เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: นโม ตสฺส ที่ 16 ม.ค. 19, 20:31



กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 16 ม.ค. 19, 20:31
ขอนำเสนอเนื้อหาของพิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย ซึ่งเคยกระทำมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว โชคดีที่ หนังสือ ผีของชาวลานนาไทยโบราณ โดย แก้วมงคล ชัยสุริยันต์ ที่ระลึกเนื่องในพิธีปลงศพ นางถมยา อินทรังสี กรมศิลปากร พ.ศ.2486 ได้มีข้อมูลเรื่องการบวงสรวงผีนาค ซึ่งตัวนายแก้วมงคลได้เคยเห็นและจดจำมาเมื่องานบวงสรวงผีนาคครั้งสุดท้าย พ.ศ.2460 ซึ่งตอนนั้นนายแก้วมงคลยังเป็นบ่าวแถ่วรับใช้พระยารัตนาณาเขต(เจ้าน้อยเมืองไชย เชื้อเจ็ดตน) เจ้าหลวงเชียงรายตนสุดท้าย จึงขอนำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้

หมายเหตุ ต้นฉบับเป็นอักษรไทยสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงขอแก้ให้เป็นอักษรไทยปัจจุบันเพื่อให้อ่านเข้าใจง่าน


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 16 ม.ค. 19, 20:32
ผีนาค

ลัทธิผีนาค ว่าตามที่เชื่อกันในสมัยโบราณ ดูจะเป็นลัทธิที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนพุทธศาสนา หรือไม่ก็ได้แผ่เข้ามารุ่งเรืองอยู่ในล้านนาก่อนพุทธศาสนาเข้ามาถึง ด้วยปรากฏว่าพญานาค บางแห่งเรียก เจ้า หรือ ขุนสร้อยคอคำ เป็นผู้เชิดชูพุทธศาสนา รากเหง้าเค้าเดิมว่าพวกชาว “กูลาดำ” (ชาวอินเดีย) เป็นต้นศาสนา

เคยได้ฟังคำสั่งสอนเป็นอย่าสรรเสริญนาค ว่านาคเป็นสัตว์ประเสริฐบริสุทธิ์ยิ่งกว่าสัตว์อื่นทั้งหลาย ทรงทั้งฤทธิเดชที่สามารถบันดาลให้เกิดอันร้ายและอันดีทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่คน แต่ไม่ทำอันตรายแก่คนโดยไม่มีเหตุผลสมควร เหมือนอย่างกล่าวไว้ในโคลงโลกนิติว่า “นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า” ฉันนั้น

โดยเพราะนาคเป็นผู้รักษาศาสนา ซึ่งกล่าวว่าพุทธศาสนาได้ประดิษฐานจนรุ่งเรืองมาแล้ว 4 ครั้ง ทั้งปัจจุบัน คือประดิษฐานขึ้นแล้วก็รุ่งเรือง ครั้นรุ่งเรืองนานแล้วก็เสื่อมไป ทั้ง 4 ครั้งที่พุทธศาสนาได้ตั้งขึ้นจนรุ่งเรืองและเสื่อมลงนี้ ทอดระยะเวลาที่รุ่งเรืองและเสื่อมไว้ห่างกันนับด้วยหมื่นๆปี มีชื่อศาสดาจารย์ที่แรกประดิษฐานและฟื้นฟูมาแล้ว 4 พระองค์ คือ พระพุทธกกุสันโธ เป็นปฐม พระพุทธโกนาคมโน เป็นทุติยะ พระพุทธกัสสโป เป็นตติยะ และจตุตถพระพุทธโคตโม คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปัจจุบัน

วันเวลาที่พุทธศาสนาเสื่อม และศาสดาจารย์ผู้มาฟื้นฟูยังไม่กำเนิดนั้น ตกเป็นหน้าที่ของพญานาครักษาพุทธจารีตไว้คอยศาสดาหรือ “เจ้าตนบุญ” จะมาฟื้นฟูให้กลับรุ่งเรืองขึ้นใหม่ ตลอดกาลที่พญานาครักษาพุทธจารีตไว้นี้เรียกว่า “ว่างศาสนา” (ที่ควรเป็น “ว่างศาสนา” เพราะพญานาครักษาพุทธจารีตอันเป็นศาสนาไว้แล้ว)

ในกาลที่ “ว่างศาสนา” นี้ พญานาคทรงสิทธิที่จะใช้อำนาจและฤทธิเดชต่างๆ ป้องกันรักษาพระพุทธศาสนา มีเช่นบันดาลให้พวกมิจฉาทิฏฐิ ผู้ไม่ประพฤติตามพระพุทธโอวาท ถึงกาลชีวิตอันตรายเป็นต้น บางครั้งก็บันดาลให้บ้านเมืองถล่มลงไปทั้งเมือง หรือบันดาลให้ “ฮ่า” (ห่า) ลงกินชาวบ้านชาวเมือง ให้พวกมิจฉาชีพถึงซึ่งกาลมรณา คงเหลือแต่ผู้ประพฤติตนเป็นสัมมาอาชีวะถูกต้องตามพระพุทธโอวาท ถ้าเจ้าบ้านเจ้าเมืองหรือกษัตริย์ตนใดประพฤติตนอยู่ในทศพิธราชธรรม มีเมตตากรุณาไม่เป็นอันธพาลต่อพลเมือง พญานาคก็นำเอา "แก้วสารพัดนึก" มีสี “แดง” ชื่อ “รตนรังสี” มาให้เป็นของคู่เมือง เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลความปรารถนาโดยสันติวิธี คือ สามารถเหนี่ยวน้าวใจเจ้าเมืองใหญ่ทั้งหลายเข้ามานอบน้อม บางครั้งก็บันดาลให้เกิดมีช้าง “นาเคนทร์หัตถี” ตัวผู้ มีลักษณะงดงาม สูง 4 ศอกเศษ สีตัวเขียวก่ำ คือ เขียวแก่ เล็บเท้ามีสีแดงครบ 24 เล็บ คือ มีเล็บสีแดงรอบเท้า (ช้างธรรมดามักมีเล็บระหว่าง 18-20 เล็บ และไม่รอบเท้า) มีงาสีดำหรือเขียว บางทีก็ให้บังเกิด ม้ามโนมัย หรือ ม้าอัศดร ซึ่งกล่าวว่ามักมาเกิดที่ข่วงหน้าคุ้ม (คือ “ท้องสนามหลวง”) เกิดแล้วก็เตะม้าแม่ตายแล้ววิ่งเข้าสู่หน้าเรือนหลวง (ปราสาท) ให้เป็นพาหนะคู่พระองค์เจ้าเองหรือกษัตริย์ บางทีก็จำแลงตนเป็นพราหมณ์หรือคนนักบวชนำเอาพระศรีขรรค์ชัย (พระขรรค์ชัยศรี) มาให้เป็นอาวุธคู่มือ เหล่านี้เพื่อสำหรับทำยุทธสงครามปราบเหล่ามิจฉาทิฏฐิให้ยอมเกรงกลัว


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 16 ม.ค. 19, 20:33
พญานาคนั้นสถิตอยู่ยังนาคพิภพ ว่าอยู่ใต้ดินเหนือนรกภูมิ ใช้ลำน้ำและลำห้วยลำธารหรือปล่องเปลวเหวถ้ำเป็นทางสัญจรตรวจตราดูความเป็นไปในมนุษย์โลก โดยขึ้นมาอย่างเปิดเผยบ้าง จำแลงตนเป็นพราหมณ์ เป็นมนุษย์ และจตุบททวิบาท เช่น เป็นช้าง เป็นฟาน เป็นงูพิษหนึ่งมี “คอสีแดง” และเป็นไก่ หรือนกบ้าง พญานาคมีบริวาร คือ งูทั้งหลายอยู่ประจำเมืองคน สำหรับคอยรายงานเหตุการณ์และรับคำสั่งพญานาคทำการงานเป็นบางสิ่งบางอย่างในเหตุเล็กน้อย ถ้าเป็นเหตุการณ์ใหญ่ พญานาคก็กรีฑากองทัพนาคขึ้นมาปราบปรามทีเดียว

โดยปกติ พญานาคบันดาลให้ฝนตกในเมืองคน เพื่อให้เกิดมีน้ำหล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ธัญญาหารสำหรับมนุษย์และสัตว์บริโภค บรรดาพืชผลทั้งหลายที่มีผลสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์นั้น ก็เป็นด้วยพญานาคบันดาลให้เป็นไปตามพฤติการณ์ของคนที่ทำชอบหรือผิด

ด้วยเหตุทั้งปวงที่บรรยายมา พญานาคเป็นผู้ทรงคุณหรือมีคุณแก่คน คนจึงเคารพเกรงกลัวพญานาค ตลอดทั้งหมู่บริวาร ถึงมีก็ต้องสังเวยบอกกล่าวพฤติการณ์ให้รู้ ในเวลาใดบังเอิญได้พบปะช้างเถื่อนยังที่ซึ่งไม่ใช่ที่อยู่ของช้างเถื่อน หรือเดินไปไหนได้พบงู ก็ต้องยกมือไหว้ขอพรให้สวัสดีมีชัย โดยถือว่านาคราชบันดาลให้เห็น

ส่วนหลักการสำคัญของลัทธิผีนาคนั้น กล่สวได้ว่าเกือบเป็นอันเดียวกันกับพุทธศาสนา กำหนดให้ถือศีลกินทานเหมือนกันทุกอย่าง ฝ่ายคฤหัสถ์ก็บัญญัติให้พ่อเมืองถือจตุปาริสุทธิศีลหรือพรหมวิหาร 4 อาจารย์หลวง โหราหลวง และพญามหาอุปราชถือศีล 8 นอกนั้นถือศีล 5 ในพุทธศาสนา


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 16 ม.ค. 19, 20:36
การบวงสรวงผีนาค ประกอบพิธีในเดือน 8 คือ เดือน 6 ฤกษ์เดียวกับพิธี “วิสาขบูชา” ซึ่งที่เมืองเชียงรายจะเริ่มทำพิธีวิสาขบูชามาเมื่อประมาณ 30 ปีนี้ ก่อนแต่นี้ขึ้นไปในโบราณกาล วันที่ทำพิธีวิสาขบูชาเป็นวันทำพิธีบวงสรวงผีนาค ทางจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ จะทำการบวงสรวงผีนาคด้วยหรือไม่ ไม่ทราบ แต่ทางจังหวัดนาค เข้าใจว่าครั้งโบราณจะได้จัดทำเหมือนกัน ด้วยสังเกตตามชื่อเมืองเก่าแถบจังหวัดน่าน เห็นมีเมืองชื่อ โยนกนคร หรือ นาคนทรบุรี อยู่ทางซ้ายแม่น้ำโขง เมืองนี้ในปัจจุบันเห็นจะขึ้นอยู่ในจังหวัดลานช้าง ที่ตั้งขึ้นใหม่ แต่ตามเรื่องเจี้ยผีนาค “นิทานเรื่องผีนาค” ที่เล่ากันอยู่ในพื้นเมือง ดูจะเกี่ยวข้องกับเมืองเชียงรายโดยเฉพาะ เพื่อให้เห็นสมจะนำเอาเรื่องเจี้ยนาคตอนสร้างเมืองเชียงรายมาเล่าในที่นี้พอให้เห็นเค้าคือมีความว่า

“เมื่อมังรายสร้างเมืองเชียงราย พญานาคได้มาช่วย ทั้งพญามังรายและพญานาคพร้อมกันหาฤกษ์ได้ในวันพุธ เวลา “มุ่งมั่งแจ้ง” คือ “เวลาค่อนรุ่ง หรือ ปัจจุสมัยใกล้รุ่ง” กำหนดจะทำการขุดคือ “ขุดคือเมือง” ตั้งแต่เวลาฤกษ์นั้นให้เสร็จทั้ง 4 ด้าน ก่อนพระอาทิตย์ส่องแสง ครั้นถึงเวลาฤกษ์ มังราย “นอนหลับลืมตื่น” มาไม่ทัน ฝ่ายพญานาคมาถึงที่สร้างตั้งแต่ก่อนเวลาฤกษ์ คอยหาพญามังรายนานเท่าไรๆ ก็ไม่เห็นมา ครั้นได้ฤกษ์จะคอยต่อไปไม่ได้ พญานาคก็ลงมือ “บุ่นพื้นแผ่นดิน” คือ “เลื้อยคุ้ยควักแผ่นดิน” ทำ “คือเมือง” แต่โดยลำพัง เพราะเหตุที่ทำแต่พญานาคผู้เดียวก็ทำเสร็จก่อนแสงพระอาทิตย์ส่องเพียงด้านเดียว คือด้านเหนืออันเป็นด้านริมน้ำกก (คูนี้ถมเสียเมื่อ พ.ศ.2460) คุ้ยควักคือเมืองมาได้เท่านี้ พระอาทิตย์ส่องแจ้งขึ้นมา พญานาคก็รีบกลับไปเมืองนาค ด้วยเกรงราษฎรจะเห็นและพากันตกใจ ฝ่ายพญามังรายนอนตื่นสาย มาถึงที่สร้างเมืองต่อ “เมื่อหล้างายแก่” ระหว่าง 9-10 นาฬิกาเศษ ไม่พบพญานาค เห็นแต่คูเมืองด้านเหนือที่พญานาคคุ้ยควักทำไว้ด้านเดียว ก็โกรธว่าพญานาคไม่คอยและทำคูเมืองค้างไว้ให้เสียฤกษ์ พญามังรายจึงหาฤกษ์ใหม่ในวันนั้นทำคูเมืองอีก 3 ด้าน เสร็จแล้วเอาชื่อพญามังรายแต่ผู้เดียว ตั้งเป็น “ชื่อเมือง” ว่า “เมืองเชียงราย” ไม่เอาชื่อพญานาคประสมด้วย ดังนี้”

หมายเหตุผู้เรียบเรียง : นอกจากนี้ยังมีเรื่องพญานาคมาช่วยพญามังรายสร้างเมืองเชียงราย ปรากฎในพื้นเมืองเชียงราย ดังความต่อไปนี้

“...ทีนี้จักจาห้องต่ำนานวัดพระหลวงเชียงรายก่อนแล สกราชได้ 600 ตัว ปีเปิกเสด พระญามังรายเกิดมาอายุได้ 21 ปลี ได้กินเมืองแทนพ่อ สกราชได้ 621 ตัว ส้างพุทธรูปแลวิหารเมือง สกราชได้ 622 ตัวนั้นท่านได้ไปตีเสิกเมืองใต้ จิ่งเอาหมู่ริพลฅืนมาเมือง สกราชได้ 624 ตัว ปีล้วงเร้าแทนพ่อเปนพระญามังราย สร้างเวียงแล ทานลัวะไว้กับวัดพระหลวง 8 ครัว และแดนที่สี่เสาไว้กับวัดพระหลวงที่นั้นก่อน....สกราชได้ 624 ตัว ปลีล้วงเล้า สร้างวัดพระแก้ว ขุดน้ำบ่อ ก่อศาลา ก่อเมฆเวียง ขุดเหมืองกลางเวียง ก่อหอกลอง เข้ามาอยู่เวียงมี 7 เยื่องสันนี้แล พญานาคออกมาหมายที่หื้อท่านสันนี้ นาคจิ่งปันเขตหื้อตั้งแต่จอมสวรรค์ไปรอดจอมแจ้งเสียในที่นั้น ปรากฏว่าจอมแจ้งและตั้งที่วัดพระหลวงทังมวลอันพระญามังรายทานไว้นั้น ในเวียงแต่องค์นาคไปรอดเหมืองสาน ต่อท่อน้ำ 300 วา ไปแผวแม่กก ขึ้นแม่กกขึ้นเมือต่อเต้ารอดดอยแดนไปจับดอยถ่านไฟ ไต่ตามดอยถ่านไฟจับดอยอี่นาค แล้วไต่สันดอยอี่นาคไปจับดอยกุ่ม แล้วลงจับขุนแม่ผง ล่องแม่ผงขึ้นไปจับข่วงนก ล่องขุนห้วยเลิ้กมาจับแม่ขวง ออกมาจับห้วยต้นกอก เลียบตีนดอยมาจับแม่สาดมาจับเหมืองกลาง ล่องเหมืองกลางมาจับเหมืองแสนตอท่อน้ำ อันนี้พระญามังรายเปนเจ้าแก่ล้านนาคามเขตได้เบิกน้ำหนังดิน ได้โอกาสหยาดน้ำตามไว้ก่อนแล...” (หมายเหตุ วัดพระแก้วในพื้นเมืองเชียงรายเป็นคนละวัดกับวัดพระแก้วในปัจจุบัน เพราะวัดพระแก้วเดิมมีชื่อว่า วัดป่าญะ)


ภาพ อนุสาวรีย์พญามังราย ผู้สร้างเมืองเชียงราย
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 18:13
เรื่องเจี้ย “นิทาน” ที่เล่านี้ เห็นได้ว่าตอนเอามาจากเรื่องตำนานสิงหวติ ที่ว่าด้วย “สิงหนวติกุมาร” สร้าง “เมืองนาคพันธุ์สิงหนวตินคร” ในตำนานนั้นกล่าวความว่า

“สิงหนวติกุมาร อพยพบริวารผู้คนจากเมืองนครไทยเทศหรือราชศรีห์นครหลวง มาหาที่สร้างเมืองอยู่ ได้มาตั้งพักพลอยู่สถานที่หนึ่ง พระยานาคชื่อ “พันธุนาคราช” จำแลงตนเป็น “พราหมณ์” มาบอกที่สร้างเมืองให้ สิงหนวติกุมารให้อำมาตย์ไปตรวจดูสถานที่ด้วยกันกับพันธุพรามหณ์ อำมาตย์เห็นที่ตรงนั้นเป็นชัยถฃภูมิจึงกลับไปบอกสิงหวติกุมาร ฝ่ายพันธุนาคพราหมณ์เมื่อถึงเวลากลางคืนก็กลายเพศกลับเป็นพญานาคราช บุ่นคุ้ยควักพื้นดินแผ่นดินทำเป็นคูเมืองทั้ง 4 ด้าน เว้นที่ตรงกลางสำหรับสร้างเมืองไว้ กว้าง 3000 วาจัตุรัส เสร็จแล้วก็กลับไปยังเมืองนาค ครั้นวันรุ่งขึ้นสิงหนวติกุมารไปตรวจดูสถานที่ เห็นมีคูล้อมรอบพื้นที่ทั้ง 4 ทิศ คล้ายกับคนมาสร้างไว้ก็เกิดอัศจรรย์ใจ นึกได้ว่าชะรอยพญานาคจะมาทำไว้ให้ และเชื่อว่าพันธุพราหมณ์ที่มาบอกให้นั้นคงเป็นพญานาคแปลงมา จึงสร้างเมืองอยู่ยังที่นั้น เสร็จแล้วเอานามพันธุนาคพราหมณ์กับนามสิงหนวติกุมารผสมกันตั้งเป็นนามเมืองว่า “เมืองนาคพันธุสิงหนวตินคร” ดังนี้”

เมื่อปลายปี พ.ศ.2483 ได้ลองสอบภูมิสถานของเมืองนาคพันธุฯ ตามที่อ้างไว้ในเรื่องตำนานสิงหนวติ พบหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเมืองนาคพันธุสิงหนวตินครนี้อยู่บนฝั่งเหนือแม่น้ำกกเป็นคนละฝั่งตรงข้ามกับเมืองเชียงรายปัจจุบัน และได้ค้นพบสำเนาคำแปลอักษรของอัครเสนาเมืองเชียงตุง มีมาถึงอัครเสนาเมืองเชียงรายเมื่อ พ.ศ.2387 ที่หอสมุดแห่งชาติ ออกนามเมืองเชียงรายว่า “เมืองพันธุมติสิริเตชะนครราชธานี” นามนี้ใกล้กับนาม “เมืองนาคพันธุสิงหนวตินคร” และทางความก็ดูสละสลวยฟังเข้าใจได้ง่ายกว่านาม เมืองนาคพันธุสิงหนวตินคร ทำให้เกิดความเข้าใจว่า ที่อัครเสนาเมืองเชียงตุง ออกนามเมืองเชียงรายมาในศุภอักษรนั้น จะเป็นนามเก่าแก่ตั้งขึ้นตั้งแต่โบราณ สำหรับใช้เป็นนามเมืองที่แท้จริง นามว่า เมืองเชียงราย จะเป็นนามอย่าง “ปากตลาด” อันเนื่องมาแต่ชื่อเดิมของสถานที่สร้างเมืองมีว่า “เกะสำเภาหงาย” ดังที่ปรากฏในเรื่องตำนานสุวรรณโคมคำ ประชุมพงศาวดารภาค 72

ตามเรื่องเจี้ย หรือนิทานและตำนานกับเรื่องนามเมืองดังเล่ามานี้ ส่อให้เห็นลู่ทางว่าลัทธิผีนาค อาจจะนับถือกันเฉพาะแต่ชาวเมืองเชียงรายแห่งเดียว เพราะปรากฏว่านาคมาช่วยสร้างบ้านเมืองให้ และตามเรื่องตำนานยังปรากฏต่อไปว่านาคบันดาลให้น้ำท่วมเมืองจนกลายเป็นเมืองร้าง ครั้งหนึ่งบันดาลให้เมืองถล่มจมลงกลายเป็น “หนองแสนตอ” ยังปรากฏอยู่ในปัจจุบันก็อีกครั้งหนึ่ง เมืองที่ถูกน้ำท่วมกับทั้งหนองแสนตอที่ว่าเป็นซากเมืองถล่มลงนั้น ก็อยู่ติดกับเมืองเชียงรายทั้ง 2 เมือง เป็นแต่เรียกชื่อว่า เมืองสุวรรณโคมคำ และ เมืองโยนกนครหลวง เท่านั้น


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 18:48
การบวงสรวงผีนาค ณ เมืองเชียงรายนั้น ทำเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2460 ก่อนแต่นี้ก็ได้ว่างเว้นมาหลายปี คือได้เลิกไม่ได้ทำพิธีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2456 อันเป็นปีที่เริ่มประกอบพิธีวิสาขบูชา เหตุที่กลับมาบวงสรวงผีนาคขึ้นอีกครั้งใน พ. ศ. 2460 นั้นเนื่องมาแต่เกิด “ฮ่า” (โรคห่า) ลงเมือง โรคนี้เรียกตามภาษาชาวล้านนาว่า “ขี้ฮากสองกอง” คือ “อหิวาตกโรค” เริ่มเกิดขึ้นในสหรัฐไทใหญ่ก่อนแล้วลุกลามลงมา แทบทั่วกันหมดทุกเมือง ประชาชนตื่นเต้นวิตกกันมาก สมัยนี้เมืองเชียงรายเลิกวิธีการปกครองเมืองอย่างเก่าแล้ว ตั้งศาลากลางจังหวัดที่เมืองเชียงราย เมืองต่างๆที่มีศักดิ์เสมอกับเมืองเชียงรายมาแต่ก่อนคือ เมืองฝาง เชียงแสน เชียงของ เชียงคำ เมืองเทิง และเมืองพะเยา ล้วนเป็นอำเภอขึ้นจังหวัดเชียงราย พระยารัตนาณาเขต( เมืองไชย ณ ลำพูน) เป็นที่นายอำเภอเมือง คณะผู้ครองเมืองชุดเก่าที่ยังมีตัวอยู่ก็ได้เป็นกรมการพิเศษสำหรับเมือง

พ. ศ. 2460 อันเป็นปีที่ห่าลงเมืองนั้น พระราชโยธา(เจิม ปันยารชุน ต่อมาเป็นพระยาตรังฯ สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ท่านได้ทราบว่า ทางเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ได้บัตรพลีบูชาอินต๊ะและผู้เสื้อเมือง ขับไล่โรคห่า จึงคิดจะสะเดาะเคราะห์เมืองอย่างนั้นบ้าง ได้ปรึกษากับพระยารัตนาณาเขตตกลงกันจะบวงสรวงผีนาค ด้วยขณะนั้นใกล้กับวันวิสาขบูชา พระยารัตนาฯ พร้อมด้วยกรมการพิเศษกะการที่จะประกอบส่งไปให้พระราชโยธา ผู้เรียบเรียงเรื่องนี้ยังเป็น “บ่าวแถ่ว” คือ “รุ่นหนุ่ม” มีหน้าที่รับใช้พระยารัตนาฯ ท่านใช้ให้จดหมายบันทึกรายการนั้น พอจำรายการไว้ได้บ้าง จะนำเอามาเล่าในที่นี้เพื่อให้เป็นปรากฏกับอยู่ลัทธิผีนาค

งานบวงสรวงผีหน้าคราวนี้ พระครูเมธังกรญาน (ราชครูเมือง) เจ้าคณะจังหวัด 1 พญามโนวิทูร อาจารย์หลวง 1 แสนสนิทลือไทย อาจารย์รอง 1 พระยาไชยฤกษ์วังสา โหราหลวงเก่าเรียกกันว่า “ปู่เจ้า” 1 พญาไชยเมืองชื่น โหราหลวงใหม่ 1 มาประชุมพร้อมกันที่หอขวางคุ้มหลวง ต่อหน้าพระยารัตนาณาเขต ปรึกษาตกลงกันจะจัดทำตามแบบอย่างครั้งตั้งเมือง กำหนดงาน 5 วัน เริ่มแต่วันขึ้น 12 ค่ำ จนถึงวันแรมค่ำ 1 เดือน 8 (6) มีขบวนแห่นาคและเครื่องไทยทานทุกวัน ในสมัยนั้นการพนันจำพวกโป ซีเหงาลัก และไพ่ป๊อก ไพ่ตอง เหล่านี้ยังผูกเล่นได้ในเทศกาล จึงกะให้มีการพนันตลอดงานกลางวันกลางคืน จำนวนพระสงฆ์ที่จะเข้าพิธี “ภาวนานับประคำ” (นั่งปรก) 108 รูป รับบิณฑบาตสังฆทาน 1000 รูป

ครั้นส่งรายการไปยังพระราชโยธา ท่านขอให้จัดแต่เพียงพอสมควรด้วยเป็นเวลาห่าลงเมืองเมือง เกรงจะไม่มีคนพอแก่การใหญ่ๆ จึงลดลงคงเหลือวันงาน 3 วัน และงดการเล่นพนัน กับทั้งลดจำนวนพระสงฆ์รับบิณฑบาตสังฆทานเหลือเพียง 250 รูป การกีฬาต่างๆปล่อยไว้ให้ตามใจคนที่มีศรัทธา ขบวนแห่นาค ฝ่ายทหารซึ่งอยู่ประจำเมืองในเวลานั้นรับช่วยจัด และปล่อยให้เจ้าของควายนำควายเข้ามาขบวนตามใจสมัคร เพราะควายก็ล้มตายด้วยโรคห่ามาก แต่ในส่วนพระสงฆ์นั่ง 108 รูปนั้นว่าเป็นฤกษ์แรกตั้งเมือง คงมีให้จำนวนฤกษ์ ขณะเรียงหนังสือนี้ พ.ศ. 2485 ได้ค้นดูจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 ที่มีอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ พบสำเนาตราพระราชสีห์ใหญ่กับทั้งคำแปลใบบอกเมืองเชียงใหม่ เรื่องแบ่งพลเมืองเชียงใหม่ ลำพูนอพยพขึ้นไปตั้งเมืองเชียงรายเมื่อ พ.ศ 2386 ในใบบอกมีความตอนหนึ่งว่า

“ข้าฯ ทั้งปวงพร้อมกันนิมนต์พระสงฆ์ 108 รูป เป็นขบวนแห่พระพุทธรูปนำขบวนครัว เข้าตั้งเมืองเชียงราย ได้ทำบุญเป็นการใหญ่ 3 วัน 3 คืนและได้สักการบูชาอารักษ์เสื้อเมือง ขอเอาพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานครปกเกล้าปกกระหม่อมเป็นที่พึ่ง”

ดังนี้ ที่ว่าพระสงฆ์ 108 รูปเป็นฤกษ์ตั้งเมืองนั้น คงจะเป็นฤกษ์นี้เอง

ภาพบน พระยารัตนาณาเขต (เจ้าน้อยเมืองไชย เชื้อเจ็ดตน) เจ้าหลวงเชียงรายตนสุดท้าย และนายอำเภอเมืองเชียงรายคนแรก
ภาพล่าง พระครูเมธังกรญาณ (ป๊อก นันตะรัตน์) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ ราชครูเมืองเชียงราย และเจ้าคณะจังหวัดเชียงรายรูปแรก

(http://)
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 19:07
อีกประการหนึ่ง ตัวบุคคลที่สำคัญในงานนี้ จำเพาะต้องเป็นตัวพ่อเมืองและวงศ์ตระกูลกับทั้งเสนาอำมาตย์ คุณพระราชโยธามอบให้พระยารัตนาฯ เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยราชครูเมืองและกรมการพิเศษ ในพิธีนั้นมีตำแหน่งบุคคลต่างๆ ที่จะเข้าพิธีหลายอย่าง พญาไชยเมืองชื่น โหรหลวง ได้บันทึกอธิบายส่งไปให้พระยาราชโยธาเรียกชื่อว่า “กองเมืองเชียงรายโบราณ” จะนำมาเล่าไว้ในที่นี้ แต่ขอออกตัวไว้ก่อนว่ากองเมืองที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องที่ได้รู้มานานนับเวลาได้เกือบ 30 ปีแล้วอาจจะวิปลาสหลงลืมไปบ้าง ขอท่านผู้อ่านฟังเพียงเป็นเลาๆ ในการเล่าก็จะทดเทียบกับที่นิยมกันทางข้างใต้นี้บ้าง แทรกความเห็นของผู้เรียงตามที่ได้รู้มาภายหลังลงบ้าง เพื่อให้ข้อความดีขึ้น แต่ที่จะให้เล่านี้แต่เพียงที่เกี่ยวข้องกับพิธีบวงสรวงผีนาคเท่านั้น

อันว่า “กองเมือง” นั้น คำว่า “กอง” ตรงกับว่า “คลอง” คือ “ทางเดิน” แยกออกเป็น “กองน้ำ กองบก” – “ทางบก ทางน้ำ” ที่ใช้ว่า “กองเมือง” นี้ คำว่า “กอง-คลอง” แปลว่า “แบบอย่าง” ตามนัยนี้คำว่า “กองเมือง-คลองเมือง” ก็คือ ขนบทำเนียบ หรือ จารีตประเพณีสำหรับเมือง


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 19:32
การครองเมือง

1. ผู้ครองเมือง เรียกว่า “พ่อเมือง” ครั้งโบราณเป็นกษัตริย์แบ่งเป็น 5 ชั้น ตามคุณสมบัติ คือ

     1. พ่อหอเป๊ก หรือ จักรพุตรา
     2. พ่อหอแสง หรือ ปะระมะราจา (บรมราชา)
     3. พ่อหอแก้ว หรือ มหาราจา (มหาราช)
     4. พ่อหอคำ   หรือ ราจา (ราชา)
     5. พ่อหอจันท หรือ อะนุราจ๊ะ (อนุราช) ประเทศราช

คำแทนชื่อพ่อเมืองหรือกษัตริย์ มีใช้หลายอย่าง จะแยกว่าอย่างใดสำหรับพ่อเมืองชั้นไหนนั้นยาก เพราะใช้กันฟั่นเผือมาเสียนานแล้ว กล่าวได้แต่ว่าเมื่อพูดด้วยใช้ว่า “พ่อเหนือหัว เจ้าเหนือหัว และพญาเหนือหัว” เมื่ออ้างถึงใช้ว่า “เจ้าหลวง พ่อเจ้า เจ้าชีวิต และพญาเจ้า” และถ้าเป็นชาวต่างเมืองหรือต่างประเทศก็เติมนามเมืองเข้าข้างท้าย เช่น “เจ้าหลวงลำพูน พ่อเจ้าลำปาง เจ้าชีวิตเชียงใหม่ และพญาเมืองฮาย” เป็นต้น ส่วนที่ใช้เป็น “ราชาศัพท์” ไม่มี คงใช้อย่างเดียวกับบุคคลสามัญ

อนึ่งที่เรียกว่า “พ่อหอ” นั้น คำว่า “หอ” หมายถึง” เรือนหลวง” อย่างเดียวก็คงว่า “ปราสาท” ที่มีคำ “เป๊ก แสง แก้ว แสง คำ และ จันท” ต่อท้ายนั้นอีก เป็นคำหมายถึง “แท่นที่นั่ง” (ราชอาสน์) อันตั้งไว้บนเรือนหลวง เรียกว่า "แท่นเป๊ก แท่นแสง แท่นแก้ว แท่นคำ และแท่นไม้จันทน์" คือเรียกตามลักษณะของแท่นที่ทำเป็น “ลงรักปิดทองประดับลวดลายและเพชรนิลจินดา” แท่น หรืออาสน์ เป็นของทำขึ้นใช้ประกอบศักดิ์ของพ่อเมืองหรือกษัตริย์ แท่นอะไรควรแก่พ่อเมืองชั้นไหน เป็นไปตามที่ได้เรียงลำดับมาแล้วข้างต้น

คำว่า “เป๊ก” สงสัยว่าจะตรงกับ “เพชร” คือจะเป็นเพชรที่ยังไม่ได้ขัดเกลา หรือเจียระไน ด้วยได้พบในตำนานพระธาตุหริภุญชัยเรียก “เมืองกำแพงเพชร” ว่า “เมืองกำแปงเป๊ก” ลักษณะของเป๊กได้เคยเห็นของท่าน พระยาจิตวงษ์วรยศรังษี พ่อเมืองเชียงของ ดูคล้ายกับ หินศิลา เว้นแต่เบาและแข็ง รูปคล้ายกับใบเสมาหรือใบพาย ขนาดโตเท่านิ้วหัวแม่มือ ยาวสัก 2 ข้อนิ้วเศษ จะเป็นวัตถุที่ประสมทำขึ้นหรือเป็นเอง ไม่ได้ถามท่านเจ้าของ สีคล้ำคล้าย “ศิลาแลง” เมื่อถูกแดดมีรัศมีสีทองแวววาว เจ้าของบอกว่าเป็นวิเศษชั้น “อนัคฆมณี” ไม่อาจตีราคา กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า “ค่าควรเมือง” ผู้ใดได้เป๊กไว้ก็เท่ากับผู้นั้นมีกำแพงแสนชั้นป้องกันตัว แต่ทว่ามี “เคล็ด” ในการบูชาขอพร อธิบายว่าต้องเป็นการ “บริสุทธิ์” จริงๆ จึงจะมีสัมฤทธิ์ ของพระยาจิตรวงษ์ฯ นั้น ท่านใส่ในถุงถักด้วยด้าย มีเส้นสายสิญจน์ร้อยสำหรับคล้องคอ ถึงวันพระเอาใส่ฝ่ามือจุ่มลงทรงในน้ำขันแลเห็นลอยน้ำได้ปริ่มๆ

“แสง” ก็เป็นเครื่องรางอีกอย่างหนึ่งซึ่งนิยมกันว่ามีคุณค่าสูง กล่าวกันว่าแสงเป็นของ “เทพอำนวย” มักเอามาประทานไว้ในรังนกลักษณะเป็นอย่างไรไม่เคยเห็น ได้ฟังแต่คำเล่าว่ารูปคล้าย “ดวงแก้ว” มีหลายขนาด ตั้งแต่เท่าเม็ดข้าวโพดขึ้นไปจนถึงฟองไข่นก สีเป็นไปตามสีไข่ในรังที่พบ ผู้ใดได้ว่า เป็นขนาดเล็กก็ถักถุงด้ายสอดสายคล้องคอ ถ้าเป็นขนาดใหญ่ก็ประดิษฐานบนพานตั้งไว้สักการะในบ้านเรือน ว่าห้ามกันได้ซึ่งอุบาทว์จัญไรทั้งหลาย


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 19:44
2. ตำแหน่งนางใน

     1. แม่นางเมือง คือ อัครเทวี
     2. แม่อุ่นเมือง  คือ เทวี มี 2
     3. แม่อยู่เมือง หรือ แม่อายุเมือง คือ หม่อม
     4. แม่ขวัญเมือง เห็นจะตรงกับ “บาทบริจา”

อัครเทวีนั้น เป็นชาวต่างเมือง บางทีก็วงศ์เดียวกันซึ่งแยกไปครองเมืองอื่น บางทีก็เป็นวงศ์อื่น การแต่งงานกับพ่อเมืองกับแม่นางเมืองแต่งโดยพิธี “หมาย” กันไว้ตั้งแต่ยังเป็นทารก เหมือนระเด่นมนตรีกับบุษบาในเรื่องละครอิเหนา แต่เทวี เป็นเชื้อวงศ์ต่างบิดามารดา มีหน้าที่ปกครองสาวสนมนาง 1 รักษาสมบัติและเลี้ยงดูผู้คนนาง 1 บางทีเรียก “แม่หอใต้ แม่หอเหนือ” หรือแม่ซ้าย แม่ขวา ที่เป็นขวาและซ้ายนี้เป็นซ้ายและขวาของแม่นางเมือง คือเป็นหูเป็นตาแทนนางเมือง แม่อยู่เมืองหรือหม่อมนั้นเป็นบริพาลของแม่นางเมืองและแม่อุ่นเมือง สำหรับใช้ให้บำรุงบำเรอพ่อเมืองให้เจริญรมณ์ คือให้มีความเบิกบานใจอยู่ทุกเวลาเหมือนยาอายุวัฒนะ ส่วนแม่ขวัญเมืองต่างกับที่กล่าวมาแล้วด้วยว่าเป็น “ตัวจำนำ” หรือ “นางเชลย” คือเป็นลูกสาวของพ่อเมืองที่ปราบปรามเอามาได้ นางขวัญเมืองนี้จะแต่งตั้งให้เป็นชายาชั้นไหนไม่ได้ จะเป็นแม่อุ่นเมืองก็ไม่ไว้ใจ จะให้เป็นแม่อายุเมืองก็ไม่สมศักดิ์ศรีนาง จึงยกไว้ในที่แม่ขวัญเมือง หมายความว่าได้มาประดับเกียรติยศของพ่อเมืองนั้นเป็น “มิ่งขวัญของเมือง” ดังนี้ เมืองใดจะมีแม่นางขวัญเมืองมากหรือน้อย แล้วแต่ “เตจ๊ะริทธี” ของพ่อเมืองนั้น นางนี้เรียกอีกอย่างว่า “นางซ้อนเมือง” หรือ “นางซ่อนหอ” ด้วยเหตุที่ฝากตัวอยู่ทั้งในแม่นางเมืองและแม่อุ่นเมือง

เหตุที่พ่อเมืองต้องมีแม่อุ่นเมืองนั้น เพราะถือว่าพ่อเมืองหรือกษัตริย์เป็น “พระโพธิสัตว์” เสด็จลงมาเอากำเนิดเพื่อบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในชาติอนาคต อันพระโพธิสัตว์นั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อนิยมว่าพระโพธิสัตว์มาอุบัติ องค์อื่นมาเอากำเนิดสืบตระกูลพ่อเมืองของตน เพื่อจะได้ปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุข เพราะพระโพธิสัตว์มีใจคอกว้างขวาง ประกอบด้วยเมตตากรุณาช่วยเหลือคณาสัตว์ให้สุขสำราญ แต่การที่พระโพธิสัตว์จะมาเอากำเนิดหรือไม่นั้น สำคัญอยู่ที่ตัวแม่นางเมือง แม่นางเมืองเป็นหมันหรือประพฤติมิชอบ พระโพธิสัตว์ก็มาปฏิสนธิไม่ได้หรือไม่มาเอากำเนิดทีเดียว จึงต้องมีนางอุ่นเมืองไว้สำรองคอยรับพระโพธิสัตว์ให้เป็นที่อุ่นใจของประชาชน ด้วยเหตุนี้นางเทวี จึงได้นามว่า “แม่นางอุ่นเมือง”


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 19:55
3. ตำแหน่งลูกหลวง

      ก. เกิดแต่แม่นางเมือง ชาย เรียก “พ่อท้าว” ถ้าเป็นทายาทเรียกว่า “แสงเมือง” หญิง เรียก “จ๋าวเมือง” คำ จ๋าว คือ จาว เช่น จาวตาล จาวมะพร้าวและจาวดอกไม้ ถ้าเป็นทายาทเรียก “นางดอกคำ” หรือ “ดอกไม้คำ”
      ข. เกิดแต่แม่อุ่นเมือง ชาย เรียก “ท้าว” เป็นทายาทเรียก “หน่อเมือง” หญิง เรียก “นาง” โดยปกติไม่ได้เป็นทายาท
      ค. เกิดแต่แม่อายุเมืองและขวัญเมือง คงเรียกว่า ท้าวและนาง เหมือนกันหมดโดยปกติไม่เป็นทายาท แต่ชายได้เป็นท้าวกินเมืองขึ้น

ลูกหลวงที่ได้เป็น แสงเมือง หน่อเมือง นั้น เมื่อเจริญวัยขึ้นและฝึกหัดบัญชาการบ้านเมือง เรียกว่า “พ่อเมืองเหล็ก” เป็นคุณนาม หมายความว่ากำลังหนุ่มแน่นแข็งแรง เมื่อแต่งงานแล้วเรียก “พ่อหอหน้า” ที่เป็น ท้าว เมื่อฝึกราชการเรียกว่า “เริงเมือง” เมื่อแต่งงานแล้วเรียกว่า “พ่อหอ” แล้วแต่จะปลูกหออยู่ทิศใดของคุ้มหลวงวังหลวง เช่นว่า พ่อหอเหนือ หรือหอใต้ หรือถ้าได้กินเมืองก็เรียกว่า พ่อหมอเมือง นี้เป็นต้น

ยังมีท้าวอีก 2 จำพวก จำพวกหนึ่งเป็นพ่อเมืองขึ้นที่ปราบมาได้ในเหตุการณ์เช่นนี้ตัวพ่อเมืองที่ถูกปราบ คนเก่ามักถูกทำลายหรือหลบหนีไป ฝ่ายที่ปราบได้ก็ตั้งเชื้อวงศ์ของเมืองนั้นเป็นพ่อเมืองขึ้นใหม่ และพ่อเมืองที่ปราบได้ผูกข้อมือถือขวัญเอาเป็นลูก แล้วจึงตั้งให้เป็นพ่อเมืองและให้เป็นท้าว ข้อนี้มีหลักอยู่ที่เรียกหัวเมืองขึ้นว่า “ลูกเมือง” ส่วนท้าวอีกจำพวกหนึ่งนั้นเป็นขุนนาง อธิบายว่า “ท้าว” จำพวกนี้เป็นแบบอย่างทางภาคอีสาน มิใช่เป็นธรรมเนียมเดิมของบ้านเมือง มีความปรากฏในเรื่องตำนานว่าเมื่อสมัยอยุธยา เจ้าโพธิสาร หรือบุญสาร เชื้อสายเจ้าเมืองเวียงจันทน์ ได้ขึ้นไปครองเมืองเชียงใหม่และต่อมาๆ ครองเมืองเชียงแสน สมัยนี้เมืองเชียงรายเป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงแสน จะสันนิษฐานว่าเจ้าโพธิสารคงได้นำแบบอย่างในการแต่งตั้งขุนนางในอาณาเขตลานช้าง ขึ้นไปใช้ในลานนาตั้งแต่สมัยนั้น ตำแหน่ง ท้าว ที่เป็นขุนนางจึงมีอยู่ในภาคพายัพ


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 20:06
4. เถ้าศรีเมือง

พ่อเมือง มีที่ปรึกษา 4 ท่าน เรียกทั้งคณะว่า “เถ้าศรีเมือง” หรือ “มนตรี” เรียกเป็นสามัญว่า “ต้าวตังสี่-ท้าวทั้งสี่” ถ้าเรียกรายตัวว่า

        1. ราชครูเมือง
        2. อาจารย์หลวง
        3. โหราหลวง
        4. ต๋าเมือง คือตาเมือง ในเมืองเชียงตุงเรียก “พญาปราสาท”

        ก. ราชครูเมือง เป็นพระสังฆราชา เรียกเป็นสามัญว่า “หัวหน้าคณะฝ่ายหนใน” หมายความว่า “ฝ่ายปฏิบัติตนใกล้หรือเหมือนกับพุทธจริยวัตร”
        ข. อาจารย์หลวง คือ “นักปราชญ์” เรียกเป็นสามัญว่า “หัวหน้าคณะหนฝ่ายนอก” หมายความว่า “ฝ่ายปฏิบัติไม่ครบอย่างพุทธจริยวัตร” เป็นคฤหัสถ์ได้บวชเรียนทรงความรู้เท่าๆ กับราชครูเมือง แล้วสึกออกมามีหน้าที่ให้คำแนะนำพ่อเมืองในการพิพากษา เทียบได้กับ “อธิบดีศาลฎีกา” และเป็นหัวหน้าชาวเมืองประกอบการกุศลบางครั้งก็เป็นผู้วินิจฉัยปัญหาในพระไตรปิฎก และให้คำแนะนำสั่งสอนพระภิกษุสามเณร
        ค. โหราหลวง คือ โหรหลวง มีหน้าที่ทางพยากรณ์โชคลางและพิธีในไสยศาสตร์ บางคนก็เป็น “พ่อเลี้ยง” คือแพทย์ ด้วยเรียกกันเป็นสามัญว่า “พ่อหมอเถ้า” ถ้าอยู่ในวัยชราเรียกว่า “ปู่เจ้า”
        ง. ต๋าเมือง ตาเมือง เป็นที่พระนามหาอุปราช เทียบอย่างง่ายๆ ว่า “นายกรัฐมนตรี”


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 20:21
5. ยศบริวาร

คือ เสนาอำมาตย์ แบ่งเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้

1. หัวสาม อาจจะหมายถึง “อาลักษณ์” หรือ “เลขาธิการคณะรัฐบาล” มีหน้าที่ในการติดต่อสื่อสาร และการคลัง มีตำแหน่งขึ้นอยู่หัว 3 อย่างคือ
        ก. หัวศีล เห็นจะตรงกับ “สังฆการี”
        ข. หัวเมืองแก้ว ทำกิจต่างเมือง หรือ การต่างประเทศ
        ค. หัวคลังแก้ว นายคลัง
นอกจากนี้ยังมีตำแหน่ง “ม้าแข้งเหล็ก-ผู้เดินทน” กับ “ม้าแข้งไฟ-ผู้เดินเร็ว” ขึ้นอยู่กับหัวสามอีก 2 ตำแหน่ง เข้าใจว่า “ม้าแข้งเหล็ก” จะตรงกับ “ทหารรักษาวัง” ทางเมืองเชียงใหม่เรียกตำแหน่งนี้ว่า “เขน” แปลว่า “สู้ หรือต่อสู้” ส่วน “ม้าแข้งไฟ” เห็นจะตรงกับ “ตำรวจวัง” คำนี้ทางเมืองเชียงตุงเรียกว่า “แย” เห็นจะเป็นภาษาพม่าทำหน้าที่อยู่ยาม และรับใช้
2. หัวสนาม บางทีเรียก “อะธิปติ” เห็นจะได้แก่ “เจ้ากรมต่างๆ ฝ่ายพลเรือน” เรียกเป็นสามัญว่า “จ๊ะเร” คำนี้ใกล้เคียงกับภาษาเขมรว่า “สเสร” ซึ่งแปลว่า “เสมียน”
คำว่า “สนาม” ตรงกับ “ศาลากลางจังหวัด หรือศาล” ถ้าพ่อเมืองไปนั่งทำการที่สนามเป็นนิจ สนามนั้นเรียกว่า “เค้าสนามหลวง”
3. หัวสึก บางทีเรียกว่า “ขุนพล” ตรงกับ “แม่ทัพนายกอง” มีตั้งแต่หัวสิบ-นายสิบ ผู้บังคับหมู่ หัวซาว-นายหมวด ผู้บังคับหมวด หัวร้อย-นายร้อย ผู้บังคับกองร้อย หัวพัน-นายพัน ผู้บังคับกองพัน หัวหมื่น-นายพล ผู้บังคับการกองพล เจ้าแสน-แม่ทัพ ตำแหน่งชั้นเจ้าแสนนั้นบางทีเรียก “ขุนพลแก้ว” แต่เรียกตามคุณสมบัติ

ยศบริวารต่างๆ ที่สรรพนามมานี้ ต๋าเมือง หรือ พญามหาอุปราช เป็นหัวหน้า พญาอุปราชนั้นมีหน้าที่โดยเฉพาะ 2 อย่าง คือ จัดการปกครองบ้านเมือง และพิพากษาคดีต่างๆ ที่เรียกว่า “วัวพันหลัก” (เห็นจะตรงกับ “อุทลุม”) น่าจะเทียบได้กับ “อธิบดีศาลอุทธรณ์”


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 17 ม.ค. 19, 20:50
“กองเมือง” ที่สรรพนามมานี้ ต้องเข้าพิธีในการบวงสรวงผีนาคทั้งนั้น ผู้หลักผู้ใหญ่บอกเล่าให้ฟังว่า “ยามตะก่อน” คือ “เมื่อกาลแต่ก่อน” เมืองเชียงราย เชียงแสนเป็น “เมืองสองฝ่ายฟ้า” แต่เดิมรวมอยู่ในสหรัฐไทยใหญ่ มีเมืองเชียงรุ่งเป็นประธาน แล้วเมืองเชียงตุงแยกออกไปขอร่วมกับเมืองนาย (อยู่ตะวันตกแม่น้ำคง) ต่อมาพม่าได้เมืองนาย เมืองเชียงตุงก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า เมืองเชียงรายเชียงแสนยังคงเป็น “เมืองพี่เมืองน้อง” กับเมืองเชียงรุ่งตามเดิม เมืองเชียงรุ่งนั้นอยู่เหนือเมืองเชียงตุงขึ้นไป ชาวเชียงแสนเชียงรายจะขึ้นไปเมืองเชียงรุ่งแต่ก่อนเดินทางผ่านเมืองเชียงตุง ครั้นเมืองเชียงตุงไปรวมกับเมืองนาย การเดินทางลำบากด้วยม้าวิวาทฆ่าฟันกันเนืองๆ ชาวเชียงรายเชียงแสนจึงแยกทางเดินไปเมืองเชียงรุ่งไม่ผ่านเมืองเชียงตุง คือแยกที่เมืองพะยากตรงไปเมืองยอง เมืองหลวย เมืองขาก ขึ้นไปเมืองเชียงรุ่ง แม้กะนั้นบางสมัยก่อนไม่ปลอดภัยด้วยเมืองพะยากเป็นเมืองขึ้นเมืองเชียงตุง ครั้นต่อมาพม่าได้เมืองเชียงใหม่ เมืองเชียงแสนเชียงรายตกอยู่ระหว่างกลางอำนาจพม่า จึงจำต้องยอมอ่อนน้อมต่อพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ทางเมืองเชียงรุ่งก็ยังไปมาติดต่อ ถึงปีก็ส่งส่วยแก่พม่าที่เมืองเชียงใหม่ และส่งของขวัญไปเยี่ยมเยือนติดต่อกับเมืองเชียงรุ่งทั้งสองฝ่าย จึงได้นามเรียกในสมัยนั้นว่า “เมืองสองฝ่ายฟ้า”

ต่อจากนี้เข้าสู่กลียุค มหายุทธสงครามระหว่างไทยกับพม่า เมืองเชียงรายทรงอยู่ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางครั้งพม่ามาตั้งการปกครองอยู่ที่เมืองเชียงแสน บางคราวไทยก็ส่งข้าหลวงขึ้นไปนั่งเมือง บางคาบเมืองเชียงรายตกเป็นเมืองไร้พ่อเมือง มีแต่พ่อนายบ้านตำบลควบคุมราษฎรเป็นแห่งๆ อย่างว่าเป็น “ซ่อง” ในที่สุดตัวเมืองเชียงรายตกเป็นเมืองร้างมาแต่เมื่อ “พระยาเสือ” คือ  เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์) ยกกองทัพขึ้นไปปราบปรามพม่าที่เมืองเชียงแสนสมัยกรุงธนบุรี สมัยนี้เชียงรายขึ้นเมืองเชียงแสนมีพ่อเมืองที่พม่าแต่งตั้ง กองทัพไทยยึดเอาเมืองเชียงรายเป็นกองทัพใหญ่ต่อสู้ขับไล่พม่า พ่อเมืองเชียงรายตายในที่รบ ราษฎรถูกกวาดต้อนอพยพลงมากรุงธนบุรี ได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ในเขตจังหวัดสระบุรีบ้าง ที่บ้านม้า จังหวัดลพบุรีบ้าง

ท่านผู้อ่านโปรดให้อภัย ที่นำเอาข้อความนอกเรื่องผีมากล่าวอย่างยืดยาว ที่นำมาเล่าในที่นี้ก็เพื่อจะให้ท่านพิจารณาว่า “กองเมือง” ที่ได้เล่ามา และเป็นตัวบุคคลสำคัญในการบวงสรวงผีนาคที่จะก่าวต่อไป อาจมีชาวเมืองของชาวอื่นคลุกเคล้าอยู่บ้าง เพราะเมืองเชียงรายเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้าดังกล่าวมาแล้ว กองเมืองเชียงรายโบราณที่พญาไชยเมืองชื่นบันทึกนี้ เมื่อเสร็จการบวงสรวงผีนาคแล้ว ถึง พ.ศ.2462 พระราชชายา เจ้าดารารัศมี เสด็จประพาสเมืองเชียงราย ได้ทรงรวบรวมเอามายังเมืองเชียงใหม่ จึงเชื่อว่าจะยังอยู่ที่ห้องสมุดคุ้มหลวงเมืองนครเชียงใหม่ปัจจุบัน


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: Naris ที่ 18 ม.ค. 19, 12:49
ผมได้ยินคำว่า "เป็ก" ครั้งแรกในกลุ่มผู้นิยมโป่งข่ามครับ
มีโป่งข่ามชนิดหนึ่งเรียกว่า "แก้วเข้าเป็ก" ว่ากันว่า มีสรรพคุณทางเสริมกำลัง ความมั่งคั่ง ทรัพย์สิน มีคนให้ผมมาเม็ดหนึ่ง ขนาดราวปลายนิ้วก้อย ลักษณะเป็นเม็ดกลมรูปไข่ ภายในมีผลึกโลหะ (น่าจะเป็นแร่ไพไรต์ แต่ผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่าอะไร) อยู่ภายใน จะจริงจะแท้หรือไม่ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ 


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 18 ม.ค. 19, 16:46
รายการบวงสรวงผีนาคนั้น แยกตัวบุคคลออกเป็น 2 ฝ่ายๆหนึ่งเรียกว่า “ผู้ถือกั๋มม์” หรือ ผู้ถือศีล เห็นจะตรงกับ ถือบวช อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้จ๋องก๋ำม์” เห็นจะตรงกับ จองเวร

คณะผู้ถือกรรมหรือถือบวช ประกอบด้วยบุคคล
1. ตัวพ่อเมือง เป็นผู้สะเดาะเคราะห์ เรียก “หลีกเคราะห์”
2. ราชครูเมือง เป็น “สักขีบุญ” หรือ ผู้รับรอง
3. อาจารย์หลวง
4.โหราหลวงเป็นผู้ “ปัดเคราะห์” ปัดรังควาน
5. แม่นางเมือง จัดการ “อวยตาน” คือ ให้ทาน

คณะผู้จองกรรม หรือ จองเวร ประกอบด้วยตัวบุคคล คือ
1. แม่มด เรียกว่า “ย่าที่นั่ง” คือ “คนทรง”
2. แสงเมือง หรือ หน่อเมือง เป็น “ผู้ถูกเคราะห์” และเป็นผู้อำนวยการทั่วไป เรียกให้ฟังง่ายคือผู้เปิดพิธีนี้
3. ต๋าเมือง หรือ พญามหาอุปราช เป็น มหานฤมิตร คือ “พญานาค”

บุคคลอื่นๆ นอกจากนี้เป็นตัวประกอบ มีหน้าที่คนละอย่างๆ ดังจะกล่าวต่อไปนี้


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 18 ม.ค. 19, 18:51
มณฑลพิธี

สถานที่ประกอบพิธีกระทำ ณ บริเวณ “ดอยจอมทอง” เรียกกันเป็นสามัญในเวลาปกติว่า “ดอยหัวเวียง” ในพิธีนี้เรียกว่า “ดอยหัวนาค” ดอยจอมทองเป็นหมู่เขาน้อยกลุ่มหนึ่งมี 4 ม่อน หรือ 4 จอม (คำว่า ม่อน และ จอม ตรงกับ ยอด) แล้วมีที่ลาดเป็นเชิงเขาติดต่อกันทั้ง 4 ม่อน มีชื่อต่างกัน คือ นับแต่ตะวันออกไปตะวันตก คือ
1. ม่อนจอมแว่
2. ม่อนจอมแจ้ง
3. ม่อนจอมทอง
4. ม่อนฤาษี อยู่หลังม่อนจอมแจ้ง
ที่ตรงหน้า “ม่อนจอมแจ้ง” คือทางทิศเหนือ เป็นสนามหญ้าเรียกว่า “ข่วงหลวง” (สนามหลวง) จัดเป็นที่มณฑลพิธีบวงสรวงผีนาค ที่บนม่อนจอมทอง เป็นวัดไม่มีพระสงฆ์อยู่ จัดพระวิหารเป็นที่ “สืบชะตาเมือง” และปลูกศาลา “ปะรำ” ที่พักของพ่อเมืองไว้บนเขานี้

ข่วงหลวง หรือ สนามหลวง นั้น กว้างราว 5 เส้น ยาวราว 25 เส้นหรือ 1 กิโลเมตร รูปของข่วงหลวงเป็นอย่าง “อัฒจรรย์” ทางนูนอยู่ทางเชิงดอย อีกทางหนึ่งเป็น “กองนาค” (ถนนนาค) ซึ่งเป็นถนนมาจากท่านาค ขึ้นไปบนยอดม่อนจอมทอง ตอนขึ้นไปบนม่อนจอมทองทำเป็น “บันไดนาค” ต่อจากเชิงบันไดนาคนี้ไปทางตะวันตก มีถนนก่ออิฐเรียกว่า “กองใน” (ถนนใน) เป็นทางเดินมาจาก “หอเจนเมือง” หรือ วังคำ มาต่อกับกองนาค และยังมีถนนทางลัดจากวังคำนี้เป็นทางผ่านขึ้นไปตามหมู่เขาน้อยอันเป็นเชิงดอยช้าง ไปยังสวนดอกไม้เรียกว่า “เวียงสวนดอก” อีกสายหนึ่ง เวียงสวนดอกนั้นอยู่ทางตะวันตกเมือง

ที่กึ่งกลาง “ข่วงหลวง-สนามหลวง” ปลูกโรงพิธีบวงสรวงผีนาคเรียกว่า “หอนาค” หรือ “หอผีลง” ตัวโรงพิธีนี้ทำเป็นรูป “กลม” วัดผ่าศูนย์กลางยาว 5 วา มีหลังคา 2 ชั้น ชั้นบนดาดด้วยผ้าขาวผ้าแดงสลับกัน ชั้นล่างมุงด้วยหญ้าคา ยกพื้นสูงจากระดับดินราว 2 ศอก เป็นที่ “ผีลง” บนพื้นยก ปูเสื่อ วาง “หมอนหก” คือหมอนชนิดมีไส้ใน 2 ช่อง สำหรับหนุนนอน ใบ 1 “หมอนอิ่ง” คือหมอนตะพาบน้ำ สำหรับวางบนตักแล้วตั้งศอกเอามือเท้าคาง ใบ 1 “หมอนผา” คือหมอนอิงหรือหมอนพิง เป็นรูปสามเหลี่ยมคมขวาน สำหรับใช้เอนหลังใบ 1 บนพื้นยกมีลูกกรงและมีบันไดทั้ง 4 ทิศ แล้วทำพะเพิงหลังคาตัดต่อจากโรงพิธีนี้ออกไปทั้ง 4 ทิศ กว้างราวด้านละ 10 วา ด้านเหนือเป็นที่ตั้งเครื่องสังเวย ด้านตะวันออกเป็นที่ขับร้องฟ้อนรำบำเรอ ด้านใต้เป็นที่คนพัก ด้านตะวันตกเป็นที่พักของและเป็นทางเดินติดต่อกับวงกตท้องข่วง ต่อจากโรงพิธีนี้ไปม่อนจอมทองทางตะวันตก ทำทางวงกตหรือเขาวงกต ตั้งแต่ชายคาพะเพิงโรงพิธีคดค้อมไปบรรจบกับเชิงบันไดนาคที่ลงมาจากม่อนจอมทอง

ที่ทางเหนือคือที่ติดต่อจากพะเพิงโรงพิธีตั้งเครื่องสังเวยนั้น ปลูกศาลารายเป็นแห่งๆ สำหรับคหบดีผู้มีใจศรัทธาบริจาคทาน ที่ขอบสนามติดต่อกับกองนาคปลูก “ตูบหมาแหงน-พะเพิงหมาแหงน” ประมาณ 30-40 หลัง เป็นศาลาอวยตาน ให้ทานของแม่นางเมืองและนางใน ที่ต่อจากโรงพิธีไปทางตะวันออกเป็นที่ว่าง สำหรับเล่นกีฬาข่วงไชยและฟ้อนรำหอกดาบ สุดสนามด้านนี้คือที่เชิงม่อนจอมแว่ ปลูกศาลา 19 ห้อง 3 หลัง เป็นที่พัก “คนดีพายนอก คือพวกที่นิยมเวทมนตร์คาถาต่างๆ” ที่มีความศรัทธาจะมาแสดงวิชาคุณ เช่น ฟ้อนหอกฟ้อนดาบ เป็นต้น กับทั้งเป็นที่พักของผู้ที่มาจากทางไกล

ที่สนามด้านใต้จากโรงพิธีเป็นศาลาที่พักเครื่องไทยทานต่างๆ สำหรับถวายพระสงฆ์ ขอบสนามด้านนี้ปลูกศาลายาว 39 ห้อง 2 หลัง กว้าง 3 วา ไม่กั้นฝา นับเอาช่องเสาเป็นห้อง สำหรับพระสงฆ์ฉัน หน้าศาลามีร้านสำหรับคาวหวานถวายพระ คือจัดสำรับคาวหวาน มีแต่ถ้วยชามเปล่ามาตั้งเรียงเป็นแถวตามจำนวนพระสงฆ์ ไว้คอยรับผู้ที่จะนำอาหารมาจัดตามใจสมัคร โดยมากมักเป็นของแห้ง ถ้าผู้ใดต้มแกงมาต้องจัดใส่ชามของตนเอง

โดยรอบบริเวณสนามนี้ทำรั้ว “ตาแสง” คือรั้วขัดเป็นรูปตาเหลวหรือตาแหลว ปลูกต้นกล้วย ต้นอ้อย และต้นกุ๊ก ช่อน้อยตุงไชย สลับกับเสาโคมไฟและเสาไต้ ทำด้วยไม้เกี๊ยะ ไม้สนเป็นระยะๆ ตัวโรงพิธีและศาลาทั้งปวงประดับด้วยใบไม้ดอกไม้ซึ่งเกณฑ์กันทำเป็นหมู่บ้านๆ

ที่ท่านาค เป็นท่าลงแม่น้ำอยู่ที่หน้าศาลากลางจังหวัด ทำบันไดนาคด้วยไม้พาดจากบนฝั่ง คือ ที่หัวกองนาคลงไปในแม่น้ำ หัวบันไดนาคนี้ปักเสาโคมใหญ่สูงขึ้นทั้งสองข้าง และชักโคมไฟขึ้นแขวนได้ ตามถนนกองนาค ทำรั้วตาแสงและปลูกต้นกล้วยอ้อยกับกุ๊ก ประดับธงทิว และใบไม้ดอกไม้ตลอดสายจนถึงบนม่อนจอมทอง ที่บนม่อนจอมทองตั้งร้านเครื่องบูชาเหมือนกับม้าหมู่เครื่องบูชา รอบพระวิหารและพระเจดีย์มีธงรูปนาคสีเหลืองปักรายตามกำแพงวัดจอมทองโดยรอบ

ที่หอเจนเมือง หรือ “วังคำ” อยู่ที่เชิงม่อนจอมทองทางตะวันตก ปลูกศาลเพียงตา ขึงเส้นหญ้าคาเขียวและตาแหลวรอบศาลเป็นบริเวณกว้าง 8 วา ตัวศาลนั้นสูงเพียงตา กว้าง 1 วาจัตุรัส รอบรั้วปลูกกล้วยอ้อยและกุ๊กประดับประดาเหมือนกับที่โรงพิธี ถนนกองในก็ตกแต่งเช่นเดียวกับถนนกองนาค ตรงหน้าศาลเพียงตาขุดหลุมใหญ่ลึก 4 ศอก กว้าง 4 วาจัตุรัส เป็นที่ทำจองกั๋มม์ หรือ “อาถรรพ์” ต่อจากรั้วตาแหลวไปทางตะวันตกเป็น ข่วงใน “สนามใน” ไปจนถึงลำน้ำแม่กอนเก่า แต่เรียกกันว่า “หนองอู่” ที่ตอนนี้ติดต่อกับเมืองอู่คำซึ่งร้างมานานแล้ว

ที่หอผู้เสื้อเมืองอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นอกกำแพงเมือง คนละมุมเมืองกับดอยจอมทอง ที่นี้เป็นเมืองเก่าเหมือนกันชื่อ “เมืองสามฝั่งแกน” จัดทำความสะอาดทั่วบริเวณ ตกแต่งประดับประดาเหมือนกันกับที่วังคำ ปลูก “ผามเปียง” คือปะรำหลังคาตัด เป็นที่พักคน 2 หลัง สำหรับพ่อเมืองและวงศ์ตระกูล 1 หลัง ยศบริวารหลัง 1 และถากหญ้าที่ตะวันตกหอผีเสื้อเมืองกว้างราว 15 วาจตุรัส เป็น “ข่วงลูกกุย” คือสนามชกมวย การชกมวยทางภาคพายัพ ชกกันบนพื้นดินไม่ทำเวที ขึงเชือกโดยรอบข่วงสำหรับกันคนดูมิให้ล่วงล้ำเข้าไป


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 18 ม.ค. 19, 18:58
แผนที่มณฑลพิธีบวงสรวงผีนาค ทำโดย นโม ตสฺส

หมายเหตุ
กองนาค (ถนนนาค) = ปัจจุบันคือ ถนนไกสรสิทธิ์
กองใน (ถนนใน) = ปัจจุบันคือ ถนนอาจอำนวย


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 18 ม.ค. 19, 20:49
เครื่องบริขารต่างๆ

เครื่องสังเวยผีนาค
1. สำรับคาว เรียก “ขันข้าว” ของกินทำด้วยปลาทั้งนั้น (ในคำอธิบายว่าต้องเป็นปลาตายเอง)
2. สำรับหวาน เรียก “ขันหวาน” จัดแต่ขนมต่างๆ
3. หัวมัน ถั่ว งา ต้มน้ำตาล หรือต้มเปล่าจิ้ม หรือคลุกน้ำอ้ออย
4. กล้วยสุกหลายชนิด จัดใส่พาน
5. อ้อย ปอกและควั่นเป็นชิ้นๆ จัดใส่พานต่างหาก
6. ส้มสุกลูกไม้ จัดใส่พานต่างหาก
7. น้ำบ่อทราย คือตักน้ำจากบ่อที่ขุดลึกลงไปถึงทราย ใส่ “สลุง” คือ “ขันน้ำขนาดกลางราวขันสำหรับใส่ข้าวตักบาตร” มี “สะลอบ” ลอยในนั้น สลุง 1

เครื่องสักการะผีนาค
1. พานดอกไม้ ธูป เทียน เชิงเทียน ราวเทียน กระถางธูป จัดหลายที่ วางในพะเพิงเป็นระยะๆ
2. เทียนหนัก 5 บาท 4 เชิง
3. พานพุ่มดอกไม้สด เรียกว่า “ขันดอกไม้” หลายพุ่ม
4. ต้นผึ้ง คือดอกไม้ทำด้วยขี้ผึ้ง และเอาต้นกล้วยทำเป็นพานพุ่ม เอาดอกผึ้งเสียบไม้ปักไว้เป็นพุ่ม หลายๆต้น
สิ่งของที่กล่าวมานี้เป็นของราษฎรต่างรวมกันจัดมาเป็นหมู่บ้านๆ หรือตำบลๆ และมีกระบวนแห่มาโดยเฉพาะ
5.บอกไฟ (บั้งไฟ)
สำหรับบูชากลางวัน
   ก. บอกไฟหล่อ คือ จุดให้แล่นไปตามพื้นดิน
   ข. บอกไฟขึ้น สำหรับจุดให้ลอยขึ้นไปบนอากาศ
บอกไฟหล่อนั้น ทำอย่างเดียวกับบอกไฟขึ้น เมื่อประกอบหางและหัวเสร็จแล้ว เอา “ล้อ” ผูกติดที่หัว วางลงกับพื้นดิน ทำด้วยรูปสัตว์ต่างๆ ผูกติดไว้ บอกไฟขึ้นนั้น ทำด้วยไม้เฮี้ย และมีลูกโหว้ (โหวด) ผูกติดที่หัวให้มีเสียงดังเมื่อเวลาแล่นขึ้นไปบนอากาศแล้วตกลงมา โดยปกติทำใหญ่และเล็กต่างกันหลายขนาด แต่สำหรับงานบวงสรวงผีนาค พ่อเมืองต้องจัดให้ทำขึ้นเป็นขนาดใหญ่กระบอก 1 น้ำหนักดินเฝ่าแสนหนึ่งราบ 1 หาบ นอกจากนี้ประชาชนผู้มีศรัทธาก็จัดทำมาบูชาเพิ่มอีกมากและหลายขนาด ตั้งแต่ใหญ่ลงไปหาเล็ก น้ำหนักดินเผ่าเพียงฮ้อยเดียวราว 1 ชั่ง รวมทั้งหมดมีจำนวนบอกไฟราว 500-600 บอก ต้องแบ่งจุดหลายวัน กระบอกที่เป็นส่วนของพ่อเมืองนั้นใหญ่กว่าเพื่อน ในเวลาจุดมีบอกไฟที่เป็นบริวารอีกหลายอย่าง และต้องล่ามสายฝักแคจากโรงพิธีไปยังร้านที่จุดบอกไฟยาวหลายร้อยวา
บริวารบอกไฟของพ่อเมืองนั้น คือ
   1. สายมะผาบ คือ “ฝักแค”
   2. สะโบ๊ก คือ ปล้องไม้ระเบิดทำด้วยไม้ไผ่สีสุก
   3. บอกไฟจักจั่น ทำด้วยเมล็ดมะม่วง เห็นจะตรงกับ ตะไล
   4. บอกไฟนกกะจาบ จักจั่นนั่นเองแต่ไม่มีหาง
   5. บอกไฟลูกหนู
สำหรับจุดบูชาในเวลากลางคืน
   ก. ไฟดอกไม้ คือ ไฟพะเนียง
   ข. ไฟดอกไม้ปวง คือ กังหันหมุน
   ค. ไฟช้างร้อง
   ง. ไฟดาว คือ พลุ
   จ. ไฟเทียน เห็นจะตรงกับ พุ่มระทา

ของยื่นของปั่น (บรรณาการ) ผีนาค
   ก. เงิน 15000 ใช้เบี้ย
   ข. หมาก พลู พร้าว ตาล ส้มสุกลูกไม้ต่างๆ และสรรพพืชผลที่เพาะปลูกขึ้นภายในบ้านเมือง
   ค. ชิ้นปลาอาหารที่ทำเป็นของแห้ง
   ง. ผ้าผ่อนทอสไบ ที่ทำใช้เองในบ้านเมือง
   จ. ภาชนะต่างๆ ที่ทำขึ้นใช้เอง โดยมากเป็นเครื่องดินเผากับเครื่องไม้สลักจักสานและกลึง
   ฉ. เครื่องยารักษาโรค คือรากไม้ เปลือกไม้ และลูกไม้ที่ใช้ทำยา (ของเหล่านี้ราษฎรต่างจัดหามาทุกตำบลหมู่บ้านตามใจสมัคร)

เครื่องขอพรผีนาค
   ก. พานบายศรี ด้ายสายสิญจน์ สำรับคาวหวานอย่างคนกิน
   ข. เทียนขี้ผึ้งหนัก 5 บาท 4 บาท 10 บาท อย่างละ 2 เล่ม ติดเชิง
   ค. อ่างสลุง (ขันสาคร) ใส่น้ำบ่อทรายแช่ฝักส้มป่อยจี้ไฟ เกสรดอกไม้ รากหญ้าแพรก รากหญ้าคา ใบโมก ใบเงินใบทอง ใบมะตูม
   ง. ผ้าไหว้ คือผ้าขาวทอเอง ฮำ 1 (ฮำ 1 คือ พับ 1)

เครื่องยศผีนาค เชิญมาตั้งให้เมื่อผีลง
   ก. ผ้าขาวสำหรับนุ่งผืน 1 ผ้าขาวสไบผืน 1 เครื่องอาภรณ์อย่างอื่นคือผ้าม่วงผ้าไหม และกางเกง พร้อมทั้งเสื้อหมวก เกือก ไม้เท้าต้องจัดไว้หลายๆ สำหรับ เตรียมไว้เผื่อเรียกเวลามหรรสพ
   ข. ไม้เท้า
   ค. ขันหมาก คือ เชี่ยนหมาก
   ง. น้ำต้น คือ คนโทน้ำ มีฝาครอบ
   จ. ครกหมาก คือ ตะบันหมาก และกระโถนเรียกว่า “ล้อกหมาก” (ถือกันมาว่า “น้ำเป็นต้นกำปาก หมากเป็นต้นกำขาน”)
   ฉ. นอกจากนี้มีเครื่องจองกั๋มม์ หรือ จองเวร จัดอย่างเดียวกับพิธีจ๋องกั๋มม์ในลัทธิผีครูที่เล่ามาแล้ว

ภาพ ข่วงหลวงเมืองเชียงราย พ.ศ.2467 ข้างบนคือวัดพระธาตุดอยจอมทอง ใช้เป็นที่สืบชะตาในงานบวงสรวงผีนาค


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 10:49
เริ่มงานบวงสรวง

เมื่อแรกเริ่มงาน เป็นงานของคนกับผีปู่ย่า คือคนจะเชิญผีปู่ย่าเข้าร่วมการบวงสรวงผีนาค งานนี้เรียกว่า “เข้าหว่างคาวป่า” คือ “เข้าไปสู่ป่า” หรือ “ประเวสไพร” มีรายการดังนี้

แต่ก่อนว่าเรื่องงานในวันขึ้น 5 ค่ำจนไปถึงวัน 10 ค่ำเดือน 8 (6) แต่คราวนี้เริ่มในวันขึ้น 12 ค่ำ ตั้งแต่เวลาเช้า พ่อเมืองประชุมตระกูลวงศ์ ยศ บริวาร คหบดี และชาวชนที่สามารถจะมาได้ ณ ที่คุ้มหลวง (บ้านพ่อเมือง) ช่วยกันตกแต่งเรือนหลวงให้สะอาดงดงามตา และตระเตรียมเครื่องบริขารในการบวงสรวงผีนาค ผีปู่ย่า มีซอเคล้าปี่ให้คนมาทำงานฟัง กับมีการซ้อมฟ้อนรำของเหล่าสตรีเป็นพักๆ

หัวสาม หัวศีล หัวเมืองแก้ว และ หัวคลังแก้ว เป็นเจ้าหน้าที่ในการนั้นทั้งสิ้น หัวสนามต่างๆ ช่วยกันตกแต่งเรือนหลวงและอาสนะผี อาสนพระ ม้าแข้งเหล็ก ม้าแข้งไฟจัดการเปรียบมวย ซึ่งเรียกว่า “หาคู่ลูกกุย” ให้ “จุมก๋อง” คือ “ชุมกลอง” บันลือ “ก๋องผิ้ง-กลองผิ้ง” ที่บริเวณโรงรั้ง “โรงรักษาการ” ภายในประตูคุ้ม (ประตูบ้านพ่อเมือง) เรียก “คนลูกกุยดี-นักมวยเอก” ให้อาสา “ตี๋ลูกกุย-ชกมวย”

ก๋องผิ้ง หรือ กลองผิ้ง นั้น คือ “ปี่พาทย์” ชนิดหนึ่ง เป็นสำรับ ประกอบด้วย
1. กลองสองหน้า หน้าหนึ่งใหญ่ หน้าหนึ่งเล็ก 2 ใบ
     ก. ใบใหญ่ เรียกว่า “ก๋องผิ้ง-กลองผิ้ง”
     ข. ใบเล็ก เรียกว่า “ก๋องปง-กองพง”
2. ปี่แนใหญ่ 1 เล็ก 1 เรียกว่า “แนใหญ่-แนน้อย”
3. ฆ้องวง 1 ราง เรียกว่า “พาทย์ค้อง”
4. สว่า คือ ฉาบ 1
5. สิ่ง คือ ฉิ่ง 1
รวมทั้งหมดนี้เรียกว่า “ก๋องผิ้ง-กลองผิ้ง” เรียกทั้งผู้บรรเลงและฟ้อนรำว่า “จุมก๋องผิ้ง-ชุมกลองผิ้ง” ความหมายเห็นจะตรงกับ “คณะปี่พาทย์กลองผิ้ง”

วิธีบันลือกลองนั้น ฆ้องวงกับปี่แนบรรเลงเพลงชื่อ “ย่านางเหลียว” กลองตีล้อเสียงกันเป็นจังหวะฆ้องวงและปี่ ฉาบกับฉิ่งก็ตีล้อเสียงกันเป็นเสียงจังหวะกลอง บรรเลงอย่างช้าให้ไพเราะ มีนางฟ้อนคู่หนึ่ง นางฟ้อนนี้นุ่งผ้าซิ่นไว้เชิงเพียงใต้เข่าเล็กน้อย มีผ้ารัดเอว สวมกำไลข้อเท้า ไม่ใส่เสื้อใช้ผ้าแถบรัดอกบีบก้นห้อยชายลงทางข้างทั้งสองชาย ใส่จอนหูซึ่งเรียกว่า “ตือลานหู” เพราะเอาใบตาลม้วนกลมสอดเข้ารูหู และเสียบดอกไม้ที่ใจกลางลาน เกล้าผมมวยประลงทางหลังสวมพวงมาลัยสด ไม่สวมแหวน แต่สวมเล็บทุกนิ้วและใส่กำไลข้อมือวิธีฟ้อร เรียกว่า “ฟ้อนนางเหลียว” และ ฟ้อนทำนอง “ล้อกัน” บางที่เรียก “ฟ้อนไล่เมง”

ภาพ จุมกลองผิ้ง หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วงเต่งถิ้ง ในงานศพที่เชียงใหม่ พ.ศ.2510 (ภายหลังมีการเพิ่ม “พาทย์ไม้” หรือระนาดเอก ระนาดทุ้ม เข้าผสมในวง)
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 11:11
เมื่อบันลือกลองผิ้ง “เริ่มราว 13 น.” ขึ้นแล้ว นักมวยซึ่งเรียกว่า “คนลูกกุยดี” ตำบลต่างๆ ก็พากันเข้าสู่บริเวณนั้น และ “คูบา” คือ “หมอรักษาพยาบาลด้วยอาคมในเวลาบาดเจ็บ” ก็มารวมอยู่ด้วยเพื่อคอยหานักมวยผู้ที่ที่จะให้เป็นผู้พยาบาลซึ่งมักพูดจาตกงค่ารักษาไว้ก่อน ถึงเวลา 15 น. ม้าแข้งเหล็กก็เริ่ม “เผียลูกกุย-เปรียบคู่มวย” เลือกเอาขนาดอายุ 12-15 ปี คู่ 1 อายุ 16-20 ปี 2 คู่ อายุ 20-30 ปี 3 คู่ อายุเรือน 40 ปี อีก 1 คู่ รวมเป็น 7 คู่ การเปรียบคู่มวยหรือลูกกุยนี้ถือเอาความสำคัญเป็นหลัก 2 ข้อ ข้อหนึ่งคือ ให้สูงเท่ากัน ข้อสองน้ำใจสมัครทั้งสองฝ่าย ส่วนรูปร่างอ้วนล่ำหรือผอมเรียวกับช่วงอกจะได้ขนาดเท่าเทียมกันหรือไม่เป็นข้อสำคัญ เมื่อเปรียบได้คู่แล้วก็ยกพวกไปคอยอยู่ที่ “ข่วงลูกกุย-สนามชกมวย” ที่หน้าหอผีเสื้อเมืองทั้งหมด และไปบรรเลงเพลงย่านางเหลียวหรือช้านางเหลียว ณ ที่นั่นจนกว่าขบวนเชิญผีจะไปถึง

ส่วนพวกหัวสึก ก็ตระเตรียมการต่างๆ ตามหน้าที่ แต่เพราะเหตุงานแผนกนี้ไม่ได้ตระเตรียมเป็นขบวนจริงจังจึงขอกล่าวเป็นเรื่องราวว่า

    ขุนม้าจัดหาม้ามิ่ง       เคยชิงไชยชิตจิตกล้า
 ขุนช้างจัดหาช้างงา       ค่ายค้ำพังคาเทียบไว้
 ขุนรถเตรียมรถที่นั่ง       พร้อมทั้งคานหามงามไสว
 ขุนพลเรียกเหล่าพลไกร  ที่ในข่วงคุ้มอึงคะนึงฯ


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 13:21
ขอพรรณณาเครื่องแต่งกายลงในตอนนี้ก่อน เพราะพิธีสืบแต่นี้ไปผู้ประกอบพิธี เว้นแต่อาจารย์หลวง โหราหลวง กับแม่มดคนทรง ซึ่งนุ่งขาวห่มขาวแล้ว นอกนั้นแต่งตัวตามประเพณีเดิม ราชครูเมืองก็ครองไต่อย่างปกติสมณะ

เครื่องแต่งตัวของผู้เข้าพิธี เรียกว่า “เสื้อผ้าจก” คือเป็นเสื้อกางเกงซิ่น และผ้าพันศีรษะ หมวก ชนิดที่ “ปัก” เป็นลวดลายต่างๆ คำว่า “จก” ก็หมายถึง “ปัก” นี้เอง เพื่อให้สะดวกจะเรียกว่า “เครื่องยศ” เพราะแต่งในการพิธี คือ
    ก. สำหรับผู้ชาย
         1. หมวก สีดำหรือขาว รูปคล้ายหมวกเด็กมีดุมถักติดบนตรงกึ่งกลาง ตัวหมวกปักเป็นรูปใบไม้และเถาวัลย์
         2. เสื้อพื้นดำหรือน้ำเงินแก่หรือขาวแบบ “เสื้อกุยเฮง” หรือ “เสื้อจีน” แขนเล็กเรียวยาวถึงข้อมือมีดุมถักหรือโลหะ 5 เม็ด และ 7 เม็ด มีกระเป๋าข้างในเป็นเศษ 1 ใน 4 ของวงกลมทั้งสองข้าง ปักเป็นเส้นดุนที่ชายเสื้อโดยรอบและเลี้ยวขึ้นไปหน้าอกอ้อมขึ้นถึงคอ ดูคล้ายกับเอาเชือกคล้องคอและรัดสเอว
         3. กางเกง เรียกว่า “เตี่ยวขาจก” พื้นสีเดียวกับเสื้อรูปกางเกงจีน ขาแคบเรียวลงถึงข้อเท้า ที่เหนือข้อเท้าราว 4 นิ้ว ปักเป็นแถบรอบขา
         4. ผ้าพันศีรษะ ทอสลับสีในเนื้อขาวแดง ดำแดง เขียวดำ หรือ เขียวเทา แล้วแต่ใจชอบ มีชายครุย เวลาพันศีรษะเหน็บชายข้างบนเป็นหูกระต่าย ทั้งสองข้างปล่อยชายครุยห้อนลงมา
         5. สายรั้ง คือ สายรัดเอว (เข็มขัด) ถักด้วยด้ายสีดำ สีแดง หรือ สีเขียว สีเทา ตามใจชอบ
    ข. สำหรับผู้หญิง แต่ง
         1. แพรพันศีรษะสีต่างๆ ตามใจชอบ ยาวเกือบ 3 วา กว้างศอกกว่าแต่พันให้เล็กแคบเข้าเหลือราวคืบ 1 ใช้พันศีรษะรอบเกล้ามวยผมเป็นรูปถ้วย เวลาแต่งแพรพันศีรษะไม่แซมดอกไม้ที่มวยผม แต่เลื่อนปิ่นมาเสียบที่ผ้านี้ทางข้างใดข้างหนึ่ง
         2. เสื้อ พื้นขาวสีเทาอ่อนหรือลาย เรียกชื่อ “เสื้อกัด” หรือ เสื้อกินคิง คือ “เสื้อคัดรัดตัว” แหวกอกทำเป็นริมเหี่ยมเลยไปผูกด้ายหรือกัดดุมถักทางข้างซ้ายตรงสีข้างแห่ง 1 ที่เลยกันไปใกล้รักแร้แห่ง 1 ตัวยาวเพียงบั้นเอวเหนือชายล่างปักเป็นแถบ ดูคล้ายกับคาดเข็มขัด แขนเล็กเรียวและยาวถึงปลายนิ้วมือ เวลาสวมต้องจีบสอดเข้าและมีผู้ช่วยดึงรูดขึ้นมาไว้ที่ข้อมือ จัดแขนให้เป็นคลื่นแล้วสวมกำไลข้อมือ ข้อศอก ทั้งสองข้าง
         3. ซิ่น พื้นดำหรือขาวหรือเขียวเทา ทอทั้งตัวมีทับหน้าเบื้องล่างห่างจากชายราว 4 นิ้ว หรือน้อยกว่านั้น เป็นสีอื่นสีเดียวบ้างหลายสีบ้างสลับกัน สุดแต่ให้งามรับกับสีพื้น แล้วมีเชิงปักด้วยดิ้นหรือไหมหรือด้ายสีต่างๆ เย็บต่อกับทับหน้าอีกชั้นหนึ่ง ลวดลายที่ปักเชิงนั้นเป็นรูปใบไม้ดอกไม้และเถาวัลย์เรียกว่า “ซิ่นตีนจก”
         4. สายรัดเอว เช่นเดียวกับของผู้ชายและรัดในเสื้อเหมือนกัน

เครื่องยศที่ว่ามานี้ ใช้แต่งอย่างเดียวกันหมด แต่แสดงยศชั้นยศด้วยสิ่งของที่ใช้ เป็นมูลนายก็ปักหรือจกด้วยเส้นไหมเส้นดิ้นที่รองลงมาก็ปักด้วยเส้นด้ายธรรมดา จำพวกหัวสึกรู้ได้ด้วยอาวุธที่ถืออีกอย่างหนึ่ง คือเป็นตัวนายก็ถือดาบด้ามคร่ำนาก ทอง เงิน ที่รองลงก็เป็นด้ามถักด้วยเส้นหวาย และถือปืนผาหน้าไม้ต่างๆ

นอกจากนี้ผู้ชายกับผู้หญิงแต่งตัวผิดกันอีก 2 อย่าง คือ ผู้ชายใช้สวมแหวนที่นิ้วชี้อย่างเดียว ส่วนผู้หญิงสวมแหวนที่นิ้วนางและสวมสร้อยคอคล้องกับจอนหู เว้นแต่เข้าพิธีแต่งงานจึงสวมแหวนทุกนิ้ว และผู้หญิงก็สวมเล็บทุกนิ้วเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งนั้นคือ หมวกชนิดหนึ่งเรียกว่า “กุบ” รูปคล้ายกระด้งคว่ำแต่นูนกว่ากระด้งเล็กน้อย ใช้สำหรับกันฝน มีที่สวมศีรษะสามด้วยไม้หรือหวายติดไว้ข้างในเรียกว่า “หย่องหัว” (ยองหัว) มีสายรัดคางของผู้ชายใช้ดอกไม้หรือหวายสานเป็นโครง 2 ชั้น เอาใบไม้ติ่งตากแห้งแล้วกรุให้โครงหมวกนั้นบังคับและเย็บกิ่งไว้กับโครงด้วยหวาย ส่วนของผู้หญิงมีโครงอันเดียวและใช้ “กาบไม้ซาง” (ไม้ไผ่สีสุก) เย็บติดกับโครงด้วยเส้นด้ายสี กับมีกระสวยกาบไม้ซางคว่ำเย็บติดตรงกึ่งกลางเบื้องบน เวลาไปไหนๆ มักถือติดมือไปด้วยเหมือนกับใช้ร่มทุกวันนี้

เครื่องแสดงยศสลักดิ้นนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “กลด” เรียกว่า จ่า “สัปทน” อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งใช้ประกอบกับตำแหน่ง คือ
   1. พ่อเมือง                        ใช้สีขาวลายทองมีระบาย
   2. นางเมือง                       สีเหลืองลายขาวมีระบาย และมีชุมสายซึ่งรวบผูกไว้กับด้าม
   3. แสงเมือง                       สีน้ำเงินแถบทองมีระบาย
   4. ดอกคำ                         สีม่วงอ่อนหรือโศก มีระบายและชุมสาย
   5. ราชครูเมือง                    สีทองมีระบาย มีชุมสาย
   6. อาจารย์หลวง โหราหลวง    สีขาวลายดอกไม้จันทน์สีต่างๆ มีระบาย
   7. ตาเมือง                        สีเขียวลายทองมีระบาย
   8. เจ้าแสน                        สีแดงแถบทองไม่มีระบาย
   9. เจ้าหมื่น                        สีแดงล้วนไม่มีระบาย
พวกท้าวและพ่อเมืองขึ้น ใช้สีน้ำเงินหรือสีเขียวล้วน ไม่มีระบาย แต่การใช้สัปทนนี้ใช้เฉพาะเวลาอยู่กับที่ซึ่งปักไว้เป็นร่มอย่างหนึ่ง กับเวลาขี่ช้างขี่ม้าและคานหาม มีคนกั้นให้อีกอย่างหนึ่ง ในเวลาเดินไม่กั้น


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 14:59
เชิญผี

ถึงเวลา 16.00 น.เศษ ตั้งขบวนเชิญผีที่คุ้มหลวง อาจารย์หลวงถือหางนกยูง โหราหลวงเชิญพานดอกไม้ธูปเทียนสำหรับจุดและย่าที่นั่งคือ แม่มดคนทรง เชิญพานข้าวตอกดอกไม้ ปูอาสนะผ้าขาวแดงเหนือข้าวตอก เดินหน้า ไม่มีเครื่องประโคม ถัดมา แสงเมือง ตาเมือง กับผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหญิงชายเดินตาม แล้วถึงคานหาม 4 ลำคาน ม้าแข้งเหล็กหาม 8 คน ม้าแข้งไฟเชิญสัปทนสีแดงลายทองมีระบายเคียงข้าง หัวหมื่น หัวพัน เดินแซงสองข้าง เจ้าแสนเดินตามคานหาม แล้วพวกหลานชายหญิงของพ่อเมืองและแม่นางเมืองที่แรกรุ่นเป็นหนุ่มเป็นสาวเรียกว่า “หน่อแก้วกวงคำ” เชิญเครื่องยศตาม พวกหน่อแก้ว-หลานชายเชิญปืน หอก ดาบ มีดซุย ไม้เท้า ไม้แส้ เชี่ยนหมาก คนโทน้ำ และกระโถน พวกกวงคำ-หลานหญิงเชิญพานผ้าผ่อนท่อนสไบ เครื่องสำอาง พัด และถุงยา คือ “ย่ามโอสถ” ต่อจากเครื่องยศพวกทนายโรงชั้นแก่หาม “อ่างสลุง” คือขันสาครใส่น้ำอบน้ำหอมและน้ำขมิ้นส้มป่อย สำหรับผีปู่ย่าอาบสรง 4 ขัน แล้วมีม้าแข้งเหล็ก ม้าแข้งไฟถือ “มัดหวาย” เดินคั่น 8 คนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้ว “พวกเด็กน้อยทนายโรง” เทียบกับ “มหาดเล็กเด็กชา” เดินตามเป็นขบวนสุดท้าย เคลื่อนออกจากคุ้มหลวงไปยังหอผีเสื้อเมืองอย่างเงียบๆ ไปถึงแล้วคนอื่นๆ พักในปะรำและตามที่ในบริเวณ

คณะผู้เชิญผี คือ แม่มดซึ่งเรียกว่า “ย่าที่นั่ง” เชิญพานข้าวตอกเดินหน้า อาจารย์หลวงถือหางนกยูงเดินขวา โหราหลวงถือพานดอกไม้ธูปเทียนเดินซ้าย แสงเมืองกับตัวเมืองเดินเคียงข้างกันต่ออีกแถวหนึ่ง หน่อแก้วกวงคำเดินเป็นแถวกระดานสลับกันตามแถวหนึ่ง เข้าไปสู่แท่นบูชาหน้าศาล ส่วนคานหามเข้าเทียบเชิงบันไดศาล ขันน้ำอาบสรง ตั้งเรียงกันเบื้องหลังแท่นบูชา คือ ข้างในติดกับหน้าศาล

แม่มดวางพานอาสนะบนแท่นแล้วนั่งพับเพียบหน้าแท่น โหรหลวงจุดธูปเทียนบูชาติดและปักที่แท่น อาจารย์หลวงชูหางนกยูงในท่าพนมมือ กล่าวคำอัญเชิญผีเป็นคำร่ายคล้ายกับคำเชิญกันตามธรรมดา ออกนามกษัตริย์เก่าๆ ที่ถือว่าเป็นประธาน 3 ท่านคือ ปู่เจ้าลาวจก พรหมราช และ เจ้าหมวกขาว จบแล้วแสงเมืองนำหน่อแก้วกวงคำเข้าจุดธูปเทียนบูชาที่แท่นบูชา และเชิญเครื่องยศขึ้นไปตั้งหน้าอาสนะที่ในห้องบนศาล น้ำอบน้ำหอมที่สำหรับอาบสรง ก็ยกขึ้นไปตั้งที่นอกชาน เสร็จแล้วกลับลงมานั่งล้อมแท่นบูชาอยู่เบื้องล่างด้วยกันกับแม่มด แต่แสงเมืองจะไปนั่งพักที่ประจำ

ศาล หรือหอผีเสื้อเมืองนั้น ใหญ่เท่ากับเรือนธรรมดา หันหน้าสู่ทิศใต้ มีฝารอบทั้ง 4 ด้าน เบื้องหน้ามีมุขยื่นออกมาไม่มีฝา มีบันไดพาดข้างตะวันตกมุข ที่หน้ามุขมีตั่งเหนือม้านั่งไว้ตัวหนึ่ง ที่พื้นดินตรงหน้ามุขนี้มีแท่นสำหรับบูชา ตะวันตกศาลเป็นข่วงลูกกุย “สนามมวย” ทางเหนือเป็นเรือนคนเฝ้ารักษา ตะวันออกเป็นโรงช้างโรงม้า “เทียม” ทางใต้เป็นประตูเข้าไปสู่ศาล ปลูกปะรำที่ข้างประตูนี้ข้างละหลังเป็นที่พัก ข้างบนศาลตอนในห้องมีเตียงและตั่ง “อาสนะ” เครื่องยศที่ขนขึ้นไปวางหน้าอาสนะนี้ น้ำอบน้ำหอมตั้งที่นอกชานเบื้องหลัง ในระหว่างที่ขนเครื่องยศขึ้นศาลนั้น ราษฎรเข้าบูชาเครื่องสักการะที่แท่นบูชา แล้วกลับไปคอยดูมวยอยู่ที่ข้างสนามมวย

ขณะนี้ พิณพาทย์กลองผิ้งบรรเลงเพลง “ย่า หรือ ข้านางเหลียว” ตลอดเวลา เบื้องบนศาลจะมีอะไรบ้างไม่เห็น คนก็ลงมาหมด จึงขอสมมุติเรื่องตอนนี้ไว้เป็นกลอนว่า

    เบื้องนั้น                            จอมเจ้าธานี “ผีปู่ย่า”
รับอาสิรพาทราธนา                    แล้วมาสะสรงอินทรีย์
เอาสลุงจ้วงตักวารินรด                ด้วยน้ำดอกไม้สดเกสรศรี
หอมหวนยวลใจเปรมปรีดิ์             ซาบฉวีเฟื่องฟุ้งจรุงองค์
นุ่งเตี่ยวยาวพราวพรายเรียกลายจุด  เสื้อจกดิ้นทองส่องศรีหงส์
คาดสายรั้งถักอร่ามงามบรรจง        เหน็บมีดซุยคู่ทรงด้ามมณี
แต่งองค์ทรงเพศเป็นชาวป่า          ไม่แต่งอย่างกษัตราเรืองศรี
ทัดดวงบุปผามาลี                      ผ้าจกพันเกศีทิ้งชาย
จับศรีขรรค์ไชยสิทธิ์ฤทธิเรือง         คู่เมืองเลื่องเดชฉานฉาย
งามเพียงพรหมพักตร์เพราพราย      ผันผายออกมาเวลาเย็น
ย่อยสยิ่งอย่างโอปาติกะ               ตามวาทะเก่าแก่แลไม่เห็น
คนสยองพองหัวกลัวทั้งเป็น           นึกเห็นนั่งหน้าศาลาทองฯ

    บัดนี้                                หน่อแก้วกวงคำทั้งผอง
ต่างระยอบนอบตัวขนหัวพอง         ค่อยเยื้องย่องน้อมกายถวายกร
เชิดช่อมาลาม่ายฟ้อน                 โอนอ่อนบำเรออดิสร
ขอพระเดชปกเกศสถาพร             ให้นาครเป็นสุขสำราญฯ

แผนที่หอเสื้อเมืองเชียงราย ทำโดย นโม ตสฺส
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 18:04
ฟ้อนอยู่ราว 10 นาที พิณพาทย์กลองส่งสำเนียงจากเพลงข้านางเหลียวเป็น “เพลงลูกกุย” ได้ยินเสียงม้าแข้งเหล็กม้าแข้งไฟเรียกขานชื่อ “คนลูกกุยดี-นักมวยเอก” เข้าสู่ “ข่วงลูกกุย” การฟ้อนของหน่อแก้วกวงคำก็ยุติลง และพากันไปเชิญเครื่องยศจากบนศาลมาลงมาเข้าขบวน พานอาสนะตั้งบนคานหาม (สันนิฐานว่าผีปู่ย่ามาขึ้นคานหาม) แล้วกางสัปทนกั้น ยกคานหามไปเทียบที่ขอบข่วงลูกกุยข้างถนนที่จะออกไปจากศาล ส่วนน้ำอบน้ำหอมอันเป็นน้ำอาบสรงก็เอาประพรมและสาดล้างข้างบนศาลจนหมด

นักมวยถูกเรียกขานชื่อ เข้ามาถวายบังคมที่หน้าคานหาม ทีละคู่ เริ่มแต่เด็กไปหาผู้ใหญ่ ให้นั่งคุกเข่าบังคมเคียงกัน 3 ลา แล้วต่างลุกขึ้นเดินถอยห่างออกไปจากกันราว 2 วา ครูมวยซึ่งนำคู่ชกเข้ามาบังคมนั้น รำเพลงมวยให้ดูก่อน เพงที่รำนั้นเรียกว่า “ไม้เป็นไม้ตาย” ชื่อ เสือลากหาง 1 ย่างสามขุม 1 จุมหน้าค้อน 1 รำหลอกล้อกันจบเพลงแล้วถวายบังคม 3 คาบ และเลยอยู่เป็นผู้กำกับนักมวยที่ต่อยกันต่อไป นักมวยเริ่มรำท่า “ลูกกุย” เข้า “ตี๋ลูกกุย” ชกกันไปจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้

ลักษณะการตี๋ลูกกุย-ชกมวย ในลานนาไทยโบราณนั้นผิดกับปัจจุบันนี้หลายอย่าง คือ
1. มวย หรือ กำหมัด ซึ่งเรียกว่า “ลูกกุย” ไม่คาดด้าย ให้ชกต่อยกันตามธรรมชาติของกำหมัด
2. นอกจากชกต่อยกันด้วยกำหมัด อนุญาตให้ใช้เข่ากระทุ้งกระแทกช่วยกำหมัดได้
3. ห้ามใช้ข้อศอกถอง หรือใช้เท้าเตะ
4. กำหนดที่ให้ชกต่อยและกระแทกกระทุ้งได้เฉพาะที่ส่วน “ศีรษะ” คือ ดวงหน้า นับแต่ลูกคางขึ้นไป
5. บริเวณร่างกายส่วนอื่น ห้ามไม่ให้ชกต่อย หรือกระทุ้งกระแทกเป็นอันขาด
6. เวลาล้ม ห้ามไม่ให้อีกฝ่ายซ้ำ แต่ให้ถอยออกไปนั่งอยู่ห่างๆ ราว 1 วา ถ้าฝ่ายล้มยอมแพ้ล้มลุกขึ้นไม่ได้ อีกฝ่ายก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าฝ่ายล้มลุกขึ้นได้และไม่ยอมแพ้ อีกฝ่ายก็ลุกยืนขึ้นและเป็นฝ่ายคอยรับ ฝ่ายที่ล้มเป็นฝ่ายรุก่อน

ด้วยเหตุที่มีบัญญัติการชกต่อยดังว่านี้ คู่ต่อยมวย “ตี๋ลูกกุย” ต้องรำทำท่าหลอก ล้อ และขู่ เพื่อลวงให้อีกฝ่ายหลงกลและกระโดดเข้า “คลุก” ชกต่อยตามดวงหน้าหรือเหนี่ยวศีรษะให้ก้มงแล้วใช้เข่าเดาะหรือกระทุ้ง เรียกว่า “เข้าเนียนใน” คือ “วงใน” บางคู่ชกกันถึงแพ้ชนะได้รวดเร็ว บางคู่ก็นาน บางคนล้มลงแล้วคูบาเข้าแก้ไขกลับลุกขึ้นและรุกคู่ต่อสู้จนชนะก็มี เมื่อตี๋ลูกกุยเสร็จแล้ว หัวหมื่น หัวพันรำหอกดาบบูชาอีกคู่หนึ่ง แล้วจัดขบวนเชิญผีกับเข้าคุ้ม ขบวนตอนนี้ระเบียบอย่างเดียวกับขามาเชิญ ผิดกันแต่ตาเมืองนำขบวน อาจารย์หวง โหราหลวง ประคองคานหาม พานอาสนะตั้งบนคานหาม ย่าที่นั่งเดินหน้าคานหามหว่างกลางคนหาม แสงเมืองเดินตาม

ภาพ ข่วงลูกกุยที่นครลำพูน เมื่อคราวสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จเลียบมณฑลพายัพ  วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2449
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 19:51
ที่คุ้ม (บ้านพ่อเมือง) จัดช้าง ม้าที่นั่งแต่งเครื่องอานอย่างเต็มยศ พร้อมด้วยรถที่นั่ง คอยรับอยู่หน้าเรือนหลวง ผู้คนบริเวณนั่งรายกันคอยรับอยู่ข้างถนนภายในคุ้มหลวง
ช้างที่นั่ง ผูกเครื่องป๊วงเงินป๊วงคำ “พวงเงินพวงทอง” คือผูกสัปคับไม่มีประทุน ข้างตัวช้างตอนท้ายห้อยพู่จามรีขาว สลับกับดาวเงินดาวคำรูปคล้ายกระดองเต่า ทำด้วยทองเหลืองหรือเงินขัดมันเกลี้ยง ตอนหัวช้างผูกพู่จามรีที่โคนหู หน้าช้างปกคลุมตาข่ายทองหรือเงินมีดาวดังกล่าวแล้ว งาสวมปลอกเป็นปล้องๆ ปลายงาสวมกระสวยผ้าสีแดงปลอกทองที่ยอดมีพู่จามรีแขวนกระดิ่ง เรียกว่า “เด็ง” ที่คอบนสัปคับปูอาสนะผ้าขาวแดง

ม้าที่นั่ง ผูกอามนวม ผูกสายถือ(บังเหียน) หน้าผากห้อยพู่จามรีขาว มีตะปิ้งประกบดั้งจมูกและแก้ม ลำตัวก็ห้อยดาวเงินดาวทองอย่างเดียวกับช้าง

รถที่นั่ง เป็นรถ 2 ล้อ มีเรือนและมีประทุน (คล้ายกับ “เกวียนเทียมวัว”) เทียมม้า 2 ตัว เรือนรถพื้นแดงฉลุลาย ทางม้าที่เทียมปูผ้าขาวแดงบนหลัง ในเรือนรถที่ตั้ง “อาสนะ” ปูผ้าขาวแดงปักธงที่คานงอนและปัก “ต้นกุ๊ก” ที่เรือนรถทั้ง 2 ข้าง (ต้นกุ๊กเป็นพรรณไม้อย่างหนึ่งจำพวกเดียวกับ ข่า ขิง และขมิ้น ต้นสูงท่วมศีรษะ มีหัวอย่างเดียวกับขมิ้นแต่สีขาวไม่มีกลิ่น ทางใต้นี้จะเรียกอะไรไม่ทราบแต่ไม่ใช่ “ไพล”(ไพลนั้นทางลานนาเรียก “ปูเลย”) ว่ากุ๊กเป็นไม้กันอุบาทว์จัญไร)

วัวนำ (พญาวัว) ควายนำ (พญาควาย) ผูกเครื่องผ้าขาวแดงบนหลังและมีเครื่องดาวเงินดาวคำห้อยข้าง มีหางนกยูงติดกับซองปากปลายหางอยู่ระหว่างเขา

สัตว์ทั้ง 4 ชนิดนี้ จัดให้ยืนต่อจากบันไดขึ้นเรือนหลวงไปทางตะวันตก ตามลำดับช้าง ม้า วัว ควาย เรือนหลวงนั้นหันหน้าขึ้นเหนือ พวกหัวต่างๆ ยืนกำกับสัตว์ทั้ง 4 เป็นหมู่ๆ รถที่นั่งจอดในสนามหญ้าหน้าบันไดเรือนหลวง ห่างราว 5 วา หน้ารถไปทางตะวันตก

ภาพ ช้างในกระบวนแห่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเข้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อคราวเสด็จมณฑลพายัพ พ.ศ. 2469


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 20:00
แล้วมีขบวนฟ้อนทั้งหญิงและชาย เรียกว่า “ฟ้อนขุนนาง” คือลูกของเสนาอำมาตย์ ขนาดอายุรุ่นหนุ่มรุ่นสาว ตอนแรกแยกกันฟ้อนเป็นพวกตามเพศ เคล้าจังหวะกลองแอวที่ในสนามหญ้า เรียกว่า “ฟ้อนเพลงกลองแอว” กลองแอวนั้นเป็น “ปี่พาทย์” อีกสำหรับ 1 นามที่เรียกว่ากลองแอว ก็เพราะมีแอว (คือสเอว) ยาว เป็นกลองหน้าเดียวรูปคล้ายกลองยาวหรือเถิดเทิง แต่ยาวกว่า เวลาตีต้องหาม เครื่องปี่พาทย์กลองแอวมี
1.   กลองแอว 1
2.   กลองสองหน้าเท่ากัน ใหญ่ราววัดผ่าศูนย์กลาง 1 คืบ ยาวราว 2 ศอก ชื่อ “กลองตลดปด” ใบ 1
3.   ฆ้องโหม่ง 1 ฆ้องหมุ่ย 1
4.   ฉายใหญ่ 1 ฉิ่ง 1
5.   ปี่แน 2 ใหญ่ 1 เล็ก 1
รวมกันเป็นสำรับ 1 เรียกว่า “จุมก๋องแอว-พวกปี่พาทย์กลองแอว” วิธีบรรเลง ต้องโหม่งตียืนจังหวะ ฆ้องหมุ่ยตีจังหวะเดียวกับฆ้องโหม่งแต่เว้น 1 ตี 1 กลองแอวตีขัดจังหวะฆ้อง กลองตลดปดตีในจังหวะ 2 ทีต่อฆ้องโหม่งที 1 ฉาบกับฉิ่งตีล้อกันขัดจังหวะ ปี่แนบรรเลง “เชิงชาย” บางทีเรียก “เพลงกลองแอว” เพราะกองแอวบรรเลงได้ทำนองเดียวเท่านี้ ผู้ฟ้อนจังหวะกลองแอวในพิธีเมื่อเชิญผีมา ฟ้อนผสมชายหญิงเป็นหมู่ใหญ่ เพราะเป็นส่วนของราษฎร ชายฟ้อนมือเปล่า หญิงประกอบช่อดอกไม้ ถ้ากลางคืนหญิงฟ้อนเทียนไฟ ชายช่อดอกไม้เคล้าคละกัน

ภาพ จุมกลองแอว หรือ อีกชื่อหนึ่งว่า วงตึ่งโนง ที่วัดสวนดอก เมืองเชียงใหม่ ไม่ทราบ พ.ศ.
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 19 ม.ค. 19, 22:32
ตัวพ่อเมือง แม่นางเมือง พร้อมด้วยวงศาคณาญาติผู้ใหญ่และคหบดีเศรษฐียศบริวาร เชิญพานดอกไม้และเครื่องอัฐบริขารสำหรับถวายพระสงฆ์ ไปคอยรับอยู่ที่หน้าวิหาร วัดเชียงมั่น ซึ่งเป็นวัดอยู่ในบริเวณคุ้มหลวง

พระสงฆ์ผู้ใหญ่ 5   คือ ราชครูเมือง 1 สวาตุ๊เจ้าอุปัชฌาจารย์ 1 สวาตุ๊เจ้าปู่ครูหัวป่า (คือเจ้าคณะฝ่ายอารัญวาสี) 1 สวาตุ๊เจ้าปู่ครูหัวเมือง (คือเจ้าคณะฝ่ายคามวาสี) 1 สวาตุ๊เจ้าใบระกาเมือง (เห็นจะตรงกับ “ปลัดสังฆมณฑล”) 1 คอยรับอยู่ในอุโบสถ

เมื่อขบวนแห่มาถึง เทียบคานหามที่เชิงบันไดอุโบสถ กลองผิ้งซึ่งล่วงหน้ามาก่อนบรรเลงเพลง “ย่านางเหลียว” นักมวยที่ได้ต่อยกัน ณ ศาลผีเสื้อเมืองเข้ารับรางวัล ฝ่ายต่อยชนะได้คนละ 8 บาท และ 4 [km แล้วแต่ต่อยกันมากหรือน้อย ฝีมือดีไม่ดี ฝ่ายแพ้ได้คนละ 7 บาท และ 3 บาท ตามลักษณะเดียวกับฝ่ายชนะ

ให้รางวัลมวยเสร็จแล้ว พ่อเมืองเชิญพานอาสนะขึ้นไปประดิษฐานบนม้าหมู่ในอุโบสถ 5 รูปสวด “ภวตุ สรรพมังคลัง 3 จบ” แล้วถวายไตรและเครื่องบริขาร พระสงฆ์รองไตรใหม่แล้วสวดให้พรพระ จบแล้วเชิญพานอาสนะกลับขึ้นคานหาม เดินขบวนต่อไปยังคุ้มหลวงโดยทางใน การมหรสพที่เตรียมไว้คอยรับในคุ้มบรรเลงประกอบบนห้าหมู่ที่บนหอขวาง มีพิณพาทย์ “ซึงเถา” 3 คันบรรเลงประกอบกับการฟ้อนรำ และการฟ้อนรำตลอดถึงช้างม้าที่นั่ง เลิกขบวนไปพวกดนตรีปี่อ้อเริ่มบรรเลงตามปะรำภายในคุ้มหลวง

แผนผังคุ้มหลวงเมืองเชียงราย ทำโดย นโม ตสฺส ปัจจุบันคุ้มหลวงและวัดเชียงมั่นคือโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 20 ม.ค. 19, 17:27
“ปี่อ้อ” นั้น มี 2 สำรับๆ หนึ่งเรียกว่า “ปี่จุมสาม” คือมีปี่ 3 เล่ม คนซอหญิง 1 ชาย 1 เคล้าเสียงปี่ บางทีซอเค้าเสียงหญิงชาย บางทีก็ซอคนละบทเป็นทำนองเล่นเพลง ปี่อ้ออีกสำรับหนึ่งนั้นเรียก “ปี่จุมห้า” มีปี่อ้อ 5 เล่ม คนซอชาย 1 หญิง 4 หรือชาย 2 หญิง 5 ซอเคล้าเสียงทั้งปี่และคน การแต่งกายของพวกปี่อ้อ ชายแต่งตามปรกติ หญิงแต่งเต็มที่ เวลาฟ้อนสวมเล็บ กลางคืนหญิงฟ้อนเทียนไฟ ชายฟ้อนช่อดอกไม้ เป็นฟ้อนหยอกกัน คือ หญิงใช้ไฟลนชายและชายเป็นฝ่ายปัดป้อง วิธีฟ้อนคุกเข่าฟ้อน

ภาพ คณะช่างขับซอ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ นำลงไปกรุงเทพเพื่อจะส่งไปงานเอกษฮิบิเชน เมืองอังกฤษ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป และได้เล่นขับซอถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถ่ายเมื่อ พ.ศ.2428
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 20 ม.ค. 19, 20:31
“งันผีหอขวาง” งานนี้ตามวิธีที่เป็นการ “เลี้ยงข้าวผี” แต่มีการเลี้ยงดูว่าผีจะมาทำตามคำเชิญหรือไม่ด้วย คำว่า “งัน” นั้น บางทีพูดว่า “กัน” ชวนให้เข้าใจว่าน่าจะเขียน “กัลป์” คือจะตรงกับ “คัล” ในคำว่า “คมคัล เคียมคัล” ซึ่งแปลว่า “ไหว้เมื่อเข้าเฝ้าเห็นเจ้า” ตามความเข้าใจนี้ก็ได้ความหมายว่า “เฝ้าผีที่หอขวาง” แต่อีกอย่าง คำว่า “งัน” จะหมายว่า “งงงัน หรือ งันงง” ที่น่า “พิศวง” ก็อาจจะเป็นได้ (ความหมายเดิมจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ)

พิธี “งันผีหอขวาง” นั้น คือเมื่อสงบเสียงประโคมต้อนรับและเชิญพานอาสนะประดิษฐานบนม้าหมู่ในหอขวางแล้ว เอาผ้าขาวมากั้นหน้าม้าหมู่อาสนะผี ทำเป็น “ฝาประจัน” แบ่งเป็นหน้าข้างใน ให้อาสนะผีอยู่ข้างในและตั้งเครื่องสำรับคาวหวานเลี้ยงผี จุดเทียนขี้ผึ้งหนัก 1 บาท ไว้ข้างอาสนะเล่ม 1 กับมีกระด้งใส่ขี้เถ้าจนเต็มแล้วกวาดเกลี่ยให้ราบเสมอกัน นำเข้าไปตั้งไว้ข้างพานอาสนะแล้วคนออกมาอยู่ฝ่ายหน้า เว้นช่องว่างระหว่างม่านผ้าขาวไว้ราว 2 วา ให้หน่อแก้วกวงคำกับพิณพาทย์ซึ่งแถวนั่ง แถวหน้าคอยประโคมต่อออกมา พวกหน่อแก้วกวงคำรุ่นใหญ่ก็เชิญเครื่องยศนั่ง แล้วจึงถึงพ่อเมือง แม่นางเมือง และญาติพี่น้อง กับทั้งเสนาอำมาตย์นั่งลามกันมาจนนอกชาน เมื่อจัดลำดับดีแล้ว แม่มดเข้าไปในม่านและกล่าวคำเชิญให้ผีกินข้าวปลาอาหารที่ตั้งสังเวยไว้ และรินน้ำ รินเหล้า กับทั้งเปิดฝาชามสำรับเสร็จแล้วกลับออกมา ขณะนี้ที่บนเรือนหลวงให้ดับไฟมืดหมด การขับร้องฟ้อนรำต่างๆ ก็หยุดลงคราหนึ่ง พากันมาเอาใจใส่เฝ้าดูแสงเทียนที่ในม่าน ซึ่งกล่าวกันว่าถ้าผีมาและชอบใจในการต้อนรับแล้ว ผีจะบันดาลให้ไฟเทียนดับลงครู่หนึ่ง แล้วกลับลุกสว่างขึ้นใหม่โดยลำพัง จึงพากันสงบสติอารมณ์ทั้งกลัวและไม่กลัวนั่งนิ่งอยู่ราว 5 นาที ได้เห็นแปลกบ้างคือแสงเทียนนั้นค่อยๆ หรี่ลงไป จนแลเห็นเป็นสีเขียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลับลุกโพลงขึ้นดังเก่า ต่างคนต่างเงียบรออยู่จนเห็นแสงเทียนนั้นเป็นปกติแล้ว แม่มดจึงนำพ่อเมืองกับผู้ใคร่รู้ใคร่เห็นเข้าไปในม่าน พร้อมกันพิจารณาดูที่ขี้เถ้าในกระด้ง เห็นมี “รอยสามแฉก” คือ “รูปตีนกา” เคียงกันอยู่ตรงกลางกระด้ง 2 รอย (เวลาเขียนเรื่องนี้นึกเสียดายที่ไม่ได้ตรวจดูกระด้งขี้เถ้านี้เมื่อก่อนทำพิธี) แม่มดนั่งลงกราบๆ เห็นแล้วบอกว่า “ท่านมาแท้จริงแล้ว” ทุกคนก็กราบ พวกหน่อแก้วกวงคำที่เตรียมประโคมก็ประโคมขึ้น ไฟที่บนเรือนหลวงก็เริ่มจุดขึ้นใหม่ให้สว่างทั่วไป เสร็จการประโคมก็บรรเลงเพลงขับร้องเคล้าเสียงซึ่งเป็นการบำเรอ

พวกพ่อครัวแม่ครัว ยกขันข้าวขันหวาน (สำรับคาวหวาน) ออกมาตั้งเลี้ยงพ่อเมือง แม่นางเมือง และแขกเหรื่อที่บนหอขวาง ตามบริเวณคุ้มคือที่ปะรำต่างๆ ก็เลี้ยงอาหาร “ข้าวแลง” คนทั่วไป พวกปี่อ้อและคนขับซอก็ขับร้องบรรเลงตามเดิม

 ที่บนหอขวาง เมื่อเสร็จการกินเลี้ยงข้าวแลงแล้ว พ่อเมืองจุดเทียนให้กวงคำ และแม่นางเมืองให้ช่อดอกไม้แก่หน่อแก้ว ให้ฟ้อนรำขับร้องเคล้าเสียง ซึ่งเป็นคำสดุดีผีปู่ย่า 3 ลา ร้องหมู่ แต่การฟ้อนนั้นฟ้อนหยอกเย้ากันหมุนเวียนไปมา คือ

คำขับฟ้อนลา 1 ต้อนรับ
       ในวันนี้มีไจยติถี         สะหรีบุญเรืองมาเมืองมิ่งกว้าง
องค์เจ้าจ้างขึ้นสู่หอคำ        จ้อบสมัยโจ้คไจยจุ๊ก้ำ
เบื้อมาก๊ำหมู่ลูกหลานเหลน  ที่ตุ๊กร้อนจักผ่อนเป็นเย็น
ที่เคืองเข็ญจักวายขุ่นข้อง    ปวงพี่น้องจักสุขสำฮาญ
ปะจาจนทุกหนแห่งบ้าน      จักเจยจมจื้น จ้อยหน่าฯ

ลา 2 สดุดี
       ยอสิบนิ้ว                    ข้อยขึ้นไหว้สา
ถวายปู๋จาต่างดวงดอกไม้         อุติ๊สเถิงเติงเจ้าที่ไหว้
บัวบาทเหง้าไท้ติ๊ราชขวัญเมือง  เตโจเรืองฤทธิข่ามกล้า
คนตังหลายหญิงจายถ้วนหน้า   ล้วนมานบน้อมเบื้องบาทบัวทอง
ได้เปงบุญเจ้าบ่มีเศร้าหมอง      มีสุขสมป๋องเปื้อบุญเจ้ากว้าง
ล้วนจื้นจูอยู่กินแต่งสร้าง          ศัตรูมล้างป้ายพระสมปาร
เทพบันดาหื้อพระผาบแป๊         เพื่อบุญเจ้าหนักศักดิ์เจ้าเที่ยงแท้
ไผบ่อาจแก้ฤทธิ์บุญจู             แถมเอนดูหมู่จุมไพร่น้อย
จุมไพร่ไตยมีใจสร่างสร้อย        มาคมเคียงบาท ไต๊หน่าฯ
ลา 3 ขอพร
        ขอบุญฤทธิ์                 เจ้าจีวิตคุ้มขังวังสา
ปวงปะจาหลามไหลใหญ่หน้อย  ตังปงสาคณาหมู่ข้อย
ตุ๊กถี่ถ้อยตังสัตว์ตังคน            ทั่วตุ๊กหนหื้อหายห่างไฮ้
ปวงอุบาทว์พยาธิร้อนไหม้        ตังเจ็บไข้หื้อคลาดคลาหนี
หื้อได้สนุกมีสุขมีศรี               มีสวัสดีทุกหนแหล่งหล้า
ตังส้มสูกลูกไม้ข้าวกล้า           หื้อได้ไจยโจ้คอุดมหลาย
แถมฝนฟ้าตกมาหยาดยาย       ดังพระปายเจยจายปั๊ดไม้
ทั่วเตสาอาณาเก๋ตใกล้            หื้อจ้อบแบบกองเมือง
ที่ขัดเคืองหื้อคลายง่ายคิด        ขอบุญฤทธิ์เจ้าดลบันดาล
จาวตลาดก๋ารพ่องานทุกเบื้อง    อย่าหื้อยาตรเยื้องจากแบบการธัมม์
หื้อเป๋นหลักกำคติเตี้ยงหมั้น      ผะก๋ารหนึ่งนั้นนั้นพ่อเจ้าเหนือหัว
อย่าหื้อสังบังใจหื้อมัว             หื้อบานเหมือนบัวแบ่งบานก๋างน้ำ
จุมมัจสาลอยมาจุ๊ใกล้             มาดมกลิ่นซ้ำโลดคะนองจล
หื้อฝูงจาวจนทั่วหนแห่งห้อง      ทั่วผะเทศต๊องมาจื้นจมบุญ
ขอหื้อเต๋จ๊ะพ่อเจ้าอาดูร           ได้อนุกูลหมู่จุมไพร่ฟ้า
หื้ออยู่จุ้มเย็มเป็นสุขถ้วนหน้า     ด้วยบุญบัวบาท ต๊าวหน่าฯ

เมื่อฟ้อนสดุดีจบแ้ว ก็ฟ้อนขับลำนำอื่นบำเรอต่อไปจนได้เวลาราว 23.00 น. จึงเลิก ต่อนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นอาจารย์น้อยตามหมู่บ้านต่างๆ มาอยู่เฝ้าและผลัดเปลี่ยนกันหลับนอนไปจนสว่าง ในระหว่างนี้มีการสนทนาธรรมหรืออ่านคำโคลงสุภาษิตบ้าง เล่าเจี้ย-นิทาน หรืออ่านคำลิลิตซึ่งเรียกว่า “กำมาต” เป็นเรื่องประวัติและตำนานบ้างสู่กันฟัง โดยมากการอ่านกำมาต-ลิลิต นั้น ตกเป็นหน้าที่ของหญิงสาวชายหนุ่มอ่านคู่กันให้ผู้เฒ่าผู้แก่ฟัง พวกอาจารย์น้อยมักจะโจทนาธรรมอย่างปุจฉาวิสัชนา หรือสักรวาที่ปรวาที่ เป็นพื้น

เมื่อสว่างแล้ว ส่งสำรับคาวหวานไปถวายพระภิกษุชั้นสมภารตามวัดต่างๆ และภิกษุที่ทางสังฆมณฑลเกณฑ์มาเข้าพิธีบวงสรวงผีนาคซึ่งมาจากตำบลไกล และมักมาอย่างธุดงค์หรือมารุกขมูลอยู่ตามชายทุ่งนา และชายป่าชายเขาภายนอกเมือง สำรับคาวหวานนั้นมีสลากจารด้วยใบตาลใส่ไว้ข้างใน เป็นข้อความว่า “ขันข้าวนี้คนนั้นตานอุทิศผลให้แก่(พ่อเมืองชื่อนั้นที่ล่วงลับ)” พระรับประเคนแล้วอ่านสลาก และสวดยถาสัพพีกรวดน้ำกัลปนาผลไปยังผู้รับทันทีก่อนฉัน ส่วนที่หอขวางในคุ้มหลวงก็ตั้งสำรับเลี้ยงผี เลี้ยงคนตามธรรมดา มีซอเคล้าปี่อ้อบำเรอตลอดเวลานั้น

ถึงเพล เลี้ยงพระสงฆ์ผู้ใหญ่ 5 รูปที่บนหอขวาง คือพระคณะที่รับผีในวัดเชียงมั่นเมื่อวาน เลี้ยงพระแล้วมีเทศน์กัณฑ์หนึ่ง แล้วพระสงฆ์กลับไป พ่อเมืองตั้งสำรับเลี้ยงผีเลี้ยงคนเรียกว่า “เลี้ยงข้าวตอน” (กินข้าวกลางวัน) เสร็จแล้วโปรยทานอย่างโยนลูกมะนาวให้เด็กๆ และบริเวณแย่งกันที่บนหอขวาง


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 21 ม.ค. 19, 22:32
เข้าหว่างคาวป่า

ถึงเวลาราว 13.00 น. เตรียมขบวนเข้าหว่างคาวป่า หรือ ประเวสไพร พวกหัวสึกต่างๆ เทียบช้างม้าที่นั่งและรถที่นั่งเหมือนอย่างวานนี้ มีขบวนหัวสึกชั้นไพร่พลขี่ม้าราว 40 คน เป็นหมู่แซงสองข้างรถ ผีขี่รถที่นั่ง แะแสงเมืองเป็นผู้เชิญพานอาสนะนั่งไปบนรถ ขบวนหน่อแก้วเชิญเครื่องยศขึ้นม้าตาม การเข้าป่านี้คือพาไปประพาสอุทยานที่เวียงสวนดอกซึ่งอยู่ทางตะวันตกเมืองเชียงรายห่างกันราว 10 กิโลเมตร เดินทางโดยขบวนม้าวิ่งน้อยบ้าง เดินบ้าง ราว 3 ชั่วโมงจึงถึง เพื่อผ่อนอารมณ์จึงควรชมนกชมไม้ไปพลาง ดังต่อไปนี้

                 ปางนั้น                   จอมเจ้าธานี “ผีปู่ย่า”
ครั้นชายบ่ายแสงสุริยา                   มา “หดสง” คงคาทันใด
แต่งกายอย่างชาวไพรในพนัส           งามจำหลัดจำเริญศรีใส
เสร็จแล้วยาตราคลาไคล                 มาขึ้นรถชัยรจนาฯ

                 รถแก้ว                    งามบรรเจิดเลิศแล้วด้วยเลขา
ตามระเบียบเทียบทัดบุราญมา           เป็นสง่าคู่เคียงกับเวียงไชย
งอนแอกแปรกแบกบัง                    เทียมม้าเสรีสังข์สุกใส
เรือนรถรจนาดั่งเจียระไน                 พื้นแดงแสงไสวฉลุทอง
เป็นลายเถาไม้ช่อชัยพฤกษ์              ครื้นครึกหมู่วิหคนกเที่ยวท่อง
บ้างจับบ้างเหินบ้างเกริ่นร้อง             พลางคลาเคลื่อนกองโยธา
จากคุ้มหลวงล่วงออกนอกเวียงไชย     เข้าในดงดอยพฤกษา
ยกพวกจัตุรงค์ตรงมา                     เสียงเลื่อยสะเทือนป่าพงพี
เดินทางตามหว่างเนินไศล               ชมเขาเงาไม้ในไพรศรี
ดูระรื่นพื้นพรรณมาลี                      เป็นที่เพลิดเพลินจำเริญตา
บ้างเขียวม่วงพวงพุ่มชุมผกา             ระย้าย้อยห้อยน่านิยมยิน
ต้นเกสรนั้นโรยร่วง                        บางต้นผลพวงเฉิดฉิน
หล่นลงกลาดจนดาดดิน                  ลมรินรินชื่นรสมาลัย
พฤกษาป่าระหง                           พะยอมพะยงยูงยางหางไหล
ตะข่อยน้อยแหน่แคแตรไตร              มะเฟืองมะไฟไข่เน่าและเต่าร้าง
ขนันจันทน์จิกจิงจ้อ                       ตะไคร้ตะคร้อตะแบกตะเบียนตะเคียนข่าง
ปรงปรูหูกวาง                              อ้อยช้างปรางปริงชิงชัน
ต้นกักรักขีสมีสมอ                         กะพี้กะพ้อมะซางมะสังกะทั่งหัน
ล่ำมะเกลือมะเดื่อมะดูกไม้มูกมัน         สัตบรรณคันทรงอีกรงรัก
ลางทางเร่งรถทรง                         ดั้นดงอรัญวาป่าสัก
ไปตามเชิงดอยค่อยเยื้องยัก              ไม่พักพวกพลสกลไกร
มาตามทางพลางประพาส                 รุกขชาติดาดตอกดกไสว
ตลบอบอวลยอนใจ                        รำรำใคร่มาอยู่ในพนาลี
นกผกผินบินร่อน                           จับสารภีรี่ร้องอยู่ก้องดง
เต้าเคล้าคู่กะสันขัน                        กระสานั้นจับต้นมหาหงส์
โมงจับโมงม่ายเมียงชายพง               ฝูงหงส์จับจอมคีรีเรียง
โทนโผนจับต้นคนทา                      โกญจาเรื่อยร้องคะนองเสียง
จับมะไฟแล้วม่ายเมียง                     คลอเคลียงคาบเหยื่อมาเผื่อกัน
ให้ไก่เถื่อนกาเหว่าลาย                    อัญชันชายจับต้นอัญชันขัน
ลอคลอคู่จรจรัส                            เบญจวรรณไต่วัลย์แล้วบินไป
กาจับต้นเพกา                             โนราร่อนร้องเสียงใส
สัตวาระเวนระวังไพร                       กะในจับกะสังรังราย
มยุราเคล้าคู่มยุรี                            ฟ้อนหางหางคลี่เฉิดฉาย
ชมวิหคนกไม้ได้สบาย                      เวลาบ่ายก็มาถึงอุทยาน
หอมกลิ่นบุปผานานาพันธุ์                 ที่สรรปลูกไว้ในสวนสถาน
พาใจให้สนุกสุขสราญ                      เห็นดอกไม้เบิกบานบานฤดี
ล้วนชูดอกออกช่อตระการตา              ชี้ชมบุปผาในสวนศรี
พูดจีบพูดจามลุลี                           จำปีจำปาดาดไป
ยี่สุ่นบุนนาคก็หลากหลาย                 กลีบก้านบานขยายแย้มไสว
มะลิซ้อนซ่อนคู่พาชูใจ                     หงอนไก่อังกาบกรรณิการ์
ยี่โถยี่เข่งข่อยเข็มชบาเทศ                 มณฑาการะเกดหอมหนักหนา
เบญจมาศชาตบุตกระดังงา                 ลำดวนป่าดาวเรืองเฟื่องฟ้าขจร
เล็บมือนางนางแย้มแกมสาวหยุด          พุดซ้อนพุดตานประยงค์ส่งเกสร
แลเห็นพุ่มมะลิลาให้อาวรณ์                ดูรักซ้อนซ่อนรักให้หนักใจ
ปีบระกำชมนาดดาดดอกโมก              ได้กลิ่นโศกแลพบส้มสุกไสว
กุหลาบพวงกุหลาบกอต่อกันไป           พวงชมพูชูใจอาลัยนัก
ดูเกดแก้วแพรวพราวขาวสะอาด           ผกากรองผ่องไพลาศสวาสดิ์หนัก
กระทุ่มกระถินกลิ่นเกลี้ยงอยู่เคียงพักตร์   กาหลงรักซ้อนกาลิงให้กริ่งความ
ดอกเอื้องดินกลิ่นซ้อนดอกเอื้องไม้        อีกบานไม่รู้โรยแลเหลือหลาม
เหลืองละออทอลินจงชงโคคราม          ล้วนแต่งามพริ้มพรอยพะยอมลำไย
พอสิ้นแสงสุริยาฟ้าสว่าง                   จันทร์กระจ่างแจ่มแจ้งสุกใส
ชมบุหลันพรรณรายฉายส่องไป            ต้องมิ่งไม้ไพรวันบันดามี
ที่สีเขียวเขียวแม้นมรกต                    แดงก็สดดั่งทับทิมพริ้มพรายศรี
ที่สีเหลืองเรืองอร่ามงามรูจี                 ที่สีขาวขาวดีพระพรายตา
มัวชมเพลินเดินเลยมาเสียห่าง             ขอกลับทางย้อนรอยถอยไปหา
แสงเมืองเขาเชิญพาน “ผีปู่ย่า”            ขึ้นศาลาแท่นเทียบเรียบร้อยแล้วฯ

หมายเหตุผู้เรียบเรียง เวียงสวนดอก ปัจจุบันคือ บ้านสวนดอก ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 22 ม.ค. 19, 20:51
มาถึงได้สักครู่หนึ่ง แล้วเลี้ยงอาหารผีและคน เรียกว่า “เลี้ยงข้าวแลง” (ข้าวเย็น) ชาวบ้านศรีดอนชัยจัดซอปี่อ้อมาบรรเลง กับพวกแม้วเย้ามูเซอรำเต้น การเต้นรำของพวกเย้านั้น ตีกองไฟใหญ่ไว้ตรงกลาง ให้ผู้หญิงนั่งขับร้องล้อมกองไฟ และผู้ชายรำเต้นเวียนวนไปอย่างประทักษิณเป็นแถวเรียงคู่ เอามือเท้าสะเอวชูเท้าร่อนไปมาและห่มตัว แล้วก้าวไปข้าหงน้าพร้อมกันเป็นจังหวะช้าๆ ส่วนพวกมูเซอผิดกับพวกเย้า คือผู้ชายนั่งล้อมกองไฟและขับร้องก่อน ผู้หญิงเป็นแต่ยืนล้อมกองไฟเป็นแถวรอบนอกไม่ต้องทำอะไร มีผู้ชายนั่งเป่าปี่แนนั่งยองๆ เดินต้วมเตี้ยมๆ ไปหว่างกลางแถวผู้หญิงตลอดแถว แล้วผู้ชายที่นั่งขับร้องอยู่นั้น ลุกขึ้นนั่งยองๆ เอาไหล่ดันกันเป็นคู่ๆ คล้ายกับ “เล่นชนไก่” ผู้ใดล้มก็ลุกออกไปนอกวงทีละคนสองคนจนหมด เลิกการรื่นเริงราวเที่ยงคืนแล้วหยุดพักหลับนอน

ภาพ ชาวมูเซอเป่าแคนน้ำเต้า
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 22 ม.ค. 19, 22:02
กล่าวถึงที่คุ้มหลวง ในวันเดียวกันนี้ เมื่อกระบวนเชิญผีเข้าหว่างคาวป่าไปแล้ว ช้างม้าที่นั่งเลิกกระบวน แม่นางเมืองพร้อมด้วยนางในตระเตรียมอาหารถวายพระและเลี้ยงคนเลี้ยงผีนาคบริวาร มีซอปี่อ้อขับเป็นเรื่องนิทาน ตำนาน หรือนิบาต และปัญญาสชาดก หรือซอว่าตลกขบขันให้ผู้ทำงานรื่นเริง อาหารถวายพระนั้นจัดทำตามปรกติทั้งคาวและหวาน ส่วนสำหรับเลี้ยงคนมีแต่ “ขนมเส้น-ขนมจีน” กับ “น้ำแกง-น้ำยา” อย่างเดียว หวานก็มีแต่ “ขนมจ๊อก” คือ “ขนมใส่ไส้” กับส้มสุกลูกไม้ อาหารเลี้ยงผีนาคมีใบตองชนิดหนึ่งคล้ายใบไม้สัก เอามารมควันให้อ่อนแล้วพรมน้ำเกลือพับไว้เป็นพับๆ กับเถาอะไรอีกอย่างหนึ่งโตเท่าแขน เอามาตัดเป็นท่อนยาวราว 6 นิ้ว เผาไฟให้ระอุแล้วทุบให้แตกยุ่ย และพรมน้ำเกือเหมือนกัน เมื่อเตรียมพร้อมแล้วก็หาบหามยกไปตั้งยังตูบหมาแหงนในมณฑลพิธีที่ดอยจอมทองในตอนกลางคืน วันขึ้น 13 ค่ำนั้น ส่วนราษฎรต่างก็เตรียมในส่วนของตนตามความพอใจ

เวลา 16 นาฬิกา มีพิธี “ฮดสงพ่อเมือง” ที่คุ้มหลวง คำว่า “ฮด” คือ “รดน้ำ” คำว่า “สง” หมายความอย่างไรไม่ทราบ บางทีจะตรงกับ “ขัดสี” กระมัง จะเรียกให้ง่ายเข้าว่า “อาบน้ำให้พ่อเมือง”

การฮดสง หรืออาบน้ำให้พ่อเมืองนี้ ผู้ที่จะอาบต้องจัดน้ำอบน้ำหอมปรุงเอง เรียกว่า “น้ำขมิ้นส้มป่อย” ส่วนของตนมา เวลาอาบ อาบที่นกอชานเรือนหลวง พ่อเมืองแต่งตัวอย่างปรกติ คือใส่เสื้อชั้นในและกางเกง นั่งเก้าอี้ ผู้หดพร้อมกันเข้าไปคารวะ เทิดขันน้ำอบน้ำหอมขึ้นเหนือเศียรแล้วจึงรดตั้งแต่หัวไหล่ลงมา และขัดสีเหงื่อไคลให้พอสมควร (คือเปลี่ยนกันขัดสี) ส่วน้ำล้างและสระผม แม่นางเมืองกับแม่อยู่เมืองจัดมาให้พ่อเมืองสระและล้างเอง อาบน้ำให้เสร็จแล้วพร้อมกันมอบเสื้อผ้าใหม่ให้แต่งสำรับ 1 พ่อเมืองแต่งตัวใหม่แล้วขึ้นนั่ง “ตั่ง-กากะเยียมอน” รูปคล้ายสัปคับช้างไม่มีประทุน ต๋าเมืองนำราษฎรกล่าวคำให้พร จบแล้วพ่อเมืองให้พรตอบด้วยบทคาถา “สัพพีติโย” เป็นเสร็จพิธี

พ่อเมืองกลับเข้าข้างใน เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นนุ่ง “ผ้าขาวจีบ” ใส่เสื้อชั้นในสีขาวแล้วสไบผ้าขาว สวมลูกประคำที่คอ ถือพัดใบตาล พวกเด็กน้อยทนายโรงเชิญเครื่องยศตามลงมาจากเรือนหลวง พร้อมด้วย ต๋าเมือง อาจารย์หวง ซึ่งแต่งขาวเช่นเดียวกัน ไปเข้าพิธีถือกรรมที่ดอยจอมทอง ราษฎรพากันตามไปส่งอย่างเงียบๆ ส่วนโหราหลวง ต้องบูชาเทวดาที่คุ้มหลวงภายหลังพ่อเมืองออกไปก่อน แล้วจึงตามไปทีหลัง การบูชาเทวดาที่คุ้มหลวงนี้เรียกว่า “บูชาจตุโลกบาล” การบูชา บูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนทำเป็นกระทง ปักเสาหลักเดียวแล้วสอดคานที่ศาล 5 ศาล ยอดเสาเป็นศาลพระอินทร์ ที่ปลายคานทั้ง 4 ทิศ เป็นศาลจตุโลกบาล คำบูชาเหมือนอย่างคำประกาศเทวดา มีทุกชื่อ พระยาอินทร์ พระยาพรหม พระยายมราช ครุฑา นางธรณี กับทั้งพระเพลิง พระพาย และพระคงคา ล้วนแต่ขอพรทั้งนั้น

ที่วัดบนดอยจอมทอง มีพระสงฆ์ 108 รูป ราชครูเมืองเป็นประธาน ยืนเรียงรายกันที่ลานวัด คอยต้อนรับพ่อเมือง พระสงฆ์ 108 รูปนี้หรือแม้ที่จะมารับบิณฑบาตสังฆทาน 250 รูปนั้นไม่ต้องนิมนต์ ทางสังฆสมาคมกะเกณฑ์กันมาเอง โดยถือเกณฑ์เลือกตามอาวุโส เพื่อให้เข้าใจสะดวก จะพรรณนาสมณศักดิ์ของชาวลานนาโบราณลงไว้ที่นี่พอสมควร

ภาพ การบูชาจตุโลกบาล หรือ ขึ้นท้าวทั้ง4 พ.ศ.2498
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 22 ม.ค. 19, 22:34
การบวชเป็นพระภิกษุนั้น นิยมบวชกันแต่เมื่อยังมีความบริสุทธิ์ ผู้ที่แต่งงานแล้วหรือแม้ผู้ที่สึกออกจากสามเณร จะบวชหรือกลับบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ เว้นแต่บวชเพื่อใช้หรือสะเดาะเคราะห์ปัดรังควาญ มีกำหนดเพียง 3 วัน 7 วัน และ 15 วัน

ตามจารีตประเพณี ถือกันว่าผู้ชายทุกคนพอมีอายุ 10 ปีแล้ว พ่อแม่ต้องนำไปฝากพระไว้ฝึกสอนอักขระวิธีและเล่าเรียนพระสูตรอยู่ยังวัดเรียกว่า “ขะโยม” คือ “เด็กวัด” เมื่อเรียนหนังสือและทรงจำพระสูตรได้พอสมควรแล้ว สมภารวัดซึ่งเรียกว่า “ตุ๊หลวง” ก็จัดการบวชให้เป็น “สามเณร” เรียกว่า “พระ” ผู้ที่ไม่ได้เป็นขะโยมหรือเป็นแต่ขาดความเพียรพยายามได้นามว่าเป็นผู้ “บาป” ที่เป็นขะโยม พระท่านพร้อมกันไล่ออกจากวัด ที่ไม่เป็นขะโยมพ่อแม่ฝึกหัดกล่อมเกลาอุปนิสัยให้กับบ้าน คือบิดาถ่ายทอดวิชาอาชีพให้ตามวงศ์ตระกูล บุคคลประเภทนี้ถือกันว่าเป็น “คนดิบ” ได้คำนำชื่อว่า “อ้าย” แปลว่า “พี่” ผู้ที่ได้บวชเป็นพระคือ “เณร” นั้นถือว่าเป็น “คนสุก” เมื่อมีอายุครบ 21 ปี ตุ๊หลวงก็จัดการอุปสมบทให้เป็น “พระภิกษุ” เรียกว่า “ตุ๊” สามเณรที่ไม่ได้บวชเป็นตุ๊คือสึกออกไปเสียก่อน ได้คำนำชื่อว่า “น้อย” กล่าวกันว่าเนื่องมาแต่บุญ “น้อย” ได้บวชในพระศาสนาไม่นาน สำหรับผู้บวชเป็นตุ๊คือพระภิกษุแล้วสึกได้คำนำชื่อว่า “หนาน” ว่าเป็นผู้มีบุญ “มาก” ได้บวชเรียนมาตั้งแต่เด็กจนใหญ่เป็นเวลา “นาน”

เมื่อบวชเป็นตุ๊ คือ เป็นพระภิกษุมาได้ 3 พรรษาแล้ว ครูบาอาจารย์พร้อมกันสอบไล่ปากเปล่าทั้งนั้น เมื่อสอบตกก็สึก หรือเปลี่ยนวัดเป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ คือบำเพ็ญเพียรขัดเกลาดวงใจตนเอง เมื่อสอบได้ “ตุ๊หลวง คือ สมภารวัด” และราษฎรพร้อมกัน “หดสง” อภิเษกสมณศักดิ์ให้เป็น “สำเร็จ” คืออยู่ในชั้นที่สำเร็จจากการศึกษาเลื่อนขึ้นเป็นครู มีหน้าที่อบรมและฝึกสอนขะโยม เรียกว่า “คู-ครู”

เมื่อมีพรรษาครบ 5 หดสง ให้เป็น “ยากา หรือ ยะกา” มีหน้าที่สั่งสอนสามเณร เรียกว่า “ปี้คู-พี่ครู”

เมื่อครบ 10 พรรษา หดสงให้เป็น “ใบระกาวัด” มีหน้าที่ควบคุมขะโยมและสามเณรคล้ายเป็น “คณะหมวดในวัดปัจจุบัน” และสั่งสอนพระภิกษุใหม่ เรียกสามัญว่า “ป๊อคู-พ่อครู”

ครั้งตำแหน่งตุ๊หลวงว่างลง มีการคัดเลือกตุ๊ คือ พระภิกษุที่มีพรรษา 15 หรือมากกว่าเพื่อนในวัดนั้น หดสงขึ้นเป็น “สมปาร-สมภาร” เรียกสามัญว่า “ตุ๊หลวง” โดยสังฆมณฑล พ่อเมือง และราษฎรที่อุปถัมภ์บำรุงวัดซึ่งเรียกว่า “จาวศรัทธา” คัดเลือกเป็นผู้ครองวัด

ต่อนี้เลือกและหดสงให้มีตำแหน่งในที่ประชุมสังฆกิจ คือเลือกตุ๊หลวงที่ได้เป็นสมภาร 5 ปีมาแล้ว หดสงเป็น “ตุ๊เจ้า” หรือ “ครูบา” ชั้นนี้มีมาก และเลือกตุ๊เจ้าครูบาหดสงขึ้นเป็น “ตุ๊เจ้าปู่ครู” ชั้นนี้ว่ามีฝ่ายละ 32 รูป ต่อจากชั้นนี้ก็หดสงขึ้นเป็น “สวาตุ๊เจ้าปู่ครู” เป็นชั้นสูงสุด ชั้นนี้มี 5 รูป คือ สวาตุ๊เจ้าธัมมรัตนรังสี เป็นที่ราชครูเมืองและองค์นายก 1 สวาตุ๊เจ้าอุปัชฌาจารย์ 1 สวาตุ๊เจ้าปู่ครูหัวป่า (เจ้าคณะฝ่ายอารัญวาสี) 1 สวาตุ๊เจ้าปู่ครูหัวเมือง (เจ้าคณะฝ่ายคามวาสี) 1 และสวาตุ๊เจ้าใบระกาเมือง (เห็นจะเป็นปลัดสังฆนายก) 1

ในพิธีบวงสรวงผีนาค ทางสังฆมณฑลเกณฑ์พระภิกษุชั้นตุ๊เจ้าครูบาขึ้นไปเข้าพิธี ทั้งในการนั่งปรกและรับบิณฑบาตสังฆทาน

ภาพ พระอภัยสารทะ สังฆปาโมกข์ (อุ่นเรือน โสภฺโณ) หรือ ครูบาเจ้าโสภา พระสังฆราชาเมืองเชียงใหม่ และเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่รูปแรก
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 23 ม.ค. 19, 18:17
เมื่อพ่อเมืองไปถึงวัดดอยจอมทองนั้นเป็นเวลาจวนพลบ เรียกว่า “ยามต๋าวันแลง” คือ “ตะวันแดง” พอไปถึงก็ถวายหมากพลูธูปเทียนดอกไม้แก่พระสงฆ์ 108 รูปที่จะมานั่งปรก พระสงฆ์รับแล้วทำวัตรทั้งที่ในพระวิหาร และที่ศาลาราย (พระสงฆ์ผู้ใหญ่สถิตจำวัดในวิหาร ราว 25 รูป นอกนั้นจำวัดตามศาลารายซึ่งเอาเฟืองฟางมากั้นฝาเป็นห้องๆ) พระสงฆ์ทำวัตรเสร็จแล้ว พ่อเมือง อาจารย์หลวง โหราหลวง และต๋าเมืองเข้าสมาทานปาริสุทธิศีลและศีล 8 ต่อราชครูเมืองแล้วพระสงฆ์อนุโมทนาและให้อดิเรก นับแต่บัดนี้ไปเป็นเวลา “ถือกรรม” คฤหัสถ์ทั้ง 4 นั้น คงภาวนาอยู่ในโบสถ์ และฟังสวดฟังธรรมไปจนแสงเมืองเชิญอาสนะผีมาจากเวียงสวนดอก เมื่อเลี้ยงพระเวลาเช้าแล้ว จึงตามอาสนะผีไปพักยังศาลาที่พักด้วยกัน ครั้งค่ำก็มาถือกรรมในพระวิหารเช่นวันแรกทุกวัน

ตอนกลางคืนพระสงฆ์ 108 รูปนั้น ผลัดเปลี่ยนกันเจริญพระพุทธมนต์ ทำน้ำมนต์บ้าง เทศนาธรรมจักรหรือชาดกต่างๆ บ้าง หรือแสดงปาติโมกข์บ้าง ทั้งที่ในวิหารและศาลาราย ถึงเที่ยงคืนแล้วแยกกันไปรุกขมูลตามที่ในบริเวณดอยจอมทอง เพื่อภาวนาทำ “เกล็ดนาค” ส่วนพระสงฆ์ที่จะรับบิณฑบาตสังฆทาน 250 รูป ซึ่งรุกขมูลตามชายทุ่งนาป่าเขา ก็ภาวนาทำเกล็ดนาคเหมือนกัน วิธีทำเกล็ดนาคนั้น นั่งภาวนามีบาตรน้ำตั้งตรงหน้า มือซ้ายนับประคำสวดฎีกาพาหุงหรือยันทุนไม่ทราบแน่ 108 จบ มือขวาถือเทียนจุดไฟเอนให้ขี้ผึ้งไหลหยดลงในบาตรเป็นรูปแบนๆ กลมๆ เรียกว่า “เกล็ดนาค” เสร็จแล้วตักออกจากบาตรเอามาปนกับเมล็ดข้าวสารรักษาไว้ สำหรับแจกสัปบุรุษสีกาผู้มาถวายของให้เป็นมงคล

รุ่งขึ้นเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ เวลาก่อน 6 นาฬิกา แสงเมืองเชิญพานอาสนะผีขึ้นมาที่นั่งจากเวียงสวนดอก มีขบวนม้านำและตาม “กลับมาเวียงไชย” หัวหมื่นขึ้นม้านำขึ้นบนดอยช้างเดินมาตามทางลัดผ่านห้วยธารและป่าไม้มาทะลุที่หนองอู่คำ เดินเลียบหนองนี้ไปถึง “วังคำ” อันเป็นสถาน “หอเจนเมือง” แวะจุดธูปเทียนบูชาผีเจนเมืองแล้วเดินขบวนต่อไป เทียบขบวนที่เชิงบันไดนาคขึ้นม่อนจอมทองและเลิกขบวนที่นี่ แสงเมืองเชิญพานอาสนะขึ้นตั้งบนม้าหมู่ในพระวิหาร ตัวพ่อเมืองและอาจารย์หลวง โหราหลวงซึ่งถือกรรมหรือถือบวชรับที่ในพระวิหาร พระสงฆ์ 108 รูป รายทางรับตั้งแต่หัวบันไดนาคบนดอยและรอบพระวิหารตลอดถึงข้างใน แต่ที่ในวิหารมีราว 25 รูป สวด “ภวตุสรรพมังคะลัง” 7 คาบ เมื่อตั้งพานอาสนะผีแล้ว เวลาราว 8 น. เลี้ยงอาหารเช้าพระสงฆ์ 108 รูป ทั้งในพระวิหารและที่ศาลาราย พระฉันแล้วถวายธูปเทียนหมากพลูแก่พระสงฆ์ สวดอดิเรกให้พรจบแล้วแสงเมืองเชิญพานอาสนะผีไปประดิษฐานไว้ที่ม้าหมู่บนศาลาที่พักของพ่อเมือง

ภาพ ข่วงหลวงเมืองเชียงราย พ.ศ.2467 บริเวณม่อนจอมทอง ข้างล่างคือกองทหารเมืองเชียงราย ข้างบนคือวัดพระธาตุดอยจอมทอง ใช้เป็นที่สืบชะตาและถือกรรมในงานบวงสรวงผีนาค
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 24 ม.ค. 19, 22:08
นาคบริวาร

ถึงเวลาราว 16 นาฬิกา ขบวนแห่นาคบริวารจัดเป็นขบวนพยุหะโยธา “ทัพหน้า” เรียกกันว่า “นาคร้าย” ตั้งขบวนที่ถ้ำยุบถ้ำพระ (สมมติว่าออกมาจากถ้ำนั้น) ซึ่งอยู่ห่างจากดอยจอมทองราว 4 กิโลเมตร เดินขบวนเลียบตีนฝั่งแม่น้ำกกลงมาขึ้นที่ท่านาค และเดินเข้าไปสู่บริเวณดอยจอมทองตามถนนกองนาค แล้วเลยไปพักที่ “วังคำ” อันเป็น “หอเจนเมือง”

ขบวนนาคบริวารนี้คือ “ขบวนควาย” มีคนจูงคน 1 ขี่คน 1 คนจูงและคนขี่มอมตัวด้วยสีดำสีแดง สวมหัวโขนสานด้วยเส้นตอกแล้วเอากระดาษปิดเขียนลายเป็นหน้าสัตว์ดุร้ายต่างๆ มี “ก๋องตุ๊ม-กลองตุม” นำขบวน กลองตุมมีแต่กลองสองหน้าใบ 1 ฆ้องเล็กใบ 1 ตีล้อเสียงกันช้าๆ มาบนหลังควาย คนขี่ควายนั้นสะพายหอกดาบและธนูหน้าไม้ เป่ากลวงแล้วเจาะใส่ลิ้นที่ตอนกลางข้างในโค้ง เวลาเป่าใช้มือบีบเบ็ดโคนและปลายงาหรือเขาให้มีเสียงเล็กเสียงใหญ่สลับกันคล้ายเป่าใบไม้ คนจูงควายถือหอกหรือง้าว เวลาเดินมาแสดงท่าทางล้อหลอกให้น่ากัวหรือน่าขัน เมื่อผ่านหน้าตูบหมาแหงน แม่นางเมืองให้ทานผลไม้แก่คนขี่คนจูง และให้ใบไม้เถาไม้พรมน้ำเกลือแก่ควาย พร้อมกับกล่าวคำอวยพร กล่าวกันว่าเป็น “คำทัก” เพื่อสวัสดีแก่บ้านเมือง นาคที่มาตอนนี้ล้วนแล้วด้วยควายดำทั้งนั้น และมาสำหรับทำอันตรายแก่คนผิดคนชั่ว

เมื่อไปถึงที่วังคำ แล้วจัดการผูกควายไว้ในแหล่งที่เตรียมไว้รับ ส่วนคนจูงคนขี่มาแสดงกีฬาให้คนดูที่หาดทรายแม่น้ำกก มีกระโดดโลดเต้นและรำทำท่ามวยล้อหลอกกันบ้าง วิ่งไล่กันบ้าง พอได้เวาสมควรก็โดดลงอาบน้ำในแม่น้ำ ขัดสีที่มอมร่างกายออก แล้วเป็นเลิกกีฬา

เวลาพลบค่ำ ราษฎรทุกบ้านเรือนต่างบูชาผีปู่ย่าขอพรให้คุ้มกันรักษาอันตรายแก่ลูกหลาน พระสงฆ์ที่จะรับบิณฑบาตสังฆทานแยกกันเข้าประจำประตูเมืองทุกประตู และสวด “อาฏานาฏิยสูตร” เป็นพักๆไปจนรุ่งสว่าง พระสงฆ์ 108 รูป ที่ดอยจอมทองและตามวัดที่มิได้ไปเข้าพิธีก็สวดเช่นเดียวกันและย่ำระฆัง สถานที่มณฑลพิธีและตามบ้านเรือนราษฎรจุดประทีปโคมไฟเสาไต้สว่างไปหมด และจุดอย่างนี้ตลอดงาน

เวลาราว 20 นาฬิกา แห่บอกไฟของพ่อเมืองกับทั้งของนายบ้านนายตำบล ออกจากคุ้มหลวงเอาไปรวมไว้ในมณฑลพิธี การแห่แห่ด้วย “ก๋องปง-กลองพง” และขับร้องฟ้อนรำ ผ่านไปทั่วทุกถนนในเมืองแล้วจึงเข้าไปสู่บริเวณดอยจอมทอง

กลองพง คือกลองสองหน้าใบ 1 ปี่แน 1 ฉิ่ง 1 บรรเลง “ม่านโห่” กลองกับฉิ่งตีล้อเสียงเป็นขัดจังหวะปี่ มีนางสาวแต่งตัวเสื้อผ้าขาวธรรมดา ผ้าสั้นจนนุ่งสูงไว้ชายใต้เข่าเล็กน้อยตีกรับและขับร้อง แบ่งเป็น 2 พวก เปลี่ยนกันขับร้องคนละพัก นางวาวเหล่านี้ตือลานหูและทัดพวงดอกไม้ที่มวยผม คล้ายกับ “กระเช้าดอกไม้” และสะพาย “กุบ” คือหมวกกันฝนและน้ำค้าง รวมหมดราว 30 คน พวกฟ้อนเป็นชายหนุ่มเรียกว่า “บ่าว” ไม่จำกัดจำนวนอย่างว่า “เปิดประตูให้ใครดีก็เข้ามา” แต่งตัวนุ่ง “ผ้าต้อย” คือนุ่งผ้าโจงกระเบน ชายผ้าอยู่เหนือเข่าปล่อยหางกระเบนที่เหลือจากเหน็บเข็มขัดแล้วห้อยลงไปเป็นหาง ใส่เสื้อขาวชั้นใน พันศีรษะด้วยผ้าจกมีชายครุยเหน็บเบื้องบน และปล่อยชายครุยย้อยลงข้างนอกใบหูทั้งสองข้าง ฟ้อนด้วยเทียนจุดไฟ การเดินขบวนแห่แบ่งเป็นส่วนๆ คือ ฟ้อนไปหน้า แล้วปี่พาทย์กลองพงคั่น นางสาวตีกรับขับร้อง ต่อนี้ถึงเสลี่ยงหามบอกไฟตามกัน ตามศักดิ์ของเจ้าของ พวกผู้เฒ่าผู้แก่และนายบ้านนายตำบลกับทั้งคนดีเดินแซงสองข้าง การฟ้อนนี้มีรำท่าเชิงหอกดาบแลลูกกุย บางทีก็ปล่อยให้ต่อยกันอย่าง “ลองดี” เป็นมวยหมู่

เมื่อขบวนแห่เข้าสู่บริเวณดอยจอมทอง ที่ข่วงหลวงมีปี่พาทย์กลองแอวประกอบด้วยนางฟ้อนเทียนไฟต้อนรับ ขบวนแห่ประทักษิณบริเวณ แล้วเอาบอกไฟเข้าเก็บไว้ในศาลบวงสรวงผีนาค พวกขบวนแห่เข้าสู่ “ข่วงคนดี” และบรรเลงต่อไปจนราว 23 นาฬิกา

ภาพ ถ้ำพระ เมืองเชียงราย เมื่อจอมพลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาธิการทหารบก เสด็จตรวจราชการมณฑลพายัพ พ.ศ.2465 ซึ่งถ้ำพระใช้เป็นสถานที่เริ่มขบวนนาคร้ายในงานบวงสรวงผีนาค
(http://)


กระทู้: พิธีบวงสรวงผีนาค เมืองเชียงราย พิธีที่หายสาบสูญจากเชียงราย
เริ่มกระทู้โดย: นโม ตสฺส ที่ 25 ม.ค. 19, 23:09
นาคราช

ในขณะที่สนุกสนานกันอยู่นี้ ราวเวลา 22 นาฬิกา ขบวนแห่พญานาคก็มาถึง พญานาคมีนาคบริวารห้อมล้อมมาอีกพวกหนึ่งเป็น “ควายเผือก หรือควายปอน-พร” ทั้งนั้น เรียกว่า “นาคดี” มีคนขี่และจูงอย่างเดียวกับพวกที่มาตอนบ่าย แต่แต่งตัวงดงามตามธรรมดานาคดี ตั้งขบวนที่ประตูท่าดิน อยู่ทางตะวันออกเมือง สมมติว่าออกจาก “เหว” ซึ่งเรียกว่า “ฮูเหรา” (กล่าวกันว่าที่ท่าดินแต่โบราณมีฮูเหรากว้างเท่าบ่อน้ำและลึกเป็นหลืบลงไปใต้ดินไม่ทราบว่าสักเท่าใด แต่ถมเสียนานแล้ว) พญานาคนั้นแห่มาจาก “หนองวง” ซึ่งเรียกว่า “หางนาค-ขนดหางนาค” เพราะที่ตรงนี้เป็นลำแม่น้ำกอนเก่าเดินอ้อมวกเวียนเกือบเป็นรูป “วงกลม” อยู่ทางใต้น้ำห่างจากดอยจอมทอง (แม่น้ำกกไหลจากตะวันตกไปตะวันออก) วัดตามลำน้ำราว 10 กิโลเมตร ทางบกก็ราว 8 กิโลเมตร

ตัวพญานาค ทำเป็นรูปโครงไม้หุ้มกระดาษอย่างเดียวกับมังกรไฟ คือทำลำตัวเป็นท่อน สอดไม้ส้าวสำหรับถือชูและจุดไฟข้างในเวลาเอาไปตั้งขบวนแห่มาจากหนองวงนั้น เอาแต่ท่อนหัวกับหางไปสวมเข้ากับหัวและท้ายเรือชะล่า ถ่อขึ้นมาตามลำน้ำ กลางลำเรือบรรทุกปี่พาทย์ “ก๋องไจย-กลองไชย” คือกลองหน้าเดียว 7 ใบ ใหญ่ 6 เล็ก 1 กับปี่เล่ม 1 บรรเลงคล้าย “กลองประโคม” ที่เรียกกันเป็นสามัญว่า “เบ็งพวด” หัวนาคนั้น รูปร่างก็เหมือนอย่างรูปที่ก่อไว้ตามพนักบันไดขึ้นวิหารวัดต่างๆ ในลานนาไทย มีผิดกันแต่นอกจากมีหงอนยังมีเขาเหมือนเขาควาย เวลาแห่จุดไฟข้างใน และทำให้หันเศียรไปมากับขยับตาอ้าปากได้

เมื่อแห่นาคมาในลำน้ำ พวกนาคบริวารก็เดินขบวนจากท่าดินเลียบฝั่งแม่น้ำมารวมกันที่ท่านาค เอาหัวนาคและหางขึ้นประกอบลำตัวที่นี่แล้วจึงเดินขบวนเข้าสู่ดอยจอมทอง มีนาคบริวารนำและตามเป็นจำนวนเท่าๆ กัน เมื่อผ่านตูบหมาแหงนแม่นางเมืองก็ให้ทานเหมือนเมื่อตอนบ่าย ราษฎรเรียงรายกันโปรยข้าวตอกดอกไม้ต้อนรับตลอดถนนกองนาค การมหรสพก็ประโคมในเวลาผ่านไป นาคบริวารเลยไปพักที่วังคำที่เดียวกับพวกควายดำ แต่ตัวพญานาคเอาขึ้นไปบนดอยจอมทอง ตั้งหัวกับหางไว้ข้างบันไดขึ้นพระวิหาร ส่วนำตัวอ้อมรอบพระวิหาร พระสงฆ์ 108 รูป สวดชัยมงคลคาถาต้อนรับ แล้วผัดเปลี่ยนกันแสดงเทศนาปุจฉาวิสัชนา 3 ธรรมาสน์ เป็นเรื่องพุทธาภิเษกหรือชาดก (จำไม่ได้แน่) ไปจนสว่าง การมหรสพต่างๆ เลิกเวลาราวเที่ยงคืน กิจการในวันขึ้น 14 ค่ำนี้ กล่าวว่าเป็นวันผีนาคมาเลียบเมืองเพื่อสดับรับฟังเหตุการณ์และทำลายคนชั่ว เครื่องไทยทานและเครื่องบรรณาการที่แห่แหนเข้าไปยังมณฑลพิธี ก็เป็นแต่เอาเข้าไปเตรียมไว้เท่านั้น

วันขึ้น 15 ค่ำ เวลา 5 นาฬิกา ราษฎรทยอยกันเข้าสู่ข่วงหลวงจากสารทิศ ต่างนำอาหารสำหรับตักบาตรเลี้ยงพระมาจัดลงสำรับที่ร้านหน้าศาลา 39 ห้อง สำรับนั้นมีจำนวนเท่ากับพระสงฆ์ที่เข้าพิธีทั้ง 2 คณะ รวม 358 รูป แถมพระพุทธพระธรรมเข้าอีก 2 เป็น 360 สำรับ ครั้งได้เวลา “มุ่งมั่งแจ้ง” คือ ปัจจุบันสมัยแสงเงินแสงทอง อาจารย์น้อยที่ปรนนิบัติสงฆ์บนดอยจอมทองได้สัญญาณด้วยเสียง “ระฆัง” เรียกว่า “เด็งหลวง” ตีย่ำสามถา ดังกังวานมาจากบนดอยจอมทอง แสงเมืองจุดธูปเทียนบูชาบอกกล่าวเชิญชวนผีปู่ย่าลงสู่ข่วงหลวง (ไม่ต้องเชิญพาน) เพื่อตักบาตรและเลี้ยงพระ แล้วนำพ่อเมืองและคณะถือกรรมมายังศาลบวงสรวงผีนาค พวกสัปบุรุษสีกาที่มาคอยตักบาตรเรียงแถวกันเป็นสายๆ พระสงฆ์ 250 รูป ที่สวดประจำประตูเมือง ก็พากันมาชุมนุมที่บนม่อนจอมแจ้ง

ครั้นเวลารุ่งอรุณ อาจารย์น้อยก็ให้เสียงเด็งหลวงเป็นสัญญาณมาอีกเป็นคำรบ 2 ราษฎรต่างเงียบคอยตักบาตร บ้างก็เทิดทูน “สลุงข้าว” คือ “ขันข้าวตักบาตร” ขึ้นเหนือเศียร บ้างก็เพียงพนมมือไหว้อธิษฐานครู่หนึ่ง

พระสงฆ์นั่งปรก 108 รูป มีราชครูเมืองเป็นประธาน คลุมบาตรเดินเป็นแถว ลงมาจากม่อนจอมทองจามบันไดนาค และมาในทางวงกต พระสงฆ์ 250 รูป มีสวาตุ๊เจ้าปู่ครูหัวป่าเป็นประธาน คลุมบาตรเดินงมาจากบนม่อนจอมแจ้ง ทั้ง 2 คณะมีขะโยมตี “ปาน” คือ “กังสดาล” นำ เมื่อลงจากดอย ตีรัว เมื่อมาถึงข่วงหลวงแล้ว ตีช้าๆ พระสงฆ์เดินวกเวียนรับบิณฑบาตจากราษฎรทั่ว แล้วเลยไปพักที่ศาลา 39 ห้องทั้ง 2 หลัง แต่พระสงฆ์ผู้ใหญ่ 5 รูป และที่เป็นกิตติมศักดิ์อีกราว 15 รูป พักที่ศาลบวงสรวงผีนาค แล้วคฤหัสถ์สมาทานเบญจศีลและพระสงฆ์ทำวัตร ทายกยกสำรับคาวหวานเข้าประเคน รับประเคนแล้วสวดให้พรยถาสัพพีและกรวดน้ำอุทิศผลให้สรรพสัตว์พาหนะที่ล่วงลับไปแล้วจึงฉัน ฉันแล้วกลับขึ้นไปบำเพ็ญสมณกิจที่บนดอยจอมทอง พระหัวป่าและพระหัวเมืองต่างปลงอาบัติหรือรับอาบัติซึ่งกันและกัน พ่อเมืองและคณะถือกรรมก็กลับขึ้นไปด้วย แต่แสงเมืองคงอยู่ที่ศาลบวงสรวงพร้อมผีปู่ย่า แม่นางเมืองและนางในกับทั้งหญิงบรรดาศักดิ์เชิญสำรับคาวหวานขึ้นไปเลี้ยงและคณะถือกรรมที่บนดอยจอมทอง

แผนที่หนองวงและท่าดิน(วังดิน) ทำโดย นโม ตสฺส
(http://)