เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: han_bing ที่ 07 ต.ค. 10, 08:10



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ต.ค. 10, 08:10
เนื่องจากข้าพเจ้าจำเป็นต้องเขียนเรื่อง "เพศที่สามในไทย" ส่งอาจารย์ และบังเอิญว่าอยู่จีน

ข้อมูลน้อยยิ่งนัก...

อยากรบกวนว่าชาวเรือนไทยพอจะรู้บ้างหรือไม่ว่าเพศที่สามในไทยนี้เดิมเรียกว่าอะไร

ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังล้วนแต่เป็นรุ่นหลังยุค ๒๕๒๕ ก่อนหน้านั้นไม่เคยได้รับทราบ ทราบแต่ว่าเก่าที่สุดใช้กะเทย แล้วในช่วงปี ๒๕๐๐ มีคำเรียกโดยเฉพาะหรือไม่

ขอบพระคุณครับ


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 07 ต.ค. 10, 09:53
จำได้ว่าในกฏมณเฑียรบาลเคยพูดถึง
คนรับใช้ในราชสำนักว่าเป็น 'เตี้ย ค่อม เทย' นะครับ
แต่ไม่แน่ใจว่า 'เทย' จะหมายความว่าอะไร ?

ผมเข้าใจว่าจะไม่ได้หมายถึง 'ขันที' หรือ 'ยูนุก'
ที่บางทีก็เห็นเรียกว่า 'นักเทศขันที' ก็มี
เพราะดูเหมือนว่า 'ขันที' ส่วนมากก็คือผู้ชายธรรมดา
ที่อาจจะผิดไปจากผู้ชายปรกติไปบ้าง ตรงที่ไม่มีฮอร์โมนเพศ
แต่ไม่ได้หมายความถึงผู้ชายที่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
หรืออยากมีร่างกายเป็นผู้หญิง หรือเปล่า ?


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 10, 11:00
ใน พระไอยการลักษณะพยาน ของกฎหมายตราสามดวง ซึ่งตรามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นและได้รับการตรวจชำระแก้ไขในรัชกาลที่ ๑ ได้กล่าวถึงคนที่ไม่ควรให้เป็นพยานในศาลจำนวน ๓๓ จำพวก สองจำพวกในนั้น คือ กระเทย และ บันเดาะ (เขียนตามต้นฉบับ) แสดงว่า กะเทยกับบัณเฑาะก์ เป็นคนละพวกกัน แล้วต่างกันอย่างไร คำสองคำนี้มีที่มาต่างกัน

กะเทย เป็นคำที่ไทยยืมเขมรมาใช้ คำเดิมคือ “เขฺทีย” อ่านว่า เขฺตย (ขฺเตย) ดร. บรรจบ พันธุเมธา ท่านเขียนคำนี้เป็นภาษาไทยว่า กระเทย เหมือนในกฎหมายตราสามดวง แต่ไฉนพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕  และ ๒๕๔๒ เก็บเฉพาะ กะเทย ไว้ ตามพจนานุกรมดังกล่าว กะเทย หมายถึง คนที่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง, คนที่มีจิตใจและกิริยาตรงข้ามกับเพศของตนเอง; ผลไม้ที่เมล็ดลีบ เช่น ลำไยกะเทย. (อะหม ว่า เทย) ถ้ายึดถือคำนิยามของราชบัณฑิตยสถานอย่างเคร่งครัด คำว่า กะเทย หมายถึงทั้งชายและหญิงก็ได้ผู้ที่มีบุคลิกภาพตรงข้ามกับเพศของตน

ส่วนคำว่า บัณเฑาะก์ มาจากภาษาสันสกฤตว่า ปณฺฑก  คำนี้มีรายละเอียดเขียนถึงในคัมภีร์ สารัตถสังคหะ  ตอนว่า “ปณฺฑกาน วิภาวนกถา” (ความว่าด้วยบัณเฑาะก์) แบ่งเป็น ๕ จำพวก  ดังนี้

๑. โอปักกมิปัณเฑาะก์ คือ ผู้ที่ถูกตอน

๒. อาสิตตปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดบังเกิดควมกำหนัดยินดี มีความกระวนกระวายขึ้นแล้วแลเอาปากคาบซึ่งนิมิตต์แห่งบุรุษทั้งหลายอื่น ดูดกินซึ่งอสุจิจึงระงับดับความกระวนกระวาย

๓. อุสุยยปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดแล เห็นซึ่งการอัชฌาจารแห่งบุคคลทั้งหลายอื่นแล้ว บังเกิดมีความริษยาขึ้นมา ความกระวนกระวายของคนนั้น ก็พลอยระงับดับลงในกาลเมื่อแลเห็นนั้น

๔. นปุ สกปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดหมอิตถีภาวรูปบ่มิได้ หาบุรุษภาวรูปบ่มิได้ ในปฏิสนธิกาลม บังเกิดมิได้เป็นหญิงเป็นชาย เพศหญิงชายนั้นหาปรากฎไม่ หรือ “ผู้ไม่มีเพศแต่กำเนิด

๕. อุภโตพยัญชนกปัณเฑาะก์ คือ มีสองเพศ จะเป็นหญิงก็ได้ จะเป็นชายก็ได้ มีด้วยกันทั้งสองเพศ  จะทำการรักกับชาย ปุริสนิมิตต์เพศชายก็หายไป จะทำการรักกับหญิง อิตถีนิมิตต์เพศก็หายไป

ความเห็นในเรื่องจำพวกบัณเฑาะก์ในคัมภีร์ สมันตปาสาทิกา แตกต่างไปจาก สารัตถสังคหะ เล็กน้อย จำพวกที่ ๕ ข้างต้น ถูกแทนที่ด้วย ปักขปัณเฑาะก์ คือ ผู้ที่เป็นบัณเฑาะก์เฉพาะปักข์ เมื่อถึงข้างขึ้นเป็นเพศชาย เมื่อถึงข้างแรมเป็นเพศหญิง

เรื่องที่ว่าไม่ให้กะเทยและบัณเฑาะก์เป็นพยานในศาลนั้น มาจากคติความเชื่อว่า คนที่จะเป็นพยานได้ต้องไม่ใช่คนบาป แต่ในทางพุทธศาสนาดังเช่นที่กล่าวไว้ใน ไตรภูมิพระร่วง คนที่เกิดเป็นกะเทยเนื่องจากผลกรรมที่ทำไว้ในชาติก่อน ๆ คือ เป็นชายที่ผิดเมียผู้อื่น หลังจากไปตกนรกปีนต้นงิ้วแล้ว ยังต้องไปเกิดเป็นกะเทยอีก ๑,๐๐๐ ชาติ จึงจะพ้นกรรม ดังนั้นจึงถือว่า เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์และควรเชื่อถือ



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 10, 11:19
ขอต่อด้วยเรื่อง ขันทีและนักเทษด้วยเสียพร้อมกัน

พวกเราเคยได้ยินคำว่า ขันที คุ้นหูโดยเฉพาะผู้ที่ชอบเรื่องจีน แต่คำนี้มิใช่คำจีนซึ่งเรียกขันทีว่า ไท้ก่ำ สังคมก่อนสมัยใหม่หลายสังคมทั้งในยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และประเทศสุดบูรพาทิศ (จีน เกาหลี และเวียดนาม ยกเว้นญี่ปุ่น) ต่างใช้ขันทีในราชสำนักทั้งสิ้น เขาว่า หลักฐานเกี่ยวกับการตอนคนเป็นขันทีอยู่ที่เมืองลากาซในวัฒนธรรมสุเมเรียนย้อนหลังไปถึง ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์กาล ในภาษาอังกฤษคำว่า Eunuch ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ eune (bed) + ekhein (to keep) แปลว่า “เจ้าพนักงานกระลาบรรทม”

เมืองไทยในอดีตเคยมีขันทีหรือไม่ ยืนยันว่า เคยมีมาจนถึงสมัยสิ้นกรุงศรีอยุธยา เพราะในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ในขบวนแห่ฝ่ายใน (พระสนมกำนัล) มีขันทีชื่อราขารและสังขสุรินทรเป็นผู้กำกับขบวนด้วย  อาณาจักรเพื่อนบ้านเราสมัยโบราณก็ล้วนมีขันทีทั้งนั้นไม่ว่า อาระกัน (ยะไข่) พม่า อินเดีย และชวา แม้แต่มอญก็มีคำเรียกขันทีว่า กมฺนุย (อ่านว่า ก็อมนอย) แปลโดยศัพท์ว่า ขันทีที่ปราศจากความรู้สึกทางเพศ

ขันที มีที่มาทางนิรุกติประวัติอย่างไร ในภาษาสันสกฤต คำว่า ขณฺฑ แปลว่า ทำลาย ขณฺฑธารา แปลว่า มีด หรือ ดาบ ศาสตราจารย์ MacDonell ผู้แต่ง A Practical sanskrit Dictionary ให้ความหมายของ khandฺa ว่า “incomplete, deficient, break or cut in pieces, destroy, cause to cease” แปลว่า “ไม่สมบูรณ์, ขาดหายไป, ทำลายหรือตัดออกเป็นชิ้น” สันนิษฐานว่า ขันที เป็นการเขียนแบบไทยสะดวกสำหรับคำว่า ขณฺฑี ในภาษาสันสกฤต

ขันทีในพม่าและอาระกันทำหน้าที่ดูแลรับใช้ฝ่ายในและจำทูล (ถือนำไป) พระราชสาสน์ ในกรณีของไทย ขุนนางกะเทยมีตำแหน่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า นักเทษ (นักเทศ) รับราชการฝ่ายขวา ขันทีรับราชการฝ่ายซ้าย ในทำเนียบพระไอยการลักษณะนาพลเรือน กฎมณเทียรบาล และในเอกสารอื่น มีข้อมูลกระเส็นกระสายเรื่องนักเทษขันที กฎมณเทียรบาล มีความกล่าวว่า

[๑] ถ้าเสดจ์ขนานหน้าวังตำรวจในลง ถ้าเสดจ์ในสระแก้วหฤๅไทยราชภักดีลง ถ้าเสดจ์หนไนมกอกน้ำออกมา ขุนสนมแลกันยุบาดราชเสวก แลมหาดเลกนักเทษลง ถ้าเสดจ์หนเรือแลประเทียบฝ่ายในลงก็ดี แต่นักเทษขันทีแลทนายเรือลง  (อักขรวิธีต้นฉบับ)

ข้อความใน [๑] กำหนดหน้าที่นักเทษขันทีอยู่ในกลุ่มผู้อารักขาความปลอดภัยและรับใช้เจ้านายฝ่ายในขณะเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จหนเรือ (ทางน้ำ)

[๒] อนึ่ง พระราชกุมารพระราชบุตรี นักเทษขันทีจ่าในเรือนค่อมเตี้ย ออกไปนอกขนอนนอกด่านผิดอายการ (อักขรวิธีต้นฉบับ)

บทบัญญัติในวังหลวง ถือว่านักเทษขันทีเป็นข้าราชการฝ่ายใน จะออกไปเขตนอกเมือง (พ้นขนอนและด่าน) ไม่ได้ เหตุผลคือ การติดต่อระหว่างคนรับใช้ในวังกับบุคคลภายนอกอาจเป็นภัยต่อองค์พระมหากษัตริย์

[๓] ฝ่ายเฉนียงนอก พระศรีมโนราช แลพระศรีอไภย ขุนราซาข่าน ขุนมโน บหลัดทัง ๔ นักเทษแลขันที หมื่นศรีเสารักษหมื่นสรรเพช  นายจ่านายกำนัลมหาดเลกเตี้ยค่อม (อักขรวิธีต้นฉบับ)

ความในข้อ [๓] ระบุถึงกลุ่มข้าทูลละอองฝ่ายใน (ฝ่ายเฉลียงด้านนอก) ซึ่งประกอบไปด้วยนักเทษขันที หัวหน้ามหาดเล็กหลวง และข้ารับใช้ในวัง

ในที่นี้ได้มีการระบุชื่อข้าราชการฝ่ายนักเทษขันทีคือ (๑) พระศรีมโนราช หรือ ออกพระศรีมโนราชภักดีศรีปลัยวัลย์ เจ้ากรมขันที ศักดินา ๑๐๐๐, (๒) พระศรีอไภย หรือ ออกพระศรีอภัย[ราชภักดีศรีปลัยวัลย์] เจ้ากรมนักเทษ ศักดินา ๑๐๐๐ (๓) ขุนราซาข่าน ซึ่งในทำเนียบพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน กรมวัง เขียนเป็น [ออก]หลวงราชาชานภักดี” (ซึ่งน่าจะผิด ชาน ควรเป็น ข่าน) ศักดินา ๕๐๐ ปลัดกรม และ (๔) ขุนมโน ซึ่งในทำเนียบพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนตรงกับ “[ออก]หลวงศรีมโนราชภัคดีศรีองคเทพรักษาองค ขันที” ศักดินา ๖๐๐ นามของท่านหลังนี้น่าจะคัดลอกมาผิด และการอ่านแบ่งวรรคตอนในฉบับพิมพ์ก็แยกคำผิด เพราะราชทินนามของท่านน่าจะคู่กันและสอดคล้องกับอีกท่านหนึ่งคือ “[ออก]หลวงเทพชำนาญภักดีศรีเพทรักษาองครักษ [นักเทษ]” ถ้าจะจำลองราชทินนามให้ถูกต้องน่าจะเป็นดังนี้

ออกหลวง ศรีมโนราชภักดี ศรีเทพรักษา               องครักษขันที
ออกหลวง เทพชำนาญภักดี ศรีเทพรักษา              องครักษขันที

นักเทษขันทีน่าจะมีมากกว่าที่ปรากฏในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้ยกเลิกประเพณีใช้นักเทษขันทีในพระราชวังหลวงแล้ว ผู้ชำระกฎหมายจึงไม่ได้เอาใจใส่หรือเห็นความสำคัญ ในสมัยอยุธยาตอนปลายพบชื่อของขันทีราขารและสังขสุรินทรในกระบวนแห่บรมราชาภิเสกสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ชื่อแรก “ราขาร” นั้นจดผิดจาก “ราชาข่าน” ซึ่งเป็นนามที่ทำให้รำลึกถึงวัฒนธรรมขันทีในราชสำนักของสุลต่านในเปอร์เชียและตุรกี ส่วนสังขสุรินทร์ทำให้นึกถึงหน้าที่เป่าสังข์ในราชสำนักคู่กับนักเทษที่ทำหน้าที่ตีกรับ

พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนยังให้ชื่อปลัดมรดกกรมขันทีสองท่านคือ ปลัดจ่านุชิตคู่กับปลัดพิพิท (สร้อยราชทินนามเต็มหายไป) เป็นที่น่าสังเกตว่า พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนเก็บรักษาทำเนียบกรมขันทีไว้ แต่ไม่มีทำเนียบเจ้ากรมนักเทษเลย เนื่องจากเราทราบว่า ออกพระศรีอภัยฯ ในกฎมณเทียรบาลมียศและฐานะเท่าเทียมกับออกพระศรีมโนราชฯ เพราะฉะนั้น ท่านจึงน่าที่จะเป็นเจ้ากรมนักเทษ ซึ่งเป็นกรมฝ่ายขวา

[๔] พระราชกุมารสมเดจ์พระอรรคมเหษีเจ้าขวา พระราชบุตรีซ้าย ลูกเธอหลานเธอแม่เจ้าพระสนม ออกเจ้ากำนัลซ้ายนักเทศขวาขันทีซ้าย ……. (อักขรวิธีต้นฉบับ)
 
ความในข้อ [๔] เกี่ยวข้องกับการพระราชพิธี ”ถวายบังคมสมโพธแม่ หยัวพระพี่” และบอกถึงตำแหน่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวของบรรดาฝ่ายใน ซึ่งรวมถึงการทำหน้าที่ของนักเทษและขันทีด้วย
 
[๕] ถ้าขัดพระราชฎีกาสมเดจ์พระอรรคมเหษีใช้พระราชฎีกา สมเดจ์พระชายาแลสมเดจ์หน่อพระพุทธเจ้าใช้พระเสาวนี สมเดจ์พระเจ้าลูกเธอกินเมืองใช้พระสาศน ผู้ใดขัดพระสาศนไหมทวีคูน ถ้าแลมีพระราชฎีกาดำเนีรมีตราขุนจันทราทิตยนำ ถ้าพระราชเสาวนีดำเนีรตราขุนอินทราทิตยนำ ถ้าพระราชฎีกานักเทศ[จำ]ถือไป พระเสาวนี[ขันที] จำถือไป (อักขรวิธีต้นฉบับ)

เรื่องที่ว่า นักเทษขันทีทำหน้าที่ผู้จำทูลพระราชศาสน์ของพระเจ้าแผ่นดินนั้นปรากฎอยู่ในทุกวัฒนธรรม ทั้งในจีนโบราณ จักรวรรดิไบแซนทีน รวมทั้งพม่าและเวียดนามเพื่อนบ้านของเราด้วย ในกรณีของราชสำนักไทย ความข้างต้นดูก็ทำหน้าที่จำถือคำสั่งเช่นเดียวกัน เพียงแต่เป็นผู้นำพระราชฎีกาของสมเด็จพระอัครมเหสี และพระเสาวนีย์ของพระชายาและสมเด็จพระหน่อพุทธเจ้า ถ้าข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง หมายความว่า พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณไม่ทรงเปิดโอกาสให้นักเทษขันทีเข้ายุ่งเกี่ยวกับราชาการฝ่ายหน้าเลย
 
[๖] งานเลี้ยงดอกไม้วงมงคล สมเดจ์พระอรรคมเหษีเจ้าแต่งกระแจะแป้งดอกไม้ พระภรรยาเจ้าแต่งหมาก พระราชกุมารพระราชนัดดาแม่หยัวเจ้าเมืองแต่หมาก ลูกขุนสนองพระโอษฐแต่งสำรับ พระราชกุมาร พิเศศแต่งสำรับนา ๑๐๐๐๐ นา ๕๐๐๐ ท้าวอินทกัลยาแต่งสำรับลูกขุน ท้าวยศมลเฑียรแต่งเข้าแผง พลเสนาแต่งเล่าสุรินสุราแต่ง ครั้นรุ่งแล้ว ๒ นาลิกา แลเสดจ์สรงธรงพระสุคนธ ๓ นาลิกา ธรงพระภูษาเสดจ์หอพระ พระราชกุมารพระราชนัดดาฝ่ายนอกฝ่ายใน ถวายบังคมในหอพระ พระราชกุมารพระราชบุตรีสมเดจ์พระภรรยาทั้ง ๔ ทูลพระบาท ๔ นาลิกา เสดจ์มังคลาภิเศกนักเทศตีกรับ (อักขรวิธีต้นฉบับ)

ความที่ยกมาข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่า บทบาทของนักเทษและขันทีในราชสำนักไทยมีอยุ่จำกัดในฐานะผู้รับใช้ฝ่ายในและในการพิธีหลวงเท่านั้น ชื่อเรียกนักเทษขันที ยังบอกเป็นนัยว่า เป็นกลุ่มคนที่มาจากภายนอกโดยเฉพาะจากอินเดียมากกว่าทางจีน ทั้งนี้อาจขัดกับความรับรู้ของคนไทยสมัยใหม่ที่ทราบเรื่องราวขันทีผ่านเรื่องจีนซึ่งมาในรูปของสื่อต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์ และวรรณกรรม

ข้อมูลจากหนังสือภาษาอัชฌาไศรย ภาคชายคาภาษาไทย เรื่อง กะเทย / บัณเฑาะก์ / ขันที / นักเทษ  โดย อาจารย์วินัย พงศ์ศรีเพียร
http://gotoknow.org/blog/thaikm/151017




 

 


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ต.ค. 10, 11:31
มีปัญหาในการบันทึกข้อข้ามไปข้อ [๖] เลยดีกว่า

[๖] งานเลี้ยงดอกไม้วงมงคล สมเดจ์พระอรรคมเหษีเจ้าแต่งกระแจะแป้งดอกไม้ พระภรรยาเจ้าแต่งหมาก พระราชกุมารพระราชนัดดาแม่หยัวเจ้าเมืองแต่หมาก ลูกขุนสนองพระโอษฐแต่งสำรับ พระราชกุมาร พิเศศแต่งสำรับนา ๑๐๐๐๐ นา ๕๐๐๐ ท้าวอินทกัลยาแต่งสำรับลูกขุน ท้าวยศมลเฑียรแต่งเข้าแผง พลเสนาแต่งเล่าสุรินสุราแต่ง ครั้นรุ่งแล้ว ๒ นาลิกา แลเสดจ์สรงธรงพระสุคนธ ๓ นาลิกา ธรงพระภูษาเสดจ์หอพระ พระราชกุมารพระราชนัดดาฝ่ายนอกฝ่ายใน ถวายบังคมในหอพระ พระราชกุมารพระราชบุตรีสมเดจ์พระภรรยาทัง ๔ ทูลพระบาท ๔ นาลิกา เสดจ์มังคลาภิเศกนักเทศตีกรับ (อักขรวิธีต้นฉบับ)

ความที่ยกมาข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่า บทบาทของนักเทษและขันทีในราชสำนักไทยมีอยุ่จำกัดในฐานะผู้รับใช้ฝ่ายในและในการพิธีหลวงเท่านั้น ชื่อเรียกนักเทษขันที ยังบอกเป็นนัยว่า เป็นกลุ่มคนที่มาจากภายนอกโดยเฉพาะจากอินเดียมากกว่าทางจีน ทั้งนี้อาจขัดกับความรับรู้ของคนไทยสมัยใหม่ที่ทราบเรื่องราวขันทีผ่านเรื่องจีนซึ่งมาในรูปของสื่อต่างๆ ทั้งภาพยนตร์ และวรรณกรรม

อ่านรายละเอียดเรื่องนี้อีกทีที่

ภาษาอัชฌาไศรย ภาคชายคาภาษาไทย เรื่อง กะเทย / บัณเฑาะก์ / ขันที / นักเทษ  โดย อาจารย์วินัย พงศ์ศรีเพียร
http://gotoknow.org/blog/thaikm/151017






กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 07 ต.ค. 10, 12:37
ลองสืบหาดูจากภาษาในวัง สมัยก่อนมักมีเรื่องเล่า เกี่ยวกับการเล่นเพื่อนของผู้หญิงในวังมากกว่าเนื่องด้วยไม่มีผู้ชาย
ส่วน ชายกับชายคงมี แต่ไม่เป็นที่กล่าวถึงนอกจาก การเล่าปากต่อปาก หรือเสียงร่ำลือเรื่อง "ศุภมิตร"
 :-X


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 07 ต.ค. 10, 20:22
ขอบพระคุณมากครับ

แล้วช่วงปี ๒๕๐๐ ลงมาเรามีคำเรียกอีกไหมครับ

ผมเคยอ่านว่าชายกับชายเรียกว่าเล่นมิตร

รบกวนด้วยนะครับ

...คือ ผมจะต้องเขียนถึงยุคปัจจุบัน

ถ้าท่านใดพอทราบเมตตาลงให้ด้วย

ขอบพระคุณครับ


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ต.ค. 10, 20:35
หญิงกับหญิง เรียกว่า เล่นเพื่อน  สาวชาววัง ถ้าใครเป็น "เพื่อน" กันก็แปลว่าเป็นทอมกับดี้  คำนี้จึงเป็นคำต้องห้ามในสมัยรัชกาลที่ ๕
ชายกับชาย  เรียกว่า เล่นสวาท    ถ้าเป็นคู่ขา เรียกว่าเป็นสวาท


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 07 ต.ค. 10, 21:32
ได้มาอีกข้อมูลครับ ผมก็พึ่งจะรู้วันนึ้เองว่าถั่วดำมาจากไหนเมื่อมีการลงข่าวในหนังสือพิมพ์รายวันศรีกรุง ฉบับประจำวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2478 ว่ามีการเปิดซ่องของ โสเภณีชายของนายถั่วดำหรือการุณ ผาสุก เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยนายถั่วดำได้หลอกลวงเด็กชายอายุตั้งแต่ 10-16 ปี ให้มาอยู่ด้วยในห้องแถวเช่า ย่าน ตำบลตรอกถั่วงอก อำเภอป้อมปราบ พร้อมทั้งสอนวิธีสำเร็จความใคร่ให้กับเด็กและให้เด็กสำเร็จความใคร่กับแขก ที่มาเที่ยวโดยได้รับสินจ้างรางวัลเยี่ยงหญิง โสเภณี นับว่าเป็นการขายบริการทางเพศของชายที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นครั้งแรก ดังนั้น ชื่อของนายการุณ ผาสุก หรือ นายถั่วดำ จึงเป็นที่กล่าวขานกัน อย่างกว้างขวาง จึงได้กลายเป็นคำแสลงที่ใช้เรียกพฤติกรรมรักร่วมเพศในเวลาต่อมา โดยที่สังคมถือว่าเป็นพฤติกรรมที่วิตถารและผิดจาก ธรรมชาติ
ก่อนขึ้นปี พ.ศ.2500 สังคมไทยฮือฮาและโจษจันอย่างมากเกี่ยวกับพฤติกรรมรักร่วมเพศ เมื่อมีข่าวใน หน้าหนังสือพิมพ์สยามนิกร ประจำวันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2493 ได้รายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมการเสพเมถุนทางเว็จมรรคหรือวิถีบำบัดความใคร่ของ เหล่านัก โทษในคุกที่นิยมทำต่อกันในระหว่างจำคุก ทำให้เรื่องราวของพฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นที่รับรู้ในสังคมมากขึ้น ;D


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ต.ค. 10, 08:48
ข่าวจาก หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ฉบับประจำวันที่ ๒๐มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘

"เมื่อวันที่ ๑๘ เดือนนี้ เวลา ๑๘ น. ร.ต.ท. แสวง ทีปนาวิณ สารวัตรสถานีตำรวจป้อมปราบ ได้จับตัว นายการุณ ผาสุก หรือ นายถั่วดำ ตำบลตรอกถั่วงอก อำเภอป้อมปราบ มาไต่สวนยังสถานีป้อมปราบ เหตุที่นายการุณ หรือถั่วดำ ถูกจับนั้น ความเดิมมีว่า ร.ต.ท. แสวง เห็นห้องแถวเช่าซึ่งนายถั่วดำเช่าอยู่ มีเด็กชายตั้งแต่ ๑๐ ถึง ๑๖ ปี อยู่ในห้องมากมาย จึงสงสัยว่าเด็กชายเหล่านั้นจะเป็นเด็กที่ประพฤติในทางทุจริต ร.ต.ท.แสวง ได้ออกสืบสวนอยู่ ๒ - ๓ วัน จึงทราบว่า นายถั่วดำ เป็นคนไม่มีภรรยา และเป็นผู้ชักชวนเด็ก ๆ ผู้ชาย ไปดูภาพยนตร์บ้าง ซื้อของเล่นบ้าง ให้ขนมรับประทานบ้าง แล้วก็พากันมาที่บ้านพักของนายถั่วดำ ก็กระทำการสำเร็จความใคร่แก่เด็กชายที่พามาเสียก่อน และต่อจากนั้นแล้วก็จะจัดเด็กเหล่านั้นรับสำเร็จความใคร่กับแขกบ้าง เจ้าสัว และจีนบ้าบ๋าบ้าง พวกที่มาต้องเสียเงินเป็นรางวัล ให้แก่นายถั่วดำเยี่ยงหญิงโสเภณี"

จากนั้นชื่อของ "นายถั่วดำ" ก็กลายมาเป็นศัพท์เฉพาะที่รู้ทั่วกันว่า "อัดถั่วดำ" หมายถึง การเสพสมทางทวารหนัก

ต่อมาอีก ๖๓ ปี ในพ.ศ. ๒๕๔๑ ก็มีข่าว ข้าราชการชื่อเล่นว่า "ตุ๋ย" ทำมิดีมิร้าย กับเด็กชาย หนังสือพิมพ์ก็ใช้คำ "ตุ๋ย" พาดหัวข่าว แทนความหมายดังว่า จนเป็นที่นิยมใช้กันสืบมา

ปัจจุบันไม่มีใครกล้าตั้งชื่อลูกโดยเฉพาะลูกผู้ชายว่า "ถั่วดำ" แน่นอน และในอนาคตเด็กรุ่นใหม่ที่ชื่อว่า "ตุ๋ย" คงหายากเต็มที

 ;D


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ต.ค. 10, 08:54
มีเพิ่มให้อีก ๓ คำ

"ตุ๊ด" "แต๋ว" และ "ประเทือง" หมายถึง สาวประเภทสอง

คำว่า "ตุ๊ด" และ "แต๋ว" ใช้กันมานานแล้ว  ส่วน "ประเทือง" กำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง พร้อมกับเพลง "ประเทือง" ของไท ธนาวุฒิ

เพลงประเทือง

เธอเป็นใครถูกใจหนักหนา เป็นบุญตาได้มาพบเธอ
เจอทีไรกลับไปนอนเพ้อ ตื่นมายังเพ้อ จิตใจไหวหวั่น

ทำไงดีจะมีทางลุ้น ยอมลงทุนนั่งรอทุกวัน
เธอมองมาสบตากับฉัน ท่าทีเธอนั้น ประมาณเชื้อเชิญ

อยากจะ I love you คิดแล้วทำให้ใจมันป่วนปั่น
ก็อยากจะ I love you ทั้งที่ในจิตใจยังหวั่น ๆ

เธอเอียงอายแต่ทำตาหวาน เป็นสะพานให้เดินข้ามไป
ทางมันโรยด้วยกลีบดอกไม้ อดใจไม่ไหว หลบไปเสียเหลี่ยม
ตายเป็นตายต้องลองให้รู้ ลอง ๆ ดูเผื่อมีลู่ทาง
เจอจัง ๆ จ้องมองตาค้าง แค่มองข้างหลังเกือบลืมหายใจ

อยากจะ I love you คิดแล้วทำให้ใจมันป่วนปั่น
แต่พอเธอหันมา ตาประสานกัน มันจะบ้าตาย เป็นไปได้ไง

ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า

นึกไม่ถึงประเทืองเพื่อนฉัน เรียนกันมาไม่มีวี่แวว
วันเวลาเปลี่ยนมันไปแล้ว โธ่ไอ้เทืองเป็นแต๋ว ตั้งแต่เมื่อไหร่


ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ว้าย ๆ ๆ นี่มันไอ้เทืองนี่หว่า
ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้ประเทืองนี่หว่า ว้าย ๆ ๆ นี่ไอ้เทือง
ว้ายนี่คุณประเทือง ว้ายนี่นังประเทืองนี่หว่า

 ;D




กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: siamese ที่ 08 ต.ค. 10, 10:59
หม่อมไกรสร มีพฤติกรรมเล่นเพื่อนกับพวกละคร ในสมัยรัชกาลที่ ๔

และนายประโนตย์ ฆ่าตัวตายใน ปีพ.ศ. ๒๕๑๐ เธอเป็นละครรำอ่อนช้อย ของกรมศิลป์ฯ จนมีบทเพลง "นางสีดา" อันโด่งดัง


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ต.ค. 10, 11:17
มีเพิ่มให้อีก ๓ คำ

"ตุ๊ด" "แต๋ว" และ "ประเทือง" หมายถึง สาวประเภทสอง
คำว่า "ตุ๊ด" และ "แต๋ว" ใช้กันมานานแล้ว  ส่วน "ประเทือง" กำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้เอง พร้อมกับเพลง "ประเทือง" ของไท ธนาวุฒิ


http://www.youtube.com/watch?v=b7-0Qc0diCk&feature=related


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ต.ค. 10, 11:23
หม่อมไกรสร มีพฤติกรรมเล่นเพื่อนกับพวกละคร ในสมัยรัชกาลที่ ๔

หม่อมไกรสรนี่เป็นผู้ชายนะยะ จะไปเล่นเพื่อนได้อย่างไร คงได้แต่เล่นสวาท

ถ้าเรื่องเล่นเพื่อน ต้องอ่านเพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ของคุณสุวรรณ

http://www.arts.chula.ac.th/~complit/etext/momped.htm

;D


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 08 ต.ค. 10, 12:25

พระองค์เจ้ารักษ์รณเรศ  ท่านเป็นนักรบเต็มตัว  บังคับม้าช้าง  มีคาถาอาคม
ตาท่านเป็นใครเล่า
พี่ท่านก็เก่ง

ไม่อย่างนั้นคงเป็นเพื่อนทำราชการมากับรัชกาลที่ ๓ ไม่ได้

ทีนี้พี่ท่านมีโรงงิ้วใหญ่  ท่านก็เคยคุมงิ้วแสดงอยู่เหมือนกัน

สงสัยว่างิ้วจะนำความนิยมมาจากเมืองปกิ่ง(สมัยโน้น...เรียกอย่างนี้จริง ๆ)

นายโหมดเล่าเรื่องท่านอยู่นิดหนึ่ง   เคยมีคนเอามาลงในเว็บแห่งหนึ่งแล้วลบไปภายในสองชั่วโมง
ข้อมูลบางอย่างถ้าเสียหายต่อผู้อื่น  ข้ามเสียเถิด

คนที่ตั้งความปรารถนาไว้สูง  และเลี้ยงข้าคนแถมละคอน   ก็มัวเมาและหลงไปในความบันเทิงจนเสื่อม

เสื่อมนี่การที่ท่านปล่อยให้ตัวละคอนรับสินบนจากผู้มาร้องทุกข์จนอื้อฉาว  ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน

เพราะเล่นรับทั้งสองฝ่ายเลย


น่าเสียดายมากที่ท่านก็นับว่าเป็นผู้รู้วิทยาการศิลปการปกครองการสงครามการบังคับช้างม้า

ก่อนที่ท่านจะโดนเชิญตัวไป  ท่านได้ทิ้งหนังสือและเอกสารลงในสระในวังจนเต็ม   หลังจากนั้นก็มีคนไปตามเก็บคืนมาได้บ้าง

โขนสนามหลวงหรือโขนกลางแปลงที่ท่านจัดนั้นยิ่งใหญ่มาก      นักหนังสือเก่าบางคนพยายามจะเล่า

แต่ไม่มีข้อมูลก็กระอึกกระอักเล่าไม่จบ  ค้างอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์

ท่านทำเป็นตัวยักษ์กระดาษตัวเท่าบ้าน  แล้วเปิดท้องออกมาเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆไหลออกมา

ชาวบ้านชาวเมืองดูกันตาโต  ที่ตาโตอยู่แล้วก็ตาเหลือก  ไม่อย่างนั้นจะเล่ากันมาเป็นร้อยปีฤา


     เคยยื่นคำท้าดวลให้อัศวินแถว ๆ นี้    อัศวินก้มลงดูแหวนเพชรแล้วหัวร่องอหาย  ไม่ยอมลดตัวลงมา

แข่งเขียนเรื่องรักษรณเรศกันคนละตอน


อ้างอิงมีครบครัน   ขอเก็บไว้ก่อนค่ะ  หมู่นี้มีคนยืมไปใช้แล้วทำเฉย ๆ


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 08 ต.ค. 10, 12:31
อันนี้ขอถามเล็กน้อยนะครับ

เช่นนี้แล้วในอดีตตั้งแต่โบราณสังคมไทยยอมรับหรือไม่ยอมรับเพศที่สาม

เพราะเห็นมีการกล่าวว่ามีการรับ "เทย" เข้ามาทำงานในวัง

แม้จะเป็นระดับต่ำก็ตาม

เรื่องนักเทษขันทีนี้ขอเว้นไว้เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นรักร่วมเพศ เพราะในตะวันออกกลางมีอุตสาหกรรมทำขันทีสงออก

คือจะจับเชลยมาทำเป็นทาส บางส่วนจะจับไปทำขันที ขายได้ราคาดีมาก โดยมากเป็นทาสชายผิวดำ

เนื้อความนี้ได้จากหนังสือเรื่อง "ฮาเร็ม" ที่แปลโดยคุณมนันยา

ส่วนคำว่าตุ๊ดนี้ สงสัยว่ามาจากภาพยนต์เมื่อปี ๑๙๘๖ กระมังถ้าจำไม่ผิดเรื่อง "ทูซซี่" ที่เป็นชายแต่งหญิง

ยังค้นข้อมูลได้ไม่ละเอียดนักขอเสนอเสริมแค่คร่าวๆ

ทั้งนี้นายประโนตย์คือใครหรือครับ

มีเรื่องร้ายแรงอะไรถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ต.ค. 10, 14:10
กรณีหม่อมไกรสร

ทรงขัดเคืองกรมหลวงรักษรณเรศรว่า ทรงพระมหากรุณาชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ใหญ่ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยต่างพระเนตรพระกรรณก็ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมกดขี่หักหาญถ้อยความผิด ๆ อย่างนี้คงมีหลายเรื่องมาแล้ว เพราะด้วยอ้ายพวกละครชักพาให้เสียคน จึงให้ตระลาการค้นหาความอื่นต่อไปให้ได้ความว่า กรมหลวงรักษรณเรศรชำระความของราษฎรมิได้เป็นยุติธรรม ดวยพวกละครรับสินบนทั้งฝ่ายโจทก์ฝ่ายจำเลยแล้วก็คงหักเอาชนะจงได้ …ตั้งแต่เล่นละครเข้าแล้ว ก็ไม่ได้บรรทมข้างในด้วยหม่อมห้ามเลย บรรทมอยู่แต่ที่เก๋งข้างท้องพระโรงด้วยพวกละคร จึงรับสั่งให้เอาพวกละครมาแยกย้ายกันไต่ถาม ได้ความสมกันว่าเป็นสวาทไม่ถึงชำเรา แต่เอามือเจ้าละครและมือท่านกำคุยหฐานด้วยกันทั้งสองฝ่าย ให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกันเป็นแต่เท่านั้น… และตัวประพฤติการคด ๆ โกง ๆ เอาสินบนในการชำระถ้อยความและตั้งขุนนางก็ทรงเคยเตือนสติเป็นหลายครั้งหลายคราว ว่าอย่าทำให้ราษฎรเขาติฉินนิทาหมิ่นประมาทได้ อย่าให้ชื่อชั่วอยู่ในแผ่นดินเหมือนตัวประพฤติการที่ไม่อยู่กับเมียดังนี้ ก็มีผู้มาพูดว่าทั้งผู้ชายผู้หญิง ข้างผู้ชายนั้นก็กรมขุนรามอิศเรศเป็นต้น จนกระทั่งมหาดเล็กเด็กชา ฝ่ายผู้หญิงเมียของตัวที่ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดก็มาเล่าให้เขาฟังออกเซ็งแซ่ไป ว่าตัวไม่อีนังขังข้อกับลูกเมีย มาหลงรักอ้ายคนโขนคนละคร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทราบ ครั้นจะห้ามปรามว่ากล่าวให้รู้สึกตัวเสียว่า ทำดังนี้ไม่งามไม่ดีความก็จะอื้ออึงไป เหมือนจะแกล้งประจานให้ญาติได้ความอัปยศ แล้วทรงพระราชดำริว่า แต่ก่อนกรมหลวงเทพพลภักดิ์ก็ประพฤติการไม่อยู่กับลูกเมียเหมือนกันนี้ สมเด็จพระบรมวงศาธิราชซึ่งเป็นผู้ใหญ่ก็ทรงทราบทุกพระองค์ ก็หาได้ว่ากล่าวกรมหลวงเทพพลภักดิ์ประการใดไม่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมิได้เอาพระทัยเป็นพระราชธุระ… ด้วยสำคัญพระทัยว่า เขาประพฤติให้เหมือนพี่ชายเป็นพืชพันธุ์ลูกอียายเดนเกือก เป็นคนอุบาทว์บ้านเมือง แล้วมิหนำซ้ำกระทำให้แผ่นดินเดือดร้อนไปทุกเส้นหญ้าใบไม้ ด้วยความโลภเจตนา ให้ขายใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระเดชพระคุณเป็นล้นพ้นของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง ทั้งขายหน้าข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย สมณชีพราหมณ์ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ด้วยความชั่วของตัวมันฟุ้งเฟื่องเลี่ยงฤๅไปทั่วนานาประเทศทั้งปวงหาควรไม่เลย ต่างคนต่างต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูงจะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่มนุษย์เขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน จึงโปรดให้ถอดเสียจากกรมหลวง ให้เรียกว่าหม่อมไกรสร ลงพระราชอาชญาแล้วให้ไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่วัดปทุมคงคา เมื่อ ณ วันพุธเดือน ๑ แรม ๓ ค่ำ  อายุได้ ๕๘ ปี แต่บ่าว ๓ คน ขุนวุทธามาตย์ ขุนศาลคน ๑  ๔ คนด้วยกัน ไปประหารชีวิตที่สำเหร่ในวันเดียวกัน

จาก พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๓ เล่ม ๒ ฉบับเ่จ้าพระยาทิพากรวงศ์ คุรุสภา (๒๕๐๔) หน้า ๑๓๒ – ๑๓๖



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ต.ค. 10, 14:21
ส่วนคำว่าตุ๊ดนี้ สงสัยว่ามาจากภาพยนต์เมื่อปี ๑๙๘๖ กระมังถ้าจำไม่ผิดเรื่อง "ทูซซี่" ที่เป็นชายแต่งหญิง

กรณี tootsie

ดูเหมือนว่าจะเป็นปี ๑๙๘๒

http://en.wikipedia.org/wiki/Tootsie

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/a/a2/Tootsie_imp.jpg)

มีบางคนบอกว่าเคยได้ยินคำว่า "ตุ๊ด" ในความหมายเพศที่สามก่อนภาพยนตร์เรื่องนี้เสียอีก

 ???


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 08 ต.ค. 10, 14:24
ความจริง เห็นทาง พันธุศาสตร์ ว่า เกย์ ส่งต่อทางพันธุกรรมได้  เช่นเดียวกับระดับสติปัญญา ความสามารถ
เรื่องหม่อมไกรสร หรือ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ  เห็นว่า พระเชษฐาก็ทรงมีพฤติการณ์ทำนองเดียวกัน (จาก คคห. ของคุณเพ็ญชมพู ด้านบน)

ความจริงไม่ใช่เรื่องเสียหายเลย  ถ้าไม่ทำให้ราชการงานเมืองเสียหาย

หม่อมไกรสร เป็นต้นสกุล พึ่งบุญ ณ อยุธยา เชื้อสายท่านก็ถวายตัวรับราชการมีทั้งฝ่ายหน้า ฝ่ายใน  มีตำแหน่งสำคัญหลายท่าน


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 09 ต.ค. 10, 11:16
อ้างถึง
๓. อุสุยยปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดแล เห็นซึ่งการอัชฌาจารแห่งบุคคลทั้งหลายอื่นแล้ว บังเกิดมีความริษยาขึ้นมา ความกระวนกระวายของคนนั้น ก็พลอยระงับดับลงในกาลเมื่อแลเห็นนั้น

ถามคุณเพ็ญชมพูค่ะ ข้อความนี้หมายถึง การดับราคะตนเองได้ด้วยการแอบดูผู้อื่นใช่ไหมคะ
 
หากเข้าใจไม่ผิด ก็อดแปลกใจไม่ได้ค่ะ ว่ามันเกี่ยวอะไรกับการผิดเพศ หรือ กระเทย



ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในข้อความหลักฐานทางพระไตรปิฎกที่ให้ไว้ใน ค.ค.ห.ที่ 2

ดิฉันได้รับคำร้องขอจากคนที่ศึกษาเรื่องนี้จากประเทศตะวันตกมานานเกือบ 5 ปีแล้ว

ที่ให้ช่วยหาความหมายของ บันเทาะว์ แต่ดิฉันไร้ความสามารถ หาไม่พบจนมาได้อ่านจากตรงนี้ค่ะ

กระจ่างมากทีเดียว



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 09 ต.ค. 10, 11:59
อ้างถึง
เรื่องนักเทษขันทีนี้ขอเว้นไว้เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นรักร่วมเพศ เพราะในตะวันออกกลางมีอุตสาหกรรมทำขันทีสงออก

คือจะจับเชลยมาทำเป็นทาส บางส่วนจะจับไปทำขันที ขายได้ราคาดีมาก โดยมากเป็นทาสชายผิวดำ

คุณ han_bing คะ ดิฉันอ่านประวัติของ เจิ้งเหอ หรือ ซำปอกง ทราบว่า ตัวท่านเองก็เป็นเชลยมาก่อน
เป็นคนเผ่ามองโกล และเป็นมุสลิม แต่ตกเป็นทาสตั้งแต่อายุ 6 ขวบ หลังชาวฮั่นขับไล่มองโกลออกไปจากแผ่นดินจีนสำเร็จ
และสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นปกครองประเทศจีน

เจิ้งเหอถูกจับตอน และ บังคับให้เป็นขันที แต่ด้วยความเฉลียวฉลาด จึงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาก

จีนได้เสียทรัพยากรมากมายมหาศาลไปกับการสำรวจโลกของกองเรือเจิ้งเหอ มหาขันทีผู้ยิ่งใหญ่

คาดว่า การผลิตขันที เป็นสินค้าส่งออก คือ การค้าทาสนั้น คงมีมานานเป็นพัน ๆ ปีแล้วนะคะ ไม่ทราบใครเริ่มต้นกันแน่


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 09 ต.ค. 10, 12:43
อ้างถึง
ความจริง เห็นทาง พันธุศาสตร์ ว่า เกย์ ส่งต่อทางพันธุกรรมได้  เช่นเดียวกับระดับสติปัญญา ความสามารถ

วิชาว่าด้วยพันธุ์ศาสตร์ ของ เมนเดล มาทีหลังพระพุทธเจ้าของเราถึง 2 พันกว่าปีค่ะ
ไม่ว่าจะการค้นพบ DNA หรือ เรื่อง Chromosome X Y (ภาวะรูป มี 2 คือ อิตถีภาวะ และ ปุริสสะภาวะ)

อันนี้ตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า

กัททัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท
เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์

กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ
เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้

กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา
เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม

ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ
เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 09 ต.ค. 10, 20:54
ส่งงานไปด้วยความฉิวเฉียด

สันนิษฐานเอาเองว่าประเทศไทยปัจจุบันค่อนข้างเปิดรับเพศที่สาม

ส่วนอดีตนั้นน่าจะยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งในสังคม เพราะมีการนำมาเป็นพนักงานในวัง

แต่ว่าคงไม่ยกย่องสูงมากเพราะเป็นพนักงานขั้นต่ำ

อาจเป็นเพราะแนวความคิดทางพุทธศาสนาที่แจงว่าคนกลุ่มนี้มีกรรมมาก่อน เลยไม่ค่อยได้รับฐานะสูง

และอาจเป็นเพราะพุทธศาสนาเช่นกันที่สอนว่าคนเราเปลี่ยนแปลงกันไปสู่ทางที่ดีได้

เลยยังพอเปิดรับได้

เฮ้อ...

การเขียนงานโดยอาศัยข้อมูลจากเน็ตเพราะอยู่แดนไกลนี้เหนื่อยจริงๆ

ขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตา

ไว้ว่างๆจะเอาเรื่องขันทีในวังของจีนมาเล่าบ้างละกัน

 ;D


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 10 ต.ค. 10, 01:03
วิชาว่าด้วยพันธุ์ศาสตร์ ของ เมนเดล มาทีหลังพระพุทธเจ้าของเราถึง 2 พันกว่าปีค่ะ
ไม่ว่าจะการค้นพบ DNA หรือ เรื่อง Chromosome X Y (ภาวะรูป มี 2 คือ อิตถีภาวะ และ ปุริสสะภาวะ)

ทั้งนี้ ผมเองไม่เห็นว่า พันธุศาสตร์ กับ กมฺมวิปาก (วิบากกรรม) จักต้องเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันนี่ครับ

ก็ถ้าพฤติกรรมเกย์สามารถส่งต่อได้ทางยีนส์
สัตว์ที่ต้องรับผลกรรมที่จะต้องเป็นเกย์ ก็สามารถมาเกิดในตระกูลที่เป็นเกย์ได้นี่ครับ

เหมือนอย่างที่โรคหลาย ๆ โรค สามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรม
สัตว์ที่ต้องเสวยผลแห่งกรรมจากโรคนั้น ก็อาจมาเกิดในพงศ์พันธุ์ที่เป็นโรคนั้น

โรคหลายโรค ส่งต่อได้ทางพันธุกรรมเท่านั้น 
ดังนั้น สัตว์ที่จะมาเสวยผลกรรมจากโรคนั้น ก็ต้องมาเกิดในครอบครัวที่มีเชื้อพันธุ์นั้น
โดยที่บิดามารดา ก็ต้องเป็นผู้ที่จะเสวยผลกรรมที่จักต้องมีบุตรเป็นโรคนั้น

อย่างไรก็ตาม เกย์ ไม่ได้เป็นอาการที่เกิดจากพันธุกรรมเท่านั้น
ดังนั้น สัตว์ที่ต้องเสวยกรรมวิบากเป็นเกย์ ก็อาจเกิดในครอบครัวที่ไม่ได้มีญาติวงศ์พงศาเป็นเกย์ก็ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กรรมวิสัย ก็เป็น ๑ ใน อจินไตย ๔
เป็นเรื่องที่ไม่ควรคิด เพราะจะมีส่วนแห่งความเป็นคนบ้า
ดังนั้น ผมควรจะหยุดพิมพ์ต่อ - ฮา

อีกประการหนึ่ง พุทธศาสนา ก็มีทั้ง โลกุตตรธรรม และ โลกียธรรม
แม้โลกียธรรม จักเป็นธรรมทางโลก แต่ก็สามารถเป็นธรรมที่เราจะใช้อบรมจิต เว้นอกุศล เจริญกุศล
คลายความยึดมั่นถือมั่น ลดอัตตา ลดอหังการ ลดมมังการ ลดมานานุสัย
พัฒนาตนสู่การปฏิบัติโลกุตตรธรรม เพื่อนิพพาน

การศึกษาพันธุศาสตร์ แม้จะไม่ช่วยให้หลุดพ้น
แต่ถ้าพิจารณาก็อาจเห็นได้ว่าทุกสิ่งเกิดจาก เหตุปัจจัย (เหมือนหลักอิทัปปัจจยตา)
หากผู้นั้น กระทำโยนิโสมนสิการ ก็อาจพิจารณาให้เห็นธรรมชั้นสูงได้

อย่างไรก็ตาม พันธุศาสตร์ เป็นศาสตร์อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์นานัปการ
ในการช่วยรักษาโรคภัยต่าง ๆ ฯลฯ เป็นการช่วยเหลือเพื่อนร่วมวัฏฏสงสาร ระหว่างที่ยังอยู่ในมหาสมุทรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
 :-[


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 10 ต.ค. 10, 03:07
คุณ Bhanumet ค่ะ เราไม่ได้เห็นอะไรขัดแย้งหรือต่างกันเลยค่ะ ดิฉัน Quote พุทธพจน์มาเสริมต่างหากค่ะ

ต้องไม่ลืมว่า วิทยาศาสตร์ที่ตะวันตกค้นคว้านั้น ตามพระพุทธเจ้าทันเฉพาะเรื่องรูปธรรมเท่าันั้น
ยังตามเรื่องนามธรรมไม่ถึงไหน ดูเหมือนจะไม่เชื่อและไม่ตามเสียด้วย

การเป็นกระเทย หรือ เกย์ นั้น เป็น เป็นเรืองของนามธรรมด้วย คือ จิต สะสมกรรม(บุญ บาป) และ ความเคยชิน ในเพศใดเพศหนึ่ง แม้เกิดใหม่ ได้ รูปธรรม(ตามผลกรรม) อย่างหนึ่ง ก็อาจจะได้จิตใจที่ไม่ตรงกับรูปธรรมหรือ ร่างกายก็ได้ เพราะจิตใจเป็นนามธรรมค่ะ

กรรม และ ผลของกรรม เป็นอาจินไตย ถูกต้องแล้ว จึงไม่ควรฟันธง และตีกรอบให้คับแคบว่า การเกิดมามีจิตใจไม่ตรงกับเพศ เป็นเพราะบาปจากการผิดศีลข้อ 3 เท่านั้น มันมีได้อีกหลายสาเหตุค่ะ

เรื่องนี้ว่าไปแล้ว จะยาวมาก และไม่ตรงกับหัวข้อในกระทู้ จึงขอยุติเพียงเท่านี้

แต่ดีใจค่ะ ที่ทราบว่าคุณ Bhanumet มีความรู้ทางธรรมะดีมากคนหนึ่งนะคะ เลื่อมใสค่ะ


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 10, 07:46
น่าจะแยกกระทู้จากประเด็นที่คุณภาณุเมศร และคุณร่วมฤดีคุยกันอยู่  ไปเปิดเป็นกระทู้ใหม่ต่างหาก
น่าสนใจมาก ที่ทราบว่ามีสมาชิกอย่างน้อย ๒ ท่านสนใจธรรมะในแง่ของวิทยาศาสตร์   วิเคราะห์กันด้วยเหตุ และผล
ถ้าคุณตั้งชื่อหัวข้อกระทู้ใหม่ได้    ดิฉันจะตั้งให้นะคะ    น่าจะอยู่ห้องไหนดี ช่วยเสนอแนะด้วย


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 10 ต.ค. 10, 10:54
อาจารย์เทาชมพูคะ เรื่องตั้งกระทู้ศาสนานั้น บางครั้งความคิดเห็นอาจจะไม่ลงรอยกัน
และความขัดกันนั้น พิสูจน์ได้ยาก เพราะเป็นเรื้่องความเชื่อ เหมือนเรื่องการเมืองค่ะ

ไม่เหมือนเรื่องราวที่อยู่ในเรือนไทยเวลานี้ มีหลักฐานตัดสินชัดเจนลงไปได้
ที่ตัดสินลงให้แน่ชัดไม่ได้ เพราะค้นหาหลักฐานไปไม่ถึง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั้ง 2 ฝ่าย

แต่ศาสนาและการเมืองนั้น เสี่ยงมากค่ะ ดิฉันเห็นและเข้าไปเล่นกระทู้ศาสนามามากแล้ว
ยอมรับว่าเหนื่อยค่ะ เพราะมีทั้ง

  • อัตตะโนมัตติ (ยึดความเห็นตนเป็นใหญ่)
    มีทั้งเถรวาท(ยึดตามคัมภีร์เหนียวแน่น)
    มีทั้ง อาจาริยะวาท(ยึดตามคำสอนของครูบาอาจารย์ของตนเท่านั้นว่าถุกต้อง)
    มีทั้งนักอภิธรรม ที่อ้างว่าความเข้าใจของตนถูกต้องที่สุด
    และ นักปฏิบัติธรรม ที่ไม่นิยมเรียนปริยัติหรืออภิธรรม ยึดผลการปฏิบัติเป็นหลัก
    มีทั้งพุทธกึ่งพราหมณ์ แยกกันไม่ออก
    มหายาน วัชรญาน เซน นิกายหรือลัทธิที่คนปัจจุบัน ต่างนิยมเอามาต้มรวมกัน
    แล้วเรียกแกงหม้อใหญ่ว่า พุทธศาสนา
    ยังไม่อยากจะเอ่ยไปถึงตะวันตกที่แผ่ค่านิยมมาถึงเราแล้วว่า ทุกศาสนา และนิกาย
    รวมกันได้หมด พวกนี้ คือ พวก Pluralism เคยได้ยินไหมคะ
ทุกวันนี้ ข่าวใหญ่ ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับพระและศาสนา มองลงไปให้ลึก จะเห็นว่า เกิดจากคนไทยนี่เอง ที่ไม่รู้อะไรผิืดหรือถูก

ดิฉันจึงเกรงว่า ต่อไป จะต้อง คาดเชือกมาขึ้นเรือนไทยค่ะ ไม่สงบร่มเย็นเหมือนเก่า

เอาเป็นว่า แสดงความคิดเห็นเสริมกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พอนะคะ ใครสนใจจะถกเถียงกันต่อ ขอเป็นส่วนตัวดีกว่าค่ะ



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 10, 11:15
น่าเสียดาย   :(


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 10 ต.ค. 10, 14:54
เห็นด้วยกับคุณ Ruamrudee ครับ

บางเรื่องแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  แต่ด้วยอัตตาอันใหญ่โต ทำให้เกิดเรื่องมากมาย

ผมเคยไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนาของพันทิป เรื่อง คาถา เย ธัมมา ฯ  เพราะหลายสำนักว่าไว้ไม่เหมือน
บ้างมี อาหะ บ้างไม่มี อาหะ
บ้างจบด้วย มหาสมโณ  บ้างจบด้วย มหาสมโณติ

ผมไม่มีความรู้ทางบาลี อยากไขข้อข้องใจ
กลับโดนตอกกลับ รู้ไปทำไม ไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์  ไม่น้อมนำไปเพื่อพระนิพพาน

เขากล่าวราวกะตนเองเป็นนักปฏิบัติชั้นสูง   แต่อัตตากลับไม่ลดลงไปตามการปฏิบัตินั้น
ตัณหา ทิฏฐิ มานะ ล้นปรี่
ผมเองก็้ปุถุชน  โทสะ ก็ย่อมเกิด  
ต่อมาเลยไม่ไปตั้งกระทู้ที่ห้องนั้นอีก

เวลาผมสังสัยปัญหาบาลี ผู้ให้ความกระจ่างผมได้
ก็คือ คุณ luanglek แห่งเรือนไทยนี่ล่ะครับ  ;D

พระธรรมของพระศาสดา มีทั้ง โลกียะ โลกุตตระ
ผู้กำลังปัญญายังไม่แก่กล้า ก็อาจอบรมจิตผ่านโลกียธรรมได้
การให้ทาน ก็คลายความยึดมั่นถือมั่น
การช่วยเหลือผู้อื่น
การรักษาศีล ฝึกสติให้ตั้งมั่น

ที่สำคัญอย่าเสพติดความดี  ทำดีแล้วคิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น
ผูกขาดความดี เห็นตัวเองดีอยู่คนเดียว

ทำความดีแล้ว ต้องลดละอัตตาด้วย  เปิดใจรับความคิดเห็นของผู้อื่น
ใช้เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร) พิจารณา

นึกถึงที่ท่านพุทธทาสสอน
ผู้ใดได้ยินได้ฟังคำว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" ผู้นั้นชื่อว่า ได้ยินได้ฟังทั้งหมดในพุทธศาสนา

"สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"
"ธรรมทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น"


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 10 ต.ค. 10, 16:08
อ้างถึง
ผมเคยไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนาของพันทิป

คุณ Bhanumet คะ ยินดีต้อนรับสู่สโมสร คนเคยถูกต้อนจากพันทิพค่ะ

มาอยู่เรือนไทยกันดีกว่า มีอะไร ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แบ่งปันความรู้กันนะคะ
รู้ไม่เหมือนกัน สำหรับที่เรือนไทยนี่ ไม่มีอันตรายค่ะ ให้เสรีภาพในการพิสูจน์ทราบกันเอง
ดิฉันไม่เห็นมีใครถือตัวว่ารู้มากเลยสักคนในที่นี้ ทั้ง ๆ ที่ ....เป็นปรมาจารย์ทั้งนั้น

เรา 2 คนมาช่วยกันเสริมและเติมมุมของศาสนาเท่าที่จะเหมาะจะควรกันนะคะ
เอาพอเป็นน้ำจิ้ม แบบเล่าสู่กันฟังนะคะ ดิฉันว่า คุณหลวงเล็กท่านก็เฝ้าดูอยู่
อะไรที่ท่านขัดเกลาและแก้ไขได้ เราทั้ง 2 จะได้เรียนรู้จากท่านได้ค่ะ


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ต.ค. 10, 20:33
ขอยกคำสอนของท่านว.วชิรเมธีมาแจม   คงไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมานะคะ
ใจหนึ่งก็อยากจะจบกระทู้เพราะแยกซอย  เลี้ยวออกนอก"คำเรียกเพศที่สาม" มาไกลหลายก.ม. แล้ว  แต่อีกใจก็ยังติดใจอยู่
เลยลองอีก ๑ ค.ห.

ถาม แก่นพระพุทธศาสนาคืออะไรแน่ ศึกษาของครูบาอาจารย์แต่ละคนก็ตอบกันไปคนละอย่าง เลยทำให้ชักสับสน ?

ตอบ ผู้ที่ก่อตั้งสั่งสอนพระพุทธศาสนาเป็นคนแรกก็คือพระพุทธเจ้า เมื่อเราต้องการทราบว่าอะไรคือแก่นของพระพุทธศาสนา  ก็ต้องยึดเอาคำตอบของพระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ใช่ยึดเอาคำตอบของครูบาอาจารย์ของตนมาเป็นมาตรฐาน
เพราะหากเรายึดเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ของตนมาเป็นมาตรฐาน ลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์แต่ละท่านก็อาจก่อวิวาทะถกแถลงแตกต่างกันออกไปเป็นหลายคำตอบ
และเมื่อต่างคนต่างตอบก็จะพลอยทำให้เกิดความสับสนไม่มีที่สิ้นสุดและผลของการได้คำตอบที่ไม่ชัดเจนนั้น ก็จะพลอยทำให้การศึกษา และปฏิบัติธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา ปั่นป่วนรวนเร ออกนอกลู่นอกทางได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายเมื่อไม่รู้จักแก่นก็อาจเผลอไปคว้าเอาเปลือกมาเป็นแก่น แล้วก็พากันหลงยกย่องเชิดชูกันอยู่แต่เปลือกแต่กระพี้ของศาสนา ไปๆ มาๆ ก็อาจก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทบาดหมางกัน เพียงเพราะถือหางครูบาอาจารย์ของตนกันคนละฝ่าย

เมื่อมีใครถามว่าแก่นพุทธศาสนาคืออะไร คำตอบที่ง่าย สั้น ชัดเจน และถูกต้องที่สุด ก็คือ พระนิพพาน หรือ อิสรภาพ
ทางจิต คำตอบนี้มีพระพุทธวัจนะตรัสยืนยันเอาไว้ปรากฏอยู่ในมหาสาโรปมสูตร (พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม ๑๒ ข้อ
๓๐๗ - ๓๒๔ หน้า ๓๔๐ - ๓๕๖) ดังนี้
๑. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือน กิ่งและใบ
๒. ศีล เปรียบเหมือน สะเก็ด
๓. สมาธิ เปรียบเหมือน เปลือก
๔. ปัญญา เปรียบเหมือน กระพี้
๕. วิมุติหรืออิสรภาพ เปรียบเหมือน แก่น

ดิฉันยังไปไม่ถึงแก่นแน่นอนค่ะ ขอรับรองตัวเองไว้ก่อน  จะถึงกระพี้หรือเปล่าก็ยังสงสัย


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ต.ค. 10, 08:23
อ้างถึง
๓. อุสุยยปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดแล เห็นซึ่งการอัชฌาจารแห่งบุคคลทั้งหลายอื่นแล้ว บังเกิดมีความริษยาขึ้นมา ความกระวนกระวายของคนนั้น ก็พลอยระงับดับลงในกาลเมื่อแลเห็นนั้น

ถามคุณเพ็ญชมพูค่ะ ข้อความนี้หมายถึง การดับราคะตนเองได้ด้วยการแอบดูผู้อื่นใช่ไหมคะ
 
หากเข้าใจไม่ผิด ก็อดแปลกใจไม่ได้ค่ะ ว่ามันเกี่ยวอะไรกับการผิดเพศ หรือ กระเทย

ความหมายของคำว่า กะเทย หรือ  บัณเฑาะก์ ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา กับความหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ใคร่ตรงกันทีเดียวนัก

คนที่มีสองเพศ คือ มีอวัยวะทั้งเพศชายและหญิงอยู่ในคนเดียวกันเรียก อุภโตพยัญชนกะ ในพระไตรปิฎกไม่ได้เรียกว่า บัณเฑาะก์ หรือ กะเทย แต่อย่างใด

พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง ของกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ พิมพ์ครั้งที่ ๓ พุทธศักราช ๒๕๒๑ มีในวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรค ข้อ ๑๓๒ มีว่า

ก็โดยสมัยนั้น อุภโตพยัญชนกะ คนหนึ่งได้บวชในสำนักภิกษุ... พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! อนุปสัมบัน (คนที่มิได้อุปสมบท หรืออุปสมบทโดยมิชอบ) คือคนผู้เป็น อุภโตพยัญชนกะ (คนสองเพศ) ภิกษุ (ภิกษุอุปัชฌาย์และหมู่พระนั่งอันดับ) ไม่ พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย (อุปสมฺปนฺ โน นาเสตพฺโพ)

ส่วน บัณเฑาะก์ หรือ กะเทย ส่วนมากเล็งไปที่จิตใจเป็นสำคัญ คือมีกิริยาอาการตรงกันข้ามกับเพศของตน

ในหนังสือสมันตปาสาทิ กา อรรถกถาพระวินัย มหาวรรค ตอน ๑ ของมหามกุฏราชวิทยาลัย ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๗/๒๕๐๕ หน้า ๑๓๖ อธิบายว่า

อุสุยยบัณเฑาะก์ หมายถึง กะเทยที่มีความริษยา ขึ้งเคียด ผูกโกรธ ชิงชัง  หมายถึง กะเทยผู้มีอุปนิสัยใจคอโหดเหี้ยม เมื่อมีอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในใจ (อารมณ์เสีย) แต่ ถ้าเห็นผู้อื่นประพฤติอัชฌาจาร (ประพฤติชั่วทางเพศ)  แล้วความกระวนกระวายทางอารมณ์จึงสงบ ระงับลง



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 11 ต.ค. 10, 09:27

เวลาผมสังสัยปัญหาบาลี ผู้ให้ความกระจ่างผมได้
ก็คือ คุณ luanglek แห่งเรือนไทยนี่ล่ะครับ  ;D


เนื่องจากถูกอ้างชื่อถึง  จึงจำเป็นต้องออกความเห็นสักเล็กน้อย


คุณภาณุเมศร์กำลังจะทำให้ผมกลายเป็นตำบลกระสุนตกในภายหน้า
ด้วยคำกล่าวข้างต้น   ผมแค่เคยเรียนภาษาบาลีมาบ้าง  ไม่ใช่พระมหาเปรียญ
อะไรที่ยังไม่รู้ก็มีเยอะแยะ  ตอนนี้รู้เพียงใบประดู่ลายสัก ๒ - ๓ หยิบมือ


เรื่องคำเรียกคนที่มีลักษณะเบี่ยงเบนทางเพศในสมัยก่อน๒๕๐๐  นั้น
ผมนึกได้คำหนึ่ง  ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ใคร่ใช้กันแล้ว  คำนี้เป็นคำที่ใช้มานานมาก
ปรากฏในหนังสือที่แต่งมาแต่โบราณ  โดยเฉพาะหนังสือทางศาสนามักใช้คำนี้

คำที่ว่านี้ คือ คำว่า  ลักเพศ  คำนี้มีความหมายตามพจนานุกรมราชบัณฑิตย์ว่า
ก.ทำหรือแต่งตัวปลอมแปลงให้ผิดไปจากเพศของตน  เช่น คฤหัสถ์แต่งตัวปลอมเพศเป็นสมณะ
ผู้ชายแต่งตัวปลอมเป็นผู้หญิง 

และยังมีความหมายตามภาษาปากว่า  ทำนอกลู่นอกทาง เช่น ดื่มน้ำทางหูถ้วย 

อันที่จริงคำว่า ลักเพศ แต่เดิมมุ่งไปที่การแต่งกายปลอมเป็นผู้อื่นผู้ใด
ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดคิดว่าคนที่แต่งเช่นนั้นเป็นดังนั้นจริง
ทั้งนี้ เพราะคำว่า เพศ ในความหมายเดิมทั้งบาลีและสันสกฤตรวมตลอดในภาษาไทย
นอกจากหมายถึงเพศผู้เมียตามธรรมชาติแล้ว  ยังหมายถึงการแต่งกายที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของบุคคลกลุ่มต่างๆ

เช่นว่า  พระภิกษุ  ห่มจีวรเป็นการแสดงเพศพระสงฆ์ 
นางพยาบาลและหมอ สวมเครื่องแบบสีขาว  บ่งบอกหน้าที่นางพยาบาลและหมอ
ทหาร ตำรวจ  ลูกเสือ ฯลฯ  เหล่านี้ล้วนแต่มีการแต่งกายอันบ่งบอกกลุ่มและหน้าที่ของตนเอง


หรือแม้แต่ไม่มีอาชีพอะไรที่ต้องสวมเครื่องแบบแสดงหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเป็นเอกลักษณ์ 
ก็ยังมีเสื้อผ้าสวมใส่ที่แสดงว่าเป็นเพศหญิงชาย  เป็นวัยเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ  ฯลฯ

ก็ถ้าใครเกิดปรารถนาพอใจที่แต่งกายเป็นบุคคลอื่น  โดยที่ตนเองไม่หน้าที่ต้องแต่งกายเช่นนั้น
ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเช่นนั้นจริง   เราเรียกว่า คนคนนั้น ลักเพศ
มีอุทาหรณ์มากมาย เช่น บางคนอยากเป็นตำรวจ  ทหาร  ไปซื้อไปตัดชุดทหารตำรวจมาใส่
ใส่เฉยๆ ไม่ว่า ไปหลอกคนอื่นว่าฉันเป็นตำรวจทหาร   ถึงขนาดว่าตำรวจด้วยกันไม่รู้
กรณีพระสงฆ์ก็มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล  เพราะนักบวชลัทธิอื่นเห็นว่า พระสงฆ์ในพุทธศาสนา
ปฏิบัติน่าเลื่อมใส  คนหันไปศรัทธาทำทานมากกว่าลัทธิอื่น 
นักบวชอื่นเลยปลอมเป็นพระสงฆ์เที่ยวหากินรับอามิสทาน  แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า
กลับสอนคำสอนลัทธิของตน  ทำให้ศาสนาพุทธวุ่นวาย  ต้องทำสังคายนากันยกใหญ่

กรณีชายอยากเป็นหญิงแต่งกายให้ดูเป็นหญิง  ก็มีมานานมาก
เราก็เรียกว่า ลักเพศ  ลักษณะนี้ น่าจะเกิดจากปัจจัยภายนอก ที่ไม่ใช่เรื่องกรรมพันธุ์และพันธุศาสตร์
อันได้แก่  การเลี้ยงดู  สภาพครอบครัว  สิ่งแวดล้อม และความพอใจส่วนบุคคล
ทั้งนี้  การแต่งกายเป็นเพศอื่นเนื่องในการแสดงละคร  ไม่น่าจะนับเนื่องด้วยลักเพศ
(แต่ถ้าใครเกิดติดใจขึ้นมา และแต่งเช่นนั้นเรื่อยจนจิตใจเบี่ยงเบนไป
ก็เรียกว่าลักเพศได้)

คำว่าลักเพศ  จากเดิมที่เรียกเฉพาะการแต่งกายไม่เป็นถูกตามฐานะหน้าที่เพื่อประโยชน์ให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเป็นเช่นนั้น
ก็ค่อยๆ กลายความหมายมาหมายถึงความนิยมที่จะประพฤติผิดไปจากสิ่งตนเป็นอยู่

ฉะนั้น  คำว่า ลักเพศ จึงเป็นคำกล่าวถึงเพศที่สามในภาษาไทยที่มีมาก่อน ๒๕๐๐



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 09:41
ขออนุญาตเจ้าของกระทู้ที่จะนำเสนอภาพเหล่านี้นะคะ ได้มาจากหนังสือพิมพ์หลายปีแล้ว ช่วงนั้นมีข่าวครึกโครมกันมาก

ดิฉันดูแล้ว เศร้าใจเหลือเกินค่ะ หลังจาก Post รูปแล้ว หาก อาจารย์เทาชมพู เจ้าเรือนท่านเห็นไม่เหมาะ จะเอาออกก็ได้นะคะ

ดูรูปแล้ว ต้องถามคุณหลวงเล็ก คุณเพ็ญชมพู คุณ Bhanumet ว่า บุคคลดังในภาพนี้ เข้าข่ายบัณเทาะว์ชนิดไหน และ จัดเป็น ลักเพศ ตามที่คุณหลวงเล็กอธิบายหรือไม่คะ

จุดที่สังเกตุคือ พวกนี้ จะใช้ย่ามสีชมพู และม่วง เป็นเครื่องหมายบอกค่านิยมของตน พบมากในวัดทางภาคเหนือ และ เป็นที่ยอมรับของคนที่ไปวัด เพราะท่านสุภาพอ่อนหวาน บริการดีมาก ละเอียดรอบคอบค่ะ 
 


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 11 ต.ค. 10, 11:09
ต้องขออภัยที่ชอบออกนอกเรื่องนะครับ แหะ แหะ  :-X

ขอออกนอกกระทู้อีกสักครั้ง อิอิ  :)

ตามความเข้าใจของผม ซึ่งก็ไม่ได้แม่นพระวินัยนัก (ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องหรือไม่)
ถ้า มีองค์กำเนิดเพศชาย ไม่ได้ถูกตอน ไม่ได้มีองค์กำเนิดสองเพศในคนเดียว ประกอบกับพระวินัยข้ออื่น
ก็สามารถบวชได้

แม้จิตใจ จะชอบเพศชายด้วยกันก็ตาม

แต่อย่างไรเสีย  เมื่อบวชแล้ว ก็ต้องมีอาการสำรวมตามพระวินัย  การแสดงกิริยาดังรูปคงไม่เหมาะสม

มหาปเทส ๔ หมวดที่ ๒ เฉพาะในทางพระวินัย
       ๑. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
       ๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร
       ๓. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
       ๔. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร(อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร

ป.ล. กราบเรียนคุณ Ruamrudee สักเล็กน้อยนะครับ " บัณเฑาะก์ " (ป., ส. ปณฺฑก) = กะเทย ส่วน " บัณเฑาะว์ " (ป. ปณว; ส. ปฺรณว) = กลองสองหน้าขนาดเล็กชนิดหนึ่งมีหลักอยู่ตอนบน ผูกตุ้มห้อยลงมาทางหน้ากลอง ใช้ไกวให้ตุ้มแกว่งกระทบหน้ากลองทั้ง ๒ ข้าง
ด้วยความเคารพอย่างสูง 


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 11 ต.ค. 10, 12:49
ดูเป็นกระทู้กลายพันธุ์ที่มีประโยชน์มาก ดีไม่ดีผมคงได้นำไปเขียนต่อ

เรื่อง "ทัศนะต่อบุคคลรักร่วมเพศในไทย: การเรียกเพศที่สามในไทยเปรียบเทียบกับจีน"

อันนี้อาจเขียนต่อ ใช้ว่าอาจเขียน ถ้าอาจารย์เกิดอ่านแล้วอยากให้เขียน เพราะที่จีนนี้คำเรียกไม่ค่อยโสภาเท่าไรนัก

แต่ดูในไทยไม่ค่อยมีเชิงดูถูกมากเท่าไร (กระมัง) เพราะดูเป็นการบรรยายว่าแตกต่างเฉยๆ

อันนี้แค่โยนหินถามทาง

ยังไม่แน่ใจเพราะไม่มีข้อมูลในมือ

สวัสดี


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 13:45
นำมาฝากคุณ Bhanumet ค่ะ ดิฉันเป็นนักตัดต่อค่ะ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔  พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑


เรื่องห้ามบัณเฑาะก์มิให้อุปสมบท
[/color]
             [๑๒๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บัณเฑาะก์คนหนึ่งบวชในสำนักภิกษุ. เธอเข้าไปหาภิกษุ
หนุ่มๆ แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. ภิกษุทั้งหลายพูด
รุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูก
พวกภิกษุพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกสามเณรโค่งผู้มีร่างล่ำสัน แล้วพูดชวนอย่างนี้ว่า มาเถิดท่าน
ทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกสามเณรพูดรุกรานว่า เจ้าบัณเฑาะก์จงฉิบหาย เจ้าบัณเฑาะก์
จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยเจ้า. เธอถูกพวกสามเณรพูดรุกราน จึงเข้าไปหาพวกคนเลี้ยงช้าง
คนเลี้ยงม้า แล้วพูดอย่างนี้ว่า มาเถิด ท่านทั้งหลาย จงประทุษร้ายข้าพเจ้า. พวกคนเลี้ยงช้าง
พวกคนเลี้ยงม้า ประทุษร้ายแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระ
ศากยบุตรเหล่านี้เป็นบัณเฑาะก์ บรรดาพวกสมณะเหล่านี้ แม้พวกใดที่มิใช่บัณเฑาะก์ แม้พวก
นั้นก็ประทุษร้ายบัณเฑาะก์ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระสมณะเหล่านี้ก็ล้วนแต่ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกคนเลี้ยงช้าง พวกคนเลี้ยงม้า พากันเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
             พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์
ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
เรื่องห้ามคนลักเพศและคนเข้ารีดมิให้อุปสมบท
             [๑๒๖] ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรของตระกูลเก่าแก่คนหนึ่ง เป็นสุขุมาลชาติ มีหมู่ญาติ
ที่รู้จักกันในตระกูลหมดสิ้นไป. ครั้งนั้น เขาได้มีความดำริว่า เราเป็นผู้ดี ไม่สามารถจะหา
โภคทรัพย์ที่ยังหาไม่ได้ หรือไม่สามารถจะทำโภคทรัพย์ที่หาได้แล้วให้เจริญงอกงาม ด้วยวิธี
อะไรหนอ เราจึงจะอยู่เป็นสุข และไม่ต้องลำบาก แล้วคิดได้ในทันทีนั้นว่า พวกสมณะเชื้อสาย
พระศากยบุตรเหล่านี้แล มีปกติเป็นสุข มีความประพฤติเรียบร้อย ฉันอาหารที่ดี นอนใน
ห้องนอนอันมิดชิด ถ้ากระไร เราพึงจัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดเสียเอง
แล้วไปอารามอยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย. ต่อมา เขาได้จัดแจงบาตรจีวร โกนผมและหนวด ครองผ้า
ย้อมฝาดเอง แล้วไปอารามกราบไหว้ภิกษุทั้งหลาย.
             ภิกษุทั้งหลายถามว่า คุณมีพรรษาได้เท่าไร?
             เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่ามีพรรษาได้เท่าไร นั่นอะไรกัน ขอรับ?
             ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ใครเป็นพระอุปัชฌาย์ของคุณ?
             เขาย้อนถามว่า ที่ชื่อว่าพระอุปัชฌาย์ นั่นอะไรกัน ขอรับ?
             ภิกษุทั้งหลายได้แจ้งเรื่องนั้นต่อท่านพระอุบาลีว่า อาวุโสอุบาลี ขอนิมนต์ท่านสอบสวน
บรรพชิตรูปนี้.
             ครั้นเขาถูกท่านพระอุบาลีสอบสวน จึงแจ้งเรื่องนั้นให้ทราบ. ท่านพระอุบาลีได้แจ้งให้
ภิกษุทั้งหลายทราบแล้ว. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
             พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ คนลักเพศ
ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีดเดียรถีย์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่
อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย.

และ.............................

พระเทพวิสุทธิกวี บอกว่า บุรุษที่มีความผิดปกติทางเพศ เข้ามาบวชในสังฆมณฑล ย่อมทำให้สังฆมณฑลเกิดความวิบัติ ดังเพศสัมพันธ์วิปริตที่พรรณนาไว้ใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ ปฐมปาราชิกสิกขาบท (ว่าด้วยเมถุนธรรม) ควรที่พระอุปัชฌาย์ต้องเข้มงวดในตัวผู้ขอบวชให้มากขึ้น เพียงแค่เสียงที่เพี้ยนจากปกติ ก็ควรขอใบรับรองจากแพทย์ เพื่อยืนยันความเป็นบุรุษของผู้นั้น
การที่ให้ผู้ขอบวชมาอยู่วัดก่อนบวชระยะหนึ่ง ก็เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บวชว่า มีความผิดปกติทางเพศหรือไม่ ถ้าพบเหตุชวนสงสัย ก็ต้องงดการบวชของผู้นั้นไว้ก่อน
ทั้งนี้ พระเทพวิสุทธิกวี ได้ยกคำจำกัดความ "บัณเฑาะก์-กะเทย" ที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงให้ไว้ในวินัยมุข เล่ม ๑ และอคฺคโรจโน ภิกฺขุ นวกะ (นพ.วิโรจน์ เหวียนระวี) ได้ขยายความดังนี้

บัณเฑาะก์ ได้แก่บุคคล ๓ จำพวก คือ

๑.ชายผู้ประพฤตินอกรีตในทางเสพกาม (ผู้มีราคะกล้า) คือเป็นผู้ชายมีอวัยวะเพศเป็นชายโดยสมบูรณ์ แต่เสพกามกับผู้ชายด้วยกัน ทางเวจมรรค และทางปาก
บุคคลจำพวกนี้ มีจิตใจและการแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่กิริยาอ่อนช้อยคล้ายผู้หญิง ปัจจุบันมีศัพท์เรียกเป็นภาษาสแลงว่า "เกย์" เมื่อเสพกาม คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นชาย คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นหญิง

๒.ชายผู้ถูกตอน (จีนเรียกขันที) คือ ผู้ชายที่ถูกตัดอวัยวะเพศออกหมด ทั้งส่วนที่เป็นองคชาตและอัณฑะ บุคคลจำพวกนี้ขาดฮอร์โมนเพศชาย จึงไม่มีความรู้สึกทางเพศ แต่ความสำนึกและจิตใจรวมทั้งความแข็งแรงยังเหมือนผู้ชายโดยสมบูรณ์
และ
๓.กะเทย คือ คนหรือสัตว์ที่ไม่ปรากฏว่า เป็นชายหรือหญิง มีหลายอย่าง เช่น บางคนมีตัวบังคับ (ยีน) เป็นผู้ชาย บุคคลนั้นก็เป็นผู้ชาย แต่ผิดปกติที่อวัยวะเพศ ทำให้มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศของสตรี บางคนมีตัวบังคับ (ยีน) เป็นผู้หญิง บุคคลนั้นก็เป็นผู้หญิง แต่อวัยวะเพศบางส่วนมีขนาดใหญ่ จึงทำให้ดูคล้ายองคชาตของผู้ชาย
ในทางพระพุทธศาสนา คำว่า บัณเฑาะก์-กะเทย-อุภโตพยัญชนกะ หมายเอาบุคคลในข้อ ๓ นี้เอง

"ภิกษุรูปใดคิดว่าตัวเองมีความเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นเกย์ ตุ๊ด กะเทย ซึ่งถือว่าเป็นบัณเฑาะก์ พึงเห็นแก่คณะสงฆ์ ลาสิขาไปเถิด อย่าอยู่ในสมณเพศจนผู้อื่นต้องเดือดร้อน หรือต้องรอการพิสูจน์ว่าเป็นบัณเฑาะก์เลย นอกจากจะทำให้ตระกูลเสื่อมเสียแล้ว ยังทำให้สังฆมณฑลเสื่อมเสียเกิดความวิบัติในสังฆกรรมอีกด้วย เป็นตัวอย่างที่เลวทรามแก่เยาวชนผู้ไม่รู้ความ ถือว่าเป็นวิบากกรรมติดตัวไปตลอดชีวิต ทั้งในภพนี้และชาติหน้า" พระเทพวิสุทธิกวี กล่าวทิ้งท้าย

และจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ นะคะ

บัณเฑาะก์ กะเทย, คนไม่ปรากฏว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง ได้แก่กะเทยโดยกำเนิด ๑ ชายผู้ถูกตอนที่เรียกว่าขันที ๑
ชายมีราคะกล้าประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น ๑


บัณเฑาะว์ (อ่านว่าบันเดาะ) กลองเล็กชนิดหนึ่งมีหนังสองหน้าตรงกลางคอด ริมทั้งสองใหญ่ พราหมณ์ใช้ในพิธี
ต่างๆ ขับโดยใช้ลูกตุ้มกระทบหน้ากลองทั้งสองข้าง; สีมามีสัณฐานดุจบัณเฑาะว์ คือมีลักษณะทรวดทรงเหมือน
บัณเฑาะว์




กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 13:56
ขอชี้แจงเพิ่มสักเล็กน้อยนะคะ บัณเฑาะก์ หรือ ปัณฑะกะในบาลี บวชไม่ได้ แต่บรรลุธรรมได้นะคะ

ห้าม บวช เท่านั้น ไม่ได้ ห้าม หรือ ขัดขวาง การบรรลุธรรม เพียงแต่ อาจจะบรรลุได้ยากในคนที่หักห้ามจิตใจตนให้สงบจากกามไม่ได้ เพราะจิตใจว้าวุ่น สับสนในเพศของตน จึงขัดขวางการบรรลุธรรม

คนไม่บวชก็บรรลุธรรมได้ บรรลุเป็นอรหนัต์ได้ทีเดียวก็มีมาก แล้วจึงบวชในเวลาต่อมา

บ้างคนเหมาเป็นอาภัพพบุคคล แต่อ่านดูแล้วไม่เกี่ยวกันค่ะ
อ้างถึง
คนอาภัพทางธรรมนั้น หมายถึงคนที่ไม่อาจบรรลุมรรคผลในชาตินี้ ท่านเรียกว่า อภัพพบุคคล ได้แก่คน ๔ ประเภทคือ
          ๑. คนที่เกิดด้วยอุเบกขาสันตีรณะอเหตุกกุศลวิบาก คือเกิดด้วยปฏิสนธิจิตที่เป็นผลของกุศลที่ไม่มีเหตุประกอบ เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน เกิดเป็นบ้าใบ้ ตาบอด หูหนวก ปัญญาอ่อนมาแต่กำเนิด คนพวกนี้เป็นคนอาภัพเพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ แม้จะได้หันเหชีวิตมาเจริญมรรคมีองค์ ๘ ก็ตาม
          ๒. คนที่ทำกรรมหนักชนิดที่เรียกว่าอนันตริยกรรม คือฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน คนที่ทำกรรม ๕ อย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่าอภัพพบุคคล เพราะแม้จะฉลาดอย่างไรก็ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ เพราะได้ทำกรรมหนักที่จะต้องนำไปสู่นรกทันทีเมื่อตายลง กรรมดีใดๆ ไม่อาจขวางกั้นกรรมหนักได้ กรรมหนักทั้ง ๕ นี้ต้องให้ผลก่อน
          ๓. เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือเป็นคนมีความเห็นผิด ไม่เชื่อบุญเชื่อบาปเป็นต้น ใครจะชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง คนอย่างนี้เป็นคนอาภัพเช่นกัน เพราะไม่มีทางบรรลุมรรคผลในชาตินี้ได้
          ๔. คนที่แม้จะเกิดมาด้วยไตรเหตุ ไม่ทำกรรมหนัก เป็นสัมมาทิฏฐิ คือเชื่อบุญเชื่อบาปแล้ว แต่ว่าไม่มีศรัทธาประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ หรือเป็นผู้เกียจคร้านไม่มีฉันทะในการทำกุศล พวกนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นคนอาภัพเช่นกัน เพราะไม่อาจบรรลุมรรคผลได้
          บุคคล ๔ พวกนี้แหละ คือคนอาภัพในความหมายของทางธรรม

ดิฉันก็เป็นคนอาภัพพบุคคลค่ะ คือ อาภัพความเพียรค่ะ ;D ;D ;D ไม่บรรลุสักที :-\ :-\ :-\
 


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 11 ต.ค. 10, 14:17
ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลครับ  

ว่าจะไม่ออกนอกเรื่องแล้ว  แต่ขออนุญาต จขกท. อีกสักหน่อยนะครับ

งั้น ถ้า เกย์ ที่ควบคุมตนเองได้
ไม่เคยเสพกามกับผู้ชาย แค่คิดอยู่ภายในใจ
และสามารถควบคุมกิริยาให้สำรวมตามพระวินัยได้
จะบวชได้โดยถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่  ???


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ต.ค. 10, 14:44
(ธรรมะ)สวัสดีครับ

แว่บเข้ามาว่าดังนี้ครับ

      คุณ Ruamrudee   - บัณเฑาะก์ บรรลุธรรมไม่ได้ครับ เพราะเป็น อภัพบุคคลซึ่งไม่อาจบรรลุธรรมได้ในชีวิตนี้

บทความที่น่าสนใจ (แต่ยังไม่ได้อ่าน Full Text)

               http://www.mcu.ac.th/En/thesisdetails.php?thesis=255024 

Thesis Title : การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องบัณเฑาะก์กับการบรรลุธรรม 
Researcher :  พระมหาอดุลย์ ยโสธโร (บุตรตะเคียน) 
Degree :  Master of Arts ( พุทธศาสตรมหาบัณฑิต  )
 
ABSTRACT

          วิทยานิพนธ์นี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมาของบัณเฑาะก์ใน พระพุทธศาสนา ศักยภาพในการบรรลุธรรม
และอุปนิสัยที่จะได้บรรลุธรรมของบัณเฑาะก์
            จากการศึกษาพบว่า บัณเฑาะก์ มีความหมายครอบคลุมทั้งคนและสัตว์ที่ไม่มี สัญลักษณ์ทางเพศ 
รักร่วมเพศและกามวิตถาร  คัมภีร์พระพุทธศาสนาระบุสาเหตุที่ทําให้ถือ กําเนิดเป็นบัณเฑาะก์ว่า   เพราะอํานาจอกุศลกรรม
ซึ่งเก็บสั่งสมไว้ในจิต และพบว่าพุทธสาวก และพุทธสาวิกาบางองค์ที่เคยถือกําเนิดเป็นบัณเฑาะก์เคยประพฤติ
ละเมิดความผิดใน กามารมณ์
            การบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นกระบวนการฝึกปรือพัฒนามนุษย์ให้บรรลุ ถึงภาวะของความไร้ทุกข์
ประสบกับภาวะแห่งความสะอาด สงบ  สว่าง  เรียกว่า  ไตรสิกขา ซึ่งประกอบด้วยหลักการ ๓  ประการ  คือ
อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา
         
             บัณเฑาะก์จัดเป็นอภัพบุคคลซึ่งไม่อาจบรรลุธรรมได้ในชีวิตนี้   ถึงแม้ว่าจะ พยายามฝึกปรือพัฒนาตนเอง
ตามหลักไตรสิกขาแล้วก็ตาม 

              เพราะบัณเฑาะก์เกิดได้เพราะผลแห่งอกุศลกรรม คือ เป็นบุคคลที่ปฏิสนธิที่ปราศจากอโมหะเหตุ หรือ
ทุกเหตุกปฏิสนธิ (ผู้มีวิบากเป็นเครื่องกั้น) นอกจากบัณเฑาะก์แล้ว ผู้ทําอนันตริยกรรม   (ผู้มีกรรมเป็นเครื่องกั้นหรือ อุปสรรค)
ผู้เป็นนิตยมิจฉาทิฏฐิ (ผู้มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น) และผู้มีปัญญาทราม ก็ไม่สามารถ บรรลุธรรมได้ในชีวิตนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

             ผู้ที่ถือกําเนิดเป็นบัณเฑาะก์นั้นยังไม่มีอุปนิสัยบรรลุธรรมในชีวิตปัจจุบัน   แต่เป็น การถือกําเนิดในฐานะอภัพบุคคล
ชาติสุดท้าย  ถัดจากชาติที่เป็นบัณเฑาะก์นั้นไป จะพ้นจากสภาพความเป็นอภัพบุคคล


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 11 ต.ค. 10, 14:45
งั้น ถ้า เกย์ ที่ควบคุมตนเองได้
ไม่เคยเสพกามกับผู้ชาย แค่คิดอยู่ภายในใจ
และสามารถควบคุมกิริยาให้สำรวมตามพระวินัยได้
จะบวชได้โดยถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่  ???

บวชน่ะบวชได้  แต่จะระงับกิเลสได้นานและดีเรียบร้อยขนาดไหน
ถ้าคุมได้เฉพาะเวลาที่ทำอุปสมบทกรรมในอุโบสถ ภายหลังบวชแล้ว
ไม่สามารถคุมกายวาจาใจให้เป็นปกติวิสัยแห่งสมณะได้
ก็คงจะทรมานมาก

อนึ่ง  การบวชนั้น ในปัจจุบันถือญัตติของภิกษุสงฆ์ที่ประชุมเป็นสำคัญ
ถ้าเกิดในบรรดาสงฆ์ที่ประชุมอยู่นั้นไม่ยอมรับเป็นเอกฉันท์ ก็บวชไม่ได้

ถ้าบวชไม่นาน  และสามารถระงับกายวาจาใจให้สำรวมในระยะดังกล่าวได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
แต่ถ้าบวชนานแล้วรักษากายวาจาใจ ไม่ให้พลุ่งพล่านได้แค่บางเวลา  นอกจากจะเสียศีลแล้ว
หมู่สงฆ์ที่อยู่ในวัดเดียวกันอาจจะไม่ยอมรับได้  เพราะพฤติกรรมของเขาเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์คนอื่น


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 14:56
คุณ Bhanumet คะ หากไม่แขวนป้ายประกาศความเป็นเกย์ และ สงบกายและใจจนไม่มีพิรุธ
คงไม่มีใครรู้และห้ามได้หรอกค่ะ

แต่ตนเองนั่นแหละ จะเป็นศัตรูของตนเอง เพราะรู้เต็มอก มันรบกวนจิตใจนะคะ หากยังมีหิริโอตตัปปะ

มีพระหลายรูปบวชสำเร็จไปแล้ว มาอ่านเจอในคัมภีร์ ก็ละอายใจตนเอง แล้วสึกเสียมาก

จิตใจนั้น จะสับสนตลอดเวลาค่ะ แม้จะระงับอาการได้ก็ตาม
และใจนี่เอง ที่จะต้องเอามาใช้งานในการทำ ศีล สมาธิ ปัญญา

ดังพุทธพวจน์ที่ว่า
"มโน บุพพัง คะมา ธัมมา มโน เสฐฐา มโน มยา"
ใจ้เป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจค่ะ

ข้อมูลของคุณSila เป็นมัตติในวิทยานิพนธ์ใช่ไหมคะ ดิฉันขอความกรุณา Quote พุทธพจน์ในพระไตรปิฎก สนับสนุนค่ะ  จะได้เป็นหลักฐานสนับสนุนนะคะ จะเป็นประโยชน์มาก หากเราช่วยกันค้นคว้าจากหลักฐานชั้นที่ 1 ด้วย

ถามคุณ Han_bing
อ้างถึง
เรื่อง "ทัศนะต่อบุคคลรักร่วมเพศในไทย: การเรียกเพศที่สามในไทยเปรียบเทียบกับจีน"

อันนี้อาจเขียนต่อ ใช้ว่าอาจเขียน ถ้าอาจารย์เกิดอ่านแล้วอยากให้เขียน เพราะที่จีนนี้คำเรียกไม่ค่อยโสภาเท่าไรนัก


เขาเรียกว่า มนุษย์ หยิน หยาง ใช่ไหมคะ บัณเฑาะว์ หรือ กลอง 2 หน้า ของคนจีน ที่เราเรียกว่า ป๋องแป๋ง มักมีรูปหยินหยางเสียด้วย

เขาใจว่าในจีน การเป็นกระเทย ผิดกฏหมายใช่ไหมคะ และดิฉันเคยถามคนจีนว่า ทำไมชอบมาดู Alcazar Show ที่พัทยา

เขาบอกว่า เมืองจีนไม่มีให้ดู แต่ปัจจุับันนี้ มีตรึมเชียวค่ะ บางคนสวยกว่าที่มีในเมืองเรามาก


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 11 ต.ค. 10, 15:04
ขอชี้แจงเพิ่มสักเล็กน้อยนะคะ บัณเฑาะก์ หรือ ปัณฑะกะในบาลี บวชไม่ได้ แต่บรรลุธรรมได้นะคะ

ห้าม บวช เท่านั้น ไม่ได้ ห้าม หรือ ขัดขวาง การบรรลุธรรม เพียงแต่ อาจจะบรรลุได้ยากในคนที่หักห้ามจิตใจตนให้สงบจากกามไม่ได้ เพราะจิตใจว้าวุ่น สับสนในเพศของตน จึงขัดขวางการบรรลุธรรม

คนไม่บวชก็บรรลุธรรมได้ บรรลุเป็นอรหันต์ได้ทีเดียวก็มีมาก แล้วจึงบวชในเวลาต่อมา

บ้างคนเหมาเป็นอาภัพพบุคคล แต่อ่านดูแล้วไม่เกี่ยวกันค่ะ

ผมยังมองไม่เห็นว่า บัณเฑาะก์ จะบรรลุธรรมได้อย่างไร
เพราะบัณเฑาะก์ เกิดขึ้นด้วยความนิยมชอบพอในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
จนทำให้จิตใจและพฤฒิกรรมของบุคคลเบี่ยงเบนไป
และอำนาจที่ทำให้เกิดบัณเฑาะก์ก็คือไฟ ๓ กอง (ราคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ)
และตัณหา ๓ อย่าง (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)
ก็ถ้าละสิ่งเหล่านี้ได้ในเบื้องต้น  บัณเฑาะก์ย่อมไม่เป็นบัณเฑาะก์
แต่ถ้าละไม่ได้  ต้นทางบรรลุธรรมก็ดูเหมือนจะไม่ต้องพูดถึง  
เหมือนหุงข้าวล่ะครับ  ขาดไฟ ขาดไฟฟ้า  ก็ไม่ต้องพูดกัน
ต่อให้มีข้าวของครบ  ก็หุงข้าวไม่ได้

ส่วนที่ว่า คนไม่ได้บวชสามารถบรรลุอรหันต์ได้นั้น  เป็นความจริง
แต่ว่า เมื่อคนคนนั้นบรรลุถึงอรหันต์แล้ว  
ถ้าไม่บวชก็จะต้องนิพพานไปในไม่ช้า (๗ วัน ถ้าจำไม่ผิด)
เพราะเพศฆราวาสไม่สามารถรักษาสภาพความเป็นอรหันต์ไว้ได้นาน
แต่ถ้าบวชแล้วจะสามารถรักษาสภาพอรหันต์ไว้ได้  

อริยบุคคลขั้นอื่น แม้บรรลุธรรมแล้ว หากไม่บวชก็รักษาธรรมที่บรรลุได้ยาก
และมีโอกาสที่ธรรมที่บรรลุแล้วจะเสื่อมได้มาก
(เว้นแต่อรหัตตผลที่ไม่มีทางเสื่อมลงแต่จะคงอยู่กับเพศฆราวาสได้ไม่นาน)


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 15:11
ปรึกษาคุณหลวงเล็กค่ะ
ท่านวักกลิ หลงไหลในรูปของพระพุทธองค์ขนาดหนัก จัดว่าเป็น เกย์ได้ไหมคะ


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 11 ต.ค. 10, 15:23
ปรึกษาคุณหลวงเล็กค่ะ
ท่านวักกลิ หลงไหลในรูปของพระพุทธองค์ขนาดหนัก จัดว่าเป็น เกย์ได้ไหมคะ

ผมคิดว่าไม่นะ  พระวักกลิก่อนบวชท่านก็เหมือนวัยรุ่นนั่นแหละครับ  เห็นใครรูปงามก็ชื่นชมสนใจ  พระพุทธเจ้าทรงเป็นเชื้อสายกษัตริย์   รูปย่อมงามกว่านักบวชทั่วไป   ผมคิดว่าท่านชอบมองอยากจะเป็นอย่างพระพุทธเจ้าบ้าง  แต่คงไม่ได้คิดไปในทางกามราคะ  ดูเหมือนเด็กๆ ชอบซื้อภาพดารามาติดไว้ดูในห้องนั่นแหละ  หรือไปดูคอนเสิร์ตนักร้องที่ตนเองชื่นชอบที่ขอบเวที 


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 11 ต.ค. 10, 15:26
คุณ Bhanumet คะ หากไม่แขวนป้ายประกาศความเป็นเกย์ และ สงบกายและใจจนไม่มีพิรุธ
คงไม่มีใครรู้และห้ามได้หรอกค่ะ

แต่ตนเองนั่นแหละ จะเป็นศัตรูของตนเอง เพราะรู้เต็มอก มันรบกวนจิตใจนะคะ หากยังมีหิริโอตตัปปะ

มีพระหลายรูปบวชสำเร็จไปแล้ว มาอ่านเจอในคัมภีร์ ก็ละอายใจตนเอง แล้วสึกเสียมาก

จิตใจนั้น จะสับสนตลอดเวลาค่ะ แม้จะระงับอาการได้ก็ตาม
และใจนี่เอง ที่จะต้องเอามาใช้งานในการทำ ศีล สมาธิ ปัญญา

เรื่อง ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ผมเข้าใจครับ

แต่ประเด็นที่ผมสงสัย  ไม่ใช่เรื่องเกย์ทำตัวสงบเสงี่ยม ผู้อื่นดูไม่ออก แล้วจะบวชได้หรือไม่

ประเด็นคือ "ถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่"  

ถ้าเกย์ผู้นั้น มีจิตใจฝักใฝ่ในชาย แต่ไม่เคยเสพกามกะผู้ชาย  และห้ามตัวเองไม่ให้ไปเสพกามกะใคร สามารถมีกิริยาสำรวมตามพระวินัย
เหมือนกับผู้ชายที่ฝักใฝ่ในสตรีอาจจะระงับตนเองไม่ให้เสพกามกะผู้หญิง ไม่สำเร็จความใคร่


แล้วอีกประเด็น  ถ้าผู้นั้นเป็นชายแท้ มีกิริยาดั่งชาย แต่เสพกามได้กะทั้งผู้ชาย ผู้หญิง (เสือไบ) ???
หรือเกิดในสังคมที่การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะเพศตรงข้าม เช่น กรีก โรมัน

ขออภัย จขกท. อย่างสูง ที่ออกนอกกระทู้อีกแล้ว  :)


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 15:33
ทางอภิธรรมท่านว่า บัณเฑาะก์ บรรลุไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกระดับของการบรรลุนะคะ โสดาบัน สกทาคา น่าจพัฒนนตนไปถึงได้หากสงบระงับกายและใจได้จริง แต่ หากกล่้าวไปถึง อนาคามีและ อรหันต์ นั่นต้องดับกามราคะหมดสิ้น อันนี้ ไปไม่ถึงแน่ค่ะ

มีคนพูดถึงพระวักกลิไว้น่าสนใจทีเดียว ดังนี้ค่ะ
อ้างถึง
ใครอยากพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น อยากหลุดพ้นจากสิ่งที่ตนกำลังเป็นอยู่ ก็ต้อง
หมั่นปฏิบัติธรรมเข้าไว้ จึงจะดีได้อย่างสมบูรณ์ ดังเช่น เรื่อง

ในอดีต เคยมีพระสาวก นามว่า วักลิ ผู้หลงไหลในรูปร่างหน้าตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้ามาขอบวช ด้วยเจตนาที่ว่าจะได้มีโอกาสได้เห็นพระองค์บ่อยๆ ได้เจอบ่อยๆ เที่ยวคอยตาม คอยดู คอยอยู่ใกล้ๆ เพื่อหวังจะได้เห้นได้ชื่นชมในความงามของพระสรีระและหน้าตาของพุทธองค์ โดยไม่ได้สนใจปฏิบัติกิจแห่งสมณะ
ในภายหลัง พระพุทธองค์ทรงตำหนิ พระวักลิที่มัวแต่มัวเมาหลงไหลในรูปกาย และละทิ้งหน้าที่กิจแห่งสมณะ ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงตำหนิ พระวักลิเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างสุดกำลัง เนื่องจากถูกพระพุทธองค์ผู้ที่ตัวเองหลงไหลชื่นชมอย่างมากตำหนิ พระวักลิเกิดคิดสั้น เดินจากวัด ขึ้นภูเขาน้ำตานองหน้า หวังที่จะกระโดดเขาลงมาด้วยความน้อยใจสุดกำลัง พระพุทธองค์รู้ภาวะจิตของพระวักลิ ตรัสห้ามขณะที่พระวักลิกำลังจะโดดลงมาจากหน้าผา เมื่อได้ยินพระสุรเสียงของพระพุทธองค์ห้ามดังนั้น เกิดปิติอย่างล้นพ้นโดยฉับพลัน เมื่อพระวักลิหมดความโศกเศร้าแล้ว พระพุทธองค์ทรงสอนให้พระวักลิได้แจ้งเกี่ยวกับความเป็นจริงแห่งรูปกาย อันไม่จีรังยั้งยืน มีความเสื่อม แปรปรวน และดับไปเป้นธรรมดา ฯลฯ และในที่สุดท่านวักลิก็ได้เห็นธรรม และท้ายสุดได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เจ้าในที่สุด
เรื่องนี้เป็นที่มาของคำสอนที่เคยได้ยินว่า "ผุ้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"

ธรรมะนี้มีหลายละดับ ที่เรากล่าวว่า บรรลุไม่ได้นั้น คือธรรมละดับใด เราต้องเข้าใจตรงนั้นด้วย


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 15:39
อ้างถึง
ประเด็นคือ "ถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่"

ผู้ที่รู้ตัวเองว่าเป็นบัณเฑาะก์ แม้คุมตัวเองได้ ฝืนไปบวช นั่น ทำผิดพระวินัยด้วยตนเองค่ะ

ผู้บวชให้ด้วยความไม่รู้ ไม่ผิดพระวินัย ๆ บัญญัติไว้ชัดแล้วว่า ห้ามบัณเฑาะก์บวชเป็นภิกษุค่ะ


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 11 ต.ค. 10, 16:39
ส่วนคำว่า บัณเฑาะก์ มาจากภาษาสันสกฤตว่า ปณฺฑก  คำนี้มีรายละเอียดเขียนถึงในคัมภีร์ สารัตถสังคหะ  ตอนว่า “ปณฺฑกาน วิภาวนกถา” (ความว่าด้วยบัณเฑาะก์) แบ่งเป็น ๕ จำพวก  ดังนี้

๑. โอปักกมิปัณเฑาะก์ คือ ผู้ที่ถูกตอน

๒. อาสิตตปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดบังเกิดควมกำหนัดยินดี มีความกระวนกระวายขึ้นแล้วแลเอาปากคาบซึ่งนิมิตต์แห่งบุรุษทั้งหลายอื่น ดูดกินซึ่งอสุจิจึงระงับดับความกระวนกระวาย

๓. อุสุยยปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดแล เห็นซึ่งการอัชฌาจารแห่งบุคคลทั้งหลายอื่นแล้ว บังเกิดมีความริษยาขึ้นมา ความกระวนกระวายของคนนั้น ก็พลอยระงับดับลงในกาลเมื่อแลเห็นนั้น

๔. นปุ สกปัณเฑาะก์ คือ บุคคลผู้ใดหมอิตถีภาวรูปบ่มิได้ หาบุรุษภาวรูปบ่มิได้ ในปฏิสนธิกาลม บังเกิดมิได้เป็นหญิงเป็นชาย เพศหญิงชายนั้นหาปรากฎไม่ หรือ “ผู้ไม่มีเพศแต่กำเนิด

๕. อุภโตพยัญชนกปัณเฑาะก์ คือ มีสองเพศ จะเป็นหญิงก็ได้ จะเป็นชายก็ได้ มีด้วยกันทั้งสองเพศ  จะทำการรักกับชาย ปุริสนิมิตต์เพศชายก็หายไป จะทำการรักกับหญิง อิตถีนิมิตต์เพศก็หายไป

ความเห็นในเรื่องจำพวกบัณเฑาะก์ในคัมภีร์ สมันตปาสาทิกา แตกต่างไปจาก สารัตถสังคหะ เล็กน้อย จำพวกที่ ๕ ข้างต้น ถูกแทนที่ด้วย ปักขปัณเฑาะก์ คือ ผู้ที่เป็นบัณเฑาะก์เฉพาะปักข์ เมื่อถึงข้างขึ้นเป็นเพศชาย เมื่อถึงข้างแรมเป็นเพศหญิง

นำมาฝากคุณ Bhanumet ค่ะ ดิฉันเป็นนักตัดต่อค่ะ

บัณเฑาะก์ ได้แก่บุคคล ๓ จำพวก คือ

๑.ชายผู้ประพฤตินอกรีตในทางเสพกาม (ผู้มีราคะกล้า) คือเป็นผู้ชายมีอวัยวะเพศเป็นชายโดยสมบูรณ์ แต่เสพกามกับผู้ชายด้วยกัน ทางเวจมรรค และทางปาก
บุคคลจำพวกนี้ มีจิตใจและการแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่กิริยาอ่อนช้อยคล้ายผู้หญิง ปัจจุบันมีศัพท์เรียกเป็นภาษาสแลงว่า "เกย์" เมื่อเสพกาม คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นชาย คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นหญิง

...

และจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ นะคะ

บัณเฑาะก์ กะเทย, คนไม่ปรากฏว่าเป็นเพศชายหรือเพศหญิง ได้แก่กะเทยโดยกำเนิด ๑ ชายผู้ถูกตอนที่เรียกว่าขันที ๑
ชายมีราคะกล้าประพฤตินอกจารีตในทางเสพกามและยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น ๑

จากที่อ้างอิงข้างต้น

โดยส่วนตัวคิดว่า

ถ้าเกย์ผู้นั้น มีจิตใจฝักใฝ่ในชาย แต่ไม่เคยเสพกามกะผู้ชาย  และห้ามตัวเองไม่ให้ไปเสพกามกะใคร สามารถมีกิริยาสำรวมตามพระวินัย
เหมือนกับผู้ชายที่ฝักใฝ่ในสตรีอาจจะระงับตนเองไม่ให้เสพกามกะผู้หญิง ไม่สำเร็จความใคร่


ก็ยังไม่เห็นเข้าข่ายเป็น " บัณเฑาะก์ "

แต่นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น
เพราะสุดท้าย ก็ต้องแล้วแต่ญัตติของสงฆ์
เนื่องจากพระพุทธเจ้า ทรงมอบอำนาจการปกครองให้สงฆ์แล้ว


ป.ล. แต่มติมหาเถรสมาคม บางครั้งผมก็ ...


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 11 ต.ค. 10, 19:20
คุณภานุเมศร์คะ เรายุติเรื่องเกย์บวชได้หรือไม่ได้ตรงนี้ดีไหมคะ ดิฉันเกรงใจเจ้าของกระทู้จริง ๆ ค่ะ

แต่ก็นึกนิยมความคิดเสรีแบบคุณนะคะ ยินดีต้อนรับค่ะ ดิฉันชอบคนคิดแย้ง คิดด้วยเหตุผลนะคะ

อาจจะเป็นผู้มีปัญญา ชาวกาลามชนกลับชาติมาเกิด ดีค่ะ

แต่อย่าลืมกฏเหล็กนะคะ ต้องพิสูจน์ด้วยตนเองก่อนจึงเชื่อนะคะ

เราตังสมมติฐานได้ แต่ต้องทำ Lab ค่ะ ได้ผลอย่างไร อย่าลืมเขียนมาเล่าสู่กันฟังนะคะ
************************
อาจารย์เทาชมพูเจ้าขา เห็นฤทธิ์ของการแลกเปลี่ยนความรู้ทางธรรมหรือยังคะ

นี่แค่น้ำจิ้มค่ะ 






กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ต.ค. 10, 20:41
ติดตามอ่านด้วยความเพลิดเพลิน
ขอชมเชยท่านทั้งหลายในกระทู้นี้ว่า แลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างผู้มีวุฒิภาวะ  และให้เกียรติกันและกัน   แม้ว่ามีความเห็นแตกต่าง ก็ไม่ได้หักหาญเอาชนะคะคานกัน
จะถามหรือตอบก็อยู่ในขอบเขตของความรู้ที่อ้างอิงได้   ถ้าหากว่าเป็นความเห็นก็ไม่ได้มีอติมานะประกอบ
ทำให้เรือนไทยเป็นสถานที่น่านั่งสนทนาอย่างยิ่งค่ะ

คำถามของคุณภาณุเมศร   ดิฉันขอตอบตามความเห็นตัวเอง  ใครจะค้านก็ได้ไม่ห้าม
อ้างถึง
"ถ้าเกย์ผู้นั้น มีจิตใจฝักใฝ่ในชาย แต่ไม่เคยเสพกามกะผู้ชาย  และห้ามตัวเองไม่ให้ไปเสพกามกะใคร สามารถมีกิริยาสำรวมตามพระวินัย
เหมือนกับผู้ชายที่ฝักใฝ่ในสตรีอาจจะระงับตนเองไม่ให้เสพกามกะผู้หญิง ไม่สำเร็จความใคร่" บวชได้ไหม

ขอแยกคำตอบเป็น ๒ ข้อ
๑   ถ้าเป็นสมัยนี้ ที่การรับบุคคลเข้าบวชดูจะย่อหย่อนไม่เข้มงวด   เห็นพระเกย์กันเยอะแยะ ไม่มีใครว่ากล่าวห้ามปรามหรือขอให้สึก  ละก็  เกย์ในคำถามนี้บวชได้แน่นอน  เพราะทางวัดจะเอาอะไรมาค้าน ในเมื่อพระบวชใหม่รูปนี้ก็มีลักษณะเป็นชาย ความประพฤติเป็นชาย เหมือนชายทั่วไปนี่เอง  ถ้าหากว่าท่านสามารถสำรวมอยู่ได้จนตาย  ท่านก็อยู่ในผ้าเหลืองไปได้จนตาย  อาจจะได้ชื่อว่าเป็นพระปฏิบัติได้ถูกต้องตามพระวินัยรูปหนึ่งก็ได้   
๒      แต่ถ้าพิจารณาจากพระวินัย  ก็บวชไม่ได้   เพราะในพระวินัยไม่ได้ห้ามแต่เพียงร่างกายที่ผิดจากคนทั่วไป  หรือนิสัยที่ไม่ตรงตามเพศ   แต่ห้ามไปถึงใจที่ฝักใฝ่ในทางผิดธรรมชาติด้วย    เนื่องจากเป็นทางขัดขวางไม่ให้บรรลุมรรคผลใดๆได้   นอกจากนี้ก็ไม่มีหลักประกันว่าท่านจะสำรวมไปได้ตลอดชาติ      ท่านมีใจฝักใฝ่ชาย แล้วต้องไปอยู่ในกลุ่มชายล้วนๆ ตลอดเวลาบวช  ก็เหมือนกันพระชายแท้ไปบวชอยู่ท่ามกลางภิกษุณี  ต้องร่วมกุฏิ ต้องร่วมฉันร่วมลงโบสถ์ทำกิจกรรมกันตลอด    กามกิเลสก็จะรบกวนได้หนักกว่าปกติ   แพ้เมื่อไรก็จะพาหมู่คณะแปดเปื้อนมลทินไปด้วย   ไม่ได้เสียเฉพาะตัวเองคนเดียว

สมัยพุทธกาล  พระสงฆ์ที่เข้ามาบวช คือแสวงหาการหลุดพ้น  บางคนก็บวชสำนักอื่นมาก่อน เห็นว่าไม่ใช่หลุดพ้นก็เปลี่ยนสำนักใหม่ได้  แต่ไม่ใช่ว่าขอบวชนิดๆหน่อยๆพอรู้หลักธรรมแล้วกลับบ้านไปครองเรือนต่อ    ผิดกับประเพณีไทยพุทธ  บวช ๑ พรรษาแล้วสึก  จากนั้นก็แต่งงาน   ถือว่าการบวชเรียนคือเรียนรู้ให้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีศีลมีธรรมติดตัวออกไปยามครองเรือน จะได้เป็นผู้ครองเรือนที่ดี
ดังนั้น ถ้าพระเกย์ผู้ไม่ประสงค์จะประพฤติอย่างเกย์อยากจะบวชเต็มที   ไม่อยากแค่ปฏิบัติธรรมเฉยๆ     ก็น่าจะบวชแบบประเพณีไทย  คือบวชระยะสั้นๆ  พอได้ศึกษาธรรมะและประพฤติทางธรรมเป็นทุนในการลดละกิเลส และพิจารณาโทษของกามตัณหา    ถึงไม่บรรลุในชาตินี้ ก็ไม่เป็นไร  อย่างน้อยกิเลสได้เบาบางลงบ้าง พอจะเป็นทุนให้เกิดใหม่พ้นจากสภาพของเกย์ได้      แต่ว่าเมื่อใดเกิดรู้สึกว่าอยู่ในผ้าเหลืองจะทำความเสียหายให้หมู่คณะ อย่างนี้ต้องสึกทันที 

โดยส่วนตัว แนะนำว่าให้เป็นฆราวาสนี่แหละค่ะ แต่ปฏิบัติธรรม  จะถือศีล ๘ หรือเคร่งกว่านี้ก็ศีล ๑๐   ก็ได้บุญแล้ว  ปฏิบัติคนเดียวได้ไม่ต้องไปอยู่ใกล้ใคร    แต่การบวชพระหมายถึงต้องคลุกคลีอยู่ในหมู่สงฆ์   ต่อให้เป็นพระป่าก็ต้องมีลูกศิษย์ลูกหา มีการพบปะศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน   วัตรปฏิบัติทั้งหลายไม่เอื้อต่อสภาพจิตใจของเกย์  แพ้เมื่อไร  ที่อุตส่าห์ตั้งใจดีไว้แต่แรกก็ล้มเหลวหมด   


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 12 ต.ค. 10, 08:56
สนับสนุนความเห็นอาจารย์เทาชมพูด้วยคนค่ะ บวชใจให้สำเร็จก่อน สำคัญกว่ารีบไปบวชกาย แล้วใจว้าวุ่นนะคะ

กลับมาที่เจ้าของกระทู้ค่ะ รอคำตอบเรื่อง เกย์ในจีนค่ะ

อ้างถึง
ถามคุณ Han_bing
อ้างถึง
 ถ้าอาจารย์เกิดอ่านแล้วอยากให้เขียน เพราะที่จีนนี้คำเรียกไม่ค่อยโสภาเท่าไรนัก


เขาเรียกว่า มนุษย์ หยิน หยาง ใช่ไหมคะ บัณเฑาะว์ หรือ กลอง 2 หน้า ของคนจีน ที่เราเรียกว่า ป๋องแป๋ง มักมีรูปหยินหยางเสียด้วย

เขาใจว่าในจีน การเป็นกระเทย ผิดกฏหมายใช่ไหมคะ และดิฉันเคยถามคนจีนว่า ทำไมชอบมาดู Alcazar Show ที่พัทยา

เขาบอกว่า เมืองจีนไม่มีให้ดู แต่ปัจจุับันนี้ มีตรึมเชียวค่ะ บางคนสวยกว่าที่มีในเมืองเรามาก


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 10, 09:21
เคยอ่านเกร็ดพงศาวดารจีนเรื่อง จอยุ่ยเหม็ง   
ในนั้นพูดถึงสำนักชีทุศีล จับผู้ชายมากักขังไว้ให้บำเรอเหล่านางชี   มีหัวหน้าเป็นมนุษย์ประหลาด  ร่างกายกลับกลายได้สองเพศ ข้างขึ้นเป็นชาย ข้างแรมเป็นหญิง   แต่งงานแล้ว ลอบไปทำชู้กับน้องสะใภ้จึงถูกขับไล่มาบวชชี
อ่านตอนเด็กๆก็ไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้ยังไง    มาเทียบกับสมัยนี้ เห็นทีจะหมายถึงเสือไบ นะคะ

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมจีนน่าจะมองคนสองเพศไปในทางร้าย   ถึงสร้างบทให้เป็นผู้ร้ายเสียเลย


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: luanglek ที่ 12 ต.ค. 10, 10:08
เคยอ่านเกร็ดพงศาวดารจีนเรื่อง จอยุ่ยเหม็ง   
ในนั้นพูดถึงสำนักชีทุศีล จับผู้ชายมากักขังไว้ให้บำเรอเหล่านางชี   มีหัวหน้าเป็นมนุษย์ประหลาด 
ร่างกายกลับกลายได้สองเพศ ข้างขึ้นเป็นชาย ข้างแรมเป็นหญิง    แต่งงานแล้ว ลอบไปทำชู้กับน้องสะใภ้จึงถูกขับไล่มาบวชชี

นึกถึงเรื่องท้าวอิลราช-นางอิลาครับ
อันที่จริงมีนิทานเรื่องแนวนี้อีก  แต่จำไม่ได้แล้ว

ในมหาภารตะ  มีอยู่ช่วงหนึ่ง พวกปาณฑพทั้ง ๕
ต้องปลอมเป็นหญิงเพื่อซ่อนตัวนานหลายปี


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ต.ค. 10, 10:37
แว่บเข้ามา ครับ

            เรื่องจีนที่อาจารย์เล่า "คล้ายๆ" กับบัณเฑาะก์ชนิดหนึ่ง - ปักขบัณเฑาะก์ คือ

            "ส่วนบางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์  ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก  แต่
ข้างขึ้น   ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป   นี้ชี่อว่า   ปักขบัณเฑาะก์"

         ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ... สำหรับปักขบัณเฑาะก์  ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์
ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 12 ต.ค. 10, 10:38
อ้างถึง
ร่างกายกลับกลายได้สองเพศ ข้างขึ้นเป็นชาย ข้างแรมเป็นหญิง

คงเป็นอย่างเดียวกับ อรรถกถาพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ข้อ ๑๒๕

อ้างถึง
ส่วนบางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์ ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก แต่ข้างขึ้น ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป นี้ชื่อว่า ปักขบัณเฑาะก์
เอามาจากhttp://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16073

ไม่น่าเชื่อเลยว่า มีปรากฏในพงศาวดารจีนด้วย แปลว่า มีเสือไบ ตามพระจันทร์ได้ด้วยหรือคะ เหลือเชื่อยิ่งกว่า มุนษย์หมาป่าเสียอีก





กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ต.ค. 10, 10:41
    
อ้างถึง
ทางอภิธรรมท่านว่า บัณเฑาะก์ บรรลุไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกระดับของการบรรลุนะคะ
โสดาบัน สกทาคา น่าจะพัฒนาตนไปถึงได้

           เรื่องการบรรลุธรรมนั้น ที่แน่ๆ ไม่ถึงมรรคผล ดังเช่นข้อความจาก      

           พระไตรปิฎกอรรถกถาแปลไทยชุด 91 เล่ม  พิมพ์โดยมหามกุฏราชวิทยาลัยที่
เล่ม 2 หน้า 662 (จตุตถปาราชิกวรรณนา) อธิบายเกี่ยวกับบุคคลที่จัดเป็น "อภัพบุคคล"  
ไม่สามารถบรรลุมรรคผล นิพพานในชาตินั้นๆ ได้

บรรดาอภัพบุคคล  ๑๑  จำพวกเหล่านั้น  บัณเฑาะก์ (กะเทย)  สัตว์ดิรัจฉานและอุภโตพยัญชนก (คนมีสองเพศ)
๓ จำพวก  เป็นพวกอเหตุกปฏิสนธิ   จัดเป็นพวกวัตถุวิบัติ.  

             พวกวัตถุวิบัติเหล่านั้น  ไม่ถูกห้ามสวรรค์  แต่ถูกห้ามมรรค.

จริงอยู่  บัณเฑาะก์เป็นต้นเหล่านั้น  จัดเป็นอภัพบุคคลสำหรับการได้มรรคเพราะเป็นพวกวัตถุวิบัติ    
ถึงการบรรพชาสำหรับพวกเขาก็ทรงห้ามไว้.  

เพราะฉะนั้น บัณเฑาะก์เป็นต้นแม้เหล่านั้น จึงจัดเป็นผู้พ่ายแพ้ (เป็นปาราชิก).

และ
            ระดับอริยบุคคลขั้นต้นก็ไม่ถึงได้ เพราะในระดับพระโสดาบันนั้น ท่านจะมี -

               อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป
ยังไม่ถึงฌาน ๔

           ในขณะที่ บัณเฑาะก์ เป็นอภัพบุคคล ไม่สามารถเจริญสมาธิได้ถึงขั้นนั้น
(ไม่แน่ใจ - คงจะได้แค่ ขณิกสมาธิ)

         การบรรลุธรรม ของบัณเฑาะก์ คงเป็นได้ในระดับการศึกษา ทำความเข้าใจ ปฏิบัติ
เป็นอุปนิสัย ปัจจัยสำหรับในภาคหน้า

ไม่มีเวลาพอจะค้นคว้ารายละเอียด ครับ      


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 12 ต.ค. 10, 10:57
ขอบคุณ ๆ Sila มากค่ะ ดิฉันเคารพหลักฐานค่ะ

แต่อดคิดต่างไม่ได้เท่านั้นค่ะ เสียดายที่ไม่ได้เป็น บัณเฑาะก์ ด้วยตนเอง เลยทำ Lab ไม่ได้ค่ะ ;D ;D ;D ;D



กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: Bhanumet ที่ 12 ต.ค. 10, 11:48
ขอบพระคุณทุกท่านมากครับ

สุดท้าย

         ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ... สำหรับปักขบัณเฑาะก์  ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์
ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น

จากที่อ้างถึง  แสดงว่าเสือไบบวชได้หรือเปล่าครับ  :-[


กระทู้: อยากทราบเรื่องคำเรียกเพศที่สามในไทยในสมัยก่อน
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ต.ค. 10, 20:37
แว่บเข้ามา ครับ

            เรื่องจีนที่อาจารย์เล่า "คล้ายๆ" กับบัณเฑาะก์ชนิดหนึ่ง - ปักขบัณเฑาะก์ คือ

            "ส่วนบางคนข้างแรมเป็นบัณเฑาะก์  ด้วยอานุภาพแห่งอกุศลวิบาก  แต่
ข้างขึ้น   ความเร่าร้อนของเขาย่อมสงบไป   นี้ชี่อว่า   ปักขบัณเฑาะก์"

         ในอรรถกถาชื่อกุรุนทีแก้ว่า ... สำหรับปักขบัณเฑาะก์  ห้ามบรรพชาแก่เขาเฉพาะปักข์
ที่เป็นบัณเฑาะก์เท่านั้น

ตอบคุณภาณุเมศร์
ถือตามอรรถกถานี้   ก็บวชได้(เป็นสามเณร ? เพราะใช้ว่าบรรพชา)  เฉพาะวันข้างขึ้นเท่านั้น   
เอ แล้วแกจะบวชได้กี่วันล่ะเนี่ย  เพราะพอถึงข้างแรมก็กลับกลายเป็นหญิงไปเสียแล้ว   
สงสัยจะต้องสึกใน ๑๕ วัน มั้ง