naitang
|
ความคิดเห็นที่ 270 เมื่อ 16 ก.พ. 22, 18:23
|
|
กองมูลสดของวัวและของควายมีความต่างกันที่ค่อนข้างจะเห็นได้ชัด มูลของวัวที่เลี้ยงกันแบบปล่อย จะมีลักษณะเป็นกองที่ชัดเจน มีลักษณะคล้ายกับก้อนน้ำตาลปึกที่หยอดแล้วบิดให้ขาดจากกัน (คือมีลักษณะของการม้วน) สีของมูลจะออกไปทางโทนสีเขียว-น้ำตาล เนื้อดูหยาบและออกไปทางแห้งหมาดๆ
กองมูลของควายนั้น จะมีลักษณะออกไปทางเป็นวงกลมแบน มีความเละคล้ายๆโคลน มีสีออกไปทางสีดำ พอจะเปรียบได้กับลักษณะของก้อนดินโคลนเละๆที่หล่นมาจากท้ายรถขนดินโคลนที่ได้มาจากการลอกท่อระบายน้ำ
อย่างไรก็ตาม กองมูลของวัวแบบเละๆก็มี แต่กองมูลของควายแบบเป็นก้อนๆนั้น ไม่เคยเห็น ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 271 เมื่อ 16 ก.พ. 22, 18:54
|
|
เคยสังเกตใหมครับว่า มันของเนื้อวัวนั้นมีทั้งสีออกขาว สีออกเหลืองจางๆ และสีออกเหลืองเข้ม ผมไม่มีความรู้เลยว่าสีของมันเนื้อนี้มันบอกอะไรๆที่เราควรจะต้องรู้ เพื่อจะได้นำไปใช้ประโยขน์ในการเลือกซื้อเนื้อเพื่อเอาไปทำอาหารในเมนูที่เหมาะสมกับเนื้อส่วนนั้นๆ คุณเพ็ญชมพู น่าจะเป็นผู้ที่ให้ความรู้ได้อย่างมากเลยทีเดียวเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 272 เมื่อ 16 ก.พ. 22, 21:15
|
|
ขึ้นกับวิธีการเลี้ยง การเลี้ยงวัวโดยปล่อยในทุ่งให้กินหญ้าได้โดยอิสระ (grass fed) จะได้ไขมันของเนื้อวัวออกสีเหลืองเนื่องจากมีสารสี carotenoid ส่วนการเลี้ยงด้วยอาหารเม็ด (grain fed)ในคอกจำกัดบริเวณ ไขมันจะออกสีขาว รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้จาก professionalsteak.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 273 เมื่อ 17 ก.พ. 22, 18:30
|
|
ก็มีข้อสังเกตอยู่เรื่องหนึ่งว่า แต่ก่อนนั้น อาหารไทยเมนูต่างๆค่อนข้างจะมีการจำแนกกันว่าอาหารจานใดหรือเมนูใดควรจะใช้เนื้อวัว หรือเนื้อหมู หรือไก่ประเภทใด หรือปลาอะไร รวมทั้งยังค่อนข้างจะเห็นพ้องกันว่าเนื้อสัตว์อื่นๆที่หามาได้นั้นควรจะต้องเอามาปรุงเป็นเมนูอาหารเช่นใดจึงจะเหมาะสมและมีความอร่อยคุ้มค่ากับเวลาและความลำบากที่ไปแสวงหาได้มา
ต่อมา เมื่อสังคมของไทยเราเริ่มหันไปเพิ่มการบริโภคเนื้อหมู ไก่ และปลา แทนการบริโภคเนื้อวัว ก็ปรากฎว่าอาหารทั้งหมดที่ปรุงโดยไม่ใช้เนื้อวัวนั้นก็ยังคงความอร่อย บางอย่างก็อร่อยมากขึ้นไปเสียอีก
ในปัจจุบัน การใช้เนื้อหมูถูกขีดวงจำกัดมากขึ้นไปอีก อาหารไทยเป็นจำนวนมากจึงมีการใช้เนื้อไก่และปลากัน กระนั้นก็ตาม ด้วยฝีมีอของพ่อครัวแม่ครัวไทยที่เป็น chef ระดับพื้นบ้านที่ทำอาหารสำเร็จรูปขายในตลาดอาหารสำเร็จรูปและ street foods ก็ยังสามารถรักษาความอร่อยของอาหารไทยต่างๆไว้ได้จนโด่งดังไปในระดับโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 274 เมื่อ 17 ก.พ. 22, 19:01
|
|
อารัมภบทมา เพื่อชี้นำว่าอาหารไทยมีการพัฒนาและมีความใส่ใจในการปรับตัวที่น่าทึ่งอยู่มาก ด้วยความสนใจ ผมลองไปค้นดูในสื่ออีเล็กทรอนิกส์ต่างๆเพื่อค้นหาอาหารไทยที่ใช้เนื้อวัวในปัจจุบันของเรา พบว่าก็มีการนำมาใช้กันในเกือบทุกเมนูในอาหารชนิดและประเภทต่างๆที่เรารู้จักและมีขายกันอย่างแพร่หลาย(ที่ใช้เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา)
น่าจะจัดให้เป็นพวก niche foods ที่ควรแก่การกล่าวถึงและควรแก่การส่งเสริม
เมนูแรก เช่น เนื้อวัวผัดฉ่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 275 เมื่อ 18 ก.พ. 22, 18:33
|
|
ได้กล่าวไปถึงวัวและควาย เลยนึกขึ้นได้ว่า คำเรียกแบบสุภาพของวัวคือ 'โค' ส่วนควายนั้นเรียกว่า 'กระบือ' แต่สำหรับควายนั้นยังมีอีกคำหนึ่งเรียกว่า 'กาสร' ซึ่งเป็นคำเรียกที่เกือบจะไม่เห็นว่ามีการใช้กัน
ผมเองไม่มีความรู้ใดๆที่เกี่ยวข้องกับคำว่า กาสร นี้เลย ก็เลยจะขอความกรุณาท่านที่มีความรู้ช่วยขยายความคำนี้ด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 276 เมื่อ 18 ก.พ. 22, 19:36
|
|
กาสร มาจากภาษาสันสกฤตค่ะ นิยมใช้กันในวรรณคดีตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ แทนคำว่า "ควาย" หรือ "กระบือ" รวมทั้งควายป่าด้วย ตามความนิยมในสมัยโน้นที่ถือว่าบาลีสันสกฤตเป็นภาษาสูง เหมาะจะใช้แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน คำที่แปลว่า ควาย มีอีกหลายคำ เช่น มหิษ มหิงส์ มหิงสา เมื่อความนิยมแต่งคำประพันธ์แบบนี้เสื่อมถอยลงไป คำจำนวนมากรวมทั้งมหิงสาและกาสรก็พลอยหายไปด้วย
ข้างล่างนี้คือกาสรตัวดังในเรื่องรามเกียรติ์ ชื่อทรพา กับทรพี ชื่อหลังนี้สื่อยังเอามาพาดหัวข่าวเสมอ เวลามีข่าวลูกทำร้ายหรืออกตัญญูต่อพ่อแม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 277 เมื่อ 18 ก.พ. 22, 22:32
|
|
คำว่า กาสร มาจากภาษาสันสกฤต कासर (kAsara) สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน อธิบายความหมายว่า
กาสร (คำนาม) ผู้เที่ยวไปหาน้ำบ่อย ๆ , มหิษ, กระบือ, ควาย ; who frequents water, a buffalo (this animal being partial to marshy places) จาก https://www.transliteral.org/dictionary/कासर/word
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 278 เมื่อ 19 ก.พ. 22, 08:18
|
|
เนื้อควายสด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 279 เมื่อ 19 ก.พ. 22, 19:18
|
|
ขอบพระคุณมากครับ สำหรับความรู้เกี่ยวกับคำว่า กาสร
ไทยเราดูจะจำแนกเอาคำว่า 'มหิงสา' ไปเรียกควายที่เดินท่องป่าหากินอย่างอิสระเสรี ส่วนควายที่เลี้ยงเอาไว้ใช้งานจะเรียกว่า 'ควาย' เฉยๆ หรือเรียกอย่างเต็มยศว่า 'ควายบ้าน'
ก็มีควายอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า 'ควายเพลิด' ซึ่งก็คือควายที่ปล่อยเข้าป่าให้ไปหากินเองในช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการใช้งานทำนา(นาปี) คำว่าป่านี้หมายถึงแอ่งที่ราบหรือทุ่งหญ้าในระหว่างหุบเขาที่มีหญ้า มีหนองมีน้ำ มีชายขอบของพื้นที่ต่อเนื่องกับป่าละเมาะที่ควายสามารถเข้าไปหลบนอนได้ เมื่อเจ้าของจะใช้งานก็จะไปตามเอาควายกลับมา ซึ่งก็จะใช้วิธีการตามด้วยการฟังเสียงกระดึงที่แขวนอยู่ที่คอของควาย กระดึงนี้ เจ้าของควายมักจะเป็นผู้ทำเองและจะจำเสียงนั้นๆ(ในทุก aspect)ได้เป็นอย่างดี กระดึงนี้มักจะผูกไว้ที่คอของตัวที่เป็นจ่าฝูงเท่านั้น หรือก็อาจจะมีกระดึงลูกคู่แขวนไว้กับตัวอื่นๆอยู่ด้วย วิธีการตามด้วยการฟังเสียงกระดึงโดยที่สามารถจำแนกว่าเป็นควายของตนหรือของผู้อื่นนั้น น่าจะเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่าทึ่งเรื่องหนึ่งทีเดียว
แต่ก็มีเหตุที่ไม่สามารถจะตามเอาควายกลับมาใช้งานได้ ซึ่งก็มีทั้งถูกขโมย หรือถูกฆ่า หรือเตลิดหากินไปไกล หรือเจ้าของได้โยกย้ายที่อยู่ ควายพวกนี้ก็เลยถูกเรียกว่า 'ควายเพลิด' นานไป ไม่คุ้นกับคนมากขึ้น เชือกกระดึงขาด ไม่มีกระดึงแขวนคอ มีการปรับสภาพชีวิตแะความเป็นอยู่ ก็เลยถูกเรียกอย่างหลวมๆว่า 'ควายป่า' ควายเพลิดที่ต้องเอาชีวิตรอดในป่านานเข้า ก็น่าจะต้องมีการปรับสภาพทางกายภาพของร่างกาย ฯลฯ ก็เลยอาจจะถูกเรียกว่า 'มหิงสา' ??
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 280 เมื่อ 19 ก.พ. 22, 19:32
|
|
เมื่อครั้งที่ทำงานสำรวจอยู่ในพื้นที่ห้วยขาแข้งในช่วงปี 2514 นั้น ที่บ้านเกริงไกร (น้ำของเขื่อนเข้าเณรท่วมไปแล้ว) ที่เรียกว่ามหิงสานั้น ได้เข้ามาติดควายสาวในหมู่บ้าน ผมและพรรคพวก 2-3 คนจะเอ๋กับมันตอนเดินกลับจากหมู่บ้านไปที่แคมป์แรมริห้วยขาแข้ง ก็เลยอยู่ในความคิดแต่นั้นมาว่าน่าจะเป็นพวกควายเพลิดที่เตลิดเข้าป่ามานานมากแล้วนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 281 เมื่อ 20 ก.พ. 22, 10:43
|
|
เนื้อควายตอนนี้ขึ้นโต๊ะเป็นกาสรสเต๊ก หรือมหิงษาไฮโซแล้วละค่ะ เพราะมีการเลี้ยงควายเพื่อขุนเอาเนื้อโดยเฉพาะ ภาพนี้ชื่อ Bacon-Fillet di Bufala คือสเต็กสันในเนื้อควายย่างพันเบคอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 282 เมื่อ 20 ก.พ. 22, 10:52
|
|
ส่วนจานนี้หรูยิ่งกว่าจานแรก ชื่อ Bistecca Di Buffala เป็น ทีโบนเนื้อควาย ปรุงสไตล์อิตาเลียน ราคาจานหนึ่งชื่อล็อตเตอรี่ตามราคาสำนักงานได้ 16 ใบกว่าๆ ถ้าคุณตั้งกับคุณหมอเพ็ญจะลองชิมก็เสิชกูเกิ้ลตามชื่อนี้ได้ค่ะ ไปรับประทานแล้วรสชาติเป็นยังไง กลับมาบอกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 283 เมื่อ 20 ก.พ. 22, 10:54
|
|
หรือจะลองอาหารไทยแทนฝรั่งก็ได้ ผัดกะเพราเนื้อควาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 284 เมื่อ 20 ก.พ. 22, 10:58
|
|
ถ้ายังไม่เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ อาจจะลองไปสั่งจานนี้ Herbs Crusted Sirloin di Bufala อันได้แก่สเต็กเนื้อควายเซอร์ลอยอบเนย โรยหน้าด้วยสมุนไพร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|