คราวใดที่เสด็จพระราชดำเนินทางไกลและกัปตันริชลิวมีหน้าที่ต้องตามเสด็จนานๆ นายห้างนีลส์ก็จะเข้ามาทำหน้าที่จัดซื้อในกรมแสงแทน ฝรั่งเดนมาร์กเองด้วยกันยังงงอยู่ว่า การที่ผู้ซื้อกับผู้ขายเป็นบุคคลเดียวกัน แล้วมันจะโปร่งใสไปได้อย่างไร คำถามของเขาคือ จริยธรรมตัวไหนที่ใช้เป็นตัวแยก Commissions Corruption และ Concessions
ในเรือนไทยนี้ ใครตีความหมายเก่งๆ ลองช่วยกันแยกแยะหน่อย
ยังตีความหมายไม่ค่อยจะออกค่ะ แต่ว่ามาทำหน้าที่ไขกุญแจเปิดประตู เสร็จแล้วก็จะถอยไปให้ท่านที่เข้าใจดีกว่ามาเปิดประเด็น
สองคำแรก คือCommission(s) และ corruption(s) คนไทยเรียกทับศัพท์ไปว่าค่าคอมมิชชั่นและคอรัปชั่น เป็นที่เข้าใจกันแพร่หลายโดยไม่ต้องแปล แสดงว่าคุ้นเคยกับความหมายของสองคำนี้ดี ส่วน concessions ไม่ค่อยคุ้นหู แต่ถ้าเรียกว่าสัมปทานผูกขาด ก็เข้าใจกันดีว่าหมายถึงอะไร
ขอเล่าหน้าม่านไปพลางๆก่อนว่า ในสมัยที่ไทยยังมีพระคลังสินค้า มีระเบียบการทำงานของราชการอย่างหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ข้าราชการได้ค่าคอมมิชชั่นอย่างถูกต้องโดยราชการหลับตาเสียหนึ่งข้าง เรียกว่า "เหยียบหัวตะเภา" หรือ "เหยียบสำเภา" คือ เมื่อเรือสินค้าของต่างชาติเข้ามาค้าขายกับสยาม พวกเขาจะต้องนำเรือสินค้ามาให้กรมพระคลังสินค้าเลือกซื้อสินค้าเสียก่อน หลังจากนั้นถึงจะขายสินค้าที่เหลือให้ประชาชน
ในการนี้ พระคลังสินค้าโดยพระเจ้าแผ่นดินจะใช้พระราชอำนาจ สั่งให้ขุนนางคนใดคนหนึ่งหรือชุดใดชุดหนึ่งลงไปตรวจดูสินค้าในเรือที่ว่า งานนี้เรียกว่า "เหยียบหัวตะเภา" เพื่อคัดเลือกสินค้าที่จะซื้อหรือเก็บภาษีขาเข้าก่อน ขุนนางที่ไปเหยียบหัวตะเภาหรือเหยียบสำเภา มีสิทธิ์จะพิจารณาเลือกสินค้าเข้าพระคลังได้ หรือสั่งห้ามสินค้าบางอย่างก็ได้ เช่นสินค้าที่เป็นพิษเป็นภัย อย่างพวก อาวุธปืน กระสุนปืน หรือฝิ่น ดังนั้น กัปตันเรือทั้งหลายก็ต้องรู้วิธีเอาใจขุนนางเหยียบหัวตะเภาเพื่อให้การตรวจเลือกเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่งั้นสินค้าอาจถูกห้ามขายเอาง่ายๆ หรือถูกเลือกแบบกดราคา ไม่คุ้มค่าใช้จ่าย นายเรือจะไปโวยวายกับใครก็ไม่ได้
การเอาใจก็คือให้คอมมิชชั่น จะเป็นในรูปข้าวของเงินทองอะไรก็ตามแต่ พระคลังก็รู้อยู่เต็มอกแต่ไม่รู้ไม่ชี้ เพราะถือว่าเงินค่าคอมมิชชั่นนั้นนายเรือเป็นฝ่ายจ่าย ขุนนางจึงอยากจะเหยียบหัวตะเภากันนัก โดยมากก็ต้องผลัดกันไป ไม่ผูกขาดอยู่กับคนใดคนหนึ่ง
ทำให้คิดว่า คอมมิชชั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจนักในสังคมสยามโบราณ