมาเป็นประจำ นั่นคือ Fantasy Island
กับ The Love Boat  นอกจากนั้นปู่ยังมาแสดงนำในมินิซีรี่ส์เรื่อง Doctors' Private Lives ที่ได้เข้ามาฉายให้
หายคิดถึงในบ้านเราด้วย

          หลังจากปู่อำลาหน้าจอแก้วแล้ว ต่อมาก็ได้ข่าวว่าปู่รับงานสำคัญคือ ตำแหน่งเอกอัครราชทูตอเมริกา
ประจำเมกซิโก นอกจากทุนด้านการศึกษาที่ดีแล้ว,ปู่ยังพูดสแปนิชได้คล่องแคล่วสมกับเป็นเชื้อสายเม็กซิกัน
กอปรกับความตั้งใจในการทำหน้าที่นี้ทำให้ปู่มีผลงานชนะใจบรรดาผู้คนที่เคยกังขาในตัวอดีตดาราหนุ่มหล่อ 

ภาพปู่กับสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง Nancy Reagan เยือน Mexico City หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 1985

ขอบคุณที่มาเพิ่มเติมค่ะ 
คุณปู่แก่ตัวลงก็ยังหล่ออยู่ดีค่ะ

            เหตุการณ์เสือดำที่กำลังเป็นกระแสสังคมติดตามต่อเนื่อง ชวนให้นึกถึงฉากมนุษย์กับสัตว์ป่า
ที่ประทับใจในหนังเก่าบางเรื่อง

            หนัง"ผจญไพร" ที่นึกถึงเป็นอันดับแรกคือ หนังเก่ามากมาย,สร้างจากนิยายขายดีของเซอร์ H. Rider Haggard
นักเขียนชาวอังกฤษผู้บุกเบิกเปิดโลกนิยายผจญภัยในกาฬทวีป ที่ได้เป็นต้นธารบันดาลใจให้กับนิยายไทย
ในตำนานอันโด่งดังและมีความยาวที่สุด(เพชรพระอุมา) นั่นคือ King Solomon's Mines(1950)

นอกจากนั้น, พระเอกในหนังก็ยัง(น่าจะ)เป็นต้นสายของปลายธารหนังผจญภัยพระเอกสวมชุดสีกากีลุยป่า
ผ่าดงอย่าง Indiana Jones

            Allan Quatermain พรานชำนาญไพรแห่งแอฟริกาได้รับการว่าจ้างจากสาวสวยเพื่อไปตามหา
สามีของเธอที่สูญหายไประหว่างการตามล่าหาขุมทรัพย์ในแดนลี้ลับส่วนที่ยังไม่มีการสำรวจ

           หนังยกกองไปถ่ายทำที่แอฟริกาเป็นเรื่องที่สองของสตูดิโอ MGM ที่จัดเต็มจัดเป็นมหกรรมข้ามทวีป
ครั้นเมื่อไปถึงแล้วบรรดาทีมงานต่างต้องก็เผชิญผจญกับฝน,ร้อน,แมลงและโรคท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีปัญหา
สำคัญยิ่งนั่นคือ การสื่อสารกับชาวพื้นเมืองที่มาร่วมแสดงซึ่งบางครั้งก็เกิดเหตุการณ์ปั่นป่วนยากจะควบคุม

           ผลงานที่ได้คือ หนังผจญไพรพร้อมภาพสีสรรพ์ตระการตา(ถ่ายทำในระบบเทคนิค คัลเลอร์) ของภูมิประเทศ
และ ภาพสัตว์ป่านานาชนิดที่คนดูสมัยนั้นไม่คุ้นเคย ภาพเหล่านี้ที่เป็นของมีค่าหายากในยุคนั้นจึงได้ถูกนำไปใช้ในหนัง
เรื่องอื่นๆ ในเวลาต่อมา นอกจากนั้นยังมีภาพจากบางฉากซึ่งไม่อาจถ่ายทำได้อีกแล้วในยุคนี้ นั่นคือ ฉากล้มช้างจริง และ
ฉากการพร่าชีวิตสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ

คลิปตัวอย่าง   
https://www.youtube.com/watch?v=tmXgC7k-QB0

เคยดูหนังเรื่องนี้ทางช่องเทินเนอร์คลาสสิคค่ะ    คุณย่าเดเบอราห์ คาร์เป็นสาวผมแดงที่สวยมากในวัยสาว  ในเรื่องนี้แม้แต่งชุดเดินป่าจืดๆซ้ำซากตลอดเรื่อง ก็ยังสวยอยู่ดี

        คุณย่าตัด(ใจตัด) ผมแดงยาวรกร้อนออกไปได้เป็นทรงผมใหม่ดัดสั้นสวยงามราวกับมี
beauty salon ในป่า, เรียกเสียงฮือฮาได้จากผู้ชม

ตอนตัด  ผมยาวเหยียดตรง แต่พอตัดสั้นแล้วหยิกเป็นคลื่นทั้งหัวเหมือนดัดเลยนะคะ

          ฮอลลีวู้ดตื่นเต้นกับภาพของธรรมชาติและสรรพสัตว์ป่าในแอฟริกาของหนังเรื่อง สมบัติพระศุลีที่
ถ่ายทำในระบบเทคนิค คัลเลอร์สีสดใสส่งผลให้หนังประสบความสำเร็จอย่างดี
          แต่...จะว่าไปแล้วภาพธรรมชาติวิเทศ(exotic) เช่นนี้ก็หาใช่ของใหม่ไม่เคยมี เพราะเมื่อกว่า
สองทศวรรษก่อนหน้านั้น ภาพคน,สัตว์และป่าแห่งสยามได้ไปสร้างความตื่นตาในฮอลลีวู้ดมาก่อนแล้ว
เมื่อปีค.ศ. 1927 ในหนังเรื่อง Chang: A Drama of the Wilderness
 
           ข้อมูลจากเว็บต่างๆ ระบุว่า ช้าง เป็นภาพยนตร์ สารคดี(?) เรื่องแรกที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย
โดยจากข้อมูลที่ปรากฏ ช้าง เป็นหนังที่ฝรั่งยกกองเข้ามาถ่ายทำในไทยเป็นเรื่องที่สอง หลังจากเรื่องแรก คือ
นางสาวสุวรรณ(ถ่ายทำปี 1922, ฉายปี 1923) แต่ส่วนที่ว่าเป็นหนังสารคดีนั้นคงเป็นประเด็นที่จะได้กล่าวถึงต่อไป

ข้อมูลหนัง

       (บริษัทจัดจำหน่าย) Paramount Pictures
       ความยาว 69 นาที ฟิล์ม 35 มม. / ขาว-ดำ / เงียบ
       เครดิท -   บท(พูด,บรรยาย)ภาพยนตร์     Achmed Abdullah  (inter)titles (คำบรรยายแทรกหนังเงียบ)
                                                         Merian C. Cooper และ Ernest B. Schoedsack  (uncredited)
                    ถ่ายภาพ  Ernest B. Schoedsack
                    ดนตรีประกอบ  Hugo Riesenfeld ในครั้งแรกเริ่ม,  ต่อมาเป็น Bruce Gaston (และวงฟองน้ำบรรเลงใน DVD ปี 1995)  
                    อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์โดย Merian C. Cooper & Ernest B. Schoedsack

ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง King Kong ปี 1933

นักแสดงประกอบด้วยชาวบ้านจริง ได้แก่ 
          Kru - พ่อบ้านตัวนำเรื่อง (แต่แรกเป็นนายพรานทำหน้าที่เป็นไกด์,ผู้ประสานงานให้ผกก.ทั้งสอง)
          Chantui - ภรรยา(ตัวจริงเป็นภรรยาของเพื่อนของ Kru)
          Nah และ Ladah - ลูกของตัวนำ(เป็นลูกแท้ๆ ของ Kru) และ Bimbo - ชะนีน้อย

          ถ่ายทำในแนวสารคดี แต่มีการเขียนบทและแก้บทกับถ่ายซ่อมใหม่ถ้าไม่ได้ภาพที่น่าพอใจ
          งบการสร้างบานปลายจาก 70,000 เป็น 95,000 ดอลลาร์

           ช้าง ออกฉายปฐมทัศน์ที่ นิว ยอร์ค,สหรัฐอเมริกาเมื่อ 29 เมษายน 1927 บนจอที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ
เพื่อให้คนดูตื่นตากับฉากสำคัญของเรื่อง โดยมีวงดนตรีบรรเลงบทเพลงประกอบจากผลงานโดยนักประพันธ์ดนตรี
คนสำคัญของฮอลลีวู้ด Hugo Riesenfeld ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จากนั้นจึงออกฉายจริงทั่วไปเมื่อ3 กันยายน
ปี 1927 แล้วสามารถทำรายได้ติดอันดับ 1 ใน  5 ภาพยนตร์รายได้สูงสุดของสตูดิโอในปีนั้น

            นอกจากนี้, ช้าง ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล(ออสการ์) Academy Award for Best Unique
and Artistic Picture ซึ่งเป็นรองจากสาขา Outstanding Picture ที่ในปีต่อๆ มาได้ตัดออกไปเหลือเป็น
สาขาเดียวคือ Best Picture ในที่สุด

รางวัล(ออสการ์) Academy Award ปีแรก 1929 จัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้แก่หนังของปี 1927 - 28

         ฟิล์มหนังได้ถูกหลงลืมหายไปเป็นเวลานานถึง 60 ปี ก่อนที่จะถูกค้นพบเมื่อปลายทศวรรษ 80’s
โดยที่ไม่มีร่องรอยของดนตรีประกอบหลงเหลืออยู่
         ในช่วงกลางทศวรรษ 90s เมื่อมีการบูรณะฟิล์มแล้วได้มอบให้ อ.บรูซ แกสตัน ดำเนินการสร้างสรรค์
เรียบเรียงเพลงประกอบขึ้นมาใหม่และได้ออกจำหน่ายเป็น DVD และเมื่อมีการจัดฉายตามสถานที่ต่างๆ บางที่
ก็ได้จัดให้มีวงดนตรีบรรเลงสดประกอบหนังขณะฉาย

เรื่องย่อ  

         Kru และลูกเมียอาศัยอยู่ในป่าทางตอนเหนือของสยาม

         เมื่อเกิดปัญหาเสือป่ามารบกวนสัตว์เลี้ยง, ชาวบ้านร่วมมือกันจัดการกำจัดเสือ

          ต่อมาลูกช้างผ่านมาติดกับดักเสือ, เขาได้จับลูกช้างล่ามไว้ใต้เรือนด้วยหวังว่าจะฝึกให้เชื่องไว้ใช้งาน
แม่ช้างตามมาหาลูกแล้วได้ทำลายเรือนของเขา

           Kru พาครอบครัวไปอยู่ในหมู่บ้านแต่ต่อมาโขลงช้างก็ได้บุกเข้ามาทำลายหมู่บ้านลง

            ชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างเพนียดแล้วต้อนโขลงช้างเข้าไป

           ช้างป่าที่ถูกจับได้รับการฝึกให้กลายเป็นช้างบ้านใช้งาน,
Kru กลับเข้าไปสร้างบ้านในป่าอีกครั้ง

           ครอบครัวและสรรพสัตว์เลี้ยงพร้อมหน้าในบ้านหลังใหม่, สองพี่น้องเริงร่าตามประสา
ทิวากาลลาลับขอบฟ้า...

คลิปวิดีโอหนัง(ความยาวน้อยกว่าปกติราว 10 นาที)

https://www.youtube.com/watch?v=Oy3GT6kCdtM

(ภาพคมชัดกว่านี้,มีให้ดูในบางเว็บอื่น)

ข้อมูลเว็บไทยระบุว่า   

             ถ่ายทำในปี พ.ศ. 2468(ค.ศ.1925) ใช้เวลานานถึงหนึ่งปีครึ่ง,ในจังหวัด น่าน แพร่ พัทลุง สงขลา ตรัง สุราษฎร์ธานี  ชุมพร 
             สิ้นเงินประมาณ 2 แสนบาทไทย มีการนำช้างมาเข้าฉากใหญ่ถึง 400 เชือก การถ่ายทำได้รับการสนับสนุน
จากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และนายซองอ๊วน สีบุญเรือน(ผู้จัดการบริษัทสยามภาพยนตร์,
ปู่ของ ทิดเขียว - ผู้เป็นนักพากย์คนแรกของไทยซึ่งมีชื่อจริงว่า "นายสิน สีบุญเรือง")
(จากบทความวิชาการชิ้นหนึ่งของไทยระบุว่า โขลงช้างเลี้ยงในฉากช้างบุกนั้นผกก.ได้ติดต่อกับ Prince Yugala
of Lopburi - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ เพื่อหาช้างมาเข้าฉาก)
             ออกฉายครั้งแรกในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2471 
และ
             เมื่อ ตุลาคม ๒๕๕๖  ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ ๓ ของ หอภาพยนตร์

กลับมาที่ประเด็น
                    แนวของหนังเรื่องนี้ซึ่งหลายเว็บเรียกว่าเป็น สารคดี (ชีวิตคนกับสัตว์,ธรรมชาติ, แม้ว่าคำโปรยในโปสเตอร์
จะใช้คำว่า Melodrama) เนื่องจาก ภาพที่นำเสนอในหนังแลดูละม้ายการถ่ายทอดวิถีชีวิตของชาวบ้านตัวจริง

           จากข้อมูลในบทความวิชาการของไทยกล่าวถึงเบื้องหลังการสร้างว่า แรกเริ่มนั้นสองผู้สร้างท่องเข้าไป
ในป่าลึกของจังหวัดน่านหมายมุ่งจะบันทึกภาพชีวิตสัตว์ป่าโดยเฉพาะเสือกินคนที่มีอยู่มากมายในน่าน
           ครั้นเมื่อไม่พบเสือหรือจับเสือได้ดังหวัง และ เมื่อเวลาล่วงเลยไปนานจึงต้องเปลี่ยนแนวทางใหม่โดย
การเขียนเรื่องแต่งแสดงวิถีชีวิตต้องสู้ของชาวบ้านป่า แล้วใช้ชาวบ้านท้องถิ่นเป็นผู้แสดงร่วมกับนานาสัตว์ ทั้งสัตว์ป่า
และสัตว์เลี้ยง ซึ่งรวมถึงเสือเลี้ยงกับช้างบ้าน

การจัดการกับสัตว์ในหนังสมัยนั้น (ย่อม)แตกต่างจากสมัยนี้ที่ "ไม่มีสัตว์ได้รับอันตรายในระหว่างการถ่าทำ" จนคนดู
ยุคนี้ยากจะรับได้ อย่างเบา(ะ)ๆ เช่น เว็บคนรักแมว เตือนคนรักแมวว่าหนังมีฉากที่ดูแล้วไม่สบายใจ คือ ฉากเด็กน้อย
ลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจลูกแมวบนตัก,ทำให้ลูกแมวหล่นลงพื้นดิน
      นอกจากนี้ยังเตือนถึงฉากแมวใหญ่(เสือ)ถูกสังหารที่คนในยุคปัจจุบันรับฉากแบบนี้ไม่ได้จนเป็นประเด็นเมื่อออกฉาย
ในบางแห่ง(แม้ว่าจะได้มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้ว)

           การถ่ายทำดำเนินไปในแสงธรรมชาติเวลากลางวันส่วนใหญ่ในที่โล่งเนื่องจากปัญหาของแสงในป่าเขตร้อน
และ มีการถ่ายซ่อมใหม่เพื่อให้ได้ภาพที่พอใจ โดยมี Ernest ทำหน้าที่เป็นตากล้องหลักในขณะที่ Merian ทำหน้าที่
ถือไรเฟิลคอยคุ้มกัน

บางมุมกล้องงามๆ

           สมัยนั้นครั้งยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญชำนาญการฝึกสัตว์เข้าฉาก, นอกจากตากล้องจะต้องเสี่ยงตายแล้ว,นักแสดงก็
ไม่เว้น ในฉากหนีเสือ ก่อนถ่ายทำเสือจะถูกขังไว้ในกล่องแล้วจึงจะถูกปล่อยออกมาวิ่งไล่ตัวแสดงที่วิ่งนำไปไกลก่อนแล้ว
(แต่เมื่อมีการผิดคิวปล่อยเสือออกมาเร็วไปก็จำใจต้องยิงทิ้งเพื่อไม่ให้ทำร้ายนักแสดง)

มุมกล้องอย่างใกล้ชิดแทบติดหน้าเสือเต็มตาคนดู, แน่นอนว่าห่างแค่คืบแค่ศอกเท่านั้นจาก Schoedsack  ผู้บันทึกภาพ
(ที่ได้สั่งสมความกล้ามาแต่ครั้งเป็นคนบันทึกภาพในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)

           ฉากช้างบุกหมู่บ้านถ่ายทำกันที่ชุมพร, โดยบทบาทของช้างในหนังได้ถูกวางไว้ให้กลายเป็นสัตว์ป่าที่
น่าเกรงกลัวบุกเข้ามาทำลายหมู่บ้าน ในขณะที่ฉากของเจ้าชะนีน้อยกับเด็กๆ ตลอดจนสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ แลน่ารัก
แต่ก็ยังมีบางฉากที่จะทำให้ผู้ชมในยุคปัจจุบันนี้รู้สึกว่าโหดร้ายทารุณสัตว์

มุมกล้องตื่นตาตอนช้างบุก  Ernest ขุดหลุมแล้วปิดด้านบนด้วยท่อนไม้เจาะช่องเปิดไว้สำหรับกล้องถ่ายภาพมุมต่ำ
เก็บภาพช้างที่ย่ำผ่านไปซึ่งจะพบมุมมองแบบนี้ได้ในหนังเรื่องต่อมาอย่างเช่น ทาร์ซาน

นอกจากนี้ผกก. ยังได้นำวิธีการรุกโดยใช้พุ่มไม้กำบังตัวซึ่งพบเห็นเป็นยุทธวิธีฟากตะวันตกมาใส่ในหนัง
ให้เป็นกลวิธีของชาวบ้านที่นี่ในการเข้าไล่ต้อนช้างด้วย    

https://www.youtube.com/watch?v=VNhvfgY2bWA

          ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ช้าง เป็นหนัง(จัดฉาก)เล่าเรื่องชาวบ้าน(จริง,ไม่ใช่นักแสดง) จากบทที่เขียนขึ้น
ไม่ได้เป็น หนังสารคดีชีวิตเหตุการณ์จริง หากจะคงใช้คำว่า สารคดี -  documentary กับประเภทของหนังเรื่อง
ช้างแล้วก็อาจจะออกมาเป็นคำผสมแบบว่า

          mockumentary or docucomedy - a type of movie or television show depicting
fictional events but presented as a documentary.  หรือ

          pseudo-documentary - a film(or video) production that takes the form or style
of a documentary film but does not portray real events. Rather, scripted and fictional elements are
used to tell the story.

           docufiction - the cinematographic combination of documentary and fiction
                            - a documentary mixed with fictional elements

ไม่ใช่  Docudrama ที่เป็นการนำเหตุการณ์จริงมาทำซ้ำออกมาเป็นละครหรือการแสดง

            ในที่สุดแล้ว, ไม่ว่า ช้าง จะเป็นหนังประเภทไหน ทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม,ทั้งในยุคก่อนจนถึงปัจจุบัน
(ที่ยอมรับหรือข้ามไปได้กับฉากสัตว์ที่ได้รับการปฏิบัติไม่เหมาะสมของยุคสมัยก่อนยุคนี้ที่ "no animal was
harmed during the making of this film") ส่วนมากต่างชื่นชอบหนังเรื่องช้างกันไม่น้อย โดยเฉพาะ
ความเป็นธรรมชาติ,ความแปลกถิ่นตื่นตาหาชมยาก,ความน่ารักบ้างน่ากลัวบ้างของสิงสาราสัตว์ปนความขบขัน
ที่ถ่ายทอดภาพ
            (เบื้องหน้าคือ) การต่อสู้กับธรรมชาติของเหล่าตัวละครชาวบ้าน ในขณะที่เบื้องหลังภาพเหล่านั้นคือ
การต่อสู้กับธรรมชาติอันเสี่ยงภัยและความเจ็บป่วยในดินแดนแถบร้อนห่างไกลไม่คุ้นเคยของทั้งสองผู้กำกับ
นักผจญภัยชาวต่างชาติ

            ฉากต่อไปเป็น ฉากสัตว์ป่าถูกล่าที่เศร้าสะเทือนใจที่สุดจากการ์ตูนเก่ามาก - สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เรื่อง Bambi การ์ตูนเรื่องโปรดเป็นพิเศษของ  Walt Disney

เพื่อให้ได้ภาพเคลื่อนไหวใกล้เคียงสมจริง,ดิสนีย์จึงนำกวางน้อยมาเลี้ยงในสตูดิโอเพื่อเป็น"กวางแบบ" ตัวเป็นๆ

          แบมบี้ออกฉายในปี 1942 นอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านรายได้(ขาดทุน) แล้วยังถูกนักวิจารณ์
ในสมัยนั้นตำหนิว่าเป็นการ์ตูนแต่ไร้แฟนตาซี มีเนื้อหาให้ร้ายนักกีฬา(ล่าสัตว์)

สร้างจากนิยาย(ไม่ใช่นิทานสำหรับเด็ก) เรื่อง  Bambi: A Life in the Woods ผลงานของนักประพันธ์
ชาวกรุงเวียนนา Felix Salten เล่าเรื่องพงไพรพนาที่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ผู้ล่าและสนามล่าสำหรับสัตว์มนุษย์

         การ์ตูนมีฉากนี้ที่เล่าถึงการสูญเสียครั้งใหญ่ของแบมบี้(แม้ไม่มีภาพนั้นให้เห็น) ที่ได้สร้างความสะเทือนใจ
ให้แก่เยาวชนทั้งหลาย ไม่เว้นแม้แต่ลูกสาวของดิสนีย์(Diane Disney) เองก็ยังบ่นว่า แม่ของแบมบี้ไม่จำเป็น
ต้องตาย(ตามเนื้อเรื่องในหนังสือ) ก็ได้, ก่อนหน้านั้นดิสนีย์ก็เคยใช้อภิสิทธิ์อิสระในการดัดแปลงเรื่องราวในการ์ตูน
เรื่องอื่นๆ มาแล้ว

ฺBambi  เต็มเรื่อง ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=wtp6tLA9gFg

          แต่ดิสนีย์ยังคงเนื้อเรื่องตรงตามบทประพันธ์ไว้ ทำให้เกิดฉากกระทบใจ(แม้ไม่เห็นโดยตรง) เกินความคาดหมาย
ของใครๆ ว่าจะมีอยู่ในการ์ตูนที่น่ารักสำหรับเด็กเรื่องนี้

            ปัจจุบันนี้, แบมบี้ที่ผ่านการพิสูจน์คุณค่าตามกาลเวลาได้กลายเป็นหนึ่งในการ์ตูนคลาสสิคที่ได้รับ
การยกย่องจากนักวิจารณ์และนักวิชาการ ทั้งยังทำรายได้เป็นกอบเป็นกำไรเมื่อนำมาออกฉายอีกหลายครั้ง
เป็นระยะๆ  และ
            "คน - Man" (ซึ่งไม่ได้ปรากฏกายให้เห็น) ในการ์ตูนเรื่องนี้ก็ติดอันดับตัวร้ายลำดับที่ #20 villain
ของ American Film Institute

หมายเหตุ ในการ์ตูนเรื่องอื่นของสตูดิโอดิสนีย์, ได้มีการดัดแปลงเนื้อเรื่องเพื่อคืนความสุขแก่คนดู
ที่ชัดเจนมากเรื่องหนึ่ง คือ เงือกน้อย The Little Mermaid(1989) ซึ่งสร้างจากนิทานสายดาร์คของ
Hans Christian Andersen ได้มีเปลี่ยนตอนจบที่แสนเศร้าสิ้นหวังให้เป็นสุขสมหวัง

ฤดูหนาวอันยาวนานกำลังจะผ่านไป, ต้นหญ้าผลิใบอ่อนพ้นผืนหิมะคลุม แม่พาแบมบี้มาเล็มหญ้าในทุ่งกว้าง

แต่ ไม่ทันไร, แม่ก็ได้กลิ่นสิ่งมีชีวิตสองขาตัวร้ายโชยมาตามสายลมจึงร้องบอกให้แบมบี้วิ่ง

"Bambi. Quick! The thicket!"

แบมบี้วิ่งหนีสุดชีวิตไม่มียั้ง,ไม่หยุดหันหลังกลับมามองแม้เมื่อได้ยินเสียงดังปังทางเบื้องหลัง

จนเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดป่าทึบ,แบมบี้ก็ได้พบว่าแม่ไม่ได้ตามมาด้วย   

"We made it! We made it, Mother! We..."

"Mother. Mother! Mother, where are you?!"

https://www.youtube.com/watch?v=9o_pDT4tQiI


อดีตกาลแสนเศร้าพ้นผ่าน,วันวารพรากวัยดรุณ....สู่วัยรุ่นหนุ่มสาว

             หนังลำดับต่อไปเล่าเรื่องการล่าสัตว์ป่าที่ไม่เศร้ามากเท่าเรื่องที่แล้วเพราะเป็นการล่าตัวเป็นๆ จับพราก
จากอิสระในพงไพรไปกักขังไว้ในสวนสัตว์
             หนังออกแนวผจญภัยบันเทิง จากผลงานการกำกับของ Howard Hawks ผู้มีผลงานหลากหลายแนว
ในยุคคลาสสิคของฮอลลีวู้ด

             Hatari!(1962)

แปลว่า "danger" (ในภาษา Swahili)

             เปิดฉากแรกด้วยการไล่จับแรดโดยวิธีใช้บ่วงคล้องของสมัยนั้นที่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้วเพราะทำให้
สัตว์หมดแรงและอาจเสียชีวิตได้ อีกทั้งปัจจุบันนี้มีปืนยิงลูกดอกยาสลบที่ได้ผลดีกว่า

นักแสดงรวมดารานานาชาติ(เมกัน,เยอรมัน,อิตาลี,ฝรั่งเศส,ผิวสี) นำขบวนโดยนายพรานเอก John Wayne
ที่ลงจากหลังม้ามาขึ้นรถ safari jeep,truck ไล่จับสัตว์ป่าส่งสวนสัตว์

จากอานม้ามาเป็นที่นั่งพิเศษพร้อมสายรัดด้านหน้ารถ

             หนังถ่ายทำใน Tanganyika ที่ปัจจุบันนี้กลายเป็นประเทศ Tanzania หลังการรวมกับ Zanzibar
และหมู่เกาะ Pemba islands แล้วรวมชื่อเรียกใหม่ว่า Tanzania เมื่อปี 1964 (- 2 ปีหลังหนังเรื่องนี้ออกฉาย)

Opening rhino hunt from Howard Hawks' "Hatari!"

https://www.youtube.com/watch?v=NX-UNQK-2vA

แรดแรงแค่ไหนในที่สุดก็พ่ายนายพรานเวย์น,ในการถ่ายทำหลังจากจับได้แล้วแต่ด้วยแรงแรดทำให้ดิ้นหลุดหนี
ไปได้ต้องไล่ตามจับกันใหม่จึงสำเร็จ

บางทีความทรงจำก็หลอกเจ้าของเหมือนกัน  ;D

จากพันทิป

คำบรรยายใต้ภาพว่า โรงหนังพาราเมาท์ ซึ่งเคยฉายหนังไทย นั้น,เป็นในช่วงหลัง ช่วงแรกแต่เริ่มฉายหนังฝรั่ง
มาตลอดตามชื่อโรงที่ตั้งจากชื่อสตูดิโอใหญ่ที่อำนวยการสร้างหนัง(รวมถึงเรื่อง ฮาตาริ! นี้ด้วย)

             มวลนักแสดงขึ้นรถแล่นไล่จับสัตว์เป้าหมายไปในทุ่งราบโดยวิธีการใช้บ่วงคล้องด้วยตัวนักแสดงเอง
ไม่ใช้สแตนด์อิน ซึ่งนับว่าเป็นความเสี่ยงไม่น้อยเลยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์และอันตรายจากสัตว์ ระดับปู่เวย์น
ที่ผ่านหนังคาวบอยมาหลายจอแล้วก็ยังยอมรับว่ามีหวาดๆ บ้างในบางซีน

ในฉากที่เสี่ยงมาก, ปู่เวย์นถูกย้ายมาอยู่ในที่ปลอดภัยกว่าทางด้านหลัง

แต่ผลลัพธ์ที่ได้นับว่าคุ้มค่าด้วยว่าเมื่อหนังออกฉายสามารถทำรายได้เป็นอันดับหนึ่งของสตูดิโอพาราเมาท์

ฉากไล่จับม้าลายพยศ

https://www.youtube.com/watch?v=xDNYvGV-QXI

          นอกจากการ edit ภาพแล้วยังต้องมีการ edit เสียงด้วย โดยการพากย์ทับในบางฉากที่
ปู่เวย์นเผลอสบถ เช่น ตอนนี้ขณะที่กำลังปลุกปล้ำกับเจ้าสี่เท้าลายขาวดำ

               หนึ่งในทีมไล่จับสัตว์เป็นตากล้องสาวส่องภาพสัตว์  รับบทโดย  Elsa Martinelli นางเอก,นางแบบ
จากอิตาลี

เธอมีฉากเด่น,น่ารักๆ เป็นที่จดจำด้วยทำนองเพลงลีลาติดหูซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานการประพันธ์เพลงยอดนิยม
ของนักประพันธ์ดนตรีเอก Henry Mancini

Baby Elephant Walk
 
https://www.youtube.com/watch?v=7g68qydugXQ

เพลงนี้ฮิทมากทั้งในต่างแดนและในไทย    นำไปใช้ในการแสดงบนเวที  และอื่นๆมากมาย
เป็นผลงานยอดนิยมชิ้นหนึ่งของเฮนรี่ แมนชินี   ทำให้เขาได้รางวัลแกรมมี่  สาขาเรียบเรียงดนตรียอดเยี่ยมแห่งปี

เรื่องต่อไปนี้มีเพลงเอกประกอบเป็นที่จดจำประทับใจเช่นกัน

              สลับจากเรื่องการล่ามาเป็นเรื่องราวสายสัมพันธ์ต่าง species ระหว่างคนกับสัตว์ที่ซาบซึ้งสะเทือนใจ
พร้อมเพลงเอกไพเราะเป็นอมตะจากผลงานการประพันธ์โดย John Barry(1933 – 2011)

คลิปเพลงบรรเลงโดย Royal Philharmonic Orchestra ในรายการแสดง John Barry Memorial Concert
June 20 2011   
(ส่วนเพลงร้องจะนำเสนอในคลิปตอนท้าย)

https://www.youtube.com/watch?v=6jYgulltcdI

           Born Free(1966) สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกัน,ผลงานการประพันธ์โดย  Joy Adamson
นักธรรมชาติวิทยา,นักเขียน

Joy Adamson (ขวาสุด) และ สามี(ที่สองจากซ้าย) กับสองนักแสดงนำ

           เล่าเรื่องราวครั้งคราวอาศัยและทำงานอยู่ใน Kenya. ที่นั่น,เธอได้สานสร้างสายสัมพันธ์กับลูกสิงห์กำพร้า - Elsa
(น้องนุชสุดท้องกับอีกสองพี่เสือสาวที่ถูกแยกส่งไปสวนสัตว์ในเวลาต่อมา)

         สืบเนื่องมาจากสามีของเธอ(George Adamson) ซึ่งทำงานเป็นจนท.พิทักษ์สัตว์ป่าจำต้องยิงนางสิงห์ตัวแม่(ลูกอ่อน)
ที่พุ่งเข้ามาหมายทำร้ายเขาและทีมงานจนตายลง
         ด้วยความน่ารัก,น่าชัง ช่างสงสัยใคร่รู้ปนความแก่นกล้า เอลส้าสามารถชนะใจเธอได้ไม่ยากเย็นจนกลายเป็นความรักผูกพันธ์
ต่างสายพันธุ์

             ครั้นเมื่อเติบใหญ่ เอลส้าก่อเหตุรบกวนโขลงช้างจนกระเจิงเข้าหมู่บ้าน, หัวหน้าของสองสามีภรรยาได้ยื่นข้อเสนอ
ให้ส่งเอลส้าไปสวนสัตว์ หรือ จัดการฝึกฟื้นสัญชาตญาณแม่เสือสาวเพื่อการส่งกลับคืนมาตุภูมิ แน่นอนว่าทั้งสองเลือกวิธีหลัง
ที่ต้องใช้เวลา,อาศัยความเพียรจนประสบความสำเร็จ

            หลังจากขั้นตอนการค่อยๆ ปล่อยเอลส้าคืนป่าเพื่อเรียนรู้ปรับตัวเข้ากับบ้านใหม่ไพรพนาโดยทั้งสองคอยมอง
อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ จนกระทั่งเมื่อเอลส้าสามารถจับเหยื่อมื้อแรกได้เอง

             ในที่สุด,เวลาแห่งการจากลาก็มาถึงเมื่อปฏิบัติการส่งเอลส้าคืนผืนป่าและเข้าฝูงเผ่าพันธุ์สำเร็จลงด้วยความยินดีและ
อาลัยแต่ต้องตัดใจของพ่อและแม่เลี้ยง

             หนึ่งปีผ่านไป,เมื่อทั้งสองกลับมาเยือนเคนยาอีกครั้งพร้อมความหวังจะได้เจอเอลส้า และแล้ว,
ทั้งสองก็สมหวังปลื้มปีติเมื่อได้พบว่าเอลส้าซึ่งตอนนี้เป็นนางสิงห์ลูกสามยังคงจำพวกเขาได้

คลิปช่วงเวลาแห่งการตัดใจจาก, ทำใจยากเมื่อเห็นลูกสาวต้องสู้
และ ในช่วงท้าย,ยามเมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง

พร้อมเพลงประกอบ Born Free จากเสียงร้องของ Matt Monro

https://www.youtube.com/watch?v=309U6Nw4odA

เลี้ยงดูแต่เล็กจนโตจนผูกพัน, จำจากกัน และเมื่อมาพบกันอีกครั้ง

https://www.youtube.com/watch?v=CgortgpBLyg

ขอคั่นรายการด้วยข่าวเศร้า

สิ้น ดอกดิน กัญญามาลย์ หัวใจล้มเหลว ปิดตำนาน “ล้านแล้วจ้า”

https://www.youtube.com/watch?v=PpRJCrS4uW0

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. นางพิมพ์รวี วัฒนวรางกูร อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เปิดเผยว่า นายดอกดิน กัญญามาลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์) พ.ศ.2555 ได้ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2561 เวลาประมาณ 02.00 น. ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เลขที่ 53 ถนนเศรษฐศิริ กรุงเทพฯ เนื่องจากหัวใจล้มเหลว สิริรวมอายุ 93 ปี 7 เดือน สำหรับการบำเพ็ญกุศล จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในวันที่ 15 พ.ค.61 เวลา 17.00 น. ณ ศาลา 6 วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ และระหว่างวันที่ 16-21 พ.ค.61 มีกำหนดสวดพระอธิธรรมศพ เวลา 19.00 น.
ณ ศาลา 6 วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร กรุงเทพฯ จากนั้นญาติจะเก็บศพไว้บำเพ็ญกุศลเป็นเวลา 100 วัน

“ในส่วนของการช่วยเหลือด้านต่างๆ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จะดำเนินการขอพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งจะมอบเงินช่วยเหลือเมื่อเสียชีวิตเพื่อร่วมการบำเพ็ญกุศลศพจำนวน 20,000 บาท และเงินช่วยเหลือค่าจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ผลงานเมื่อเสียชีวิตเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 150,000 บาท” นางพิมพ์รวี กล่าว

ประวัติโดยสังเขป นายดอกดิน กัญญามาลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์) พ.ศ.2555 เกิดเมื่อวันที่ 25 ต.ค. พ.ศ.2467 เป็นนักแสดงจำอวดละครย่อย ต่อมาได้เล่นละครกับคณะอัศวินการละคร ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เป็นตัวตลกใช้ชื่อการแสดงว่า “ดอกดิน”

ดอกดิน มีชื่อจริงว่า ธำรง และชื่อเล่นว่า ดิน เนื่องจากตัวดำ ชอบร้องลิเก เพลงพิ้นบ้าน จนได้ฝึกและออกแสดงครั้งแรกกับคณะสวดคฤหัสถ์ ประมาณอายุ 11 ขวบ ในปี พ.ศ. 2478 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มเข้าสู่วงการจากการเล่นจำอวดร่วมกับ อบ บุญติด แล้วหันมาเล่นละครย่อย ร้องเพลงหน้าม่าน และเล่นลิเก ในคณะศิวารมย์ ของครูเนรมิต

นายดอกดิน กัญญามาลย์ เริ่มสนใจเรื่องการสร้างหนังโดยเริ่มรับทำบทพากย์หนังจากประเทศ ฮ่องกงให้กับเสี่ยซัว (พิสิฐ ตันสัจจา)



ต่อมาได้ทำบทพากย์หนังฝรั่งจากประเทศสหรัฐอเมริกา จึงมีโอกาสเรียนรู้ การทำหนังจากสคริปหนังฝรั่ง ในปี พ.ศ.2494 จึงสร้างหนัง 16 มม. ขาวดำ เรื่องแรก สามเกลอ ภาพยนตร์สีเรื่องแรก “สาวชาวไร่” ผลงานสร้างภาพยนตร์ 32 เรื่อง ในชื่อกัญญามาลย์ภาพยนตร์ รายได้ของหนังที่ถึงล้านแล้วจ้า มี 24 เรื่อง

หนังที่เขาภูมิใจมากที่สุด คือเรื่อง ‘นกน้อย’ อันเป็นเรื่องที่อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ชะตาชีวิต” มานำเรื่อง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ผลงานการสร้างภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์ บู๊ตลกที่สร้างสรรค์และสะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยได้อย่างชัดเจน เช่น นกน้อย กาเหว่า นกเอี้ยง ปูจ๋า เป็นต้น

นายดอกดิน กัญญามาลย์ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์) พ.ศ.2555

ผลงานของกัญญามาลย์ ภาพยนตร์

https://www.youtube.com/watch?v=0OdttpUa3rM&list=PL8YwMsI0y1MY9z3Wu0m4toW9v_lTPkmzo

ดอกดิน น่าจะเป็นคนสุดท้ายในนักแสดงตลกยุคเดียวกัน    ดาวตลกท่านอื่นๆจากไปกันหมดแล้ว  ไม่ว่าล้อต๊อก สมพงษ์ พงษ์มิตร  สีเทา  ท้วม ทรนง จำรูญ หนวดจิ๋ม. สุคนธ์ คิ้วเหลี่ยม  รวมทั้งดาวตลกหญิงอย่างชูศรี มีสมมนต์ และสินีนาฏ โพธิเวส

            ดอกดิน ตัวดำๆ* ในตำนาน             กับวลีล้าน แล้วจ้า เคยคุ้นหู

แม้ผลงาน แทบจะไม่ ได้เคยดู                      แต่ก็รู้ คือครูดิน ศิลปิน**ไทย   


* คุณดอกดินเรียกตัวเองเช่นนี้ออกสื่อในสปอทโฆษณาผลงานหนัง
** ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์) พ.ศ.2555

ดาวดับลับจากน่านฟ้าอเมริกา

            Margot Kidder(1948 – May 13, 2018)

            ดาราดังจากหนังใหญ่ Superman film series ที่เธอรับบทเป็นนักข่าวสาวคนรักของซุเปอร์แมน
(Christopher Reeve) สามภาคติดต่อกัน  
            แต่หลังจากนั้นในช่วงปลาย 1980s ผลงานการแสดงของเธอก็เริ่มถดถอยน้อยลงไป ก่อนที่จะกลับมา
เป็นข่าวในปี 1996 ด้วยเรื่องอาการป่วยทางจิต(bipolar disorder)
            รายงานข่าวว่าเธอจากไปในขณะหลับอยู่ในบ้านของเธอที่ Livingston, Montana

คู่บุญของคุณดอกดินในวงการเห็นจะเป็นคุณอรสา อิศรางกูร ณ อยุธยา ดังคำคุ้นหูต่อท้ายโฆษณาภาพยนตร์ว่า

ร่วมด้วย อรสาตัวขาว ๆ และ ดอกดินตัวดำ ๆ  ;D

Margot Kidder ตอนสาวๆ   สวยสมเป็นนางเอกหนังใหญ่
น่าเสียดายที่โรคภัยไข้เจ็บบั่นทอนสุขภาพ และอาชีพการงาน  จนจากไปก่อนเวลาอันควร
RIP

คุณอรสา ตอนสาวๆสวยมากค่ะ

            คราวนี้ มาดูมนุษย์ผู้ล่ากลับกลายเป็นฝ่ายถูกล่าบ้าง ในหนังคลาสสิคเนื้อเรื่องล้ำยุคตั้งแต่กึ่งศตวรรษก่อน
ที่สร้างจากนิยายไซไฟได้รับคำชื่นชมของ Pierre Boulle นักเขียนชาวฝรั่งเศสผู้มีผลงานโด่งดังก่อนหน้านี้ด้วยเรื่อง
The Bridge over the River Kwai

โปสเตอร์หนังภาษาฝรั่งเศส

นั่นคือ Planet Of The Apes (1968) - พิภพวานร 

                 หนังไซไฟในตำนานเล่าถึงอนาคตกาลเมื่อมนุษย์กลายเป็น....

สัตว์ด้อยพัฒนาอาศัยอยู่ในโลกที่ยึดครองโดยลิงสายพันธุ์วิวัฒน์ผู้สามารถฉลาดกว่า 

นำแสดงโดย Charlton Heston นักแสดงใหญ่ผู้มีผลงานนำแสดงในหนังพีเรียดโบราณหลายเรื่อง
แต่คราวนี้พลิกกลับมารับบทหนังล้ำยุค

หลังจากท่องไปในอวกาศนานหนึ่งปีครึ่งในสภาพจำศีล, ยานของทีมนักสำรวจอวกาศร่อนลงทะเลสาปของดาวเคราะห์
ดวงหนึ่ง ปฏิทินในยานบอกเวลาบนโลกที่จากมาว่าเป็นค.ศ. ที่ล่วงไปแล้วสองพันปี
(การยืดออกของเวลา -Time Dilation ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ)

พวกเขาพบว่า ดาวนี้มีภูมิประเทศเคยคุ้นเหมือนแถบ Utah(Lake Powel) และ (Grand Canyon) Arizona
(- สถานที่ถ่ายทำ)

และ สิ่งมีชีวิตที่พบเห็นเป็นคนเหมือนกันแต่ดูท่าจะอยู่ในยุคดึกดำบรรพ์ไร้ภาษาพูด กัปตันทีมถึงกับ
ออกปากว่า จะสามารถขึ้นเป็นผู้ปกครองดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ภายใน 6 เดือน

ทว่า, ไม่ทันไรโดยไม่ทันตั้งตัว ว่าที่เจ้าเข้าครองกลับต้องกลายเป็นผู้ถูกไล่ล่าเหมือนฝูงคนด้อยพัฒนาทั้งหลาย

สุดตะลึงงัน, สะตันนนด์เมื่อได้เห็นหน้าผู้ล่า คือ วานรวิวัฒน์สายพันธุ์ปัญญา

มีความสามารถคิด,พูด,ทำ และมีกิจกรรม,สิ่งของเครื่องใช้เช่นมนุษย์

ขอคั่นเวลา  เพื่อแสดงความเสียใจกับการจากไปของคุณทวดดาราคาวบอยดังในยุค 1960s ต้นๆ  ชื่อ Clint Walker
หนังชุดทางทีวีที่คุณทวดแสดงเคยฉายทางช่อง 4 ค่ะ  ชื่อ Cheyenne
ดูๆเหมือนชื่อ ชเยน   จริงๆแล้วอ่านว่า ไชแอน ค่ะ

หุ่นของคุณทวดเมื่อเข้าวงการ เหมาะจะเล่นบทคาวบอยไม่มีใครเท่า  วัดรอบอกได้ 48 นิ้ว เอว 32  และความสูง 6 ฟุต 6 นิ้ว

     คลิ้นท์ประสบความสำเร็จงดงามในหนังชุด Cheyenne  เรื่องนี้ออกอากาศยาวนานถึง 8 ปี ส่งชื่อดารานำให้โด่งดังอยู่แถวหน้าดาราจอแก้วทั้งหมด  แต่คลิ้นท์ก็เริ่มเบื่อสัญญาที่ผูกมัดเขาเกินไป จึงขอลาออกจากหนังเรื่องนี้หลังทนอยู่ 8 ปี
     หนังใหญ่อีกเรื่องที่เขาได้เล่น คือ The Dirty Dozen  หรือ สิบสองเดนตาย

https://www.youtube.com/watch?v=ff1V6ywnWcY

ดูเรื่องเต็มๆได้ที่นี่ค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=xO5ZxdG1ExQ

จำปู่คลิ้นท์ ไชแอน ได้(อีกปู่คลิ้นท์ คือ อีสท์วู้ด ยังทำงานหนังอยู่) แต่จำซีรี่ส์ไชแอน ไม่ค่อยได้เลย
(เป็นซีรี่ส์ตะวันตกเรื่องแรกที่มีเวลาออกอากาศหนึ่งชั่วโมง นานเป็นสองเท่าของซีรี่ส์ตะวันตกเดิมๆ)

แต่ กลับจำ ปู่ได้ดีเมื่อครั้งรับเชิญมาแสดงนำใน The Lucy Show ตอนนี้มีเนื้อเรื่องว่า

         ย่าลูซี่คิดจะแอบถักสเวทเทอร์ให้ปู่เป็นของขวัญวันเกิด ย่าไม่รู้สัดส่วนจึงพยายามจะวัดตัวโดย
ไม่ให้ปู่รู้ตัวแต่ไม่สำเร็จ ท้ายที่สุดย่าจึงแกล้งเซล้มดันปู่ติดผนังปูนฉาบที่ยังเปียกอยู่แล้วจึงวัดรอย

 https://www.youtube.com/watch?v=VJRKKbGZNRE

คุณหมอ SILA  ไม่น่าจะเกิดทันไชแอนนะคะ
ดูในยูทูปไปพลางๆก่อน

https://www.youtube.com/watch?v=tmyyFsHoh1w&list=PL3_WQSFEnFdFdI0HnNX0oSFX9hcIobScN

  หลังจากอำลาหนังชุด ไชแอน แล้ว   คุณทวดก็ไปเล่นหนังจอเงินและหนังทางทีวีอีกหลายเรื่อง 
  ปี 1971  เขาประสบอุบัติเหตุระหว่างเล่นสกีบนภูเขาแมมมอธในคาลิฟอร์เนีย  คือตกจากเก้าอี้สกีที่พาขึ้นภูเขา (ดูภาพประกอบค่ะ) ไม้ยันสกีทิ่มทะลุหน้าอก  อาการ่อแร่  แต่ว่าหมอผ่าตัดช่วยชีวิตไว้ทัน
   จากนั้นเขาก็อยู่ในวงการมายาเรื่อยมา    มีงานทำมาเรื่อยๆ   แต่ว่าไม่โด่งดังเท่ากับช่วงต้น  จนเข้าสู่วัยสุกงอม  จากไปก่อนครบ 91  ปีเพียง 9 วัน
 

เมื่อมาถึงวัยปู่

          คลิปเพลงบรรเลงสดประกอบฉากวานรไล่ล่ามนุษย์นี้ บันทึกจากคอนเสิร์ทฉลองชาตกาล 80 ปี ของ
ผู้ประพันธ์เพลง Jerry Goldsmith (1929 – July 21, 2004) หนึ่งในผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์
สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์มากถึง 18 ครั้ง (ได้รับรางวัลครั้งเดียวจากเรื่อง The Omen)

https://www.youtube.com/watch?v=YSq2l7TvYUs

และ 
          สุดท้าย,บทเฉลยในตอนจบของหนังเรื่องนี้ที่ทำให้คนดูอึ้งและทึ่ง เมื่อได้พบความจริงว่าดาวเคราะห์ดวงนี้
แท้ที่ทรูแล้วไม่ใช่ดาวดวงไหนอื่นไกลโพ้นในอวกาศเลย

https://www.youtube.com/watch?v=mDLS12_a-fk

          สืบเนื่องความสำเร็จของภาคแรกนี้ทำให้มีการสร้างพิภพวานรเป็นหนังใหญ่ต่อเนื่องกันมาอีกหลายตอน
ก่อนที่จะกลายเป็นซีรี่ส์ลงทีวี
          Charlton Heston กลับมาในภาคต่อ - Beneath the Planet of the Apes โดยรับบทเดิมที่แม้
ในตอนนี้จะเป็นบทสมทบแต่ก็มีความสำคัญยิ่งเพราะได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่พิชิตพิภพวานรในตอนท้ายเรื่องจน
คนดูต่างคิดว่าน่าจะจบสิ้นไม่มีภาคต่อแล้ว
(แต่คนเขียนบทก็ยังสามารถเขียนให้สร้างต่อตามมาได้อีกและอีก)
          

และเมื่อครั้งมีการรีเมคใหม่ในปี 2001

           Charlton Heston รับเชิญมาปรากฏตัวเป็นเกียรติ(cameo) ด้วยบท Zaius ชราวานรผู้เป็นพ่อของ
General Thade แห่งกองทัพวานรผู้รังเกียจเกลียดชังมนุษย์ยิ่งนัก

            หนังคุณภาพระดับตำนานเรื่องต่อไปนี้, ตัวเอกมีสองสถานะ เป็นทั้งผู้ล่าและถูกล่า ต่างที่เวลาและสถานที่
            สถานที่หรือสมรภูมิของการล่าแห่งแรกนั้น ตัวเอก - กลุ่มเพื่อนรักนักล่า ล่าอย่างสบายใจที่บ้านของตน
ในขณะที่ อีกสมรภูมิไกลบ้านนั้นคือความโหดของแท้ที่ได้เปลี่ยนชีวิตของกลุ่มเพื่อนรักนักล่าให้กลายเป็นผู้ถูกล่าที่
น่าสงสาร และแม้ว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้แต่ต่างก็มีบาดแผลยากเยียวยาติดตัวมา
            สมรภูมิแรกคือ ป่าเขาลำเนาไพรใน Pennsylvania ของคนล่ากวาง ส่วนสมรภูมิหลัง คือ สงครามเวียตนาม
ของทหารหนุ่มเมกัน

Deer Hunter (1978) หนังดรามาสงครามอเมริกา - เวียตนาม ความยาวสามชั่วโมง,ห้ารางวัลออสการ์
ที่รวมถึงสาขาภาพยนตร์และผกก.ยอดเยี่ยม

จากนักล่าในบ้าน
                   
             หลังปาร์ตี้งานแต่งและงานเมามายส่งท้ายก่อนชายชาตรีจะไปออกศึก เช้าวันรุ่ง,เพื่อนรักนักล่าพากันขึ้นเขา
ไปล่ากวาง ไมเคิล(รับบทโดยนักแสดงใหญ่ในเวลาต่อมา Robert De Niro) แสดงความเป็นพระเอกด้วยการยึดหลัก
"นัดเดียวปลิดชีพ"

เพื่อว่าผู้ถูกล่าจะไม่ต้องทรมานมากจาก"การุณยฆาต" นี้

สู่ผู้ถูกล่านอกบ้าน, ผ่านช่วงเวลาที่โหดร้ายเฉียดตาย

คลิปฉากประทับใจในตำนานกล่าวขาน Russian roulette ที่ผกก.และคนเขียนบทใช้อภิสิทธิ์แต่งให้มีเกมเดิมพันชีวิตนี้
ในสงครามเวียตนามคราวนั้น
 
จากคนล่ากวาง ผู้ลั่นไก "นัดเดียวปลิดชีพ" ตัวอื่น สู่ ผู้ลั่นไก "นัดเดียวปลิดชีพ" ตัวเอง

https://www.youtube.com/watch?v=1nA9tV9q-mY

             ไมเคิล,ผู้รอดจากเวียตนามมาอย่างบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจน้อยกว่าเพื่อน, หวนกลับคืนสู่ป่าเขา
ที่เคยคุ้นเพื่อล่ากวางอีกครั้ง
             เขาพบแล้วออกติดตามเหยื่อเป้าหมายของนัดเดียวปลิดชีพ แต่

             ครั้นเมื่อเหยื่อมาอยู่ในตำแหน่งเข้าเป้า,เขากลับจงใจเล็งยิงขึ้นฟ้าแล้วจ้องหน้าเหยื่อพร้อมกับถามว่า "OK?"
             ชีวิตหลังรอดจากสงครามโหดได้พรากวิญญาณนักล่าไปจากตัวเขาที่บัดนี้ได้เรียนรู้คุณค่าของการมีชีวิต
(ทั้งของตนและคนอื่น)

สัตว์สวย ป่างาม

เสียงตะโกน "Ooooo Kayyyyy" สะท้อนก้องกลับมายังตัวเขา

https://www.youtube.com/watch?v=aJfL72TXEYY

กลับไปกาฬทวีป,แดนดงพงพนาสัตว์ป่าอุดมชมฉากจากหนังเรื่อง

               Out of Africa(1985) หนังดรามาเล่าเรื่องราวช่วงชีวิตของนักเขียนหญิงระดับ
เข้าชิงรางวัลโนเบลในห้วงเวลาที่เธอพำนักอยู่ในแอฟริกายามสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

             หลังการแต่งงานเพราะถึงเวลา,วัย ไม่ใช่เพราะรักกับชายที่มอบคำหน้านาม Baroness (และ
โรคร้ายจากการนอกใจในเวลาต่อมา นั่นคือ ซิฟิลิสที่ได้สร้างความทรมานเรื้อรัง) ให้แก่เธอ ทั้งสองย้ายจาก
เดนมาร์กมาสู่กาฬทวีป

              เธอลงทุนทำไร่กาแฟและใช้ชีวิตท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ในบางเวลาเธอก็จะออกไปซาฟารีล่าสัตว์
กับ ชายคนรัก ซึ่งไม่ใช่สามีของเธอ
              หนังมีฉากบ่งบอกความหมายนัยนิยามความรักระดับตำนานระหว่างเธอและเขา - ชายคนรักแห่งชีวิต
ของเธอ - ชายผู้ไม่ต้องการความผูกมัด(ที่ได้สร้างความขัดแย้งและขัดใจเธอเป็นยิ่งนัก)

กระทู้เก่า Out of Africa   รักที่ริมขอบฟ้า จำลาพรากจากแสงตะวัน

https://goo.gl/vyknHc

           ฉากนี้, ครั้งเธอและเขายังไม่ได้ผูกสมัครสมาน, เมื่อเธอเผชิญหน้ากับนางสิงห์ที่ย่างเยื้องเข้ามาหาเธอ
ผู้ซึ่งมือเปล่าปราศจากอาวุธ เสียงเขาร้องบอกมาจากด้านข้างห่างออกไปให้เธอยืนอยู่กับที่(ในขณะที่เธอกลัวจนตัวสั่น)

           เธอเร่งด้วยเสียงสั่นให้เขายิงนางสิงห์ที่ยังคงย่างใกล้เข้ามาทุกที วินาทีวิกฤตที่ยาวนานราวชั่วโมง
ผ่านไป เมื่อนางสิงห์หมดความสนใจในตัวเธอ,นางก็เดินจากไปทำให้เธอไม่ต้องกลายเป็นอาหารมื้อกลางวัน
ของนาง

             เธอถามเขาอย่างหงุดหงิดว่าจะรอให้นางสิงห์เข้าใกล้เธอแค่ไหนก่อนถึงจะยิง เขาตอบด้วยน้ำเสียง
เรียบเฉยว่า ใกล้อีกนิด

https://www.youtube.com/watch?v=sRKtU9FF-8w

           และ ฉากนี้ที่เป็นการออกซาฟารีร่วมกัน เมื่อทีมล่าพบสองเสือเพศผู้และเมียกำลังเพลิดเพลินเจริญ
อาหาร เขาและเธอค่อยๆ เดินถอยหลังจากมา
           โดยไม่ทันคาดคิด,ขณะที่เธอหันหลังให้,นางสิงห์ได้วิ่งออกมาจากพุ่มไม้ตรงเข้ามา และนั่นคือภารกิจ
ของเธอที่จะต้องหยุดยั้งนางด้วยกระสุนหนึ่งนัดที่ต้องไม่พลาด
            และ....เธอทำได้ เช่นเดียวกับเขาที่จัดการกับสิงห์อีกตัวได้สำเร็จในนัดเดียว

            วินาทีความเป็นความตายผ่านพ้น, ทั้งสองคนปลอดภัย เขาสังเกตเห็นริมฝีปากเปื้อนรอยเลือด
จากการที่เธอเผลอกัดเพราะความกดดัน, จึงปลดผ้าเช็ดหน้าที่พันคอแล้วนำมาซับเลือดให้อย่างนุ่มนวล

           https://www.youtube.com/watch?v=Xb6svoM3UWE

คือฉากสำคัญที่สื่อแสดงบุคลิกของทั้งสองและลักษณาการความสัมพันธ์, ความรักระหว่างเธอกับเขา,
คนรักนอกสมรส, ผ่านช่วงเวลานาทีชีวิตวิกฤตที่เผชิญร่วมกัน

Tab Hunter (July 11, 1931 – July 8, 2018)

            ดาราชายรูปหล่อขวัญใจสาวๆ ยุค 1950s - 1960s ที่ฝีมือการแสดงเป็นเรื่องรอง,รูปร่างหน้าตาเป็นเรื่องหลัก
ได้จากฟากฟ้าไป 3 วัน ก่อนวันครบรอบวันเกิดด้วยภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำที่ขาหลุดไปปอด

ขวัญ(สั่น)ใจสาวๆ ด้วยลุค หนุ่มผมบลอนด์,ตาสีฟ้า รูปร่างนักโต้คลื่น

           แม้ไม่เคยได้ดูผลงานภาพยนตร์ของคุณปู่แต่ก็รู้จักปู่จากเรื่องราวนอกจอที่โจษจันดังขึ้นๆ ในระยะหลัง
           ด้วยเรื่องที่ว่าปู่เป็นเกย์ซึ่งลือกันมาตั้งแต่ครั้งปู่เป็นดาราดัง ปู่เปิดเผย,ในเวลาต่อมา, ว่า เป็นช่วงเวลาที่ยาก
ลำบากสำหรับการดำเนินชีวิตสองด้านและการปกปิดชีวิตส่วนตัวของปู่
           ปู่เคยมีความสัมพันธ์ยาวนานกับ  Anthony Perkins(Hitchcock's Psycho) และ นักสเกตลีลา

           ก่อนที่จะลงเอยกับ Allan Glaser ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ทั้งสองครองคู่อยู่ด้วกันยาวนานถึงกว่า 35 ปี

นอกจากงานแสดงแล้ว,ป ปู่ยังมีผลงานเพลงโด่งดังในปี 1957 ด้วยเพลง "Young Love" ที่ขึ้นถึงอันดับหนึ่ง
ของ Billboard Hot 100 chart เป็นเวลา 6 สัปดาห์

คลิปการร้องสด Tab Hunter - Young Love (1957 Live at The Perry Como Show)

https://www.youtube.com/watch?v=A5LRe4xecZQ

กำลังจะเข้ามาบอกทีเดียว   ว่าดารารูปหล่อในอดีตลาลับไปอีกดวงแล้ว

คุณปู่ Tab Hunter ตอนหนุ่มๆ แกหล่อในแบบที่เรียกว่า อเมริกันสไตล์   คือเป็นหนุ่มผิวขาวผมทอง หน้าหวานสะอาดสะอ้าน  ดูมีเชื้อสายจากยุโรปตอนเหนือหรือตะวันตก
ไม่ใช่หนุ่มคมเข้มผมดำ ผิวเกรียมแดด อย่างอิตาเลียนหรือสเปน   
ดาราหนุ่มที่หล่อแบบอเมริกันสไตล์ในยุค 1960s  มักจะได้ชื่อว่าเป็นดาราขวัญใจสาวๆ    ที่นึกออกตอนนี้ คือทรอย โดนาฮิว  และโรเบิร์ต เรดฟอร์ด

ข้ามศตวรรษที่ 20 มาศตวรรษนี้, ดูหนังเรื่องสุดท้ายในชุด มนุษย์กับสัตว์ป่า

        The Queen (2006)

              พาผู้ชมย้อนกลับไปอังกฤษในปี 1997 หลังเหตุการณ์ Princess Diana ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
จนถึงแก่ชีวิตเนื่องจากการตามไล่ล่าของปาปารัสซี่ในวันที่ 31 สิงหาคม

              ในขณะที่ประชาชนต่างรู้สึกโศกเศร้าสะเทือนใจจากการสูญเสียเจ้าหญิง(สามัญชน)ในดวงใจ
ของเขาอย่างถ้วนทั่วกระเทือนแผ่นดิน แต่ทางราชวงศ์กลับมีทีท่านิ่งเฉยต่อเหตุการณ์นี้ ก่อเกิดเป็นความขัดแย้ง
รุนแรงระหว่าง(พสกนิกรและสื่อสาร)มวลชนกับเดอะ ควีน

            พระองค์เสด็จประทับแปรพระราชฐานอยู่ ณ Balmoral สก็อตแลนด์แดนห่างไกลจากเสียงเรียกร้อง
ให้ทรงเสด็จกลับมาเป็นขวัญกำลังใจและร่วมแสดงความอาลัยกับมวลมหาประชาชี  
            ทั้งนี้ทรงมีพระประสงค์จะอยู่ดูแลหลานกำพร้าทั้งสองและใช้ช่วงเวลาแห่งการสูญเสียไว้ทุกข์อย่างเงียบๆ
(เป็นการส่วนพระองค์) และด้วยทรงคิดว่าอีกไม่นานความรู้สึกดรามาของปวงชนที่สื่อมวลชนสร้างเสริมให้นี้ก็คงจะ
จางไป

            แต่ นายกฯ แบลร์ไม่สามารถทนนิ่งต่อกระแสเรียกร้องดังก้องราชอาณาจักรและความตกต่ำของความนิยม
ในราชวงศ์จากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ จึงจำต้องขอเข้าเฝ้าเพื่อโน้มน้าวให้ควีนทรงปรับเปลี่ยนท่าทีและทำบางสิ่งเพื่อกอบกู้
สถาณการณ์วิกฤตราชวงศ์ครั้งนี้

ชอบเรื่องนี้มาก   เฮเลน มิร์เรนสวมบทบาทของควีนได้อย่างเข้าถึงจิตวิญญาณ
ดูๆไปนึกว่ากำลังดูควีนพระองค์จริงค่ะ

กวาดรางวัลนำแสดงหญิงและได้เข้าเฝ้าควีนที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม เมื่อ May 2011

(dailymail.co.uk)

แล้วจึงมาถึงฉากสำคัญที่ดูเหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนพระทัยควีน นั่นคือ ฉากกวางป่าเขางาม

               วันนั้น ควีนทรงขับรถเข้าไปในป่าด้วยองค์เองจนกระทั่งรถแล่นไปติดอยู่ในลำธารไปต่อไม่ได้
จึงเสด็จออกจากรถแล้วประทับนั่งพักบนเนินรอความช่วยเหลือที่จะตามมา

            ด้วยแรงกดดันจาก(ประชาและสื่อสาร)มวลชนตลอดจนนายกฯ ที่สั่งสมมาต่อเนื่องส่งผลให้ปัญหา
ติดขัดซึ่งไม่ได้หนักหนายากจะแก้ไขเช่นนี้ สามารถกระทบกระเทือนพระหทัยที่อ่อนล้าได้ และ ด้วยยามนี้ที่
อยู่เพียงลำพัง, ควีนจึงทรงหลั่งน้ำตาสะอื้นได้โดยไม่ต้องพะวงว่าจะมีใครเห็น(รวมทั้งคนดูที่มุมกล้องจับภาพ
ให้เห็นทางด้านหลัง)

            แต่แล้ว การมาถึงของสิ่ง(มีชีวิต)หนึ่งที่บังเอิญผ่านมาได้นำพาควีนออกจากอารมณ์เศร้าไปสู่
ความสนใจในสิ่งนั้น นั่นคือ กวางเขางาม 14 แขนง("14 pointer" stag)

              การปรากฏตัวของกวางเขางามขนาดนี้ที่ไม่ได้มีมาเยือนปราสาทนานหลายปีแล้วได้สร้าง
ความประหลาดใจระคนความยินดีให้ควีนไม่น้อยเลย และพร้อมกับความรู้สึกประทับใจครั้งนี้ก็ยังมีอีก
หนึ่งความรู้สึกตามมา นั่นคือความสงสารเวทนาในความงามที่นำภัยมาสู่ตนจนต้องกลายเป็นผู้ถูกล่า
              ทรงรำพึงว่า  "Oh, you're a beauty." แล้วทรงส่งเสียงไล่เพื่อให้เจ้ากวางหนีไปให้พ้น
จากผู้ตามไล่ล่า  "Shoo! Shoo! Go on! Go on. Go on!"

            เจ้ากวางตัวเอกของฉากนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการตีความแตกต่างกันไป                  

            บ้างว่า กวางเขางามนี้ แทน สภาวะภาคภูมิสง่างามที่ไม่มั่นคง(เพราะนำมาซึ่งภัยพราน) ของควีน
ในขณะที่คนเขียนบทกล่าวว่า หมายถึง สิ่งที่ได้รอดพ้นและคงอยู่ยืนยาวนานเกินกาลอายุขัย

ชะตากรรมของเจ้ากวางเขางามตัวนี้ได้รับการเปิดเผยในเวลาต่อมา....

           ควีนเสด็จไปดูเจ้ากวางที่อาคารจัดการศพ พบร่างของเจ้ากวางถูกจับห้อยหัวซึ่งไม่อยู่กับตัวแล้ว
ทรงมองหัวกวางพร้อมเขางามที่วางอยู่และเอื้อมมือไปสัมผ้สที่รอยกระสุนพิฆาตแล้วตรัสว่า

            "I hope he didn't suffer too much"

 ฉากนี้สะเทือนใจมาก     คนเขียนบทเขียนเก่งที่สามารถสร้างภาพควีนให้ดูเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา มีความอ่อนไหว สะเทือนใจ   ไม่ได้เป็นแต่เพียงควีนที่เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามของประเทศ
  เรื่องกวางถูกล่าในเรื่องก็เหมือนกัน    ตีความกันออกมาหลากหลาย   รอคุณหมอ SILA เล่าก่อนแล้วค่อยเล่าว่าดิฉันเองตีความยังไงแบบไหน

คลิปฉาก กวางป่าเขางาม (The Stag Scene)

https://www.youtube.com/watch?v=ywvhBhRLoJo

              ถึงตอนนี้ที่กวางเขางามชะตาขาด, บางคนตีความว่าหมายถึง การสิ้นสุดของค่านิยมและประเพณีดั้งเดิม
ของอังกฤษเมื่อเผชิญกับเป้าหมายและอุดมคติใหม่ในยุคของนายกฯ  Tony Blair แห่ง Labour Party

(ภาพจากตอนจบ, ควีนและท่านนายกฯ "ก้าวไปด้วยกัน" ในที่สุด)

               ความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่า กวางเขางามนี้เป็นสัญลักษณ์แทนเจ้าหญิงไดอะน่า นามนี้ในตำนาน
(โรมัน - Diana, กรีก - Artemis) คือ เทวีแห่งการล่าและจันทรา แต่ทว่าในชีวิตจริงเจ้าหญิงกลับเป็นผู้ถูกล่า
โดยฝูงปาปารัซซี่ที่เฝ้าติดตามไปทุกหนแห่ง

รูปสลัก  Diana of Versailles (Louvre Museum, Paris)

             เมื่อควีนเห็นกวางถูกตามล่าก็ทรงเมตตาห่วงใยและออกเสียงไล่หวังให้รอด ต่อมายังตามไปดูร่างกวาง
ที่เสียชีวิตจากการล่า, ทรงรู้สึกสงสารในชะตากรรมของผู้ถูกล่าจนถึงชีวิตซึ่งคล้ายคลึงกับของชะตากรรมของอดีต
พระสุณิสา
             กับกวางป่ายังทรงรู้สึกสงสารเสียใจแล้วกับเจ้าหญิงไดอะน่าผู้เป็นมารดาของพระราชนัดดาที่รักทั้งสอง
ที่แม้ว่าอดีตจะมีเรื่องบาดหมางจนต้องออกจากราชวงศ์ แต่ถึงวันนี้เจ้าหญิงก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว พระองค์ย่อมทรง
(ควรให้อภัยและ)รู้สึกเสียใจอาลัยบ้างไม่มากก็น้อย

            ในที่สุด ควีนเสด็จกลับมหานคร พสกนิกรรอรับเสด็จมากมายบริเวณหน้าพระราชวังที่ซึ่ง
บัดนี้มากมีมวลดอกไม้และบัตรแสดงความรู้สึก(ทั้งรักทั้งชัง) ก่ายกองเป็นเนินสูง

            มีพระราชดำรัส (The Queen's Tribute) ที่ผู้คนต่างใจจดจ่อเฝ้ารอฟังการถ่ายทอด
ออกอากาศสู่สาธารณชน

และ เสด็จร่วมพิธีศพของเจ้าหญิงไดอะน่า

(ทีมเขียนบท,ตัดต่อเลือกปิดฉากนี้ด้วย freeze frame ใบหน้าเจ้าหญิงไดอะน่าแบบนี้)

ถ้าเฮเลน มิเรน อวบกว่านี้เล็กน้อย จะเหมือนควีนมากขึ้นไปอีกนะครับ

  ชอบเฮเลนตรงที่เธอทำสีหน้าได้เหมือนควีน   ไม่ใช่เมคอัพหน้าได้เหมือนนะคะ เพราะเธอผอมกว่าอย่างที่คุณ azante ว่า
   จังหวะพูดจา ยิ้ม แสดงสีหน้าท่าทาง วางตัวต่อสาธารณะ เลียนแบบควีนได้เป๊ะๆ จนถ่ายทอดอารมณ์ออกมาสมจริงไปทุกจังหวะ   ทำให้ลืมไปเลยว่าควีนตัวจริงรู้สึกยังงี้หรือเปล่าก็ไม่รู้  ควีนพระองค์จริงอาจรู้สึกไปคนละเรื่องก็เป็นได้

  กวางเขางามตัวนั้น  แน่ใจว่าหมายถึงไดอาน่า  ชะตากรรมเดียวกันกับเจ้ากวาง  ที่ความงามสง่าของมัน นอกจากเป็นความชื่นชมแก่สายตาผู้พบเห็นไม่ว่าจะย่างกรายไปทางไหนแล้ว ยังนำความวิบัติมาสู่เจ้าตัวโดยตรง
 คำพูดของควีนที่ว่า  "I hope he didn't suffer too much" เปลี่ยนเป็น she ซะก็ตรง 100%  ถึงเหตุการณ์ในคืนสุดท้ายในชีวิตของไดอาน่า      ยังทำให้สร้างจินตนาการให้ลึกลงไปได้อีก ว่าควีนอาจทราบว่าไดอาน่าเป็นเหยื่อการล่าของใคร  ไม่ใช่พวกไร้พิษสงไร้น้ำยาของปาปารัสซี่เท่านั้นหรอก

โปรดสังเกตว่าการล่ากวางของเทวีไดอะน่า อาศัยสุนัขล่าเนื้อหลายตัวทีเดียว

ภาพ THE GODDESS DIANA AND HER NYMPHS HUNTING DEER  ผลงานของ Sir Peter Paul Rubens

จาก http://www.sothebys.com/en/auctions/ecatalogue/2014/old-master-british-paintings-day-l14034/lot.106.html

            มีบางที่(ดังได้กล่าวแล้ว) ตีความว่า กวางคือควีน

ลองเทียบเคียงดู
 
                                  ควีน                                                      
        กวางสง่างามแห่งพนาไพร  -  ควีน ในป่าที่สก็อตแลนด์
        สื่อสารมวลชนกดดันควีน  -  เหมือนจะไล่ต้อนให้จำนน แต่
ไม่ถึงกับตามติดและไม่หมายชีวิต

                                  ไดอะน่า
        นามเทวีแห่งการล่า  -  นามหญิงงามผู้ถูกตามล่ามากที่สุดแห่งยุคสมัย
        กวางเขางามถูกตามล่า  -  ไดอะน่าผู้โด่งดังงามสง่าถูกปาปารัซซี่ตามไล่ล่า
        กวางเสียชีวิตจากการถูกล่า  -  ไดอะน่าถูกไล่ตาม
จนเสียชีวิต
      
ถามคุณเพ็ญ คิดว่าทำไมญี่ปุ่นจึงใช้โปสเตอร์แบบแปลกแตกต่างด้วยความมากกว่า - ให้เห็นดวงตาของไดอะน่า

ผู้จัดทำโปสเตอร์คงมีความคิดแบบแรก

ประดุจเทวีไดอะน่าประทับอยู่ในร่างของเจ้าหญิง เป็นดวงตาของผู้ล่าโดยแท้  ;)

สายตาของไดอาน่า บอกความชิงชัง

ถ้าไดอาน่าเป็น "ผู้ล่าโดยแท้" เหตุการณ์เหล่านี้จะต้องเกิด
- ไดอาน่าจับชาร์ลส์ไว้อยู่หมัดตั้งแต่แรก
- ไดอาน่ากำจัดหญิงอื่นกระเด็นไปจากชาร์ลส์จนหมด
- ชาร์ลส์หือไม่ขึ้น
- ควีนไม่สามารถจะทำสิ่งใดได้เลย นอกจากมองอยู่เฉยๆ
- ชาร์ลส์ทนทุกข์ทรมานแต่ไปไม่รอด
- ไดอาน่าไม่ยอมหย่าเด็ดขาด เพราะมันหมายถึงตำแหน่งควีนในอนาคต
- ปาปารัชชี่กระเจิดกระเจิงหนีไดอาน่า ไปประสบอุบัติเหตุตายทั้งหมู่

ในเมื่อเหตุการณ์ข้างบนนี้เกิดในอีกมิติหนึ่ง ไม่ใช่มิติปัจจุบัน   จึงเห็นว่าไดอาน่าคือผู้ถูกล่า ไม่ใช่ผู้ล่า  มันเป็น parody (ย้อนแย้ง) กับชื่อของเธอ

            โปสเตอร์แบบญี่ปุ่นที่ให้เห็นไดอะน่าอยู่เบื้องหลังควีนพร้อมรอยยิ้มและดวงตาแบบนี้ ให้ความรู้สึก
ชัดขึ้นจนนึกถึงว่า หนังเรื่องนี้สมควรมีชื่อไทยว่า ศึกสองนางพญา
            ซึ่งนำเสนอแบบเก๋มาก ตรงที่หนึ่งนางพญานั้นล่วงลับไปไม่มีตัวแสดงรับบท แต่ทั้งคนดูและอีกหนึ่ง
นางพญารู้สึกได้ว่าเธอยัง(มีอิทธิพลหรือฤทธิ์เดช) อยู่ และ เธอยังเฝ้าดูอยู่อย่างสะใจในอุปสรรควิบากชีวิต
ครั้งสำคัญที่อดีตพระสสุรี(แม่สามี) ได้รับ

เช่นเดียวกับซีนพิธีงานศพไดอะน่าที่ทีมงานเลือกใช้ภาพไดอะน่าที่ดูเป็นแบบนางเอกร้ายปิดซีนนั้น

            หลังจากเหตุการณ์,ภารกิจ Saving 13 Wild Boars - หมูป่าพารอดโดยเหล่าวีรบุรุษนานาชาติ
ที่หนึ่งชีวิตได้พลีชีพ เชื่อว่าหลายคนที่ได้เห็นข่าวนี้

จะนึกถึงฉากซึ้งประทับใจในตอนท้ายเรื่องของหนังเก่า

               ที่เปิดเรื่องด้วยฉากเหตุการณ์หลั่งเลือดชะโลมหาด Omaha ในปฏิบัติการรุกนอร์มังดี
ที่กำกับภาพแบบเสมือนว่าคนดูร่วมอยู่ในสมรภูมินั้นด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=DSKerypwUDM

            เมื่อเสียงปืนเสียงระเบิดเงียบลง, ทหารอเมริกันยกพลขึ้นฝั่งได้สำเร็จแล้ว ร้อยเอกมิลเลอร์ผู้รอดได้รับมอบ
ภารกิจพิเศษต่อไปให้ปฏิบัติการตามหาและพาตัวพลทหารเจมส์ ฟรานซิส ไรอัน กลับออกมาจากสมรภูมิโดยสวัสดิภาพ
เนื่องจากเขาเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลไรอันที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่พี่ชายทั้งสามล้วนได้พลีชีพในสงครามครั้งนี้
ไปแล้ว 
            กองกำลังทหาร 8  นายฝ่าภยันตรายเสี่ยงตายและบางรายถึงตายเพื่อภารกิจ - แปดชีวิตเพื่อหนึ่งชีวิตที่ไม่ได้
รู้จักมักคุ้นหรือเป็นญาติกัน

              หลังจากการตามหาฝ่าสมรภูมิที่มีการสูญเสีย เมื่อได้พบตัวพลทหารไรอัน,แจ้งข่าวพี่ชายแล้ว
จะพากลับ แต่ไรอันปฏิเสธที่จะละหน้าที่พิทักษ์สะพานซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่รับผิดชอบอยู่

            ร้อยเอกมิลเลอร์และลูกทีมที่เหลือจึงร่วมด้วยช่วยไรอันปฏิบัติภารกิจนี้ให้ลุล่วงโดยมีความสูญเสีย
ส่งท้ายคือ ความตายของมิลเลอร์

https://www.youtube.com/watch?v=QnX_mQ9apu8

ก่อนที่ลมหายใจจะสุดสิ้น, ร้อยเอกมิลเลอร์ได้เอ่ยถ้อยคำสุดท้ายกับพลทหารไรอันว่า

https://www.youtube.com/watch?v=Lv-67DFlOsM

              “James.... earn this. Earn it.”

คำพูดภาษาอังกฤษสั้นๆ แต่กินความหมายหลายคำไทย ถ้าจะแปลให้สั้นพอดีปากสำหรับพากย์ไทยคงได้
ประมาณ
              "เจมส์....ได้(รอดชีวิต)มา ใช้(ชีวิตนี้อย่างมีคุณค่าให้)คุ้ม"

และ บทสรุปในฉากสุดท้าย คือ(อดีตพลทหาร) ไรอันในวัยชรา ณ สุสานทหารผ่านศึกสงครามโลก และ
คำกล่าวต่อหน้าหลุมศพร้อยเอกมิลเลอร์ว่า

             ผมคิดถึงสิ่งที่ท่านได้บอกผมที่สะพานในวันนั้นทุกวัน และผมได้พยายามที่จะมีชีวิตอย่างดีที่สุด
เท่าที่จะทำได้ ผมหวังว่าน่าจะดีพอ และหวังว่าอย่างน้อยในสายตาท่านๆ จะเห็นว่าผมได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า
เต็มเปี่ยมสมกับทุกสิ่งที่ทุกท่านได้ทำเพื่อผม

             ดาวดวงนี้ยังไม่ดับลับจากฟากฟ้า แต่เปลี่ยนองศาโคจรไปอยู่เบื้องหลังดาวดวงอื่น

             เป็นข่าวในหลายสื่อ เมื่อ(อดีต)พระเอกหนุ่มรูปงามขวัญใจสาวๆ Robert Redford ประกาศอำลาบทบาทการแสดง
หน้ากล้อง แต่จะยังคงทำหน้าที่ผกก.อยู่เบื้องหลังสร้างสรรค์ผลงานต่อไป ใครจะรู้, อาจจะกำกับจนได้รับออสการ์สาขาผกก.เป็น
ตัวที่สองในวันหน้า หลังจากที่เคยได้มาแล้วจากเรื่อง  Ordinary People เมื่อปี 1981

            ที่ปัจฉิมวัย 80 ปีกว่า คุณปู่มาไกลทั้งสังขารและผลงานประทับใจมากมาย

ภาพล่าของคุณปู่ในงานเทศกาลภาพยนตร์นอกกระแส 2018 Sundance Film Festival

และ บทบาทการแสดงเรื่องสุดท้ายของคุณปู่ใน The Old Man & the Gun

ใจหายหมด นึกว่าคุณปู่ปุบปับลับฟ้าไปเสียแล้วซีคะ

ยังอยู่เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ ครับ

           บนหนทางดารา, จากงานแสดงละครเวทีคุณปู่ย้ายมาลงจอแก้วแรกเริ่มประเดิมที่  Maverick ตอน "Iron Hand"
ในปี 1960 แล้วตามด้วยผลงานเรื่องอื่นๆ ในทีวี            

          ก่อนที่จะข้ามมาสู่จอเงิน ได้แสดงประกบนางเอกสาว Natalie Wood ในหนังผลงานกำกับโดย Sydney Pollack
เรื่อง This Property Is Condemned ในปี1966 ตามด้วย Barefoot in the Park ในปีต่อมา 1967 ประกบ Jane Fonda
เรื่องหลังนี้คุณปู่เคยรับบทมาแล้วเมื่อครั้งเป็นละครเวที

          จนกระทั่งถึงปี 1969 คุณปู่ก็มีผลงานภาพยนตร์ที่ทำให้คุณปู่โด่งดังเป็นนักแสดงแถวหน้าเจิดจ้าบนฟากฟ้า
ด้วยเรื่อง Butch Cassidy and the Sundance Kid

ภาพนิ่งสีซีเพียตรึงติดตาตอนจบของเรื่องที่ใช้สื่อถึงความเป็นตำนานของสองสิงห์ชาติไอ้เสือ เหมือนจะเป็นคำทำนาย
ว่าสองนักแสดงคู่นี้คือว่าที่ตำนานฮอลลีวู้ดในวันหน้า

           เท่านั้นยังไม่พอ,ตอกย้ำความแรงของสองนักแสดงนำชายคู่นี้อีกครั้งด้วยเรื่อง The Sting ในปี 1973
ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งรายได้และรางวัลต่างๆ  รวมทั้งการได้รับเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์สาขานำชาย
ของคุณปู่ด้วย

            ถึงตอนนี้คุณปู่ก็ฉายแสงเจิดจ้าอยู่ ณ แดนดาว มีผลงานหนังตามมามากมายหลายเรื่องก่อนที่จะเริ่มผันตัวไป
ทำงานเบื้องหลังเป็นผู้กำกับสร้างผลงานระดับรางวัลออสการ์ให้คุณปู่ดังได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

รวมผลงานหลากหลายเรื่องเรียงรายฉายภาพคุณปู่จากหนุ่มน้อยสดใสสู่วัยโรยรา
(สื่อปากร้ายบางเจ้าเขียนว่า From Sundance Kid to Sunburnt Kid)

เป็นหนึ่งในสองตำนานของฮอลลีวู้ด - สองคุณปู่ ผู้กำกับ,นักแสดงชื่อดังที่ยังคงรังสรรค์ผลงาน
Clint Eastwood(88) & Robert Redford(82)         

            และ มรดกสำคัญที่คุณปู่มอบให้เด็กรุ่นใหม่ในวงการคือการก่อตั้ง Sundance Institute (ชื่อที่สื่อถึงผู้ก่อตั้ง
ซึ่งดังมาจากหนังเรื่องนั้น) ขึ้นในปี 1981 ที่ต่อมาสถาบันนี้ได้เข้าบริหารจัดงานเทศกาล US Film Festival แล้วเปลี่ยน
ชื่อเป็น Sundance Film Festival ในปี 1991 งานนี้เปิดจอให้โอกาสสำหรับหนังนอกกระแส(นอกสตูดิโอ) ของเหล่า
ผู้สร้างหน้าใหม่ไฟแรงสูง

ขอคั่นโปรแกรมด้วยข่าวดาวดวงใหญ่ลับลาจากฟ้าไปอีกดวง
เบิร์ต เรย์โนลด์ ผู้โด่งดังในยุค 1970s  จากไปในวัย 82 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=y8H-D9eFE3c

1970s Sex Symbol - Burt Reynolds(1936 – September 6, 2018) จากไปด้วยวัย  82 ปีจากโรคหัวใจ

กับ Dolly Parton และเพลง I Will Always Love You ในฉากจบของหนังเพลง
The Best Little Whore House In Texas

https://www.youtube.com/watch?v=HnA0uv7wko4

https://www.youtube.com/watch?v=yF_v_HoJo50

บิล  เดลี่ ดาวดวงเล็กๆ แต่อยู่บนฟ้าฮอลลีวู้ดยาวนานถึง 50 ปี ดับไปอีกดวงแล้ว
ใครที่ทันดู I Dream of Jeannie หรือทรามวัยกายสิทธิ์ คงจำผู้พันฮีลี่ เพื่อนของผู้การเนลสันพระเอกของเรื่องได้
เพราะเขาออกทุกตอน
เป็นเพื่อนรักที่คอยจะหักเหลี่ยมเพื่อน ขโมยจีนนี่ไปเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบทุกตอน  แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ

บิลเวียนว่ายอยู่ในวงการโทรทัศน์ตั้งแต่หนุ่มจน 91   แม้ว่าอายุมากจนเล่นประจำไม่ได้แล้ว เขาก็แวะเวียนมาเป็นแขกรับเชิญในหลายรายการด้วยกัน จนจากไปในวัยสุกงอมเต็มที่

ในภาพนี้ ตอนนี้ก็เหลือแต่จีนนี่คนเดียวเท่านั้น

เมื่อครบรอบ 50 ปี I Dream of Jeannie
บิล เดลี่ คนซ้ายสุด

https://www.youtube.com/watch?v=iQSge6E5zq4

           อำลาบทบาทหน้ากล้องของคุณปู่ ด้วยฉากประทับใจจากหนังเรื่อง The Way We Were(1973)
"สุดทางรัก" ที่คุณปู่นำแสดงคู่กับนักแสดง,นักร้องหญิงแถวหน้า Barbra Streisand

ซึ่ง หนังสือ Barbra Streisand: Redefining Beauty, Femininity, and Power เล่าว่า   
          Streisand had quite the crush on the actor. It was obvious Barbra was just too,
too crazy about Bob.
          She had a hard time controlling her emotions.

            หนังเป็นผลงานกำกับโดย Sydney Pollack ผกก.ที่เคยร่วมงานหนังกับคุณปู่มาตั้งแต่ครั้งทั้งคู่ยังเป็น
นักแสดงหน้าใหม่ในวงการ แล้วผูกพันธ์เป็นมิตรกันต่อเนื่องถึงกึ่งศตวรรษจนคุณปู่ซิดนีย์จากไปก่อน

ผลงานหนังของสองคุณปู่(แสดง,กำกับ) รวมทั้งสิ้น 7 เรื่อง

            ฉากจบ เมื่อคนรักต่างขั้ว(ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา) ที่หย่าแยกจากกันไปตามทางของตนแล้วบังเอิญ
ได้มาเจอกัน เขาทำงานเป็นนักเขียนบทมากับสาวสวยดูดี ส่วนเธอก็แต่งงานใหม่แล้วและยังคงซื่อตรงต่อแนวทางของเธอ
            หลังการพูดคุยไม่นานนักและการถามไถ่ถึงลูกสาวของทั้งสองกับพ่อเลี้ยง, ต่างคนก็แยกย้ายจากกัน เขาไปทาง
ส่วนเธอคงอยู่แถวนั้นกับงานของเธอ, เดินแจกใบปลิวพลางส่งเสียงประท้วง "Ban the bomb"

Memories                                                           So it's the laughter
May be beautiful, and yet                                    We will remember
What's too painful to remember                           Whenever we remember
We simply choose to forget                                  The way we were

คลิปที่เลือกแล้วว่าสมบูรณ์กว่าคลิปอื่นๆ

https://www.youtube.com/watch?v=Q6eKs-nRoSk

และ, สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด, โปสเตอร์หนังของคุณปู่ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ, เข้ากับเนื้อเพลง

      Misty water colored mem'ries of the way we were

           นสพ.ข่าวภาษาอ.ในไทยสองฉบับพร้อมใจกันลงเรื่องราวหนังไทยเรื่องสำคัญในอดีตที่ได้รับการบูรณะ
ฟิล์มใหม่ใสสดแล้วจะนำกลับมาฉายให้คนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ได้รับชมกันที่โรงหนัง สกาลา(เจ้าเก่า) ในวันพรุ่งนี้
(และ คงจะมีการฉายอีกครั้งในเดือนถัดไป - ข้อมูลจากคอลัมนิสท์)

            แผลเก่า(พ.ศ. ๒๕๒๐) ผลงานกำกับโดยคุณ เชิด ทรงศรี ที่ประสบความสำเร็จบนเวทีรางวัลและทำรายได้สูงสุด
เป็นประวัติการณ์ในยุคนั้น
            ฉายวันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561 เวลา 20.00 น. ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ เชิด ทรงศรี ที่ สกาลา

อ่านเรื่องราวของ แผลเก่า แบบยาวจุใจได้ที่ https://goo.gl/JxhR7n

             ภาพยนตร์เรื่อง แผลเก่า สร้างจากบทภาพยนตร์ดัดแปลงโดย รพีพร(สุวัฒน์ วรดิลก) และ ธม ธาตรี
(นามปากกาประพันธ์นิยายของ เชิด ทรงศรี) จากเรื่อง แผลเก่า ของนักประพันธ์นิยายแนวลูกผู้ชายลูกทุ่ง

ไม้ เมืองเดิม(ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา พ.ศ. ๒๔๔๘ – ๒๔๘๕)
 
              เริ่มแต่งนิยายมีผลงานชิ้นแรก - เรือโยงเหนือ แต่ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนสนใจ ผลงานเรื่องที่สอง -
ห้องเช่าเบอร์ ๑๓ ก็ยังคงได้รับการปฏิเสธ แต่เพื่อนสนิท เหม เวชกร จิตรกรมีชื่อผู้ตั้งสำนักพิมพ์ออกหนังสือ
คณะเหม รับเข้าเป็นนักเขียนประจำ หลังจากที่ได้ตีพิมพ์ผลงานเรื่องแรก - ชาววัง แล้วปรากฏว่าได้รับเสียง
ตอบขับไล่อย่างมากมายจากผู้อ่านจนนายก้านรู้สึกทดท้อ

จากย่ามความทรงจำ ของ เหม เวชกร เขียนลงนิตยสารฟ้าเมืองไทย เล่าที่มาของนิยายเรื่องแผลเก่า ที่ได้ชุบ
ชีวิตนักเขียนของ ไม้ เมืองเดิม ว่า

              ครูเหมพาเพื่อนรักนายก้านผู้ทดท้อไปเดินเล่นเพื่อผ่อนคลายที่ท้องทุ่งยามเย็นบนทางรถไฟสาย
ตะวันออก  ครูเหมให้กำลังใจและแนะให้นายก้านจับปากกาเขียนเรื่องใหม่อีก โดยชี้ไปที่กระท่อมกลางทุ่งนา
ยามสนธยาแลเห็นแสงไฟรำไร แล้วให้จินตนาการว่าได้เกิดเหตุกาณ์อะไรขึ้นที่นั่น นายก้านมองไปทางนั้นแล้ว
นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่สักพักก็ได้พล็อตเรื่องนิยายแห่งท้องทุ่งนาเรื่องใหม่
              เพียงเวลาไม่กี่วันงานเขียนชิ้นใหม่เรื่อง แผลเก่า จากนามปากกาใหม่ ไม้ เมืองเดิม ก็ได้รับการตีพิมพ์
ออกเผยแพร่ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ด้วยลีลาการเขียนที่แปลกแตกต่างจากคนอื่นในยุคสมัยนั้นและเนื้อเรื่องแนวลูกทุ่ง
โดนใจทำให้นักอ่านต่างพึงพอใจให้การตอบรับเป็นอย่างดีต่อเนื่องถึงผลงานต่อๆ มาจากนามปากกา ไม้ เมืองเดิม

           ครูเหมเขียนถึง ไม้ เมืองเดิมอีกครั้งเป็นยามบั้นปลายชีวิตของ ไม้ เมืองเดิมผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง
จนมีอาการมือสั่นต้องใช้ผ้ามัดมือไว้ยามจะเขียนหนังสือ แล้วท้ายที่สุดก็ไม่สามารถเขียนหนังสือได้
          ภาพที่วาดเป็น ไม้ เมืองเดิมที่ป่วยหนักร่างกายซูบผอมนอนอยู่ในห้องเช่าบอกให้ภรรยาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
จดนิยายตามคำพูด (ไม้ เมืองเดิม จากไปอย่างยากไร้,ภรรยาไม่มีเงินที่จะทำศพ ต้องขายลิขสิทธิ์นิยายทั้งหมด
ของท่านเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย)  

ส่วนภาพกำเนิดนิยายแผลเก่านี้ ครูเหมวาดให้เห็นเป็นชายหนุ่มสองคน สวมเสื้อคอกลม แขน(ยาวพับ)สั้น
นุ่งกางเกงแพรยืนหันหลังให้ คนหนึ่งชี้นิ้วไปที่กระท่อมเบื้องหน้า

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ writerssecret.co - https://goo.gl/Nbmkg7

ไม้ เมืองเดิม /วาดโดย อุกฤษณ์ ทองระอา และ เหม เวชกร(17 มกราคม พ.ศ. 2446 - 16 เมษายน พ.ศ. 2512)

(ข้อมูลจาก หอภาพยนตร์)    

             ก่อนจะมาถึง แผลเก่า ฉบับเชิด ทรงศรี ปี ๒๕๒๐ นี้, แผลเก่า ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉาย
มาแล้ว ๒ ครั้ง ดังนี้
    – พ.ศ. ๒๔๘๓  ภาพยนตร์ฟีล์ม ๓๕ มม. ขาว-ดำ พากย์สด(โดยทิดเขียว - จากใบปิดโฆษณา)
สร้างโดย “บูรพาศิลป์ภาพยนตร์” (บริษัทสร้างภาพยนตร์ในยุคแรก ๆ ของไทย)
กำกับโดยพรานบูรพ์ ผู้ได้แต่งเพลงประกอบเรื่องคือ เคียงเรียม สั่งเรียม และขวัญ(ของ)เรียม
นำแสดงโดย สมพงษ์ จันทร์ประภา และ อบเชย ชุ่มพันธ์
   – พ.ศ. ๒๔๙๗  ภาพยนตร์ฟีล์ม ๑๖ มม. สีธรรมชาติ พากย์สด สร้างโดยบูรพาศิลป์ภาพยนตร์อีกครั้ง
กำกับโดย อรรถ อรรถไกวัลวที, นำแสดงโดย ชีพ ชูพงษ์ (ท้วม ทรนง) และ พรทิพย์ โกศลมัชชกิจ

           จากจอเงิน, แผลเก่า ได้ถูกนำมาถ่ายทอดสู่จอแก้วทางไทยทีวีช่องสี่ บางขุนพรหม เมื่อ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗
จากการกำกับโดย ทัต เอกทัต, นำแสดงโดย พระเอกของช่องผู้โด่งดัง - กำธร สุวรรณปิยะศิริ และ นางเอกใหม่เอี่ยม -
นันทวัน เมฆใหญ่       
           หลังจากจบละครเรื่องนี้ที่เป็นผลงานชิ้นแรก, นันทวันก็จากเมืองไทยไปศึกษาต่อต่างแดน ก่อนที่จะกลับมาแล้ว
แต่งงานกับพระเอกกำธรในเวลาต่อมา ทั้งสองครองคู่อยู่ยาวนานตราบจนฝ่ายชายจากไปเมื่อพ.ศ. ๒๕๕๓

โดม สุขวงศ์ นักอนุรักษ์ภาพยนตร์เกียรติคุณ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) กล่าวถึงละครครั้งนั้นว่า
            "ส่วนตัวแล้วเราประทับใจ แผลเก่า ในภาพที่เป็นละครทีวีในวัยเด็ก รู้สึกว่ามันครอบงำเราอยู่หลายวัน
เพราะฉะนั้นมันมีความรุนแรงในทางความรู้สึก เหมือนกับรักสาวครั้งแรก.."

สองภาพของคุณกำธร มาจากละครเรื่อง รอยไถ และ ลูกทาส

ข้อมูลจากหอภาพยนตร์ที่คุณศิลายกมา ก่อนการสร้างแผลเก่าใน พ.ศ. ๒๕๒๐ มีการสร้างเพื่อฉายทางจอเงินแล้ว ๒ ครั้ง คือใน พ.ศ. ๒๔๘๓ และ ๒๔๙๗ และฉายทางจอแก้วเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗

แต่ข้อมูลจาก คุณวิกกี้ (https://th.m.wikipedia.org/wiki/แสนแสบ_(เพลง)) มีว่า

แสนแสบเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแผลเก่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร ต่อมานำกลับมาขับร้องใหม่โดย ไพรวัลย์ ลูกเพชรประกอบภาพยนตร์ แผลเก่า (๒๕๒๐)ของ เชิด ทรงศรี

https://youtu.be/JQkr5YlrsL4

แผลเก่า พ.ศ. ๒๕๐๓ มีจริงไหมหนอ

ข้อมูลจากหอภาพยนตร์ เป็น ข้อมูลประกอบสกู๊ป แผลเก่า ฉบับบูรณะ นั่นคือ ล่าสุด,(น่าจะ) เป็นที่สุด

       ส่วนตัวแล้วเคยได้ยินแต่ แผลเก่า ฉบับที่สอง ที่คุณท้วม ทรนง แสดงเป็นพระเอก เพราะเป็นที่กล่าวถึงว่า
คุณท้วมที่สมบูรณ์และแสดงตลกในจอทีวีคนนี้ ในอดีตเคยเป็นพระเอกแผลเก่ามาก่อน
       หลังจากนั้นแล้วก็มาเป็นละครทีวีก่อนที่จะเป็นแผลนี้ที่ พ.ศ. ๒๕๒๐ สาเหตุที่ทิ้งช่วงนานไม่มีใครนำมาสร้าง
น่าจะเป็นเพราะ วงการหนังไทยสมัยก่อนนั้น(ยุคมิตร เพชรา) นิยมหนังที่มีพระเอกหล่อ,นางเอกสวย เนื้อหาพาฝัน
และจบลงด้วยความสุข ไม่ใช่พระเอก,นางเอกมอมแมมโคลนกลางทุ่งนา ซ้ำร้ายยังตายคู่ตอนจบ

เพลง แสนแสบ นั้นเป็นเพลงร้องของคุณชรินทร์ เคยฟังมาแต่ก่อนเก่า (อาจจะ) แต่งในปีพ.ศ. ๒๕๐๓ แล้วคุณเชิด
นำมาดัดแปลงเนื้อร้องนิดหน่อยเพื่อใช้ในแผลเก่า ๒๕๒๐

ดิฉันเข้าใจว่า แสนแสบ กับ แผลเก่า เป็นหนังคนละเรื่อง   แต่แต่งโดยคนเดียวกันคือไม้ เมืองเดิม
ส่วนเพลง แสนแสบ มีเนื้อร้อง 2 เวอร์ชั่น  เวอร์ชั่นหนึ่งประกอบเรื่องแสนแสบ   อีกเวอร์ชั่นหนึ่งประกอบเรื่อง แผลเก่า
ค่ะ

เป็นไปได้ไหมว่าปี 2503  หนังที่ออกฉายคือแสนแสบ  ไม่ใช่แผลเก่า

ใช่ ท้วม ทรนงเคยเป็นพระเอกหนัง แผลเก่า มาก่อนจะเข้าทำงานที่ช่อง 4  แล้วกลายเป็นดาวตลกชื่อดัง
จำได้ว่าเคยเห็นรูปเก่าของคุณท้วมสมัยเล่นแผลเก่า ยังผอมอยู่   หน้าตาเข้าท่าเป็นพระเอกได้ทีเดียว     แต่เมื่อมารุ่งทางตลกจอแก้ว    คุณท้วมก็ไม่หวนคืนจอเงินอีก

ได้ความจาก amp.mgronline.com

            เพลงแสนแสบนี้บันทึกแผ่นเสียง โดย ชรินทร์ นันทนาคร เมื่อ ปี พ.ศ.2503

ซึ่ง ครูชาลี อินทรวิจิตร เล่าต่อไว้อีกว่า

            ...แสนแสบ จากปลายปากกาของ ไม้เมืองเดิม (ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา) จะยิ่งใหญ่แค่ไหน คนที่หยิบจับ
หนังสือของเขาขึ้นมาอ่าน ก็จะรู้ซึ้งถึงแก่นแท้แห่งธรรมชาติ เอกลักษณ์ความเป็นไทย จะประทับใจในภาษาอักษรที่
เขานำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น ชายสามโบสถ์ หนามยอก หนามบ่ง ลมตะเภา สินในน้ำ รอยไถ เกวียนหัก (เป็นภาพยนตร์ที่
ผมกำกับเอง) โดยเฉพาะ แผลเก่า และ แสนแสบ
      
             ผมนำเค้าโครงของนวนิยายทั้ง 2 เรื่องนี้ มาผูกกันเป็นบทเพลง ให้ ชรินทร์ นันทนาคร บันทึกแผ่น...

             จำได้ว่า หลังจาก แผลเก่า ๒๕๒๐ แล้วก็จะมีหนังไทยลูกทุ่งหลายเรื่องตามมา รวมทั้งเรื่อง แสนแสบ ด้วย

แสนแสบเวอร์ชั่นจอแก้วล่าสุด พ.ศ. ๒๕๔๔ ออกอากาศทางช่อง ๕  กำกับการแสดงโดย ฉลวย ศรีรัตนา/คิด สุวรรณศร นำแสดงโดย ดอม เหตระกูล, บุญญารัตน์ (นาเดีย) นิมิตรวานิช และวรรณพร ฉิมบรรจง

https://youtu.be/RaYX7dZP5gU

นอกจาก(บทบาทการแสดงในละคร) แผลเก่า คราวนั้นแล้ว, สองนักแสดงนำยังได้ฝากเสียงร้องเพลงประกอบละคร
ผลงานอมตะของครูพรานบูรพ์ทั้ง ๓ เพลงไว้ให้ประทับใจผู้ฟังมาจนถึงวันนี้ ขวัญ(ของ)เรียม, เคียงเรียม, สั่งเรียม

https://www.youtube.com/watch?v=vd1wXqfk5eI&t=8s

https://www.youtube.com/watch?v=417HgBSXbhU
 

ส่วนเพลงเอกใน แผลเก่า ๒๕๒๐ ประกอบด้วย ๓ เพลงเดิมของครูพรานบูรพ์ และ เพิ่มอีก ๒ เพลง ได้แก่
     แสนแสบ ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงดังของชรินทร์ นันทนาคร, คำร้องโดย ชาลี อินทรวิจิตร,ทำนองโดย สมาน กาญจนะผลิน
บันทึกแผ่นเสียง พ.ศ. ๒๕๐๓ นำมาแปลงเนื้อร้องเล็กน้อย กับ
     ลำนำแผลเก่า แต่งขึ้นใหม่ โดย ครูสง่า อารัมภีร์ และ ธม ธาตรี
     ขับร้องโดยสองนักร้องลูกทุ่งแถวหน้าแห่งยุค ผ่องศรี วรนุช และ ไพรวัลย์ ลูกเพชร
     เรียบเรียงเสียงประสานโดย ชลหมู่ ชลานุเคราะห์ บรรเลงโดยวงดุริยางค์ กรมศิลปากร

รับฟังได้ที่ https://soundcloud.com/rabbit1963/sets/gd5myt0osbaz

           "แม่แกว่า...ผู้ชายหน่ะเหมือนปลา พอน้ำใหม่มามันก็ไปกับน้ำใหม่ ฉันจึงกลัวนักเออ"
           "อ๋อ เรียม ก็จริงของแกอยู่บ้างหรอก แต่ใจฉันหน่ะเห็นว่า น้ำใหม่มันก็น้ำเก่า ไอ้น้ำเก่ามันก็ไหล
มาเป็นน้ำใหม่ ขึ้นๆลงๆอยู่ในคลองเดียวกันนั้นแหล่ะ
            เรียมเอ๋ยอย่ากลัวเลยพี่ไม่ใช่ปลารักน้ำอย่างว่าหรอก หัวใจพี่เติบ หัวใจพี่ใหญ่ อย่างตะเข้รักวัง
ถึงน้ำเก่าจะไปน้ำใหม่มันจะมาหรือน้ำมันจะแห้งขอดจนพี่ต้องตายคาวัง..เพื่อต้องตายอยู่กับเรียมคนเดียวจริงๆ"

ขอบคุณคุณหมอSILA มากครับ
แผลเก่า เวอร์ชั่น คุณเชิด ทรงศรี นับไปนับมา 40 ปีเข้าให้แล้ว เคยประทับใจมากเมื่อครั้งนู้น โดยเฉพาะเพลงประกอบภาพยนต์
ลำนำแผลเก่า ที่ขับร้องโดย ไพรวัลย์ ลูกเพ็ชร และคุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา ทางต่างกัน แต่ร้องเพราะทั้งสองเวอร์ชั่น

https://www.youtube.com/watch?v=WOjYn3Y-I44

https://www.youtube.com/watch?v=IFJlSUYzPoc

          เรียมเศร้า คิดแล้วยิ่งเศร้า เจ้าขวัญใช่อื่นไกลเลยแม้จะเป็นชาวไร่ชาวนา มันก็รักจริง
หัวใจรักของมันหลักแหลมแก่กล้า มิเพราะมันรักหรือพี่เริญกับพ่อจึงอยู่โดยสวัสดิ์ ส่วนนายจ้อย
ต้นเรื่องถูกฟันอย่างหนำใจ
          เรียมคิดขนลุกขนพองถึงคืนหลัง ๓ ปีโน้น ขวัญมอมหน้าตัดฝาเข้าไปในโรงนา มันมาหา
ด้วยความรักที่ซื่อสัตย์ ฝ่าอันตราย แล้วเธอเล่า ขณะนั้นรู้สึกเช่นไร รักมัน-หลงมัน โธ่เอ๋ย ขวัญ_เอ๋ย
ฉันผิดเสียแล้วที่หลอกลวงทรมานให้คอยฉันจนป่านนี้ โอ้_พี่ขวัญ ฉันผิดลึกนัก ฉันลืมแผลเก่าของฉัน
เพราะกรุงเทพแท้ๆ กรุงเทพฯให้ความเพลิดเพลินซึ่งฉันไม่เคยพบเลยในทุ่งบ้านเรา
           ฉันหลับอยู่ทุ่งบางกะปิตั้งแต่เกิดมาจนรุ่นสาว และฉันก็เสียสาวเพราะขวัญของฉัน_ฉันมาตื่นเอา
ในกรุงเทพฯ เพียง ๓ ปีเท่านั้นฉันก็ลืมที่นอนซึ่งหลับอย่างแสนสบายมาแต่เล็ก ฉันกำลังหลับอยู่กลาง
พระนครเมื่อ ๓ ปีมานี้
           และก็บางกะปินี่เองที่ปลุกให้ฉันตื่นรู้จักบ้านเกิดเมืองนอนของฉันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับจากบางกะปิ
เมื่อกลับจากเธออย่างหญิงเจ้าเล่ห์ นายขวัญ_พี่ขวัญ บางกะปิของเราปลุกฉันตื่นแล้ว บางกะปิของเราทุกหย่อม
หญ้า วังน้ำนั่นสุขกว่ากรุงเทพฯเป็นไหนๆ

https://www.youtube.com/watch?v=svG7RYb2MA0

ขอบคุณคุณหมอศิลา และอาจารย์เทาชมพู ที่กรุณาจัดให้ทันทีทันควัน
บรรยากาศเดิมกลับมาอีกครั้ง
จริงๆแล้วได้เข้ามาอ่านกระทู้ต่างๆทุกวัน วันละสองครั้ง เป็นกิจวัตรไปแล้ว

มาอ่าน,ฟังต่อครับ

            อีกหนึ่งเพลงไทยสากลเพิ่มเติมที่เชิดได้เลือกนำมาใช้ประกอบแผลเก่า ๒๕๒๐ เป็นเพลงสำคัญอันเป็น
หมุดหมายแห่งยุคสมัย นั่นคือ เพลง วอลซ์ปลื้มจิต ประกอบฉากออกงานราตรีสโมสรที่บางกอกของ "เรียมคนใหม่"
กับชายคนใหม่ชาวกรุง

            เพลงวอลซ์ปลื้มจิต นี้, อ.จำนง รังสิกุล กล่าวว่า เป็นเพลงไทยสากลเพลงแรกของไทย นิพนธ์เมื่อพ.ศ. ๒๔๔๖
โดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ผู้ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่แต่ง "เพลงอย่างฝรั่ง" และนับถือว่าทรงเป็น
"พระบิดาแห่งเพลงไทยสากล"  แต่แรกเป็นเพลงบรรเลงแล้วต่อมาครูพรานบูรณ์ได้แต่งเนื้อร้องเข้าทำนองในปี พ.ศ. ๒๔๗๔

https://www.youtube.com/watch?v=yOEij8HpJRE

            นอกจากเพลงไทยสากลแล้ว เชิดยังได้ตั้งใจนำเพลงพื้นบ้านภาคกลาง เช่น ลิเก ลำตัด ด้น เหย่ย ฉ่อย
พวงมาลัย นางหงส์ มาประกอบ(แม้เพลงๆ นั้นจะไม่ได้ใช้ร้องในแถบบางกะปิตามท้องเรื่อง) ทำให้ได้กลิ่นอาย
สายเสียงชาวบ้านในชนบท อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนเรื่องราวในหนัง ไม่ว่าจะเป็นการบอกนิสัยร่าเริง รักสนุกของขวัญ
จากเพลงที่เขาร้อง หรือ การสร้างบรรยากาศของเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยเพลงกล่อมขวัญนาค กล่อมลูก ที่ถ่ายทอด
ความรักของพ่อแม่และบ่งบอกว่าขวัญจะบวช

บางเพลงลิเกที่ขวัญร้องเกี้ยวเรียม

      แม่นุ่งดำยืนเด่น พี่อยากจะเป็นเกี่ยวดอง
      แต่วาสนาพี่มันต้องจึงไม่สะเด็ดสะเด่า
      ขวัญรักเรียมยังไม่สะดวกเหมือน้ำลวกสะเดา

            หลังการจากไปของพระเอกในตำนาน - มิตร ชัยบัญชา เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๓ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญในวงการหนังไทย ฟิล์ม ๓๕ มม. บันทึกเสียง(พากย์)ในฟิล์มได้กลับเข้ามาแทนที่ฟิล์ม ๑๖ มม. ที่ใช้
กันอยู่เป็นส่วนใหญ่ ผู้กำกับมือใหม่(ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่ามาจากวงการอื่น) พร้อมนักแสดงรุ่นใหม่ให้กำเนิด
ผลงานหนังหลากหลายขึ้น ในขณะที่ผู้กำกับหน้าเดิมก็ปรับปรุงการสร้างงานไปในทางที่ดีขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง
            ผลงานของคนรุ่นใหม่ที่ได้สร้างหนังไทยคุณภาพบางส่วนสามารถเรียกคนไทยส่วนหนึ่งให้หันมาสนใจ
มาดูและชื่นชมหนังไทยที่เขาเคยดูแคลน

ส่วนหนึ่งของหนังไทยในปีพ.ศ. ๒๕๒๐

            เชิด ทรงศรี(นามปากกาเขียนนิยายว่า ธม ธาตรี) มีผลงานกำกับภาพยนตร์ไทยสมัย ๑๖ มม. ซึ่งสร้างจาก
นิยายที่เขาแต่ง(บางเรื่องได้ถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางช่อง ๗ สี) ตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งเป็นปลายยุคมิตร
ชัยบัญชาต่อเนื่องมาจนถึงยุคหลังมิตร ที่วงการหนังไทยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบเนื้อหา,นักแสดงและผู้กำกับใหม่
            แม้ผลงานช่วงแรกจะยังคงเป็นหนังตามกระแสแต่ต่อมาเขาได้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง "หนังไทย" คุณภาพ
ที่ไม่อิงกระแสซึ่งนอกจากจะต้องอาศัยเงินทุนที่มากแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เป็นไปได้ไม่ง่าย เช่น ปัญหานักแสดง
ที่จะทุ่มเทเวลา(คิว) ให้กับการถ่ายทำที่ยาวนาน ปัญหาโรงหนังที่จะรับหนังไม่ตลาดเข้าฉาย และการหาสายหนังเพื่อ
จัดจำหน่ายหนัง

             แนวคิดที่จะนำนิยายลูกทุ่งไทยมาสร้างเป็นหนังนี้เกิดขึ้นขณะที่เชิดไปอเมริกาเพื่อศึกษาภาษาและ
หลักสูตรเกี่ยวกับวิชาการภาพยนตร์ ณ ลอสแองเจลิส สภาพสังคมที่นั่นที่ซึ่งอเมริกันชนสูงวัยใช้ชีวิตโดยลำพัง
โดดเดี่ยว ชวนให้เขาคิดถึงย่าและวิถีชีวิต,ขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงามของชนบทไทยที่คุ้นเคยในวัยเยาว์
            เมื่อกลับบ้านมาเชิดจึงเตรียมวางแผนการสร้างแผลเก่า นิยายซึ่งอยู่ในใจเขามาเก่าก่อน โดยการหาทุน
เพื่อสร้างหนังลูกทุ่งเรื่องนี้ที่จบเศร้าและไม่ได้อยู่ในกระแสด้วยการสร้างหนังในกระแส ๒ เรื่องคือ ความรัก(๒๕๑๗
เปลี่ยนชื่อจากเดิม อุบัติเหตุ) และ พ่อไก่แจ้ (๒๕๑๙)

            เชิดตั้งใจทุ่มเทเตรียมงานอย่างพิถีพิถัน ทั้งการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเขียนบท การวางตัวทีมงานที่เป็นคนรุ่นใหม่
ในตอนนั้นอย่างเช่น ยุทธนา มุกดาสนิท การวางตัวผู้แสดงโดยเฉพาะนางเอกใหม่เอี่ยม(คล้ายกับตอนที่เป็นละครช่องสี่)
ร่วมกับพระเอกและนักแสดงสมทบระดับคุณภาพชั้นครูอย่าง ส.อาสนจินดา, ศรินทิพย์ ศิริวรรณ, สุพรรณ บูรณะพิมพ์    
            กล่าวกันว่าเชิดสร้าง แผลเก่า อย่างพร้อมที่จะขาดทุนเนื่องจากตลาดหนังไทยตอนนั้นไม่ใช่ช่วงเวลาของ
หนังพีเรียดสะท้อนวิถีชีวิตแบบโบราณพ้นสมัยซ้ำร้ายตอนท้ายพระเอกนางเอกยังตายคู่
            แต่เชิดก็ยังคงเดินหน้าทำ แผลเก่า อย่างเต็มที่ตามที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะสร้าง หนังไทยที่สำแดงความเป็นไทยต่อโลก
จนสำเร็จ

แผลเก่า (๒๕๒๐)

ถ่ายทำด้วยฟิล์ม ๓๕ มม. สีอีสแมนท์(Eastman) พากย์เสียงทับ
กำกับ, อำนวยการสร้าง - เชิด ทรงศรี
บทภาพยนตร์-รพีพร, ธม ธาตรี จากบทประพันธ์ของไม้ เมืองเดิม
(ข้อมูลจาก ดร.รังสิมา กุลพัฒน์ ผู้เขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง แผลเก่า: จากนวนิยายสู่ภาพยนตร์ ระบุว่า
คุณเชิดให้เครดิตรพีพรด้วย แต่รพีพรไม่ได้เขียน เขาเขียนเอง
คหสต. คิดว่า เชิด คงได้พูดคุยปรึกษากับรพีพร ผู้เขียนบทละครโทรทัศน์เจ้าประจำของคณะนาฏศิลป์
สัมพันธ์ผู้จัดละครย้อนยุคทางช่องสี่ บางขุนพรหม เช่น ขุนศึก,รอยไถและแผลเก่า)
ถ่ายภาพ - กวี เกียรตินันท์, โสภณ เจนพานิช, สุทัศน์ บุรีภักดี, สมชัย ลีลานุรักษ์/ กำกับศิลป์ - อุไร ศิริสมบัติ
ดนตรีประกอบ - เสรี หวังในธรรม
ผู้แสดง - สรพงษ์ ชาตรี, นันทนา เงากระจ่าง, ส.อาสนาจินดา, ศรินทิพย์ ศิริวรรณ, สุวิน สว่างรัตน์
ความยาว ๑๓๐ นาที

จากนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์นี้, ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ คอลัมนิสท์การเมืองสะกิดเกา แผลเก่า ว่า
 
          ความโดดเด่นที่สุดของแผลเก่า ไม่ใช่การถ่ายทอดความเป็นไทย....เนื้อหาไกลกว่าความเป็นไทย
เหลือเกิน แผลเก่าคืองานศิลปะที่ผู้กำกับชั้นดีของยุคทศวรรษ ๒๕๒๐ แชร์วิธีคิดเดียวกับปัญญาชนยุคโค่นล้ม
เผด็จการทหารปี ๒๕๑๖ แล้วใช้สุนทรียศาสตร์ของหนังเพื่อ "เปลี่ยน" ความเป็นไทย รวมทั้งวิพากษ์สังคมไทย
อย่างถึงรากและมีชั้นเชิง...
          จะคุยความลุ่มลึกของเชิดและของ "แผลเก่า" ที่ไปไกลกว่าการถ่ายทอดความเป็นไทยอย่างที่พูดกันมา
ในตอนต่อไป

ตัวอย่าง แผลเก่า ๒๕๒๐

https://www.youtube.com/watch?v=u1OA-_JhSC0

              และแล้ว ก็เป็นไปตามคาดเมื่อปรากฏว่าไม่มีสายหนังใดซื้อ "แผลเก่า" ไปฉาย เพราะมองไม่เห็นแวว
ทำเงิน แต่ หลังจากที่แผลเก่าได้เข้าฉายในโรงหนังอินทราบนจอโค้งกว้างตระการตาแบบหนัง ๗๐ มม. ร่วมด้วย
โรงอื่นในเครือเมื่อ ธันวาคม ๒๕๒๐ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดีผิดคาด ด้วยคุณค่าของตัวหนังที่ประทับใจ
ผู้ชมโดยถ้วนหน้า สามารถยืนโรงฉายอย่างยาวนานนับเดือนๆ และทำรายได้เป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่มีหนังไทย
หรือเทศเรื่องใดเคยทำได้มาก่อนที่ ๑๓ ล้านบาท(ในยุคนั้นที่ค่าตั๋วอยู่ที่ ๑๐ - ๓๐ บาท)

           จากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ แผลเก่า ก็ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไป “สำแดงความเป็นไทยต่อโลก” สมดังที่
ตั้งปณิธานโดยการผลักดันของ โทนี เรย์นส์ นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดังชาวอังกฤษ  
           แผลเก่า บินไปฉายในเทศกาล London Film Festival ในวาระครบรอบ ๒๕ ปีของเทศกาล จากนั้น
จึงได้เข้าร่วมประกวดในมหกรรมภาพยนตร์ Festival des 3 Continents ณ เมืองน็องต์ ฝรั่งเศสในปีเดียวกัน
และสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาครอง
           ต่อมา แผลเก่า ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น ๑ ใน ๓๖๐ หนังคลาสสิกของโลกของ Museum of the moving image
in London กับ นิตยสาร Sight & Sound

จากนิยายขนาดสั้น ๖ บท

      – บทที่ ๑ ลูกศัตรู  – บทที่ ๒ คู่สาบาน – บทที่ ๓ อ้ายขวัญฝากลาย
      – บทที่ ๔ สายน้ำเก่า – บทที่ ๕ เจ้าพ่อบันดาล – บทที่ ๖ อวสานอ้ายลูกทุ่ง

          แนวลูกทุ่งไทยร่วมสมัยพ.ศ. ๒๔๗๙ เค้าโครงเรื่องรักนี้มีกรรมของคู่รักจากสองครอบครัวที่เป็นอริกัน
(แบบว่า A pair of star-cross'd lovers take their life. - Romeo and Juliet - Shakespeare.)
          โดยมีฉากหลังคือบางกะปิ เมื่อครั้งที่ยังเป็นย่านชานเมืองพระนคร พื้นที่แลไปเห็นเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจี
มีลำคลองแสนแสบทอดตัวไหลผ่าน ชาวบ้านยังคงดำรงวิถีชีวิตแบบชนบทไทย เอื้อให้เชิดสามารถเพิ่มเติมสอดใส่
สำแดงความเป็นไทยลงในบทภาพยนตร์
          ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะพื้นบ้าน ความเชื่อ,ศรัทธาและค่านิยมเดิม ในขณะเดียวกันก็ยัง
ได้สะท้อนภาพสังคมที่เหลื่อมล้ำแตกต่างระหว่างชนบทกับเมืองกรุงที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นตะวันตกมากขึ้น

ฟังเสียงไอ้ขวัญแล้วเห็นหน้า 'อารอง' รอง เค้ามูลคดี  ฟังเสียงอีเรียมแล้วเห็นหน้า 'ป้าจุ๊' จุรี โอศิริ  ;D

         อารองให้เสียงขวัญร้องลิเกแบบสบายๆ เพราะว่าอยู่ในสายเลือดจากพ่อ(ฉลาด เค้ามูลคดี)
ที่เป็นโต้โผคณะลิเก

          และ ด้วยงานสร้าง,งานกำกับที่พิถีพิถันบรรจง ส่งผลให้หนังไทยลูกทุ่งอย่าง แผลเก่า ๒๕๒๐ ซึ่งแหวกแนว
แตกต่างจากหนังไทยในตอนนั้น(คล้ายกับเมื่อครั้งเป็นนิยายแรกพิมพ์เผยแพร่) แลโดดเด่นกว่าหนังไทยเรื่องอื่นๆ
คอหนังให้ความสนใจและเมื่อได้ดูแล้วต่างก็ชื่นชอบเต็มอิ่มไปกับเนื้อเรื่อง,บทที่เข้มข้นบันเทิงและงานสร้างที่ดูรู้ว่า
ทุ่มเทตั้งใจจริง เกิดกลายเป็นกระแส
          ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงไว้ คือ อ.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนชื่นชมแผลเก่าลงคอลัมน์ในนสพ.สยามรัฐ
ว่า ดี ดีมาก และ คอลัมน์จากหน้านสพ.ฉบับนั้นก็ได้ถูกนำมาติดไว้ที่บริเวณหน้าโรงด้วย

ใบปิดมุมขวาบน, ชื่อบริษัท เชิดไชย ภาพยนตร์ คือลายมือของอ.คึกฤทธิ์

คำโปรยด้านล่างลงไป - ในชั่วชีวิตที่ท่านได้ดูหนังมา เคยดูเรื่องไหน? สนุกที่สุด...สะใจที่สุด...เท่า

 ;D

            จากนักประพันธ์ผันมาเป็นทั้งผู้กำกับและเขียนบท, เชิดได้แต่งเติมเสริมใส่เรื่องราวรายละเอียด
เพิ่มลงในบทหนัง ทำให้ได้อรรถรสดรามาแบบเข้มขุ่นข้นโคลน ตัวละครที่มีบทบาทน้อยนิดกลับมีบทที่
โดดเด่นลุ่มลึกมากขึ้น และ ด้วยความสามารถในการถ่ายทอดของสองนักแสดงอาวุโสทำให้ฉากจาก
นักแสดงสองท่านนั้นสร้างความประทับใจจำมาจนถึงวันนี้

            ส. อาสนจินดา สวมบทผู้ใหญ่เขียนพ่อของขวัญคู่อริกับกำนันเรืองพ่อของเรียม ในนิยายแทบไม่มี
บทพูดแต่เชิดก็ได้เพิ่มเติมบทสนทนาและบทบาทเพิ่มขึ้นให้สมกับฝีมือระดับศิลปินแห่งชาติ
            ฉากดรามาตราตรึง เป็นตอนที่ผู้ใหญ่เขียนตัดสินใจทำเพื่อลูกโดยยอมก้มหัวและถึงขนาดอาจจะก้ม
ลงกราบเท้ากำนันเรืองเพื่อขอเรียมให้ขวัญโดยยอมแลกกับที่นาของตน ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันของ
พรรคพวกกำนัน จนแม่เริ่มของเรียม(ที่เขียนบทเพิ่มเติมให้เป็นอดีตคนรักของผู้ใหญ่เขียน) ทนมองดูแบบเงียบๆ
อย่างภรรยาใต้มือใต้เท้าสามีไม่ไหวต้องเข้ามาห้ามและบอกให้อดีตคนรักไปเสีย

และ  อีกฉากหนึ่งตอนท้ายเรื่อง เมื่อผู้ใหญ่เขียนถือผ้าไตรวิ่งบอกชาวบ้านด้วยความสุขใจว่า “ไอ้ขวัญจะบวช”
       แต่แล้วผู้ใหญ่เขียนก็สะดุดล้มลง, ผ้าไตรหลุดกระเด็นตกลงพื้นพร้อมกับเสียงปีนที่ดังขึ้น....

            ศรินทิพย์ ศิริวรรณ เป็นเริ่ม, แม่ของเรียม ไม่มีบทเจรจาในนิยายแต่เชิดได้มีการปรับเพิ่มบทสนทนา
และบทบาทเข้มข้นขึ้นเช่นกัน โดยให้แม่เริ่มเป็นอดีตคนรักของผู้ใหญ่เขียน(อีกหนึ่งชนวนของการเป็นอริกัน
ดังกล่าวข้างต้น) และเป็นแม่ที่พยายามอย่างยิ่งที่จะปกป้องเรียม
            เมื่อพ่อเฆี่ยนตีเรียมที่ไปรักชอบพอกับลูกศัตรู แม่พยายามจะเข้าช่วยจึงถูกพ่อฟาดด้วยไม้เรียวไปด้วย
สุดท้ายเรียมก็โดนจองจำขังโดยที่แม่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้แต่ร้องคร่ำครวญ

            ฉากสะเทือนอารมณ์พีค เมื่อเรียมกลับจากบางกอกมาเยี่ยมแม่ที่ป่วยหนัก ขณะเดินขึ้นเรือน,เรียมก้มลง
หยิบเสื้อที่ขาดวิ่นของแม่ที่ถูกทิ้งอยู่บนลาน
            เรียมนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่ถูกพรากไปบางกอก แม่สวมเสื้อตัวนี้พยายามยื้อยุดอย่างที่สุดแล้วแต่ก็ไม่สามารถ
ผ่านมือ,เท้าและไม้ของกำนันเรืองไปช่วยเรียมได้ หลังจากเหตุการณ์คราวนั้นแม่เริ่มก็ตรอมใจและทรุดป่วยลง และ
ก่อนลมหายใจสุดท้ายแม่ได้ฝากข้อคิดสะกิดสติเรียมอย่าได้เลือกคู่ครองผิดเพราะเงินอย่างที่แม่พลาดไปแล้ว
            ทั้งสองฉากจากฝีมือการแสดงชั้นครูของศรินทิพย์ ศิริวรรณ นี้โดยความรู้สึกส่วนตัวแล้ว, สร้างความเศร้า
และประทับใจจำยิ่งกว่า

             ฉากตอนจบด้วยความตายของขวัญเรียม (ซึ่งสะเทือนอารมณ์ในระดับหนึ่ง) ที่เชิดดัดแปลงจากนิยาย
ให้ความตายของเรียมเป็นการจงใจใช้มีดปลิดชีพตน (คล้ายกับจูเลียตใช้มีดแทงตัวตายตามโรมีโอ) แทนที่จะเป็น
ไปตามในนิยายที่เรียมสิ้นใจเพราะ

            ...เรียมดำน้ำลงไปโดยแรงและรวดเร็ว ปลายมีดซึ่งเจ้าขวัญยังกำอยู่แน่นเมื่อตายสวนคอแทบมิดใบมีด
แล้วเธอก็กอดคออ้ายขวัญ หนุ่มลูกบ้านทุ่ง ขาดใจตายอยู่ใต้พื้นแทบตลิ่งรักของเจ้าทั้งสองเมื่อสามปีโน้น               

             หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้รับมอบฟิล์มเนกาทีฟแผลเก่าจากเชิด ทรงศรี มาเก็บรักษาไว้เมื่อ
ปี ๒๕๓๑ จากนั้นเมื่อได้นำฟิล์มนี้ออกมาพิมพ์ใหม่ในปี ๒๕๔๙ เพื่อออกฉายในงานเทศกาล  Tout à fait Thaï
ที่ฝรั่งเศสก็ได้พบว่าภาพเริ่มออกเป็นสีเขียวแสดงถึงการเริ่มเสื่อมสภาพ
             ถึงปีพ.ศ. ๒๕๕๙ หอภาพยนตร์จึงได้เลือกแผลเก่าเพื่อส่งไปบูรณะเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
โดยยังคงใช้บริการจากแล็บ L’Immagine Ritrovata ของอิตาลีที่เคยบูรณะเรื่อง สันติ-วีณา
             ๑ ปีเต็ม การบูรณะฟิล์ม แผลเก่า ฉบับเชิด ทรงศรี ก็ได้สำเร็จลง พร้อมปรากฏสู่สายตาสาธารณชน
บนจอเงินอีกครั้งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังการบูรณะ

          สมชายก็ยิงสวนขึ้นสองสามนัดติด ๆ กัน มันล้มฮวบใหญ่ พยายามจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ล้มลงอีก เลือดไหลปรี่
ที่ชายโครงและเหนือทรวงอก
          "เรียม เรียมของพี่เอ๋ย" มันกุมแผลร้องเรียกเจ้าเรียมซึ่งกำลังตกตะลึง "พี่คงตายแน่ ตาย ๆ พี่ต้องตายเพราะ
รักเจ้าคนเดียว มานี่เถิด มาจำหน้าพี่ไว้" มันทิ้งมีดลงข้างตัว กวักมือไปทางเรียม เธอผวาเข้าหามัน หวังจะช้อนศีรษะมัน
แต่เจ้าขวัญยกมือห้าม "อย่าต้องตัวพี่เลย เรียม พี่กำลังจะสั่งเจ้าไปถึงพ่อแก บอกพ่อแกว่า พี่จะลาไปก่อน ยัง พี่ยังไม่
ตาย ที่นี่ไม่ใช่ที่ตายของเรา
           โอ๋ เรียม เจ้าฆ่าพี่แท้ เจ้าฆ่าผัว เรียมเอ๋ย เจ้าฆ่าผัวของเจ้าด้วยมือคนอื่น พี่รักเจ้าด้วยใจซื่อ แผลเก่าของพี่
เป็นแผลรักแผลรอ เรียมเอ๋ย อีเรียม ๆ แผลใหม่นี้เป็นแผลจากของกูเพราะมึงชัง" มันหยุดพูด ฝืนมานะด้วยใจทรหด
อดทน ลุกชันเข่า หยิบมีด เดินโซซัดโซเซ

           วิญญาณรักทั้งสองดวงของแม่เรียมและนายขวัญคงขึ้นล่องและดำผุดดำว่ายอยู่ทุกฤดูน้ำหลากกันอย่างแสนสำราญ
สถิตเสถียรเป็นเจ้าแม่แห่งความรัก เจ้าพ่อแห่งลำน้ำทุ่งท่าของบางกะปิ อยู่ตลอดกาลนาน

แผลเก่า ๒๕๒๐ ฉบับบูรณะใหม่คืนจอที่โรงหนัง สกาลา เมื่อ ๒๐ กันยายน ที่ผ่านมา

(สรพงษ์ ชาตรี) ขวัญ วันนี้,ที่ไร้เรียมเคียง
(เรียม - นันทนา เงากระจ่าง ปัจจุบันอาศัยอยู่ในอเมริกา)

และ
       พบกับแผลเก่า เข้าฉายในโรงภาพยนตร์สกาลา และโรงอื่นๆ เริ่ม ๑๘ ตุลาคมนี้

"เรียม" นันทนา เงากระจ่างแจกลายเซ็นในงาน "แสนอาลัย ปยุต เงากระจ่าง" ณ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๓

https://youtu.be/0kapcDnmzP4

กำลังเขียนชื่อภาพยนตร์ "แผลเก่า" หลังจากประทับมือและเท้า และเขียนชื่อ ณ ลานดารา

ภาพจาก พันทิป (http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2010/06/A9365723/A9365723.html#35)

ตัวอย่างทางการ Official Trailer แผลเก่า ฉบับบูรณะใหม่ เข้าฉายที่โรงสกาลา และ   
เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์, เริ่ม๑๘ ตุลาคม

https://www.youtube.com/watch?v=8gIg-vLLWz4

ก่อนหน้านั้น แผลเก่า ฉบับบูรณะใหม่ นี้ยังได้รับเชิญไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองบูซาน ประเทศเกาหลีใต้
(เทศกาลภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย) ในสาย Busan Classics ซึ่งจัด(ให้มีสายนี้) ขึ้นเป็นปีแรก

           เสียงจากเพลงอุปรากรที่ประโคมบรรเลงเปล่งเสียงประสานประชันกันจากเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด
ของวง orchestra และ เสียงเพลง aria ที่ร้องด้วยเสียงเหนือปรกติวิสามัญ นอกจากจะสะดุดหูแต่แรกยินแล้ว
ยังทรงพลังโน้มน้าวคนฟังให้สะเทือนอารมณ์ได้ทั้งที่ไม่รู้ภาษาของคำร้องที่ใช้ในเพลง

ดังเช่น ฉากเด่นนี้จากหนังที่ได้รับชื่นชมจากคนดูมากมาย เรื่อง THE SHAWSHANK REDEMPTION(1994)

           ชีวิตผกผันจากนายธนาคารกลับกลายเป็นนักโทษคดีฆาตกรรมต้องโทษคุมขังตลอดชีวิตด้วยความผิดที่ไม่ได้ก่อ
แม้ชีวิตในคุกจะโหดร้ายแต่เขาก็สู้อดทนอย่างมีความหวังจนกระทั่งเมื่อเขาได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านการเงินช่วยเรื่องภาษี
ของผู้คุม ชีวิตในคุกจึงเริ่มดีขึ้น, ได้รับมอบหมายให้ทำงานในห้องสมุด
           วันหนึ่งเมื่อแผ่นเสียงเพลงที่มีผู้บริจาคถูกส่งมาถึง เขาเลือกหยิบแผ่นเสียงเพลงจากอุปรากรเรื่อง The Marriage of Figaro
ผลงานการประพันธ์ดนตรีโดยคีตกวีเอก Mozart มาเปิดออกอากาศกระจายเสียงให้นักโทษและผู้คุมได้ยินทั่วเรือนจำ
           ช่วงเวลาแห่งความรู้สึกแหกกฎปลดปล่อยเป็นอิสระช่วงสั้นๆ นั้นแลกด้วยการที่เขาถูกทำโทษโดนขังเดี่ยว

เพลง 'Letter Duet' - "Sull'aria...che soave zeffiretto" จากองก์ที่ ๓ ของอุปรากร The Marriage of Figaro
เป็นตอนที่ซูซานน่าหญิงรับใช้คนสนิทเขียนจดหมายตามคำบอกของเคานเทสส์เพื่อนัดหลอกให้เคานท์มาหาตามแผนซึ่ง
ได้วางไว้เพื่อเปิดโปงการนอกใจของเคานท์

https://www.youtube.com/watch?v=azWVPWGUE1M

           เพื่อนสนิทร่วมคุกบอกเขาเกี่ยวกับบทเพลงนั้นว่า แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่หญิงอิตาเลียนสองคนนั้นร้องเป็นเรื่องไร
แต่เขาก็อยากจะคิดว่าหญิงทั้งสองร้องเกี่ยวกับสิ่งที่สวยงามเกินคำพรรณนาจนพาให้ปวดใจ เสียงร้องที่ล่องลอยสูงขึ้นนั้น
ไกลจนเกินขอบเขตที่ผู้คนในอาณาเขตสีเทานี้กล้าที่จะฝันถึง ทุกผู้ทุกคนในชอว์แชงค์ต่างรู้สึกได้ถึงอิสรภาพในช่วงเวลา
ที่แสนสั้นนั้น

           เสียงเพลงจากอุปรากรนอกจากจะถูกนำมาใช้ประกอบภาพยนตร์เพื่อเร้าความรู้สึกอารมณ์ของผู้ชมอย่างได้ผล
โดยที่คนดูไม่จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อร้องหรือที่มาของบทเพลงนั้นแต่สามารถรับรู้สารจากเสียงนั้นที่สื่อถึงได้แล้ว
           บางเพลงของอุปรากรซึ่งมีเนื้อร้อง,เนื้อเรื่องสัมพันธ์สอดคล้องกับสถานการณ์เรื่องราวในหนังก็ได้ถูกเลือกนำมา
ประกอบเพื่อเสริมเติมเต็มเนื้อ(หา)หนัง

แฟนนิยายและหนังกำลังภายใน คงไม่มีใครไม่รู้จัก "กิมย้ง" เจ้าของเรื่อง "มังกรหยก" ที่ทำหนังทีวีซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เป็นที่เบื่อหน่าย    ดาราที่เล่นในเรื่องนี้แจ้งเกิดกันเป็นประจำ
บัดนี้คุณปู่ผู้สร้างชีวิตให้นิยายกำลังภายในจนโด่งดังระดับอินเตอร์ ก็ล่วงลับไปด้วยวัยสุกงอม 94 ปี

ตามประวัติ “จิ้นหยง” หรือ “กิมย้ง” เกิดที่อำเภอไฮ้เล้ง เขตไห่หนิง มณฑลเจ้อเจียง ภาคตะวันออกของจีนมาจากครอบครัวฐานะดี  จึงได้รับการศึกษาอย่างดี   ด้วยอายุเพียง 9 ขวบ ก็อ่านนิยายจีนและนิยายแปลจากต่างประเทศได้อย่างแตกฉาน
เมื่อโตเป็นหนุ่ม กิมย้งย้ายมาอยู่ฮ่องกงก่อนปี 2493 ทำงานเป็นนักแปลข่าวและนักเขียนข่าวหนังสือพิมพ์รายวันฮ่องกงหลายฉบับ ก่อนจะเขียนนิยายกำลังภายในให้แก่หนังสือพิมพ์นิวส์ อีฟนิ่งโพสต์ ในปี 2498
เรื่องแรกในชีวิตท่านก็คือ จอมใจจอมยุทธ์ หรือ ตำนานอักษรกระบี่ มีเสียงตอบรับจากผู้อ่านหนาแน่นพอสมควร
เรื่องที่โด่งดังทะลุฟ้าด้วยเรื่อง “มังกรหยก ภาค 1” เตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2500 นั่นเอง

 กิมย้ง เขียนนิยานอกจากนี้ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายวัน “หมิงเป้า”รวมกับเพื่อนๆเมื่อ พ.ศ.2502 และดำรงตำแหน่งบรรณาธิการคนแรกของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้
เขียนนิยายกำลังภายในไว้ทั้งหมด 15 เรื่อง เรื่องสุดท้ายได้แก่ อุ้ยเสี่ยวป้อ เมื่อ พ.ศ.2512-2515

มังกรหยกภาค 1 ปี 1982-3  หวงเยอหัวแสดงเป็นก๊วยเจ๋ง  และองเหม่ยหลินเป็นอึ้งย้ง
ว่ากันว่า เป็นเวอร์ชั่นที่เลือกตัวแสดงได้เหมือนเดินออกมาจากนิยาย

https://www.youtube.com/watch?v=_p6LMxxHIqI

https://www.youtube.com/watch?v=zJfq_eNlnIQ

ยังรำลึกถึงหมีเซียะ (米雪) ในบทอึ้งย้ง (黃蓉) แห่งมังกรหยก (射鵰英雄傳 1976) เมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วอยู่เสมอ

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6189.0;attach=53732;image)

             Dr Louis Cha - Jin Yong - จินหยง -  กิมย้ง  น.นพรัตน์ นักแปลนิยายกำลังภายในของไทย
แปลชื่อ ว่า "ธรรมดาดั่งทอง"

https://www.bbc.com/thai/thailand-41874778

ห้องกิมย้ง ใน พิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมฮ่องกง ในเขตชาติน แถบอีสต์ นิวเทอริทอรี่ส์

https://goo.gl/z1Af5s

เป็นห้องที่สวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจมากค่ะ   เห็นรูปก๊วยเจ๋งบนฉากด้วย

เอารูปหมีเซียะ ดาราขวัญใจคุณเพ็ญชมพูมาฝาก  กาลเวลาจากยุค 1970s ถึง 2018  ทำร้ายเธอไม่ได้เอาจริงๆ
อายุห่างจากญาญ่าราว 40 ปีเท่านั้นเอง

ของแถมจากกิมย้ง

๒๒ - ๖๐ (พ.ศ. ๒๕๕๘)

ภาพจาก https://www.sanook.com/news/1764317/

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=6189.0;attach=55321;image)

จาก ฟบ. วินทร์ เลียววาริณ (1)

จาก ฟบ. วินทร์ เลียววาริณ (2)

"มังกรหยก" แปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรก

ตำนานความรักระหว่าง ก๊วยเจ๋ง และ อึ้งย้ง คู่พระนางจาก มังกรหยก ซึ่งครองใจนักอ่านทั่วเอเชีย ส่งให้ผลงานเพชรน้ำเอกของ กิมย้ง สุดยอดนักประพันธ์ชาวจีน กลายเป็นนิยายกำลังภายในที่มียอดขายสูงสุดของศตวรรษที่ ๒๐วันนี้ตำนานการต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธ์ถูกนำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก โดยสำนักพิมพ์ MacLehose Press ประเทศอังกฤษ โดยเล่มแรกที่มีชื่อว่า A Hero Born วางแผนจำหน่ายช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า โดยสำนักพิมพ์เตรียมแปล Condor Trilogy หรือมังกรหยกทั้ง ๓ ภาคออกมาเป็นหนังสือทั้งหมด ๑๒ เล่ม

มังกรหยกตีพิมพ์ครบรอบ ๖๐ ปีแล้ว แต่สาเหตุที่ผลงานของกิมย้งไม่ค่อยถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่นักแปลทั่วไปจะถ่ายทอดสำนวนอันล้ำลึกของยอดนักประพันธ์วัย ๙๓ ปีให้สมบูรณ์เท่าภาษาจีนต้นตำรับ รศ.เพทรูส หลิว สาขาวิชาวรรณกรรมจีน มหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าวว่า ภาษาของกิมย้งแฝงความงามของบทกวี และใช้วลีจีนในการประพันธ์อย่างแพร่หลาย ทำให้ภาษาของเขามีความเป็นจีนโบราณอย่างสูง นอกจากนี้ ผู้แปลยังต้องเข้าใจปรัชญาและความเชื่อของชาวจีนที่สะท้อนอยู่ในเล่ม แม้แต่ชื่อท่าไม้ตายต่างๆ ยังมีที่มาอันลึกซึ้ง เช่น ท่าสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร นำมาจากปรัญชาเต๋าที่เล่าจื้อบัญญัติเอาไว้เมื่อ ๒,๕๐๐ปีที่แล้ว

ผู้รับหน้าที่เปิดโลกของมังกรหยกสู่นักอ่านภาษาอังกฤษ คือแอนนา โฮล์มวูด นักแปลสาวชาวสวีเดนผู้เชี่ยวชาญการแปลวรรณกรรมจีน โดยเธอใช้เวลาถึง ๑ ปี ๖ เดือน กว่าจะแปล A Hero Born ได้สำเร็จ นักแปลสาวยอมรับว่านักอ่านที่เฝ้ารอต่างจับจ้องว่าเธอจะแปลท่าไม้ตายของกิมย้งออกมาได้ดีแค่ไหน โดยสำนักพิมพ์เตรียมดึงตัวยอดนักแปลรายอื่น ๆ มาสานต่องานที่แสนยากและท้าทายนี้สำหรับการตีพิมพ์เล่มถัด ๆ ไป  

มังกรหยก ตีพิมพ์ครั้งแรกในฮ่องกง เมื่อปี ๑๙๕๗ หลังจากกิมย้งเดินทางมาก่อตั้งหนังสือพิมพ์หมิงเป้าในฮ่องกง แต่เดิมมังกรหยกเคยถูกแบนในเมืองจีน เนื่องจากแนวคิดต่อต้านรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของหมิงเป้า แต่ภายหลังเติ้งเสียวผิงอดีตผู้นำจีน ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของกิมย้งได้เชิญยอดนักเขียนมาพบถึงเมืองจีน ทำให้มังกรหยกเริ่มโด่งดังในแดนมังกรหลังเผยแพร่อย่างเป็นทางการในปี ๑๙๘๔ ช่วงเดียวกับที่มังกรหยกฉบับซีรีส์ปี ๑๙๘๓ ของ TVB กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงทั้งในจีนและฮ่องกง ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่ยังคงได้รับการยกย่องว่าเป็นซีรีส์มังกรหยกที่สมบูรณ์แบบที่สุดจนถึงปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ อุ้ยเสี่ยวป้อ อีกผลงานดังของกิมย้ง เคยได้รับการแปลในภาษาอังกฤษมาแล้ว แต่ความสำเร็จยังอยู่ในวงจำกัด แต่เชื่อว่าความยอดเยี่ยมของมังกรหยก น่าจะทำให้ชื่อของกิมยิ้งเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ข่าวจาก ไทยพีบีเอส (https://news.thaipbs.or.th/content/268097) ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

https://youtu.be/wG0-5EhicYQ

"แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" ก็มีประเด็นครับ เพราะตัวเอกมีไม่ครบแปดคน ก็ยังสงสัยเหมือนกันครับว่า ทำไมชื่อ 8 เทพอสูร แฮ่ๆ

สำนวนของท่านใด แปลได้ครบถ้วนกระบวนความอ่านแล้วสนุกที่สุดครับ จาก
1. จำลอง พิศนาคะ
2. ว ณ. เมืองลุง
3. น. นพรัตน์
4. คนบ้านเพ

ผมเองเคยอ่านสำนวน ท่านจำลอง กับท่าน น.  ของท่านจำลองอ่านแล้วธาตุไฟเกือบเข้าแทรก ต้องใช้ความพยายามในการอ่านมาก
ท่าน น. กระชับเข้าใจง่าย

มติชนสุดสัปดาห์ที่แล้ว มีบทความเกี่ยวกับประเด็น แปดเทพอสูรมังกรฟ้า นี้,วันนี้ที่เว็บ

https://www.matichonweekly.com/column/article_148139 นำมาลงให้อ่านได้แล้ว

 
       กิมย้งไม่ได้เคยบอกเอาไว้ที่ไหนเลยสักนิดว่า เขาตั้งใจใช้ชื่อเรื่องอย่างนี้ เพื่อสร้างตัวละครให้เป็นสัญลักษณ์
หมายถึงเทพอสูรมังกรฟ้าทั้งแปดชนิดหรือเปล่า?
       กิมย้งจะไม่เคยอธิบายถึงที่มาที่ไปของชื่อนิยายเรื่องนี้เลยเสียด้วยซ้ำไป

เคยอ่านในหนังสือพิมพ์นี่แหละค่ะ สมัยแปดเทพอสูรฯปี 1982
สื่อให้คำอธิบายว่า แปดเทพอสูรหมายถึงตัวละคร 8 ตัวที่กิมย้งไปรวบรวมมาจากตำนานหรือประวัติศาสตร์นี่แหละ แล้วเอามาผูกเข้าเป็นเรื่อง
แต่ไม่ได้ติดตามว่าตัวไหนเป็นใคร   เพราะเวอร์ชั่นนั้นทำได้เลอะเทอะมาก  ดูไม่รู้เรื่อง  บทแย่เอามากๆ 

https://www.youtube.com/watch?v=AhwlIYFEg5E

ส่วนที่วิกกี้ บอกว่า

        หากอุปมาเทพอสูร 8 เหล่า เป็นตัวละครต่างๆ อาจเปรียบได้ว่า

ย้อนอดีตไปกระทู้เก่า

        วันนี้ได้ข้อมูลจากฟบ.กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน(ทิวลิบแห่งนิตยสารสตาร์พิคส์) ว่า เป็นหนังอิตาเลียนเรื่อง
Maciste at the Court of the Great Khan (1961) ชื่ออังกฤษว่า Samson and the 7 Miracles of the World
นำแสดงโดย Gordon Scott และชื่อคุณจุลจิตต์ สิงหเสนี ที่ปรากฏในรายนามนักแสดงกลายเป็น Chu Lai Chit
(ตามเนื้อเรื่องในหนังที่รับบทเป็นเป็นเจ้าชายจีน)

ขอบคุณค่ะคุณหมอ SILA 
ดิฉันตามไปค้นชื่อ Chu Lai Chit  จากเว็บ IMDB ซึ่งรวบรวมชื่อดารานักแสดงฮอลลีวู้ดเอาไว้ทุกคน
พบว่าไม่มีประวัติอะไรเลย  แสดงว่าคุณจุลจิตรคงแสดงหนังเรื่องเดียว   แล้วอำลาจอเงินกลับประเทศ  มาเอาดีทางเป็นข้าราชการกรมเศรษฐสัมพันธ์ (ปัจจุบันน่าจะเป็นกรมส่งเสริมการส่งออก)
เจอชื่ออยู่ในอัตชีวประวัติของคุณพชร อิศรเสนาฯ ข้างล่างนี้  เพียงนิดเดียว ค่ะ
ถ้าเป็นยุคนี้น่าจะมีสื่อตามไปสัมภาษณ์  มีอะไรสนุกๆหลังกองถ่ายมาเล่าได้มากมาย

            Bernardo Bertolucci (1941 – 26 November 2018)
 
นักเขียนบทและผกก.ชื่อดังเจ้าของผลงานโลกไม่ลืมอย่าง The Last Emperor จากไปที่วัย 77 ปีด้วยโรคมะเร็ง
            เติบโตในครอบครัวมั่งคั่งทางตอนเหนือของอิตาลี, ตามรอยพ่อเป็นกวีก่อนที่จะเปลี่ยนใจไปเป็น
คนทำหนังในที่สุด
            ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สาขาเขียนบทจากเรื่อง The Conformist ในปี 1970 และสาขาผกก.จาก
หนังสุดอื้อฉาว Last Tango in Paris(1972)
            จนกระทั่งมาถึงผลงานสร้างชื่อและชนะออสการ์ทั้งสาขาเขียนบทและกำกับใน  The Last Emperor(1987)

ผลงานเด่นของเขารวมทั้งผลงานเรื่องสุดท้าย Me and You(2012)

          เชื่อว่าใครที่ได้ชม จักรพรรดิโลกไม่ลืม (The Last Emperor) คงจะจดจำตัวละครสัญลักษณ์ - เจ้าจิ้งหรีด
ที่เปิดตัวในฉากอลังการตอนต้นเรื่อง

แล้วจึงมาปรากฏอีกครั้งในฉากสุดท้ายตอนจบ

https://www.youtube.com/watch?v=azoLHGpLPfA

I live here
I am the son of the Guardian

Ah. Well, I used to live here too       
That is where I sat

Who are you?

I was the Emperor of China

Prove it

          สัญลักษณ์จิ้งหรีดตัวนี้ ที่ movies.stackexchange.com มีความเห็นว่าไว้
อย่างจุใจ

แบร์นาร์โด แบร์โตลุชชี (Bernardo Bertolucci) ผู้กำกับเรื่อง The Last Emperor  เพิ่งจะเสียชีวิต หนังของเขาทำให้ผมเริ่มสนใจเรื่องจีน ๆ มาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ทุกวันนี้ The Last Emperor  ก็ยังเป็นภาพยนต์ในใจไม่รู้ลืม

ตอนนั้น แบร์โตลุชชี เสนอกับทางการจีนว่าจะถ่ายทำภาพยนต์โดยใช้จีนเป็นฉาก โดยให้ตัวเลือก ๒ เรื่อง ทางการจีนกลับเลือกเรื่อง  The Last Emperor ทั้ง ๆ ที่มันเป็นประเด็นหมิ่นเหม่มาก นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ใช้อัตชีวประวัติที่เขียนโดยผู่อี๋มาเขียนเป็นบท อนุญาตให้ใช้ทหารในกองทัพเป็นตัวประกอบ และไฮไลท์คือให้ใช้พระราชวังต้องห้ามเป็นที่ถ่ายทำ งานชิ้นนี้จึงอลังการสุด ๆ ยิ่งคอสตูมยิ่งถูกต้องหมดจนงดงาม

หลายคนคงไม่สังเกตว่า นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่จีนอนุญาตให้เอ่ยถึงการปฏิวัติวัฒนธรรมในแบบวิพากษ์ มีฉากหนึ่งที่ผู่อี๋พบกับผู้การเรือนจำของเขา ซึ่งถูกพวกเรดการ์ดแห่ประจานไปทำร้าย ซึ่งนับว่ายอกย้อนมาก เพราะพวกคอมมิวนิสต์ทำร้ายกันเอง แต่กลับละเว้นจักรพรรดิแห่งระบบศักดินา ฉากนี้มีนัยสำคัญอยู่ คือ ทางการจีนยุคเติ้งเสี่ยวผิง ต้องการจะประจานความบ้าคลั่งในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมนั่นเอง

ตอนนั้น แบร์โตลุชชี เชิญผู้กำกับจีนมือทอง ๒ คนมาช่วย คือ เฉินข่ายเกอ กับ จางอี้โหม่ว และปรึกษาเรื่องฉากการปฏิวัติวัฒนธรรม ปรากฎว่าตอนที่กำลังคุย ผู้กำกับทั้ง ๒ คนที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาเกิดอารมณ์รุนแรงแสดงอาการออกมาถึงกับร่ำไห้ ฉากนี้จึงมีพลังมาก

ตอนเด็ก ๆ ถึงจะยังไม่ประสีประสา แต่ผมกลับประทับใจฉากสุดท้ายของเรื่องอย่างมาก ฉากนั้น ผู่อี๋ (ปูยี) ในวัยชรากลับไปที่พระราชวังต้องห้ามอีกครั้ง หลังถูกขับไล่จากวังต้องห้ามในปี ๑๙๒๔ จนระเหเร่ร่อนกลายเป็นหุ่นเชิดให้ญี่ปุ่น เป็นจักรพรรดิแต่ในนามของประเทศแมนจูกัว กลายเป็นอาชญากรสงครามในโซเวียต และถูกส่งตัวกลับมา "รับการศึกษาใหม่" ที่เรือนจำอาชญากรสงครามในจีน และออกมาเป็นพลเมืองเต็มขั้นของจีนใหม่ ทำงานด้านประวัติศาสตร์ และดูแลสวนไปด้วย พบรักใหม่ที่รักจริงไม่ใช่แต่งเพราะการเมือง ช่วงชีวิตตอนท้ายของผู่อี๋น่าจะมีความสุขเสียยิ่งกว่าในเวียงวังแห่งไหน

ในฉากสุดท้าย ในพระที่นั่งไท่เหออันว่างเปล่า ผู่อี๋ปีนขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ แต่เด็กน้อยคนหนึ่งร้องขึ้นว่า "หยุดนะ คุณเข้าไปตรงนั้นไม่ได้"

ผู่อี๋ถามว่า "เธอเป็นใคร?"

"ผมเป็นลูกคนดูแลที่นี่

"อ้า ดีแล้ว ฉันก็เคยอยู่ที่นี่เหมือนกัน" ผู่อี๋นั่งลงบนบัลลังก์มังกรแล้วบอกว่า "ฉันเคยนั่งตรงนี้"

เด็กน้อยยังไม่ลดละถามว่า "คุณเป็นใคร?"

"ฉันเป็นจักรพรรดิของแผ่นดินจีน"

เด็กน้อยท้าทาย "งั้นก็พิสูน์สิ"

และจากนั้น ความว่างเปล่าในท้องพระโรงก็แทนที่ด้วยนักท่องเที่ยว มีเสียงไกด์พูดขึ้นมา "ที่นี่คือพระที่นั่งไท่เหอ จักรพรรดิทุกองค์ทรงครองราชย์ที่นี่ จักรพรรดิองค์สุดท้ายที่ครองราชย์ที่นี่คือ อ้ายซินเจวี๋ยหลัว ผู่อี๋ ตอนนั้นเขาอายุได้ ๓ ขวบ

เขาตายเมื่อปี ๑๙๖๓"

ฉากนี้ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์ แต่มันประทับใจไม่รู้ลืมจริง ๆ

https://youtu.be/azoLHGpLPfA

จาก เฟซบุ๊กของคุณกรกิจ ดิษฐาน (https://www.facebook.com/719626953/posts/10155776825901954/)

คุณประภาพรรณ นาคทอง ลาลับจากฟากฟ้าไปอีกคน
ดาวดวงนี้เคยดังในยุคที่คุณหมอ SILA ยังไม่เกิด    เธออำลาวงการไปนานมาก  สมรส และใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา

ข่าวจากหอภาพยนตร์ Thai Film Archive
2 ชม. ·
หอภาพยนตร์ ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ "ประภาพรรณ นาคทอง" อดีตนางเอกสาวชื่อดังในยุค หนัง ๑๖ มม. ผู้ฝากผลงานการแสดงภาพยนตร์ไว้มากมาย อาทิ เศรษฐีอนาถา (๒๔๙๙) หญิงสามผัว (๒๔๙๘) หญิงคนชั่ว (๒๔๙๘) ฯลฯ

ประภาพรรณ นาคทอง เคยมาประทับรอยมือรอยเท้า เป็นดาวดวงที่ ๑๓๔ บนลานดาราของหอภาพยนตร์ เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นอมตนุสรณ์เพื่อระลึกถึงผลงานการแสดงของเธอสืบไป

ทั้งนี้ จะมีกำหนดสวดอภิธรรมศพ วันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๘.๓๐ น. และฌาปนกิจศพในวันจันทร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ วัดธาตุทอง ศาลา ๗

ประวัติประภาพรรณ นาคทอง
ประภาพรรณ นาคทอง เกิดเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๒ ที่กรุงเทพฯ ย่านพญาไท เป็นลูกคนกลางในจำนวนพี่น้อง ๕ คน คุณพ่อรับราชการเป็นผู้ตรวจการสรรพสามิต คุณแม่เป็นแม่บ้าน ชีวิตในวัยเด็กได้โยกย้ายตามคุณพ่อไปอาศัยอยู่ในต่างจังหวัดเป็นระยะ ๆ กิจกรรมที่ชอบทำมากที่สุดในวัยเด็ก คือ การประกวดร้องเพลงตามตลาดนัด ส่วนผลงานการแสดงครั้งแรกในชีวิตเกิดขึ้นสมัยเรียนหนังสือที่โรงเรียนสตรีเพชรบุรี เมื่อโรงเรียนนำนักเรียนร่วมแสดงละครต่อต้านการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรคในงานกาชาด ประภาพรรณ นาคทอง รับบทที่เจ้าตัวแสนจะภาคภูมิใจ เป็น “ตัวอหิวาต์”

หลังจบการศึกษาชั้นเตรียมธรรมศาสตร์ ประภาพรรณ นาคทอง เพียรสมัครงานตามที่ต่าง ๆ หลายแห่งแต่ไม่มีที่ใดตอบรับ จนเริ่มท้อ ขณะนั้นมีการก่อสร้างโรงหนังเฉลิมไทยพร้อมกับประกาศรับสมัครนักแสดงละครเวที ประภาพรรณเห็นโอกาสที่จะได้งานทำจึงเสี่ยงไปสมัครทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักใคร จุดเด่นหนึ่งของประภาพรรณ นาคทองที่เตะตากรรมการอยู่ที่รูปร่างผอมเพรียวบอบบางแตกต่างจากผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคนั้น เป็นที่มาของชื่อ “บาง” ชื่อเล่นที่เพื่อน ๆ ในวงการเรียกขานกันจนติดปาก ผลการสมัครในครั้งนั้นประภาพรรณ นาคทองได้รับจดหมายตอบรับให้เข้าร่วมแสดงละครเวทีเรื่องแรกคือ ราชันย์ผู้พิชิต คู่กับวสันต์ สุนทรปักษิณ หลังจากนั้นประภาพรรณ นาคทองมีผลงานละครเวทีอีกหลายเรื่อง บางครั้งก็รับหน้าที่เป็นนักร้องสลับฉาก เมื่อละครเวทีหยุดกิจการ ประภาพรรณ นาคทองก็ไม่แตกต่างจากนักแสดงคนอื่นที่เปลี่ยนวิถีโคจรจากเวทีละครไปโลดแล่นบนจอเงินตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๙๖ มีผลงานภาพยนตร์ที่รวบรวมได้ ๑๘ เรื่อง

ประภาพรรณ นาคทอง มีความโดดเด่นในเรื่องการศึกษา หนังสือพิมพ์มักจะเรียกว่า “เด็กธรรมศาสตร์” เพื่อน ๆ ในวงการมองด้วยสายตาชื่นชม การทำงานในวงการบันเทิงประภาพรรณมุ่งมั่นที่จะทำงานสร้างรายได้ให้มั่นคงเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญยกระดับตัวเองจากนักแสดงเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ในนามเทพธิดาภาพยนตร์ ด้วยตัวเองเพียงลำพังมิได้ร่วมหุ้นกับใคร มีผลงานสร้างภาพยนตร์ ๓ เรื่องคือ น้ำใจสาวจีน (๒๔๙๘) ก่อนอรุณจะรุ่ง (๒๕๐๐) และโชคมนุษย์ (๒๕๐๐) เมื่อละครโทรทัศน์ได้รับความนิยม ประภาพรรณ นาคทองก็ได้เข้ามาแสดงละครโทรทัศน์ด้วยจนห่างหายจากวงการภาพยนตร์ หันมาแสดงละครโทรทัศน์เป็นอาชีพแทน ระหว่างนั้นประภาพรรณได้รับงานเดินแบบและถ่ายแบบบ้างเป็นบางครั้งจากการชักชวนของหม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิชัย ดีไซเนอร์ชื่อดัง
ประภาพรรณ นาคทอง หันหลังให้กับวงการบันเทิงไทยไปเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ โดยไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา ๕ ปี ได้พบรักกับชาวอเมริกัน จึงตัดสินใจแต่งงานแล้วโยกย้ายไปใช้ชีวิตกับสามีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อสามีเสียชีวิต ประภาพรรณกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวร มีโอกาสแสดงละครการกุศลบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะหวนกลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกเลย

https://www.youtube.com/watch?v=7IVkwbtMhRc

https://www.youtube.com/watch?v=kmgSbwFglqA

สอบถามผู้ร่วมงานอาวุโสบางท่าน รู้จักคุณประภาพรรณ นาคทอง ในฐานะนักแสดง,บางท่านจำได้ว่า
คุณประภาพรรณรับบทเป็นหญิงเล็กใน บ้านทรายทอง พ.ศ. 2499

ยืนยันด้วยคำบรรยายในโปสเตอร์แผ่นขวามือ
และด้านล่าง

เรื่อง หญิงคนชั่ว จากโยคีสถาน สี่พระยา เช่นกัน

คำโปรยโปสเตอร์ บอกว่า เป็นนวนิยายที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์
                              ทรงวิจารณ์ไว้ว่า...เป็นนวนิยายที่เป็นบทเรียนแก่หญิงทั่วไป...
                              อ่านได้ประโยชน์...อ่านได้ความรู้และเพลิดเพลินไม่มีหยาบลามก.

เคยอ่านเมื่อนานนับสิบๆ ปีตอนที่มีข่าวว่า คุณาวุฒิ สนใจจะนำมาสร้างใหม่แต่ในที่สุดก็ไม่ได้มีใครนำมาสร้าง

ไม่แน่ใจว่าคุณหมอ SILA โตทันดู Ken Berry หรือเปล่า
เขาเป็นดาวตลก และดาวเต้น ในยุค 1960s  ออกทางทีวีมากกว่าหนังใหญ่    เล่นหลายเรื่องมากค่ะ
บัดนี้ก็ลาลับไปในวัย 85 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=_ZbU241Wn0Q

https://www.youtube.com/watch?v=7FdyvON_B-4

ดูเหมือนจะคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก ครับ

            ดาวลับจากฟากฟ้าดาราไทยดวงนี้ พิศาล อัครเศรณี ฝากผลงานและเรื่องราวยาวนานมากสีสรรพ์ไว้ใน
วงการหนังไทย
            จากนักเรียนมัธยมวัดบวรนิเวศน์ สหายของแดง ตรอกไบร์เล่ย์ กับ ปุ๊ ตรอกสาเก มีสมญาว่า เปี๊ยก เจริญพาสน์
ผู้ก่อศึกสิบสามห้าง สู่ โรงเรียนการกำกับการแสดง แผนกวิทยุโทรทัศน์ วอชิงตัน ดี.ซี. แล้วทำงานที่สำนักข่าวสารอเมริกัน

ผลงานชิ้นแรกของที่ทำงานและนับว่าเป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตด้วย

          จากนั้นจึงได้ก้าวเข้าสู่งานด้านวิทยุและโทรทัศน์ตามลำดับ ตามที่จำได้ว่า คุณพิศาลมีผลงานทางเสียงมาก่อน
ที่จะขยับมาสู่จอแก้วแล้วข้ามไปจอเงินแล้วกลับมาจอแก้ว จากนักแสดงก่อนที่จะผันตัวมาเป็นผู้กำกับที่ได้รับสมญาว่า
ผกก.ซาดิสต์ ทำหนัง,ละครแนวตบจูบ

ผลงานเด่นๆ บางเรื่อง เช่น บทมังตราในผู้ชนะสิบทิศ,  ฟ้าหลังฝน งานกำกับที่สร้างชื่อ, เพลงสุดท้าย หนังไทยที่นำเสนอ
ประเด็นเพศที่สามอย่างเต็มที่ผ่านบทบาทนักแสดงนำ และ ผลงานกำกับ,นำแสดงในหนังที่เป็นลายเซ็น

https://www.youtube.com/watch?v=wlplEPME8y4

https://www.youtube.com/watch?v=LhRGpPQaCVY

           หนึ่งในหนังที่ติดอันดับยอดนิยมช่วงคริสตมาสจากการจัดโดยเว็บต่างๆ ไม่พ้นต้องมีหนังฮ็อทฮิทเรื่องนี้

Home Alone(1990) โดดเดี่ยวผู้น่ารัก

นำแสดงโดย Macaulay Culkin ปีนี้มีอายุได้ 38 ปีแล้ว
ยังคงเค้าหน้าเดิมอยู่

            ช่วงคริสตมาสปีนี้  Google Assistant จึงนำอดีตโดดเดี่ยวผู้น่ารักคนนี้กลับมาอยู่บ้านคนเดียวตอน
คริสตมาสอีกครั้งในโฆษณาที่ใช้ชื่อว่า Home Alone Again with the Google Assistant
            หนังโฆษณาจัดฉากทำซ้ำฉากเดิมๆ ที่หลายคนคงยังจะจำกันได้ ไม่ว่าจะเป็น โกนหนวด,กระโดดบนเตียง,
คุยกับคนส่งพิซซ่าหน้าประตู ฯ และปฏิบัติการ ‘Operation Kevin’ ที่เควินจัดฉากให้เหมือนมีผู้ใหญ่อยู่ในบ้านกำลัง
มีปาร์ตี้เฉลิมฉลอง

ชวนเชิญชมเพลินๆ

https://www.youtube.com/watch?v=xKYABI-dGEA

โธ่  หลงดีใจ
google พามาให้เห็นแค่นี้เอง    ยังไม่หายคิดถึงเจ้าหนูเลย

ป.ล. เจ้าหนูวัย 38 ดูหน้าตาสดชื่น เนื้อหนังเต็มอิ่มขึ้นมาก   
คงหายขาดจากยาแล้วนะคะ  คุณหมอ

          สืบเนื่องจากข่าว คลื่นซึนามิจากภูเขาไฟ  Anak Krakatau ระเบิดซัดเข้าถล่มอินโดนีเซีย
เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 22 ธันวา ชวนให้ค้นดูกระทู้เก่าเล่าเรื่องหนังเก่า Krakatoa East of Java(1969)
(ฝรั่งตั้งชื่อผิดทิศเพราะเกาะกรากะตั้วนั้นอยู่ทางตะวันตกของเกาะชวา)

ที่ https://goo.gl/VYvQks

            Anak Krakatau - ทาริกรากะตั้ว (Anak แปลว่า เด็กน้อย,ลูกน้อย ; ทาริกา - เด็กหญิง ผสมกับ
กรากะตั้ว > ทาริกรากะตั้ว) เป็นเกาะภูเขาไฟรุ่นหลังในช่องแคบซุนดาที่เพิ่งคลอดแล้วโผล่ขึ้นพ้นน้ำเมื่อปี 1930
และ เริ่มปะทุสลับสงบเรื่อยมาหลังจากการระเบิดตั้งแต่ปี 1994

คลิปฉากภูเขาไฟกรากะตั้วระเบิดในปี 1883 จากหนัง Krakatoa East of Java ที่ตื่นตา,ตื่นใจเมื่อครั้ง
เคยดูเต็มจอเต็มตาในโรงใหญ่

https://www.youtube.com/watch?v=NJLou10rQBk&t=5s

เป็นเรื่องเศร้าส่งท้ายปีเก่า 2018 ที่ไม่อยากให้เกิดซ้ำซ้อนขึ้นอีกเลย
คืนนี้เป็นคืนก่อนคริสต์มาส   ขอส่งคลิปความรื่นเริงบันเทิงใจมาทำให้ใจที่หดหู่ ค่อยเบิกบานขึ้นมาได้หน่อยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=SFGC_YgeQ5w

ขาดไม่ได้ในเทศกาลคริสต์มาส คือฉากจากหนัง White Christmas

https://www.youtube.com/watch?v=7S-IidmcSN8

ขอแถมนักร้องคนโปรดให้ฉากหนึ่งค่ะ Martin Hurkens  ผู้ชนะเลิศ Holland Got Talent ปี 2010

https://www.youtube.com/watch?v=4RojlDwD07I

            เพลงหนึ่งเพลงนี้ที่ติดอันดับต้นๆ ของเพลงยอดนิยมสำหรับเทศกาลคริสตมาสมายาวนาน นั่นคือ
White Christmas ผลงานการประพันธ์ของ Irving Berlin(1888 – 1989)* และจากเสียงร้องของ
Bing Crosby(1903 – 1977)

*เกร็ดเล่าเรื่องเบื้องหลังเพลงยอดนิยมเพลงนี้ว่า
           ในขณะที่ผู้คนต่างรื่นเริงฉลอง Merry Christmas กันแต่สำหรับครอบครัวของ  Irving Berlin แล้ว
ช่วงเทศกาลนี้คือเวลาแห่งการสูญเสีย เมื่อบุตรชายคนเดียววัยเพียงสามสัปดาห์ของเขาได้จากไปด้วยโรค Sudden
Infant Death Syndrome ในวันคริสตมาสปี 1928  นับจากนั้นมาทุกๆ ปี, ครอบครัว Berlins ได้ใช้ช่วงเวลานี้
รำลึกถึง Irving (น้อย) ผู้จากไปก่อนกาล

            White Christmas แรกเริ่มเผยแพร่ในรายการวิทยุของบิง เมื่อปี 1941 ก่อนจะมาเป็นหนึ่งในบทเพลงของ
หนังเพลงปี 1942  เรื่อง Holiday Inn และ White Christmas(1954)

            และด้วยเทคโน. ของวันนี้, เราจึงได้รับชม Buble and Bing Sing White Christmas together
ออกอากาศเมื่อปี 2012

https://www.youtube.com/watch?v=TnnXSewmUCA

ตัดต่อแปะจากคลิปเก่ารายการของบิงเมื่อปี 1971

https://www.youtube.com/watch?v=7gO67YCECe4

           จากแดนดาวมีข่าวดีงามรับเทศกาลคริสตมาสและปีใหม่ เมื่อนักแสดงชื่อดังแห่งเอเชียที่เลื่องลือ
เรื่องความสันโดษพอเพียง(มักใช้กันว่า สมถะ) เรียบง่ายและใจบุญ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อลงข่าว(กันอีกครั้ง)
เมื่อสองสามวันก่อนนี้ว่า

            Chow Yun-Fat Pledges to Donate Entire Fortune Worth US$715 million to
Charity After He Dies

            นักแสดงวัย 63 ปีที่คนไทยเรียกขานว่า โจว เหวิน ฟะ โด่งดังเป็นที่รู้จักในบ้านเราจากบทบาทใน
ซีรี่ส์เรื่อง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้(1980) แต่อีกบทบาทหนึ่งซึ่งเข้มข้นดรามาและเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ในตอนนั้นว่า
เป็นบทที่เขาประทับใจมากคือ ผลงานก่อนหน้านั้นที่รับบทบาทชายหนุ่มผู้โชคชะตาพลิกผันเพราะความกตัญญู
และหมดหนทางจำต้องกระทำผิดจนติดคุกในซีรี่ส์เรื่อง เทพบุตรชาวดิน(1979)

             เฮียโจวเข้าสู่วงการบันเทิงจอแก้วจากการเป็นนักแสดงของ TVB ก่อนที่จะข้ามมาจอเงิน เล่นหนังฮ่องกง
หลายเรื่อง,ที่โดดเด่นดังที่สุด คือหนังแนวแอ็คชั่นดรามาเรื่อง โหด เลว ดี(A Better Tomorrow -1986)
             หนังประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งรายได้และคำชื่นชม ได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดหนังแก๊งสเตอร์ฮ่องกง
ดีที่สุดตลอดกาล จวบจนกระทั่งในปี 2017 นี้ที่เป็นวาระครบรอบ 100 ปี ภาพยนตร์จีนก็ยังได้รับโหวตให้เป็นภาพยนตร์จีน
ที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ใน 100 อันดับ

โหดเลวดีผมมีแผ่นหนังอยู่นี่นา ซื้อมาดองไว้นานมาก....ต้องไปค้นมาดูเสียหน่อยแล้ว

^ ดูมากๆ ก็ดี,จะได้มาเล่าฉากประทับใจให้ฟัง

             ผลงานเด่นเรื่องต่อๆ มาของเขา ในส่วนที่เป็นงานซึ่งได้เหินฟ้าข้ามน้ำไปแสดงในฮอลลีวู้ดสองสามเรื่อง
ที่บ้านเรารู้จักดีแต่ไม่ได้เข้าโรงฉายคือ The King and I  และ Pirates of the Caribbean:At World's End
ซึ่งเรื่องหลังนี้ที่จีนแผ่นดินใหญ่ได้ถูกเซนเซอร์หั่นบางส่วนออกเพราะ vilifying and defacing the Chinese
จนเหลือให้เห็นบทบาทบนจอแค่สิบนาที

            และ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด คือผลงานเด่นเป็น หนังกำลังภายในที่แรงระดับออสการ์,ผลงานของผู้กำกับใหญ่
อั้งลี่ ที่นำหนังกำลังภายในจอเล็กมาสู่จอใหญ่ให้โลกรู้จักและประทับใจด้วยการออกแบบการต่อสู้ที่ตื่นตาดูสมจริงประกอบ
งานสร้างคุณภาพประณีต  Crouching Tiger, Hidden Dragon

กระทู้เก่าที่   http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4901.195

            ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ด้วยคลิป การนับถอยในหลังคืนสุดท้ายของปีที่ Time Square จากหนัง
ปี 2011 เรื่อง New Year's Eve ที่มาแนวเดียวกับหนังเรื่อง Love Actually เมื่อปี 2003 ซึ่งอิงช่วงเวลา
คริสตมาส แต่เปลี่ยนมาเป็นเรื่องราวของคู่รักหลายคู่และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทศกาลถัดไป นั่นคือ คืนส่งท้ายปีเก่า           

https://www.youtube.com/watch?v=-1g6SoKbymc

         รำลึกถึงคุณ สอาด เปี่ยมพงษ์สานต์ ด้านบทบาทการเป็นนักแสดง ณ กระทู้นี้

สะกดชื่อตามที่ระบุในหนังสือของไทยทีวีช่องสี่

           รับทราบข่าวการจากไปของคุณสอาดด้วยความใจหายและอาลัย

ใจหาย เพราะเพิ่งได้เห็นคุณอาในละครเรื่อง ริมฝั่งน้ำ ยังแลดูสุขภาพดีสมตามวัย และ พลังการแสดง
ของคุณอายังมีมากอยู่ ยังแสดงละครต่อได้อีกนาน

อาลัย เพราะ การจากไปของคุณอาซึ่งเปรียบเสมือนทหารเสือคนสุดท้ายของ สามทหารเสือ แห่งช่อง ๔
บางขุนพรหม บ่งชี้ถึงการสิ้นสุดโดยสมบูรณ์แห่งยุคสมัย (The End of the Era) ไทยทีวี ช่อง ๔ ที่ได้
ฝากความทรงจำดีๆ ในวัยเยาว์ไว้มากมาย

ภาพเก่าๆ จากกระทู้ https://pantip.com/topic/38430085

จากละครเรื่อง ขุนศึก คุณกำธร สุวรรณปิยะศิริ อารีย์ นักดนตรี สอาด เปีี่ยมพงษ์สานต์ และ สมจินต์ ธรรมทัต

           ตอนเด็กๆ จะคุ้นเคยกับเสียงพากย์ของคุณอามากกว่าการแสดง ไม่ว่าจะเป็นบทพระเอกในซีรี่ส์ฝรั่ง
หรือญี่ปุ่น จำได้ว่า ครั้งหนึ่ง คุณอาซึ่งจบจากญี่ปุ่นต้องพากย์ซีรี่ส์ญี่ปุ่นแบบสดๆ เพราะคนแปลบทส่งบทมาให้
ไม่ทัน ที่ทราบและจำได้เพราะตอนท้ายเรื่อง คุณอาพากย์ตัวละครให้ตะโกนบอกตัวละครอีกคนหนึ่งว่า -
ครั้งหน้า อย่าลืม ส่งบทมาด้วยนะ

อ่านเรื่องราวย้อนอดีตของคุณอา เมื่อครั้งไปเรียนที่ญี่ปุ่นได้ที่

โปกฮา ดารารุ่นเดอะ ไทยโพสต์ ญี่ปุ่น จากวันวานถึงวันนี้ (ตอนที่ ๑)

          https://www.ryt9.com/s/tpd/2558386

จากละครเรื่อง ออกญายามาดา

            เมื่อไทยทีวี ช่อง ๔ ปรับเปลี่ยนเป็น ช่อง ๙ อสมท. ส่งผลให้คนเก่าๆ แยกย้ายออกไปกันมากมาย
ซึ่งรวมถึงสามทหารเสือ คุณสมจินต์ ทำงานวงการบันเทิงด้านการใช้เสียงพากย์เป็นหลักและแสดงละครบางเรื่อง
คุณกำธร ก็มีงานการแสดงให้ดูเป็นระยะๆ เช่นเดียวกับคุณสอาด

            จากจอแก้วคุณอาก้าวสู่จอเงินฝากผลงานการแสดงบางเรื่องไว้ ที่สำคัญคือ น้ำผึ้งขม หนังของอัศวิน
ภาพยตร์ในปี ๒๕๑๗ คุณอารับบท พระเอกรุ่นพ่อที่ผิดหวังจากคนรักแล้วใช้ลูกสาวของคนรักเป็นจำเลยความแค้น
            จากหนังเรื่องนี้ทำให้คุณอาได้พบกับคุณนฤมล นิลวรรณ นักแสดงหน้าใหม่ผู้มารับบทนางเอกคราวลูก
แล้วผูกสมัครรักกันทั้งในและนอกกองถ่ายกลายเป็นคู่ชีวิตที่อยู่เคียงกันจนบั้นปลาย

           บทบาทการแสดงที่โดดเด่นประทับใจของคุณอา คือ ละครเรื่อง สุดแต่ใจจะไขว่คว้า จากบทประพันธ์
ของ โบตั๋น คุณอารับบท พ่อที่พลาดผิดรักลูกไม่เท่ากัน จนต้องประสบกับความเจ็บปวดจากลูกรักแต่ได้ลูกชังช่วย
ประคับประคองให้ชีวิตพ่อไปต่อ บทบาทชั้นครูของคุณอาทำให้ได้รับรางวัลดาราสนับสนุนชายดีเด่น ปี ๒๕๓๒

           ผลงานละครเมื่อไม่นานนักและกำลังจะนำมารีรันที่คุณอาฝากบทบาทสมทบไว้แต่ก็โดดเด่นไม่โดนกลบ
คือ ทองเนื้อเก้า คุณอารับบทหลวงพ่อ-หลวงตา ที่ช่วยดูแลวันเฉลิมและปลูกฝังตั้งแต่เล็กด้วยนิทานชาดกสอนใจ
ทำให้ได้วันเฉลิมที่เติบโตเปล่งประกายเป็นทองเนื้อเก้าท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่แสนจะไม่เอื้ออำนวย

           ข่าวเล่าว่า คุณอา ยังมีละครที่กำลังถ่ายทำอยู่เรื่อง ด้ายแดง และ ด้วยความเป็นห่วงทำให้บางช่วงที่พอจะมี
สติกำลัง, คุณอาจึงเพ้อจะไปเข้าฉากที่กองละครเรื่องนี้

ลาลับหมดแล้ว, สามทหารเสือแห่งจอแก้ว ไทยทีวี ๔ บางขุนพรหม

ย้อนรำลึกสามทหารเสือ
คุณสมจินต์ ธรรมทัต เกิด 2473  จากไปเมื่อ 2547  อายุ 74 ปี
คุณกำธร สุวรรณปิยะศิริ  เกิด . 2478 ถึงแก่กรรม พ.ศ. 2553  อายุ  75 ปี
คุณสอาด  เกิด 2475   จากไป 2562  อายุ 86 ปี

ภาพนี้จากละคร  ออกญายามาดา   มีครบสามทหารเสือ  คุณสอาด  คุณชาติ(สักกะ)จารุจินดา  คุณกำธร
ส่วนคุณสมจินต์นอนแผ่อยู่บนพื้น

หลวงตาปิ่นเทศนาวันเฉลิมใน "ทองเนื้อเก้า" พ.ศ. ๒๕๕๖ เริ่มรีรันแล้ววันนี้  ;D

https://youtu.be/KsEiRXv3b8k

เกร็ดชีวิตคุณอาสะอาด จากคำบอกเล่าของคุณดำรง พุฒตาล

https://youtu.be/IKu_gKLv5zE

          คุณอาสะอาดรับบทเป็นหลวงตา ที่เปิดกุฏิเป็นเนอร์ซรี่(จำเป็น) รับเลี้ยงวันเฉลิมตั้งแต่เล็กให้ที่นอน
และข้าววัดกิน จนเมื่อวันเฉลิมเริ่มรู้ความก็อ่านนิทานชาดกเรื่อง มาตุโปสกชาดก พญาช้างยอดกตัญญู ที่เล่า
เรื่อง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างเผือกขาวปลอด ละจากโขลงเพื่อเลี้ยงดูมารดามารดาตาบอดให้ฟัง ทั้งยัง
อบรมสั่งสมคุณธรรมความดีให้แก่วันเฉลิมเรื่อยมา

http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt23.php

            แม้ว่าแม่ลำยองจะน่าระอา,สุดจะเยียวยาแค่ไหน  วันเฉลิมก็ไม่มีวันทิ้งแม่และน้องๆ สมกับชื่อเรื่อง
ทองเนื้อเก้า
            นอกจากคุณอาสะอาดแล้ว ยังมีคุณอาพิศาล รับเชิญมาในบท ผู้ชายคนหนึ่งของลำยองด้วย
(ขนาดระดับผกก.ละครตบจูบมาเองยังจัดการลำยองไม่ได้)

เกร็ดการแสดงของคุณอาสะอาด ในสายตาของคุณนพพล โกมารชุน

อาอาด สะอาด เปี่ยมพงศานต์.....

ครับ อาอาดกับกระผมนี่เราพบกันครั้งแรกทางเสียงครับ เสียงพากย์หนังทีวียุคบุกเบิกช่อง ๔ ขาวดำ ที่ชอบสุดก็หนังญี่ปุ่นครับ ซาซูเกะ ซามูไรคลาสสิค ขวัญใจเด็กทั้งประเทศ กับทีมพากย์สะอาด สมจินต์ ดาเรศ นี่ไม่มีใครเทียบจริง ๆ

ครั้งที่สองนี่กระผมอยู่ในช่วงอายุที่กำลังบ้าหนังคลั่งละครครับ ตะลุยดูมันทุกเรื่อง สงสัยว่ามันคงเริ่มซึมเข้ากระแสเลือดกระผมถึงดูอะไรก็ชอบก็ชื่นชมก็หลงใหลได้ปลื้มไปซะหมด "น้ำผึ้งขม" คือหนึ่งในละครยอดนิยมนั้นครับ งานประชันบทบาทของสะอาด กนกวรรณ สุพรรณ บูรณพิมพ์ คือการแสดงระดับสิบ แล้วกระผมก็พบว่าสะอาด เปี่ยมพงศานต์คือพระเอกหน้าโหด หนวดดุ ตาดุ เสียงดุ แอ๊คติ้งดุจนน่ากลัว แล้วความกลัวนั้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตด้านมืดจนกระทั่ง วันหนึ่ง.....นักแสดงหน้าใหม่ผู้ผ่านการแสดงมาแค่สองเรื่องคือ "ใต้ฟ้าสีคราม" กับ "คนเริงเมือง" ฟ้าก็กำหนดลงมาว่าถึงเวลาที่นายนพพลสมควรที่จะเล่นละครประชันคุณสะอาดสักเรื่องได้แล้ว…โอย…กรูตายแน่ !!!!!!!!!!!!!

ละครเรื่องนั้นชื่อ "ดงมนุษย์" ครับ ผลงานสร้างของพี่จิ๋ม มยุรฉัตร กระผมนั้นรับบทนักศึกษาวัยหวานใสหน้าตี๋ที่สุดจะอินเทรนด์แห่งยุค แล้วคุณสะอาดล่ะครับ ใครจะเชื่อว่าแกจะรับบท…เกย์เฒ่า ใช่ครับท่านผู้ชม ผู้ชายหน้าโหดคนนั้นเค้าเล่นเป็นเกย์ แล้วเค้าก็ต้องมาหลงรักกระผมไงครับ…เฮ้อ…ขอตายแพร็พเถอะนพพล เชื่อมั้ยครับว่าฉากแรกที่จะต้องเข้าด้วยกันแล้วคุณสะอาดส่งสายตาหวานระยิบวิบวับใส่ กระผมนั้นหวาดกลัวขนหัวลุก แทบจะตายไปตรงนั้น ฝันร้ายไปหลายวันว่าลึก ๆ แล้วแกต้องเป็นอีแอบแหง ๆ จนหลายปีต่อมาเมื่อประสบการณ์มีมากขึ้นจึงสำเหนียกได้ว่านั่นคือ พลังการแสดงระดับปรมาจารย์แท้เทียว จึงทำให้นักแสดงมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์ตรงหน้านั้นจริง ๆโดยปราศจากการเสแสร้ง action กับ reaction ที่เกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์งดงาม

ครั้งที่สามก็ กำกับการแสดงละครับ เมื่อวิทยายุทธเริ่มแก่กล้ากระผมก้อเริ่มงานกำกับละครเรื่องที่สอง "สุดแต่ใจจะไขว่คว้า"  เวอร์ชั่นแรก หนุ่มเสก อี๊ดรอน ก้ามปู และชุดาภา แสดงนำ บทสำคัญของเรื่องคือตัวพ่อกับแม่ซึ่งก็ได้คุณสะอาดกับคุณมี้พิศมัยมาเล่น อ้ะ สนุกครับ เป็นการทำงานที่สนุกมากและเหมือนเป็นงาน experimentation เลยทีเดียวเนื่องจากสมัยนั้นครับละครจะถ่ายกันอยู่แค่ในสตูดิโอเท่านั้น เรื่องนี้พูดได้ว่าเป็นละครเรื่องแรกที่หาญกล้าออกไปถ่ายทำในโลเคชั่นจริงคือ อัมพวา เกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยกระดับ production ด้วยการเช่าไฟสยามไลท์และมีการจัดแสงอย่างภาพยนตร์ ทีนี้ต้องกลับมาเล่าถึงคุณสะอาดครับ ท่านเล่นบทพ่อนี้ได้อย่างวิเศษสุดจนได้รับรางวัลเมฆขลาผู้แสดงประกอบชายยอดเยี่ยมไปครอง ไอ้กระผมในฐานะผู้กำกับก็ปลื้มเป็นบ้าเป็นหลังไปซีครับ

แล้วจากนั้นต่อมาเราก็ได้ทำงานด้วยกันเป็นครั้งที่สี่ ห้า หก และเรื่อยมาเป็นลำดับ อาทิเช่น ทองภาค ๒ หัวใจและไกปืน ละครเทิดพระเกียรติหลายเรื่อง (อากำกับ กระผมแสดง) จนมาถึงครั้งสุดท้าย ละครเรื่อง "ริมฝั่งน้ำ" ละครที่แสดงศักยภาพความเป็นเทพศิลปินของผู้ชายที่ชื่อ สะอาด เปี่ยมพงศานต์ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ละครที่อาจะบอกกับใครต่อใครที่อยู่ใกล้ชิดว่า อาสนุกมากกับการทำงานและอาก็รักละครเรื่องนี้มากที่สุด

อาครับ เราก็รักอา และจะคิดถึงอาตลอดไปครับผม

https://www.facebook.com/548446280/posts/10156497189586281/

เพื่อนฝูงในวงการรำลึกถึงคุณสอาด

https://www.youtube.com/watch?v=wsx8BIyWnjM

          รายงานข่าว หอภาพยนตร์ฉายหนังพระบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 7 ที่ไม่เคยเผยแพร่ในไทยมาก่อน

https://bbc.in/2CUpR6T
 
          ในโอกาสมหามงคล ก่อนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในต้นเดือน พ.ค. หอภาพยนตร์ ได้จัดทำและ
เผยแพร่ภาพยนตร์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในหลวงรัชกาล ที่ 7 ฉบับที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน ในชื่อ

          "Unseen ภาพยนตร์บันทึกพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ 7"

           ภาพยนตร์ความยาวกว่า 30 นาทีนี้ จัดทำจากฟิล์มเก่าแก่ ประเภทฟิล์มไนเตรต* ที่กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว
กรมรถไฟหลวงบันทึกไว้ ระหว่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2468
แต่ไม่ได้ตัดต่อรวมในฉบับฉายจริง หรือ "ฉบับทางการ" ความยาว 15 นาทีที่มีอยู่ในปัจจุบัน

https://www.youtube.com/watch?v=hSOPhUF4gMQ

*"ฟิล์มประเภทนี้เป็น [เทคโนโลยี] ตัวแรกเลย ตอนนี้ไม่ผลิตแล้วเพราะอันตราย ลุกติดไฟง่าย" ธีทัต วิริยกิจจา
นักอนุรักษ์ฟิล์มภาพยนตร์และสิ่งเกี่ยวเนื่อง อธิบายให้บีบีซีไทยฟัง

        พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (๒๔๖๘)

https://www.youtube.com/watch?v=XYZIyKG2r_8

บีบีซีไทย นำเสนอเรื่องสืบเนื่องจากคห.ก่อนหน้านี้,

           ภาพยนตร์ : โดม สุขวงศ์ นักอนุรักษ์ฟิล์มผู้สานต่ออดีตที่ขาดช่วงผ่านภาพเคลื่อนไหวโบราณ

https://is.gd/iZUJKh

            'โดม สุขวงศ์' นักอนุรักษ์ภาพยนตร์เกียรติคุณ และผู้ก่อตั้ง หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)
ด้วยหน้าที่อันภาคภูมิใจในการ "อนุรักษ์" และ "คืนชีวิต" ให้ประวัติศาสตร์ที่เคลื่อนไหวได้บนแผ่นฟิล์ม

            หอภาพยนตร์มุ่งมั่นต่อพันธกิจเพื่อคืนชีวิตให้ฟิล์มเก่า ไม่ใช่เพราะเป็น "สิ่งบันเทิง" แต่ในฐานะ "สื่อสร้างปัญญา"
            "เรามีคำขวัญว่า ภาพยนตร์ยังให้เกิดปัญญา บทบาทของมันไม่ว่าคนสร้างหรือคนใช้ ไม่มีประโยชน์อย่างอื่น
ถ้าไม่ทำให้มนุษย์ฉลาดขึ้น"
            "เพราะสื่อมอมเมาเราได้ หรือทำให้หลง ฉะนั้นต้องรู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์"

 ;D
เห็นความมุมานะของคุณโดมมายาวนานหลายสิบปีแล้ว  ขอชื่นชมค่ะ

            ผู้กำกับเจ้าของผลงานที่เป็นตำนานในบ้านเราเมื่อหลายทศวรรษก่อน (Romeo & Juliet 1968)
ลับจากฟากฟ้าแดนดาวไปเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. นี้

             Franco Zeffirelli (1923 – 2019) ชาวฟลอเรนซ์,อิตาลี รังสรรค์ผลงานศิลปะด้านอุปรากรและ
ภาพยนตร์ฝากไว้ให้ชนชื่นชม โดยเฉพาะงานศิลปะที่เป็นรักแรกนั้น,เขาอ้างว่า

             "I'm not the greatest director of opera in the world. I'm the only one."

Franco Zeffirelli และ ดิวาอุปรากรในตำนาน Maria Callas เมื่อปี 1958
ต่อมาเขาได้นำเรื่องราวประวัติชีวิตของเธอมาสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อ Callas Forever ในปี 2002

            จากเวทีสู่จอเงิน, เขามีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกซึ่งสร้างจากงานประพันธ์ของเชคสเปียร์ เรื่อง
The Taming of the Shrew(1967) โดยได้ร่วมงานกับนักแสดงตัวแม่ในตำนานอย่าง Elizabeth Taylor
(และ Richard Burton)

            หลังจากได้รับการตอบรับที่ดีจากหนังเรื่องแรก, ผลงานเรื่องที่สองก็สร้างชื่อให้ลือชาไปทั่ว เมื่อเขา
จับงานอีกเรื่องหนึ่งของเชคสเปียร์มาขึ้นจอ โดยคัดเลือกนักแสดงหน้าใหม่วัยละอ่อน Leonard Whiting
และ Olivia Hussey มารับบทนำใน Romeo & Juliet (1968)

           หนังประสบความสำเร็จโด่งดังข้ามทวีปจนมาถึงบ้านเราและเลยไปถึงญี่ปุ่น ส่วนตัวผกก.ก็ได้รับ
การเสนอชื่อชิงออสการ์

          ผลงานหนังที่ตามมาและเข้าฉายในบ้านเรา ได้รับการต้อนรับพอประมาณ แม้จะไม่ถูกใจนักวิจารณ์
ในต่างแดน

แต่เรื่องนี้ ก็ยังเป็นที่กล่าวถึงจนทุกวันนี้จากผลการโหวทให้เป็นหนังที่เศร้าสะเทือนใจที่สุด The Champ(1979)

เพลงประกอบคือสิ่งดีเป็นที่จดจำยาวนานกว่าตัวภาพยนตร์เรื่องนี้
Endless Love (1981)

      เอกศิลปินผู้กำกับและออกแบบงานศิลปะบนเวที, จอแก้ว และจอเงิน

Judi Dench ใน Romeo and Juliet ที่ London ปี 1960

Cher ใน Tea With Mussolini ปี 1999

Aida  ณ โรงอุปรากร Scala, Direction and Scene - Franco Zeffirelli ปี 2006

Romeo and Juliet  ในเวอร์ชั่นที่ได้ชื่อว่าคลาสสิคเหมือนจริงที่สุด   โดยเฉพาะนางเอก Olivia Hussey ผู้ได้รับคำนิยมว่าใกล้เคียงจูเลียตในวรรณคดีของเชคสเปียร์มากกว่านางเอกคนไหนๆก่อนหน้านี้

https://www.youtube.com/watch?v=4FHpmn-KYec

ฉากและเพลงประทับใจ

https://www.youtube.com/watch?v=0nYG_wQMheg

             Romeo & Juliet ตามบทประพันธ์, จูเลียตยังเป็นด.ญ. วัย 13 ปี
             ตอนมารับบท, โอลิเวียมีอายุ 15 สดใสวัยเยาว์ใกล้เคียงจูเลียตตามบทประพันธ์ และ แน่นอน
โดนวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในบทเลิฟ ซีน
             อีกเวอร์ชั่นที่วัยนักแสดงใกล้เคียงและโด่งดังคือ Claire Danes เป็นจูเลียตตอนอายุ 17 ใน
William Shakespeare's Romeo + Juliet
             ส่วนเวอร์ชั่นเก่าก่อนของผกก.ใหญ่ George Cukor ในปี 1936, นักแสดงดังที่รับบทจูเลียต -
Norma Shearer มีอายุ 34 ปีแล้ว

          คล้ายกับอุปรากรเรื่อง Madama Butterfly ที่ Cio-Cio-San ก็มีอายุเพียง 13 ปี แต่จะหา
นักร้องอุปรากรวัยทีนได้ที่ไหน

           10 ปีหลังจูเลียตเวอร์ชั่นโอลิเวีย, ในปี 1978 ก็มีหนังที่ใช้ด.ญ.นักแสดงมารับบทที่เป็นประเด็น
ล่อแหลมนั่นคือ Brooke Shields วัย 12 ปี ใน Pretty Baby ตัวหนังเป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์แต่ก็
ยังคงเป็นประเด็นปัญหาเรื่องความเหมาะสมด้านเนื้อเรื่อง - โสเภณีวัยเด็ก และฉากเปิดเผยเรือนร่าง

            ถ้าเป็นยุคนี้  โรมิโอคงจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์   
            พูดถึงอายุพระเอกนางเอก  ทำให้นึกได้ว่าสมัยโบราณ วงจรชีวิตของผู้คนสั้นกว่ายุคปัจจุบันมาก     ใครอยู่ถึง 60 ก็ถือว่ามีบุญมากแล้ว  คนจีนถึงมีงานแซยิดเป็นงานใหญ่
            ในวรรณคดีและประวัติศาสตร์จะพบว่าทั้งเด็กไทยและฝรั่งก้าวเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วมาก   อิเหนาเป็นหนุ่มไปงานศพยายที่เมืองหมันหยาจนพบและหลงรักจินตะหรา เมื่ออิเหนาอายุ 15
            เจ้าคุณพระประยูรวงศ์(เจ้าจอมมารดาแพ) เมื่อพบรักกับสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ก็อายุ 13 เพราะกรมขุนสุพรรณภาควดีประสูติเมื่อเจ้าจอมมารดาอายุ 14 ปี     
            แม้แต่ในอังกฤษและอเมริกา  เจ้าสาวอายุน้อยๆแค่สิบกว่าขวบก็มีกันมาเป็นของปกติ จนถึงศตวรรษที่ 20  กฎหมายถึงเขยิบขึ้นเป็น 15-16 ปี

             หนึ่งในข่าวจากบีบีซี ไทย, เมื่อไม่นานมานี้ รายงานว่า อังกฤษจะออกธนบัตร 50 ปอนด์ เป็นรูป
Alan Turing นักคณิตศาสตร์และนักวิทยาการรหัสลับ ผู้สามารถประดิษฐ์เครื่องถอดรหัสลับจากเครื่อง
อินิกมาของฝ่ายนาซี ที่มีส่วนช่วยให้ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 และ ต่อมาเขายังได้นำ
เสนอผลงานการออกแบบเครื่องมือที่ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของคอมพิวเตอร์ยุคนี้ด้วย

https://www.bbc.com/thai/international-49007726

แต่ทว่า      ในปี 1952 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน มีพฤติกรรมอนาจารกับชายอื่น เขาถูกไล่ออกจากงาน
และลงโทษด้วยการฉีดยาทำให้เป็นหมัน ทั้งยังเข้ารับเคมีบำบัดและฮอร์โมนเพื่อรักษาอาการรักเพศเดียวกัน
ที่ถือว่าเป็นโรคในยุคนั้น
               สองปีต่อมา(1954) เขาได้เสียชีวิตจากยาพิษไซยาไนด์ ขณะที่มีอายุ 41 ปี
               เกือบ 50ปีต่อมา ในปี 2013 อลัน ทิวริง ได้รับพระราชทานอภัยโทษ และเมื่อปีที่แล้ว ด้วยกฎหมาย
Turing's Law ส่งผลให้ชายที่ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามกฎหมายรักร่วมเพศที่ถูกยกเลิกไป ทั้งที่ยังมีชีวิตและ
เสียชีวิตไปแล้ว พ้นจากความผิด

           เรื่องราวชีวประวัติ,ผลงานและชะตากรรมในบั้นปลายชัวิตของวีรบุรุษสงครามโลกได้ถูกนำมา
ถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์คุณภาพเรื่อง The Imitation Game เมื่อปี 2014 ที่ได้รับการตอบรับเป็น
อย่างดีทั้งคำชมและรายได้

            หนังเล่าเรื่องราวหลักเป็นเรื่องขบวนการคิดประดิษฐ์เครื่องถอดรหัสนาซี โดยอลันและทีมงานซึ่ง
ต้องทำงานแข่งกับเวลาที่ทุกนาทีหมายถึงชีวิตที่สูญเสียไปในสงคราม, ภายใต้แรงกดดันจากรัฐบาลที่ฝาก
ความหวังไว้กับทีมงานนี้
            ในขณะเดียวกัน, หนังก็นำเสนอ เรื่องราวชีวิตในวัยเด็กที่โรงเรียนของอลัน แสดงให้เห็นถึงแวว
อัจฉริยะ และความแปลกแยกแตกต่างของเขาที่ต้องเก็บไว้ข้างใน
            และ โศกนาฏกรรมในบั้นปลายชีวิตของอัจริยะวีระบุรุษสงครามนิรนาม

             Benedict Cumberbatch เป็นอลัน ทัวริงได้อย่างไร้ที่ติในระดับรับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล
นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
             แต่ ยังมีอีกหนึ่งนักแสดง - ยุวดารา Alex Lawther ผู้รับบทด.ช.อลัน ที่ถ่ายทอดอารมณ์ดรามาได้
อย่างน่าอัศจรรย์ราวกับนักแสดงอาวุโสมืออาชีพ  จนได้รับรางวัลจาก London Film Critics' Circle Award
สำหรับ "Young British Performer of the Year" ในปี 2015
             อเลกซ์ เคยมีและมีผลงานการแสดงเรื่องอื่นๆ ทั้งก่อนและหลังภาพยนตร์เรื่องนี้

ฉากประทับใจในโรงเรียนของดาวน้อยดวงนี้ ที่พีคสุดในตอนท้ายคลิป

          เมื่อ อลันน้อยได้รับแจ้งข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเพื่อนรักคนเดียวในโรงเรียน แต่ต้องพยายาม
ปกปิดสะกดกลั้นเก็บความรู้สึกสูญเสียสะเทือนใจไว้ข้างในและยืนยันปฏิเสธว่าไม่ใช่เพื่อนสนิทกัน

https://www.youtube.com/watch?v=6I2cu6h7Ycs

https://www.youtube.com/watch?v=ApnjnK0ndiQ

https://www.youtube.com/watch?v=nuPZUUED5uk

มีใครสักคนหนึ่งเคยพูดว่า  เมื่อย้อนดูประวัติชีวิตของอัจฉริยะแต่ละคนแล้ว  ไม่มีใครมีความสุขเลยสักคน

การตายของอลันก็ยังเป็นปริศนามาจนบัดนี้ ว่าเขาฆ่าตัวตายด้วยการกินแอปเปิ้ลใส่ยาพิษ  เหมือนในหนังการ์ตูนเรื่องสโนไว้ท์ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษ  เพราะมีคนพบแอปเปิ้ลกัดกินไปครึ่งลูกอยู่บนหัวเตียง
หรือว่ามันเป็นความพลั้งพลาด ที่เขาได้รับสารพิษจากอะไรอย่างอื่น   คิอเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่จงใจ

ดูๆแล้วชีวิตของอลันก็มีแรงกดดันอย่างหนักมาตั้งแต่เด็ก    สร้างผลงานที่พลิกประวัติศาสตร์ได้ก็ไม่ได้รางวัลหรือแม้แต่เป็นที่รับรู้    โทษทัณฑ์ที่ได้รับจากรักร่วมเพศก็หนักหนาสาหัสต่อจิตใจเขามาก     ถึงอยู่ไปจนอายุ 80-90 ก็คงไม่มีอะไรดีกว่านี้ได้หรอกค่ะ 

ดาวดวงไม่ใหญ่นัก แต่ฉายประกายอยู่บนฟ้าฮอลลีวู้ดยาวนานหลายทศวรรษ จากไปในวัยสุกงอมเต็มที่  92 ปี
เดวิด เฮดิสัน คืออดีตดารารูปหล่อหน้าเข้ม ที่แฟนทีวีรุ่นขาวดำยังจำได้ถึงหนังชุด ผจญภัยใต้ทะเลลึก Voyage to the Bottom of the Sea
และแฟนหนังพยัคฆ์ร้าย  007 จำได้ ในบทเฟลิกซ์  เพื่อนสายลับของบอนด์ ในยุคโรเจอร์ มัวร์รับบทสายลับ 007

https://www.youtube.com/watch?v=3yNlTl_zqa8

ก่อนมาเล่นหนังทีวี ผจญภัยใต้ทะเลลึก  เดวิดดังมาจากหนังโรงใหญ่  เรื่อง The Fly  เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ผสมสยองขวัญ ของนักวิทยาศาสตร์หนุ่มผู้ทดลองตัวเองจนพลาดพลั้งกลายเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งแมลงวัน

https://www.youtube.com/watch?v=o1hJknuPW-M

ฉากสยองขวัญในหนังปี 1958   คนดูยุค 2019 ดูคงขำกันกลิ้งว่าสยองแค่นี้น่ะหรือ 

เดวิด เฮดิสัน กับโรเจอร์ มัวร์ ในหนังเจมส์บอนด์

https://www.youtube.com/watch?v=FuAeM3Kwbno

เดวิดดังจากหนังทีวีชุด ผจญภัยใต้ทะเลลึก  แต่เจ้าตัวไม่ค่อยชอบหนังชุดนี้เท่าไหร่ เพราะยิ่งเล่นก็ยิ่งกลายเป็นหนังสำหรับเด็ก มีแต่สัตว์ประหลาดทั้งใต้ทะเลและบนบก
แต่หนังชุดนี้ก็ประสบผลสำเร็จอย่างดีทางทีวี  ฉายอยู่ถึง 4 ปี  1964-1968

https://www.youtube.com/watch?v=KJ65Imc5s6Y

           จำปู่เดวิดได้ใน ผจญภัยใต้ทะเลลึก จากนั้นก็ยังแวะเวียนมาแสดงในซีรี่ส์จบในตอนที่จะมีนักแสดงเก่าๆ
เคยคุ้นรับเชิญมาให้เห็น,ให้หายคิดถึงอย่าง Love Boat,Fantasy Island และ Wonder Woman

ย้อนกลับไปส่งท้ายตอนจบของ The Imitation Game
 
          หนังนำเสนอภาพอลัน ทัวริง ที่ป่วยทั้งกายและใจเนื่องจากเลือกรับการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนแทน
การถูกตัดสินจำคุก เขาเดินอย่างไม่ค่อยถนัดไปหยุดยืนมองเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เขาให้ชื่อว่า Christopher
(ตามชื่อเพื่อนรักสมัยโรงเรียน - เป็นบทที่เขียนขึ้นเพื่อความดรามา) รอยยิ้มน้อยๆ ผุดพรายระบายใบหน้าก่อน
ที่เขาจะกดสวิทช์ปิดไฟแล้วเดินเข้าไปในความมืด
          ตามบทดั้งเดิม หนังจะจบด้วยฉากความตายของอลันที่ลงท้ายด้วยช็อทภาพของลูกแอปเปิ้ล แต่แล้ว
เปลี่ยนใจกลับเป็นภาพแสงสว่างของกองไฟ ที่ทีมงานปิดทองหลังพระก่อขึ้นเพื่อเผาทำลายเอกสารการทำงานลับนี้
ทั้งหมด ก่อนที่วีรบุรุษนิรนามเหล่านี้จะแยกย้ายกันไปแล้วไม่หวนมาพบกัน ประกอบคำบรรยายบทสุดท้ายของชีวิต
อัจริยะระทม        
    
https://www.youtube.com/watch?v=wU7ngNXnO8E

ขอย้อนไปถึง ผจญภัยใต้ทะเลลึก อีกนิดเป็นการส่งท้าย
คุณปู่เดวิด เฮดิสันเป็นดารานำคนสุดท้ายในหนังชุดนี้ที่ลาจากไป    ดาราอื่นๆในเรื่องนี้ล่วงหน้าไปผจญภัยบนสวรรค์กันหมดแล้วค่ะ
ปล.  นักแสดงแถวล่างคนกลาง เป็นคัวสมทบชื่อ Allan Hunt  แสดงเพียง 17 ตอน ในซีซั่น 2  ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ

             Rutger Hauer (1944 – 19 July 2019) นักแสดงชาวดัทช์ผู้มีชื่อเสียงระดับสากล,ฝากผลงาน
เด่นดังไว้ได้จากไปด้วยวัย 75 ปี, ไม่มีรายงานข่าวสาเหตุการเสียชีวิต
             แรกเริ่มคุณลุงมีชื่อเสียงมาจากผลงานของผกก.ดัทช์ - Paul Verhoeven (ผู้ที่ต่อมามีผลงานสากล
สร้างชื่อ เช่น RoboCop, Total Recall, Basic Instinct)

หนังที่เด่นดังสร้างชื่อที่สุดของคุณลุงจนเป็นที่กล่าวขวัญและจดจำจนวันนี้คือ Blade Runner (1982)

            แม้มีอายุมากขึ้นแต่ลุงก็ยังมีผลงานอย่างต่อเนื่องทุกปีไม่มีเว้น

ในใบปิด Batman Begins จัดลำดับเรียงรายนามนักแสดงนำตามด้วยนักแสดงใหญ่คนสำคัญ ได้แก่
Micahel Caine, Gary Oldman, Morgan Freeman, Tom Wilkinson หลังคำว่า WITH แล้ว
จึงลงท้ายสุดด้วยชื่อคุณลุงที่ตามหลังคำว่า AND
ส่วนเรื่อง LADYHAWKE น่าจะเรียงรายนามนักแสดงนำตามลำดับตัวอักษร(นามสกุล) พระเอกและนางเอก
ของเรื่องจึงมีชื่อตามหลัง BRODERICK

           ด้วยความที่เป็นนักแสดงโดดเด่นดังของชาติ(ดัทช์) ไปรษณีย์ดัทช์(Dutch Mail Service) จึงได้
จัดพิมพ์แสตมป์รูปคุณลุงขึ้นเมื่อปี 1995 เป็นซีนจากหนังดัทช์ที่คณลุงนำแสดงเรื่อง Turkish Delight (1973)

ไม่ได้ดูหนังของคุณลุงดัทช์  หรือดูแต่จำไม่ได้  เลยไม่ได้เอ่ยถึงคุณลุง แม้ว่าทราบข่าวการจากไป
ขอบคุณคุณหมอ SILA ที่ช่วยจดจำรำลึกค่ะ

ดาวดวงเล็กที่ส่องแสงบนฟ้ามายามายาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 1950s  ลับจากฟากฟ้าไปอีกดวงหนึ่งแล้ว    สงสัยคุณหมอจะเกิดไม่ทันคุณปู่  Barry Coe   
สมัยหนุ่มๆคุณปู่เป็นหนุ่มหล่อหน้าหวานแต่มาดแมน  ตามความนิยมของฮอลลีวู้ดยุคเบบี้บูมเมอร์โตขึ้นเป็นวัยรุ่น    จึงได้เซ็นสัญญากับบริษัททเวนตี้เซนจูรี่ฟ็อกซ์ 
ตอนต้นก็ทำท่าจะไปได้ดี  ได้รางวัลลูกโลกทองในฐานะดาราดาวรุ่งประจำปี 1960 ร่วมกับดาราหนุ่มอีก 3 คนซึ่งเป็นดาวค้างฟ้ากันหมด
แบรี่เล่นเป็นตัวประกอบก่อน แล้วค่อยเขยิบขึ้นเป็นตัวรองๆ ได้บทดีบ้างปานกลางบ้างในหนัง  ต่อมาก็ข้ามจากหนังใหญ่ไปเล่นหนังทีวี  และแสดงโฆษณาต่อกันหลายตอน
แต่คุณปู่ก็ไม่ได้เขยิบขึ้นไปสูงกว่านั้น    เพียงแต่มีงานทำมาเรื่อยๆ จนจากไปในวัย 84 ปี   มีลูกสามคน หลานอีกสิบ

หนังที่คุณปู่เล่นเป็นพระเอกเมื่อปี 1972    The Oval Portrait ทำจากนิยายของเอ็ดการ์ อัลแลน โพ   นักเขียนเรื่องลึกลับอันดันหนึ่งของวรรณกรรมอเมริกัน

https://www.youtube.com/watch?v=37b5W5Om6Hs

ดาวดวงใหญ่ร่วงจากฟ้าไปอีกดวงหนึ่ง  Peter Fonda  จากไปในวัย 79  ด้วยมะเร็งปอด
ตระกูลฟอนดาสืบสายเลือดดารากันหลายคน  พ่อของปีเตอร์คือเฮนรี่ ฟอนดา ดาราใหญ่ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง   พี่สาวของปีเตอร์คือเจน ฟอนดา สาวอมตะสองพันปีที่ยังค้างฟ้าฮอลลีวู้ดอยู่จนทุกวันนี้   ลูกสาวเขา บริดเจท ฟอนดาก็เป็นดาราที่คนไทยรู้จักกันดีอีกคน  และลูกชายจัสติน ฟอนดาก็เดินตามรอยแบบเชื้อไม่ทิ้งแถว

 ในวัย 28 ปี  ปีเตอร์ ฟอนดา สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในหนัง Easy Rider ออกฉายในปี 1969   ทั้งผลิต เขียนบท และแสดงเอง     ฝีมือขนาดถูกส่งชิงตุ๊กตาทองด้านเขียนบทในเรื่องนี้

https://www.youtube.com/watch?v=J1cDECkN2xg

https://www.youtube.com/watch?v=08xC7ocREAw

คุณหมอ SILA มีอะไรจะรำลึกถึง Peter Fonda ไหมคะ
ดิฉันเคยดูหนังของ Henry  Jane และ Bridget มากกว่าเขา

นอกจากหนังดังที่สุดของลุงปีเตอร์เรื่อง  Easy Rider แล้ว ยังจำหนังผ่านตาของลุงได้อีก 2 เรื่อง

           เรื่องแรกเป็นหนังคาวบอยที่ไม่ได้สู้รบกับอินเดียนแดง ลุงเป็นทั้งผกก.และนักแสดงนำ แต่เมื่อ
ออกฉายแล้วไม่ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งด้านรายได้และคำชื่นชม จนเมื่อกาลผ่านไปถึงวันนี้กลับมีเสียงชมชอบ
ประทับใจ,บางคนยกให้เป็นหนังคาวบอยคลาสสิค - The Hired Hand (1971)

คำโปรยในใบปิดอิงถึงหนัง Easy Rider ที่ลุงขี่มอไซค์ - Peter Fonda is riding again

           อีกเรื่องหนึ่งนี้ ดังในบ้านเราพอประมาณด้วยเครดิทจากหนังภาคก่อน นั่นคือ Futureworld (1976)
ภาคต่อจาก Westworld (1973) ที่โด่งดังมากมายด้วยความแปลกแหวกใหม่,ไซ ไฟ นำแสดงโดยปู่ Yul Brynner
ซึ่งรับบทหุ่นยนต์คาวบอยในสวนสนุกย้อนยุคตะวันตกที่เกิดเพี้ยนเปลี่ยนไปกลายเป็นนักฆ่า ภาคสองนี้ไม่ประสบ
ความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์

ภาคนี้,ปู่ยูล รับเชิญมาร่วมแสดง จึงได้ขึ้นชื่อลงท้ายหลังคำว่า and แต่,แน่นอนใบปิดของไทยยกเครดิทให้ปู่ผู้โด่งดัง
ขึ้นชื่อเป็นที่สอง

ดาราสาวสวยในยุค 1960s ถึง  1970s ร่วงจากฟ้าไปอีกดวงหนึ่งแล้ว   Carol Lynley จากไปในวัย 77 ปี 
 
เธอเป็นนางแบบเด็กและดาราเด็กมาก่อน แล้วเติบโตขึ้นเป็นสาวรุ่นแสนสวย   ได้เป็นดารานำในหนังของดิสนีย์ที่เจาะกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ   เริ่มจาก The Light in the Forest เมื่ออายุ 16 ปี จากนั้นก็ได้เล่นหนังชีวิตวัยรุ่นที่ท้องก่อนแต่งแล้วต้องทำแท้ง Blue Denim เมื่ออายุ 17    บทนี้ส่งให้เธอได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม (่ฝ่ายหญิง)

แครอลเล่นหนังได้หลายแบบ เป็นสาวหวาน สาวเซกซี่  เป็นนางเอก เป็นนางร้าย เป็นได้แม้กระทั่งสายลับมือสังหาร
บทเด่นบทหนึ่งที่เธอได้เล่น คือนักร้องสาวเซกซี่ในหนังใหญ่ Poseidon Adventure

เมื่ออายุมากขึ้น บทในหนังใหญ่น้อยลง  แครอลก็หันมาเล่นหนังทีวี  เป็นดารารับเชิญในหนังชุดหลายเรื่องแทบจะนับไม่ถ้วน   
วัยมากขึ้นก็เล่นบทแม่ บทป้า ไปตามวัย
จนกระทั่งถึงแก่กรรมในวัย 77 ดีด้วยโรคหัวใจล้มเหลว

บทใน The Poseidon Adventure (1972)

https://www.youtube.com/watch?v=FC9-i7R2ydU

https://www.youtube.com/watch?v=UGi2oswAP4Y

จำคุณยายได้จากเรื่อง Poseidon Adventure เวอร์ชั่นแรก(1972) เรื่องเดียว เพราะคุณยายร้องเพลงเอกของหนัง
(ด้วยเสียงคนอื่น) ที่โด่งดังและเพลงนี้ได้รางวัลออสการ์

คุณยายรับบทเป็นสาวสวย ช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่น่ารอด แต่โชคดีมีผู้ช่วยให้เป็นหนึ่งในผู้รอดตายมาได้   

ปีก่อน ช่วงคริสต์มาสมีโฆษณาพาไปโดดเดี่ยว Home Alone Again

ปีนี้     หลังจากที่จากกันไปหลายสิบปี(37 ปี) คริสต์มาสคือช่วงเวลา reunion ของเพื่อนรักต่างแดนดาว

        บริษัทมีเดีย Sky และ Xfinity เพิ่งออกโฆษณาช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีนี้ พา อี.ที. กลับมาหา เอลเลียต
ที่ปัจจุบันนี้เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่มีเอลเลียตน้อยสืบต่อบทบาทเดิม

Henry Thomas กลับมารับบทเดิมเป็นเอลเลียตวัย 48

             พ่อมด Steven Spielberg เห็นชอบให้ใช้ ET ในโฆษณานี้และมีส่วนร่วมในการปรับแต่งบทดั้งเดิม
สำหรับโฆษณาชิ้นนี้ ที่มีการทำซ้ำเลียนฉากจำสำคัญหลายฉากจากหนังใหญ่ต้นฉบับ โดยเฉพาะ

ซีนบังคับที่จำต้องมี

และ เพิ่มเติมด้วยภาพครอบครัวของ อี.ที.

Then and Now

เวอร์ชั่น 4 นาที ที่หลายคนคงรู้สึกว่ายังสั้นไป ไม่ทันไรก็ต้องจากกันอีกแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=EL-Vr_Tp--o

เป็นหนังสั้น หรือเรื่องยาวคะ
ทำออกมาได้ซาบซึ้งมาก  คิดถึงเจ้าอีทีตัวเดิมจริงๆ

เป็นหนังโฆษณา ครับ เลือกเวอร์ชั่น 4 นาทีมาโพสท์, มีแบบ 2 นาทีที่สั้นเกินไป   

37 ปีแล้ว เร็วจริงๆ
ไปเปิดประวัติดู  Thomas อำลาอาชีพนักแสดงไปเป็นคนเขียนเพลงและเล่นกีตาร์  อยู่ที่ออเรกอน 
แบบเดียวกับดาราเด็กอีกหลายคน ที่โตขึ้นหลุดพ้นจากมายาในวงการไปได้

คริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา   ขอนำฉากประทับใจเกี่ยวกับคริสต์มาสในหนังเก่ามาให้ดูกันอีกครั้ง    บางเรื่องอาจเคยเล่ามาแล้ว  ก็ถือว่าให้ทบทวนความหลังอีกสักครั้งนะคะ
หนังเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเทศการคริสต์มาส    บางเรื่องก็ทำซ้ำทำซากหลายหน    ดูกันไม่เบื่อ  ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลไปแล้ว 

เรื่องแรก   White Christmas (1954)

https://www.youtube.com/watch?v=gjnZyuFKH0k

Scrooge   เรื่องนี้ทำจากนิยายของ Charles Dickens  เมื่อสองศตวรรษก่อน คือเมื่อค.ศ. 1843   ชื่อว่า A Christmas Carol.
ทำมาหลายครั้งหลายคราว   เป็นหนังเพลง  หนังตลก   ตลอดจนการ์ตูน
ที่ยกมาคือเวอร์ชั่นปี 1970

https://www.youtube.com/watch?v=y7Pk1jcaLDI

MIRACLE ON 34TH STREET  ทำสองครั้ง  ในปี  1947 & 1994
เป็นเรื่องของชายชราที่ถูกส่งขึ้นศาลเพื่อลงโทษในข้อหาแอบอ้างเป็นซานตา คลอส


https://www.youtube.com/watch?v=mW2FDHedNMM

https://www.youtube.com/watch?v=yiypbCFV7Ao

Home Alone   1990   
เรื่องของเด็กน้อยวัย 8 ขวบ ในครอบครัวลูกมาก    ที่พ่อแม่พลั้งเผลอทิ้งลูกไว้คนเดียวในช่วงคริสต์มาส ระหว่างครอบครัวไปฉลองเทศกาลกันที่เมืองอื่น
เขาต้องผจญกับความโดดเดี่ยว  และร้ายที่สุดคือหัวขโมย 2 คนที่พยายามเข้ามาปล้นบ้าน

เป็นหนังเล็กๆ ที่ทำเงินมหาศาล  ส่งให้ Macaulay Culkin กลายเป็นดาราเด็กดังทะลุฟ้าฮอลลีวู้ดในพริบตา

https://www.youtube.com/watch?v=9Hzx3m7h6pU

ผ่านไปนานกว่าทศวรรษ แต่ยังคงประทับใจจำฉากนี้จากหนังรวมดาวคู่รักช่วงคริสต์มาส Love Actually (2003)

แอบรักคนมีเจ้าของต้องผิดหวัง แต่ใจยังสมัครจะรักเธอต่อไป

https://www.youtube.com/watch?v=B7u6bMBlCXw&t=72s

จากหนังเรื่องเดียวกันค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=R_I0ywNchVs

Jingle All the Way หนังตลกครอบครัวสไตล์อเมริกันที่ออกฉายรับเทศกาลคริสต์มาส  ในปี 1996 แล้วได้รับความนิยมล้นหลาม จนนำมาฉายอีกเรื่อยๆถึงทุกวันนี้
พระเอกนักกล้าม อาโนลด์  ชวาซเนกเกอร์ รับบทคุณพ่อที่มัวยุ่งกับงานเสียจนลืมซื้อของขวัญให้ลูกชาย  มารู้เอาในนาทีสุดท้าย    ของเล่นที่ลูกชายอยากได้คือตุ๊กตาหุ่นยนต์เทอร์โบแมนยอดนิยม ที่ขายหมดร้านในพริบตา    พ่อต้องทำศึกต่อสู้ช่วงชิง แข่งกับพ่ออีกคน ราวกับศึกชิงแชมปฺโอลิมปิค

https://www.youtube.com/watch?v=jhJYMEzQA-Q

https://www.youtube.com/watch?v=YTcFsdIJ_Xo

           ฉากประทับใจสารภาพรักจาก Love Actuallyนี้ ได้ถูก คุณบอริส ยอห์นสัน นำมาดัดแปลงใช้ใน
แคมเปญการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 ธ.ค. นี้

https://www.youtube.com/watch?v=nj-YK3JJCIU

THE MUPPET CHRISTMAS CAROL (1992)
บรรดาหุ่น Muppet ทั้งหลาย เอาเรื่องคลาสสิคของชาร์ลส์ ดิกเกนส์ มาเล่นเป็นหนังที่พวกเขาแสดงเอง  มีไมเคิล เคนเป็นตาแก่ขี้เหนียวสกรูซ

https://www.youtube.com/watch?v=JXaVI60BFJM

How the Grinch Stole Christmas! ทำจากหนังสือสำหรับเด็ก แต่งโดย  Theodor "Dr. Seuss" Geisel เป็นบทโคลง เล่าถึงตัวกรินช์ที่ขโมยของขวัญคริสต์มาส เพราะรำคาญกับงานฉลอง
เรื่องนี้ทำหนัง 2 ครั้ง ปี 1966 และ 1990

https://www.youtube.com/watch?v=NXvwkGAyEBc

https://www.youtube.com/watch?v=YQV5Pr7pWtM

             เหตุการณ์ประทับใจในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งเรียกว่า Christmas Day Truce ได้ถูกนำมาถ่ายทอด
เป็นภาพยนตร์หลายครั้ง(และเคยนำเสนอในกระทู้เก่า)

              เล่าถึงเหตุการณ์ในปี 1941 ช่วงคริสตมาส, ขณะที่กองทัพสก็อตกับฝรั่งเศสประจันยันเยอรมันในแดนฝรั่งเศส
              ณ ราตรีสงัด(Silent Night) ความสงบสันติได้บังเกิด

Joyeux Noel(2005)

https://www.youtube.com/watch?v=-cSrqRdlFeo

Oh! What A Lovely War(1969)

https://www.youtube.com/watch?v=NOz9SpWc_yE

และ คลิปโฆษณา Sainsbury’s chocolate bar (2014, ครบ 100 ปีหลังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้น)
ซึ่งอยู่ในคลิปรวมโฆษณาประทับใจในกระทู้ ความสุข ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่)

https://www.youtube.com/watch?v=6KHoVBK2EVE

^
เคยดู  ประทับใจมากค่ะ

ผมเปิดดูคลิปไม่ได้ครับ แต่เคยดูจากในยูทูป ใช่เวอร์ชั่นที่ ตอนท้ายมีแมวออกมาตัวนึง แล้วทหารสองฝ่ายต่างเรียกชื่อแมวตัวเดียวกัน ด้วยชื่อที่ต่างกันหรือเปล่าครับ

เรื่องคล้ายๆอย่างนี้ เคยได้ยินแต่เสียงเล่าลือครับ ว่าตอนบ้านร่มเกล้า ก็มี แต่ไม่สามารถยืนยันได้ครับ

คลิปนี้ คุณนริศดูได้ไหมคะ

https://www.youtube.com/watch?v=NWF2JBb1bvM

เบื้องหลัง

https://www.youtube.com/watch?v=2s1YvnfcFVs

เบื้องหลังการถ่ายทำ

https://www.youtube.com/watch?v=Jx3pQWbysmM

THE NIGHTMARE BEFORE CHRISTMAS (1993)

หนังแอนนิเมชั่นสำหรับเด็กก็ไม่ใช่ ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง  แต่ก็กลายมาเป็นเอกเทศไม่ซ้ำแบบใครในหนังคริสต์มาสทั้งหลายทั้งปวง

https://www.youtube.com/watch?v=wr6N_hZyBCk

The Christmas Chronicles 2018
เป็นหนังคริสต์มาสที่ซานตา คลอสออกมาในรูปของหนุ่มใหญ่ใจยังเปรี้ยว  ร้องเพลงคริสต์มาสสไตล์เอลวิส   รับบทโดยเคิร์ท รัสเซลซึ่งเคยเล่นบทเอลวิสในหนังชีวิตของราชาร็อคแอนด์โรลมาแล้ว
โกลดี้ ฮอร์นภรรยาของเคิร์ท ออกมาให้เห็นครู่หนึ่งในบทคุณนายซานตา คลอส

https://www.youtube.com/watch?v=5oEAwuC-AyM

ย้อนหลังไปปี 1944  เมื่อสงครามโลกยังระอุอยู่   มีหนังครอบครัวอบอุ่น แสดงโดยคุณทวดจูดี้ การ์แลนด์ เรื่อง Meet Me in St. Louis",เพลงที่เธอร้องชื่อ "Have Yourself aMerry Little Christmas" กลายมาเป็นเพลงคริสต์มาสยอดนิยมจนทุกวันนี้

https://www.youtube.com/watch?v=L2g6nktvvC4

หนังคริสต์มาสยุคขาวดำมีหลายเรื่องที่น่าประทับใจ   เช่น The Bishop's Wife (1947)   แครี่ แกรนท์รับบทเทวดาหนุ่มที่ลงมาเดินดินในช่วงคริสต์มาส

https://www.youtube.com/watch?v=INZGR3APP88

Elf(2003) เป็นเรื่องของทารกน้อยในเมืองมนุษย์ที่พลัดเข้าไปในดินแดนของซานตาคลอสโดยบังเอิญ แล้วถูกเลี้ยงดูโดยบรรดาเอลฟ์ผู้ช่วยของซานตา คลอสจนเป็นหนุ่ม    ในที่สุดเขากลับหาเสาะหาพ่อแม่แท้จริงในโลกมนุษย์  และช่วยให้คริสต์มาสยังคงความหมายอยู่อีกครั้ง

https://www.youtube.com/watch?v=dplGHBlwzE4

   มีข่าวเล็กๆจากฮอลลีวู้ด ว่าดาวในอดีตดวงหนึ่งดับแสงไปเมื่อ 26 ธันวาคม 2562 นี้เอง     ชาวเรือนไทยส่วนใหญ่คงไม่เคยได้ยินชื่อ Sue Lyon   เพราะเกิดไม่ทัน ส่วนเธอเองก็อำลาวงการมานานร่วม 40 ปีแล้ว
   แต่ย้อนกลับไปเมื่อปี 1962   ซู ไลออน เป็นชื่อดาราที่ไม่มีใครไม่รู้จัก   เธอดังเปรี้ยงไปทั่วฮอลลีวู้ดจากหนังเรื่อง Lolita ที่เธอก้าวเข้ามาเป็นดารานำในวัย 14  และถ่ายทำจบเมื่ออายุ 15     ความดังของสาวน้อยคนนี้ขนาดได้รับรางวัลนักแสดงหญิงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี   

    Lolita เป็นหนังทำจากวรรณกรรมที่ได้ชื่อว่า "แรง"ที่สุดเรื่องหนึ่งของศตวรรษที่ 20      เป็นความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างอาจารย์มหาวิทยาลัยวัยกลางคน รับบทโดยเจมส์ เมสัน  และลูกเลี้ยงเด็กหญิงวัย 12   (แต่ในหนังเขยิบอายุสาวน้อยขึ้นมาเป็น 15  เพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นร้อนที่อาจทำให้หนังไปไม่รอดตั้งแต่เริ่มถ่ายทำ) 
    ตัวละครเอกไม่ใช่ตาแก่ตัณหากลับอย่างธรรมดา แต่ลงลึกลงไปทางด้านจิตวิทยา  ทำให้เขาทั้งน่ารังเกียจและน่าสมเพชพอกัน   ส่วนสาวน้อยโลลิต้าในเรื่องก็ไม่ใช่หนูน้อยซื่อใสผู้ตกเป็นเหยื่ออธรรม    แต่เป็นเด็กสาวที่ผสมกันจนแยกไม่ออกระหว่างความอ่อนโลกตามประสาเด็กหญิงกับความเย้ายวนราคะของนางบาป
   ซูเป็นสาวรุ่นนางแบบโฆษณามาก่อนจะได้รับคัดเลือกรับบทนี้    ผู้กำกับเห็นเธอแล้วบอกว่าใช่เลย  นี่คือโลลิต้าโดยแท้

โลลิต้ากับโปรเฟสเซอร์

https://www.youtube.com/watch?v=m2VNfQZda7M

เพลงประกอบในหนัง ซึ่งร้องกันแค่ประโยคเดียว กลายเป็นเพลงฮิทรู้จักกันทั่วอเมริกา

https://www.youtube.com/watch?v=YNoyO6Wv2aA

ฉากไตเติ้ลของเรื่องคือฉากที่โลลิต้ายื่นเท้าให้พ่อเลี้ยงทาเล็บเท้าให้   เป็นฝีมือของผู้กำกับที่แสดงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ผ่านการกระทำเล็กๆที่ไม่ต้องมีคำพูดสักคำ

https://www.youtube.com/watch?v=u_eUTVimRbA

หลังจากดังระเบิดในบทสาวน้อยเซกซี่   บทนี้ก็เลยตรึงติดอยู่กับตัวซู ไลออน   2 ปีต่อมา เธอมาเล่นหนัง The Night of the Iguana  ก็ได้บทสาววัยรุ่นยั่วยวนชายวัยกลางคน รับบทโดยริชาร์ด เบอร์ตัน อีก

https://www.youtube.com/watch?v=4gmTRvGW8PM

ซูยังมีหนังให้เล่นมาอีกเรื่อยๆตลอดช่วง 1960s  แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าเรื่องแรก  ชื่อเสียงค่อยๆตกลงในช่วง 1970s จนต้องไปเล่นหนังเกรดบี   แล้วจบลงในหนังเรื่องสุดท้ายเมื่อปี 1980  หลังจากนั้นเธอก็อำลาวงการไป

ด้านชีวิตส่วนตัว   ซูก็มีปัญหาไม่น้อย  แต่งงาน 5 หน หย่าทั้ง 5 หน    หนึ่งในจำนวนนี้เป็นนักกีฬาผิวดำ มีลูกสาวด้วยกัน 1 คน     ส่วนสามีอีก 1 คนก็เจอกันขณะเขาเป็นอาชญากรติดคุกข้อหาฆ่าและปล้น    แต่เธอก็ยังแต่งงานด้วย  จนมาหย่ากันทีหลัง เพราะเขากลับไปปล้นอีก

ซูป่วยเป็น bipolar มาตั้งแต่ยังสาว    ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 73 ปี

เคยพูดถึงดาวดวงเล็กดวงนี้มาแล้วในกระทู้หนึ่ง  บัดนี้เขาดับลับฟ้าไปแล้วในวัย 87 ปี  ชื่อเอ๊ด เบิร์นส์ (Edd Byrnes)
เอ๊ดเริ่มต้นด้วยเป็นนักแสดงประกอบเล็กๆ ในหนังนักสืบทางทีวีเรื่องยาว ชื่อ 77 Sunset Strip เป็นหนังฮิท ยาวนานถึง 6 ปี     ในตอนแรกหนุ่มวัย 25 คนนี้ไม่มีบทอะไร นอกจากโผล่มาตอนไตเติ้ลเป็นพนักงานประจำลานจอดรถของสำนักงานนักสืบ    และได้แสดงเป็นผู้ร้ายใน 1 ตอนของช่วงนำเรื่อง
แต่รูปร่างหน้าตาและท่าหวีผมที่เอ๊ดคิดค้นขึ้นมา กลายเป็นท่าฮิทระเบิดเถิดเทิง  จดหมายสาวๆ นับหมื่นต่อสัปดาห์หลั่งไหลเข้าไปที่โรงถ่ายวอเนอร์ เพื่อส่งถึงนักแสดงประกอบโนเนมคนนี้   ทำเอาผู้สร้างหนังชุดต้องรีบหาบทแสดงนำให้เขาในหนังทีวีเรื่องนี้  กลายเป็นดารานำคนหนึ่งในเรื่อง

https://www.youtube.com/watch?v=BEtCZ0xssXQ

ดูฉากเปรี้ยวสุดเมื่อ 50 กว่าปีก่อนแล้วอย่าเพิ่งหัวเราะนะคะ     

https://www.youtube.com/watch?v=lKMX-6tl6Pc

https://www.youtube.com/watch?v=Q2w0vI0WECg

 ชีวิตของเอ๊ด เหมือนซินเดอเรลลาชาย   ถือกำเนิดในครอบครัวยากจน พ่อติดเหล้่า แม่ต้องเป็นฝ่ายหาเลี้ยง   ตัวลูกๆเองก็เติบโตมาอย่างยากจนค่นแค้น  ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองเมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว  
 เอ๊ดเป็นเด็กหนุ่มรูปหล่อ  มีเสน่ห์ในตัว   เมื่ออายุ 17 ก็มีคนชวนไปถ่ายแบบเป็นนายแบบภาพ"หวิว"  ในตอนนั้นเองเอ๊ดเริ่มรู้จักลูกค้าชายกระเป๋าหนักหลายคนที่ถูกตาต้องใจเด็กหนุ่มอย่างเขา  จนเอ๊ดกลายเป็น"เกรดเอ" คนหนึ่งในแวดวงค้ากาม  หนึ่งในลูกค้าไฮโซจำนวนนี้ชักนำให้เอ๊ดก้าวไปสู่อาชีพการแสดง  
  อดีตของเขาถูกเจ้าตัวบันทึกไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติ

  บทเล็กๆที่ได้รับนำความสำเร็จมาแบบไม่คาดฝัน กลายเป็นซินเดอเรลลาชายไปในพริบตา      แม้ว่าร้องเพลงไม่เป็นสับปะรด    เพลง Kookie, Kookie, Lend Me Your Comb ฟังเหมือนหนุ่มสาวบ่นอะไรกัน ก็กลับทะยานขึ้นถึงอันดับ 4  ในบิลบอร์ด

https://www.youtube.com/watch?v=MT9QZBGyXjU

  เอ๊ดได้อัดแผ่นหลายเพลง  เพราะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง จนบริษัทต้องรีบตีเหล็กเมื่อร้อน โชว์เขาต่อคนดูทุกวิถีทาง  น่าเสียดาย แม้ว่าดัง แต่เขาก็ถูกสัญญากับบริษัทวอเนอร์เจ้าของหนังชุดทางทีวีมัดตัวไว้กระดิกกระเดี้ยไม่ได้    เขาติดอยู่ที่นี่โดยไม่มีโอกาสจะเล่นหนังใหญ่  เท่ากับโอกาสจะเป็นดาราใหญ่หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย     
    กว่าจะเป็นอิสระ  อายุเขาก็มากเกินกว่าจะเป็นไอดอลของคนดูวัยรุ่นอีกแล้ว     เอ๊ดจึงออกจากอเมริกาข้ามทวีปไปเล่นหนังอิตาเลียน ที่กำลังผลิตหนังคาวบอยเป็นล่ำเป็นสัน โดยจ้างดาราฮอลลีวู้ดไปประกบดาราอิตาเลียน  แล้วขายเป็นสินค้าไปทั่วโลก

  หมดยุคคาวบอยมักกะโรนี   เอ๊ดกลับมาฮอลลีวู้ดอีกครั้ง     รับบทตัวรองๆบ้าง ผู้ร้ายบ้างในหนังทีวีทั่วไป  พร้อมกับสร้างครอบครัว      เขาดำเนินอาชีพนักแสดงไปอย่างไม่ติดขัด  แต่วันเวลาแห่งความสำเร็จก็ล่วงผ่านไปไม่กลับมาแล้ว
  เขายังทำงานอยู่จนชราก็อำลาจอแก้วไปอยู่กับครอบครัว  ถึงแก่กรรมด้วยเหตุธรรมชาติ อายุ 87 ปี

        เคยส่องแสงแรงเจิดจ้าดาราหนุ่ม             ปลายคางบุ๋มแววตากร้าววาวสดใส

แต่คืนนี้ดาวมืดดับลับฟ้าไป                           คงเหลือไว้เพียงภาพจำเป็นตำนาน


Kirk Douglas (December 9, 1916 – February 5, 2020)

RIP Kikk Douglas

https://www.youtube.com/watch?v=HcIMY1Ah3aw

https://www.youtube.com/watch?v=nPJZlc36JRc

https://www.youtube.com/watch?v=h8vJiSvwDOY

              เมื่อพระเอกคางบุ๋ม,เข้มแกร่ง ผู้เป็นตำนานจากยุคทองของฮอลลีวู้ด Golden Age จากไปด้วย
วัย 103 ปี เปรียบเสมือนได้ว่าหลักไมล์บ่งชี้การสิ้นสุดแห่งยุคสมัยได้ถูกตั้งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง(ก่อนหน้านี้ที่รู้สึกได้
คือ การจากไปของคุณย่าลิซ)

              ไม่ทันดูหนังสมัยแรกของคุณทวดในโรงใหญ่, บทจำอย่าง Spartacus(1960) ก็เป็นภาพในจอแก้วที่
เทียบไม่ได้เลยกับภาพบนจอเงิน

ส่วนหนึ่งจาก บีบีซีไทย เล่าถึง  ขบถของวงการ

             การที่เคิร์กมีเชื้อสายยิวและครอบครัวของเขาเป็นผู้อพยพจากรัสเซียที่ยากจน ทำให้เคิร์กมีจุดยืนต่อต้าน
กลุ่มอภิสิทธิชนและผู้เกลียดชังชาวยิวมาโดยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้เขามีศัตรูมากมาย
            ในปี 1957 เคิร์กตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ของตนเอง เพื่อหลีกหนีจากเงื้อมมือของผู้มีอิทธิพลในวงการ
ซึ่งอาจจะว่าจ้างหรือปลดดาราคนไหนก็ได้ตามใจชอบ
            เขายังต่อต้านกระแสล่าแม่มดในยุคที่ชาวอเมริกันหวาดกลัวระบอบคอมมิวนิสต์ โดยว่าจ้าง ดัลตัน ทรัมโบ
นักเขียนที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำมาเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Spartacus อีกด้วย
            ภาพยนตร์เรื่องนี้คว้ารางวัลออสการ์มาครองได้ถึง 4 รางวัล ทั้งมีนักวิจารณ์หลายคนมองว่า เรื่องราวของ
สปาร์ตาคัส ทาสผู้ก่อกบฏต่อต้านจักรวรรดิโรมัน ก็คือการเปรียบเปรยถึงความเป็นขบถของเคิร์กที่มีต่อผู้กุมอำนาจ
ในแวดวงฮอลลีวูดนั่นเอง

คุณทวดฝากผลงานไว้มากมาย ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 3 ครั้ง(แต่ไม่ได้รางวัล) จากเรื่อง
           Champion(1949)
           The Bad and the Beautiful(1952)
           Lust for Life(1956)

           มาทันดูคุณทวดในโรงใหญ่ก็เมื่อเป็นหนังรุ่นหลัง ที่ไม่ได้ความรู้สึกเหมือนเช่นยุคก่อนแล้ว

ไฟนรกสุดขอบฟ้า             ครั้งเดียวไม่เคยพอ
อาถรรพณ์ 2000             นรก 3 พันล้านไมล์
(Holocaust 2000)        (Saturn 3)

  คุณทวดเป็นดาราสไตล์เถื่อน ดิบ ถ่อย แต่เป็นพระเอก ไม่ใช่ผู้ร้าย   ส่งพลังในการแสดงออกมามากทุกฉากค่ะ   การจากไปของเขาก็คือการปักไมล์สุดท้ายของพระเอกสไคล์นี้   
  จริงๆแล้วหลังจากเขาก็มีหลายคนเช่นอาโนลด์ และซิลเวสเตอร์ สตาโลน แต่พลังในการแสดงออกไม่เท่ากับคุณทวดเคิร์ก

  ดาวดวงเล็กแต่ส่องแสงยาวนาน ดับไปอีกดวงหนึ่งแล้ว
  ใครเคยดูหนัง The Wild,Wild West  อาจเกิดไม่ทันหนังชุดทางทีวีเรื่องเดียวกัน ที่ออกอากาศระหว่าง 1965 - 1969    เป็นหนังทีวียอดนิยมชุดหนึ่ง  มีดารานำรูปหล่อที่มีฝีมือเล่นเป็นสตั๊นท์แมนเอง ไม่พึ่งนักแสดงแทน
  เขาชื่อ Robert Conrad  เพิ่งล่วงลับไปในวัย 84 ปี

https://www.youtube.com/watch?v=UPOHzwfSCZA&list=PL-UXnNzW7M8nGWlgEeSmp_fiaccaQDRpM&index=1

https://www.youtube.com/watch?v=DxnkP2W0_QU

            นักแสดงชายมาดแมนจากไปไล่เลี่ยกัน
            อาจารย์เคยเล่าเรื่องปู่ Robert Conrad แห่ง สายลับลูกทุ่ง ในกระทู้เก่า - หนังทีวีเมื่อ 50 ปีก่อน : วันวานและวันนี้
ที่ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6891.330

หลังจาก Wild,Wild West  จบชุดลงไปในปลายทศวรรษที่ 60   ก็กลับมาเป็นตอนพิเศษอีกครั้งในปี 1980
คอนราดกลายเป็นพระเอกวัยกลางคน แต่ยังรับบทเดิมชื่อเดิม

https://www.youtube.com/watch?v=7Oe-hq4JYiU

พักจากข่าวเครียดๆ เรื่องโควิด, กลับมาเจอข่าวสูญเสียของวงการบันเทิง

              ดาวดวงใหญ่ถึงกาลดับลับฟ้าไปอีกดวง

              Max von Sydow (10 April 1929 – 8 March 2020) นักแสดงระดับตำนานชาวสวีเดน
จากไปด้วยวัย 90 ที่บ้านในฝรั่งเศสที่ซึ่งเขาเลือกเป็นเรือนตายภายหลังการเปลี่ยนสัญชาติ

               จากนักแสดงนำในหนังหลายเรื่องของผกก.ระดับตำนานแห่งสวีเดน Ingmar Bergman ก้าวสู่โลกกว้าง
รับบทนำในหนังสากลหลายเรื่อง ที่โด่งดังที่สุดคือ

The Exorcist (1973) ที่มีภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพจำ

และ
           ฉาก Father Merrin มือปราบผี "The Power of Christ Compels You"

https://www.youtube.com/watch?v=lpyg94OzHK0

            แม้ไม่ได้รับเลือกให้เป็นเจมส์ บอนด์ แต่คุณทวดก็ได้รับเลือกให้ร่วมงานกับผกก.เลื่องชื่ออีกมากมายใน   
Three Days of the Condor (1975), Dune, Hannah and Her Sisters (1986), Awakenings(1990),
Minority Report (2002), Shutter Island (2010)

            ผลงานเด่นๆ เรื่องหลังๆ ของคุณทวด ได้แก่ Star Wars: The Force Awakens และ Game of Thrones
            คุณทวดเคยได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สองครั้งๆ แรกจากเรื่อง Pelle the Conqueror

ส่งท้ายด้วย
              การอำลานอกจอจากคำกล่าวของผกก.เล่าถึงการร่วมงานกับคุณทวดในหนังเรื่องสุดท้ายของคุณทวด Kursk (2018)
จากเว็บ Guardian

    ใครที่เป็นคอหนังเก่ายุค 1960s-1970s คงรู้จัก Stuart Whitman  (คำนี้ฝรั่งออกเสียง "สต๊วต" แต่คนไทยออกเสียงว่า สจ๊วต)    เขาได้เล่นเป็นดารานำบ้าง ประกบกับดาราอื่นบ้าง อยู่หลายเรื่องเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นหนังคาวบอย  แต่ไม่โด่งดังขนาดจอห์น เวย์น หรือแกรี่ คูเปอร์
      ถึงกระนั้นมาดห้าวๆแบบลูกผู้ชายตะวันตก อันเป็นบทยอดนิยมของคนดูอเมริกัน   ก็ทำให้สจ๊วตมีบทเล่นอยู่หลายปี จนคุ้นหน้าคุ้นตาของแฟนในโรง  มาจนกระทั่งหนังคาวบอยหมดความนิยมไป    สจ๊วตก็ค่อยๆจางหายไปจากคนดู   มีแต่บทรับเชิญตามหนังทีวีต่างๆประปราย
    

https://www.youtube.com/watch?v=En98nzipN5g

     คุณทวดเป็นคนฉลาดพอจะรู้ว่าอาชีพดารานั้นไม่ยั่งยืน   จึงเก็บหอมรอมริบเงินค่าแสดง เอาไปลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์   กระทั่งกลายเป็นเศรษฐี   
     แต่ใจก็ยังรักด้านการแสดง  จึงแวะเวียนมารับบทรับเชิญในหนังทีวีเรื่องต่างๆอยู่บ้าง พอไม่ให้เหงา
     ก่อนจากไปในวัย 92 ปี ด้วยโรคมะเร็งผิวหนัง

    ดาวดวงเล็กอีกดวงลับฟ้าไปพร้อมกันพระเอกคาวบอย  
    ในยุค 1970s มีหนังทีวีมาฉายในไทยชื่อ Wonder Woman  พากย์ไทยว่า "สาวน้อยมหัศจรรย์" นางเอกเป็นนางงามระดับชาติมาก่อน สวยมากทั้งหน้าตาและรูปร่าง ชื่อลินดา คาร์เตอร์  ส่วนพระเอกก็เป็นหนุ่มรูปหล่อ สูงใหญ่ ยิ้มหวาน   ชื่อ ไลล์ แวกกอนเนอร์    หนังทีวีชุดนี้ดังมากก่อนจะจบชุดลงไป
  ไลล์เป็นหนุ่มหล่อในสไตล์ของพระเอกยุคก่อนที่ต้องโชว์กล้ามโชว์หุ่น  มากกว่าฝีมือการแสดง    ดังนั้น แม้ว่าเขาจะได้รับบทนำในหนังชุด แต่ก็ไม่อาจก้าวขึ้นสู่บทดังกว่านี้ได้   เพราะภาพลักษณ์ติดอยู่กับบทหนุ่มหล่อล่ำ   เล่นหนังเรื่องไหนๆก็ถูกกำหนดให้ต้องโชว์ซิกแพคอยู่ร่ำไป      เมื่อหนังชุดนี้จบลงไปเขาจึงมีงานเป็นดารารับเชิญในหนังทีวีเรื่องต่างๆ  และได้บทเล็กๆในหนังใหญ่  แต่ไม่ได้บทใหญ่ๆสมใจสักที
   ไลล์มีหัวทางธุรกิจ เมื่อเห็นอาชีพดาราไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว   เมื่อเริ่มยุค 1980s   เขาก็หันไปทำธุรกิจ เปิดบริษัท Star Waggons สร้างและให้เช่ารถเทรลเลอร์หรูสำหรับดาราใช้เวลาถ่ายทำภาพยนต์   ประสบผลสำเร็จด้วยดี  กลายเป็นเศรษฐีในแวดวงเดียวกัน
   ไลล์ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 84 ปีด้วยโรคมะเร็ง

ก่อนจะมารับบทพระเอกของสาวน้อยมหัศจรรย์     ไลล์เคยเป็นดาราประจำในรายการยอดตลกแห่งศตวรรษ The Carol Burnett Show (ไม่ได้มาฉายในบ้านเรา)  รับบทหนุ่มรูปหล่อตามเคย

https://www.youtube.com/watch?v=z2W0S0Dawgk

             ปู่จ๊วต น่าจะผ่านตา,หน้าคุ้นๆ แต่ที่คุ้นเคยคือ ปู่ Lyle เพราะได้ดู สาวน้อยมหัศจรรย์ ทางช่องสาม
เป็นพระเอกที่ไม่ใช่หนุ่มน้อยหน้าใสด้วยเพราะวัยในตอนนั้นย่าง 40 ปีแล้ว

จากดารามาเป็นเจ้าพ่อรถบรรทุก

และ
            สาวน้อยมหัศจรรย์ Lynda Carter, ตอนนี้วัย 68 ปี, โพสต์ข้อความรำลึกอาลัยในไอจี

เมื่อดารามาเป็นนักธุรกิจต่อรถเทรลเลอร์
รถพวกนี้สร้างเพื่อให้ดาราได้พักระหว่างถ่ายทำ   มีทั้งขายและเช่า    ออกแบบตามออเดอร์ของดาราค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=xArmWMX9SHI

ชื่อ Mark Blum คงไม่ค่อยคุ้นหูคอหนังชาวไทยเท่าไหร่    เขาเคยเล่นหนัง  Desperately Seeking Susan ปี 1985  คู่กับมาดอนน่า
แต่ขอนำลงในกระทู้นี้   เพื่อไว้อาลัยที่ดาราวัย 70 คนนี้ถูกพรากไปก่อนวัยอันควร  ด้วยฝีมือเจ้าโคโรน่าไวรัส ค่ะ

ร่วมแสดงในหนัง Crocodile Dundee ด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=H_3px6EruWU

คั่นด้วยข่าวดีจาก dailymail.co.uk 27 Mar 2020

             Tom Hanks และภรรยา Rita Wilson บินด้วยเครื่องบินส่วนตัวกลับบ้าน LA หลังจากครบเวลากักตัวแล้ว
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม
             ทั้งคู่คือเซเลบคนดังคู่แรกที่ได้เปิดเผยสู่สื่อสาธารณะว่าติดเชื้อโควิด, ระหว่างการถ่ายทำหนังในออสเตรเลีย
เมื่อ 11 มีนาคม

ใครที่เติบโตมาในยุค 90s คงจำหนังตลกญี่ปุ่นชุด "คู่หูคู่ฮา" ได้    คุณลุงเคน ชิมูระ ดารานำเรื่องนี้ติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตแล้วในวัย 70 ปี
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของคุณลุงด้วยค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=zfrKmGHbt5s

คุณลุงเล่นเป็นครูญี่ปุ่นสอนภาษาอังกฤษให้นักศึกษาฝรั่ง

https://www.youtube.com/watch?v=Ic53hhFllPM

แฟนคลับเดินทางมาไว้อาลัยที่บ้านเกิดของลุงเคน เมืองฮิงะชิมุระยะมะ (東村山) นครโตเกียว อย่างไม่ขาดสาย มีโต๊ะเรียงรายด้วยตุ๊กตาหน้าเหมือนลุง และอิโมะโชจู (芋焼酎) หรือ เหล้ากลั่นมันเทศ ที่ลุงชอบ  ;D

志村さん実家に献花台　芋焼酎にバカ殿人形…ファン向けお別れ会はコ
https://headlines.yahoo.co.jp/hl?a=20200401-00000065-dal-ent

เคน ชิมูระ ตำนานแห่งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของญี่ปุ่น  ;D

https://youtu.be/vUWbjv79e5s

ในช่วง 1962–71 มีหนังคาวบอยขนาดยาวมาฉายทางทีวีบ้านเรา ชื่อ The Virginian   มีดารานำชายหลายคน คนที่เป็นตัวเอกคือเจมส์ ดรูรี่   อยู่ในหนังชุดนี้ถึง 9 ปี ก่อนจะอำลาจอไป

https://www.youtube.com/watch?v=9Q6pkbdrIug

บางตอนในหนังทีวีเรื่องนี้
https://www.youtube.com/watch?v=JKPtngc8gTs

ใครยังจำไตเติ้ลได้บ้างคะ
https://www.youtube.com/watch?v=hjjUlljGNK0&feature=emb_rel_end

James Drury จากไปในวัยสุกงอม 85 ปี

ข้ามฟากมาทางอังกฤษ   ดาวสาวสวยยุค 1960-70s อีกดวงหนึ่งตกจากฟากฟ้าไปในวัย 94 ปี     เธอชื่อ Honor Blackman  เป็นดาราสาวยุคเดียวกับฌอม คอนเนอรี่

   ออนเนอร์เล่นหนังในอังกฤษ  มาดังจากหนังชุด The Avengers หรือขวัญใจสายลับ ที่เคยเข้ามาฉายทางช่อง 4 วังบางขุนพรหม    เธอเล่นเป็นสายลับสาวสวยชื่อ Kathy Gale  อยู่ 2 ปี  เป็นสาวนักสู้มีคิวบู๊อยู่เป็นประจำ

  https://www.youtube.com/watch?v=diL0xi477e0&t=234s

  ความดังจากหนังทีวีชุดนี้ ส่งให้ออนเนอร์ได้เล่นเป็นสาวบอนด์ คู่กับฌอม คอนเนอรี่ สายลับเจมส์บอนด์ 007 ในตอน Goldfinger

   https://www.youtube.com/watch?v=2IADBMkC0Cw

จากนั้นออนเนอร์ก็มีหนังชุดทางทีวีของอังกฤษมาให้เล่นเรื่อยๆ   จนกระทั่งสู่วัยปลาย  แล้วถึงแก่กรรมไปอย่างสงบ ที่บ้านของเธอในแคว้นซัสเซกซ์ ประเทศอังกฤษ

คุณทวดในตำนาน

       ขวัญใจสายลับ ผู้มาก่อนคุณนายพีล(Diana Rigg)

       ผู้หญิงของบอนด์ตอน Goldfinger (1964) ที่มีชื่อในหนังว่า .... Pussy Galore

       สวยไม่สร่าง, คุณทวดเมื่อปี 2013

คุณทวดเป็นสาวเปรี้ยวนักสู้ใน ขวัญใจสายลับ   ชุดหนังสีดำ ฟิตเปรี๊ยะ รัดรูปตลอดตัวของเธอเป็นที่ฮือฮามาก
เมื่อเธออำลาเรื่องนี้ไปเล่นหนังใหญ่   ชุดดำที่เตรียมไว้ให้เธอก็ถูกดัดแปลงมาให้ดาราสาวที่รับบทนำต่อจากเธอ คือไดอาน่า ริกก์
ไดอาน่าก็ทำให้ชุดหนังสีดำโด่งดัง จนกลายเป็นแบรนด์ประจำตัวของเธอตลอดเวลาที่เล่นเรื่องนี้

ส่วนพระเอกของหนังทีวีชุดนี้ Patrick Macnee  อำลาล่วงหน้าไปแล้วเมื่อปี 2015   อายุ 93 ปี

 ดาราดวงไม่ค่อยใหญ่นัก แห่งฟากฟ้าฮอลลีวู้ดเพิ่งจากไปอีกรายหนึ่ง  ชื่อ John Ericson อาจไม่คุ้นหูคอหนังปัจจุบัน เพราะแกเกษียณจากวงการไปตั้งแต่ช่วง 1990s   
แต่สมัยที่คุณทวดเข้าวงการมายาในยุค 1950s  เป็นดาราชายที่ตรงสเป็คยุคนั้น คือหล่อล่ำ มาดแมน  เล่นบทบู๊ แนวลูกผู้ชายห้าวๆเถื่อนๆอย่างพระเอกหนังคาวบอยได้  เล่นบทชีวิตก็ได้
จึงได้ประกบกับดาราสาวแถวหน้า อย่างเอลิซาเบธ เทย์เลอร์ และเกรซ เคลลี่  ในหนังใหญ่หลายเรื่อง

แต่เมื่อเวลาผ่านไป รสนิยมคนดูเปลี่ยนไป  ดาวเก่าๆค่อยหรี่แสงลง   เจ้าตัวก็เปลี่ยนมาแสดงในทีวีแทน รับบทสารพัดในหนังชุดหลายเรื่องด้วยกัน
จนกระทั่งอิ่มตัว  ล่วงเข้าวัย 70  คุณทวดชายก็อำลาวงการ โยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในซานตาเฟ รัฐนิวเมกซิโก กับลูกเมีย จนจากไปในวัย 93 ปี
https://www.youtube.com/watch?v=rAzcMTTofPs

ในสองวัย

  หลายท่านในเรือนไทยคงเกิดทันหนังชุดทางทีวีชื่อ หนูน้อยบีเวอร์ Leave it to Beaver   เรื่องนี้เป็นหนังชุดขาวดำยุค 1950-60s  ที่ได้รับความนิยมมากมายท่วมท้นประเทศ   
  ดาราเด็กที่เล่นในหนังเรื่องนี้กลายเป็นขวัญใจคนทั้งประเทศ     นอกจากดารานำ ที่เล่นเป็นสองพี่น้อง วอลลี่และบีเวอร์  ก็ยังมีดาราประจำอีกคนเล่นเป็นเพื่อนตัวแสบของวอลลี่ ในเรื่องชื่อเอ็ดดี้ แฮลเกล   
  ขณะที่วอลลี่ถูกสร้างให้เป็นแบบอย่างของไอดอลเด็กผู้ชายในยุคเบบี้ บูมเมอร์  คือนิสัยดี เก่ง ฉลาดเฉลียว ซื่อตรง  เอ็ดดี้ก็ถูกสร้างให้ตรงกันข้าม  เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของเด็ก   คือจอมกวน ขี้โกง กะล่อน หาเรื่องใส่ตัว   เข้าที่ไหนเดือดร้อนที่นั่น
  เด็กน้อยที่รับบทเอ็ดดี้ชื่อเคน ออสมอนด์  เป็นหนูน้อยนักแสดงที่เข้าสู่วงการตั้งแต่ 4 ขวบ   เคยรับบทในหนังทีวีเรื่องอื่นมาแล้ว จนถูกคัดเข้าเล่นใน Leave it to Beaver 
  ตอนแรกผู้กำกับตั้งใจจะให้เล่นเพียงตอนเดียว  แต่หนูน้อยเคนตีบทแตกกระจุย จนทีมงานต้องเขียนบทให้เล่นในตอนอื่นๆอีก   ไปๆมาๆ เลยได้เล่นตลอด 6 ปีของหนังชุดเรื่องนี้    เป็นดารานำอีกคนทีเดียว 
 

https://www.youtube.com/watch?v=Bw8LSQP1OXo

  เมื่อหนังชุดนี้จบลง  หนูน้อยทั้งหลายที่เติบโตจนเข้าวัยรุ่นและวัยหนุ่มแล้ว ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง    เคน ออสมอนด์พยายามอยู่ในวงการอีกสักพัก   แต่เช่นเดียวกับดาราเด็กอีกมากที่พอโตขึ้นก็ไม่เป็นที่สนใจของคนดูอีก  
  เคนยิ่งแย่กว่านั้น คือเล่นเป็นตัวโกงได้ดีเสียจนคนดูติดตากับบทเดิม    เขาก็เลยหาบทอื่นเล่นไม่ได้   ประกอบกับเขาเริ่มตั้งครอบครัว ต้องหาอาชีพเลี้ยงลูกเมีย  เขาเลยไปสมัครเป็นตำรวจในลอสแอนเจลิส   ไว้หนวดเปลี่ยนรูปโฉมใหม่เพื่อไม่ให้ประชาชนจำได้    ผลก็คือเขาอยู่ในอาชีพใหม่นี้อีกจนเข้าวัยกลางคน   ก็ลาออกมารับบำนาญ  จากนั้นก็หวนคืนวงการอีก  
  หนังชุดหนูน้อยบีเวอร์ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่  เป็นหนังสำหรับฉายทางทีวี  เอาดาราชุดเดิมมาเล่นในเรื่องเดิม  ตั้งชื่อว่า  Still the Beaver
  วอลลี่และบีเวอร์กลายเป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน มีลูกมีเต้าแล้ว   ย้ายกลับมาอยู่บ้านเกิดใกล้ๆแม่ซึ่งอยู่ตามลำพังเพราะพ่อถึงแก่กรรมไปแล้ว  
   เคนก็เลยกลับมารับบทเอ็ดดี้ แฮสเกลในวัยกลางคน เอาลูกชายสองคนในชีวิตจริงมาเล่นเป็นลูกในเรื่อง  
   หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จงดงามอีกครั้ง
   https://www.youtube.com/watch?v=zlVyBzNTnxQ

ความน่ารักน่าตีของเอ็ดดี้ แฮลเกล
https://www.youtube.com/watch?v=TYcqPbpRX9I

  ความสำเร็จของ Still the Beaver ทำให้เกิดหนังชุดนี้ ดาราชุดนี้ ตามมาอีกชุดคือ The New Leave it to Beaver ฉายระหว่าง 1984 ถึง 1989  เคนก็ได้เล่นหนังชุดนี้อีก
  เเขาเกษียณตัวเองจากงานในปี 2013   ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวในลอสแอนเจลิส จนถึงแก่กรรมเมื่อ วันที่ 18 พฤษภาคม  2020 อายุ 76 ปี
  สาเหตุเสียชีวิตคือ complications of chronic obstructive pulmonary disease และ peripheral artery disease  คุณหมอในเรือนไทยคงอธิบายได้ดีกว่าดิฉันว่ามันคือโรคอะไร

เด็กน้อยทั้งสามกลายเป็นคุณปู่คุณตากันหมดแล้ว

       กระแสการประท้วง Black Lives Matter ในและนอกอเมริกาตามหลังเหตุการณ์เสียชีวิตของ George Floyd
ส่งแรงกระเพื่อมต่อหนังอมตะอีกครั้ง นั่นคือ
        Gone With the Wind - วิมานลอย ที่เป็นตำนานโดดเด่นโด่งดังมายาวนานจนหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าไม่ได้
เมื่อเกิดกระแสเรื่องนี้ขึ้นมา
        John Ridley ผู้เขียนบทหนังเรื่อง “12 Years a Slave” กล่าวว่า วิมานลอย นำเสนอภาพตอกย้ำภาพจำของ
เชื้อชาติผิวสี       
        ตามนั้น HBO Max ซึ่งให้บริการหนังตามสั่ง ได้ถอด วิมานลอย ออกจากรายการหนังให้บริการชั่วคราว ด้วยเหตุว่า
หนังมีเนื้อหาอคติเรื่องเชื้อชาติสีผิว และ เชิดชูระบบทาส แล้วจะนำกลับมาให้บริการใหม่พร้อมด้วยบทนำเกี่ยวกับบริบททาง
ประวัติศาสตร์ก่อนเข้าสู่ตัวหนัง

           อย่างที่ทราบกันแล้วว่า วิมานลอย นำเสนอเหตุการณ์สงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกาในแอตแลนตาพร้อมภาพ
แรงงานทาสผิวสี
           ชีวิตทาสที่นั่น ณ "ทารา" ดูดีมีความสุขน่าพึงพอใจไร้ทุกข์ยาก อยู่สบายภายใต้ร่มเงาอบอุ่นของเจ้านายผิวขาวแสนใจดี

           ทาสพี่เลี้ยงอย่างแมมมี่ ทำงานรับใช้รู้ใจใกล้ชิดเป็นคนสนิท และมีอำนาจสตรองพอที่จะแนะนำควบคุม "เอาอยู่"
คุณหนูแสนพยศ - สการเล็ตที่ก็รักและยอมเชื่อฟังแมมมี่

          แต่ก็ยังมีบางตอนในยามคับขันตึงเครียดสุดขีด หนังแสดงภาพทาสสาวน้อยคนดำหน่อมแน้มอย่างพริซซี่ให้คนดู
พลอยรำคาญจนบางคนอาจเผลอเห็นตามเมื่อสการเล็ตตบหน้าเธอ แต่แล้วหลังจากนั้นก็ให้โอกาสสการเล็ตแก้ตัวด้วยการ
ไม่ทิ้งพริซซี่ไว้แต่พาหนีไปด้วยเมื่อแยงกี้บุกเข้ายึดแอตแลนตา

         นอกจากนี้ยังมีบทบาทเล็กๆ ของทาสชายที่เปิดโอกาสให้ได้แสดงภาพ ความหมายของชีวิตทาส(black lives matter)
ณ ทารา อย่าง คนรถ ที่สการเล็ตมอบนาฬิกาพกของบิดาให้เป็นที่ระลึกถึงพ่อที่จากไป

         และ หัวหน้าคนงานในไร่ - บิ๊ก แซม ที่เธอได้พบพานระหว่างทาง(ถูกเกณฑ์)ไปขุดสนามเพลาะ เธอมีอาการดีใจที่ได้เจอ,
ทักเรียกชื่อทาสแต่ละคน และเมื่อร่ำลาเธอยังบอกว่าหากใครบาดเจ็บเป็นไรให้บอกเธอด้วย

         ด้วยบทบาทที่โดดเด่นและการแสดงที่ทรงพลังดีงามตามท้องเรื่อง ผู้รับบทแมมมี่จึงได้รับการเสนอชื่อ
ชิงออสการ์สมทบหญิง(ที่ถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ว่าเป็นคนผิวสีคนแรกที่ได้รับการเสนอชื่อ) และ ได้รับ
รางวัลนั้นไป

         แต่ ในคืนวันงานนั้นก็เกิดเหตุการณ์แบ่งแยกผิวสี เมื่อเธอถูกจัดให้นั่งในส่วนบริเวณท้ายงาน
ไม่ได้ร่วมโต๊ะกับนักแสดงนำทั้งสอง

แมมมี่ที่ขอบล่างตรงกลางเกือบตกเฟรม

เปรียบเทียบกับเหล่ารูปปั้นที่ถูกโค่นล้มในหลายเมืองแล้ว วิมานลอย จะอยู่ดีดังเดิมเป็นบันทึกหน้าประวัติศาสตร์
ของวงการหนัง ที่อาจจะมีคำนำกำกับสำหรับผู้ชม 

แถมพ่วงด้วย
              วรรณกรรมอมตะซึ่งเป็นที่รักของคนทั่วโลกก็โดนหางเลขไปด้วย (เมื่อหลายปีก่อน, บ้านเล็กในป่าใหญ่ก็โดน
ไปแล้ว ด้วยประเด็นเหยียดชาวอินเดียนแดง จนถูกถอดออกจากทำเนียบหนังสือเยาวชน)
              ด้วยข้อความ(อ่อนไหว)ในวงเล็บที่ถูกกล่าวหา, จากบทที่ 16

เมื่อเจ้าชายน้อยมาถึง โลก

            The Earth is not just an ordinary planet! One can count, there, 111 kings
                   (not forgetting, to be sure, the Negro kings among them),
7,000 geographers, 900,000 businessmen,...
           
เจ้าชายน้อย เคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังปี 1974 และ แอนิเมชั่น ปี 2015

ในการ์ตูน Fantasia  ของดิสนีย์  มีฉากสาวน้อยเซนทอร์ผิวดำรับใช้นายสาวเซนทอร์ผิวขาว    ฉากนี้เคยฉายในโรง  ต่อมาถูกหั่นออกไปในระยะหลัง  เมื่อกระแสต่อต้านการเหยียดผิวแรงขึ้น

          หลังจากหนังอมตะระดับตำนาน Gone With the Wind - วิมานลอย ลอยไปหลายสิบปี ต่อมาจึงปรากฏมี
หนังเกรดบีแต่ทุนหนาสร้างจากนิยายขายดีที่หาญเทียบ,ตามรอย(ดูโปสเตอร์ ในคห.ต่อไป)
         นำเสนอเนื้อเรื่องย้อนยุคเจ้านายทาสฝ่ายใต้ แต่แทนที่ชีวิตทาสโลกสวยโรแมนติคแบบวิมานลอยกลับสลับเป็น
ด้านตรงข้ามที่รุนแรงเร้าอารมณ์(ซึ่งนับว่าแรงมากในยุคนั้น) ตามคำโปรยและภาพบนโปสเตอร์

          และ ผลลัพธ์ คือ หนังทำเงินที่โดนนักวิจารณ์แถวหน้าหัวแถวอย่าง Roger Ebert สับแหลกประมาณว่าเป็น
หนังขยะขายเซ็กซ์และความรุนแรง ถึงขนาดที่ไม่มีดาวให้แม้แต่ครึ่งดวง
          แต่ เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จึงมาถึงวันนี้ที่หนังขยะเรื่องนี้มีคนมองว่าเป็น "หนังแนว" exploitation movie
(- หนังพาณิชย์เกรดบี ที่มุ่งนำเสนอเนื้อหาที่จะเรียกคนดู เช่น ความรุนแรง,เซ็กซ์,ความแปลกแหวกแนว, ฯ) ระดับเงินทุน
สร้างสูงที่นำเสนอด้านมืดของชีวิตทาสที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น และ นักดูหนังบางคนแนะนำให้หาทำ(หามาชม) 

โปสเตอร์จงใจเลียนแบบวิมานลอย ด้วยภาพคู่นักแสดงนำ(แต่ออกแนวหนังผู้ใหญ่ที่เสนอภาพสองคู่ช-ญ ต่างผิวสี)
ภาพฉากจากในเรื่องด้านใต้นักแสดงนำ

และ เมื่อมาถึงบ้านเราจึงได้ชื่อไทยว่า วิมานเลือด

         Mandingo (1975) หมายถึงชายชาวกาฬทวีปแถบตะวันตกที่มีร่างกายล่ำสันบึกบึนเหมาะที่จะเป็นเป็นพ่อพันธุ์
ผลิตลูกทาสออกจำหน่าย  กับเป็นนักสู้บนสังเวียนเดิมพันเงินพนันและชีวิตซึ่งนักวิชาการกล่าวว่า ไม่มีบันทึกหลักฐาน
ของการต่อสู้เช่นนี้ในสมัยนั้น

"ผลลัพธ์ คือ หนังทำเงินที่โดนนักวิจารณ์แถวหน้าหัวแถวอย่าง Roger Ebert สับแหลกประมาณว่าเป็น
หนังขยะขายเซ็กซ์และความรุนแรง ถึงขนาดที่ไม่มีดาวให้แม้แต่ครึ่งดวง"

เห็นด้วยค่ะ  ฝีมือการสร้าง กำกับ และการแสดงของดารา  เอา 0  ไปกินให้หมดเลย

คำโปรยภาคภาษาไทยบนโปสเตอร์หนังเกรดบีนี้ที่แสนทะเยอทะยาน
แต่ ต่อมาได้กลายเป็นแบบอย่าง หนังแนวน่าหามาดู (ให้รู้จักหนังแนวนี้เคยมีมา,หนังรุนแรงแห่งยุคนั้น,ทำไมหนังไร้ดาวฯ)

           ณ คฤหาสน์ทางใต้ในยุคสมัยค้าทาส, ปกครองโดยพ่อ กับ ลูกชายซึ่งอยู่สายไม่โหดยังพอมีเมตตา ดำเนินกิจการ
ค้าทาสที่ทำเงินให้เป็นกอบกำ

แรงงานเด็กทาส

          ถึงคราวชีวิตเปลี่ยน, แฮมมอนด์ - ลูกชายถึงวัยมีคู่ได้แต่งงานกับบลานช์ - น้องสาวของเพื่อน แต่แล้วต้องผิดหวังอย่าง
ที่สุดจนรับไม่ได้ เมื่อได้พบความจริงว่าเธอเป็นเจ้าสาวที่ไม่บริสุทธิ์(ด้วยเคยถูกพี่ชายล่วงเกิน - สัมพันธ์ทางเพศพี่น้องแบบนี้เป็น
สิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่น้อยในรัฐทางใต้สมัยนั้น)
          หลังจากคืนนั้นแล้วเขาก็หมางเมินเหินห่างเธอ และได้หันไปหา - เอลเลน ทาสสาวที่ได้ซื้อมาเป็นหญิงปรนสวาทที่แฮมมอนด์
พึงพอใจ ทำให้บลานช์ไม่พอใจอย่างมาก

          นอกจากทาสสาวคนนี้,แฮมมอนด์ยังได้ซื้อทาสชายกำยำ - มี้ด เพื่อมาเป็นนักสู้ฝีมือดีที่ทำเงินชนะพนันให้มากมาย
จนมี้ดกลายเป็นทาสคนโปรด

       เรื่องราวมาถึงจุดล่มสลาย เมื่อแฮมมอนด์ไม่อยู่,บลานช์ซึ่งถูกสามีทอดทิ้งจนป่วยใจ,ติดเหล้า ได้จงใจทำร้ายเอลเลน
ที่ตั้งครรภ์กับแฮมมอนด์จนแท้งลูก และขมขู่มี้ดให้เข้ามาหาในห้องไม่เช่นนั้นจะร้องว่าถูกมี้ดข่มขืน

        ไคลแมกซ์ตอนจบ คือ เมื่อบลานช์คลอดลูกออกมาเป็นทารกผิวดำที่แฮมมอนด์ไม่ไว้ชีวิต,หลังจากวางยาพิษบลานช์แล้ว
จึงลงมือลงทัณฑ์มี้ดโดยการสังหารอย่างเลือดเดือดด้วยกระทะน้ำร้อน
        และ สุดท้ายคือผู้เป็นพ่อซึ่งออกมาขัดขวางทาสอีกคนที่เข้ามาห้ามแฮมมอนด์จึงถูกยิงเสียชีวิตแล้วทาสคนนั้นหลบหนีไป
ทิ้งให้แฮมมอนด์อยู่ในวิมานเลือด

           หนังนำเสนอตรงตามหน้าที่สมกับเป็น "หนังแนว" ที่มุ่งนำเสนอเรื่องราวเล่าเรียงแบบตรงๆ ของด้านมืด,ความรุนแรง
และเซ็กซ์ในสมัยนั้น ภาพหนังออกโทนหม่นๆ อุดมด้วยฉากโหดๆ อย่างฉากการสู้กันถึงชีวิต, เฆี่ยนตีจนเลือดสาด,นางทาสที่มี
หน้าที่บำเรอนาย รวมทั้ง ทาสชายอย่างมี้ดที่เกือบโดนแม่ม่ายซื้อไปที่ตลาดค้าทาส และ ไม่เว้นแม้แต่ทาสน้อยน่ารัก

ทาสน้อยคอยรองเท้าเจ้านายที่ไขข้ออักเสบ,ทั้งยามตื่นและยามนอน
โดยรวม คือ ความรุนแรงโจ่งแจ้งจริงที่โดนใจใครบางคน

            ผ่านไปหลายปี, ผกก.หนังเฉพาะกลุ่มชื่อดัง Quentin Tarantino ก็ได้นำแรงดลใจจากหนังเรื่องนี้มานำเสนอใน
หนังของตนที่เรียกว่า แนว blaxploitation film เรื่อง Django Unchained เล่าเรื่องย้อนยุคทาสผิวสีและ (ต้อง)มีฉาก
การต่อสู้แบบในหนังแมนดิงโก

ดาวค้างฟ้าดวงงาม ร่วงลับดับไฟอีกดวงหนึ่ง  เป็นดาวที่อยู่มายาวนานถึง 104 ปี    ดาราที่แสดงคู่กับเธอล้วนล่วงหน้าไปสวรรค์แล้วหมดทุกคน
เธอชื่อโอลิเวีย เดอ ฮาวิลแลนด์  เป็นสาวงามที่สุดคนหนึ่งในตำนานจอเงิน ยุคครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20

https://www.youtube.com/watch?v=oCZyVfC1D3U

โอลิเวียสวยแบบคลาสสิค จึงมักจะได้เล่นหนังย้อนยุค 
เรื่องนี้เธอเล่นกับคู่ขวัญ เออร์รอล ฟลินน์  ที่โด่งดังจากเรื่องย้อนยุคเ่ช่นกัน

https://www.youtube.com/watch?v=cctiEh8VRmo

https://www.youtube.com/watch?v=n3hDAaxHNjs

สวยขนาดนี้ โอลิเวียก็ยังกล้าพลิกบท เล่นเป็นสาวหน้าตาพื้นๆ ค่อนไปทางขี้ริ้ว ขี้อาย ไร้บุคลิก  ในหนังคลาสสิค The Hairess (1949) บทนี้เธอขอผู้กำกับเล่นเอง

https://www.youtube.com/watch?v=cGNSL14kuCA

               
              ในที่สุด, ดาวดวงสุดท้ายแห่ง วิมานลอย ก็คล้อยเคลื่อนเลือนลับไป

           Dame Olivia Mary de Havilland  (July 1, 1916 – July 25, 2020)

เมื่อต้นเดือนนี้, ยังเพิ่ง HBD คุณทวดกันอยู่เลย
metro.co.uk

จาก ฟบ.ของคุณ กิจจา บุรานนท์ เขียนถึงคุณทวดว่า

            นางรองของวิมานลอย ในบทของ"เมลานี" สาวสวยแสนซื่อ ซื่อจนเซ่อ แต่เก่งกล้ามากในความดี ...เพื่อต้านบทของ
นางเอก"สการ์เล็ต"ซึ่งร้ายมาก มีสามีสามคน แต่หลงรักสามีของเมลานี จะเป็นจะตายกับความรักที่เธอมีให้แก่เขาตลอดทั้งเรื่อง
             นับว่าเป็นนักแสดงคนสุดท้ายของวิมานลอยที่ตายจาก และจากอย่างสงบ ไม่เจ็บป่วยใด ๆ
และยังนับได้อีกว่า คงเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านผู้หญิงในวัย ๑๐๑(บิดามารดาเป็นคนฝรั่งเศสที่อังกฤษ)

            ที่น่านับถือเป็นอย่างยิ่งคือผลงานแสดงของโอลีเวีย เช่น บทนางเอกของ The Heiress ซึ่งเธอชนะตุ๊กตาทอง
เธอตีบทแตกละเอียดยิบ ที่ว่านางเอกนั้นเป็นลูกเศรษฐีที่ดูไม่ได้เลย เฉิ่ม กลัวคน กลัวสังคมอีกต่างหาก พ่อหรือก็สุดเคร่งครัด
จนกระทั่งเธอมีจิ๊กโกโล่มาจีบ ...ผมจะไม่เล่าต่อนะครับ เพราะมันสนุกมาก

เมลานี ใน วิมานลอย

           ในชีวิตจริง โอลีเวียอยู่ปารีสมาแล้วกว่า ๗๐ ปี ...แต่ที่เธอสร้างประวัติมากที่สุดก็คือเธอมีน้องสาวอยู่หนึ่งคน
Joan Fontaine อ่อนกว่าเธอ ๑๗ เดือน ซึ่งก็เป็นดาราตุ๊กตาทอง เป็นบลอนด์รุ่นแรกสุดของ Alfred Hitchcock
นักแสดงคนเดียวของฮิทช์ค็อกผู้ชนะตุ๊กตาทอง (จาก Suspicion) แต่โจนดังมากกว่าในบทนางเอกของ Rebecca
           สองสาวพี่น้องกัดกัน เกลียดกันตลอดชีวิต ตั้งแต่โจนเกิด โอลีเวียไม่ต้องการเกี่ยวข้องด้วยเลย พอโตหน่อย แม่เอาเสื้อ
ของโอลีเวียไปให้โจนใส่ โอลีเวียเห็นเข้าก็เอามันมาฉีก โจนเล่าว่าเธอต้องเย็บมันเองใหม่หมด
           ต่อมาทั้งคู่กลายเป็น ๒ ใน ๕ ของนางเอกที่เข้ารอบสุดท้ายชิงตุ๊กตาทองแล้วโจนชนะ
           อย่างไรเสีย โอลีเวียเองชนะถึงสองตัว(To Each His Own and The Heiress) โจนชนะตัวเดียว(Suspicion)
           โอลีเวียกับโจนจึงเป็นพี่น้องคู่เดียวของฮอลลีวู้ดที่ชนะตุ๊กตาทอง
           โจนนั้นตายก่อนในวัย ๙๖

ประเด็นนี้
              คุณทวดเคยให้สัมภาษณ์ people.com เมื่ออายุครบ 100 เรื่องน้องสาวว่า

         “She was a brilliant person, very gifted and, alas, [had] an astigmatism in her perception of
both people and situations, which could cause and did cause great distress in others,”
         “I was among those and eventually this brought about an estrangement between us which
did not change in the last years of her life.”

และ ก่อนหน้านั้นน้องสาวคุณทวดก็เคยกล่าวว่า

           “I regret that I remember not one act of kindness from Olivia all through my childhood,”
           “You can divorce your sister as well as your husbands,”
           “I don’t see her at all and I don’t intend to.”

คุณปู่วัย 84 ปี ที่เคยเป็นขวัญใจวัยรุ่นในยุคปลาย 1950s และต้น 1960s  ได้ขึ้นสวรรค์ ไล่หลังคุณทวดวัย 104 ปีในเวลาไม่กี่วัน
คุณปู่ชื่อ John Saxon  เป็นหนุ่มอเมริกันเชื้อสายอิตาเลียน หน้าเข้ม ตาคม  หล่อตามแบบพระเอกเมื่อ 60 กว่าปีก่อน  เป็นดาราขวัญใจวัยรุ่นคู่กันแซนดรา ดี (ซึ่งเป็นดาราสาวขวัญใจวัยรุ่นเช่นกัน)
ความหล่อและยังมีฝีมือแสดงของคุณปู่ทำให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก  ขนาดได้รางวัลลูกโลกทองในฐานะดาราหน้าใหม่

เมื่ออายุพ้นวัยรุ่น   เล่นบทเดิมไม่ได้อีกแล้ว  จอห์นก็หันมาเล่นบทที่เหมาะกับวัย   เขายอมรับว่าถ้าจะอยู่ในวงการต่อไปก็ต้องยอมรับบทแล้วแต่จะมีมาให้  เช่นบทตัวรอง     ที่เรียกว่า character actor
เขาจึงได้เล่นคู่กับบรูซ ลี เป็นพระรอง ใน Enter the Dragon ปี 1973

จากนั้นจอห์นก็เล่นหนังสารพัดแบบ แล้วแต่จะมีใครยื่นบทมาให้  ตั้งแต่หนังคาวบอย  หนังสยองขวัญ   ข้ามไปเล่นหนังทีวีก็หลายเรื่อง  หน้าตาเข้มๆทำให้เขาได้รับบทมาดเข้มอย่างตำรวจอยู่หลายเรื่อง   เล่นเป็นผู้ร้ายก็บ่อย   
ตลอดเวลา 60 ปี  จอห์นไม่เคยตกงาน ยังคงแสดงฝีมือต่อมาจนกระทั่งเข้าวัยชรา   ไม่เคยมีข่าวเสียหาย  ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร  จนกระทั่งจากไปด้วยโรคนิวมอเนีย ในบ้านที่รัฐเทนเนสซี่  มีลูก หลานและเหลน แล้วในวัย 84 ปี

หนัง The Reluctant Debutante   1958  ที่จอห์นเล่นกับคู่ขวัญ แซนดรา ดี
หนังของเดิมพูดภาษาอังกฤษ แต่ในคลิปนี้พากย์ภาษาอิตาเลียน  คงจะเพื่อนำลงในยูทูปได้โดยไม่ถูกลบ


https://www.youtube.com/watch?v=p7AnGttaVMk&list=PLH96kRgKFxoSem_Tx2yFZ1fnwnnOjAL31

Enter the Dragon

https://www.youtube.com/watch?v=5xle91WTCWE

จำคุณปู่จอห์นได้จากทีวี ซีรี่ส์ ที่ปู่แสดงตอนเลยวัยหนุ่มแล้ว

รำลึกคุณทวด โอลิเวีย ต่อครับ

            “I married first, won the Oscar before Olivia did, and if I die first, she’ll undoubtedly be livid
because I beat her to it.”

Joan Fontaine

จากฟบ.คุณกิจจา ต่อเนื่อง

               อายุเยาวเรศรุ่น ...นางมังกร  เป็นนามที่โอลีเวีย เดอฮาวิลแลนด์ตั้งให้แก่น้องสาวโจน ฟอนเทนตั้งแต่เยาว์วัย
สองดาราตุ๊กตาทองพี่น้องคู่เดียวของฮอลลีวู้ด ไม่ลงรอยกันมาแล้วแต่ไหนแต่ไร
          ในวัยเก้าขวบ โรงเรียนที่โอลีเวียไปที่แอลเอ มีการสอนเด็กให้เขียนใบมรดก ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นรักที่สุด ...เธอจะมอบ
ให้แก่ใครเมื่อเธอจากไป โอลีเวียเขียนว่า
           “I bequeath all my beauty to my younger sister, Joan, since she has none,”

            ทั้งพี่น้องเกิดที่โตเกียว ในขณะที่แม่ซึ่งเป็นนักแสดงและครูสอนการแสดงของอังกฤษ ...ปลื้มโอลีเวีย แต่ท่านสงสารโจน
ที่ออดแอดต้องพาไปรักษาตัว เป็นเดือน ๆ ...ซึ่งสร้างความรำคาญอย่างมหาศาลให้แก่โอลีเวีย
            ทั้งสามโดนพ่อทิ้ง หันไปอยู่กินกับแม่บ้านชาวญี่ปุ่น แม่จึงแต่งงานใหม่ที่แอลเอ สามีใหม่/พ่อเลี้ยงของโอลีเวียเคร่งครัดมาก
โอลีเวียทนพ่อเลี้ยงไม่ได้เลย ส่วนโจนกลับเห่อพ่อใหม่(เธอจึงใช้นามสกุลฟอนเทน แทนเดอฮาวิลแลนด์) โอลีเวียจึงออกจากบ้าน
ตั้งแต่อายุ ๑๖

              เธอไม่มีความสัมพันธ์มากมายกับโจน จนทั้งคู่กลายเป็นดาราแล้วไปขึ้นแข่งตุ๊กตาทองปีเดียวกันแล้วโจนชนะ
จากโอลีเวีย "ฉันยืนขึ้นปรบมือด้วยความยินดี แต่เธอทำเป็นไม่เห็น ทุกคนเห็นกันหมด ...ว่าฉันขายหน้าสักขนาดไหน"
จากโจน "พอเค้าประกาศชื่อฉันเท่านั้น ฉันตกใจหมด เพราะฉันไม่ซีเรียสมากนักเกี่ยวกับงานแสดง ไม่คิดว่าจะชนะ
ฉันงงขึ้นไปรับรางวัล ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น"

             ไม่นานหลังจากนั้นโอลีเวียชนะตุ๊กตาทอง พอเธอรับเสร็จเธอจะกลับโต๊ะ(งานตุ๊กตาทองสมัยนั้นจัดกันในบอลรูม
ไม่ใช่เธียเตอร์ คือคนเดินคุยกันจากโต๊ะต่อโต๊ะ)โจนก็รีบแสดงความยินดีขอจับมือ โอลีเวียถือตุ๊กตาทองแล้วผ่านโจน เหมือน
โจนหายตัวได้อยู่ที่ตรงนั้น
            วกกลับไปถึงวิมานลอย แท้จริงแล้วบทของเมลานีนั้น ผู้สร้างทาบทามโจน ไม่ใช่โอลีเวีย โจนเล่าว่า "ฉันคือผู้ให้บท
เมลานีแก่โอลีเวีย...เมื่อฉันถูกทาบทาม ผู้สร้างกังวลอยู่อย่างเดียว ว่าฉันสวยมากไป แล้วแต่งตัวสวยมากไปอีกต่างหาก...ท่านก็
เลยว่า ฉันเก๋มากไปสำหรับบทเมลานี
           ฉันก็เลยบอกท่านว่าโอลีเวียนั่นแหละ ...เหมาะที่สุด"
แล้วโจนว่านั่นเป็นความผิดยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอ ที่ไม่ซีเรียสกับการรับบทนี้ แล้วส่งไปให้โอลีเวีย
           โอลีเวียซึ่งเข้ารอบตุ๊กตาทองในหมวดนักแสดงประกอบของวิมานลอย แต่ไม่ชนะ ข่าวเล่าว่าเธอตกใจที่ไม่ชนะ
ส่วนโจนเล่าว่า "เธอเที่ยวบอกใครต่อใคร ว่าที่เธอไม่ชนะ เพราะบทของเธอนั้น"เกิน"กว่าตัวประกอบ ...เธอว่าเธอเป็นนางเอก
อีกคนของ Gone With The Wind ไม่ใช่ตัวประกอบ"

            นักแสดงสาว ขวัญใจสายลับ,ขวัญใจจอแก้วเมื่อหลายสิบปีก่อนจากไปด้วยวัย 82 ปี เมื่อวานนี้
หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งในเดือนมีนาคม ปีนี้

           Dame Diana Rigg (20 July 1938 – 10 September 2020)

           จากเวทีละครมาโด่งดังในซีรี่ส์จอแก้ว The Avengers แล้วผันตัวไปจอเงินรับบทเจ้าสาวคนแรก,คนเดียว
ของ James Bond(ผู้สนใจค้นดูกระทู้เก่าๆ ได้)

           เดมฝากผลงานมากมีทั้งละครเวที,จอแก้วและจอเงิน (บางชิ้นงานรอวันออกเผยแพร่ภายหลัง) แต่ที่โดดเด่นเป็นที่
กล่าวถึงในช่วงหลังนี้คือบทบาทในซีรีส์ดัง Game of Thrones
ภาพซ้ายมือ - กับลูกสาวและตราตั้งพระราชทาน

ฟบ.คุณ วินทร์ เลียววาริณ เล่าถึงความประทับใจในหนังเจมส์ บอนด์ ของเดม On Her Majesty's Secret Service

          OHMSS ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชุด เป็นหนังรักเรื่องแรกของชุดบอนด์ เรื่องถัดมาคือ
Casino Royale เวอร์ชั่น 2006(แต่ถ้าพูดตามไทม์ไลน์จริงๆ เรื่องรักใน Casino Royale มาก่อน เพราะเป็น
หนังสือเล่มแรกในชุดบอนด์)
          นักวิจารณ์ส่วนมากในเวลานั้นบอกว่าห่วยแตก แต่ผมชอบมากถึงมากที่สุด ดู 4-5 รอบในโรงหนัง
          นางเอก OHMSS ชื่อ Teresa di Vicenzo รับบทโดย Diana Rigg เป็น Bond Girl ที่น่าจดจำที่สุดคนหนึ่ง
          ในหนังมีเพลงรักชื่อ We Have All The Time In The World แต่งโดย John Barry ร้องโดย Louis Armstrong ไพเราะมาก

If that's all we have
You will find we need nothing more
Every step of the way will find us
With the cares of the world far behind us
We have all the time in the world
Just for love
Nothing more, nothing less
Only love
         
             เป็นหนัง เจมส์ บอนด์ ที่โรแมนติกเหลือประมาณ น่าเศร้าที่จบแบบโศกนาฏกรรม ทำเอานอนไม่หลับไปหลายเดือน
แต่ในที่สุดความตายนอกจอก็ตามทันความตายในจอ
             ประโยค 'We have all the time in the world' แปลว่า เวลาเหลือเฟือ มากพอทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น
             "Don't hurry, we have all the time in the world." "ไม่ต้องรีบ เรามีเวลาทั้งโลก"
             แต่บางทีเราไม่มีเวลาทั้งโลกจริงๆ เพราะเผลอนิดเดียว ก็ถึงปลายทางแล้ว และ
             เพราะเราไม่มีเวลาทั้งโลก เราจึงควรใช้นาทีนี้ให้คุ้มค่าที่สุด

https://www.youtube.com/watch?v=RktwEMS0u28&fbclid=IwAR1vycB6lVwkCkY4kxw5thQTIzTfOVw9DlCTqi1qO1SCG3HzoDZd1MXnjoM&app=desktop

เห็นคุณย่ามาตั้งแต่ยังเป็นสาวสวยเซกซี่ เอมม่า พีล ใน The Avengers หรือขวัญใจสายลับ   เป็นผู้หญิงที่สวยและมีสไตล์ของตัวเอง  แม้ว่าเธอถูกจับให้เล่นบทสาวนักสู้แบบบ Honor Blackman  และรับมรดกเสื้อผ้าที่กองถ่ายเตรียมไว้ให้ออนเนอร์  เธอก็สร่างเอกลักษณ์ของเอมม่า พีลขึ้นมาจนโด่งดังไปทั่วโลก
จนเธอเข้าวัยชรา  เล่นด้วยฝีมือล้วนๆ ก็ยังเก่งกาจเหมือนเดิม

ขอให้เธอไปสู่สุคติค่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=m7eir64B6sM

https://www.youtube.com/watch?v=ZWEQ1ep5QV4

https://www.youtube.com/watch?v=nFfMDmy7Gck

ไดอาน่าประกบซีนกับดาราตุ๊กตาทองหญิงอีกคน  แม็กกี้ สมิธ

https://www.youtube.com/watch?v=dvGgaaRjzdE

บทอมตะ เอมม่า พีล ที่ผูักำกับยอมให้ไดอาน่า และแพทริค แม็คนี พระเอกของเรื่อง คิดบทพูดบางตอน  และเล่นตามแบบของตัวเอง

https://www.youtube.com/watch?v=idtYckLIZnI

               รำลึกถึงคุณนายพีลเพิ่มเติม หลังจากได้อ่านบทความในนสพ.บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 20 ก.ย.
ที่ผ่านไป, ต่อตัดดัดแปลงเพิ่มเติมจาก

https://www.bangkokpost.com/opinion/opinion/1988463/the-everlasting-appeal-of-mrs-peel

The everlasting appeal of Mrs Peel
Roger Crutchley   20 SEP 2020

              เศร้าใจเมื่อได้ทราบข่าวการจากไปของ Dame Diana Rigg ผู้เป็นที่รักรู้จักจดจำจากซีรี่ส์ของ BBC
เรื่อง ขวัญใจสายลับ(The Avengers) สองฤดูกาลปี 1965-67
              ด้วยบทบาทของคุณายพีล (Emma Peel) ผู้ทรงเสน่ห์ เท่แฟชั่น มีชั้นเชิง และ เชี่ยวชาญการต่อสู้ ออกปฏิบัติการ
ร่วมกับคุณ Steed ผู้ดีอังกฤษสวมหมวกเสริมเหล็กและถือร่มที่ใช้เป็นอาวุธได้
             ชุดที่เธอสวมใส่"ออกงาน"มักจะเป็นชุด "นางเมว" เข้ารูปที่เธอยอมรับว่า ไม่ชอบ-เกลียด
             ชื่อคุณนายพีลนั้น มาจากคนเขียนบทที่ต้องการนักแสดงสาวผู้มี "man appeal" ซึ่งต่อมาได้ย่อโน้ตกลายเป็น
"M appeal" และ Emma Peel ในที่สุด

             ในขณะที่คุณสตี๊ดมีบทแอ็คชั่นเบาๆ ใช้ร่มและหมวกเป็นอาวุธจัดการคนร้ายได้ง่ายดาย ตรงกันข้าม
คุณนายพีลต้องออกแรงแสดงศิลปะป้องกันตัวเตะต่อยคู่ต่อสู้ที่เป็นชายตัวใหญ่กว่า รวมทั้งบทถูกจับมัดทรมาน

ภาพจากเว็บที่เก็บฉากแอ๊คชั่นจากซีรี่ส์
คุณนายวาดลวดลายกับผู้ร้ายชายอกสามศอก

คุณสตี๊ดมาถึงตอนศึกสงบ เอ่ยคำชมและ
บ่นว่าร่มเสียหายจากการต่อสู้กับคนร้าย

             เดมนั้นเป็นนักแสดงจริงจังที่ผ่านการฝึกฝนเล่าเรียนจาก Royal Academy of Dramatic Arts (RADA)
และ Royal Shakespeare Company ขณะที่ถ่ายทำขวัญใจสายลับ เดมก็ยังแว่บไป  Stratford เพื่อแสดงละครเวที
ของ Shakespeare (เรื่อง Twelfth Night)

             เดมเชื่อมั่นว่านักแสดงต้องผ่านการฝึกฝน ไม่ใช่ให้มารับบทแสดงในทันที แต่เมื่อเดมมานำแสดงร่วมกับ
George Lazenby ผู้ไร้ประสบการณ์การแสดงมาก่อน ใน  James Bond ตอน On Her Majesty's Secret Service
กลับไปกันได้ ไม่มีปัญหาความแตกต่างดังที่เป็นข่าวลือ
            George Lazenby กล่าวถึงเธอด้วยความอาลัยว่า
                 "We were very good friends on set. Diana undoubtedly raised my acting game."
                 "As my new bride Tracy Bond (in OHMSS) I wept for her loss. Now upon hearing of
Dame Diana's death, I weep again."

Bond เศร้าได้แต่ต้องไม่หลั่งน้ำตา

             แม้ดูเป็นหญิงมาดมั่นทันสมัย แต่ประเด็นการใช้คำแบ่งแยกบ่งชี้เพศ Actress or actor? ที่มีเทรนด์ให้ใช้
โดยไม่แบ่งแยกเพศว่า "actors" นั้น เดมให้สัมภาษณ์ว่า
             "I love the English language and I love it to be precise and I am an actress."

              เดมได้ออกหนังสือชื่อ No Turn Unstoned (จากสำนวน No Stone Unturned) - ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไหน
ที่ไม่โดนก้อนอิฐ(ดัดแปลงเป็นไทยจากสำนวน ดอกไม้หรือก้อนอิฐ - คำชมหรือคำติ) ที่รวมคำวิจารณ์ร้ายๆ แรงๆ ที่นักแสดง
ละครเวทีโดนมา
              บทวิจารณ์ชิ้นหนึ่งโดย Paul Simon แห่ง The New York Times กล่าวถึงบทเปลือยของเดมในละครเวที
Abelard and Heloise ว่า
              "Diana Rigg is built like a brick basilica with insufficient flying buttresses."
         
               ขอตีความว่า - (รูปทรงองค์เอว)ไดอะน่า ริก (ย้วยหย่อนยาน)เหมือน มหาวิหาร ที่มีครีบยันไม่เพียงพอ

flying buttresses

             ในขณะที่นักแสดงสองออสการ์ชาวอังกฤษ Glenda Jackson อ้างถึงคำวิจารณ์จาก Jack Di Manio ที่ว่า
             "She has the face to launch a thousand dredgers." - เธอมีดวงหน้าที่ชักพาเรือขุดคุ้ยนับพันลำ

(จากบทประพันธ์ของ Christopher Marlowe ในเรื่อง Doctor Faustus ที่กล่าวถึงความงามที่ชักนำเรือศึกของ
Helen of Troy('Helen of Greece')
             Was this the face that launch'd a thousand ships)

ดวงหน้าที่จะตราตรึงในความทรงจำไม่ลืมเลือน

https://www.youtube.com/watch?v=2g3iuSESdo4

   ดาวดวงสวยในอดีตลับฟ้าไปอีกดวงหนึ่ง  เธอชื่อ Rhonda Fleming   ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูคอหนังและคอทีวีไทยในปัจจุบัน    เพราะเธอดังในยุค ค.ศ. 1950-60   ก่อนชาวเรือนไทยส่วนใหญ่เกิด
   รอนดาเป็นแบบฉบับของความสวยยุคนั้น คือต้องเป็นคนผิวขาว  สวยหยาดเยิ้ม     รูปร่างอวบ แต่เอวเล็กแบบนาฬิกาทราย ช่วงขายาวเรียว    ที่สำคัญคือถ่ายรูปขึ้น   
   รอนดาเป็นสาวผมสีแดงเพลิง ตัดกับประกายตาสีเขียว   ซึ่งฝรั่งนิยมว่าสวยเซกซี่กว่าผมสีทองตาสีฟ้า   เธอก็เลยโดดเด่นเป็นขวัญใจช่างภาพจนได้สมญาว่า "ราชินีแห่งสีเทคนิคคัลเลอร์" เพราะยุคนั้นเป็นช่วงต่อระหว่างหนังขาวดำกับหนังสีเทคนิคคัลเลอร์

ดาราสาวเซกซี่ในยุคนั้น

     รอนดาได้เล่นหนังดังอยู่หลายเรื่อง  ล้วนแต่โชว์ความสวยมากกว่าโชว์ฝีมือ   เธอเองก็ไม่ค่อยชอบข้อนี้นัก เพราะมันทำให้เธอไม่มีโอกาสจะก้าวไปสู่ระดับยิ่งใหญ่ได้มากกว่านี้   แต่จะทำอย่างไรได้  เธอถูกประทับตราไปแล้วว่าเป็นคนสวย ก็ต้องโชว์ความสวย
     เมื่ออายุมากขึ้น รอนดาหันมาสู่วงการทีวี   รับเชิญในหนังหลายเรื่อง  จนกระทั่งอำลาอาชีพดาราไปเป็นนักธุรกิจ   อยู่มาจนอายุ 97  ถึงจากไป  มีทั้งลูก หลาน และเหลน

https://www.youtube.com/watch?v=7lWd6gwULcM

หนังที่เธอเล่น

https://www.youtube.com/watch?v=x9SU6YcrDR0

สาวผมแดงผมก็ชอบนะครับ แต่ชอบสาวผมดำตัดผมสั้นมากกว่า  ;D

รำลึก 'ดาวแดง' ที่ดับแสงไปแล้ว

รวมนักแสดงนำหญิงผมแดงระดับตำนานที่เคยฝากผลงานประทับใจไว้ในอดีต

         ด้วยอาวุโสและอายุยืนยาว, ความสามารถโดดเด่น พร้อมทั้ง brain and beauty อันดับแรกจึงยกให้เป็นของคุณทวด
Maureen O’Hara (August 1920 – October 2015)
         ผู้เป็นรูปธรรมของนิยามว่า "หัวแดง" ด้วยรูปลักษณ์ ความฉลาดปราดเปรียวและคมวาจา คุณทวดจึงสามารถฝ่ากำแพง
เข้าไปรับบทในหนังแอ็คชั่นผจญภัยร่วมกับนักแสดงชายอย่าง John Wayne, Tyrone Powers ในยุคทองของฮอลลีวู้ด
         เมื่อระบบการถ่ายทำหนังเปลี่ยนผ่านจากขาวดำเข้าสู่ยุคสี คุณทวดก็ได้ครองตำแหน่งราชินีแห่งสีเทคนิค
         the Queen of Technicolor จาก her rich red hair, bright green eyes and flawless peaches-and-cream
complexion

จำคุณทวดได้จากหนังเปิดโรงอินทรา,ประตูน้ำ เรื่อง Big Jake

             นอกจากผลงานการแสดงแล้ว,คุณทวดยังมีความสามารถด้านการร้องเพลงและได้ออกอัลบั้มเพลงของตนเอง
เลือกเพลงไอริชบ้านเกิดของคุณทวดที่โด่งดังเพลงนี้มาชวนฟัง ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=8r4DJOgrI3s

             คุณทวดไม่เคยได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์และเมื่อได้รับรางวัลออสการ์เกียรติยศ,คุณทวดส่งท้ายสปีชตอนขึ้น
รับรางวัลด้วยประโยคเก่าเล่าขานของไอริชว่า

            “May the road rise to meet you, the wind be always at your back; and may the sun shine
warmly upon your face.”

ตามติดต่อมาด้วยคุณทวดผู้มีผลงานโด่งดังประทับใจ,เคยฉายในเรือนไทยมาแล้ว

                     Deborah Kerr (September 1921 – October 2007)

งามสง่าหรูหราคลาสสิค

              คุณทวดสาวชาวสก็อต มีผลงานการแสดงหลากหลาย ทั้งแอ็คชั่นผจญภัย - King Solomon's Mine,
ดรามาโดดเด่นสุดๆ ใน An Affair To Remember และ From Here To Eternity ที่คุณทวดตัดผมสั้นย้อมสีบลอนด์,
พูดสำเนียงเมกัน รวมทั้ง บทนำในหนังต้องห้ามของไทย The King and I
              คุณทวดได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์นักแสดงนำถึงหกครั้งแต่ไม่เคยได้รับรางวัล

              Susan Hayward (June 1917 – March 1975)

              คุณทวดนางแบบต่อยอดเป็นนักแสดงมากความสามารถ ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ห้าครั้งและได้รับรางวัล
จากเรื่อง I Want to Live ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงของบทบาทนักโทษประหารหญิง Barbara Graham

ตามอาวุโสและความเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ, ส่งท้ายด้วย

                               Ann-Margret  (April 1941)

       นางแบบ,นักแสดง,นักร้องสาวสวยรวยเสน่ห์จากสวีเดนที่ย้ายมาเมกาเมื่อยังเล็กและเติบโตขึ้นเป็นขวัญใจชายหนุ่มยุค 1960's
       จากชื่อและสกุลเต็มว่า Ann-Margret Olsson ที่ยาวเกินจึงโดนลดลงเรียกขานเหลือแต่ชื่อ
       คุณย่ามีผลงานเป็นที่จดจำกล่าวขานจากหนังที่นำแสดงคู่กับราชาโยกและคลึง Elvis Presley ในเรื่อง  Viva Las Vegas (1964)
นอกจอทั้งสองมีความรู้สึกพิเศษให้กันจนคู่หมั้น(Priscilla) ของเอลวิสออกอาการ

             ในเวลาต่อมา คุณย่าก็ได้มีผลงานการแสดงที่เข้าตาจนได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สองครั้ง และ
             ด้วยเสียงพร้อมความสามารถทางการร้องและเต้น คุณย่าจึงมีผลงานเพลงและการแสดงโชว์ จนได้รับสมญาว่า
female version of Elvis Presley และ The Queen of Vegas

คุณย่าและสามีออกงานรอบปฐมทัศน์หนังเมื่อปี 2017

คุณย่าริต้า เฮย์เวิร์ธ เป็นสาวผมแดงอีกคนที่ดังเป็นพลุแตกในฮอลลีวู้ดยุค 1950s -60s

เธอเคยเป็นนักเต้นมาก่อนเข้าสู่วงการดารา

https://www.youtube.com/watch?v=hR4I-g7z-0c

Lucille Ball เป็นยอดดาราหญิงตลกของวงการทีวีอเมริกาในยุค 1950s  จากหนังชุด  I Love Lucy   แต่ก่อนย้ายมาเข้าวงการทีวี  เธอเป็นดาราสาวสวยในจอเงิน เล่นหนังเล็กๆมามากมาย  รวมทั้งแสดงโชว์ด้วย 
ที่ตลกอีกอย่างคือลูซีเป็นสาวผมทองแต่กำเนิด   สมัยนั้นถือว่าใครมีผมสีทองธรรมชาติ  ตอนเด็กก็จะเป็นเด็กน่ารัก โตเป็นสาวก็ถือว่าสวย   แต่ลูซีกลับย้อมผมแดง  แล้วย้อมไปจนตลอดชีวิต  ไม่ยอมเป็นสาวผมทอง

   https://www.youtube.com/watch?v=2LhtNEmNkuY

คุณทวดอายุ 100 ปี 1  เดือนเพิ่งจากไป  ชื่อของเธอ Marge Champion ไม่เป็นที่คุ้นหูในวงการมายา    แต่ถ้าไม่มีคุณทวดคนนี้   โลกก็จะไม่รู้จักการ์ตูน Snow White ของวอล์ท ดิสนีย์ อย่างที่เรารู้จักกัน
เพราะคุณทวดมาร์จ  เมื่อเป็นสาวน้อยวัย 14 ปี   วอล์ท ดิสนีย์จ้างเธอมาเป็นนางแบบ แสดงบทบาทเจ้าหญิงสโนว์ไวท์

ถ้าถามว่าวาดการ์ตูนทำไมต้องมีคนมาแสดง   คำตอบคือ  ดิสนีย์ใช้คนจริงๆมาแสดงลีลาท่าทางต่อหน้าบรรดานักเขียนการ์ตูนในค่ายดิสนีย์  เพื่อเก็บลีลาการเคลื่อนไหวเหล่านั้นไป "ถอด" ออกมาเป็นลีลาการ์ตูน 
 การเคลื่อนไหวของการ์ตูนจะได้ดูแนบเนียนเป็นธรรมชาติ
https://www.youtube.com/watch?v=ZYtUP13ssPY

https://www.youtube.com/watch?v=Hjt13WdEkZc

ลีลาท่าเต้นของคุณทวดเมื่อสาวๆ  ไม่เบาเลย
(คุณทวดคือสาวคนที่สาม ค่ะ)

https://www.youtube.com/watch?v=Ik9e8KkUlgM

https://www.youtube.com/watch?v=dwJFfVBRIaw

เมื่อ 70 ปีก่อน ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  และหลังจากนั้น ฮอลลีวู้ดนิยมหนังเพลงไพเราะ ระบำงามตา    นักเต้นอย่างคุณทวดและสามี Gower Champion จึงได้โชว์ตัวในจอเงินอยู่หลายเรื่อง
แต่พอเวลาผ่านไป ถึงยุค 1960s   หนังเพลงก็มาถึงจุดจบ    ดาวเต้นทั้งหลายก็หายหน้าไปจากจอเงิน 



https://www.youtube.com/watch?v=RJZoB1cKCVU

https://www.youtube.com/watch?v=dLYITS2HtqI

ดาวฤกษ์ดวงใหญ่ของฮอลลีวู้ดลับฟ้าไปในอายุสุกงอม 90 ปี  เจมส์ บอนด์คนแรก ฌอน คอนเนอรี่จากไปเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม  2520  ตรงกับวันฮัลโลวีนพอดี
คอหนังฝรั่งคงไม่มีใครไม่รู้จักฌอน คอนเนอรี่ ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯของอังกฤษ มีคำนำหน้าว่า "เซอร์"

ฌอนไม่ใช่คนอเมริกัน  เขาเป็นชาวสก็อตโดยกำเนิด เคยรับราชการทหารในกองทัพเรือ หลังจากนั้นทำงานจิปาถะ รวมทั้งการเป็นนายแบบให้พวกอาร์ทิสต์ ช่วงอายุ  18ปี เริ่มเล่นกล้ามเพาะกายเป็นชายงาม  เข้าประกวด Mister Universe ได้ที่ 3

เริ่มการแสดงด้วยการเป็นตัวประกอบในละครเพลงเรื่อง South Pacific  เริ่มแสดงภาพยนตร์ ได้แสดงเป็นตัวเอกครั้งแรกจากภาพยนตร์ของ Walt Disney เรื่อง Darby O’Gill and the little people ในปี 1959
3  ปีต่อมา ฌอมก้าวเข้าสู้บทสายลับ 007 ที่ทำให้โด่งดังเป็นพลุไปทั่วโลก  เล่นอยู่ยาวนานเกือบ 10 ปีจนเบื่อ จึงจากไปรับบทอื่น แล้วกลับมารับบทนี้ ในปี  1983  ตอน  Never say never again แล้วเลิกโดยเด็ดขาด

จากนั้น ฌอนพิสูจน์ฝีมือว่าเล่นบทยากๆในหนังดังหลายเรื่องได้  The man who would be king, Robin and Marion, Murder on the Orient Express, The hunt of the Red October, The name of the rose (BAFTA award), Highlander, The Untouchables จนได้รางวัลออสการ์ นักแดงประกอบ และ Golden globe ), Indiana Jones and the Crusade, The rock, Entrapment, Medicine man

Times เคยเลือกให้เป็นผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดขณะอาย 60   ปี ยังหล่ออยู่จนอายุ  ๘๐ ปี

https://www.youtube.com/watch?v=wR52ucBmMj0

https://www.youtube.com/watch?v=Ta7PkOaB73E

บทที่หาดูยาก ในหนัง เรื่อง  Darby O'Gill and the Little People ของวอล์ท ดิสนีย์ในปี 1959
ที่ฌอนก้าวขึ้นเป็นพระเอกเรื่องแรก  ก่อนจะมารับบทเจมส์ บอนด์

https://www.youtube.com/watch?v=eTwmjOySDjA

คำที่กลายมาเป็น signature ของเขาคือ  Bond,James Bond

https://www.youtube.com/watch?v=JVJzByu8RV8

https://www.youtube.com/watch?v=fCmR1Ojrvck

             
         เคยสืบสวนวาดลวดลายยอดสายลับ           ติดอันดับยอดชายหมายเลขหนึ่ง

ภาพเก่าก่อนย้อนเวลายังตราตรึง                        ยังคิดถึงยังจดจำเป็นตำนาน

(beartai.com)

เจมส์ บอนด์ยุคหลัง  เพียส บรอสแสน กล่าวเชิดชูเกียรติฌอน คอนเนอรี่

https://www.youtube.com/watch?v=sHWXxahujWA

         นอกจากฝากผลงานที่เป็นตำนานไว้ในแผ่นฟิล์มแล้ว คุณทวดยังมีผลงานเพลงเท่โดนใจใครต่อใครที่ได้ฟัง
         ในอัลบั้มรวมเพลงของวง The Beatles เพื่ออุทิศแด่โพรดิวเซอร์ George Martin ผู้ได้รับสมญาว่า
บีทเทิลส์ คนที่ 5 (- the "Fifth Beatle")

         คุณทวดอ่านเนื้อเพลง In My Life โดยมีเสียงดนตรีเรียบเรียงโดย George Martin ประกอบ
         ด้วยน้ำเสียงสะกดอารมณ์คนฟังให้เคลิบคล้อยตาม และในยามนี้ที่คุณทวดได้จากไป เมื่อกลับมาฟังรอบใหม่
จึงยิ่งได้อารมณ์เข้มข้นทวี

https://www.youtube.com/watch?v=eJ4LJE9PktY&feature=emb_logo

เมื่อคุณทวดได้เป็นอัศวิน    โปรดสังเกตว่าแต่งกายด้วย kilt  (กระโปรงแบบผู้ชายสก๊อตสวมกัน) ตามเชื้อชาติเดิมของคุณทวด

https://www.youtube.com/watch?v=Bk6GTUGXzmA

โควิดพาดาวดวงเล็กในอดีตดวงหนึ่งจากไปพร้อมกับสิ้นปี 2020 เธอชื่อ Dawn Wells  เคยแสดงในหนังชุดทางทีวีระหว่างพ.ศ. 1964-1967   ชื่อ Gilligan's Island  เคยเข้ามาฉายในไทยด้วย   เป็นหนังตลกที่ดังมากชุดหนึ่ง
เนื้อเรื่องคือคนกลุ่มหนึ่งรวม 7 คนนั่งเรือชมทะเลในทริปสั้นแค่ 3 ชม.    แต่เจอพายุหนัก ซัดพวกเขาไปติดเกาะแห่งหนึ่งซึ่งอุดมสมบูรณ์ดี หากร้างผู้คน   พวกเขาต้องติดอยู่บนนั้น ผจญภัยอะไรแปลกๆอยู่ทุกตอน
เรื่องนี้ถ่ายทำอยู่ได้ 3 ปีก็ถูกปลด  แต่เมื่อรีรันกลับเป็นที่นิยมกันมาก   จนดาราในเรื่องดังไปตามๆกัน

ดอว์น เวลส์ เป็นหนึ่งในสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่   ห้าคนล่วงลับไปสู่โลกหน้ากันหมดแล้ว  บัดนี้ก็เหลือดาราสาวคนสุดท้ายอีกคนเดียวชื่อ ทิน่า หลุยส์

https://www.youtube.com/watch?v=Q8jhb5NnADM

ดอว์นเล่นเป็นน้องนางบ้านนาชื่อแมรี่ แอนน์   

https://www.youtube.com/watch?v=iGQRW7Fxfk4

ดอว์น เวลส์ในวัย 82  ปี  เสียชีวิตในลอสแอนเจลิส    สาเหตุสืบเนื่องมาจากโควิด 19
อ่านประวัติได้ที่นี่ค่ะ
https://variety.com/2020/tv/news/dawn-wells-dead-gilligans-island-mary-ann-1234876755/

ข้อมูลที่พบระบุว่า ชื่อไทย - เกาะหรรษา ฉายทุกวันจันทร์เวลาทุ่มตรง ช่อง 4 บางขุนพรหม

โควิด 19  เป็นต้นเหตุการลับฟ้าของดาวดวงสวยในอดีตอีก 1 ดวง   เธอเป็นนางเอกหนังสยองขวัญของอังกฤษในยุค 1950s-1960s  ชื่อ  Barbara Shelley   
บาร์บารามีสมญาว่า "ราชินีกรี๊ด"(Queen of Screams)  เพราะต้องใช้เสียงกรีดร้องโหยหวนอยู่ตลอดเรื่อง แทบจะมากกว่าบทพูดเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นเช่น The Camp on Blood Island (1958) and Blood of the Vampire (1958),Village of the Damned (1960), The Shadow of the Cat (1961), The Gorgon (1964), The Secret of Blood Island (1965), Dracula: Prince of Darkness (1966), Rasputin: The Mad Monk (1966) และ Quatermass and the Pit (1967)
อ่านชื่อหนังก็คงพอเข้าใจว่าทำไมต้องกรีดร้องกันสนั่นจอขนาดนั้น

เมื่อวัยเริ่มมากขึ้น ไม่เหมาะจะเป็นนางเอกหนังสยองขวัญเหมือนเดิม  บาร์บาราก็หันมาสู่วงการทีวีอังกฤษ    เล่นหนังชุดทางทีวีได้หลายบทบาท  รวมทั้งเล่นละครเวทีให้  Royal Shakespeare Company ในช่วง 1975 ถึง 1977  
เธอเล่นหนังจอใหญ่  และทีวีรวมกันแล้วกว่า 100 เรื่อง  จนเกษียณตัวเอง  อำลาวงการไปเมื่อปี 1992  

บาร์บาราติดเชื้อโควิดเมื่อเดือนธันวาคมปี 2020   ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล   พอเริ่มฟื้นตัวก็ติดเชื้ออีกตัวหนึ่งจนเสียชีวิตเม่ือวันที่ 4 มกราคม  2021 นี้เอง   อายุ  88 ย่าง 89 ปี

ตัวอย่างจากเรื่อง The Gorgon

https://www.youtube.com/watch?v=UeQTmGt-7wE

https://www.youtube.com/watch?v=1x-uc3gkZhg

https://www.youtube.com/watch?v=wWnQZ3Y5qqI

             วานนี้ ได้รับข่าวแชร์มาว่า Tanya Roberts นักแสดงสาวสวย ได้เสียชีวิตแล้วหลังจาก
หมดสติที่บ้านของเธอและได้รับการนำส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาล Cedars-Sinai แคลิฟอร์เนีย ทว่า
เมื่อเช็คข่าวดู,พบว่า เธอยังไม่จากไป แต่ อยู่ในสภาวะวิกฤต
             วันนี้ ในที่สุดเว็บนสพ.ต่างๆ จึงได้ลงข่าว การจากไป(จริง)ของเธอ

ภาพจากตอนเป็น Bond girl คู่กับปู่ Roger Moore (ที่วัยต่างห่างกันมาก เขาว่า เหตุผลหนึ่งที่ปู่ตัดสินใจ
อำลาบทบอนด์ ก็เพราะไม่อยากแสดงบทรักกับนักแสดงสาวคราวลูก)

            คุณป้า เป็นนักแสดงสาวสวย เซ็กซี่ มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ช่วงหนึ่ง นอกจากบทสาวบอนด์แล้ว
บทบาทเด่นในความทรงจำคือ Sheena: Queen of the Jungle ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนสู่จอเงิน
และ หนึ่งในสามสาว นางฟ้าชาร์ลี ชุดสุดท้าย ทางจอแก้ว

น่าเสียดาย อายุ 65 เท่านั้นเองค่ะ   ยังดูแข็งแรง ไม่น่าจากไปเร็วเลย

https://www.youtube.com/watch?v=8T5uerbHAIM

https://www.youtube.com/watch?v=I-ThPYF0FAE&list=PLq1NXX0Df7NeJCHPn0phJ7qYX8yv8zE5F&index=5

https://www.youtube.com/watch?v=DxE5Jp6arrA

และแล้ว โควิดก็สอยดาวดวงเล็กอีกดวงหนึ่งไปจนได้ 

John Richardson  เป็นอดีตดาราหนุ่มรูปหล่อ   มีผลงานในช่วงปลาย 1950s จนกระทั่งถึงยุค 1990s   
แต่แฟนหนังไทยอาจไม่ค่อยรู้จักเพราะเขาเป็นดาราอเมริกันที่ไปเล่่นหนังอิตาเลียนอยู่หลายเรื่อง
ปัจจุบันอำลาวงการไปนานแล้ว
เขาจากไปในวัย 86 ปี

จอห์นเคยเล่นหนังดังหลายเรื่อง เป็นพระเอกเรื่อง She  หรือคอนิยายไทยรู้จักในชื่อ "สาวสองพันปี" ของเอช ไรเดอร์ แฮกการ์ด คู่กับ Ursula Andress นางเอกเจมส์ บอนด์ 
 

สาวสองพันปี

https://www.youtube.com/watch?v=mqD7pkVyoOw

อีกเรื่องคือ One Million Years BC  ปี 1966  จอห์นได้เล่นคู่กับดาราสาวสุดเซกซี่แห่งยุคอีกคน คือราเควล เวลช์

https://www.youtube.com/watch?v=gSYmJur0Npw&list=PLyKOPZYsorVlInxoLRNcS1jIgT7wIP6H7

สัตว์โลกล้านปีในหนังเรื่องนี้  บางตัวน่ารักเหมือนออกมาจากดิสนีย์แลนด์

https://www.youtube.com/watch?v=c1AQZopGG44&list=PLyKOPZYsorVlInxoLRNcS1jIgT7wIP6H7&index=2

โอ้ กาลเวลา, เคยรำลึกถึงปู่เมื่อนานมาแล้ว

คุณปู่จอห์นเคย "เกือบ" ดัง มาแล้วเมื่ออยู่ในข่ายจะได้รับคัดเลือกเป็นเจมส์ บอนดฺ์  แต่พลาดไป บทไปตกที่จอร์จ ลาเซนบี
แต่จอร์จก็ไม่ดัง เล่นเรื่องเดียวแล้วหายไปเลย
ในรูปนี้คือดารารูปหล่อหลายคนที่ได้รับการแคสเป็นสายลับ 007   จอห์นคือคนซ้ายสุดแถวล่าง  ส่วนคนที่ได้บทไปคือคนขวาล่าง

          กระแสถอดถอนประธานาธิบ่ดีทรัมป์ ลามถึงฉากหนึ่งในหนัง Home Alone 2: Lost in New York
ที่มีทรัมป์ปรากฏตัวชั่วขณะหนึ่งในฉากซึ่งถ่ายทำที่ Plaza Hotel ของทรัมป์ในยามนั้น
          Macaulay Culkin หนูน้อยโดดเดี่ยวผู้น่ารัก พลัดหลงจากครอบครัวแล้วได้มาพบและถามทางไปล็อบบี้
จากทรัมป์

https://www.youtube.com/watch?v=r1WngHOFYVQ

          ทวิตชนแห่งทวิตภพเสนอให้ถอดฉากนี้ออกจากหนัง หรือใช้ซีจีดัดแปลง หรือเปลี่ยนตัวทรัมป์เป็นคัลกิ้น
ในวัยปัจจุบัน โดยมีคัลกิ้นแสดงความเห็นชอบด้วย

          ผกก. Chris Columbus เล่าถึงฉากนี้ว่า นอกจากจะจ่ายค่าเช่าสถานที่แล้ว,ทรัมป์ยัง did bully his way
into the movie. โดยยื่นข้อเสนอว่า 'The only way you can use the Plaza is if I'm in the movie.'
          เมื่อภาพยนตร์ออกฉายเป็นครั้งแรก, ปรากฏว่า ฉากนี้เป็นที่ฮือฮาถูกใจผู้ชม ผกก.จึงบอกผู้ลำดับภาพให้เก็บ
ฉากนี้ไว้,ไม่ตัดออก

ดาวฤกษ์ระดับตุ๊กตาทอง ล่วงลับดับฟ้าไปในวัย 94 ปี  เธอชื่อ Cloris Leachman  คอหนังและคอหนังชุดทางทีวีในยุค 1970s น่าจะจำได้
เธอเป็นนักแสดงในความหมายเต็มร้อย   เล่นได้ทุกบทบาทตั้งแต่บทตลก บทชีวิต บทสยองขวัญ  จนได้ตุ๊กตาทองตัวประกอบหญิงไปในหนังเรื่อง The Last Picture Show ปี 1971

https://www.youtube.com/watch?v=O_sPS9qIZps

ผู้หญิงรุ่นเดียวกันเป็นย่าเป็นทวดกันหมดแล้ว   คุณย่าคลอริสก็ยังใจถึง สุขภาพถึง  ไปออกรายการ Dancing with the Stars โชว์ลีลาซาลซ่ากับหนุ่มคราวหลานได้จนจบเพลง

https://www.youtube.com/watch?v=diMiSLjDhCA

https://www.youtube.com/watch?v=m6bQh1lCRPk

บทที่ทำให้เธอได้ตุ๊กตาทอง

https://www.youtube.com/watch?v=5ggTlZOq3AQ

คลอริสเล่นบทตลกในหนังตลกสยองขวัญ  "Young Frankenstein"

https://www.youtube.com/watch?v=Ty55iPKIqhI

             เคยได้ยินชื่อคุณย่า,นานมากแล้ว,ตอนเป็นข่าวได้ออสการ์ แต่แทบไม่เคยเห็นบทบาทของคุณย่า
บนจอ แม้แต่ในหนังที่ได้ดูซึ่งมีคุณย่าร่วมแสดงด้วยเรื่อง Butch Cassidy and the Sundance Kid
ก็ไม่มีภาพจำของคุณย่าเลย ข่าวว่าคุณย่าไปแบบสบายเพราะหลับไปแล้วไม่ตื่น

             อีกหนึ่งคุณย่าที่เพิ่งจากไปคือ Cicely Tyson (1924 – January 28, 2021) นักแสดงผิวสี
รุ่นบุกเบิกช่วงต้นทศวรรษ 1970s เคยได้ยินชื่อตอนที่คุณย่าได้ชิงออสการ์นักแสดงนำหญิง
             ต่อมาจึงได้ชมบทบาทของคุณย่าทางจอแก้วในซีรี่ส์สุดฮิทระดับตำนานข้ามศตวรรษอย่าง “Roots”
(ปี 1977) ที่คุณย่ารับบทเป็นแม่ของ Kunta Kinte

ในช่วงปลายทศวรรษ 1950s ถึงต้น  1960s  ฮอลลีวู้ดทุ่มทุนสร้างหนังใหญ่มหึมา เป็นเรื่องประวัติศาสตร์สมัยโรมันบ้าง  สมัยพระเยซูคริสต์บ้าง   CP  คืออะไรไม่มีใครรู้ พราะยังไม่ถือกำเนิด  หนังใหญ่จึงต้องทุ่มเทสร้างฉากใหญ่จริงๆ
เช่นเรื่อง Ben Hur  ซึ่งกวาดตุ๊กตาทองไป 11 ตัวแบบเหมาเข่ง 

พระเอกของเรื่องชื่อ Charles Heston  หน้าตาโบราณสมกับบทในหนังโบราณ    พอหมดยุคนี้ก็ไม่ค่อยจะมีอะไรให้เล่นนัก    แต่สมัยโน้นเขาเป็นดาราระดับบิ๊กของฮอลลีวู้ด 
ฉากที่ถือว่าคลาสสิคมากคือฉากแข่งรถม้าแบบโรมันที่เฆี่ยนกันเอาเป็นเอาตาย ระหว่างพระเอกกับฝ่ายร้ายของเรื่อง  บัดนี้ก็ขึ้นไปถ่ายฉากใหม่กันบนสวรรค์มานานปีแล้วทั้งสองคน

https://www.youtube.com/watch?v=k6TUgccyzNs

https://www.youtube.com/watch?v=frE9rXnaHpE&t=31s

ท่ามกลางดาราอเมริกันเล่นบทเป็นชาวโรมันโบราณ   ผู้กำกับจ้างดาราสาวชาวอิสราเอลมาเล่นบทนางเอกในหนังฮอลลีวู้ดเป็นครั้งแรก   เธอก็เลยดังระเบิดจากบทนี้
Haya Harareet ได้เล่นหนังอีกหลายเรื่อง  ก่อนจะแต่งงานกับผู้กำกับหนังชาวอังกฤษ แล้วค่อยๆจางหายไปจากแวดวงของฮอลลีวู้ด
เธอเพิ่งจากไปในวัย 89 ปี
https://www.youtube.com/watch?v=HKcYXelC3p8

https://www.youtube.com/watch?v=lNR4FadRM3k&feature=emb_logo

ดาวฤกษ์ดวงใหญ่ของฮอลลีวู้ดดับแสงไปอีกดวง ในวัย 91 ปี   Christopher Plummer  พระเอกของหนังอมตะ The Sound of Music (1965)

https://www.youtube.com/watch?v=PBwlAvbrypQ

ฉากเปิดตัวครอบครัวฟอนแทร็ปป์  ที่คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ และดาราเด็กๆ เรียกหัวใจคนดูได้ทั้งโลก

https://www.youtube.com/watch?v=LJTRZI2HThU

คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ สร้างวิญญาณให้กัปตันฟอนแทร็ปป์จอมเฮี้ยบได้มีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนดูทั้งโลก
บทจะเป็นพ่อที่อ่อนโยน เต็มไปด้วยวิญญาณศิลปิน เขาก็ทำได้เนียนมาก
https://www.youtube.com/watch?v=obEm1Mqm7C0

บทแรกรักกับสาวน้อยมาเรีย   คริสโตเฟอร์ก็เล่นได้โดยไม่ต้องพูดคำว่า "รัก" สักคำ  แค่มองกันก็รู้ใจ

https://www.youtube.com/watch?v=dUFBOC6lQoo

             เพิ่งเริ่มปีใหม่ไม่นาน ดาวดวงเก่าทยอยลับจากฟากฟ้าไปทีละดวงๆ ทำให้ใจหายจนตามเก็บแทบจะไม่ทัน
ล่าสุด คือ ดาวดวงใหญ่สุกสว่างอย่าง
             คุณปู่ Christopher Plummer วัย 91 ปี  ผู้รับบทอมตะประทับใจคอหนังทั่วโลก เป็น Captain von Trapp
(with seven children) ในหนังเพลงอมตะนิรันดร The Sound of Music

ฉากพี้คตะลึงอึ้งตรึงใจ - I go to the hill when my heart is lonely

https://www.youtube.com/watch?v=HHmt-A2mEyk

           คุณปู่เกิดที่แคนาดา มาจากวงการละครเวทีก่อนที่จะข้ามมาจอเงิน มีผลงานมากมายตั้งแต่หนุ่มจนอาวุโส
           นอกจากรางวัลทางการละครแล้วในที่สุดคุณปู่ก็ได้รับรางวัล Oscar ในปี 2012 ทำให้เป็นเจ้าของสถิติ
นักแสดงสมทบที่มีอายุมากที่สุดที่ได้รับรางวัลออสการ์(จากเรื่อง Beginners)

หนึ่งในหลายฉากประทับใจจาก
           มนต์รักเพลงสวรรค์, A Beautiful Mind , คุณปู่ให้เสียงใน Up และ บนเวทีประกาศรางวัลออสการ์

มีข่าวว่ามรณกรรมของคุณปู่เกิดจากล้ม หัวกระแทกพื้น   
น่าเสียดาย  ถ้าไม่ล้มคงอยู่ต่อไปได้อีกหลายปีนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=I0fQsBmx1QM

หรือ บนสวรรค์ก็มีสตูดิโอ,

                  วันนี้ ดาวลับฟ้าไปอีกหนึ่ง, นั้นคือ คุณปู่ Mike Henry อดีตนักกีฬาเมกันฟุตบอลที่ผันมา
รับบทเจ้าป่า ทาร์ซานยุค 1960s

              อีกผลงานสร้างชื่อ คือ บทสมทบใน Smokey and the Bandit เป็นคู่ฮาพ่อลูก
              คุณปู่ป่วยด้วยโรค Parkinson's (disease) และจากไปด้วยโรคแทรกซ้อนเมื่อมีอายุได้
84 ปี

จำอะไรเกี่ยวกับคุณปู่ไมค์ไม่ได้เลยค่ะ    อาจเป็นเพราะเขาเล่นบททาร์ซานเมื่อดิฉันโตเกินกว่าจะสนุกกับเจ้าป่าที่อยู่ในป่ามาตั้งแต่เกิด  แต่รู้จักโกนหนวดเคราสะอาดสะอ้าน  ผมสระและซอยทันสมัย 
แต่ไปย้อนดูหนังคุณปู่อีกครั้ง    ทาร์ซานที่เขาเล่น โชว์ซิกแพคล้วนๆ

https://www.youtube.com/watch?v=sqOFvRu26MU

อีกเรื่องที่คุณปู่ไมค์เล่น มีดาราดังแสดงเพียบ 

https://www.youtube.com/watch?v=Tlo4Ufbh9pA

เมื่ออายุมากขึ้น คุณปู่ก็ผันตัวเองไปอยู่หลังกล้อง แต่ถ้ามีบทให้เล่นก็เล่น  จนอำลาจอไปด้วยปัญหาสุขภาพ

จากเพจ Thaitv2

วันนี้ เวลา 08:23 น.  ·
วงการบันเทิงสุดอาลัย ‘ไพโรจน์ ใจสิงห์’ ดาราอาวุโสเสียชีวิตแล้ว หลังป่วยมานาน

22 กุมภาพันธ์ 2564 วงการบันเทิงสูญเสีย ไพโรจน์ ใจสิงห์ นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ จากไปอย่างสงบเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา หลังจากที่เจ็บป่วยและต้องเข้ารับการรักษามาระยะหนึ่งซึ่งมีภรรยาคอยดูแลไม่ห่าง

ล่าสุด ปู ปริศนา กล่ำพินิจ นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โพสต์ภาพอาลัย ไพโรจน์ ใจสิงห์ พร้อมข้อความสุดอาลัยการจากไปในวัย 78 ปีของดาราอาวุโสด้วยว่า

“ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปเมื่อเช้ามืดวันนี้ ของอาโรจน์ “ไพโรจน์ ใจสิงห์” หลับให้สบายนะคะอา ปูขอให้ดวงวิญญาณของอาไปสู่สุคติภพอันสงบสุข ด้วยความอาลัยรักค่ะ”

สำหรับอาไพโรจน์ ใจสิงห์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2486 ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เคยเป็นครูที่โรงเรียนสารวิทยา และโรงเรียนอำนวยศิลป์พระนครมาหลายปี ระหว่างสอนหนังสือก็ได้หารายได้พิเศษเล่นดนตรีตอนกลางคืน เข้าสู่วงการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2514 โดยรับบทพระเอกจากเรื่อง ดวง ของ เปี๊ยก โปสเตอร์ คู่กับ วนิดา อมาตยกุล และ สังข์ทอง สีใส เป็นตัวประกอบ

https://www.youtube.com/watch?v=yMuX93MVnKo

      ยังจำได้ เหมือนไม่นาน เหมือนวานนี้         ดาวดวงนี้ มากับ"ดวง" โชติช่วงไสว

แล้วค่อยหรี่ แสงสลัว มัวลงไป                      อายุขัย สิ้นลงลับ ดับแสงดาว

ดาราอาวุโสดวงหนึ่งของฮอลลีวู้ดลับฟ้าไปในวัยสุกงอม 87 ปี
ไม่รู้ว่าชื่อ George Segal คุ้นหูคนไทยหรือเปล่านะคะ   ดิฉันเคยได้ยิน จำหน้าได้ แต่จำรายละเอียดไม่ได้
นอกจากว่าเคยได้รางวัลลูกโลกทองมา 2  ครั้ง

https://www.youtube.com/watch?v=8GrgwUMI8jk

คุณปู่ได้รับเสนอชื่อชิงตุ๊กตาทองตัวประกอบชาย จากเรื่องนี้    Who's Afraid of Virginia Woolf?

https://www.youtube.com/watch?v=XWgIOb_U2Hc

เคยเรียนเรื่องนี้ในระดับปริญญาตรี ในวิชาการละคร กับอาจารย์สดใส วาณิชวัฒนา  เป็นละครพูด 3 องก์จบ แต่งโดยEdward Albee 
เป็นเรื่องดัง ได้รับรางวัลละครดีเด่น   Tony Award  และ New York Drama Critics' Circle Award  เมื่อทำเป็นหนังที่คุณปู่เล่นประกอบก็ได้ดารายักษ์ใหญ่อย่างลิซ เทเลอร์และริชาร์ด เบอร์ตันมาแสดงเป็นคู่สามีวัยกลางคน ชื่อจอร์จและมาร์ธา ที่ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่รู้จักจบต่อหน้าแขก
เรื่องนี้มีความลึกและซับซ้อนทางด้านจิตวิทยา ซึ่งเป็นที่นิยมกันสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2   ผสมกับการใช้สัญลักษณ์อยู่ตลอดเรื่อง (ซึ่งก็เป็นที่นิยมกันอีกนั่นละค่ะ)  แต่สำหรับผู้เรียนอายุน้อยๆซึ่งยังไม่รู้จักทั้งชีวิตสมรส   ปัญหาของผัวเมียวัยกลางคน  รวมทั้งไม่รู้จักจิตวิทยาอปกติ (Abnormal Psychology) การทำความเข้าใจกับละครเรื่องนี้เป็นความทรมานที่ฝังใจมาจนบัดนี้   เลยทำให้จำเรื่องได้ไม่ลืมค่ะ   

คุ้นหน้าตากับดาราสาวสวยในอดีตคนนี้มาก   Jessica Walter   แต่นึกไม่ออกว่าเธอแสดงหนังทีวี เรื่องอะไรบ้าง
คุณย่าอำลาไปแล้วในวัย 80 ปี  เป็นดารามากฝีมือคนหนึ่งในวงการโทรทัศน์

https://www.youtube.com/watch?v=tS1rcWPLFtY

             ดาวดวงใหญ่ทยอยลับหายจากฟากฟ้าในเวลาใกล้ๆ กัน จนอาลัยแทบไม่ทัน

         ปู่ จอร์จ ช่วงหนึ่งมีหนังเข้าฉายในบ้านเราหลายเรื่อง ที่จำได้คือ The Owl and the Pussycat - พ่อฮูกกับลูกแมว
(จากละครเวที) คู่กับป้าบาร์บ, The Hot Rock  และ ที่พี้ค คือ
         A Touch of Touch(1973) คู่กับย่าเกลนด้า(Glenda Jackson) ยอดฝีมือจากฝั่งอังกฤษ ที่คว้าออสการ์ตัวที่สอง
ไปครองจากบทบาทในเรื่องนี้ ส่วนปู่ได้รางวัลลูกโลกทองคำ นักแสดงนำชายสาขาภาพยนตร์เพลงหรือชวนหัว
         หนังสนุกด้วยเคมีที่เข้ากันได้ดีเยี่ยมของสองนักแสดงนำ ชื่อไทยเหมือนจะตั้งว่า ฝนหยดสุดท้าย อิงเพลงฝนหยาดสุดท้าย
และเพราะทั้งสองแรกเจอกันวันฝนตก
         โบนัสเซอร์ไพร้ส์ท้ายเรื่อง มี Stuart Damon จากทีวีซีรี่ส์ฮิท The Champions รับเชิญมาปรากฏพร้อมบทเล็กน้อยด้วย

            ส่วนย่า เจสสิก้า(Jessica Walter) เคยดูผลงานเมื่อนานโขจนลืมไปแล้ว ในเรื่อง Play Misty for Me
รับบทนำเป็นแฟนคลับคลั่งดีเจ ซึ่งรับบทโดยปู่คลิ้นท์ อีสท์วู้ด ที่เปลี่ยนอาชีพเดิม - cowboy ลงจากอานม้ามานั่ง
เปิดเพลง(เป็น disc jockey)
           เธอชอบโทรมาขอเพลง "Play Misty for Me"  เป็นประจำยามค่ำคืน

Play Misty for Me

https://www.youtube.com/watch?v=Vp8iXNAG9cc&list=PLKWu3sVLJrlQ19ow4_Yx_0--AUlJXu6eP

เรื่องนี้พระเอกกำกับเอง    เริ่มต้นให้สีสันบรรยากาศราวกับเรื่องรักชวนฝัน   แต่ก็แบบเดียวกับหนังสยองขวัญทั้งหลาย คือกลายเป็นฝันร้ายเอาง่ายๆ

https://www.youtube.com/watch?v=Ma8FlRoGOwg

มาสายไปนิดครับ ขอมาร่วมไว้อาลัยแด่คุณลุงคริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ด้วยครับ ได้ดูหนังของท่านเรื่องสำคัญคือ The Sound of Music ซึ่ง อ เทาชมพูได้กล่าวถึงไปแล้ว แต่ความประทับใจของผมเกี่ยวกับท่านก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือ Somewhere in Time เรื่องนี้แม้จะเป็นหนังเล็กๆแต่คุณลุงแสดงเป็นตัวร้ายของเรื่องเพียงคนเดียวแสดงได้ดีมากครับ ในคลิปนี้ตอนนางเอก เจนซีมัวร์ บอกว่าตัวเองหลงรักพระเอก คุณลุงซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนางเอกถึงกับหน้าถอดสี กิริยาท่าทางแสดงออกมาได้พอดีๆว่าคาดไม่ถึง ความรู้สึกผิดหวังแสดงออกมาทางแววตาได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือฝีมือนักแสดงชั้นครูจริงๆครับ

https://www.youtube.com/watch?v=VguWL33VZKw

ที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ คุณลุงแกเรียนเปียโนมาเพื่อที่จะเป็นนักเปียโนอาชีพแต่กลายเป็นนักแสดงชื่อดังซะก่อน  ในคลิปนี้ขนาดสูงวัยแล้วยังเล่นเปียโนได้เฟี้ยวฟ้าวมาก น่าจะเล่นบางส่วนของ Piano no.2 แของ Rachmaninoff

https://www.youtube.com/watch?v=Y2L4zHLHuKM

อีกคลิปนึงเห็นบอกว่ามาจากช่วงเวลาที่อยู่ใน Salzburg เดาว่าคงเป็นช่วงเวลาที่ถ่ายทำ The Sound of Music
ผมเคยอ่านจากที่ไหนสักแห่ง Charrmian Carr ที่แสดงเป็นลูกสาวคนโตของกัปตันฟอนแทรปป์ ถึงกับแอบหลงรัก เพราะไม่แค่หล่อเท่ห์เท่านั้น
ว่างจากการถ่ายทำแกชอบมาเล่นเปียโนในล๊อบบี้ของโรงแรม ทำให้สาวๆกรี๊ด

https://www.youtube.com/watch?v=VjadTCRZFOg

ผมเพิ่งเข้ามา  และไม่สามารถสำรวจไหวว่า  คุยอะไรกันไปบ้าง  ขออนุญาตลุยไปเลยนะครับ

ทันเวลาพอดีกับข่าว ลุง C.Plummer ตาย  ไม่ทราบได้รับข่าวแล้วยังว่า  แม่หนูลูกสาวคนโตที่ตอนเล่นหนังกันแอบหลงรักลุง  คนที่ชื่อ Charmian Carr  ก็ตายแล้วเช่นกันเมื่อปี 2016 อายุ 73 ปี

นานมาแล้วดูรายการ Oprah เธอรำลึกถึงหนัง Sound of music  พร้อมเชิญดารามากันครบทีม  ช่วงนั้นรู้สึกจะครบรอบการฉายปีที่เท่าไรก็จำไม่ได้  น่าจะ 50 ปี   J.Andrews ได้รับเชิญไปเล่าความหลังในรายรายการ talk show มากมาย  เท่าที่ดู  ของ Oprah สนุกที่สุด

https://www.youtube.com/watch?v=pg0ex72yHi4

หนัง Play misty of me  ให้กำเนิดเพลงดังค้างฟ้า  จนป่านนี้ยังค้างอยู่เลยครับ

The first time ever I saw your face ร้องโดย Roberta Flack

https://www.youtube.com/watch?v=ELbuV_MFNTw

ผมชอบอ่านหนังสือ (ยกเว้นหนังสือเรียน) มาตั้งแต่เด็ก ๆ  แล้วก็รับรู้เรื่องการฆาตกรรมโหดของ Charles Manson (MS - 1971)  มานานแล้ว

(http://image.free.in.th/v/2013/iu/210420020839.jpg) (http://picture.in.th/id/96967909db7a6b511b99c84602aee6d9)

เมื่อปี 2019 มีหนังดังเรื่อง Once upon time in Hollywood ออกฉาย  และพอรู้คร่าว ๆ ว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่ว่านี้  ผมก็ตั้งใจรอดูเพราะไม่เคยมีใครเอาเรื่องราวนี้มาตีแผ่แบบหนังการค้า  มีก็เป็นรูปสารคดี

จนกระทั่งผู้มีเมตตาเอามาโหลดลงเครื่องคอมพ์ ให้เราเอาไปนอนดู  หนังยาว 2 ชม. 40 นาที  ผมดูแบบพิจารณา  การดูทางเครื่องคอมพ์ดีอย่างตรงที่  สามารถดูย้อนกลับไปกลับมาได้  สรุปแล้ว  ผมใช้เวลาดู 3 วัน ๆ ละ 50 นาที  พอหนังจบถ้าเป็นฝรั่งก็ต้องตบมือเป่าปาก  มันสนุกสุดขีด

เป็นเพราะผมรู้เบื้องหลังของเหตุการณ์กับตัวละครต่าง ๆ ที่ ผกก. Quentin Tarantino (QT) เอามาแผ่ในเรื่อง  เนื่องจากทุกเหตุการณ์และทุกตัวละครหลักต่าง ๆ ล้วนมีจริงเกิดขึ้นจริงทั้งนั้น (นอกจากตัวละครของ 2 ตัวนำ Leonardo diCaprio (LC) กับ Brad Pitt (BP) ในเรื่องนี้ BP เท่สุดขีด  สมกับรางวัล Oscar)

ยกเว้นเหตุการณ์เดียวที่ QT เอามายำใหม่ให้บิดเบือนไปจากความจริง  คือเหตุการณ์ในตอน climax ของเรื่อง  อันเป็นคืนที่ทุกคนในวงการบันเทิงไม่มีทางลืม  เพราะมันเป็นการฆาตกรรมที่โหดสุดขั้ว  ของ 4 ชีวิต  ที่ประกอบด้วย Sharon Tate (ST) ดารากำลังดังที่กำลังท้องแก่  และเป็นเมียของผู้กำกับ Roman Polanski (RP)  กับ Jay Sebring ช่างทำผมดาราอดีตผัว ST

(http://image.free.in.th/v/2013/iv/210420021003.jpg) (http://picture.in.th/id/dfe3f7d25ba1583abaeb94235c4ca910)


มี Abigail Folger (AF - ทายาทมหาเศรษฐีนักสังคมสงเคราะห์) แล้วก็ Wojciech Frykowski (เพื่อน RP และแฟนของ AF)

(http://image.free.in.th/v/2013/ij/210420015042.jpg) (http://picture.in.th/id/ce5f230b8fd74b484162c3850a14d87f)

(http://image.free.in.th/v/2013/ij/210420015102.jpg) (http://picture.in.th/id/a414091d6534312e22d890047b706759)


รวม 4 คนโดนฆ่าตายเกลี้ยง

ในหนัง ผกก. QT เอามายำใหม่ให้กลายเป็นหนังเบา ๆ พร้อมจบแบบ happy ending  ผมไม่เล่าว่าจบอย่างไร  

จากเหตุการณ์จริงนี้ ST กลายเป็นตำนานของวงการบันเทิง  โดยยังไม่รู้ว่ามีฝีมือในการแสดงแค่ไหนเพราะเธอเพิ่งเข้ามา

ส่วน ผกก. RP ช่วงเวลาที่เธอดังสุดขีดอยู่ที่หนังผีไซโค Rosemary's baby  ก่อนจะไปอื้อฉาวกับเหตุข่มขืน ดญ. อายุ 13  แล้วเผ่นหนีก่อนคดีสิ้นสุดในปี 1978  เลยโดนแบนห้ามเข้าอเมริกาตลอดชีวิต  ตอนเธอได้ Oscar จากเรื่อง The pianist ก็มาร่วมไม่ได้  ไม่งั้นโดนจับ

คงคุ้นชื่อ Nastassja kinski (NK) ดาราเยอรมัน  RP นี่และปั้นขึ้นมาจนเป็นดาราอินเตอร์ (ช่วงที่ลี้ภัยและคงเสร็จเฒ่าหัวงูไปแล้ว) จากบทนำในเรื่อง Tess

(http://image.free.in.th/v/2013/iw/210420015418.jpg) (http://picture.in.th/id/0b45a218359894957d93f2900ccdf39c)


ในหนังที่ว่านี้มีฉากที่ ST ซื้อหนังสือ Tess ให้ RP อ่านแล้วสะกิดให้สร้างโดยให้เธอเป็นดารานำ แต่ดันมาถูกฆ่าตายเสียก่อน  RP เลยหันไปปั้นดาราหน้าใหม่ซึ่งก็คือ NK

ในฉาก pool party ของ RP ก็เอ่ยถึงคนดัง ๆ (อันนี้ไม่รู้อยู่ในงานจริงปะ) อย่าง Steve mcqueen (ใช้ดาราหน้าตาคล้ายมาก) พระเอกขบถทำนองเดียวกับรุ่นพี่ James dean  ตอนกำลังดังเธอแต่งงานกับ Ali mcgraw ซึ่งก็ดังสุดขีด จากหนังเขย่าต่อมน้ำตา เรื่อง Love story (ดังทั้งบนเวทีและในโรง) ดังไปทั่วโลกรวมถีงเมืองไทย  มี slogan ที่คนไทยแปลไว้ได้สวยมากว่า 'ถ้าจะรักก็ต้องลืมคำว่าเสียใจ'  ใช้กันเกลื่อน กท.  เพลงนำของเรื่องนี้ก็ดังสนั่นเช่นกัน  คือ (Where do I begin) Love story ร้องโดย Andy Williams

https://www.youtube.com/watch?v=kUrxm4z9I-c


ดาราอีกชุดที่ดังมากแต่ไม่รู้ว่า อยู่ในงาน pool party นี้จริงป่าวก็ Mama cass กับ Michelle phillips ครึ่งหนึ่งของวง pop กระหึ่มชื่อ Mamas and papas ตอนนั้นเพลงนี้ดังทั่วโลกทั้งเมืองไทยด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=N-aK6JnyFmk


Mama cass มีจุดเด่นที่แม้กระทั่งผมซื่งอายุ 10 ขวบก็จำได้คือ อ้วน มาก

ยังมีเหตุการณ์ Bruce lee ที่ไต่เต้ามาจากหนังทีวีหน้ากากแตน (Green hornet) โดยเล่นเป็น sidekick ชื่อ Keto คนขับรถของพระเอก

อย่างที่บอก  ถ้ามี background จะสนุกสุดขีด  ตอนแรกผมนึกว่า ผกก. QT เดินเรื่องตามประวัติศาสตร์  โดยให้ LD กับ BP เป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์  แต่เปล่า  เธอหลอกคนดูจนกระทั่งมาถึงฉาก climax ของเรื่อง  แหม... ขนลุกเลย  หลอกจนถึงวินาทีสุดท้าย  จากเรื่องฆาตกรรมสยองขวัญกลายเป็นเรื่องบันเทิงไป  

https://www.youtube.com/watch?v=ELeMaP8EPAA

ภาพสยองมากค่ะ คุณโหน่ง  ดิฉันไม่รู้จะลบยังไง

ร่วมแจมเรื่องหนังเก่าๆ กับคุณโหน่ง,

           เพลง "แรกพบประสบพักตร์" แรกเริ่มเป็นเพลงโฟล์ค (ได้เคยฟังเวอร์ชั่น Peter,Paul and Mary)
ย่า Flack นำมาร้องใหม่และได้ถูกเลือกมาประกอบหนังของปู่คลิ้นท์(ที่ลงมือกำกับเป็นเรื่องแรก) จนเป็นเพลงโด่งดัง
สร้างชื่อ,รางวัลให้กับคุณย่า
           แต่ เวอร์ชั่นของคุณย่า เมื่อกลับมาฟังในยุคนี้แล้ว เห็นได้ชัดเลยว่า ยื    ด,ช้    า ม า ก เหมือนจะสื่อว่า
เวลาหยุด,โลกหยุด สะดุดรัก ชั่วโมงต้องมนต์ กระมัง

           ไม่ได้ดูหนังรุ่นหลังๆ ของ QT เลย ยิ่งเรื่อง Once upon นี้ มาเข้าโรงตอนโรคระบาด

           ชอบ Sharon Tate จาก Valley of the Dolls บทของเธอแสนเศร้า,จบชีวิตในหนังแบบสวยๆ แต่ในชีวิตจริง...  

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.255

อุ๊ย... ลืมบอก rate  ขออภัยครับ

ร่วมแจมเรื่องหนังเก่าๆ กับคุณโหน่ง,

ขอบคุณที่ให้เกียรติครับ

เป็นเด็กแก่แดด  และเป็นคนเล็กของบ้าน  เวลาผู้ใหญ่ไปไหนก็จะหิ้วไปด้วย  เลยรู้เรื่องเก่า ๆ ค่อนข้างเยอะ  แต่สะเปะสะปะเพราะเป็นความทรงจำของเด็ก  แต่เรื่อง หนัง/เพลง รู้มากเพราะได้ครูดี คือ คุณ Tulip จากหนังสือ Starpics ครับ

เรื่อง Valley of the dolls ออกฉายเมื่อ 1967  หลังผมเกิดได้ไม่นาน  แต่งงว่าทำไมถึงจำบางฉากได้  โดยเฉพาะฉาก Susan Hayward อาละวาด 

แต่ที่จำได้ไม่ลืมคือ เพลงเพราะมาก ผมว่าเพราะกว่า Signature song ของเธอเสียอีก

https://www.youtube.com/watch?v=4NpA3zu-ovA


Barbara Parkins, หลังจากนั้นไม่นานก็มาดังทางทีวีในหนังชุด Peyton Place หรือ เวทีชีวิต  ชุดนั้นดาราดัง ๆ ของยุคทั้งนั้น  ไม่ว่า Mia Farrow, Ryan O'Neal, Dorothy Marlone, Ed Nelson ฯลฯ

ถึงเวลาหนังฉาย  พวกผู้ใหญ่จะมารวมกันอยู่หน้าจอ  นั่งจ้องจอตาไม่กระพริบ

https://www.youtube.com/watch?v=9bUWPSC5NT8


ผมไม่เคยดูชุดทางทีวีนี้  เพราะเวลาฉายเป็นเวลาที่ผม (โดนบังคับให้) เข้านอน

แต่ได้ดู version ต้นแบบ (ทาง IBC) ที่ออกฉายโรงในปี 1957  มี Lana Turner เป็นแม่เหล็ก  ในทีวีรับบทโดย Dorothy Marlone

https://www.youtube.com/watch?v=SpvHuNghD0k

Queen ที่ปกครองอังกฤษมีไม่มาก  มีคนเอาชีวิตไปตีแผ่บนจอหนังกันเกือบหมดแล้ว  ล่าสุดก็ Queen Anne จาก House of Stuart ในหนังเรื่อง The Favourite (2018)  เนื้อหาเป็นแบบที่ฝรั่งเรียกว่า catfight  เพิ่งรู้ว่า Queen เป็น LB

อ. เทาชมพู  ได้ดูแล้วยังครับ  หนังดังมากได้ทั้งเงินและรางวัล  

https://www.youtube.com/watch?v=SYb-wkehT1g

ยังขาดอยู่ Queen เดียว คือ Queen Mary II  พระองค์ตายตั้งแต่ยังสาว (32)  คงไม่มีเรื่องราวเท่าไร  

แต่ Lady Jane Grey มีเรื่องราวเขียนไว้แค่ 8-9 บรรทัด  คนยังเอามาเขียนนิยาย/ทำหนังกันได้เลย

จำบาร์บาร่า พาร์กิ้นส์ได้ค่ะ  เป็นสาวสวยตาคมผมดำ แบบเดียวกับลิซ เทเลอร์    เธอเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงมากในยุค 1960s   แล้วไงไม่รู้   เธอหายจากจอเงินไปเสียเฉยๆ  ไม่เล่นหนัง  ไม่รู้ไปทำอะไร 
เมื่อมีกูเกิ้ลให้ค้นประวัติได้ก็พบว่าคลุมเครือมาก  เหมือนเธออำลาวงการมายาไปโดยไม่อยากให้ใครไปยุ่งเรื่องส่วนตัว
มาเห็นรูปอีกที กลายเป็นคุณป้า(หรือยาย) ไปแล้ว

ตอนที่หนังเรื่องนี้มาฉายในกรุงเทพ   ไปดูเพราะนึกว่าเป็นหนังเบาๆเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี   เพราะชื่อชวนให้นึกยังงั้น   Valley of the Dolls  หุบเขาตุ๊กตา    กลายเป็นหนังอะไรไม่รู้ ดูไม่สนุกเลย  ตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจชีวิตเบื้องหลังดาราสาวๆของฮอลลีวู้ด
มารู้ทีหลังเมื่อโตแล้ว ว่า dolls เป็นสะแลง หมายถึงยานอนหลับที่ดาราชอบกินกัน    พวกนี้มีชีวิตงานและส่วนตัวไม่เป็นเวล่ำเวลา    นอนผิดเวลา ต้องกินยานอนหลับให้หลับ ถึงเวลาถูกปลุกให้ตื่นไปเข้าฉากก็กินยาให้กระปรี้กระเปร่าไม่ง่วงนอน  เลยติดยากันมาก

ส่วน Payton Place  เป็นอุปรากรสบู่ ( Soap Opera) หนังเรื่องยาวฉายตอนกลางวัน ให้บรรดาแม่บ้านอเมริกันดูระหว่างทำงานบ้าน   บางเรื่องยาวหลายปีกว่าจะจบ
รู้แต่ว่าเป็นเรื่องแนวดราม่าครอบครัว ชิงรักหักสวาท เล่นชู้สู่สาว   กระตุ้นความอยากรู้ของคนดูไปเรื่อยๆว่าจะหักมุมยังไง

ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่มาเจอ กระทู้ นี้  เพราะจิตไม่สงบเลย  มันพลุ่งพล่านมาก  มันอยากเล่า ๆ ๆ ๆ

ความจริงเวลานี้กำลังจะเข้าสู่โหมด บันเทิงส่วนตัว แล้ว  แต่ขอหน่อย...

สมัยยังเป็น IBC ซึ่งอีกไม่นานเค้าก็เปิดช่อง TCM คือ Turner Classic Movies  อันเป็นบ่อทองของหนังเก่า ๆ  ผมก็ได้ดูหนังเก่าที่เคยรู้รายละเอียดมาจากตัวหนังสือ

เมื่อกี้คุยเรื่อง Valley of the dolls  มีดาราใหญ่คือ Susan Hayward  ความรู้ดั้งเดิมมีว่าเธอได้ Oscar จากหนังเรื่อง I want to live

แล้ววันหนึ่งก็ได้เห็นชื่อหนังเรื่องนี้จากช่อง TCM  

ดูซะหน่อย...

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับโสเภณีที่ไปกระทำฆาตกรรมแล้วได้รับโทษประหารชีวิตด้วยการเข้าห้องรมควันพิษ

ฉากสุดท้ายก่อนเข้าห้องรมควัน  ซึ่งนักโทษก็ทำใจแล้ว  แต่เกิดการเปลี่ยนแปลง  ต้องกลับออกไปคอยที่ห้องขังเพื่อรอผลการเปลี่ยนแปลงนั้นว่าหัวหรือก้อย  ช่วงนี้ลุ้นกันตัวโก่ง (หมายถึงผม)  ผลออกมาว่าดำเนินการต่อและตายในที่สุด

เป็นหนังที่หนักมากกกกกก  แถมเป็นหนังขาวดำ  ช่วงฉากดังกล่าวเครียดทั้งคนดูทั้งตัวละคร  ผมคิดในใจว่าชื่อหนังนี่น่าจะหมายถึงคนดูด้วยคือ I want to live เพราะอึดอัดมาก  กำลังจะตายไปพร้อมกับนักโทษอยู่แล้ว  จบ ๆ ไปซะที

https://www.youtube.com/watch?v=ZY_Sq_euI6w

อีกไม่นานก็ได้ดูหนัง The Miracle Worker  เกี่ยวกับเด็กตาบอด/หูหนวกจากไข้ Scarlet Fever ผลทำให้ไม่สามารถติดต่อกับสังคมได้ เด็กจึงมีพฤติกรรมก้าวร้าวจนพ่อแม่เอาไม่อยู่ต้องจ้างครูพิเศษมาสอน

หนังสร้างจากชีวืตจริงของ Helen Keller นักเขียนดังและนักต่อสู้ทางการเมือง  กับ Anne Sullivan ที่ดังจากความสามารถในการปราบพยศเด็กได้

เป็นหนังขาวดำที่หนักมากกกกก ตามเคย  หนังดีมั้ย  ดีมากสำหรับคนชอบหนักหนัก ๆ  

ผลจากการดูหนังหนักแถมเป็นขาวดำ 2 เรื่องติด ๆ กัน  ทำให้ผมขยาดหนังขาวดำไปเลย  

https://www.youtube.com/watch?v=crV5q2j9DBI

อย่างไรก็ตาม  หนังดังสุด  ดาราสวมบททั้ง 2 คน (Patty Duke กับ Anne Bancroft) ได้ Oscar ทั้งคู่

ลืมเล่าว่าที่หลวมตัวดูเพราะชอบ Patty Duke  เคยเห็นเธอเล่นในหนัง TV ชื่อ The Patty Duke Show  นึกว่าหนังเรื่องนี้จะเบา ๆ แบบในทีวี

ไอ้หยา...

https://www.youtube.com/watch?v=2KQRPFJypBU

อยากให้คุณหมอดูเรื่องนี้จัง  ฉากท้าย ๆ คุณหมอต้องร้องว่า  เฮ้ย ๆ ...

แพตตี้ ดุ๊ค ลาโลกไปเสียแล้วเมื่อปี 2016 นี้เอง ในวัย 60 ปี  น่าเสียดายมาก
นอกจากหนังโรงใหญ่  เธอกลายมาเป็นขวัญใจวัยรุ่นในหนังชุด The Patty Duke Show  เธอเล่นเป็นลูกพี่ลูกน้องชื่อแคธี และแพตตี้ ที่หน้าตาเหมือนกันราวกับฝาแฝด   เพราะพ่อของทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน   สองสาวมีสองบุคลิกตรงกันข้าม
ผ่านมาหลายสิบปี    แพตตี้ ดุ๊คกลับมาเล่นเป็นพี่น้องสองสาวในวัยผู้ใหญ่เต็มตัวอีกครั้ง    แพตตี้หย่ากับแฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งแต่ไฮสกูล    ส่วนแคธีเป็นแม่ม่ายลูกติด

https://www.youtube.com/watch?v=SMVoaTKewIM&t=3238s

เปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นหนังเบา ๆ  ไม่ทราบคุยเรื่องนี้ไปแล้วยัง

Singing in the rain (1952) เป็นอีกเรื่องที่ได้ดูทางช่อง TCM  ได้ยินกิตติศัพท์มาตั้งแต่อยู่ชั้นประถม  โดยเฉพาะฉากอมตะ ร้องเพลงกลางสายฝน

หนังสนุกจริง ๆ  มีฉากตลกมากมาย  โดยเฉพาะ 2 ฉากนี้

https://www.youtube.com/watch?v=OTFCctdiS04

https://www.youtube.com/watch?v=YMzV96LV6Cc

ระหว่าง 2 ดารา คือ Deborah Kerr (DK) กับ Lana Turner (LT) ผมไม่เคยแยกออกเลยว่าคนไหนคือใคร ผมว่า 2 คนนี้หน้าตาเหมือนกันมาก  แล้วก็เกิดปีเดียวกันด้วยคือ 1921  แต่คนละประเทศ LT เป็นอเมริกัน DK เป็นคนอังกฤษ

(http://image.free.in.th/v/2013/iv/210422032427.jpg) (http://picture.in.th/id/7f1e8231ff4736d33b50ced186757862)

Hollywood ให้นิยามว่า DK มีความเป็นนักแสดงมากกว่าดารา  ตลอดอาชีพการแสดงของเธอได้รับการเสนอเข้าชิง Oscar ถึง 6 ครั้ง  ส่วนชีวิตส่วนตัวแทบจะไม่ได้เป็นข่าวเล็ดลอดออกมาให้ชาวบ้านเสพย์เลย

ในขณะที่ LT ได้รับการเสนอเข้าชิง Oscar เพียงครั้งเดียว (Peyton Place) แต่ชีวิตส่วนตัวเป็นข่าวให้ชาวบ้านเสพย์ติดต่อกันมาตลอดอายุของเธอ

เอาตั้งแต่เริ่มสาวอายุ 16  พอรู้ตัวว่าฉันต้องการจะบุก Hollywood  เธอก็เริ่มการตลาดโดยไปนั่งโชว์โฉมในร้านที่ฝรั่งโบราณเรียกว่า Soda Fountain ที่มุมถนน Sunset Boulevard เพื่อล่อแมวมอง  ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ 
เธอเป็นนักแสดงอายุน้อยมาก ๆ (18) ที่ได้รับเลือกให้ไปทดสอบบท Scarlett O’Hara

(http://image.free.in.th/v/2013/ip/210422032525.jpg) (http://picture.in.th/id/edc2fe3b430a30c4c5cda3094f998a27)

แต่เรื่องข่าวครึกโครม ดังกระหึ่มไปค่อนโลกเกิดขึ้นในปี 1958 เมื่อลูกสาววัย 14 เอามีดจ้วงฆ่าแฟนหนุ่มจิ๊กโกโลของแม่จนตาย

คนคิดว่าช่วงนั้นอาชีพของเธอจะพังทลายจากเรื่องอื้อฉาวของลูกตัวเอง  แต่เปล่า  กลับเป็นปีที่ดวงของเธอพุ่งกระฉูด  เพราะหนังที่ออกฉายในปีนั้น (Imitation of Life) ดังสนั่น

ในชีวิตผม  ผมรู้จัก LT ก่อน  โดยได้ไปดูหนังเรื่อง Madame X (1966)  โดยใช้ชื่อไทยว่า ‘แก้วตาแม่’  ไปกับพี่  ฉายที่โรงหนังคิงส์  ตอนนั้นผมอายุยังไม่แตะเลข 10 เลย  จำอะไรไม่ค่อยได้นอกว่า  หนังเศร้าสุดขั้ว  ผมนั่งร้องไห้ตั้งแต่ลูกซึ่งเป็นทนายความรู้ความจริงว่าหญิงชราที่ตัวเองกำลังแก้ต่างให้อยู่นั้น  ที่แท้คือแม่ของตัวเอง  และที่ต้องมาติดคุกก็เพราะทำเพื่อลูกตัวเอง  ฉากต่อจากนั้นจนจบเรื่อง  ผมจำไม่ได้เลย  เพราะเอาแต่ร้องไห้  พอหนังเลิก  ออกมาจากโรงโดนพี่ด่าอีกว่าร้องไห้เสียงดังมาก  จนคนข้าง ๆ ต้องหันมาดู  น่าอับอาย

อีกแสนนาน  เมื่อมีช่อง TCM และผมก็ได้ดูหนังเรื่องนี้อีกทีถึงรู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร

https://www.youtube.com/watch?v=9rYwpxeGnyQ

ช่อง TCM เอาหนังของ LT มาให้ผมดูหลายเรื่อง Peyton place, Postman always rings twice (ต้นฉบับของหนังปี 1981 ที่ทำให้นักวิจารณ์ต่างขอโทษขอโพย Jessica Lange ว่าแสดงหนังไม่เป็น  เป็นแต่ร้องวี้ด ๆ ในหนัง King kong (1976)  อันทำให้ต้นฉบับร้องวี้ด ๆ คือ คุณย่า Fay Wray (1933) ยังคงเป็นแม่แบบต่อไป)

แล้วก็หนังดังที่อยากดูมานาน  คือหนังที่ออกฉายในช่วงเวลาอื้อฉาวของเธอ Imitation of Life (1959) เรื่องเกี่ยวกับ ดาราดังกับแม่บ้าน นิโกร  ทั้งคู่มีลูกสาวในวัยเดียวกัน  คนนึงเป็นลูกสาวดารา  อีกคนเป็นลูกสาวแม่บ้านถามมีผิวสี  แม้สีจะไม่เด่น  แต่ก็เกิดปมด้อย  นี่คือ theme ของเรื่อง

จุดเด่นไม่ได้อยู่ที่ LT แต่อยู่ที่แม่ลูกนิโกร  ตอนจบก็ต่อมน้ำตาแตกตามเคยเมื่อแม่นิโกรตาย  ตอนที่ดูนั้นผมอายุเลย 30 แล้ว  แต่นั่งร้องไห้เป็นเผาเตา

นี่คือหนึ่งในฉากเศร้าสุดกู่
https://www.youtube.com/watch?v=-_ax1pt8zp0

หนังดังทั้งรางวัล (2 แม่ลูกได้เข้าชิง Oscar) และเงิน

ข้ามมา DK ผมได้ดูหนังของเธอมากกว่า  เช่น From here to eternity, Tea and sympathy, Young bess, Heaven knows Mrs. Allison ฯลฯ แต่ไม่เคยดู The king and I

ได้มีโอกาสดูหนังโศกของเธอเรื่องนึง  ซึ่งปรากฏว่ากลายเป็นหนัง classic ตลอดกาลของนักวิจารณ์  คือ An affair to remember (1957)  ตอนได้ดูนั้น IBC ยังไม่เกิด  DVD ก็ยังไม่มี  ผมดูทาง video  รู้สึกพี่มนันยา นักแปล ให้เอามาดู

ร้องไห้เป็นเผาเต่าตามเคย  ยิ่งฉากตอนท้าย ๆ เมื่อพระเอกเอะใจว่าทำไมนางเอกช่างเย็นชาเสียเหลือ  และมาค้นพบความจริงว่า ....  ผมละโฮ ๆ ๆ เลย

หนังดังขนาดเป็นแรงบันดาลใจให้กับเนื้อเรื่องของหนัง Sleepless in Seattle (1993 – นัดเจอกันที่ตึก Empire state) กับ Warren Beatty เอามาสร้างใหม่ (แต่ไม่ดัง) ในเรื่อง Love affair

https://www.youtube.com/watch?v=dRfar9x-Lsk

ปล. DK ได้เข้าชิง Oscar 6 ครั้ง  แต่ไม่เคยได้  คณะ กก. มาให้รางวัลเกียรติยศในปี 1994 ผมว่าเธอไม่ใช่แค่นักแสดงที่มีความสามารถเท่าแต่ยังเป็นดาราที่มีความสง่างามจนหยดสุดท้าย

https://www.youtube.com/watch?v=EQMdxLkvUaA

ปล. เรื่อง Tea and sympathy ของเธอ  เยี่ยมมากครับ
https://www.youtube.com/watch?v=3nPIvXomwq4

ไปหาฉากดังๆในหนังที่คุณโหน่งเคยดู มาให้ชาวเรือนไทยบางคนที่เกิดไม่ทัน
ฉากเต้นรำเดี่ยว อมตะ  ยีน เคลลี่เต้นกับสายฝน ใน Singing In The Rain

https://www.youtube.com/watch?v=D1ZYhVpdXbQ

Lana Turner และ  Deberrah Kerr  เป็นดาราในยุคที่ฮอลลีวู้ดต้องการพระเอกหล่อนางเอกสวยบาดตาบาดใจ แต่พวกนี้ก็ต้องมีฝีมือด้วยถึงจะขึ้นมายืนแถวหน้าได้

ฉากนี้ ลานาเต้นรำกับ Ricardo Montalban  พระเอกหล่อมาดละติน  ในเรื่องสาวตัวประกอบคือ  Rita Moreno ต่อมาได้ตุ๊กตาทองจาก West Side Story

https://www.youtube.com/watch?v=8q7Z_cJGdnI

 DK ใน  ฉากเต้นรำอมตะ ใน The King and I

https://www.youtube.com/watch?v=QgVPnWmUqd4

นิดนึง, สืบเนื่องจากเรื่อง Madame X


          ลูกชายทนายหนุ่ม ไม่ได้รู้ความจริงเรื่องนี้เลย

          รำลึกเรื่องราว ได้ที่ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.675

          เริ่มจากความเห็นที่ 686

          อีกเรื่องเด่นของ LT แนะนำคุณโหน่ง คือ Diane หนังปี 1956  http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6352.285

          เริ่มที่คห. 290

จริงด้วย  เพิ่งนึกได้ว่า  ตัวผมเองต่างหากที่ลุ้นให้แม่ลูกได้รู้ความจริงกัน  ความจริง LT แค่บอกว่า พ่อหนุ่มดูเหมือนลูกของเธอเท่านั้น  ขอบคุณที่แก้ไขครับ

แล้วก็จะถามคุณหมอถึงเรื่อง หนัง เรื่องนึง  ที่เคยดูสมัยเล็ก ๆ  จำรายละเอียดได้น้อยมาก  เป็นหนังเกี่ยวกับการผจญภัยโดยเรือดำน้ำ  มีผู้ใหญ่แล้วก็มีเด็กรวมอยู่ด้วย  จำช่วงสุดท้ายของเรื่องได้ว่า  เรือประสบอุบัติเหตุโผล่ขึ้นเหนือน้ำไม่ได้  ทุกคนช่วยกันแก้ไข  เด็กน้อยอุ้มกรงหนูตะเภาไว้แน่น  แต่ในที่สุดก็พ้นวิกฤติ (แสดงว่าเป็นหนังสำหรับเด็ก) สามารถตัดส่วนที่ผู้โดยสารรวมตัวอยู่ออกจากตัวแม่  ลอยพ้นขึ้นมาเหนือน้ำได้

นึกออกมั้ยครับว่าเรื่องอะไร  ผมจำได้ว่ามี 'สีส้ม' ด้วย  ไม่รู้ตรงส่วนไหน  อาจจะชูชีพ

         นึกไม่ออก, จำได้ว่า หลังจาก The Poseidon Adventure เข้าโรงบ้านเราแล้วประสบความสำเร็จ
ก็มีหนังอุบัติภัยทางเรืออีกเรื่อง ซึ่ง(น่าจะ)เก่ากว่า,งานสร้างย่อมเยากว่า ตามมาเข้าโรงเก็บตกตามกระแสโพไซดอน
แต่จำชื่อ,เนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว

หนังเก่ากว่านั้นครับ  น่าจะกลาง ๆ 60s  ยังหาคำตอบไม่ได้ซักที  ถามกับฝรั่งพวกผีหนังก็ไม่มีใครตอบได้

น้าพาไปดูหนัง  จอมโจรแฟนโทมัส  ตอนนั้นหนังดังในเมืองไทยเหลือเกิน  เด็ก ๆ จำชื่อ สารวัตรจุ๊บ กันได้ทุกคน

นั่งดูมาถึงฉาก  รถบินได้  ผมซึ่งเป็นผีรถตื่นเต้นสุดขีด

พอหนังเลิก  ออกมานอกโรง  ผมถามน้าว่า ลุงอัฐก็มี citroen แบบนี้  ไม่เคยเห็นมันบินให้ดูเลย
(น้าเล่าให้ฟัง)

https://www.youtube.com/watch?v=roxqTOAor0I

นึกถึง Twenty Thousand Leagues Under the Sea  ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์  แต่เวอร์ชั่นที่มีเด็ก  เป็นปี 1997

https://www.youtube.com/watch?v=UvaygXqo03c

           ลงบันทึกไว้ว่าหนังเรือล่มเรื่องนี้ คือ The Last Voyage ปี 1960 จากที่ระลึกได้ว่านักแสดงนำหญิงคือ Dorothy Malone
(ลองดูในเน็ทแล้ว ไม่น่าใช่เรื่องที่ถามถึง)    

มันเป็นเรือดำน้ำครับ

ไปหาคลิปหนังเกี่ยวกับเรือดำน้ำมาให้ดู ๑๐ เรื่อง   เจอไหมคะ

https://www.youtube.com/watch?v=LGWDbCHvY0k

คุณโหน่งลองแบบนี้รึยังคะ
เปิดกูเกิ้ล พิมพ์คำว่า movies about submarine in 1960s ลงไป  จะมีโปสเตอร์หนังขึ้นมาให้ดูแยะมากค่ะ
ค่อยๆหาไปทีละรูป

ตกลงครับ อ. 

ขอบคุณครับ

หาแล้วครับ  มีใกล้เคียงก็เรื่องนี้  ปี 66

https://www.youtube.com/watch?v=R5p189pKmOY

เพราะมีเรือดำน้ำสีส้ม (สีที่ติดอยู่ในใจที่เคยบอก)  แต่หาเด็กไม่เจอ  

แล้วก็นึกรายละเอียดได้อีกนิดว่า  ตอน climax เกิดระเบิดใต้น้ำ  เรือดำน้ำเสียหลักไปติดที่แง่งผาใต้น้ำ  แล้วก็ทำท่าจะไหลลงเหวใต้น้ำไปเรื่อย ๆ  ทุกคนก็พยายามหนีตายเต็มที่  ในที่สุดก็สามารถสลัดหัวเรือดำน้ำที่เบากว่าออกจากตอนท้ายของลำได้สำเร็จ  หัวก็ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ  ท่ามกลางความโล่งใจของนักแสดงและคนดู (โดยเฉพาะผม)

clip เป็นแค่ ตย.  ไม่รู้ว่าตอนท้ายเรื่องเป็นยังไง

พี่หิ้วไปดู The Graduate

ดูไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ค่อยเข้าใจเพราะอ่าน sub ใต้จอไม่ค่อยทัน  แต่เพลงเพราะมาก

พลันก็มาตาโพลงกับฉากนี้

ป้าคลาร่ากับเอสเมอรัลดา 2 แม่มดจอมป่วน  มาทำอะไรที่นี่กันล่ะ

https://www.youtube.com/watch?v=jj7SvZj2kOY

หนังเรื่องนี้  อ.สดใส พันธุมโกมล เอามาสอนตอนเรียนปี 1   พูดถึงระบบสัญลักษณ์ที่แฝงอยู่ในฉากบางฉาก
ถ้าอาจารย์ไม่เล่าก็ดูไม่ออกหรอกค่ะว่า ผู้กำกับสอดแทรกสัญลักษณ์เอาไว้
เรียนกับอาจารย์ สนุกมาก  เลยทำให้ชอบหนังเรื่องนี้ไปด้วย ทั้งๆดูแต่ตัวหนังแล้วไม่ชอบเลย

https://www.youtube.com/watch?v=ahFARm2j38c

ฉากจบของเรื่อง นางเอกกำลังจะเข้าพิธีแต่งงาน  พระเอกบุกเข้าไปทำลายพิธีแต่ง พานางเอกวิ่งหนีออกจากโบสถ์ได้สำเร็จ    คนอื่นจะตามมาขัดขวางก็ไม่ได้เพราะพระเอกคว้าไม้กางเขนขัดประตูไว้   กลุ่มคนก็เลยได้แต่ออกันอยู่ในโบสถ์
อาจารย์บอกว่า กางเขนนั่นแหละคือสัญลักษณ์ที่ผู้กำกับและผู้เขียนบทสอดแทรกไว้

เรื่องนี้ทำให้เพลงประกอบหนัง  2  เพลง คือ The Sound of Silence  กับ Scarborough fair โด่งดังข้ามทศวรรษ เป็นเพลงอมตะมาจนทุกวันนี้

       ตอนดู The Graduate (ชื่อไทย พิษรัก แรงสวาท) ยังเยาว์วัย จึงเพลินกับเพลงฮิทของ S and G
มากกว่า ไม่ได้นึกถึง,เข้าถึงสัญลักษณ์ที่สื่อในซีนต่างๆ จนกระทั่งภายหลังเมื่อได้เห็นในเว็บทั้งไทย,เทศ กล่าวถึง
จึงนึกย้อนดูและได้เห็นถึงคุณค่าของหนังเรื่องนี้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง

           หนึ่งซีนสำคัญเป็นที่จดจำของเรื่อง - แม่เสือกับสมันน้อยในป่า

เว็บนี้ วิเคราะห์เล่าถึงสัญลักษณ์ที่ใช้ในหนัง https://medium.com/@DavidA.Punch/the-graduate-symbolism-in-film-a549ef9882c0

เรื่อง The Graduate นี่เกิดไม่ทันดูในโรง แต่ทันดูจากช่อง 7 บิ๊กซีนีมาโปรแกรมเพชรหนังพันล้าน (ฮ่าาา) มีเพลงประกอบที่ดังเหลือเกินคือ Mrs. Robinson และ The Boxer สมัยผมเป็นวัยรุ่นหัดเล่นกีต้าร์ (ซึ่งก็ภายหลังหนังเรื่องนี้ ยี่สิบกว่าปีได้) ก็ต้องเล่นเพลงบังคับเหล่านี้
พอโตมาอีกสักหน่อยในวัยหนุ่มฉะกัน(ฉกรรจ์) ก็ได้ดูหนังเรื่องนึงซึ่งแม้จะไม่โด่งดังเท่าไหร่แต่สำหรับผมก็ถือว่าประทับใจเรื่องนึง มีแต่ดาราดังเช่น เกว็นเนธ พัลโธรว์  อีธาน ฮอว์ก โรเบิร์ต เดอนิโร
ผมและเพื่อนๆที่ไปดูด้วยกันจะชอบบทของ Mrs. Dinsmoor เป็นพิเศษ เพราะเป็นคุณยายไฮโซที่ท่าทางแปลกๆ ติดใจในฉากที่เธอเอามือของพระเอก(ตอนเด็ก)ไปทาบที่หน้าอกเธอแล้วบอกว่า It's my heart and it's broken.เพราะเธอเคยเป็นเจ้าสาวที่ถูกเจ้าบ่าวชิ่งหนีในวันแต่งงาน พวกเราเลยเอามาล้อเล่นกันเวลาใครอกหักก็จะแซวกันด้วยมุกนี้ ( 555 ใจร้ายนะ วัยรุ่นสมัยนั้น)
พึ่งจะมาค้นพบ(เพราะอินทรเนตร) เมื่อไม่นานมานี้ครับว่า คนแสดงเป็น Mrs.Dinsmoor ก็คือคนเดียวกับที่แสดงเป็น Mrs.Robinson สุดสวยเจ้าเสน่ห์นั่นเอง ท่านชื่อ Anne Bancroft เป็นดาราดังในยุคหนึ่งเลย

วันนี้มีงานประกาศผล Oscar ปีล่าสุดครับ

ไปหาว่า  Ms. Dinsmoor. อยู่ในหนังเรื่องไหน  เจอว่าเป็นหนังจากบทประพันธ์  Great Expectations  ของชาร์ลส์ ดิกเกนส์นี่เอง
เคยเรียนตอนปี 1   อ่านออกแต่ไม่รู้เรื่องค่ะ  ยากไปสำหรับเด็กปี 1   ภาษาก็โบราณมาก


https://www.youtube.com/watch?v=_slwSCPtiLM

หนังของ Alfred Hitchcock มีเอกลักษณ์ตรงที่จะเอาตัวเองเข้าไปโฉบในฉากหนึ่ง ๆ ของทุกเรื่อง (เรียก Cameo)

https://www.youtube.com/watch?v=UtGCWDhmYTs

โอ้ พึ่งจะเห็นว่าผมเขียนถึง Mrs Dinsmoor แต่ดันลืมกล่าวถึงชื่อหนังไป 555 ผมว่าเนื้อเรื่องก็โบราณครับ Great Expectation เวอร์ชั่น 1998 นี้ เอามารีเมคในรูปแบบสังคมยุคใหม่แต่เนื้อเรื่อง สไตล์ของเนื้อเรื่องก็จะแปลกๆ ไม่เหมือนนิยายยุคใหม่ ผมดูแล้วก็มึนๆครับ ชอบแต่นางเอกที่ตอนนั้นกำลังสวยสะพรั่งเลยครับ

ไม่รู้คุณ Sila เอ่ยไปแล้วยัง

วัยรุ่นวุ่นรักครับ

https://www.youtube.com/watch?v=BQnTCB_rX84

https://www.youtube.com/watch?v=rdw51RHZAME

เนื้อเรื่องล้าสมัย  แต่เพลงเป็นอมตะ

^ มีการอ้างถึงบ้างตอนคุยกันเรื่อง มาร์ค เลสเตอร์

          ชื่อไทยว่า เมโลดี้ ที่รัก เมื่อเข้าฉายในบ้านเราและโด่งดังประสบความสำเร็จอย่างสูง

          พ่อมด สปีลเบิร์ก ปล่อยตย. West Side Story มาแล้ว ภาพ,เสียง,ตัดต่อ เร่งเร้า น่าดู
แต่ ภาพจำ นาตาลี วู้ด ยังตรึงใจ

 https://www.youtube.com/watch?v=CbUM27qw6a8