น้ำท่วมทุ่งเรื่องนาโต้ไปแล้วย้ายมาฝั่งวอซอร์บ้าง (ให้เวลาดื่มน้ำกินอาหารว่าง 10 นาทีเพราะมันยาว) ทางนี้ไม่มีปัญหาเรื่องมาตรฐานเพราะ
'โซเวียตทำทุกชาติใช้' อาวุธหลายชนิดอาจมีผลิตในโปแลนด์ ยูโกสลาเวีย ฮังการี หรือเยอรมันตะวันออก แต่เป็นการนำพิมพ์เขียวโซเวียตไปทำโดยอาจปรับปรุงเล็กน้อย และเนื่องมาจากระบอบการปกครองที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ทำให้นโยบายต่างๆ เกี่ยวกับการทหารเดินหน้าไปอย่างสะดวกโยธิน นำมาบวกกับแรงงานซึ่งแทบไม่มีต้นทุนเหมือนตะวันตก ทำให้การพัฒนาและสร้างอาวุธเดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ภาพของวอซอร์ระหว่างสงครามเย็นที่ทุกคนเห็นก็คือ กองทัพรถถังมองเห็นสุดลูกหูลูกตาจะไหลออกมาเป็นด่านแรก ตามติดมาด้วยกองทัพทหารจำนวนมากมายละลานตา มีจรวดต่อสู้อากาศยานนับไม่ถ้วนคอยป้องกันภัยจากฟากฟ้า มีปืนใหญ่ยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามชนิดวินาทีต่อวินาที มียานหุ้มเกาะลำเลียงทหารต่อแถวยาวเป็นกิโลเมตร อาวุธที่กล่าวมานาโต้มีน้อยกว่าหลายเท่าตัว ถ้าต้องรบกันจริงๆ ผมต่อวอซอร์ลูกควบลูกครึ่งรับไม่อั้น
การรบในสงความเย็นรถถังหลักคืออาวุธสำคัญที่สุด ปี 1982 นาโต้มีรถถัง 13,000 คัน (ขนาดอเมริกาขนทหารและอาวุธตัวเองไปกองแหมะในเยอรมันตะวันตกเต็มที่แล้ว) ส่วนวอซอร์มีมากถึง 42,500 คัน ปืนใหญ่และปืนครกก็มีมากกว่าคือ 10,750 กระบอกกับ 31,500 กระบอก อาวุธ 2 ชนิดนี้คือตัวตัดสินแพ้ชนะการรบทางบก แต่การรบทางอากาศมีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ปี 1982 นาโต้มีเครื่องบินรบ 2,975 ลำในยุโรป ส่วนวอซอร์มี 7,240 ลำ เครื่องบินอเมริกาอาจทันสมัยกว่าก็จริง แต่ยิงจนเหนื่อยก็ยังจัดการอีกฝ่ายไม่หมดอยู่ดี ครั้นจะใช้จรวดต่อสู้อากาศยานเข้าจัดการ ปรากฎว่านาโต้มีไม่ถึง 5,000 นัด แต่วอซอร์มี 12,000-14,000 นัด คุณพระคุณเจ้า!
การรบทางบกกับทางอากาศนาโต้เป็นรอง แต่พอย้ายลงทะเลคราวนี้เป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งปริมาณและคุณภาพ เพราะตัวเองมีเรือบรรทุกเครื่องบินถึง 7-9 ลำส่วนอีกฝ่ายมีแค่เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ ความน่ากลัวของวอซอร์ (จริงๆ โซเวียต) คือมีเรือดำน้ำมากกว่าอีกฝ่าย นาโต้ต้องเสียเงินก้อนโตพัฒนาระบบอาวุธปราบเรือดำน้ำรุ่นใหม่ ในการรบจริงนาโต้จะครองน่านฟ้ากับพื้นที่ทะเลส่วนใหญ่ ส่งเครื่องบินเข้าไปถล่มบนแผ่นดินแม่ได้สบายๆ ก็จริง แต่ต้องคอยเสียวสันหลังจากเรือดำน้ำเหมือนกับที่เยอรมันทำในสงครามโลกทั้งสองครั้ง
เห็นความน่ากลัวของวอซอร์และโซเวียตกันไปแล้ว มาเห็นความล่มสลายของพวกเขากันต่อเลย ผมให้ประเด็นสำคัญๆ ไว้ทั้งหมด 3 เรื่องประกอบไปด้วย
1.ระบอบการปกครอง
2.การปรับตัว
3.เทคโนโลยี เนื่องมาจากระบอบการปกครองที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ทำให้นโยบายต่างๆ เกี่ยวกับการทหารเดินหน้าไปอย่างสะดวกโยธิน และเนื่องมาจากระบอบการปกครองที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ทำให้นโยบายต่างๆ ไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบว่าผิดพลาดตรงไหน เมื่อผู้นำบอกให้ส่ายหางสิลูกทุกคนทำตามทันที ขณะที่ฝั่งนาโต้กว่าจะทำอะไรสักอย่างต้องตบตีกันข้ามปีบางเรื่องก็ข้าม 10 ปี เพราะฉะนั้นเมื่อผู้นำเกิดเดินหลงทางเกมจบตรงนั้นแหละ คอมมิวนิสต์ไม่มีแผนสอง ไม่มีแผนสำรอง รวมทั้งทุกคนต้องไม่มีข้อสงสัย ใครไม่ทำตามถือว่าผิดกฎพรรค
ใครสนใจเรื่องนี้ต้องศึกษาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลังสงครามเวียดนามยุติคนทั่วโลกคิดว่าไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์ชาติถัดไป ตามทฤษฎีโดมิโนที่มีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อ แต่คดีพลิกกลายเป็นว่า 8 ปีต่อมาคอมมิวนิสต์ในไทยล่มสลาย หนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นก็คือความต้องการประชาธิปไตยในระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งพอสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นจริงสมาชิกจำนวนมากหันหลังให้กับพรรค และเนื่องมาจากไม่มีประชาธิปไตยในระบอบคอมมิวนิสต์ ทำให้ทฤษฎีโดมิโนเกิดขึ้นจริงอีกครั้งในปี 1991 ทว่ากลายเป็นการล่มสลายระบอบคอมมิวนิสต์ เรื่องนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากต้องโทษตัวเอง
และเนื่องมาจากไม่แผนสองจึงส่งผลมายังเรื่องที่สอง ระบอบคอมมิวนิสต์ต้องพ่ายแพ้ให้กับสงครามการค้า เพราะโลกหมุนเร็วมากทุกสิ่งทุกอย่างเดินไปข้างหน้าไม่มีหยุด ทุกประเทศต้องแข่งขันกันเอง ทุกประเทศต้องแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องดิ้นรนตะเกียกตะกายไขว่คว้าให้สุดกำลัง แต่ประเทศในกลุ่มวอซอร์คุ้นเคยกับการได้รับความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ คุ้นเคยกับการได้รับอาวุธทันสมัยจากโซเวียต ได้รับงบประมาณทางทหารจากโซเวียต ได้รับเจ้าหน้าที่มาช่วยฝึกกำลังพลจากโซเวียต ช่วงแรกๆ มันก็ยังดีอยู่เพราะโซเวียตกุมความได้เปรียบประเทศต่างๆ ครั้นพอเวลาผ่านไปประเทศอื่นฟื้นตัวจากสงครามโลกได้แล้ว แต่โซเวียตยังติดอยู่ในกับดักตัวเองหนีไปทางไหนไม่พ้น เมื่อปรับตัวไม่ได้เงินในกระเป๋าย่อมร่อยหลอลงจากนโยบายแจกฟรี เกิดปัญหาขึ้นมาก็ไม่มีกุนซือผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแก้ไข ฉะนั้นแล้วถึงนาโต้ไม่ต้องทำอะไรเลยวอซอร์ก็ล่มสลายอยู่ดี
การเผชิญหน้ากันระหว่างรถถัง 2 ฝ่ายที่จุดตรวจชาลีในกรุงเบอร์ลินในปี 1961 ไม่ว่าจะมีการปะทะกันที่ซีกใดซีกหนึ่งของโลกนี้ก็ตาม กรุงเบอร์ลินจะเกิดสงครามรถถังกลางเมืองตามติดมาในระยะเวลาอันสั้น ภาพยนตร์เรื่อง bridge of spies จำลองสถานที่จากช่วงเวลานี้เช่นกัน คืนพรุ่งนี้ขอกลับไปดูอีกรอบก่อนครับเพื่อความมั่นใจ