เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: นิลกังขา ที่ 30 ธ.ค. 03, 15:13



กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 30 ธ.ค. 03, 15:13
 ผมเพิ่งแว่บหนีไปเที่ยวถิ่นเก่าที่สวิตเซอร์แลนด์มาี่สี่ห้าวันครับ ได้ไปพบสมาชิกเรือนไทยสาขาซูริกมาด้วย

ไปเที่ยวคราวนี้ไปคนเดียวครับ (เว้นแต่เมื่อไปถึงแล้วมีบางช่วงน้องสาวน้องเขยที่โน่นเขาพาเที่ยวบ้าง) พอจะเข้าใจความรู้สึกของกวีไทยโบราณตอนที่ท่านแต่งนิราศได้รางๆ ว่า ไปเห็นอะไรแล้วก็เกิดนึกถึงใครคนหนึ่งอยากให้ไปเที่ยวด้วยกัน ความรู้สึกมันเป็นยังงี้เอง

ระหว่างเที่ยวไปคนเดียว มีกลอนบทหนึ่งแว่บเข้ามาในหัวผม แต่จำไม่ได้ว่ามาจากเรื่องไหน ใครแต่ง และที่เข้ามาในหัวก็ขาดๆ วิ่นๆ สิ้นดี มีใครจำได้บ้างครับ

...ถ้าแม้แก้วแววตามาด้วยพี่
จะช่วยชี้ชมไม้ในพฤกษา ... หรืออะไรเทือกๆ นั้น

มีอีกบทหนึ่งอยู่ท้ายเรื่องเวนิสวาณิช ขึ้นต้นคล้ายกัน แต่ไม่ได้มีความหมายไปในทางนิราศ คือ

...ถ้าแม้แม่ดวงใจเดินใกล้พี่
ส่องแสงแทนรวีสว่างหล้า
ยามราตรีก็จะมีผ่องประภา
ประหนึ่งว่ากลางวันเป็นมั่นคง...

ฝีพระโอษฐ์ ร. 6 ทรงแปลจากเรื่องของเชคสเปียร์ ตอนบัสสานิโยคุยกับนางปอร์เชีย แต่ไม่เกี่ยวกับการจากกันไปไหนครับ


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: ถาวภักดิ์ ที่ 30 ธ.ค. 03, 16:48
 ที่จำได้ก็ของล้นเกล้า ร.6 เช่นกันครับ มาจากกาพย์ห่อโคลงเห่เรือ

....ตาเดียวเลี้ยวลดลี้
ก็ยังดีกว่าพี่ยา
เริดร้างห่างแก้วตา
สองตาแลแพ้ตาเดียว...

แต่ถ้าของเช็คสเปียร์ จำได้อยู่ตอนเดียวจากโรมิโอแอนด์จูเลียต เพราะมีสาวเคยสอนไว้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นคุณเธอแฝงความนัยให้หรือเปล่า

Good night, good night
Parting is such sweet sorrow,
so I shalln't say good night until tomorrow.

คิดไปคิดมาอยู่นานจนจำบทนี้ได้


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: B ที่ 02 ม.ค. 04, 11:28
 ดิฉันมาเวเคชันที่บ้านของคุณน้าสมาชิกชาวเวบเวบหนีงที่ Jacksonville, Florida ค่ะ คุณน้าท่านมีนวนิยายไทยอยู่เยอะมาก ดิฉันก็เลยไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากกินกับอ่าน
ตอนนี้กำลังอ่าน "บูรพา" ค่ะ ชอบที่ท่านผู้ประพันธ์แปล sonnet ของ William Shakespeare ท่อนนี้ค่ะ

รักพี่เถิดมมากๆ     จวนจะพรากจากกันไกล
ไปแล้วจะเลยไป  ไม่มีวันหันกลับมา

(จาก "บูรพา"โดยคุณ ว. วินิฉัยกุล พิมพ์ครั้งที่ 2, หน้า 58)  

ไม่มีใครให้คิดถึงอย่างคุณนิลกังขาหรอกค่ะ    แต่อ่านแล้วเศร้าจังเลย


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 15 ม.ค. 04, 09:38
ถ้าแม้แก้วแววตามาด้วยพี่
จะชวนชี้ชมไม้ไพรพฤกษา
คิดพลางเดินพลางตามทางมา
ข้ามท่าเขินเขาลำเนาธาร

แลเห็นเขาเงาเงื้อมชะง่อนชะโงก
เป็นกรวยโกรกน้ำสาดกระเซ็นซ่าน
โครมครึกกึกก้องท้องพนาน
พลุ่งพล่านมาแต่ยอดศิขรินทร์

เป็นชะวากวุ้งเวิ้งตะเพิงพัก
แง่ชะงักเงื้อมชะง่อนล้วนก้อนหิน
บ้างใสสดหยดย้อยเหมือนพลอยนิล
บ้างเหมือนกิ่งพู่ย้อยห้อยเรียงราย

ตรงตระพักเพิงผาศิลาเผิน
ชะงักเงิ่อนเงื้อมงอกชะแง้หงาย
ที่หุบห้วยเหวหินบิ่นทลาย
ดูวุ้งโว้งโพร้งพรายดูลายย้อย

บ้างเป็นยอดกอดก่ายกะเกะตะกะ
ตะขระตะขระเหี้ยนหักเป็นหินห้อย
ขยุกขยิกหยดหยอดเป็นยอดย้อย
บ้างแหลมลอยเลื่อมสลับระยับยิบ

บ้างงอดเง้าเป็นเงี่ยงบ้างเกลี้ยงกลม
ดูโปปมเป็นปุ่มกระปุบกระปิบ
บ้างปอดแป้วเป็นพูดูลิบลิบ
โล่งตะลิบแลตลอดยอดศิขรินทร์

เหล่ามิ่งไม้ไทรโศกอยู่ริมห้วย
ลมช่วยหล่นลอยกระแสสินธุ์
น้ำใสแลซึ้งถึงพื้นดิน
ฟุ้งกลิ่นสุมามาลย์บานระย้า

สัตบุษย์บัวแดงขึ้นแฝงฝัก
พันธุ์ผักพาดผ่านก้านบุบผา
แพงพวยพุ่งพาดพันสันตวา
ลอยคงคาทอดยอดไปตามธาร

เพิ่งเห็นกระทู้ของคุณนิลกังขาครับ
เพราะส่วนใหญ่ผมจะง่วนอยู่แถวห้องเด็กวิทย์

ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องขุนช้างขุนแผนหรือเปล่า
เพราะเรียนผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้ว
เป็นบทหนึ่งที่ท่องยากมากกก
แต่กินใจ เห็นน้ำตกได้โดยไม่ต้องไปน้ำตกครับ


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 15 ม.ค. 04, 09:52
 นึกออกแล้วครับ
ขุนช้างขุนแผนแน่ ๆ เพราะบทนำคือ

ยกออกนอกเมืองสวรรคโลก
ข้ามโคกเข้าป่าพนาศรี
เจ้าพลายกระสันพันทวี
รำลึกถึงนาีรีศรีมาลา

ถ้าแม้นแก้ว....

เห็นบทนี้คงนึกออกแล้วนะครับว่าเป็นตอนไหน
ส่วนเรื่องเวนิสวานิช ไม่เหลืออยู่ในหัวแล้วครับ
จำได้แต่ที่เป็นเพลง ความรัก...
เพราะเคยร้องเล่นตอนมีความรักครับ


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 15 ม.ค. 04, 09:53
 ดูจากสัมผัสพันกันไม่มีหลุดแบบนี้
ผมว่าน่าจะเป็นท่านสุนทรภู่นะครับ


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 15 ม.ค. 04, 19:44
 คารวะ...

ขอบพระคุณอาจารย์นิรันดร์มากๆ ครับ

แปลว่าตอนนั้นผมตกที่นั่งพลายงามคิดถึงศรีมาลา นั่นเอง

แต่ตอนนี้กำลังสงสัยว่าจะตกที่นั่งกินแห้วเสียอีกรอบแล้วก็ไม่รู้ครับ อะฮื้ออออ.....


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 19 ม.ค. 04, 23:26
 อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย
ไม่ตายดอกเพราะอดสเน่หา

นึกไม่ออกแล้วครับว่าจำมาจากไหน
แต่เตือนใจตัวเองเวลาคิดจะเป็นจะตายได้พอสมควร

ตอนนี้ กลัวจะตายก่อนที่ลูกคนเล็กจะเรียนจบ
เนื่องจากกินมาเกินไป น้ำตาลเกินบ้าง ไขมันเกินบ้างไปแล้วครับ


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ม.ค. 04, 16:11
 สุนทรภู่ค่ะ อาจารย์


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 21 ม.ค. 04, 09:09
 ขอบคุณมากครับคุณ"เทาชมพู" ถามต่ออีกนิดว่า
จากเรื่องอะไรครับ


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 04, 10:56
 สงสัยจะพระอภัยมณีค่ะ  ถ้าผิดขออภัยด้วย


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 21 ม.ค. 04, 18:17
 ผมหาเจอแล้วครับคุณ"เทาชมพู"

๏ ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย  จะเรียงรายกลายหนหาควรไม่
พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร  กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา
อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย      ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา
นางก้มอยู่กับตักซบพักตรา     เฝ้าวอนว่าไหว้พลางพ่อวางพิม ๚

ไปเจอที่นี่ครับ

 http://www.geocities.com/lekpage/plaikaew.htm

อย่างไรก็ขอขอบคุณที่พยายามช่วยนะครับ


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ม.ค. 04, 22:09
 ขออภัยอีกครั้ง   และขอเย็บหน้าด้วยการไปค้นชื่อผู้แต่งมาให้ค่ะ
สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ นิพนธ์ไว้ใน"ตำนานเสภา" ว่า
" กล่าวกันมาว่า  ขุนช้างขุนแผนตอนพลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม    เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย"


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 ม.ค. 04, 10:25
 ผิดเป็นครู รู้เป็นคุณ
คนดีชอบแก้ไข

ขอบคุณอีกครั้งครับคุณเทาชมพู


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ม.ค. 04, 11:28
 ท่าทางอาจารย์นิรันดร์จะชอบขุนช้างขุนแผน  ดิฉันเลยไปหยิบลงมาจากชั้นหนังสือ เปิดหาตอนเพราะๆมาให้อ่าน
 ตอนที่ถือกันว่ายอดเยี่ยม มีหลายตอนค่ะ เช่นตอนพลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม  และตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง  สองตอนนี้กล่าวกันว่าเป็นพระราชนิพนธ์
ตอนขุนแผนพานางวันทองหนี เชื่อว่าเป็นพระนิพนธ์ในกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์  (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว)
กำเนิดพลายงาม สำนวนกลอนเชื่อกันว่าเป็นของสุนทรภู่แน่นอน
ตอนนางบัวคลี่   เห็นว่าเป็นตอนที่ครูแจ้งแต่ง  ออกรสชาติจัดจ้านแบบชาวบ้านตามแบบที่ครูแจ้งถนัด

อาจารย์พูดถึงอดข้าว   ในตอนก่อนหน้าตอนนั้น พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 ท่านก็ทรงเปรียบเทียบความรักกับรสชาติข้าวปลาอาหารไว้ได้คมคาย

อันมนุษย์สุดแสนที่โลภเหลือ
ไม่ควรเชื่อตามความปรารถนา
เหมือนของกินสิ้นไปทุกเวลา
ต้องหาเปรี้ยวหาเกลือมาเจือจาน

ต้มแกงแต่งเจียวทั้งปิ้งจี่
เซ้าซี้สารพันทั้งมันหวาน
เลือกดิบเลือกสุกทุกประการ
ถ้าซ้ำสิ่งใดนานก็เบื่อไป

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าคงจะมีพระนิสัยพิถีพิถันเรื่องเครื่องเสวยอยู่มาก     เห็นได้จากกาพย์ชมเครื่องคาวหวาน
ว่ากันว่าผู้ที่ทำเครื่องเสวยได้ถูกพระราชหฤทัยที่สุดคือเจ้าฟ้าบุญรอด สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์
เมื่อทรงแยกทางกันเพราะเจ้าฟ้ากุณฑลเป็นเหตุ   ห้องเครื่องทำขึ้นมา  พระเจ้าอยู่หัวเสวยไม่ใคร่จะลง    ก็มีพระบรมราชโองการให้ขอไปทางพระมเหสี
แต่สมเด็จฯก็พระทัยเด็ด   ทำมาอย่างเสียไม่ได้ ให้เสวยไม่ลงเสียอย่างนั้นแหละ จนกระทั่งสิ้นรัชกาลกันไปก็ยังไม่ได้มาคืนดีกัน


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 ม.ค. 04, 16:41
 สงสัยเป็นที่พระองค์ทรงบ่นไว้ที่

ความรักยักเปลี่ยนท่า ... ทำน้ำยาอย่างแกงขม..


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 ม.ค. 04, 17:06
 "ความรักยักเปลี่ยนท่า ..." นี่ ผมคิดเอาเองว่าไม่ได้ทรงบ่นนะครับอาจารย์ (หมายเหตุ - ห้ามคิดทะลึ่ง   )

อ่านต่อไปท่านบอกว่า "ทำน้ำยาอย่างแกงขม กลอ่อมกล่อมเลี้ยงกลม ชมไม่วายคลับคล้ายเห็น"

ผมได้ความรู้สึกว่า กวีพูดถึงนางอันเป็นที่รักซึ่งทำกับข้าวเก่งสารพัด ทำโน่นนี่ให้กินอร่อยอย่างที่พูดมาในบทก่อนๆ แล้วก็ยังกลัวจะเบื่อ จึงยักย้ายดัดแปลงทำอาหารให้แปลกๆ ไม่ให้เบื่อ โดยทำน้ำยาอย่างแกงขม เหมือนแกงอ่อม แต่ถึงจะเปลี่ยนแปลกๆ ไปอย่างไร ก็ยังเหมาะเจาะลงตัวอร่อยอยู่ดี

ฟังดูไม่น่าจะเป็นการบ่น แต่อันนี้เป็นการตีความของผมเองครับ

ตอนนี้กำลังชักไม่ค่อยจะแน่ใจว่าตัวเองจะต้องท่องกลอนบทนี้อีกรึเปล่า

ไม่ทราบผู้แต่ง ไม่ทราบที่มา ทราบแต่ว่าแต่งในสมัยปัจจุบันนี่แหละครับ ผมเคยท่องสมัยเป็นหนุ่มน้อยในมหา-ลัย
...แสวงหาสิ่งหวังวันข้างหน้า
อกหักมากี่หนยังทนได้
ความรักเหมือนสายธารที่ผ่านไป
จะเป็นไร (ไปวะ-) หากอกหักอีกซักครั้ง...

อะฮื้อ...


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 23 ม.ค. 04, 17:52
 ขออภัยครับ "กลอ่อมกล่อมเกลี้ยงกลม" ครับ

ถ้าทรงตรัสว่ารสชาติกลมกล่อม ก็น่าจะไม่ใช่ทรงบ่นนะครับ อีกอย่างหนึ่ง ผมเข้าใจว่าตอนที่พระราชนิพนธ์กาพย์เห่ฯ นั้นยังไม่ได้ทรงทะเลาะกัน

พออาจารย์นิรันดร์พูดถึงออพลายแก้วกับเจ้าพิมพิลาไลย ผมเลยจำได้อีกท่อนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะตอนที่หนุ่มสาวสองคนได้กันแล้ว หนุ่มแก้วอาจจะตะกรุมตะกรามไปหน่อย สาวยังอายอยู่ ปัดป้อง แล้วก็ตัอพ้อว่า

"ประเดี๋ยวจับประเดี๋ยวจูบเฝ้าลูบชม
แก้มกับนมนี่เจ้าซื้อมาฤาขา..."


กระทู้: ใครจำกลอนบทคล้ายๆ นี้ได้บ้างครับ
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ม.ค. 04, 17:54
 จำได้แต่บทนี้ค่ะ
"ฉันอกหักตามระเบียบเรียบร้อยแล้ว
...................................."
ของเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ความหลังที่แฝงอยู่ในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน   ว่ากันว่าเป็นบทนี้ค่ะ

ทองหยอดทอดสนิท........ทองม้วนมิดคิดความหลัง
สองปีสองปิดบัง............แต่ลำพังสองต่อสอง

เรื่องรักในราชสำนักเรื่องนี้ มีสีสันตื่นเต้นไม่แพ้นิยาย  เพราะว่าเมื่อทรงรักกัน   ได้ลักลอบพบปะกันอยู่นาน  ผู้ใหญ่ไม่รู้     จนกระทั่งความแตกขึ้นเมื่อเจ้าฟ้าบุญรอดทรงครรภ์ขึ้นมา
เจ้าจอมแว่นพระสนมเอก นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ   เพื่อขอผ่อนหนักเป็นเบาไม่ให้กริ้ว    แต่ขนาดนั้นก็ทรงกริ้วนิ่งๆอยู่หลายวัน
จนในที่สุด เมื่อไปทูลถามว่าพระโอรสหรือธิดาที่จะประสูติจะดำรงพระยศเป็นอะไร   ได้คำตอบว่าเป็นเจ้าฟ้า  ก็โล่งใจไปตามๆกัน
ในที่สุดกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงนาทก็ไปขอพระราชทานอภัยโทษให้พระเจ้าหลานเธอทั้งสองพระองค์

พระโอรสองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์เมื่อประสูติ    ต่อมาครั้งที่สองจึงทรงประสูติเจ้าฟ้ามงกุฎ(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) และครั้งที่สามคือเจ้าฟ้าจุฑามณี( พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว)