๑.
โขนมาจากไหน? ไทยกับกัมพูชาควรร่วมกันค้นคว้าวิจัยให้ลุ่มลึกลงรายละเอียดรอบด้าน ซึ่งต้องใช้เวลานาน
หลายปีหรืออาจตลอดไปก็ได้ เพราะไม่มีข้อยุติตายตัว
โดยเลิกแสดงตนเป็นเจ้าของ เพราะเป็นไปไม่ได้ รังแต่จะก่อให้เกิดประวัติศาสตร์บาดหมางที่เพิ่งสร้างใหม่
เรื่องนาฏศิลป์และดนตรี ถ้าเทียบกันระหว่างลาวและเขมร ของเขมรจะมีส่วนคล้ายไทยมากกว่า จนหลายคนเข้าใจว่าไทยรับเอามาจากเขมร และคนเขมรเองก็อาจเช่นนั้น
ความจริงแล้ว วัฒนธรรมมีการถ่ายเทกันไปมา อินเดียถ่ายทอดเรื่องนาฏศิลป์ให้เขมร ต่อมาสมัยอยุธยาตอนต้นก็รับอิทธิพลมาจากเขมรอีกทอดหนึ่ง จนเมื่อตอนต้นของสมัยรัตนโกสินทร์ไทยก็ถ่ายทอดวิชากลับให้เขมร
๒.
จากคำสัมภาษณ์ คุณสุจิตต์ กล่าวถึง หม่อมเจ้าฉวีวาด ที่โครงกระดูกในตู้ ของคุณชายคึกฤทธิ์ เล่าว่า
โรงละครเขมร ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนเขมร เพราะเกี่ยวเนื่องกับหม่อมเจ้าหญิงฉวีวาด หนีไปทั้ง
โรงละคร นั่นเอง
คุณสุจิตต์บอกว่า ท่านป้าของคุณชายไปฝึกสอนการละครเล่นเรื่อง อิเหนา
เรื่องนี้หม่อมเจ้าฉวีวาดคงไม่เกี่ยวกระมัง
ประวัติละครเขมรนั้น เริ่มต้นขึ้นใหม่สมัยสยามยกทัพไปช่วยเขมรรบญวนครั้งรัชกาลที่ ๓ เจ้าพระยาบดินทรเดชาก็ได้นำละครติดกองทัพไปด้วย และเมื่อว่างศึกสงครามก็ช่วยสอนละครให้กับนางในราชสำนักเขมร
ต่อมาสมัยสมเด็จพระนโรดมพรหมหริรักษ์ ก็ให้หาครูละครมาจากกรุงเทพมาเพิ่ม ได้ครูละครวังหน้าของท่านเจ้าคุณจอมมารดาเอม ละครพระองค์เจ้าดวงประภา ละครพระองค์เจ้าสิงหนาท และละคอนโรงอื่นๆ ไปเป็นครูอีกหลายคน ตัวอิเหนาของท่านเจ้าคุณจอมมารดาเอม ได้เป็นเจ้าจอมในสมเด็จพระนโรดม เปลี่ยนชื่อเป็นหม่อมเหลียง
แม้แต่ครูละครเดี่ยวๆ ประวัติทางเขมรยังบันทึกชื่อไว้ ถ้าละครเจ้าจอมอำภาทั้งโรงมีจริง ในรัชกาลที่๕ ซึ่งเป็นระยะเวลาหลังรัชกาลที่ ๓ หลายสิบปี ย่อมมีตัวตนหลักฐานยืนยันได้มากกว่า แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครบันทึกถึงละครที่ม.จ.ฉวีวาดพาไปแต่อย่างใด ดังนั้น ที่ว่าละครเขมรเดี๋ยวนี้หัดจากละครท่านป้าฉวีวาดทั้งสิ้น จึงเป็นการกล่าวตู่อย่างที่สุด