เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:17



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:17
        กระทู้รวมเพลงเก่าที่มีเนื้อหาเล่าเรื่องบุคคลที่มีตัวตนจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ในอดีตกาล

เริ่มเพลงแรกด้วยเพลงที่ชาวเรือนไทยคุ้นเคย ครับ  

              Skye Boat Song

           เพลงเล่าขานหนึ่งในตำนานของสก็อตแลนด์ จากทำนองเพลงพื้นบ้านของชาวเรือ
ที่ Anne Campbelle MacLeod ได้ฟังชาวเรือร้องตอนที่เธอเดินทางไปเกาะสกายแล้ว
จดบันทึกไว้ นำมาใส่คำร้องโดย Sir Harold Boulton, 2nd Baronet ตีพิมพ์เผยแพร่
ในปี 1884

คลิปนี้จากเสียงร้องของ John McDermott

         John McDermott (Canadian) - The Skye Boat Song (http://www.youtube.com/watch?v=Ufz2yaFMEtg#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:24
เนื้อเพลงจากวิกกี้(คำร้องมากกว่าในคลิปข้างต้น)

         Speed bonnie boat like a bird on the wing

"Onward"  the sailors cry

Carry the lad that's born to be king

Over the sea to Skye

          Loud the wind howls, loud the waves roar,

Thunderclaps rend the air

Baffled our foes, stand by the shore

Follow they will not dare

          Many's the lad fought on that day

Well the claymore did wield

When the night came, silently lain

Dead on Culloden field

           Though the waves heave, soft will ye sleep

Ocean's a royal bed

Rocked in the deep, Flora will keep

Watch by your weary head

           Burned are our homes, exile and death

Scatter the loyal men

Yet e'er the sword cool in the sheath

Charlie will come again


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:25
          เนื้อเพลงเล่าเรื่องการหลบหนีลงเรือไปเกาะสกาย ของ Bonnie Prince Charlie
(Charles Edward Stuart 1720 – 1788)

รูปเจ้าชายที่หายไป ในที่สุดเพิ่งถูกค้นพบ(อ่านเรื่องราวในคห. ด้านล่าง ครับ)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:27
         เจ้าชายองค์ใหญ่ในพระเจ้าเจมส์ที่ 3 พระราชาไร้บัลลังก์ ที่เสด็จกลับมาอังกฤษเพื่อทวงบัลลังก์
คืนสู่ราชวงศ์ของพระองค์ในปี 1745 แต่ต้องแพ้พ่ายย่อยยับในสงคราม ณ สมรภูมินองเลือดที่ คัลโลเดน
(Culloden) ใกล้ Inverness ในปี 1746

ภาพ The Battle of Culloden by Mark Churms


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 14, 10:28
ทิ้งดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์มาเกาะขอบจอเลยค่ะ



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:28
ขอบคุณครับ

           เนื้อเพลงเล่าเหตุการณ์ตอนที่เจ้าชายรีบรุดลงเรือหนีการตามล่าไปเกาะสกาย หลังจากพ่าย
ศึกคัลโลเดนที่นักต่อสู้ชาวสก็อตถูกสังหารล้มตายกลาดเกลื่อนเลือดทาแผ่นดิน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:30
          Flora ในเนื้อเพลง คือ สาวน้อยฟลอร่า แม็คโดนัลด์ ลูกสาวบุญธรรมของผู้บังคับการทหาร
สังกัดกองทัพอังกฤษ ผู้ฉลาดปราดเปรียวและเก่งกล้าที่ได้ช่วยพาเจ้าชายข้ามไปเกาะสกาย

Flora McDonald by Richard Wilson, 1747
National Portrait Gallery, London


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:33
         เชิญอ่านเรื่องราวแบบเต็มๆ และชมสถานที่ได้ที่ กระทู้ - ศึกสายเลือดในราชวงศ์สจ๊วตของอังกฤษ
โดยอ.เทาชมพู

               http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1727.45 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1727.45)

          เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ BBC รายงานข่าว  Lost Bonnie Prince Charlie portrait
found in Scotland

            รูปวาดของเจ้าชายโดยศิลปินสก็อต Allan Ramsay วาดที่ Edinburgh ในปี 1745
(ปีที่เจ้าชายเสด็จอังกฤษเพื่อเริ่มสงครามทวงบัลลังก์คืน) เป็นรูปวาดจากองค์จริงรูปเดียวของพระองค์
ที่มีการวาดขึ้นในอังกฤษ
              รูปนี้ได้ถูกเก็บไว้ไม่มีใครเห็นเป็นเวลานานกว่า 250 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมบัติสะสมของ Earls
of Wemyss ที่ Gosford House นอกกรุง Edinburgh

             http://www.bbc.com/news/uk-scotland-edinburgh-east-fife-26287887 (http://www.bbc.com/news/uk-scotland-edinburgh-east-fife-26287887)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 10:36
          การสืบค้นพบรูปเจ้าชายครั้งนี้ ถือเป็นการชดใช้ของ Dr Bendor Grosvenor
(director of London art gallery Philip Mould Ltd) ที่ได้เคยช็อคชาวอังกฤษใน
ปี 2008 เมื่อเขาเป็นผู้ค้นพบว่ารูปเจ้าชายบอนนี่ที่ Scottish National Portrait Gallery
ซึ่งวาดใน Paris เมื่อปี 1747 โดยศิลปินฝรั่งเศศ Maurice Quentin de La Tour นั้นหาใช่
รูปเจ้าชายบอนนี่ไม่ แต่แท้ที่จริงแล้วคือรูปของเจ้าชาย Henry พระอนุชา

             http://www.thehistoryblog.com/archives/29326 (http://www.thehistoryblog.com/archives/29326)

รูปนี้ที่ระบุพระนามผิดองค์


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 14, 13:17
เมื่อฟลอร่า แม็คโดนัลด์พาเจ้าชายหนีภัย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 14, 13:18
เมื่อคุณ SILA เล่าจบ ดิฉันจะมีเบื้องหลังเพลง Tom Dooley มาเล่าให้ฟังบ้างค่ะ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 27 พ.ค. 14, 13:53
          จบเรื่องเพลง Skye Boat Song แล้ว ครับ เชิญอาจารย์เล่าเรื่อง Tom Dooley

ปล. อดจิ้น(ตนาการ) ไม่ได้ว่า วันหน้า อาจได้เห็นข่าว 
         
Dr. Prakob ค้นพบบางสิ่งจากสุสานในอังกฤษที่สามารถช็อคชาวประชาทั่วอาณาบริเวณบริเตนใหญ่ได้เช่นกัน  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 14, 14:11
ู^
ดร.ปลากบนี่ใครกันคะ

เดาว่าแกอาจจะค้นเจอตัวข้างล่างนี้ แต่ยังเป็นๆอยู่ก็ได้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 14, 14:23
เอาน้ำจิ้มมาเสิฟก่อนค่ะ

The Kingston Trio - Tom Dooley (lyrics on screen) - Digitally Remastered (http://www.youtube.com/watch?v=jP_vynIOxOU#)

เพลงนี้เป็นเพลงคันทรี ขับร้องโดยวง The Kingston Trio  ขึ้นอันดับหนึ่งของเพลงฮิทในอเมริกาประจำปี 1958  ยอดจำหน่ายถึงหกล้านกว่าแผ่น
เคยได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกเมื่ออยู่ม.ต้น  (ถ้าเป็นสมัยนี้คือประถมปลาย) พอฟังภาษาอังกฤษจากเพลงได้ออกแม้จะไม่หมดทุกคำ  (เพราะร.ร.คอนแวนต์สอนอังกฤษตั้งแต่ประถม 2)     ก็งงงวยว่าเนื้อร้องมันอะไรกันนี่ ทำไมพูดถึงฆ่ากัน แถมแขวนคอซะอีก 
แต่ทำนองเพราะมาก  ฟังได้หลายหนไม่เบื่อ

จนกระทั่งโต ไปหาหนังสือมาอ่านได้ ถึงรู้ที่ไปที่มาของเพลง    ยิ่งมีอินเทอร์เน็ตยิ่งสบายมาก  หาได้ละเอียดกว่าหนังสือเสียอีก
พรุ่งนี้มาต่อค่ะ 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 28 พ.ค. 14, 12:29
ู^
ดร.ปลากบนี่ใครกันคะ

เดาว่าแกอาจจะค้นเจอตัวข้างล่างนี้ แต่ยังเป็นๆอยู่ก็ได้


นั่นสิครับ ใครกันหว่า



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 14, 13:07
    เปิดฉากถึงเพลงข้างบนนี้เสียทีค่ะ
    เรื่องราวของ Tom Dooley เป็นหนึ่งในตำนานจากเรื่องจริงของรัฐคาโรไลน่าเหนือ   ถ้าใครเปิดแผนที่สหรัฐอเมริกาดูจะเห็นว่าเป็นรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก     
    ย้อนหลังกลับไปหนึ่งร้อยเกือบจะห้าสิบปีก่อนหน้านี้     ในเมืองเล็กๆชื่อแฮปปี้แวลลีย์   บรรยากาศก็คงเหมือนรูปที่นำมาลงรูปล่างนี่ละค่ะ
    เมืองเล็กๆที่หน้าตาเป็นเมืองชนบทมาก เมืองนี้เป็นถิ่นที่เกิดของชายหนุ่มคนหนึ่ง มีชื่อว่า Tom Dula    นามสกุลของเขาเขียนว่าดูล่า แต่ a ตรงท้ายคำออกเสียงเหมือนสะกดด้วย y  จึงออกมาเป็นนายทอม ดูลี่


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 14, 13:40
       ในตอนที่เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐทางเหนือและใต้ของสหรัฐอเมริกา  ทอม ดูลี่ก็ถูกเกณฑ์ไปทัพกะเขาด้วย     นายคนนี้ท่าทางจะดวงแข็งจึงรบในสงครามมาได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ตายหรือพิการ     จนกระทั่งสงครามสงบด้วยความพ่ายแพ้ของรัฐทางใต้  เขาก็เดินทางกลับบ้านเดิม   เพื่อจะตั้งหลักปักฐานต่อไป

       ทอม ดูลี่เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ อารมณ์ดี รักเสียงเพลง   แม้แต่ตอนอยู่ในค่ายทหาร เขาก็เอาแบนโจติดตัวไปด้วยเพื่อจะเล่นคลอเวลาร้องเพลงให้เพื่อนฝูงครึกครื้น     ผู้ชายแบบนี้ต่อให้ไม่หล่อก็มีเสน่ห์   แต่ดูจากในรูปถ่าย ทอมก็หน้าตาไม่เลว  จึงไม่แปลกอะไรที่สมัยเขายังเป็นหนุ่มชาวบ้านก่อนเกณฑ์ทหาร  สาวๆในหมู่บ้านพากันรุมล้อมกันเกรียวกราว
      ในจำนวนผีเสื้อสาวที่บินโฉบอยู่รอบดอกไม้หนุ่มรายนี้ มี 2 รายที่เข้ารอบสุดท้าย คือสาวชื่อลอร่า ฟอสเตอร์ และลูกพี่ลูกน้องของเธอชื่อแอน    จะว่าไปทั้งลอร่าและแอนก็เป็นคนสวยรวยเสน่ห์ มีหนุ่มๆมาติดกันหลายรายด้วยกัน   แต่นายทอมของเราน่าจะคารมเป็นต่อ และรูปหล่อไม่เป็นรองใคร จึงจีบติดสาวทั้งคู่ 
      เด็ดกว่านี้คือทอมสามารถสับหลีกรถไฟไม่ให้ชนกันได้สำเร็จเสียด้วย    จนกระทั่งเขาต้องจากไปสงคราม


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 พ.ค. 14, 14:11
            ระหว่างรอ เชิญฟังเพลงนี้ที่ถูกนำทำนองมาใส่คำร้องเป็นเพลงไทยได้ชื่อว่า

                หนูกับราชสีห์   จากเสียงร้องนำโดย คุณ มีศักดิ์ นาครัตน์

                 หนูกับราชสีห์.wmv (http://www.youtube.com/watch?v=TT4eB3x8NaY#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 14, 21:54
ไม่ได้ฟังเพลงนี้มานานจนลืมไปแล้วว่ามีอยู่กะเขาด้วย  ขอบคุณคุณ SILA มากค่ะที่นำมาเปิดให้ฟัง   

เรื่องราวของทอม ดูลี่ มีหลายสำนวน  ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนใส่ไข่   เพราะรายละเอียดไม่เหมือนกัน
แต่ก็พอจะสรุปได้ตามนี้ค่ะ

แอน  ฟอสเตอร์ไปแต่งงานกับชายอื่น ตั้งแต่ก่อนทอมจากไปทัพ   ส่วนลอร่ายังว่างอยู่  เมื่อทอมกลับมา เขาก็เริ่มสายสัมพันธ์กับสองสาวอีก   ความจริงลอร่าเองก็มีชายอื่นมาติดพันอย่างจริงจัง  แต่เธอก็ยังตัดทอมไม่ขาด
วันหนึ่งลอร่าก็เก็บเสื้อผ้า เอาม้าของพ่อออกจากคอกแล้วควบหายไปจากบ้าน     เธอหนีตามทอมไปอยู่ด้วยกัน

ลอร่าไม่มีโอกาสกลับมาให้พ่อแม่พี่น้องเห็นหน้าอีกเลย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 10:42
  เมื่อลอร่าหายตัวไป พ่อเธอก็สงสัยว่าลูกสาวหนีตามผู้ชายไปเสียแล้ว  คนนั้นน่าจะเป็นทอม ดูลี่ ซึ่งตอนนั้นมีข่าวว่าเดินทางออกจากคาโรไลน่าเหนือไปทำงานที่รัฐเทนเนสซี่    หลังจากชาวบ้านค้นหากันพักใหญ่ก็มีผู้พบศพของลอร่าถูกฝังอยู่ในหลุมตื้นๆไม่ไกลจากเมือง  ตายเพราะถูกแทงที่ทรวงอกเป็นแผลฉกรรจ์
   ในยุคนั้น ฆาตกรรมในเมืองเล็กๆเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะกับผู้หญิง   จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตที่ชาวบ้านให้ความสนใจกันมาก จนเลยไปถึงหนังสือพิมพ์ของรัฐด้วย    นายอำเภอติดตามตัวผู้ต้องสงสัยคือทอม ดูลี่   นายจ้างของเขาชื่อพันเอกเกรย์สันรู้เรื่องเข้าก็พาตัวชายหนุ่มมามอบให้
   ทอมถูกสอบสวน และขึ้นศาลในเมือง  ลูกขุนลงความเห็นว่าเขาผิด   จากพยานหลักฐานแวดล้อม แม้ไม่มีใครเป็นประจักษ์พยานถึงการฆาตกรรม  ทอม ดูลี่จึงถูกประหารด้วยวิธีแขวนคอให้ตายตกไปตามกัน

   


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 10:53
  ที่จริงมันก็มีเงื่อนงำบางอย่างในฆาตกรรมรายนี้ ที่ยังทิ้งร่องรอยให้น่าสงสัยว่าฆาตกรตัวจริงอาจไม่ใช่ทอม ดูลี่ แต่เป็นแอน ฟอสเตอร์ ลงมือแทงลอร่าเองด้วยความหึงหวงในตัวทอม    เธอยังตัดเขาไม่ขาดแม้ว่าแต่งงานไปกับชายอื่นแล้วก็ตาม     ส่วนทอมเองก็ยังรักแอนอยู่ จึงปกป้องด้วยการไม่ยอมบอกความจริง   มิฉะนั้นคนที่ได้รับโทษก็คือผู้หญิงคนนี้
   มีข่าวว่า  ก่อนถูกแขวนคอ  ทอมประกาศกับบรรดาเจ้าหน้าที่ที่มาทำหน้าที่ประหารชีวิตเขาว่า
   " ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย  ผมขอยืนยันว่าผมไม่เคยแตะต้องผู้หญิงคนนั้นแม้แต่เส้นผม"

   และมีข่าวลือต่อมาหลังจากนั้นว่า  ต่อมาแอนกลายเป็นคนวิกลจริต  เธอสารภาพความจริงก่อนเสียชีวิตว่า เธอเป็นคนฆ่าลอร่า ฟอสเตอร์เอง

   แต่เรื่องจริงเป็นยังไงไม่มีใครรู้ อย่างน้อยคนเล่าเรื่องนี้ก็ไม่รู้     รู้แต่ว่าฆาตกรรมเรื่องนี้ถูกนำไปเล่าใหม่ เป็นเนื้อร้องในเพลงที่แต่งขึ้นเป็นโฟล์คซองในภายหลัง    มีการปรุงแต่งใหม่ในเนื้อร้องให้เกรย์สันนายของทอม กลายเป็นคู่แข่งของเขา  เนื้อหาก็กลายเป็นรักสามเส้าระหว่างหนึ่งหญิงสองชาย    ทอม ดูลี่ในเพลง ซึ่งสะกดชื่อใหม่ว่า Tom Dooley  เป็นฆาตกรตัวจริง
 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 10:55
     เพลงนี้กลายเป็นเพลงสุดฮิทในปี 1958 เมื่อ Kingston Trio นำมาร้องใหม่   ถึงขั้นติดอันดับ 1 ของบิลบอร์ด   ต่อมาได้รับคัดเลือกเป็น "หนึ่งในเพลงแห่งศตวรรษของอเมริกา โดย Recording Industry Association of America (RIAA), the National Endowment for the Arts, และ Scholastic Inc.

     ข้างล่างนี้คือศิลาจารึกบนหลุมศพของทอมและลอร่า   ใครไปถึงรัฐคาโรไลน่าเหนือ อยากเห็นก็ไปเสาะหาเอาเองเถอะค่ะ
     บางทีทอมอาจจะมาเข้าฝันเล่าความจริงให้ฟังก็ได้ ว่าใครฆ่าลอร่ากันแน่  รู้แล้วกลับมาเล่าเผื่อกันบ้างก็แล้วกัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 10:56
ส่งไม้คืนให้คุณศิลาค่ะ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 14, 15:44
เพลงเก่านำมาเล่าใหม่สดๆ ร้อนๆ ครับ

             เพื่อให้เข้ากับเพลงที่อาจารย์เพิ่งเล่าไป จึงขอลัดคิวนำเสนอเพลงนี้ก่อน ครับ

                          Miss Otis Regrets

          ฟังเพลง murder ballad เล่าเรื่องชายสังหารหญิงแล้ว เชิญฟังเรื่องนารีพิฆาตบ้าง
จะได้สมดังข้อความว่า  อันความจริงหญิงก็ม้วยลงด้วยชาย ชายก็ตายลงด้วยหญิงจริงดังนี้
(พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีตามนางละเวงไปอยู่ในเมืองลังกา)

          เพลงนี้เป็นผลงานของนักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่แห่งอเมริกา Cole Porter ในสไตล์
blues นำสู่สาธารชนครั้งแรกในละครเวที ที่ลอนดอน เมื่อปี 1934


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 14, 15:48
เชิญรับฟังเพลงจากเสียงของนักร้องในตำนาน Ella Fitzgerald และรับชมเนื้อร้อง ครับ

                    ELLA FITZGERALD ~ Miss Otis Regrets ~.wmv (http://www.youtube.com/watch?v=rX-b1Ksetcc#)

       Miss Otis regrets she's unable to lunch today
Madam Miss Otis regrets she's unable to lunch today
She is sorry to be delayed
But last evening down on Lovers Lane she strayed
Madam Miss Otis regrets she's unable to lunch today   


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 14, 15:50
            When she woke up and found that her dream of love was gone
Madam She ran to the man who had led her so far astray
And from under her velvet gown
She drew a gun and shot her lover down
Madam Miss Otis regrets she's unable to lunch today

             When the mob came and got her and dragged her from the jail
Madam They strung her upon the old willow 'cross the way
And the moment before she died
She lifted up her lovely head and cried

"Madam Miss Otis regrets she's unable to lunch today"

Greta Garbo Regrets


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 14, 15:56
        เนื้อเพลงเล่าผ่านคนรับใช้(หญิงหรือชาย แล้วแต่คนร้อง) ของคุณโอทิส สุภาพสตรีมารยาทงาม
(ตราบจนลมหายใจสุดท้าย) ที่เอ่ยขออภัยคุณผู้หญิงแทนคุณโอทิสที่นัดรับประทานมื้อกลางวันด้วยกัน
แล้วไม่สามารถมาตามนัดได้ เพราะเกิดเหตุการณ์แสนเศร้า คุณโอทิสถูกชายหลอกลวงจนฝันสลาย
เธอตัดสินใจลงโทษชายคนนั้นด้วยอาวุธปืนในมือเธอ

          ฟังแล้วทึ่ง ในอัจฉริยภาพของคุณปู่ Cole Porter ที่แต่งเพลงเศร้า เล่าเหตุการณ์รุนแรง
กรณีฆาตกรรมแล้วยังตามด้วยประชาทัณฑ์ ฟังแล้วสลดแต่ก็อดยิ้มเล็กๆ ไม่ได้ กับตลกแสนร้าย
ในความแสนสุภาพของคุณโอทิสและความซื่อของคนรับใช้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 14, 16:05
           เพลงนี้ ไม่ได้แต่งจากเหตุการณ์ฆาตกรรมจริง แต่มีเรื่องเล่าจากเพลงนี้ถึงที่มาของเพลง
ที่แสดงให้เห็นความสามารถอันเอกอุในการประพันธ์เพลงของคุณปู่ว่า
           ระหว่างที่คุณปู่กำลังรับประทานมื้อกลางวันกับเพื่อนๆ คุณปู่ได้คุยอวดว่าสามารถแต่งเพลง
เกี่ยวกับเรื่องอะไรๆ ก็ได้ทั้งนั้น เพื่อนๆ จึงท้าให้คุณปู่แต่งเพลงจากคำพูดที่จะได้ยินต่อไปในภัตตาคาร
นี้ หลังจบคำท้า ปรากฏว่าบริกรเดินมาที่โต๊ะข้างๆ โต๊ะคุณปู่แล้วก็เอ่ยกับผู้ที่นั่งอยู่ว่า

               "Miss Otis regrets she's unable to lunch today".


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 14, 09:20
          เพลงลำดับต่อไป ครับ จากเกาะสกายข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคมาขึ้นฝั่งอเมริกา
ยุคตื่นทองกับเพลง

                          Sutter's Mill

เพลง(ปี 1985) อันโด่งดังสุดๆ ในบ้านเราของ Dan Fogelberg ศิลปินชาวอเมริกันผู้ล่วงลับ
ไปแล้ว จากอัลบั้มชุดนี้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 14, 09:22
เพลงยาวมาก(6 นาทีครึ่ง) 
             Sutter's Mill ~ Dan Fogelberg [ CC ] (http://www.youtube.com/watch?v=oS9EEy4Hxc8#)

       In the Spring of Forty-seven,
So the story, it is told,
Old John Sutter went to the mill site
Found a piece of shining gold.

Well, he took it to the city
Where the word, like wildfire, spread.
And old John Sutter soon came to wish he'd
Left that stone in the river bed.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 14, 09:24
นำเพลงมาเปิดต่อหน้านี้ด้วย
           Sutter's Mill ~ Dan Fogelberg [ CC ] (http://www.youtube.com/watch?v=oS9EEy4Hxc8#)
For they came like herds of locusts
Every woman, child and man
In their lumbering Conestogas
They left their tracks upon the land.

[Chorus]
Some would fail and some would prosper
Some would die and some would kill
Some would thank the Lord for their deliverance
And some would curse John Sutter's Mill.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 14, 09:28
Well, they came from New York City,
And they came from Alabam'
With their dreams of finding fortunes
In this wild unsettled land.

Well, some fell prey to hostile arrows
As they tried to cross the plains.
And some were lost in the Rocky Mountains
With their hands froze to the reins.

(บางส่วนของ)ภาพ Yellowstone โดย Thomas Moran


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 14, 09:34
Well, some pushed on to California
And others stopped to take their rest.
And by the Spring of Eighteen-sixty
They had opened up the west.

And then the railroad came behind them
And the land was plowed and tamed,
When Old John Sutter went to meet his maker,
He'd not one penny to his name.

And some would curse John Sutter's Mill
Some men's thirsts are never filled.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 มิ.ย. 14, 09:36
ฟังเพลินแม้ว่าเพลงจะยาวจัด

           ชื่อเพลง Sutter'a Mill นี้หมายถึง โรงเลื่อยของ John(Johann) Augustus Sutter
(February 15, 1803 – June 18, 1880) นักบุกเบิก"โลกใหม่" ชาวสวิส ที่เป็นจุดกำเนิดของ
ตำนานการตื่นทองแห่งแคลิฟอร์เนีย - California Gold Rush

Sutter's Mill at Coloma, 1850


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 มิ.ย. 14, 09:13
         จากสวิสที่ซึ่งคุณทวดก่อหนี้สินจวนเจียนถูกจับเข้าคุก คุณทวดตัดสินใจทิ้งครอบครัว
(เมีย 1 กับลูก 5) แล้วข้ามแอตแลนติคหนีไปอเมริกาในปี 1834
         ที่โลกใหม่นี้คุณทวดเปลี่ยนชื่อจาก Johann เป็น John จากนั้นคุณทวดก็เดินทางข้าม
ทวีปอเมริกาเหนือมุ่งตะวันตก ตกทวีปไปจนถึงฮาวายแล้วในที่สุดกลับมาหยุดที่แคลิฟอร์เนียใน
ปี 1839 (ตอนนั้นแคลิฟอร์เนียเป็นของเม็กซิโก) คุณทวดตกแต่งตั้งตนขึ้นเป็น 'Captain Sutter
of the Swiss Guard'



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 มิ.ย. 14, 09:15
          คุณทวดเจรจากับผู้ว่าการรัฐจนได้สิทธิครอบครองพื้นที่ริมแม่น้ำ Sacramento ตรงจุด
ที่แม่น้ำนี้บรรจบกับแม่น้ำ American           
          ที่นั่นคุณทวดสร้างนิคมพร้อมป้อมปกป้องและให้ชื่อว่า New Helvetia
(Helvetia - female national personification of Switzerland)
         


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 มิ.ย. 14, 09:18
          ต้อนรับนักเผชิญโชค นักผจญภัย และนักบุกเบิกในดินแดนแคลิฟอร์เนีย ถึงปี 1848
ป้อมของคุณปู่ก็แล้วเสร็จค่อนข้างสมบูรณ์ เป็นชุมชนค้าขายและที่อยู่ของผู้บากบั่นมุ่งตะวันตก

Sutter's Fort


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 มิ.ย. 14, 09:21
           เหตุการณ์มห(า)กรรมตื่นทองเกิดขึ้นในปี 1848(เนื้อเพลงว่า 1847) หลังจากที่
กองทัพอเมริกาได้ยึดครองแคลิฟอร์เนียแล้ว วันหนึ่ง James W. Marshall ผู้รับเหมาที่
คุณทวดว่าจ้างให้สร้างโรงเลื่อยริมแม่น้ำอเมริกันอยู่ห่างจากป้อมราว 50 ไมล์ ได้พบทองใน
บริเวณโรงเลื่อย - Sutter’s (saw)Mill นี้
(แม่น้ำอเมริกัน คือเส้นทางสายธารากำเนิดจากหิมะละลายในเทือกเขา Sierra สู่ Pacific)

ภาพจากหนังสือ  High Lights Of History by James Carroll Mansfield
ตีพิมพ์ระหว่างทศวรรษ 1920s และ 1930s


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 มิ.ย. 14, 09:13
         คุณทวดตั้งใจจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับด้วยเกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่ออาณาจักรเกษตรกรรม
ของคุณทวด แต่เรื่องทองๆ อย่างนี้ปิดยังไงก็ไม่อยู่ พ่อค้าและนักหนังสือพิมพ์นำข่าวลงหนังสือพิมพ์ที่
ซาน ฟรานซิสโก(แต่ก็ยังไม่ค่อยมีใครเชื่อ) จนกระทั่ง Sam Brennan เจ้าของร้านค้าที่ป้อมของ
คุณทวดเป็นผู้จุดไฟไข้ตื่นทองในซาน ฟรานซิสโก ด้วยการชูขวดบรรจุผงทองซึ่งเขาได้มาเป็นค่าแลก
เปลี่ยนกับสินค้าของเขา พร้อมตะโกนว่า  ทอง ทอง ทอง จากแม่น้ำอเมริกัน



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 มิ.ย. 14, 09:15
^ ภาพบรรยายว่าเป็น A MORMON - ชาวคริสต์สายศาสนจักรของพระเยซูแห่งวิสุทธิชนหรือ
สิทธิชนยุคสุดท้าย ก่อตั้งโดยโจเซฟ สมิธ ในปี 1805 ที่เมืองเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา พวกเขา
มีความเชื่อว่า กลุ่มของเขานั้นเป็นชาวคริสต์สายที่ถูกต้องที่สุด คำสอนของพวกเขาจะแตกต่างจาก
คริสต์สายหลัก

ก้อนทองในตำนาน ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Smithsonian


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 มิ.ย. 14, 09:19
         เมื่อเจอทองของจริง เห็นๆ อย่างนี้ คนงานของคุณทวดต่างก็ทิ้งงานในนิคมแล้วมุ่งขึ้นเขา
เพื่อขุดทองก่อนใคร และในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1848 ข่าวการค้นพบทองคำก็ข้ามฟากไปถึงชาย
ฝั่งตะวันออก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 มิ.ย. 14, 09:23
           เวลานั้น เป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกาถดถอยหลัง Mexican-American War มวลมหาชน
คนตื่นทองต่างทิ้งที่ถิ่นที่อยู่ บ้างก็ทิ้งงานที่ทำแล้วหมายมุ่งตะวันตกแบบหลากไหลมาเทมาทั้งทางบก
และทะเล(รวมแล้วเป็นจำนวนถึง 300,000 คน) สู่ขุมทองแคลิฟอร์เนีย



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 มิ.ย. 14, 09:30
          เหมือนที่เนื้อร้องเปรียบดั่งเช่นฝูงตั๊กแตนที่ยกทัพมาบุกรุกอาณาเขตของคุณทวด(และอาณา
บริเวณแถบนั้น) แล้วเข้าขุดคุ้ยทำลายสิ่งที่คุณทวดได้สร้างสมมา คุณทวดพยายามปรับตัวโดยหันไป
ลงทุนเป็นคนขายสินค้าให้กับนักขุดทองแต่ก็โดนหุ้นส่วนโกง
           อ่านประวัติคุณทวดถึงตอนนี้แล้วก็ให้รู้สึกสงสารคุณทวด ที่ต้องประสบพบกับภัยพิบัติจาก
น้ำมือคนโลภทั้งหลาย จนความฝันพังลง มิหนำซ้ำ ในเพลงยังตอกย้ำว่า คนที่โชคดีเจอทองก็ขอบคุณ
พระเจ้า ในขณะที่คนโชคร้ายไม่เจอทองก็สาปแช่งโรงเลื่อยของคุณทวด

        For they came like herds of locusts
        Every woman, child and man
        In their lumbering Conestogas
        
รูป Emigrant Train ที่เป็นขบวนของ Conestogas


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 มิ.ย. 14, 09:39
           They left their tracks upon the land.

       เส้นทาง Wagon Trails ของ Prairie-Schooners(Covered wagons) ผ่านทุ่งหญ้าแพรรี่
ไพศาล ที่ราบร้อนแห้งแล้ง และเทือกเขาชันทอดยาว ที่เงื้อมเงามัจจุราชอาจทาบลงมาโดยไม่ทันรู้ตัว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 09:14
ภาพจากภาพยนตร์ระบบซิเนรามาเรื่อง How the West Was Won(1962)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 09:18
         Well, some fell prey to hostile arrows
         As they tried to cross the plains.

          บางคนมาไม่ถึง เพราะเหนื่อยท้อจนทนไม่ไหวจึงยอมแพ้และหยุดหางานทำในไร่ของ
พวก Mormon ก่อนที่จะถึงจุดหมาย
          ส่วนบางคนก็จบชีวิตกลางทางด้วยลูกธนูของคนพื้นเมือง

ภาพในการ์ตูนนี้ ชนพื้นเมืองใช้ปืนแล้ว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 09:19
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง How the West Was Won


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 09:28
            เหล่า forty-niners (เรียกตามปีค.ศ. 1849) มุ่งตะวันตกหมายขุดทอง หลายราย
ไปไม่ถึงเทือกเขาร็อคกี้ ด้วยล้มตายลงกลางทางจากโรคภัยไข้เจ็บและความอดอยาก ต้องฝาก
ฝังร่างไว้ในหลุมศพข้างทางที่ยังปรากฏกองกระดูกของม้าและวัวให้เห็นเป็นระยะ   


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มิ.ย. 14, 11:04
รัฐที่อยู่แถวเทือกเขาร็อคกี้ อันเป็นเส้นทางผ่านของพวกตื่นทอง มีพื้นที่ที่ทุรกันดารจนทุ่งกุลาร้องไห้ของเราชิดซ้ายไม่เห็นฝุ่น   มันเป็นทุ่งกว้างขวางไปจนสุดขอบฟ้าเรียกว่า prairie    พื้นดินแห้งแล้งมีแต่พืชบางอย่างขึ้นเป็นกระจุก  บางแห่งก็เป็นดินปนหิน    ไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา   ไม่มีพืชผลอะไรที่พอเก็บกินได้เลย  กลางวันร้อนจัด  กลางคืนหนาวเข้ากระดูกดำ   ทุ่งหญ้าแพร์รี่กินเนื้อที่กว้างขวางมาก ขับรถทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำยังไม่พ้นเลยละค่ะ

แถบที่ดิฉันเคยอยู่พอจะเรียกได้ว่าเป็นโอเอซิส  คือเขียวชอุ่มมีต้นไม้มากมาย  แต่พอขับรถขึ้นเหนือไปสักชั่วโมงเข้าเขตไวโอมิง ก็แห้งแล้งผิดหูผิดตาราวกับอยู่คนละโลก      หรือขับรถลงใต้มาสัก 2 ช.ม. ก็เจอเข้ากับทุ่งแพร์รี่ที่ว่านี่ตลอดเส้นทางลงไปจนถึงรัฐนิวเมกซิโก   
ขนาดปัจจุบันมีซุปเปอร์ไฮเวย์ให้ความสะดวกสบายในการขับรถ   มองสองข้างทางยังนึกไม่ออกเลยว่าสมัยบุกเบิก  ผู้คนนั่งเกวียนประทุนมาแถวนี้ เขาเอาชีวิตรอดไปได้ยังไง ในเมื่อม้าเดินทางได้วันละ 20 ไมล์เท่านั้น  กลางคืนก็ต้องนอนท่ามกลางความหนาวเข้ากระดูกดำ  ลมก็พัดแรงบาดเนื้อแสนสาหัส  กลางวันก็ต้องนั่งไปท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงแสบตา   อากาศที่นี่แห้งแล้งมาก ฟ้าไม่มีเมฆ  เข้าหน้าร้อนแดดจ้า  แสบตากว่าประเทศไทยหลายเท่า  ร้อนแห้งๆไม่มีเหงื่อ แสบผิวมาก
 

อ่านที่คุณ SILA เล่าแล้วไม่แปลกใจเลยว่า ผู้คนจากรัฐทางตะวันออกเอาชีวิตมาทับถมทุ่งหญ้าแพร์รี่เสียไม่รู้ว่าเท่าไหร่   ถ้าหากว่าไม่มีการเก็บฝัง  เราคงเห็นกระดูกขาวโพลนสองข้างทางไปตลอดเวลาที่เดินทาง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 14:15
รูปที่สอง ด้านบน - ทุ่งสี่สิบเก้า(forty niners)ร้องไห้

          เวิ้งว้าง แห้งแล้ง ร้อนระอุ จนเกิดพยับแดด ดังเช่นในภาพวาด

Mirage on the Prairie, Alfred Jacob Miller, 1837

   


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 14:18
           นอกจากนี้ สาเหตุการตายของนักเผชิญโชค(ภัย) ที่สำคัญยังเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ
จากเกวียนและสัตว์(ม้ากับวัว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนข้ามแม่น้ำกราดเกรี้ยวไร้ปรานี บางชีวี
ก็จมหายไปกับสายน้ำลึกเชี่ยว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 14:21
          อุบัติเหตุจากปืนลั่น, ภัยธรรมชาติ เช่น ไฟหญ้า ฟ้าผ่า และ สัตว์ร้าย นั่นคือ งูพิษ



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 14:23
          โรคร้ายที่คร่าชีวิต ได้แก่ ท้องร่วง ไข้หวัดใหญ่ ไข้ทรพิษ วัณโรค เป็นต้น
          ร่างผู้ตายถูกนำไปฝังดินข้างทางแล้ววางก้อนหินกลบ(ถ้ามี) หรืออาจฝังลงตรงทาง
ที่ขบวนแล่นผ่านเพื่อให้วัว, ม้า และล้อเกวียนเหยียบย่ำย้ำจนจมแน่นลึกเพื่อกลบกลิ่นไม่ให้
หมาป่ามาคุ้ยร่างไป  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 มิ.ย. 14, 14:31
            And some were lost in the Rocky Mountains
            With their hands froze to the reins. 

            บ้างดั้นด้นจนถึงเทือกเขาร็อคกี้แล้ว แต่อาจหาทางออกไม่ได้ ต้องตายลงเพราะ
ความเย็นยะเยือกของหิมะ

ภาพประกอบมโนจาก How the West Was Won


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 มิ.ย. 14, 10:24
แสตมป์ที่ออกเนื่องในการตื่นทอง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:30
ภาพ Wagon Train โดย Nick Eggenhofer


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:32
            หลังจากเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวันเพราะการเดินทางสมบุกสมบัน เมื่อตะวันลับลง
ได้เวลาหยุดพักแรม

Emigrant Crossing the Prairie โดย Albert Bierstadt


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:34
          ขบวนเกวียนก็แปรรูปขบวนเป็นวงเกวียนล้อมรอบลานกิจกรรม


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:36
           ม้าและวัวถูกต้อนเข้าคอก พวกผู้ชายเข้าเวรยามตามจุดต่างๆ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:39
            หลังอิ่มหนำอาหารแล้วก็ได้เวลาสำราญร้องเล่นเต้นรำทำเพลงเพื่อผ่อนคลาย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:40
           ค่ำแล้ว แม่และลูกเหนื่อยอ่อนต่างนอนหลับใหลอยู่ในเกวียน โดยมีเสียงหมาป่าโหยหอน
มาแต่ไกลกล่อม(!?) ส่วนพ่อผลัดกันเข้าเวรยามระวังภัย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:45
          ก่อนที่จะถึงจุดหมาย แวบดูนอกดูในพาหนะทรหดอดทน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 มิ.ย. 14, 14:48
ที่พามหาชนคนตื่นทองรอนแรมผจญภัยบนเส้นทางยาวไกล


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 มิ.ย. 14, 09:52
         หลังจากฝ่าฟันร่วมเป็นร่วมตายกันมาจนรอดถึงถิ่นแผ่นดินทอง ต่างก็แยกย้ายกระจายกันเข้า
จับจองพื้นที่ที่คิดว่าน่าจะมีทอง(บริเวณภูเขาแถบตะวันออกของซาน ฟรานซิสโก) ถากถางพื้นดิน
โค่นต้นไม้เพื่อนำมาสร้างบ้าน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 มิ.ย. 14, 10:05
           แต่บางส่วนอาจไม่ได้อยู่ต่อยาวเพราะถูกชนพื้นเมืองสังหารเนื่องจากว่ามาบุกรุกถิ่นที่
พวกเขาอยู่มาแต่เก่าก่อน

ภาพ The Outlier โดย Frederic Remington


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 มิ.ย. 14, 10:07
           มวลมหานักแสวงโชคเหล่านี้ได้ร่วมกันสร้างผลกระทบกระแทกอย่างรุนแรงด้วยการก่อมลพิษ
จากการทำเหมืองทอง ที่ได้ทำร้ายธรรมชาติซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองและแหล่งอาหาร


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 มิ.ย. 14, 10:14
นอกจากการใช้กะทะร่อนหาทองแล้ว Lee Marvin และ Clint Eastwood ใช้
(gold washing) cradle หาทอง ในหนังย้อนยุคตื่นทองแคลิฟอร์เนีย เรื่อง
Paint Your Wagon(1969)          


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 มิ.ย. 14, 10:16
           พื้นที่อยู่ของพืชพันธุ์และสัตว์ป่าถูกผู้อพยพผิวขาวเข้าครอบครอง มิหนำซ้ำพวกขุดทอง
ยังพาโรคร้ายมาสู่ ทั้งไข้หวัดใหญ่, หัด และไข้ทรพิษที่ได้คร่าชีวิตชนพื้นเมืองไปมากมาย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 มิ.ย. 14, 10:20
           เท่านั้นไม่พอยังทำการสังหารพวกเขาลงเป็นจำนวนมากจากการต่อสู้เอาคืนหลังถูกทำร้าย
เพราะการรุกล้ำเขตแดนของพวกเขา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 มิ.ย. 14, 09:46
           ก่อนที่จะหมดตัวคุณทวดเรียกลูกชายจากสวิสให้มาช่วย โดยคุณทวดจัดการยกพื้นที่ส่วนที่ยังเหลือ
ให้ลูกชายผู้เล็งเห็นโอกาสเชิงพาณิชย์ของพื้นที่นี้จัดการวางแผนสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่และตั้งชื่อตามแม่น้ำว่า
Sacramento (ที่ต่อมาคือเมืองหลวงของรัฐแคลิฟอร์เนียในปัจจุบัน) ส่วนคุณทวดก็ขายป้อมใช้หนี้ไปใน
ตอนปลายปี 1849

Sacramento 1850


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 มิ.ย. 14, 09:48
           San Francisco กลายเป็นเมืองแห่งมหาประชาชนท่วมท้นทวีจากปี 1847 ที่มีประชากร
เพียง 500 คน เพิ่มเป็น 150,000 คนในปี 1870

San Francisco Harbour 1851


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 มิ.ย. 14, 09:50
           ถึงปี 1850 ปีที่แคลิฟอร์เนียได้เข้าเป็นสมาชิก(สห) รัฐที่ 31 สมาชิกครอบครัวของคุณทวด
ก็เดินทางจากสวิสมาถึงโดยพร้อมหน้า ผู้คนตื่นทองยังคงหลั่งไหลมาที่นี่ต่อเนื่อง ในช่วงเวลา 5 ปี
มีคนโชคดีขุดทองเจอกว่า 250,000 คน ได้ทองไปกว่า 200 ล้านเหรียญ จนถึงปี 1854 ทองเริ่มลด
น้อยลงพวกที่ตามขบวนมาทีหลังจึงมักจบไม่สวยด้วยสภาพหมดแรงกายใจและหมดตัว

หลังยุคทอง เหมืองทองหลายแห่งกลายเป็นเมืองร้าง(ghost town)

Bodie เมืองร้างที่ปัจจุบันเป็น National Historic Landmark ที่เนินเขา Bodie Hills
ทางด้านตะวันออกของเทือกเขา Sierra Nevada พบทองในปี 1859 และถูกเรียกว่าเป็น
ghost town ในปี 1915


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 มิ.ย. 14, 09:52
          นักขุดทองอพยพย้ายไปขุดต่อที่เนวาด้า แต่ถึงเวลานั้นเศรษฐกิจของแคลิฟอร์เนียก็ได้เติบโต
มั่นคงลงตัวแล้วจากภาคเกษตร, อุตสาหกรรมและพาณิชย์

Picture of Montgomery Street in San Francisco after the Gold Rush


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 มิ.ย. 14, 09:56
          การขุดทองถูกเปลี่ยนไปเป็นการทำเหมืองทองโดยบริษัททำเหมือง ที่ได้ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างหนัก แต่ก่อรายได้อย่างสูงแก่นายทุนไม่กี่คน เทือกเขาบริเวณสามเหลี่ยมเม็กซิโก แคลิฟอร์เนีย และ
เซาธ์ ดาโกต้า ถูกสำรวจหาทองและแร่มีค่าอื่นๆ
          ต่อมาได้มีการค้นพบแร่เงินในเนวาด้า การตามล่าหาทองในเทือกเขาร็อคกี้ ที่ในไม่ช้าก็ได้มีการขุด
พบในรัฐต่างๆ เช่น Colorado, Utah, Arizona, New Mexico ฯลฯ ในปี 1864


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มิ.ย. 14, 09:40
              And by the Spring of Eighteen-sixty
              They had opened up the west.

            ประตูสู่ฝั่งตะวันตกถูกเปิดออก จากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตพรวดพราดหลังการค้นพบทองคำ
ทำให้เกิดพัฒนาการกิจการขนส่ง ติดต่อ สื่อสารกับส่วนอื่นของทวีปอเมริกาเหนือสู่ชายฝั่งแปซิฟิค

กิจการอขส.(อัศวขนส่ง)
ภาพจากหนังเรื่อง Stagecoach(1939)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มิ.ย. 14, 09:43
อีกรูปจาก Stagecoach นำแสดงโดย คุณปู่จอห์น เวย์น สมัยหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มิ.ย. 14, 09:46
ไปรษณีย์ด่วนพาชี(Pony Express) รับส่งสารด่วนระหว่างตะวันออก - ตก ดำเนินกิจการอยู่
นาน 18 เดือน(1860 - 1861)
              
ประกาศรับสมัครบรรดาเด็กหนุ่มไม่เกิน 18 ผอมแกร่งกล้าสามารถขี่ม้าเสี่ยงตายรายวันส่งสาร
(ถ้าเป็นกำพร้าด้วยยิ่งดี)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มิ.ย. 14, 09:49
จากมิสซูรี่สู่แคลิฟอร์เนียใช้เวลาไม่เกิน 10 วัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 มิ.ย. 14, 09:50
                And then the railroad came behind them
                And the land was plowed and tamed

          ตามมาด้วยสายโทรเลขข้ามทวีปจากฟากตะวันออกสู่ฟากแปซิฟิคในปี 1861 และ
ขบวนรถไฟแล่นมาตามเส้นทางสาย Trans-Continental ที่สร้างเสร็จในปี 1869
 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 มิ.ย. 14, 09:26
          ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์สารพันที่กำเนิดมาจากโรงเลื่อยของคุณทวด
ตัวคุณทวดเองพยายามเรียกร้องค่าชดเชยความเสียหายจากการตื่นทองต่อทางการจนเป็นผล
สำเร็จได้รับบำนาญเป็นเงินเดือนละ 250 เหรียญเมื่อปี 1864

Sutter's Mill จำลองขึ้นใหม่ที่ Marshall Gold Discovery Sate Historic Park


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 มิ.ย. 14, 09:27
           ปีถัดมาคุณทวดย้ายออกจากแคลิฟอร์เนียไปอยู่ที่ วอชิงตัน ดี ซี ต่อจากนั้นก็ย้ายไปเพนซิลวเนีย
คุณทวดพยายามร้องเรียนต่อสภาเพื่อขอค่าชดเชยความเสียหายหลายครั้งตั้งแต่ ปี 1866 แต่ก็ไม่เป็นผล
จนคุณทวดรอไม่ไหวจากโลกนี้ไปก่อนในปี 1880
(แหล่งข้อมูลไม่ได้กล่าวถึงคุณทวดว่าจากไปอย่างแสนยากไร้ แต่ในเนื้อเพลงนั้นดรามาบอกว่าเป็นเช่นนั้น)

Sutter's Mill ตั้งอยู่ตรงส่วนที่เรียกว่า south fork ริมฝั่งแม่น้ำอเมริกัน สายธารประวัติศาสตร์
สร้างรัฐแคลิฟอร์เนีย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:37
จากเนื้อเพลง Sutter's Mill ช่วงท้าย

                   And then the railroad came behind them
                   And the land was plowed and tamed,

                     เชื่อมต่อด้วยเพลงนี้ ครับ  

         Iron Horse(1972) ของวงร็อคอังกฤษ Christie ที่วัยรุ่น(ยุคโน้น)
คงจำอีกหนึ่งเพลงที่โด่งดังกว่าของพวกเขาได้ นั่นคือ Yellow River(1970)

          Christie: Iron Horse with lyrics and guitar chords (http://www.youtube.com/watch?v=9MiXkXNc--Q#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:39
           พร้อมเรื่องราวของ(เส้นทาง) รถไฟสายข้ามทวีปอเมริกาเหนือเชื่อมฝั่งตะวันออกกับตะวันตก
รับฟังเพลงและชมภาพประกอบ ครับ        
 
              Through the plains and valleys

ไฟหญ้าผลาญทุ่งแพรรี่ แลเห็นฝูงควาย bison วิ่งหนีไฟอยู่หลังขบวนรถไฟในภาพ
Prairie Fires of the Great West โดย Currier & Ives 1871


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:40
รถไฟแล่นผ่านหุบเขาสู่ชายฝั่งแปซิฟิคในภาพ
The Great West โดย Currier & Ives 1870


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:44
Across the great divide
White man brought his thunder
From the other side

       Continental Divide หรือ Great Divide คือ แนวภูมิประเทศที่แบ่งแยกสายอุทกตกลง
ไหลไปเป็นสองทาง ในที่นี้คือ ยอดของเทือกเขาร็อคกี้ ที่แบ่งอุทกด้านตะวันตกไหลลงมหาสมุทร
แปซิฟิค ในขณะที่น้ำฝนซึ่งตกลงด้านตะวันออกนั้นเรื่อยไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติค, อ่าวเม็กซิโก
และ อ่าวฮัดสัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:46
          เทือกเขาร็อคกี้นี้ทอดยาวมาจากแถบตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดา ลงใต้ไปสู่เม็กซิโก
แล้วยังทอดยาวเหยียดไปในทวีปอเมริกาใต้เป็นเทือกเขา Andes สิ้นสุดที่ช่องแคบ Magellan 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:50
Burning smoke and wing of steel
Breathing fire from flaming wheels
Reaching out for a new frontier
Making sure the way was clear

ภาพ American Railroad Scene Snow Bound โดย Currier & Ives


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:54
Iron horse, iron horse
Keep on burning on its course
Iron horse, iron horse
Burning on and on
Keep on burning on

            Over sand and water

Pacific Coast Railroad โดย Gregory Dyer


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 09:59
Across the canyon too

ภาพ Denver and Rio Grande Western #3707 along the Colorado River
in Glenwood Canyon, Colorado โดย Howard Fogg



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 10:00
Through the crimson sunset
Its mighty whistle blew

ภาพ Railroad Sunset โดย Edward Hopper


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 มิ.ย. 14, 10:04
Burning smoke and wing of steel
Breathing fire from flaming wheels
Reaching out for a new frontier
Making sure the way was clear

Iron horse, iron horse
Keep on burning on its course
Iron horse, iron horse
Burning on and on
Keep on burning on

ภาพ Rockey Mountain โดย Howard Fogg


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 มิ.ย. 14, 10:50
และ         เชิญชมหนังเงียบระดับ epic ของผู้กำกับ John Ford เรื่อง Iron Horse(1924)
       เนื้อเรื่องอิงการสร้างทางรถไฟสายข้ามทวีป trans-continental ในส่วน Union Pacific
Railroad ของฟากตะวันออก

             The Iron Horse, 1924 - O Cavalo de Ferro: Legendas em Português (AVec) (http://www.youtube.com/watch?v=WbC1YnRKCOc#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 มิ.ย. 14, 10:52
กลุ่มควันในโปสเตอร์หนังคือฝูงควาย bison ที่ล้มหายตายไปมากมายบนสองข้างทางรถไฟ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 มิ.ย. 14, 11:02
            วิกกี้บันทึกว่า ม้าเหล็ก Iron Horse คำนี้มีกำเนิดในสมัยวิคทอเรียตอนต้น(1825–35)
เมื่อเครื่องจักรต่างๆ ยังใช้กำลังม้าขับเคลื่อน ยกเว้น กังหันลมและเครื่องจักรไอน้ำ 
             คำๆ นี้ มีนัยยกย่องพลังของเครื่องจักรลากยานไปบนถนนและรางรถไฟ เปรียบเทียบกับ
กำลังม้าที่ลากรถรางได้อย่างเชื่องช้ากว่า
             สมัยก่อนนั้นม้าลากรถในอัตรา 8 ไมล์/ชั่วโมง ส่วน(หัว)รถไฟเครื่องจักรไอน้ำแล่นด้วย
ความเร็ว 20 - 30 ไมล์/ชั่วโมง

              แต่แหล่งอื่นบอกว่า คำมีกำเนิดในปี 1840 หมายถึง ยานมีล้อประกอบด้วยเครื่องจักรขับ
เคลื่อนด้วยกลไกหรือพลังของเครื่องเองใช้ลากรถไฟไปตามราง(locomotive)

ภาพ 'The Pleasures of the Rail Road - Caught in the Railway!', Henry Heath, 1840
 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 มิ.ย. 14, 11:07
           คำนี้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในหนังสือพิมพ์และนิยายนานกว่าศตวรรษ หลังการชนะ
การประกวดเครื่องจักรกลของ Stephenson's Rocket จัดโดย Liverpool & Manchester
Railway เพื่อค้นหางานออกแบบประดิษฐ์กรรมนำพลังลากแล่นรถไฟไปบนราง

            Stephenson's Rocket เป็นหัวรถจักรไอน้ำที่มีล้อแบบ 0-2-2(ชุดล้อ 2 คู่ เป็นคู่ขับ
ตามด้วยคู่ลาก ไม่มีคู่นำ)  สร้างขึ้นในปี 1829 ที่ Forth Street Works of Robert Stephenson
and Company ใน Newcastle Upon Tyne


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 มิ.ย. 14, 11:13
           ต่อจากนี้ เชิญย้อนอดีตไปยังยุคเริ่มต้นของการสร้างทางวางรางเพื่อให้ม้าเหล็กขับเคลื่อน
เชื่อมจากฟากตะวันออกสู่ตะวันตกของสหรัฐอเมริกา

            รถไฟในอเมริกาแรกดำริเริ่มขึ้นในช่วง 1810s - 30s เมื่อนักลงทุนและผู้ประกอบการ
หลายรายเสนอโครงการสร้างทางรถไฟ

            ทางรถไฟสายแรกมุ่งตะวันตกถูกสร้างขึ้นในปี 1827 เชื่อมระหว่าง Baltimore และแม่น้ำ
Ohio ใน Virginia ขับเคลื่อนโดยใช้ใบและพลังม้าควบบนลู่ treadmill

ภาพ “The Flying Dutchman,” a Horse Power Locomotive, 1830
รถไฟกำลังม้า(เดินบน treadmill)    


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 มิ.ย. 14, 11:19
           ถึงปี 1830 ในเดือนสิงหาคม เกิดการประลองความเร็วระหว่างม้าเหล็กกับม้าจริง
ระหว่างเครื่องจักร Tom Thumb locomotive กับ รถไฟม้าลาก B&O (Baltimore and
Ohio Railroad car) ผลปรากฏว่า ม้าเหล็กเหนือกว่าสามารถทำความเร็วได้ถึง 15 ไมล์
ต่อชั่วโมง แต่ในที่สุด กลับเป็นฝ่ายพ่ายม้าลากเมื่อเครื่องจักรของม้าเหล็กเกิดขัดข้องจนหยุด
ทำงาน
           ในปีต่อมา B&O Railroad ก็ปลดระวางม้าลากทั้งปวงแล้วแทนที่ด้วยหัวรถจักรไอน้ำ    

The Paintings of Carl Rakeman, 1830 - The Iron Horse Wins


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 มิ.ย. 14, 09:06
          เส้นทางรถไฟสายข้ามทวีปสายแรก transcontinental railroad นี้ แรกเรียกว่า
Pacific Railroad และต่อมาเป็น  Overland Route เริ่มก่อสร้างในปี 1863 (หลังเกิด
สงครามฝ่ายเหนือ-ใต้แล้วในปี 1861) เป็นการ(แข่งกัน)สร้างทางมาบรรจบกันจากสองฟาก
โดยสองบริษัท นั่นคือ Central Pacific Railroad Company ใน California (ซึ่งก่อตั้ง
โดยนักธุรกิจใน Sacramento ที่มาแคลิฟอร์เนียยุคตื่นทอง) กับ Union Pacific Railroad
Company ใน Iowa ทั้งสองทีมสร้างทางแข่งกันสู่ Utah ที่ Promontory Summit


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 มิ.ย. 14, 09:11
          ช่วงเวลานั้นทั้งแคลิฟอร์เนียและเนวาด้าเจริญเติบโตมีประชากรอาศัยอยู่มากมาย
จากเหตุตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย(และตื่นเงินที่เนวาด้า ในเวลาต่อมา) เส้นทางรถไฟสายนี้
จะเป็นตัวเชื่อมแคลิฟอร์เนียกับสห(รัฐ) เพื่อกันการถูกยึดไปเป็นของอังกฤษ และอีกจุดประสงค์
(ร้าย) คือเพื่อการขนย้ายกำลังพลและอาวุธเพื่อใช้ในสงครามกับชนพื้นเมือง
          Pacific Railroad นี้ คือ ทางรถไฟข้ามทวีปสายแรกของโลก ซึ่งก่อสร้างด้วยเทคโนโลยี
ก้าวหน้าล้ำยุคแห่งศตวรรษที่ 19


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 มิ.ย. 14, 09:14
          และเรื่องราวที่ต้องกล่าวถึงไว้ไม่อาจละเว้นได้เลย ก็คือเรื่องของมวลกรรมกรเจ้าของ
สองมือนี้ที่ก่อสร้างทางรถไฟสายประวัติศาสตร์สร้างชาติ

            ในส่วนสายเริ่มต้นจากแคลิฟอร์เนียของบริษัท Central Pacific Railroad นั้น


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 มิ.ย. 14, 09:16
           แรกเริ่มเป็นชาวผิวขาวชาวไอริชแต่มีจำนวนไม่เพียงพอ อีกทั้งหลายคนยังทิ้งงานไปทำ
เหมืองเงินในปี 1865 ในที่สุดจึงจำต้องหาคนงานชาวจีนมาเสริมในปี 1864 จนมีจำนวนมากถึง
80% ของคนงานจำนวน 4,000 คน และเพิ่มเป็น 90% ในปีต่อมา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 มิ.ย. 14, 09:17
            ช่วงพีคของการก่อสร้างมีกรรมกรชาวจีนร่วม 10,000 คน แม้จะโดนดูถูกว่าตัวเล็ก ไม่แกร่ง
ไม่น่าจะทำงานหนักไหวในช่วงแรก แต่คนงานชาวจีนก็ได้พิสูจน์ตัวเองในเวลาต่อมาว่า สู้งาน ทำงาน
ขยันขันแข็งและไว้ใจได้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 มิ.ย. 14, 09:21
           พวกเขาทำงานก่อสร้างวางรางในจุดที่ยากที่สุด ต้องเสี่ยงชีวิตระเบิดเขาเจาะอุโมงค์
15 แห่ง ห้อยกระเช้าแขวนที่เทือกเขา Sierra Nevada ซึ่งเป็นช่วงที่อันตรายและงานดำเนิน
ไปได้เชื่องช้าด้วยว่าหินผาแกร่งนัก พ้นไปแล้วจึงข้าม Nevada ไป Utah

อุโมงค์ทั้ง 15 แห่งของ Central Pacific (ในขณะที่ทาง Union Pacific เจาะอุโมงค์ 4 แห่ง)
ต้องใช้ระเบิดจำนวนมหาศาล หลังจากเกิดเหตุ Nitroglycerine รั่วแล้วระเบิดระหว่างการขนส่ง
ที่ปานามาและซาน ฟรานซิสโก ทางการได้สั่งห้ามการใช้ไนโตร. ทีมงานจึงต้องหันไปใช้ดินดำ
(black powder) เพียงอย่างเดียว



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 มิ.ย. 14, 10:14
            คนงานจีนเหล่านี้ เป็นคนจีนจากมณฆลกวางตุ้งที่หนีความยากจนมาขึ้นฝั่งที่แคลิฟอร์เนีย
ในปี 1850 ส่วนใหญ่เป็นชายที่แต่งงานแล้วและมีความหวังว่าจะมาทำงานเพื่อเก็บเงินแล้วกลับบ้าน
และอีกส่วนคือคนงานจีนที่นำเข้ามาสมทบ 

ภาพวาดกรรมกรชาวจีนที่ Sierra Nevada


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 มิ.ย. 14, 10:17
          เหล่าคนงานผิวเหลืองทำงานอย่างไม่ระย่อต่อร้อนหรือหนาว ทำงานไม่หยุดแม้เมื่อพายุหิมะ
กระหน่ำ ในขณะที่คนงานอื่นหยุดพัก แต่พวกเขากลับได้รับค่าแรงน้อยกว่าคนขาว ทั้งยังต้องจัดหา
อาหารตลอดจนเต๊นท์ที่พักเอง และผลตอบแทนที่ได้รับจากคนผิวขาวส่วนใหญ่ก็คือการเหยียดผิว
กับการกีดกัน  
          ด้วยงานที่หนัก เสี่ยงภัยจากหิมะและระเบิด ทำให้คนงานชาวจีนทิ้งร่างไว้ที่นี่ไม่ได้กลับบ้าน
นับร้อยนับพันคน

อุโมงค์ Great Summit Tunnel ณ Sierra Nevada


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 มิ.ย. 14, 10:18
             อุโมงค์ Great Summit Tunnel ณ Sierra Nevada ความยาว 1659 ฟุต
             ผลงานจากหยาดเหงื่อและหยดเลือดของชาวจีน ขุดเจาะผาหินแกร่งด้วยมือก่อนจะ
วางระเบิด เส้นทางผ่านอุโมงค์นี้ได้ถูกยกเลิกไปใช้เส้นทางใหม่ในปี 1993


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 มิ.ย. 14, 10:23
           ปัญหาคนงานคลี่คลายไปได้ด้วยแรงงานจีน แต่การสร้างทางฝั่งแคลิฟอร์เนียยังมีข้อ
ข้องขัดในส่วนของตัวรางและขบวนรถ ในขณะที่ไม้หมอนหาได้ในป่าแคลิฟอร์เนีย แต่ล้อ, ราง,
เครื่องจักร และตู้รถไฟนั้น ต้องผลิตในย่านอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออกแล้วขนมาทางเรืออ้อมทวีป
อเมริกาใต้ที่ Cape Horn ใช้เวลานานนับครึ่งปีขึ้น บางส่วนก็ขนผ่านทางคอคอดปานามาแต่
ค่าใช้จ่ายสูงกว่า

เส้นทางจากฝั่งตะวันออกสู่ตะวันตก ทั้งทางบก ทางทะเล


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มิ.ย. 14, 10:47
ถ้าอาเฮียเหล่านี้ไม่ได้ข้ามมหาสมุทรไปขึ้นฝั่งที่คาลิฟอร์เนีย แต่ลงใต้มาขึ้นฝั่งที่สยาม    ก็คงได้ใช้แรงงานที่เบากว่านี้ เช่นขุดคลอง
หลังจากนั้นถ้าตั้งร้านค้าได้ ก็เป็นเถ้าแก่กันไปแล้ว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 10:45
          คนงานจีนนับร้อย นับพันก็มาเสียชีวิตด้วยโรคภัย อหิวาต์ ไข้จับสั่น ที่อุโมงค์ขุนตาน บ้านเรา
และ ข้อมูลบอกว่า คนงานจีนที่นี่ไม่ยอมเข้าทำงานขุดเจาะอุโมงค์เพราะกลัวภูตผีปีศาจข้างใน

จาก http://library.cmu.ac.th/ntic/picturelanna/detail_picturelanna.php?picture_id=1943 (http://library.cmu.ac.th/ntic/picturelanna/detail_picturelanna.php?picture_id=1943)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 10:46
         ในส่วนเส้นทางของ Union Pacific นั้น


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 10:48
          การหาคนงานเป็นเรื่องง่ายกว่าฝั่งตะวันตก กรรมกรสร้างทางมาจากผู้อพยพชาวไอริช และ
ในปี 1865 เมื่อสงครามกลางเมืองเหนือใต้ยุติลง ทหารผ่านศึกตกงานนับหมื่นจากสองฝ่ายก็มาร่วมงาน
สร้างทางสร้างชาติกันโดยสันติ ส่วนวิศวกรก็เป็นอดีตทหารที่ผ่านงานรถไฟในช่วงสงครามเช่นกัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 10:52
         คนงานไอริชทำงานขยันขันแข็งและมีฝีมือ มีสไตร๊ค์บ้างเป็นบางคราว เมื่อคนงานขาดแคลน
ก็ได้มีการว่าจ้างคนงานชาวจีนมาสมทบด้วย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 10:55
สะพานค้ำยัน(trestle) ของ Union Pacific


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 11:05
ส่วนภาพนี้เป็น trestle ของ Central Pacific


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 11:07
         งานสร้างทางที่คืบหน้าไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดเมืองเต๊นท์ชั่วคราวที่คอยเคลื่อนย้ายตามรางรถไฟ

ภาพ Benton, Wyoming เมืองเต๊นท์ที่มีอายุยาวนานเพียง 3 เดือน (ก.ค. - ก.ย. 1868)
ที่เมืองนี้มีผู้คนคึกคักมากถึง 3,000 คน, บาร์ saloon 25 แห่ง และโรงเต้นรำ 5 โรง
(รับชมเมืองเต๊นท์ได้ในหนัง Iron Horse)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 มิ.ย. 14, 11:14
           อุปสรรคสำคัญของเส้นทางฟากนี้คือ ภัยจากการจู่โจมทำร้ายของชนพื้นเมือง คนงานต้องติด
อาวุธและหลายครั้งต้องพึ่งการคุ้มครองจากทหารม้าหรือชนพื้นเมืองเผ่าที่เป็นมิตร(ภาพล่าง)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:10
         ส่วนอุปสรรคอื่นๆ ได้แก่  สภาพอากาศหนาวและร้อนจัด, เทือกเขาร็อคกี้

เส้นทาง Union pacific ช่วงลอดอุโมงค์ผ่าน Weber Canyon ในเทือกเขา Wasatch Range
ทอดยาวระหว่างชายแดน Utah-Idaho ชายขอบด้านตะวันตกของเทือกเขาร็อคกี้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:12
และฝูงควายท้องถิ่น(bison) ที่ต้องจัดหาคนมาล่าเพื่อนำเนื้อมาบริโภคด้วย  

             ชื่อในวงการนักล่าควายที่คุ้นหูชาวไทยจากหนังคาวบอยสมัยก่อน คือ Buffalo Bill
(ชื่อจริง William Frederick Cody) ได้มาเมื่อเขาตกลงทำสัญญาฆ่าควายเพื่อเป็นอาหาร
สำหรับคนงานสร้างทางของ Kansas Pacific Railroad ในช่วงปี 1867–1868

ภาพนักล่าควายในหนังเรื่อง How the West Was Won


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:14
          หลังจากมหากาพย์การสร้างทางรถไฟข้ามทวีปสายแรกของโลกผ่านไป 6 ปี ในที่สุด
ตะปูรางรถไฟตัวสุดท้าย(Last Spike) ก็ได้ถูกตอกลงบนรางเชื่อมทางรถไฟสองฟาก เมื่อ
วันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1869 ณ ตำแหน่ง(ที่ได้ตกลงกันไว้ในเดือนเมษายนก่อนหน้านี้)
เรียกว่า Promontory Summit
          ที่ซึ่งเป็นบริเวณดอนสูงในตอนเหนือของ Promontory Mountains อยู่ทางตะวันตก
ของ Brigham City และทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Salt Lake City, Utah


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:18
           พิธีแต่งงานสองราง "wedding of the rails" ในวันนั้น ตะปูที่ตอกบนรางมีทั้งหมด
สามตัวเป็นตะปูทอง, ตะปูเงิน และ ตะปูผสมทอง, เงิน และ เหล็ก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:20
และ แน่นอนว่า ตะปูที่มีชื่อที่สุดคือ ตะปูทอง(Golden Spike) ที่ Leland Stanford(Central Pacific
Railroad President) เป็นผู้ตอก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:21
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ Stanford's Cantor Arts Center       


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:24
           เส้นทางรวมชาตินี้ รวมระยะทางราว 1,756 ไมล์(2,826 กม.) เชื่อมระหว่าง Sacramento,
California กับ Omaha, Nebraska/Council Bluffs, Iowa
(จาก Sacramento 690 ไมล์ + 1085 ไมล์จาก Omaha)

           สองเส้นทางส่วนมุ่งสู่ Promontory Summit ในวันนั้น ถึงวันนี้ได้กลายเป็นตำนาน เมื่อทางการ
ได้สร้างเส้นทางสายใหม่ -
สายสีน้ำเงิน คือเส้นทางสายเดิม ส่วนสายสีแดงและเหลือง(ส่วนสะพานข้ามทะเลสาบ) สร้างขึ้นภายหลัง
แล้วเสร็จในปี 1904


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 มิ.ย. 14, 10:28
           สถานที่ประวัติศาสตร์คราวนั้น ปัจจุบันนี้ได้กลายเป็น Golden Spike National Historic Site
รางส่วนตรงกลางระหว่างรางที่มีคราบสีดำคือตำแหน่งแห่งที่ตอกตะปูตัวสุดท้าย 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 มิ.ย. 14, 10:28
          ทางรถไฟที่เชื่อมตะวันออกสู่ตะวันตกนี้ได้ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทาง จากเดิมใช้เวลานาน
นับเดือนกลายเป็นวัน
(การเดินทางบกจากซาน ฟราน ไป นิว ยอร์ค แต่ก่อนกินเวลาหลายเดือน เมื่อมีรถไฟใช้เวลาเหลือ
เพียง 10 วัน)

Transportation by railroad 1870


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 มิ.ย. 14, 10:29
          ขบวนรถไฟขนผู้คนผิวขาวมุ่งตะวันตก บุกรุกเขตแดนของชนพื้นเมือง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 มิ.ย. 14, 10:31
            และถิ่นอาศัยของสัตว์ท้องถิ่น นั่นคือ ควาย Bison ระหว่างทาง"ผู้บุกรุก" ไล่ยิงฝูงควาย
ซึ่งเป็นมังสาหารของชาวพื้นเมือง เพื่อเปิดทางให้ขบวนรถไฟผ่าน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 มิ.ย. 14, 10:33
           โดยมีผู้โดยสารร่วมด้วยช่วยกันยิงเป็นกิจกรรมเกมแก้เบื่อระหว่างทาง นอกจากนี้ยังมี
การดำเนินกิจการล่าเนื้อและหนังควายเพื่อการค้าด้วย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 มิ.ย. 14, 10:36
            มหกรรมการฆ่าที่โหดร้ายนี้ยังมีเบื้องหลังอันแสนเหี้ยมโหดและน่ารังเกียจด้วย นั่นคือ
จุดประสงค์เพื่อให้ชนพื้นเมืองขาดแหล่งอาหารจะได้ย้ายออกไปจากพื้นที่นี้

ภาพ Moment of Excitement 1870 โดย Howard Fogg
            ชาวพื้นเมืองไล่ล่าควายเพื่อเป็นอาหารจนฝูงควายกีดขวางทางรถไฟ พนักงาน, ผู้โดยสาร
บนรถไฟและชาวพื้นเมืองยิงปืนเข้าใส่กัน ที่ Western Kansas country


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 มิ.ย. 14, 10:39
           ถึงปี 1880 ฝูงควายก็ถูกสังหารล้มตายไปจนแทบไม่มีเหลือ

เพลง Iron Horse จึงจบลงที่ภาพภูเขากระดูกกระโหลกควายสังเวยการพิชิตตะวันตกของม้าเหล็ก
ด้วยประการฉะนี้  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 23 มิ.ย. 14, 09:50
เพลงชวนฟังต่อไปนี้เป็นเพลงโปรดเป็นพิเศษ เนื้อร้องเล่าถึงการปฏิวัติออกมาแบบว่าโรแมนติคมาก ครับ

                             Fernando

        เพลงในปี 1976 จากคณะนักร้องชาวสวีเดน ABBA ที่มีผลงานเพลงโด่งดังข้ามทวีปมากมาย
เพลงนี้ทำสถิติยอดขายซิงเกิ้ลสูงสุดตลอดกาลของ ABBA            

           ABBA : Fernando (Top Of The Pops) HD (http://www.youtube.com/watch?v=Xv_-6XQyIq0#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 23 มิ.ย. 14, 09:53
           แรกเริ่มเมื่อเป็นซิงเกิ้ลในภาษาสวีดิชนั้น เป็นเพลงร้องปลอบใจเพื่อนผู้ผิดหวังในความรัก
แต่เมื่อมาใส่เนื้อเป็นภาษาอังกฤษกลับเปลี่ยนเป็นเรื่องรักชาติ
       
Can you hear the drums Fernando?
I remember long ago another starry night like this
In the firelight Fernando
You were humming to yourself and softly strumming your guitar
I could hear the distant drums
And sounds of bugle calls were coming from afar

They were closer now Fernando
Every hour every minute seemed to last eternally
I was so afraid Fernando
We were young and full of life and none of us prepared to die
And I'm not ashamed to say
The roar of guns and cannons almost made me cry

There was something in the air that night,
the stars were bright, Fernando
They were shining there for you and me for liberty, Fernando
Though we never thought that we could lose, there's no regret
If I had to do the same again, I would my friend, Fernando
If I had to do the same again, I would my friend, Fernando

Now we're old and gray Fernando
Since many years I haven't seen a rifle in your hand
Can you hear the drums Fernando?
Do you still recall the faithful night we crossed the Rio Grande?
I can see it in your eyes
How proud you were to fight for freedom in this land


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 23 มิ.ย. 14, 09:54
          เนื้อเพลงเล่าถึง สหายปฏิวัติผ่านศึกนั่งรำลึกความหลังครั้งยังเป็นหนุ่มสาวไฟแรงออกโรง
ร่วมขบวนการปฏิวัติสร้างชาติ(ไหน?)
 
          จากชื่อเพลงซึ่งเป็นชื่อของสหายผ่านศึก คือ เฟอร์นันโด ประกอบกับเนื้อเพลงส่วนที่กล่าวว่า
we crossed the Rio Grande แม่น้ำที่ไหลจากตะวันตกเฉียงใต้ของโคโลราโด้ผ่านเม็กซิโกไป
ลงอ่าว รวมความแล้วทำให้ชี้เป้าไปที่การปฏิวัติในเม็กซิโก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 23 มิ.ย. 14, 09:57
           ครั้งไหน? คำตอบจากคำให้สัมภาษณ์ในปี 2008 ของ Bjorn Ulvaeus หนึ่งในสมาชิกวง
และผู้แต่ง ได้ความว่าเป็นการปฏิวัติเม็กซิโกปี 1910(เริ่มต้นทศวรรษแห่งสงครามแย่งชิงอำนาจใน
เม็กซิโก) โดย  Emiliano Zapata

           ฟังชื่อเหมือนจะคุ้นหู ค้นดูปรากฏว่า ชีวิตนักปฏิวัติผู้ต่อสู้เพื่อชนชั้นชาวนาชาวไร่ผู้นี้ได้เคย
ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อว่า Viva Zapata! โดยฮอลลีวู้ดเมื่อปี 1952 เขียนบทโดย
นักประพันธ์ระดับรางวัลโนเบล John Steinbeck กำกับโดยผู้กำกับชั้นครู Elia Kazan และ
นำแสดงโดยนักแสดงในตำนาน Marlon Brando รับบทเป็นซาปาตา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 23 มิ.ย. 14, 10:00
          จากสหรัฐอเมริกาพากันลงใต้ไปสัมผัสบ้านเมืองในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านผลัดอำนาจวุ่นวายชีวา

ซาปาตาตัวจริง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 มิ.ย. 14, 10:05
ชอบเพลง Fernando ตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก  ขอบคุณคุณ SILA ที่นำที่มาของเพลงมาเล่าสู่กันฟังคะ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 มิ.ย. 14, 09:06
ยินดี ครับ

            ซาปาตา -Emiliano Zapata(1879 – 1919) หนึ่งในผู้นำการปฏิวัติในคราวนั้น
ถือกำเนิดในครอบครัวชาวไร่ที่รัฐ Morelos ทางตอนใต้ของเม็กซิโก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 มิ.ย. 14, 09:08
            รัฐนี้เป็นหนึ่งใน 31 รัฐของประเทศมีขนาดเล็กที่สุดแต่ดินดีน้ำชุ่มจนปลูกพืชได้ทั้งปี
ในยุคนั้นราชาที่ดินผู้มีอิทธิพลไม่กี่เจ้าได้โกงกอบครอบครองกรรมสิทธิ์ผืนดินที่ปลูกข้าวโพด
ของชาวบ้าน ตลอดจนผูกขาดการใช้แหล่งน้ำเพื่อนำไปใช้ในการปลูกอ้อยซึ่งเป็นพืชมีราคาใน
ไร่ของตน

มอเรลอส(Morelos) ในปัจจุบัน ไกลออกไปยังคงมีไร่อ้อยให้เห็นได้อยู่


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 มิ.ย. 14, 09:09
           โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือและประธานาธิบดีเผด็จการ ดิอาด(Porfirio Diaz) สนับสนุน
คนพวกนี้ใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบายในขณะที่ชาวบ้านผู้ยากไร้ ไม่มีบ้าน ไม่มีที่ทำกิน
           สภาวะบ้านเมืองแบบนี้ การปฏิวัติดูจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า

ซากคฤหาสน์(Hacienda) ของราชาที่ดินใน Morelos  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 มิ.ย. 14, 09:13
            ซาปาตาได้รับเลือกเป็นประธานสภาท้องถิ่นเมื่อตอนอายุ 30 ปี เขามองเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ
อยุติธรรมที่ไม่อาจจะยอมทนได้อีกต่อไป
             ด้วยสำนึกรักและภาคภูมิใจในแดนดินถิ่นกำเนิดของตน เขาจึงเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม
เพื่อทวงคืนสิทธิในที่ทำกิน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของพี่น้องทั้งหลายด้วยวิธีการต่อสู้ตามวิถีทางกองโจรและการใช้
กำลัง โดยการรวมกับผู้นำชาวไร่กลุ่มอื่นๆ จัดตั้งเป็นกองทัพปลดแอกฝ่ายใต้ Liberation Army of the South
ต่อสู้กับอำนาจอธรรม
             ตัวเขาซึ่งมีความมุ่งมั่นโดดเด่นเป็นผู้นำเหนือพลพรรคคนอื่นๆ รับบทบาทเป็นผู้นำกองทัพที่เรียกว่า
Zapatistas

กองทัพนักรบสวมหมวก sombrero


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 มิ.ย. 14, 09:17
          Zapatistas ร่วมกับกองกำลังกลุ่มอื่นรวมเป็น 18 รัฐ (หนึ่งในนั้นมีผู้นำทางฝ่ายเหนือชื่อคุ้น
นั่นคือ ปันโช วีญา - Pancho Villa) ทำการปฏิวัติจนเป็นผลสำเร็จในปี 1910
         ประธานาธิบดี ดิอาด ลาออกแล้วระเห็จหนีออกนอกประเทศ

อีกหนึ่งนักปฏิวัตินามคุ้นหู วีญา(Villa)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 24 มิ.ย. 14, 09:23
           แต่แล้วเมื่อผู้นำการปฏิวัติ มาเดรอ(Francisco I. Madero) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ซาปาตากลับถูกหักหลัง แนวทางปฏิรูปที่ดินคืนชาวไร่ที่เสนอโดยซาปาตาไม่เป็นไปตามหวังทั้งยังโดน
กล่าวหาว่าเป็นแค่กองโจร(bandits) ที่ซ้ำร้ายมาเดรอยังแต่งตั้งผู้ว่าการรัฐคนใหม่ที่อวยพวกราชาที่ดิน
เจ้าเก่าอีก ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเสื่อมลง
(พล็อตคุ้นๆ ซ้ำๆ แถบอเมริกาใต้ แบบว่า ปฏิวัติเถลิงเริงอำนาจแล้วหักหลังสหายปฏิวัติและประชาชน)  
            
           มาเดรอ ส่งกำลังเข้าปราบปรามพวกของซาปาตาในมอเรลอส หมายจะถอนรากถอนโคนด้วย
การเผาหมู่บ้าน กุมตัวพวกผู้ชายส่งไปทำงานในกองทัพหรือค่ายกรรมกรทางใต้ แต่ยิ่งปราบปรามกลับ
ยิ่งงอกงาม กองกำลังของซาปาตามีคนมาเข้าร่วมมากมายจนสามารถรุกไล่กำลังของทางการออกไปได้

ภาพจากหนัง Viva Zapata!


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 14, 09:38
            อำนาจที่ได้มานั้นเป็นของชั่วคราว ต่อมา เวอร์ต้า(Victoriano Huerta) นายทหารที่มาเดรอ
ไว้วางใจกลับลำหักหลังสังหารมาเดรอแล้วยึดอำนาจแทน แต่ครองอยู่ได้ไม่นานก็ถูกขับออกไปโดย
กองกำลังผู้สนับสนุนประชาธิปไตยที่มีกองทัพของซาปาตาและปานโช วีญาสนับสนุน เวอร์ต้าลาออก
แล้วหนีลี้ภัยไปสเปน
         
             และแล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยซ้ำซาก การันซา(Venustiano Carranza) ผู้ว่าการรัฐ
ซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติครั้งนี้ก็ไม่เห็นคุณซาปาตา ในขณะที่วีญาทำศึกช่วงชิงอำนาจแต่แพ้พ่ายต้องถอย
ร่นกลับคืนสู่เหย้า ซาปาตาผู้ไม่สนใจในเรื่องราวนอกมอเรลอสก็กลับไปตั้งมั่นในถิ่นตน และถูกปราบปราม
โดยวิธีการเผาอีกเช่นเคย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 14, 09:42
          แต่ซาปาตาก็สามารถยึดครองพื้นที่มอเรลอสรวมทั้งรัฐอื่นๆ ไว้ได้ในปี 1917 เขาต่อสู้ต้านทาน
กองทัพของการันซาอยู่นานนับปี ในขณะที่เหล่าสหายปฏิวัติเกิดอาการหน่ายสงครามไม่อยากสู้อีกต่อไป
จนท้ายที่สุดแล้วฝ่ายการันซาสามารถยึดมอเรลอสได้และซาปาตาถูกลวงไปสังหารในปี 1919



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 25 มิ.ย. 14, 09:43
ประตู(ของกำแพง) ที่เหลืออยู่ของคฤหาสน์(Hacienda) San Juan สถานที่ซาปาตาถูกสังหาร
รอยกระสุนยังคงหลงเหลืออยู่ทางด้านหลังอนุสาวรีย์ซาปาตาบนหลังม้า


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 25 มิ.ย. 14, 20:26
มาลงชื่อว่ายังตามอยู่นะครับ :)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 26 มิ.ย. 14, 09:19
ขอบคุณครับ อยากฟังคุณปลากรอบเล่าเรื่องจากเพลงบ้าง

             มรดกที่ซาปาตาได้มอบไว้ให้แก่เม็กซิโกคือ แนวคิดการปฏิรูปที่ดินทำกินโดยรัฐเพื่อเกษตรกร
(agrarian reform) ซึ่งเรียกว่า zapatismo
             ภายหลังจากที่อำนาจผลัดคนครองอีกครั้งเมื่อการันซาถูกโค่นลง นายทหารแห่งกองทัพซาปาติสต้า
ที่ร่วมในการล้มรัฐบาล ได้รับตำแหน่งสำคัญในรัฐมอเรลอสและได้ดำเนินแผนการปฏิรูปที่ดินตามแนวทาง
ของซาปาตา มีการคืนที่ดินบางส่วนให้แก่ชาวบ้านและการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลาต่อมา
             อย่างไรก็ตามการปฏิรูปที่ดินนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เกินการตระหนักรู้และจัดการได้อย่างสมบูรณ์ตาม
แนวทางความคิดของเขา

อนุสาวรีย์สูง 20 ฟุต ณ ที่ฝังศพของซาปาตา
 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 26 มิ.ย. 14, 09:23
           เรื่องราวการต่อสู้ปฏิวัติกับแนวทางปฏิรูปที่ดินเพื่อชาวไร่ผู้ยากไร้ และการจากไปก่อนกาล
ของซาปาตากระทบและประทับใจผู้คนโดยทั่ว ต่างเปรียบเขาเป็นเช่น มรณสักขี(martyr) ที่ถูก
ทรราชสังหาร
 
รูปถ่ายซาปาตา ในปี 1914 โพสท์โดยหลานของตากล้อง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 26 มิ.ย. 14, 09:26
           ตราบจนปัจจุบันผ่านไปร่วมร้อยปี ซาปาตายังคงเป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งชาติที่มีผู้คน
เคารพยกย่องสูงสุด   


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 26 มิ.ย. 14, 09:33
          Lives of great men all remind us
We can make our lives sublime.
And departing leave behind us
Footprints on the sand of time.

                     Henry Wordsworth Longfellow

        ประวัติวีรบุรุษไซร้  เตือนใจ เรานา
ว่าอาจจะยังชนม์            เลิศได้
และยามจะบรรลัย           ทิ้งซึ่ง
รอยบาทเหยียบแน่นไว้     แทบพื้นทรายสมัย

                        ล้นเกล้ารัชกาลที่หก

                                 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มิ.ย. 14, 10:15
ยอดเยี่ยมค่ะ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 26 มิ.ย. 14, 11:14
ขอบคุณครับ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 มิ.ย. 14, 10:19
           เพลงต่อไปก็ยังคงเป็นแนว nostalgia และเป็นเรื่อง "(แบบว่า)การปฏิวัติ" เช่นกัน
แต่เป็น "ปฏิวัติวัฒนธรรม" ครับ  

                   Crocodile Rock
 
         บทเพลงโด่งดังในยุค 70's(บันทึกเสียงปี 1972) ผลงานการประพันธ์ของเซอร์ Elton John
(ทำนอง) ร่วมกับคู่หูดูโอ้แต่งเพลง Bernie Taupin(คำร้อง) ที่แหวกออกมาจากผลงานฮิทแนว ballad
ก่อนหน้านี้ของทั้งสอง แล้วโดนใจอเมริกันชนจนทะยานขึ้นอันดับหนึ่งประเภทแผ่น single ในอเมริกา
(อันดับห้าในอังกฤษ บ้านตัวเอง)

หนึ่งในคู่นักแต่งเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งประวัติศาสตร์ดนตรีของอังกฤษ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 มิ.ย. 14, 10:25
          เนื้อเพลงหวนหาอาลัยอดีต(nostalgia) ยุคสมัย rock 'n' roll ยังเยาว์
(when rock was young) ช่วงทศวรรษ 50s ซึ่งเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
          หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองผ่านพ้นไปในทศวรรษก่อน(ปี 1945) ทหารหาญ
กลับคืนสู่เหย้าพักรบมาพบรักสร้างครอบครัวเข้าสู่สมัย baby boom ที่ประเทศทั่วโลกต่าง
ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการเพิ่มจำนวนประชากรเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาและฟื้นฟูประเทศ
หลังสงคราม ทีวีบุกเข้าเผยแพร่วัฒนธรรมป็อป(pop culture) สู่เยาวชนถึงในบ้าน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 มิ.ย. 14, 10:28
หนุ่มสาววัยเสรี ควงคู่ออกเดท เต้นร็อค


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 มิ.ย. 14, 10:31
           ท่านเซอร์จอห์นได้ยินและเกิดแรงดลใจจากเพลง Eagle Rock ของวง Daddy Cool
ณ ออสเตรเลีย เมื่อคราวไปทัวร์คอนเสิร์ทที่นั่นแล้วจึงแต่งเพลงนี้โดยมีดลใจเสริมจากเพลงของ
Del Shannon สองเพลง คือ Cry Myself to Sleep และ Little Darlin มาผสม นอกจากนี้
ในท่อนคอรัสที่ติดหูยังฟังคล้ายกับเพลง  Speedy Gonzales ของ Pat Boone เสียจนทนาย
ตัวแทนผู้แต่งเพลง Speedy ยื่นฟ้องศาลในอเมริกา แต่ท้ายสุดแล้วเจรจาตกลงกันได้ทั้งสองฝ่าย     
         
             เพลงนี้เป็นอีกหนึ่ง(ในหลาย) เพลงดังของท่านเซอร์ ซึ่งเป็นที่จดจำกันได้แม้เวลาผ่านไปนาน
แต่ท่านเซอร์เองบอก(อย่างถ่อมตัว?) ว่า เพลงนี้เป็นบันทึกเรื่องราวสิ่งต่างๆ ที่ท่านเซอร์ได้พานพบและ
เติบโตขึ้นมาด้วยกัน ไม่ได้เป็นสิ่งสร้างสรรค์ใหม่แต่จดจำลอกเลียนมา จึงเป็นแค่เพลงป็อปฟังผ่าน
(disposable pop) ไม่ได้ต้องการให้ใครจดจำตัวท่านเซอร์ได้จากเพลงนี้

จำท่านเซอร์ได้ติดหูจากเพลงไพเราะ และ ติดตาจากเครื่องหมายการค้า - แว่นตา, เปียโน และชุดแฟนซี


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 มิ.ย. 14, 11:05
          Elton John - Crocodile Rock - Lyrics/HQ (http://www.youtube.com/watch?v=DHQ0mtdaNXs#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ก.ค. 14, 09:22
          เพลงจากศิลปินอังกฤษ แต่ฟังแล้วนึกภาพเป็นที่บ้านเกิด rock and roll - อเมริกา
มหาอำนาจแห่งวัฒนธรรมข้ามชาติส่งออกเผยแพร่ไปทั่วโลกรวมถึงบ้านเราแต่เก่าก่อน

       I remember when rock was young
Me and Suzie had so much fun
Holding hands and skimming stones
Had an old gold Chevy, a place of my own

           วันวานเมื่อร็อคยังเยาว์ สองเราเริงสำราญ กุมมือและเล่นขว้างหินกระดอนบนผิวน้ำ
สามสี่เด้ง

stone skimming(or skipping)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ก.ค. 14, 09:24
            โฉบเฉี่ยวไปกับ chevy สีทองคันเก่า

รถ  Chevrolet ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนั้น ในเพลงดังย้อนอดีตอีกเพลงคือ American Pie(1971)
ของ  Don McLean ก็มีเนื้อร้องกล่าวถึง chevy เช่นกันว่า
                 drove my chevy to the levy
                     
เชฟวี่สีทองในรูปคือ 1957 Chevy Bel Air เป็นรุ่นสองประตูยอดฮิท ปรากฏโฉมในรูปถ่าย, ในหนัง
และจำลองเป็นของเล่นจนได้ชื่อว่า icon car


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ก.ค. 14, 09:27
             a place of my own

          นึกถึงภาพจากหนังฮอลลีวู้ด หนุ่มพาสาวนั่งรถเปิดประทุนไปยังที่ที่มีเพียงเราสอง

Natalie Wood กับ Warren Betty ใน Splendor in the Grass(1961)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ก.ค. 14, 09:29
         But the biggest kick I ever got
Was doing a thing called the Crocodile Rock
While the other kids were rocking round the clock
We were hopping and bopping to the Crocodile Rock

        Crocoodile rock ตามชื่อเพลงนี้ไม่มีอยู่ในสมัยนั้น เป็นอภิสิทธ์กวีนิพนธ์สร้างสรรค์
ขึ้นมาว่า มีการเต้นรำแบบนี้ที่ท่าจะเด็ดกว่า ใหม่กว่า Rock Around the Clock (เพลงร็อค
ของ Bill Haley ที่โด่งดังทั่วโลกในปี 1954)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ก.ค. 14, 09:42
           คำว่า  rock and roll นี้ ที่จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอเมริกันได้แปลเป็น
ไทยว่า “โยกและคลึง” (- คอลัมน์ตะเกียงเจ้าพายุ โดย อติภพ ภัทรเดชไพศาล หนังสือพิมพ์สยามรัฐ)

            ได้รับการยอมรับว่า ถูกนำมาใช้เรียกเพลงแนวนี้โดยดีเจ Alan Freed เป็นคนแรกในตอนต้น
ทศวรรษ 50s(1950 - 1951) เมื่อฟรี้ดจัดรายการเปิดเพลง Rhythm & Blues(เรียกตามที่บริษัท
ผู้ผลิตแผ่นจัดประเภทให้) แนวใหม่ที่ออกวางขายในตอนนั้นแล้วได้รับความนิยมอย่างสูงที่ Cleveland
           รายการวิทยุของเขาซึ่งประสบความสำเร็จกลายเป็นรายการฮิทนี้มีชื่อว่า Moondog Rock ‘n’ Roll
Party ฟรี้ดบอกว่าที่เรียกดนตรีแนวใหม่อย่างนี้เพราะ “it seemed to suggest the rolling, surging
beat of the music.”

(วลีนี้ที่จริงไม่ใหม่ แต่เคยมีใช้กันมาก่อนแล้วสำหรับเรียก ลักษณะการเคลื่อนไหวของเรือ, ความรักของพระเจ้า
ทั้งยังเคยปรากฏในเพลงในปี 1916 และต่อมายังถูกนำไปใช้ต่อด้วยนัยที่หมายถึงการเต้นรำหรือเซ็กซ์)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ก.ค. 14, 09:47
           ปี 1954 ฟรี้ดย้ายไปจัดรายการที่นิว ยอร์ค ออกอากาศผ่านเครือข่ายกระจายแนวเพลงนี้
ไปสู่เมืองหลักๆ ของอเมริกา ต่อมาฟรี้ดยังได้ไปปรากฏตัวในหนังเพลงและจัดรายการทางโทรทัศน์ด้วย
       แต่ บทสุดท้ายของผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู rock 'n' roll ให้เจริญเติบโตกลับจบลงอย่างขมขื่น
ฟรี้ดถูกข้อหา payola รับ(ทรัพย์จากบริษัทแผ่นเสียง) จ้างเปิดแผ่นซึ่งเขาปฏิเสธมาโดยตลอด ผลที่
ตามมาจากข้อหานี้คือสถานีวิทยุชั้นนำต่างปฏิเสธการจัดรายการของเขา
            ฟรี้ดเสียชีวิตลงในปี 1965 ด้วยวัยเพียง 43 ปีจากโรคตับแข็งเพราะการดื่มสุรา

หมายเหตุ เรื่องราวของฟรี้ดกับวลีนี้ มีเรื่องราวรายละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละเว็บ  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 01 ก.ค. 14, 11:54
          คำว่า  rock and roll นี้ ที่จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอเมริกันได้แปลเป็น
ไทยว่า “โยกและคลึง” (- คอลัมน์ตะเกียงเจ้าพายุ โดย อติภพ ภัทรเดชไพศาล หนังสือพิมพ์สยามรัฐ)

เผอิญสะดุดชื่อ จิตร ภูมิศักดิ์ เลยไปถามคุณกุ๊ก พบ บทความของคุณอติภพ ภัทรเดชไพศาล ในคอลัมน์เวิ้งวิภาษ หนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ (http://www.oknation.net/blog/insanetheater/2010/09/04/entry-1) พูดถึงเรื่องนี้ว่า

คำว่า rock อาจมีความหมายในเชิงศาสนาในดนตรีประเภท gospel ตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ แต่คำว่า roll นั้่นมีความหมายสื่อไปถึงการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลานานมาแล้ว แต่โดยรวมๆ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ ในภาษาสแลงของชาวอัฟริกัน-อเมริกัน คำว่า rock and roll นั้นหมายถึงการเต้นรำหรือการมีเพศสัมพันธ์ก็ได้ (จิตร ภูมิศักดิ์ เคยแปลคำนี้ออกมาตรง ๆ ว่า “โยกและคลึง”)

ท่าเต้นที่มีการยักย้ายส่ายสะโพกของเอลวิส เพรสลีย์จึงสื่อนัยยะไปถึงเรื่องของ sex อย่างไม่มีข้อสงสัย


จิตรต่อต้านอเมริกันก็จริงอยู่ นอกจากในเรื่องการเมืองแล้ว จิตรมีภาพด้านลบต่อภาพยนตร์อเมริกันโดยเห็นว่าเต็มไปด้วยความฟุ่มเฟือย จิตรในนามปากกาว่า "มูฟวี่แมน" เคยวิจารณ์บทบาทของ อลิซาเบ็ธ เทย์เลอร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Rhapsody (http://en.wikipedia.org/wiki/Rhapsody_(film))  ในหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ฉบับวันที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ว่า ผู้หญิงในท้องเรื่องดูเหมือนจะมีไว้เพื่อให้เรื่องมีรสมีชาติขึ้น ทำนองเดียวกับที่มหาฤกษ์ (หลวงจักรปราณี) กวีเก่า ๆ ว่าไว้ว่า "อันพริกไทยใบผักชีเหมือนสีกา ถ้าโรยหน้าเสียสักหน่อยอร่อยใจ"

แต่อย่างไรก็ตาม จิตรไม่ได้ต่อต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอเมริกัน อย่างน้อยก็มีคนอเมริกันคนหนึ่งชื่อ ดร.วิลเลียม จอห์น เก็ดนีย์ (William John Gedney) ที่ จิตรนับถือดุจ "พ่อบุญธรรม"  (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5584.msg121532#msg121532) ทีเดียว

ข้างล่างเป็นส่วนหนึ่งของ บทความเรื่อง จิตร ภูมิศักดิ์ ในประวัติศาสตร์ไทย โดย Craig J. Reynolds  ในหนังสือ เจ้าสัว ขุนศึก ศักดินา ปัญญาชน และคนสามัญ รวมบทความประวัติศาสตร์ของ เครก เจ. เรย์โนลด์ส (http://www.openbase.in.th/files/tbpj168.pdf) หน้า ๑๕๗-๑๕๘

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ก.ค. 14, 09:46
มี จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ไหน(ในเรือนไทย) มี เพ็ญชมพู ที่นั่น  ;D

          แนวเพลงนี้ที่โดนใจวัยรุ่นอเมริกาอย่างจังในยุค 50s ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลกส่งผล
ต่อพฤติกรรมของวัยรุ่นในสมัยนั้น ทั้งการพูด การแต่งกาย(เสื้อผ้า ทรงผม)

ท่านเซอร์ Cliff Richards เมื่อวันวานในกองถ่ายทำหนังเรื่อง Serious Charge


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ก.ค. 14, 09:48
           การเต้นรำไปกับจังหวะดนตรีที่เร่งเร้าอย่างเมามัน ราวกับว่าพวกเขาได้ปลดปล่อยสำแดง
ตัวตน(identity) ออกมา ย่อมจะเป็นที่หนวกหูและขัดตาผู้ใหญ่ในสมัยนั้น(ที่มักโดนข้อหาว่า ล้าสมัย,
ไม่เข้าใจวัยรุ่น) เป็นอย่างยิ่ง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ก.ค. 14, 09:50
          จนแนวเพลงนี้ถูกเรียกว่า ดนตรีของปีศาจ(Devil's Music) ซึ่งมีผู้อธิบายว่าเหมือนกับ
เพลงบลูส์ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 ที่ถูกเรียกเช่นนี้มาก่อนโดยกลุ่มอเมริกันชนผิวสีที่นับถือคริสต์
ศาสนา แล้วร็อคแอนด์โรลที่สืบสายมาจากบลูส์ก็รับสมญาสืบทอดมา

ลีลาโยกและคลึงของราชาร็อกแอนด์โรล  Elvis Presley จาก Jailhouse Rock


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ก.ค. 14, 09:53
          Oh, lawdy, mama those Friday nights
When Suzie wore her dresses tight
And the Crocodile rocking was out of sight

          คำว่า Lawdy Mama เป็นประเด็นให้ถกกันในบางฟอรั่ม ที่สมาชิกขุดคำนี้(Lawdy)
ได้จากนิยายเรื่อง Gone with the Wind ตอนที่เด็กสาวผิวสีบอกกับนายหญิงสการ์เล็ทว่า
 
           "Lawdy, Miz Scarlett, I don't know nothin' 'bout birthin' babies!"


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ก.ค. 14, 09:57
           คำนี้ปรากฏเป็นชื่อของเพลงบลูส์ Hey Lawdy Mama หรือ Oh Lordy Mama(1934)
และเมื่อนำมาใช้ในเพลงนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคำนี้ได้ช่วยบ่งชี้ทั้ง  

            (black) American expression/pronunciation และ American song  

          สื่อถึงต้นกำเนิดแนวเพลงร็อคแอนด์โรลนี้ ที่พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 40s
จาก rhythm & blues(ซึ่งก็สืบมาจาก blues, woogie-boogie และ jazz) ทั้งยังได้รับอิทธิพลมา
จากเพลงแนว gospel, country and western และ traditional folk ด้วย
          เป็นการผสานดนตรีของคนผิวขาวกับผิวดำเข้าด้วยกันได้เป็นดนตรีที่มีจังหวะแรงกว่าเดิม กลายเป็น
rock and roll ที่ได้รับความนิยมในยุค 50s
          และ rock 'n' roll นี้ก็ได้กลายเป็นแนวทางพื้นฐานให้พัฒนาต่อไปในช่วงกลางทศวรรษ 60s
เป็นดนตรี rock

คืนวันศุกร์สนุกสุดเหวี่ยง ซูซี่แต่งชุดรัดรูป คงจะประมาณ Olivia Newton John(กับ John Travolta)
ใน Grease


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ค. 14, 09:57
          But the years went by and the rock just died
Suzie went and left me for some foreign guy
Long nights crying by the record machine
Dreaming of my Chevy and old blue jeans
 
        เวลาวันผันผ่าน วันวานหวานและเพลงสนุกสนานล่วงไป ใจคนเปลี่ยนแปร เหลือเพียง
แต่ความทรงจำให้รำลึกถึงด้วยความสุขปนเศร้า 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ค. 14, 09:59
          But they'll never kill the thrills we've got
Burning up to the Crocodile Rock
Learning fast as the weeks went past
We really thought the Crocodile Rock would last     
     
           เพลงเก่าคึกคักวันนั้น วันนี้กลับกลายเป็นเพลง ballad

        Elton John - Crocodile Rock - Live at The Greek Theatre (Solo) - Special Ballad Version (http://www.youtube.com/watch?v=UWQAygJw1iI#)

King of Rock and Roll ราชาโยกและคลึง จากไปในปี 1977 ด้วยวัยเพียง 42 ปี


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ค. 14, 10:03
แยกเข้าซอยเอลวิส ครับ

              บันทึกสาเหตุการตายของเอลวิสระบุว่าเป็นจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ แต่ที่ไม่ได้บันทึกไว้
คือการใช้ยาต่างๆ ในกลุ่มสารเสพติดมากมายที่อาจมีส่วนทำให้ตายเร็ว  
              หลังการตายหลายปี ข้อมูลเพิ่มเติมระบุว่าเอลวิสมีภาวะหัวใจโต และ แพทย์ประจำตัวที่จ่ายยา
ออกฤทธิ์จิตประสาทให้เอลวิสบอกว่า โรคท้องผูกเรื้อรังจากภาวะลำไส้ไม่ทำงาน(เคลื่อนไหว) คือฆาตกร
              ผลการชันสูตรศพพบว่าลำไส้ใหญ่ของเอลวิสมีเส้นผ่าศูนย์กลางและความยาวมากกว่าปกติ
ทั้งยังพบอุจจาระเก่าเก็บเป็นเดือนอยู่ภายใน  และ    
              เกือบ 40 ปีหลังการจากไป ปีนี้ก็ยังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการตายของเอลวิสออกมาอีกว่า
ผลการตรวจ DNA จากเส้นผมเอลวิสระบุว่า เขามีโรคกล้ามเนื้อหัวใจ hypertrophic cardiomyopathy
ซึ่งเป็นโรคกรรมพันธุ์ มีผลทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
 
หมายเหตุ   เส้นผมที่อ้างว่าเป็นของเอลวิสนี้ได้มาจากเพื่อนของช่างตัดผมประจำตัวเอลวิสขายให้ในราคา
2,000 เหรียญ            


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.ค. 14, 10:09
มาร่วมรำลึกความหลังของ The King สมญาของเอลวิส เพรสลีย์ ค่ะ

Elvis Presley. Jailhouse Rock.( From the movie Jailhouse Rock.1957.) HD. (http://www.youtube.com/watch?v=qka6JrKUM5U#ws)



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.ค. 14, 10:14
ลีลาเคลื่อนไหวส่ายสะโพกของเอลวิส ในจังหวะร็อคแอนด์โรล  เป็นเรื่องช็อคบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ในยุค 50s มาก
ด้วยเห็นว่าเป็นลีลาที่อุจาดบาดตา ถึงขั้นลามกอนาจาร
ดังนั้นเมื่อเอลวิสรับเชิญมาออกรายการทีวี  กล้องจึงจับเฉพาะส่วนบนเป็นส่วนใหญ่  เมื่อให้เห็นทั้งตัว ขาสองข้างของเอลวิสก็ต้องปักอยู่บนพื้นอย่างแน่นหนา จะมาสะบัดเหวี่ยงตามใจชอบไม่ได้

Elvis Presley - Blue Suede Shoes 1956 (COLOR and STEREO) (http://www.youtube.com/watch?v=Bm5HKlQ6nGM#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ก.ค. 14, 10:15
นักร้องเพลงร็อคสมัยนั้นต้องสุภาพเรียบร้อยแบบนี้ค่ะ

Bill Haley & His Comets - Rock Around The Clock (1955) HD (http://www.youtube.com/watch?v=ZgdufzXvjqw#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ค. 14, 09:20
             หลังจากข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคแล้ว คราวนี้ชวนกันข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค
ไปขึ้นฝั่งที่ออสเตรเลีย ฟังเพลงชาติอย่างไม่เป็นทางการของประเทศที่เป็นทวีปนี้กัน ครับ

                  Waltzing Matilda

            เพลง "bush ballad" อายุกว่า  100 ปี ซึ่งเป็นที่รู้จักมักคุ้นที่สุดของออสเตรเลีย
ทรงคุณค่าและความหมายทางจิตใจชาวออสเตรเลีย กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกสำนึกถึงแดนดินถิ่นมาตุภูมิ

bush ballad - บทเพลงพื้นบ้านหรือร้อยกรองแห่งถิ่นฐานย่าน outback(ดินแดนร้อนแล้ง,กว้างใหญ่,
ห่างไกล) ในออสเตรเลีย

               เนื้อร้องประพันธ์โดยกวีนามว่า Banjo Paterson(คนเดียวกับที่ร้อยกรอง The Man From
Snowy River) ในปี 1895

คีตกวี Banjo Paterson บนธนบัตร 10 ดอลลาร์ออสเตรเลีย  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ค. 14, 09:23
            ที่ฟาร์ม Dagworth Homestead ใกล้กับ Winton ในรัฐควีนส์แลนด์ ตามทำนอง
เพลงที่ Christina Macpherson ได้ยินและจดจำมาจากเพลง The Craigielee March
ซึ่งแต่งตามทำนองเพลงพื้นบ้าน celtic ในสก็อตแลนด์ผลงานของ Robert Tannahill
ในปี 1806


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ค. 14, 09:27
           ส่วนเรื่องราวที่มาของเพลงนั้น เวอร์ชั่นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางกล่าวว่า
เนื้อร้องมาจากเหตุการณ์
           การประท้วงของคนงานตัดขนแกะใน Dagworth เมื่อปี 1894 ที่ยืดเยื้อยาวนานหลายเดือน
แล้วทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อผู้ประท้วงยิงปืนขึ้นฟ้าและเผาโรงตัดขนแกะ เจ้าของฟาร์มและตำรวจได้ออก
ไล่จับหัวโจกชื่อ Samuel Hoffmeister ที่ไม่ยอมมอบตัวแต่ตัดสินใจยิงตัวตายตรงแอ่งน้ำที่เรียกว่า
Combo Waterhole
           กวีผู้ประพันธ์เพลงคงจะได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นขณะขี่ม้าผ่านบริเวณนี้กับพี่(หรือน้อง)ชาย
ของคริสติน่า ประกอบกับได้เห็นซากศพของแกะเพิ่งถูกฆ่าทิ้งไว้โดยที่น่าจะเป็นผลงานของหนึ่งในคนจร
ตกงานนับหลายพันที่ตระเวนหางานในย่านนี้ จึงเกิดความสะเทือนใจผูกเรื่องราวเป็นคำร้องลงในทำนอง
เพลงดังกล่าว

กวีผู้ประพันธ์ Banjo (คนขวามือ)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ค. 14, 09:28
Combo Waterhole วันวาน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ค. 14, 09:30
และ วันนี้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 14, 09:10
           ส่วนข้อมูลจากแผ่นป้ายที่ Combo Waterhole บันทึกข้อความแสดงไว้ว่า

           มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนจร(swagman - ที่จะได้กล่าวถึงต่อไป) อยู่สองเหตุการณ์ในย่านนี้

           หนึ่งคือ เรื่องของ Hoffmeister คนงานตัดขนแกะที่ได้ก่อการประท้วงและเผาโรงตัดขนแกะ
เขาเร่งรีบเผาจดหมาย(ข้อความว่าอย่างไร - ไม่ระบุ) แล้วยิงตัวตายที่แคมป์ของผู้ประท้วงซึ่งอยู่ห่าง
จากแอ่งน้ำนี้ขึ้นไปทางต้นน้ำ 13 กม. และ
           สองคือ เหตุการณ์ตำรวจไล่ตามจับชายที่ทุบตีเด็กอะบอริจินถึงแก่ชีวิต จนมาถึงแอ่งน้ำนี้ แต่
ได้พบกับคนจรที่ได้ลงมือฆ่าแกะเพื่อเป็นอาหาร คนจรพยายามหลบหนีโดยกระโดดลงไปในแอ่งน้ำ
แล้วจมน้ำตาย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 14, 09:14
           บทเพลงนี้ซึ่งมีความเป็นออสเตรเลียเต็มที่ ด้วยภาษา, ฉากและตัวละครท้องถิ่น กับเหตุการณ์
ความขัดแย้งทางชนชั้นสะเทือนอารมณ์ที่จบลงตรงเรื่องของศักดิ์ศรีและอิสรภาพ จับใจผู้ฟังทั่วประเทศ
ยาวนานจนเกือบจะได้เป็นเพลงชาติ แต่เมื่อจัดให้มีการลงคะแนนในช่วง 1970s เพลงนี้มาเป็นที่สอง
รองจากเพลง Advance Australia Fair ที่มีเนื้อหาตามแบบฉบับของเพลงชาติมากกว่า Waltzing
Matilda ที่ให้ความรู้สึกถึงถิ่นฐานบ้านเกิด แต่เนื้อเรื่องไม่เข้ากับแนวเพลงชาติ 

            เลือกคลิปเพลงนี้ที่ร้องโดยคณะนักร้องดังจากออสเตรเลีย The Seekers ในปี 1994
ที่ AFL Grand Final ใน Melbourne
(AFL - Australian Football League)   

            The Seekers-Waltzing Matilda 1994 (http://www.youtube.com/watch?v=ESebV4H5JuM#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 14, 09:19
            เนื้อเพลงนี้มีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละเวอร์ชั่น เมื่อดูคำร้องแล้วก็ต้องพึ่งตัวช่วย
เพราะมีคำศัพท์เฉพาะถิ่นออสเตรเลียอยู่หลายคำ

            เริ่มจากตัวเอกของเรื่อง ที่เรียกว่า swagman คือชายคนจรร่อนเร่หางานทำชั่วครั้งคราวจาก
ฟาร์มนี้ไปฟาร์มโน้นนั้น เป็นนักเดินทางแบบ backpacker สะพายหลังด้วยสิ่งที่เรียกว่า  swag นั่นคือ
bedroll - ผืนผ้าเครื่องนอนซึ่งม้วนรวบเก็บข้าวของสมบัติประดามีไว้ข้างใน

รูปสลัก jolly swagman ที่ Winton


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 14, 09:21
นอกจาก swag แล้ว คนจรบางคนยังมีพร็อพประจำตัวอีกอย่างคือ หมวกห้อยไม้คอร์คไล่แมลง(cork hat)
ที่เรียกกันว่า Hobbly-Bob

Goth Carter - swagman ระดับเซเล็บในศตวรรษที่แล้วช่วงทศวรรษ 70 - 80  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ค. 14, 09:27
           และ มวลม้วนผ้าเครื่องนอนข้าวของทั้งหลายที่ติดตัวติดตามคนจรร่อนเร่ไปทุกหนแห่งนี้เอง
ที่มีชื่อเรียกแบบโรแมนติคว่า Matilda


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ค. 14, 09:32
          นาม "มาทิลด้า" นี้ หอสมุดแห่งชาติออสเตรเลียกล่าวว่า เป็นชื่อหญิงสาวชาว Teuton
(ชนเผ่าเยอรมัน - Germanic tribe - คำ German[ic] นี้กรีกและโรมันใช้เรียกชนเผ่าต่างๆ
ทางตอนเหนือของยุโรป) หมายถึงหญิงผู้แกร่งกล้ายามสงคราม 30 ปี(The Thirty Years War
1618–1648) ในยุโรปกลาง
           สงครามข้ามทศวรรษนี้เริ่มจากความขัดแย้งทางศาสนาระหว่าง Protestant กับ Catholic
แล้วขยับขยายกลายเป็นสงครามเพื่อชิงอำนาจในยุโรป ช่วงเวลา 30 ปีของสงครามแสนโหดเหี้ยม
ป่าเถื่อนนี้มีคนตายไปกว่าห้าล้านคน

ชีวิตประชาชนบนเส้นด้ายในช่วงสงครามสามสิบปี A scene of carnage by Jacques Callot


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ค. 14, 09:35
หญิงสาวชาว teuton ผู้โด่งดังข้ามทวีป ทั้งร้องทั้งแสดง Marlene Dietrich(1901 – 1992)
The Teuton Siren บันทึกภาพโดย Edward Steichen


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ค. 14, 09:36
          ต่อมา คำนี้หมายถึงเสื้อโอเวอร์โค้ทขนาดใหญ่ของทหาร(greatcoat)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ค. 14, 10:22
         หรือ ม้วนผ้าเครื่องนอนที่ทหารม้วนแล้วแบกสะพาย
          คำนี้คงนำเข้ามาในออสเตรเลียโดยผู้อพยพชาวเยอรมัน
          หลังจากนั้น "มาทิลด้า" ก็ได้กลายมาเป็นคำสะแลงหมายถึงเครื่องนอนห่อสมบัติสัมภาระ
ที่ติดตัวไปเสมือนเพื่อนร่วมทางและเพื่อนนอนของชายพเนจร

ภาพทหาร(ไม่ระบุสัญชาติ) สมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสะพายม้วนผ้าเครื่องนอน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 14, 09:19
          ส่วน waltz ในที่นี้ มาจากคำเยอรมัน auf der Walz หมายถึง การเดินทางหางานทำ
กับนายช่างเพื่อฝึกเรียนรู้งานเป็นเวลานานสามปี
          เมื่อ waltz และ matilda มาประสมกัน จึงหมายถึงการเดินทางตระเวนหางานทำไปกับ
swag - ม้วนผ้าห่อสมบัติสะพายหลังของบรรดาคนจรที่นี่
          นอกจากนี้ยังมีบางความเห็นจากมโนเพิ่มอีกว่า ในยามกลางคืนที่ชายเร่ร่อนพวกนี้มารวมตัว
สังสันทน์กัน พวกเขาไร้หญิงสาวที่จะเต้นรำด้วย จึงต้องร้องและเต้นกับ swag ของตัวเอง swag นี้
จึงได้ชื่อเป็นหญิงว่า มาทิลด้า


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 14, 09:21
ตำนานหนึ่งเล่าว่า เมื่อรถม้าขับผ่านคนจรริมถนนระหว่างทางไปสู่ Dagworth พี่(หรือน้องชาย) ของ
คริสตินาบอกกับแบนโจผู้แต่งเพลงว่า
       
"that’s what they call Waltzing Matilda"


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 14, 09:27
ฟังเพลงแล้ว ตอนนี้มาดูเพลงกัน ครับ

            Once a jolly swagman camped by a billabong
Under the shade of a coolibah tree,
And he sang as he watched and waited till his billy boiled:
"Who'll come a-waltzing Matilda, with me?"

          ชายจรหยุดพักใต้ร่มไม้พันธุ์ยูคาลิปทัส(coolibah tree) ที่ริมแอ่งน้ำ
(billabong) ระหว่างที่รอน้ำในกระป๋อง(billy) เดือด เขาก็ร้องเพลง
           จะมีไหม ใครหนอมา waltz Matida กับคนอย่างฉัน     
     
          coolibah และ billabong มาจากภาษา Aborigin คำหลังแปลว่า little or no water
วิกกี้อธิบายว่า หมายถึง oxbow lake (a cut-off river bend) แอ่งน้ำที่เป็นส่วนของโค้งสายน้ำ
ซึ่งถูกตัดขาดจากแม่น้ำที่คดโค้งวน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 14, 09:31
*Waltzing Matilda, waltzing Matilda
You'll come a-waltzing Matilda, with me
And he sang as he watched and waited till his billy boiled:
"You'll come a-waltzing Matilda, with me."

              ที่เห็นตอนนี้ ก็มีเพียงน้ำเดือด(ที่ไว้ชงชา)เท่านั้น

              Down came a jumbuck to drink at that billabong.
Up jumped the swagman and grabbed him with glee.
And he sang as he shoved that jumbuck in his tucker bag:
"You'll come a-waltzing Matilda, with me."

             แล้วก็มีเจ้าแกะ(jumbuck) เดินมาดื่มน้ำที่แอ่งน้ำแห่งนี้
ชายจรกระโดดจับตัวแกะแล้วยัดเข้าถุงเก็บอาหาร(tucker bag) ฮึมฮัมเพลง
ด้วยความดีใจ ได้(คู่) waltz Matilda แล้ว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ค. 14, 09:36
*Waltzing Matilda, waltzing Matilda
"You'll come a-waltzing Matilda, with me",
And he sang as he shoved that jumbuck in his tucker bag:
"You'll come a-waltzing Matilda, with me."

          (อนาคตของเจ้าแกะน้อยคงจะไม่พ้นกลายเป็น lambchops ในไม่ช้า
แต่ไม่ใช่ ณ ที่นี้ ต้องเป็นที่อื่นห่างออกไป)
          เจ้าแกะน้อยจะได้ waltz Matilda กับฉัน(กลายเป็นอาหารมื้ออิ่ม)

           Up rode the squatter, mounted on his thoroughbred.
Down came the troopers, one, two, and three.
"Whose is that jumbuck you've got in your tucker bag?
You'll come a-waltzing Matilda, with me."
     
          (แต่ช้าก่อน ยังมีเจ้าของแกะผู้เป็น) จ้าวแผ่นดิน(squatter ผู้ที่เข้าจับจองพื้นที่
กว้างใหญ่ไพศาลใช้เลี้ยงสัตว์ สร้างฐานะจนมั่งมี) ขี่ม้าพันธุ์แท้มาตามทาง
ตามมาด้วยตำรวจ(troopers - ในสมัยอาณานิคม งานตำรวจเป็นหน้าที่ของกองทัพ คำนี้
จึงติดปากใช้เรียกตำรวจต่อมา) หนึ่ง, สอง และสามคน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ค. 14, 09:35
        Waltzing Matilda, waltzing Matilda
"You'll come a-waltzing Matilda, with me",
"Whose is that jumbuck you've got in your tucker bag?
You'll come a-waltzing Matilda, with me."

        (เมื่อมาถึง เขาแกล้งถามชายจรว่า) แกะในถุงนั้นเป็นของใคร (ส่วนตำรวจก็ตรง
เข้าหมายจะจับตัวชายจร พวกเขาบอกว่า)
         มา waltzing Matilda (คุมตัวพาเข้าไปในเมือง) ด้วยกัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ค. 14, 09:38
          Up jumped the swagman and sprang into the billabong.
"You'll never take me alive!" said he
And his ghost may be heard as you pass by that billabong:
"Who'll come a-waltzing Matilda, with me?"

Waltzing Matilda, waltzing Matilda
"You'll come a-waltzing Matilda, with me",
And his ghost may be heard as you pass by that billabong:
"Who'll come a-waltzing Matilda, with me?"

          ชายจร(ตัดสินใจในทันทีว่า ยอมตายดีกว่าถูกจับติดคุกสิ้นอิสรภาพ) โดดลุกขึ้นแล้ว
ดีดตัวลงหนองน้ำ (ก่อนจะจมลงเขาร้องบอกว่า) พวกนาย ไม่มีวันจับเป็นฉันได้
          (เป็นอันว่า จบชีวิตยากไร้ ไม่มีค่าของชายจร แต่) วิญญาณของเขายังคงวนเวียน
ส่งเสียงหลอนผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาว่า
                   จะมีไหม ใครหนอมา waltz Matida กับคนอย่างฉัน      


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ค. 14, 10:30
          เคยฟังเพลงนี้เวอร์ชั่นที่สะเทือนใจที่สุด จากข่าวพิธีรำลึกถึงชาวออสเตรเลียผู้จากไป
ด้วยเหตุการณ์ tsunami ในไทย ถึงเนื้อร้องตอนที่ swagman กระโดดลงจมในแอ่งน้ำคงเป็น
ช่วงที่เศร้าที่สุดสำหรับญาติมิตรที่ร่วมกันร้องเพลงนี้ในวันนั้น

Aussies join Thai tsunami memorial
Updated Tue 27 Dec 2005
 
     Australians have tossed flowers into the sea and hugged each other to
fight off tears as they gathered in the Thai resort of Phuket to remember
their family and friends killed in the tsunami a year ago.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ค. 14, 10:31
           และ   คลิปนี้ เป็นเวอร์ชั่นบรรเลง Waltzing Matilda Memorial for Christopher Lane

                 Waltzing Matilda Memorial (http://www.youtube.com/watch?v=nHkYqlVoEqk#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ค. 14, 10:34
          คริส เป็นหนุ่มออสเตรเลียที่มาเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนทุนนักกีฬาเบสบอล ณ Oklahoma’s
East Central University
          เขาถูกยิงเมื่อปีที่แล้วโดยเยาวชนอเมริกัน  With the simplest of motives —
                    breaking up the boredom of an Oklahoma summer

           วัยรุ่นเซ็งซัมเมอร์สามคนเห็นคริสเดินผ่านมา ทั้งสามตามเหยื่อไปแล้วยิงเขาจากข้างหลัง
                     for “the fun of it”


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 12 ก.ค. 14, 15:26
มาลงชื่อว่ายังอยู่นะครับ  8)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ค. 14, 18:01
ขอบคุณครับ คุณประกอบทุเลาอาการสลดรถไฟไทยหรือยัง? และ

                 When will you come a-waltzing Matilda with me?
                                                ^เล่าเรื่องเพลงเก่ากัน^


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 14, 09:59
          เพลงต่อไป ขอวกกลับมายังสหรัฐอเมริกา(อีกแล้ว) แต่เป็นฟากตะวันออกบ้าง
ภูมิใจเสนอเพลงเก่าจากศตวรรษที่ 19 ผลงานของนักแต่งเพลงอาชีพคนแรกของอเมริกา

                      Old Folks at Home

or    Swanee River

เชิญฟังเพลงนี้จากเสียงร้องของ Bing Crosby ในหนังเรื่อง Mississippi(1935)

           Bing Sings "Swanee River" (http://www.youtube.com/watch?v=1xANozWnQEw#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 14, 10:03
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 14, 10:05
          เพลงเก่าแสนประทับใจจากปี 1851 นี้ประพันธ์โดย Stephen Foster(1826 – 1864)
ชื่อของเพลงนั้นคือ Old Folks at Home แต่หลายคนกลับจดจำชื่อเพลงจากเนื้อร้องวรรคแรก
ที่ว่า Way Down Upon the Swanee River(Ribber) แล้วเรียกกันอีกชื่อว่า Swanee River
โดยที่ชื่อแม่น้ำในเพลงนี้ผู้แต่งได้ตัดแปลงจากชื่อจริงให้พอดีกับทำนองเพลง กล่าวคือ
          ฟอสเตอร์ประพันธ์เนื้อร้องอิงสถานที่คือแม่น้ำ"สุวรรณี" Suwannee ซึ่งมีต้นน้ำอยู่ที่ Fargo
ทางตอนใต้ของ Georgia แล้วเรื่อยไหลลงใต้ ผ่านรัฐ Florida มาลงอ่าวเม็กซิโก รวมความยาว 250 ไมล์


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 14, 10:10
          ชื่อของแม่น้ำนี้ มีที่มาอ้างอิงต่างกัน เว็บไซท์ของ University of South Florida
บอกว่า มาจาก

            Timucuan Indian word Suwani means Echo River ...
            River of Reeds, Deep Water, or Crooked Black Water

รูปแม่น้ำสุวรรณีจากโพสท์การ์ดของเก่า


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 14, 10:13
           ฟอสเตอร์ได้ขายเพลงนี้ให้แก่คณะนักแสดง  Christy’s Minstrels* แห่งนิว ยอร์ค

*Christy's Minstrels คือ คณะนักร้องนักแสดงจัดตั้งโดย Edwin Pearce Christy
ในปี 1843 นำเสนอการแสดง minstrel show(หรือ minstrelsy) ที่เป็นการแสดงสารพัน
บันเทิง(variety show) ประกอบด้วยละคร(ย่อย) ตลก, เพลงทั้งร้องทั้งเต้น โดยผู้แสดง
ผิวขาวที่ทาหน้าดำหรือคนผิวดำในช่วงหลังสงครามกลางเมือง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 14, 10:15
นักร้อง นักปรนบันเทิงชื่อดัง Al Jolson แห่งต้นศตวรรษที่ 20(ปู่คือ entertainer ยอดนิยม
ที่มีค่าตัวสูงสุดในช่วง 1930s) รับบทเป็น Christy แห่งคณะ Christie's Minstrels ในหนัง
ชีวประวัติของฟอสเตอร์เรื่อง Swanee River(1939)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 14, 10:18
           E. P. Christy หัวหน้าคณะนั้นได้จ่ายเงินให้ฟอสเตอร์เพื่อสิทธิ์ในการนำเพลงไปร้อง
และได้ขึ้นเครดิทว่าเป็นผู้สร้างสรรค์เพลงนี้เมื่อออกตีพิมพ์ แต่ฟอสเตอร์ก็ได้เรียกคืนเครดิท
ความเป็นผู้ประพันธ์ในเวลาต่อมา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 10:33
          ตำนานเล่าว่า ฟอสเตอร์แต่งเนื้อร้องจนหมดแล้ว เหลือแต่ชื่อของแม่น้ำในวรรคแรกที่ยัง
ไม่ลงตัว เขาไปหาพี่ชายที่ออฟฟิซและปรึกษาว่าอยากได้ชื่อแม่น้ำสองพยางค์ทางตอนใต้ พี่ชาย
ได้เสนอชื่อแม่น้ำ Yazoo ใน Mississippi แต่ฟอสเตอร์ฟังแล้วรู้สึกสะดุดไม่กลืนไปกับเพลง
           พี่ชายจึงต้องพึ่งสมุดภาพแผนที่ เมื่อกางออกดูแล้วก็ได้พบชื่อนี้ Suwannee ซึ่งเป็นที่
ถูกใจ ใช่เลย
              
ส่วนต้นร่างเนื้อเพลงลายมือของฟอสเตอร์นั้น ปรากฏบรรทัดแรกเขียนว่า

           Way down upon de old plantation และตามมาด้วย
           Way down upon de Peedee(ขีดเส้นใต้สองเส้น) ribber

ก่อนที่จะมาเป็น Swanee ในที่สุด


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 10:36
          ตัวฟอสเตอร์นั้นเกิดใน Lawrenceville ริมแม่น้ำ Allegheny แล้วต่อมาครอบครัว
ย้ายข้ามแม่น้ำไปยัง Allegheny City, Pittsburgh, Pennsylvania
          เขาไม่เคยไปเยือนทั้ง Georgia หรือ Florida ในขณะที่ความนิยมชมชอบเพลงนี้
ได้พาให้นักเดินทางหลั่งไหลมาฟลอริดาเพื่อจะได้เห็นแม่น้ำสุวรรณีในเพลง

Suwannee River State Park, Florida


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 10:41
          จากเนื้อร้องซึ่งบรรยายความรู้สึกคิดถึงบ้านไร่ที่จากมา อาลัยครอบครัวและญาติผู้ใหญ่
ที่ยังอยู่หลังของคนผิวสี ทำให้ฟอสเตอร์โดนข้อหาแรกว่า นำเรื่องทาสมาทำให้เป็นเรื่องโรแมนติค
และ
          การใช้คำของคนผิวสีในเนื้อเพลงนี้(เช่น ribber - river, mudder - mother และ
โดยเฉพาะคำว่า darkeys) ก็ก่อเสียงวิจารณ์จากบางคน(โดยที่บางคนอื่นก็ไม่เห็นด้วย) ว่า
เพลงนี้เข้าข่ายเหยียดผิว(racism) ทั้งที่ตัวฟอสเตอร์เองนั้นเป็นพวกฝ่ายเหนือที่เห็นอกเห็นใจ
ชนผิวสี

Old Folks at Home โดยคณะนักร้องประสานเสียง Robert Shaw Chorale

            Old Folks At Home - Stephen Foster - Robert Shaw Chorale.avi (http://www.youtube.com/watch?v=Mi7Xo8rKtbw#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 10:45
          ส่วนภาพและบรรยากาศบ้านไร่ที่เนื้อร้องบรรยายนั้น เขาว่าเข้าได้กับชีวิตบ้านไร่
ในศตวรรษที่ 19 ของ South Carolina แถบแม่น้ำ Pee Dee มากกว่าพื้นที่แถบหนองน้ำ
และฟาร์มเล็กๆ ของจอร์เจียและฟลอริด้า

               Still longing for de old plantation

In a cotton field of South Carolina, 1860 -1900


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 10:48
             And for de old folks at home

ภาพถ่าย 5 Generations จาก Beaufort County, South Carolina ในช่วง 1860s


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 10:50
            One little hut amond de bushes,
            One dat I love, 

South Carolina Plantation Slave Houses


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 10:51
           When will I hear de banjo tumming
           Down in my good old home?

"The Old Plantation" painting, ca. 1790. Shows leisure activities of slaves
in South Carolina


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 14, 11:17
ชอบเพลงนี้มาก เคยร้องประสานเสียงในโรงเรียนตอนเด็กๆ  และเคยเล่นเพลงนี้ด้วย   ขอบคุณคุณ SILA  ที่นำเบื้องหลังมาเล่าให้ฟังค่ะ
เพลงของคนดำอีกเพลงที่ชอบมาก  คือ Old Black Joe ค่ะ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ก.ค. 14, 12:25
แม่น้ำอะไร้ ชื่อไทยชะมัด

http://www.youtube.com/watch?v=1S0keeGIgcY#ws (http://www.youtube.com/watch?v=1S0keeGIgcY#ws)

แม่น้ำสุวรรณี  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 14:29
         ชื่อของแม่น้ำนี้ มีที่มาอ้างอิงต่างกัน เว็บไซท์ของ University of South Florida
บอกว่า มาจาก

              Timucuan Indian word Suwani means Echo River ...
              River of Reeds, Deep Water, or Crooked Black Water

รูปแม่น้ำสุวรรณีจากโพสท์การ์ดของเก่า


       ทั้งชื่อแม่น้ำและชื่อไทยต่างก็มาจาก"อินเดีย"(Timucuan Indian กับ สันสกฤต) หนอ,คุณเพ็ญ 555    


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ก.ค. 14, 15:08
ชนพื้นเมืองอเมริกันเผ่าทีมูกัว กับ ชนชาวอินเดียในชมพูทวีป  มีเชื้อสายและภาษามาจากคนละแหล่งแน่นอน พวกแรกเป็นมองโกลอยด์ พวกหลังที่เคยใช้สันสกฤตเป็นพวกคอเคซอยด์

ความหมายของคำว่า "สุวรรณี" หรือ "สุวรรณา" ในสันสกฤต ก็ต่างจาก "Suwannee" ในภาษาทีมูกัวเหลือเกิน

ป.ล. คุณศิลาระวังคุณหมอนวรัตนจ่าย "น้ำแป้งเท้ายายม่อม"  (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6007.msg134667#msg134667) รักษา "โรคหนอ" หนอ ๕๕๕  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 15:22
         ชอบแล้ว ;) ที่คุณเพ็ญมารับมุกที่ส่งไป แล้วช่วยอธิบายเผื่อใครจะเข้าใจผิด
คิดว่าพูดเรื่องจริงหนอ  :-X


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ก.ค. 14, 15:29
         ตัวฟอสเตอร์นั้นเกิดใน Lawrenceville ริมแม่น้ำ Allegheny แล้วต่อมาครอบครัว
ย้ายข้ามแม่น้ำไปยัง Allegheny City, Pittsburgh, Pennsylvania
          เขาไม่เคยไปเยือนทั้ง Georgia หรือ Florida ในขณะที่ความนิยมชมชอบเพลงนี้
ได้พาให้นักเดินทางหลั่งไหลมาฟลอริดาเพื่อจะได้เห็นแม่น้ำสุวรรณีในเพลง

นักแต่งเพลงมีพรสวรรค์เรื่องจินตนาการ ฟังประวัติที่คุณศิลาเล่าถึงเพลงนี้ ผู้แต่งไม่เคยไปเห็นแม่น้ำสุวรรณี  นึกถึงเพลงดัง ๆ ของไทย ครูแก้ว อัจฉริยกุล ผู้แต่งเพลง "ภูกระดึง" ก็ไม่เคยขึ้นภูกระดึงสักครั้งเดียว  ครูไสล ไกรเลิศก็แต่งเพลง "ผู้ชนะสิบทิศ" ที่ขึ้นต้นว่า "ฟ้า.. ลุ่ม อิรวดี คืนนี้ มีแต่ดาว" ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาโดยไม่เคยไปเห็นแม่น้ำอิรวดีสักครั้งเหมือนกัน  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 14, 15:35
เพลงประกอบ หนอ


ภูกระดึง - มัณทณา โมรากุล (http://www.youtube.com/watch?v=PM0ET04K5Fg#)

บุเรงนองรำลึก ชรินทร์ นันทนาคร (http://www.youtube.com/watch?v=zWRYJv3O25k#)

เพลงนี้ชื่อ บุเรงนองรำลึก   แต่คนมักจำว่าชื่อ ผู้ชนะสิบทิศ ตามตอนท้ายของเพลง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ก.ค. 14, 15:53
เพลงนี้ชื่อ บุเรงนองรำลึก   แต่คนมักจำว่าชื่อ ผู้ชนะสิบทิศ ตามตอนท้ายของเพลง
ขออนุญาตคุณศิลาวิสัชนาเรื่องนี้สักหน่อย ใน เว็บชรินทร์โชว์ (http://www.charinshow.com/song/s133_bu-reng-nong-ram-lek.html) ให้ข้อมูลว่า "ชื่อแรกเริ่มของเพลงนี้คือ บุเรงนองรำลึกต่อมามีการเสริมเนื้อเพลงบางส่วน และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของผู้ชนะสิบทิศดังทุกวันนี้"

ฟังจากคำร้องของเพลงที่คุณเทาชมพูหามา น่าจะเป็นเพลง "ผู้ชนะสิบทิศ"  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ค. 14, 16:26
            จำได้อย่างเช่นที่กล่าวไว้ว่า คนนิยมเรียกเพลงผู้ชนะสิบทิศจากคำลงท้ายของเพลง
แทนชื่อจริง   

             นอกจากสองเพลงที่คุณเพ็ญยกมาแล้ว ที่นึกได้อีกก็คือเพลงคือ มนต์เมืองเหนือ
ของครูไพบูลย์ บุตรขัน ประพันธ์โดยที่ตัวครูเองนั้นไม่เคยไปเชียงใหม่(ไปแค่ลำปาง)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.ค. 14, 16:47
    เพลงของครูไสล ไม่ว่าจะแต่งเนื้อเก่าเนื้อใหม่เพิ่ม ชื่อ บุเรงนองรำลึก ค่ะ    เนื้อใหม่เป็นที่นิยมแพร่หลายกว่า   เนื้อเก่าก็เลยถูกลืมเลือนไป 

    เพลงชุดจุฬาตรีคูณ  ทั้งครูแก้วครูเอื้อไม่เคยไปอินเดียเหมือนกัน   ประพันธ์ขึ้นจากบทประพันธ์ของเด็กนักเรียนมัธยมปลาย ชื่อฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.ค. 14, 10:15
กลับมาดูเรื่องราวของฟอสเตอร์และเพลงของเขาต่อ ครับ

              เพลงแม่น้ำสุวรรณี นี้ได้รับเลือกให้เป็นเพลงประจำรัฐฟลอริด้ามาแต่ปี 1935 แล้ว
ถูกแทนที่ด้วยเพลงใหม่ในปี 2008

รูปวาด คนเก่า(คนแก่) ที่บ้านเกิด Old Folks at Home ใน Stephen Foster State Park, Florida       


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.ค. 14, 10:17
           นอกจากเพลงนี้แล้ว ฟอสเตอร์ ยังเป็นผู้ประพันธ์เพลงดัง Oh! Susanna ที่ขายดิบ
ขายดี เหล่า forty niners มุ่งตะวันตกต่างก็นิยมร้องเล่นเพลงนี้ จนแทบจะกลายเป็นเพลงชาติ
ของชาวตื่นทองแคลิฟอร์เนีย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.ค. 14, 10:21
          คลิป Al Jolson ร้องเพลง Oh! Susanna ในหนังชีวประวัติของฟอสเตอร์เรื่อง Swanee River
(มีคลิปจากหนังเรื่องนี้ที่เขาร้องเพลง Swanee River ด้วยแต่เสียงและภาพไม่ชัดเจน)
     
            Swanee River (http://www.youtube.com/watch?v=0XVlD644AE0#)

นอกจากนี้ปู่ Al ยังเป็นผู้ที่นำเพลง Swanee ซึ่งประพันธ์"ล้อเลียน" เพลง Old Floks at Home
โดยคีตกวีเอก George Girshwin ไปร้องจนโด่งดังกลายเป็นเพลงฮิทเพลงแรกและเพลงที่ทำ
รายได้สูงสุดของเกิร์ชวิน
 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.ค. 14, 10:24
            ฟอสเตอร์ยังได้ประพันธ์เพลง My Old Kentucky Home ที่กลายเป็นเพลงประจำ
รัฐเคนทัคกี้ที่ฟอสเตอร์ก็ไม่เคยไป แต่มโนความอาลัยคิดถึงถิ่นฐานขึ้นมา เช่นกัน
            เขามีผลงานเพลงมากมายนับร้อยจนได้รับสมญาว่า บิดาแห่งดนตรีอเมริกัน(Father of
American music) ทั้งยังเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นนักแต่งเพลงอาชีพคนแรกของอเมริกา มีผลงาน
เพลงเป็นที่นิยมแห่งศตวรรษที่ 19


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.ค. 14, 10:31
            แต่ชีวิตนักแต่งเพลงอาชีพของเขาในยุคนั้นที่ยังไม่มีการจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ผลประโยชน์
ของผู้ประพันธ์อย่างเป็นระบบระเบียบเช่นสมัยนี้ ส่งผลให้เขามีรายได้จากการตีพิมพ์เพลงเผยแพร่
ไม่มากเท่าที่ควร โน้ตเพลงพร้อมเนื้อร้องของเขา(sheet music) ถูกสำนักพิมพ์อื่นๆ นำไปพิมพ์
ออกขายโดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ หากเป็นในสมัยนี้เขาน่าจะมีรายได้ปีละนับล้านเหรียญ

อาคารอนุสรณ์รำลึกถึงศิลปินเอกของชาติชาวพิตส์เบิร์ก The Stephen Foster Memorial
ใน University of Pittsburgh* ที่ออกแบบเป็นโบสถ์น้อยสไตล์กอธิค ผนังเป็นกระจกสี
แสดงรูปจากเรื่องราวของเพลงที่เขาแต่ง ภายในเก็บรักษาข้าวของใช้ต่างๆ ของฟอสเตอร์

*ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ฟอสเตอร์เกิดใน Lawrenceville ริมแม่น้ำ Allegheny แล้วต่อมาครอบครัว
ย้ายข้ามแม่น้ำไปยัง Allegheny City, Pittsburgh, Pennsylvania


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.ค. 14, 10:34
กระจกสีรูปฟอสเตอร์กับเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เขาฝึกเล่นเป็น ที่ The Stephen Foster Memorial


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ก.ค. 14, 10:36
           ฟอสเตอร์มีปัญหาดื่มสุราจัดและประสบปัญหาทางการเงินจนต้องขายสิทธิ์เพลงที่
เขาจะแต่งล่วงหน้าไปในปี 1857 ช่วงท้ายของชีวิตเขาย้ายไปนิว ยอร์ค ในปี 1860 ส่วน
ภรรยาและลูกแยกกลับไปพิตส์เบิร์ก
           ช่วงเวลาในนิวยอร์คระหว่างปี 1860 - 1864 นี้เป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตฟอสเตอร์
ในขณะที่สงครามกลางเมืองกำลังสู้รบสูญเสียอย่างหนัก บิดาของเขาก็ได้จากไป 'old folks'
ของเขาไม่เหลืออยู่ 'at home' แล้ว ส่วนตัวเขาเองนั้นทั้งรายได้และผลงานก็ลดน้อยด้อยลง
จนต้องอยู่อย่างขัดสนยากไร้

รูปถ่ายในปี 1864 ของฟอสเตอร์กับเพื่อน(Gary Cooper) ผู้ร่วมประพันธ์เพลงและผู้ให้
ความช่วยเหลือเขาในนิวยอร์ค รูปนี้น่าจะเป็นรูปสุดท้ายในชีวิตของเขา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ก.ค. 14, 14:25
จำเพลงนี้ได้  เลยไปหาที่จูดี้ การ์แลนด์ร้องมาเปิดในกระทู้ให้ฟังค่ะ

Judy Garland - "Swanee" (http://www.youtube.com/watch?v=CDHHMesF1ns#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:37
             และแล้ว ฟอสเตอร์ผู้ born on the 4th of July 1826 ก็จากไปในปี 1864
ด้วยวัยเพียง 38 ปี เมื่อฟอสเตอร์ที่นอนซมด้วยพิษไข้อยู่เดียวดายในห้องพักที่โรงแรมใน
นิว ยอร์คพยายามยันกายลุกขึ้นยืนจากเตียงแล้วล้มลงฟาดอ่างล้างหน้าได้รับบาดแผลที่คอ
และศีรษะ เขาเสียชีวิตหลังจากถูกรับรักษาตัวในโรงพยาบาลได้สองวันจากภาวะการเสียเลือด
รุนแรง  

สิ่งที่เหลืออยู่ในกระเป๋าสตางค์เก่าๆ ของเขา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:38
คือธนบัตรและเหรียญ ไม่กี่เซนต์ ไม่กี่เพ็นนี


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:39
          ส่วนในกระเป๋า(กางเกงหรือเสื้อ) - pocket เป็นกระดาษโน้ตบันทึกข้อความ
ที่อาจจะเป็นชื่อเพลงใหม่ของเขาว่า Dear friends and gentle hearts


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:40
           พิธีศพถูกจัดขึ้นที่ Trinity Church, Pittsburgh โดยมีเพื่อนของเขามาร่วมพิธี
หลายคน เพลงของเขาที่ใช้ร้องในวันนั้นคือเพลง Old Folks at Home และ
Come Where My Love Lies Dreaming

คลิปจากเสียงร้องโดย Jimmy Rodgers & The Lampliters  

              Come Where My Love Lies Dreaming by Jimmy Rodgers & Lampliters on 1960 Guest Star LP. (http://www.youtube.com/watch?v=DSlOE4PqwUw#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:42
           หลังการจากไปของเขา เพลง Beautiful Dreamer หนึ่งในเพลงที่เขารักมากที่สุด
และเป็นเพลงที่เขาแต่งไว้ไม่นานก่อนจากไปก็ได้ตีพิมพ์ออกเผยแพร่ และได้รับความนิยมอย่างสูง

เชิญรับฟังเพลงนี้จากเสียงร้องของ Roy Orbison
    
            Beautiful Dreamer - Roy Orbison 1963 HQ Lyrics MusiClypz (http://www.youtube.com/watch?v=m-U5BCReEsM#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:49
          Old Black Joe เป็นอีกหนึ่งผลงานของฟอสเตอร์ที่เป็นที่นิยม ผู้ร่วมงานอาวุโส
ซึ่งเข้าเรียนในโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่อนุบาลจนประถมสามารถจดจำและร้องเพลงนี้กับเพลง
แม่น้ำสุวรรณี ได้จนถึงวันนี้
           ตำนานเล่าว่า ฟอสเตอร์ประพันธ์ขึ้นจากความประทับใจในตัวคนรับใช้ที่บ้านของพ่อตา
และสัญญากับโจผู้ใจดีว่าจะแต่งเพลงเกี่ยวกับตัวเขา แม้เป็นเพลงเกี่ยวกับคนดำเช่นเดียวกับ
เพลงแม่น้ำสุวรรณี และใช้ในการแสดง Minstrelsy ที่จะใช้คำของคนดำในเนื้อร้อง แต่สำหรับ
เพลง Old Black Joe ฟอสเตอร์แหกกฏนี้ ไม่มีคำแบบที่คนดำใช้ในเนื้อร้อง

เชิญรับฟังเพลงแสนเศร้า สุดเหงา ไม่เหลือใคร Old Black Joe จากเสียงร้องของ Bing Crosby 

            Bing Crosby - Old Black Joe (Foster) (http://www.youtube.com/watch?v=9VQw4c6x2as#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:52
           แม้ว่าฟอสเตอร์จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ผลงานเพลงของเขายังอยู่ยืนยงและยังคง
เป็นที่นิยมสืบมา
            เพลงแม่น้ำสุวรรณี นี้ได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีกหลังจากที่ฟอสเตอร์เสียชีวิตไปแล้ว
นักประวัติศาสตร์ดนตรีระบุว่า เพลงนี้พุ่งขึ้นสู่ความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษ 1890s และข้ามมา
ถึงช่วง 1900s

คลิปเพลง Old Folks at Home จากหนังชีวประวัติฟอสเตอร์เรื่อง I Dream of Jeanie*(1952)
เพลงที่สอง ประมาณนาทีที่ 2.22 จากฉากการแสดงของคณะ Christy's Minstrels โดยการร้อง
ของ Edwin Christy ที่รับบทโดย Ray Middleton
*Jeanie คือชื่อเล่นของภรรยาของฟอสเตอร์ Jane Denny McDowell
 
          Christy's Minstrels in Blackface - Part 1 (http://www.youtube.com/watch?v=6NqbxQw0rdY#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ก.ค. 14, 09:53
          แม้ว่าบทเพลงชีวิตของฟอสเตอร์จะได้บรรเลงจบไปนานแล้ว แต่ผลงานเพลงของเขา
ยังคงบรรเลงกล่อมโลกต่อเนื่องกันมายาวนานนับศตวรรษ

รูปสลักของ Stephen Foster ที่ University of Pittsburgh, Pensylvania


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 14, 09:31
           จากเพลงเกี่ยวกับคนดำประพันธ์โดยคนขาวแล้ว มาฟังเพลงเกี่ยวกับคนพื้นเมือง
ผู้เป็นเจ้าบ้าน เจ้าเรือน ณ อเมริกาอยู่มาแต่เก่าก่อนที่คนขาวจะมาเยือนแล้วยึดครอง ประพันธ์
โดยคนขาวเช่นกัน เป็นเพลง ballad เล่าเรื่องรักต้องห้ามข้ามเผ่า ฟังแล้วไม่เศร้าเท่าไหร่
และไม่เครียดด้วยเรื่องความขัดแย้งทำลายล้างเผ่าพันธุ์จากผู้รุกราน

                        Running Bear - Johnny Preston

                 Johnny Preston - Running Bear (HQ) + lyrics (http://www.youtube.com/watch?v=-Kz42oFVBNg#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 14, 09:33
            ผลงานการประพันธ์โดย J. P. Richardson เวอร์ชั่นที่โด่งดังที่สุดได้ยินสมัยเด็ก
เป็นเวอร์ชั่นปี 1959 จากเสียงร้องของ Johnny Preston ซึ่งเป็นเพื่อนกับริชาร์ดสัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 14, 09:35
           เนื้อเพลงเล่าเรื่องคู่รักที่ไม่อาจสมหวัง แนวโรเมโอ จูเลียต ที่จบลงด้วยความตายในสายน้ำ
ฝ่ายชายชื่อ หมีวิ่ง ที่ความจริงเกี่ยวกับสัตว์ร่างใหญ่แลดูเทอะทะตัวนี้ก็คือ เจ้าหมีหนัก 500 ปอนด์นั้น
สามารถวิ่งได้เร็วเท่ากับม้า นั่นคือ 30 ไมล์ต่อชั่วโมง ส่วนฝ่ายหญิงชื่อ พิราบขาว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 14, 09:37
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 14, 09:38
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 28 ก.ค. 14, 09:40
            เนื้อเพลงตอนท้ายกล่าวถึง ทุ่งล่าแสนสุข Happy hunting ground ซึ่งเป็น
แนวคิดของชนพื้นเมืองเรื่องดินแดนหลังความตาย คล้ายกับสวรรค์ของชาวเมือง
            หลังความตาย "วิญญาณ"(โดยนัยความเชื่อที่ไม่ตรงกับ"วิญญาณ" ทางพุทธศาสนา)
เมื่อจากร่างเดิมแล้วจะได้ไปอยู่ที่ทุ่งแสนสุขนี้(ยกเว้นในรายที่ถูกถลกหนังหัว) ที่ซึ่งมีสัตว์ให้ล่า
เป็นอาหารมากมายไม่มีหมด อากาศก็สดชื่นรื่นรมย์


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 14, 12:59
เคยฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนอยู่ม. ต้น  ชอบมาก จังหวะกลองอินเดียนแดงเร้าใจดีค่ะ แล้วยังมีเสียงร้อง อ๊บ อ๊บ เหมือนเสียงกบอยู่ในแบคกราวน์ด้วย

เคยสงสัยตามประสาเด็กว่า  สองคนนี้ไม่อาจข้ามแม่น้ำไปถึงกันได้ ได้แต่ชะเง้อมองกัน แล้วเป็นแฟนกันได้ไง หนอ
สองเผ่ามันข้ามไปถึงกันไม่ได้นี่นา  แล้วมันรบกันได้ไง    เมื่อรบกันได้ก็ต้องมีทางข้ามไปสู่สนามรบกันได้ซี  ทำไมพระเอกนางเอกไม่ยักใช้เส้นทางนั้น  กลับโดดลงน้ำเชี่ยวจนตายกันไปทั้งคู่

Running Bear - Johnny Preston - Original recording 1959. (http://www.youtube.com/watch?v=E3meEmDpaDU#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 14, 13:02
คุณปู่มาร้องให้ฟังอีกครั้ง   ในวัย 80 up  เสียงคุณปู่ยังแจ๋ว

Johnny Preston - Running Bear 2009 (http://www.youtube.com/watch?v=4XBXjH6QET4#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ค. 14, 09:16
          เสียงร้องแบ็คกราวนด์ เสียงโห่ร้องโรมรัน(Indian war cries) บ่งบอกภาวะทะเลาะ
วิวาทประกาศสงครามกันระหว่างสองเผ่าสองฝั่งแม่น้ำ เป็นเสียงของริชาร์ดสัน ผู้ประพันธ์ และ
George Jones นักร้องเพลงคันทรี่
          
          เพลงนี้ได้รับการบันทึกเสียงแล้วออกเผยแพร่ในเดือนสิงหาคม ปี 1959 หลังจากที่
ริชาร์ดสัน(The Big Bopper) เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางเครื่องบิน* 9 เดือน เพลงประสบ
ความสำเร็จด้วยแนวเพลงรักระทมโดนใจวัยรุ่นยุคนั้น

* อุบัติเหตุครั้งนั้นได้สร้างความสูญเสียครั้งใหญ่ต่อวงการเพลงอเมริกา เนื่องจากว่าได้คร่าชีวิต
ของอีกสองนักร้องดัง นั่นคือ Buddy Holly และ Ritchie Valens ด้วย
           วันที่เกิดเหตุการณ์ - วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1959 นั้น คือวันที่ Don McLean ประพันธ์ไว้
ในเพลง American Pie ว่าเป็น The Day the Music Died


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ค. 14, 09:36
           จากการค้นหาตำนานเรื่องราวความรักของทั้งสองตามเว็บต่างๆ ปรากฏเรื่องเล่าดังเช่น
ในเนื้อเพลงนี้ที่เว็บแห่งหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึง
           เขตสงวนชนพื้นเมือง Lac Coutre Oreilles Indian Reservation ใน Wisconsin
แถบตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นี่, ในอาคารส่วนหน้ามีรูปสลักไม้ขนาดสูงกว่า 6 ฟุตตั้งอยู่ (อ้างว่า) เป็น
รูปของหมีวิ่ง นักรบเผ่า Chippewa ผู้สร้างตำนานรักต้องห้ามเพราะสงครามระหว่างสองเผ่ากับพิราบน้อย  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ค. 14, 09:46
         ส่วนตำนานเผ่าอินเดียนแดงที่เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ สายน้ำ ความรัก และ ความตาย นั้น
เว็บแห่งหนึ่งเล่าถึงตำนานหินโกเมน The Legend of Garnet Rock ความว่า

          กาลครั้งหนึ่งช่วงหน้าร้อนคราวนั้น ชนเผ่าพื้นเมืองได้ย้ายถิ่นมาตั้งกระโจมพำนักที่ริมฝั่ง Fish
Creek ซึ่งปัจจุบันนี้คือ Central New York เพื่อที่จะใช้เวลาหน้าร้อนนี้ตกปลาและหาอาหารเก็บไว้
ใช้ในหน้าหนาว

Fish Creek, Central New York วันนี้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ก.ค. 14, 09:50
           วันหนึ่ง ขณะที่นักรบผู้กล้านามว่า หมีวิ่ง กำลังล่าปลาในลำธาร เขาได้พบกับหญิงงาม
นามว่า แก้วตา(โกเมน Garnet Eyes) ซึ่งเป็นสาวน้อยต่างเผ่า เธอกำลังล้างรากต้นอ้อที่เพิ่ง
เก็บมาได้จากชายน้ำ
            ทั้งสองต้องใจรักผูกสมัครสมานเตรียมการแต่งโดยมีสมาชิกในเผ่าของทั้งสองฝ่ายต่าง
ร่วมยินดีและสนับสนุน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 ก.ค. 14, 09:21
           เย็นวันหนึ่ง ลมแรงหอบพายุฝนมาตกลงตรงแถบนี้ ในขณะที่แก้วตาลงไปเก็บผลไม้
บริเวณชายฝั่งแม่น้ำ กระแสอุทกภัยที่ไหลล้นท้นท่วมฉับพลันก็ได้พัดพรากเธอจากไป


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 ก.ค. 14, 09:24
           หมีวิ่ง รับรู้ข่าวร้ายในเวลาต่อมาด้วยหัวใจสลาย เขากลับไปยังก้อนหินขนาดใหญ่
ที่ซึ่งเขาได้พบกับแก้วตาเป็นครั้งแรกแล้วอ้อนวอนผีเจ้าให้ช่วยพาเขาไปพบกับแก้วตาด้วย
และ จากวันนั้นมาก็ไม่มีใครได้พานพบหมีวิ่งอีกเลย ส่วนที่หินก้อนนั้นน้ำตาของเขาที่รินร่วง
ลงมาได้กลายเป็นเกล็ดแก้วโกเมนทอประกาย

คงจะเห็นคล้ายเป็นแบบนี้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 ก.ค. 14, 09:27
สายน้ำยังคงเรื่อยไหลผ่านหินในตำนาน Garnet Rock จากอดีตจวบจนปัจจุบัน ณ Central NY  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ก.ค. 14, 15:18
        รัฐโคโลราโดเป็นถิ่นของอินเดียนแดงมาก่อน แม้แต่ชื่อรัฐก็เป็นภาษาอินเดียนแดง แปลว่า แผ่นดินแดง หรือ red earth   เวลาไปเที่ยว  มีบางแห่งเช่นบนเทือกเขาร็อคกี้ ตรงวนอุทยานแห่งชาติชื่อ Estes Park  ชวนให้นึกถึง Happy Hunting Grounds ในฝันของพวกเขา    เพราะเป็นป่าโปร่งสลับทุ่งหญ้า  และลำธาร  อุดมสมบูรณ์เหมาะกับสัตว์ป่าอาศัยอยู่
      จนทุกวันนี้ก็ยังมีกวาง  ม้าป่า และหมี ให้นักท่องเที่ยวมาส่องกล้องดูกัน      แต่กวางพวกนี้ดูเหมือนจะเกิดจากการเพาะพันธุ์มากกว่าปล่อยให้เกิดกันตามธรรมชาติ     เดินกินหญ้าอยู่อย่างเป็นสุข  ไม่สนใจมนุษย์ที่ไปส่องกล้องดูมัน    ท่าทางคงจะเห็นคนเสียจนเบื่อแล้ว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ก.ค. 14, 15:22
เคยเห็นหัวควายป่าของจริงหนหนึ่ง สตัฟฟ์เอาไว้ในโรงแรมเก่าแก่ใน Glenwood Springs ของโคโลราโด ที่เคยไปพักค่ะ  ในล็อบบี้มีหัวควายป่ามหึมาดำปี๋แขวนประดับผนังอยู่       วัดขนาดจากหัว ตัวมันน่าจะใหญ่กว่าควายบ้านเราสักเท่าตัว     ถ้าหนุ่มอินเดียนแดงควบม้าไล่ยิงด้วยธนูทีละดอกอย่างในรูป  เห็นจะไม่ระคายหนังควายป่า   ต้องไล่ยิงกันหลายๆคนถึงจะพอล้มควายได้

ควายป่าพวกนี้เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในวนอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตน   เคยเห็นมันนั่งจุมปุ๊กอยู่ข้างทาง    นึกว่าเป็นรูปปั้นเสียอีก     ไม่มีเค้าความเหี้ยมหาญอย่างบรรพบุรุษของมันเลยละค่ะ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ส.ค. 14, 10:21
จากทุ่งล่าแสนสุขของชนพื้นเมืองแห่งอเมริกาข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคมาเอเชีย ครับ

          เช้าวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม เมื่อ 69 ปีที่แล้ว เหตุการณ์สำคัญที่ต้องจารึกลงบันทึก
ประวัติศาสตร์โลกไม่ลืมอุบัติขึ้นที่
          ฮิโรชิมาหน้าร้อนวันนั้น วันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 ท้องฟ้าสดใส ชาวเมืองดำเนินชีวิต
ช่วงสงครามตามปกติในเมืองนี้ที่มีระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศที่ไม่อาจมีผู้ใดกล้ำกรายได้
จะมีใครคาดคิดว่าชีวิตจะปลิดปลิวหรือเปลี่ยนแปลงไปไม่มีวันเหมือนเดิมอีกจนวันตายภายหลัง
เวลา 8.15 น. หลังจากที่
                   ยมกุมารน้อย(Little Boy) ถูกปล่อยลงจาก(โพ)ยมยานที่ชื่อว่า  

                                 Enola Gay

คลิปรายงานข่าวจากสำนักข่าว PATHE

              Hiroshima Atomic Bomb (1945) (http://www.youtube.com/watch?v=t19kvUiHvAE#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ส.ค. 14, 10:23
คลิปเพลงพร้อมเนื้อร้อง

                 Enola Gay Lyric Video (http://www.youtube.com/watch?v=fHpXaixhPkw#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ส.ค. 14, 10:30
           ผลงานเพลงของวงดนตรีซินธ์ป๊อปจากอังกฤษที่ได้รับการยอมรับยกย่องว่าเป็นวงยอดเยี่ยม
Orchestral Manoeuvres in the Dark ออกเผยแพร่ในปี 1980 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐนาวาอังกฤษ
มีผู้นำเป็นหญิงเหล็ก นายกรัฐมนตรีมาร์การ์เร็ต แธทเชอร์
           หนึ่งในนโยบายภายใต้ผู้นำหญิงที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากก็คือ การยอมให้อเมริกาเข้า
มาติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ในอังกฤษ
  
            เพลงนี้ได้รับการยกให้เป็ยนเป็นเพลงซินธ์ป๊อประดับคลาสสิก ไต่ไปถึงอันดับ 8 ในอังกฤษ และ
อันดับที่ 34 ในอเมริกา

            เนื้อเพลงช่วงแรกฟังเหมือนเพลงรักตัดพ้อสาวที่ชื่อ Enola Gay ในขณะที่บางคนเข้าใจว่าเป็น
เพลงสำหรับเพศที่สามทำให้เพลงนี้ถูกห้ามเปิดที่สถานีวิทยุ BBC1
            แต่เมื่อถึงท่อนต่อมา ความหมายที่แท้จริงก็เฉลยตรงเนื้อร้องที่ว่า  It's eight fifteen


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 14, 17:38
รำลึกถึงการทิ้งระเบิดปรมาณู

วันที่ 6 และวันที่ 9 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันที่ประชาชนทั่วโลก ได้ร่วมกันรำลึกถึงมหันตภัยของ ระเบิดปรมาณูและภัยจากการสงครามด้วยความสลดใจ เพราะเป็นวันครบรอบของเหตุการณ์การทิ้งระเบิด ปรมาณู ณ เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง

สหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งโครงการแมนฮัตตันขึ้นเพื่อทำการสร้างระเบิดปรมาณูเป็นการเฉพาะในวงเงิน งบประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีพลตรี เลสลี ร.กรูฟส์ เป็นหัวหน้าบังคับการและศาสตราจารย์ รอเบิร์ต จ.ออพเพนไฮเมอร์ เป็นหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ โดยมีสำนักงานใหญ่ ณ เมืองลอสอลามอส รัฐนิวเม็ก- ซิโก และมีสถานที่ผลิตเชื้อเพลิงปรมาณู 2 แห่ง คือ เมืองโอ๊ก ริจก์ รัฐเทนเนสซี และเมืองแฮนฟอร์ด รัฐวอชิงตัน ระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกคือ ระเบิดจุดทดลอง ณ ทะเลทรายนิวเม็กซิโก ในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 16 กรกฎาคม 2488

ระเบิดปรมาณูที่ใช้ระเบิด ณ เมืองฮิโรชิมา สกัดจากเชื้อเพลิงปรมาณูยูเรเนียม -235 มีขนาดยาว 3 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7 เมตร และมีน้ำหนัก 4,400 กิโลกรัม ได้รับขนานนามว่า ไอ้ตัวเล็ก "Little Boy" ขณะที่ระเบิดปรมาณูที่ใช้ระเบิด ณ เมืองนางาซากิ ทำจากพลูโทเนียม มีขนาดเทอะทะกว่า คือยาว 3.5 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เมตร หนัก 4,500 กิโลกรัม จึงได้ชื่อว่าเจ้าอ้วน "Fat Man"

ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ลงนามอนุมัติการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ทั้ง 2 ลูก คือ ประธานาธิบดีแฮรี เอช ทรูแมน นักบินผู้ทำการทิ้งระเบิด ณ เมืองฮิโรชิมา คือ พันโทพอล ทิบเบทส์ ส่วนนักบินผู้ทิ้งระเบิดเมืองนางา- ซากิ คือ พันตรีชาร์ลส์ สวีนนีย์ ทั้งสองเป็นนักบินระดับผู้บังคับการของฝูงบินที่ 509 และมีฐานบิน ณ เกาะไท- เนียน ซึ่งอยู่ห่างจากประเทศญี่ปุ่นไปทางทิศใต้ ประมาณ 2,400 กิโลเมตร สำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดปรมาณูนั้น ใช้เครื่องบิน บี -29 ซึ่งมีสมรรถนะการบินสูงที่สุดขณะนั้น

วันที่ 6 สิงหาคม 2488 เวลา 8.15 น.
ระเบิดปรมาณู "Little Boy" ถูกจุดระเบิด ณ ตำแหน่งความสูง 580 เมตร เหนือเมืองฮิโรชิมา (ทิ้ง จากเครื่องบินที่เพดานบินสูง 9,500 เมตร) ในเวลาเสี้ยวของวินาที กระแสความร้อนที่ร้อนจัดประหนึ่งไฟประลัย กัลป์พุ่งออกไปรอบทิศทาง ณ ตำแหน่ง ground zero ซึ่งได้แก่ พื้นใต้ดินจุดระเบิดอุณหภูมิขึ้นสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียส และในอาณาบริเวณรัศมี 1 กิโลเมตร ความร้อนสูงขึ้นถึง 540 องศาเซลเซียส

ประชาชนที่โชคดีที่อยู่รัศมีเขตศูนย์กลางจะตายอย่างมีความสุขในทันทีโดยไม่รู้สึกตัว ร่างกายจะ แปรสภาพเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตาเดียว ผู้คนที่อยู่ห่างออกไป จะได้รับผลกระทบจากกระแสความร้อน ทำให้บาดเจ็บทรมานอย่างมาก ผิวไหม้ เกรียมร้องหาน้ำเพื่อระบายความร้อน และ - -

อิทธิฤทธิ์อีกประการของระเบิดตามมาคือ "แรงระเบิด" ซึ่งเป็น shock wave ความเร็วเบื้องต้นถึง 3.2 กิโลเมตรต่อวินาที แรงระเบิดทำให้เมืองฮิโรชิมาทลายราบเป็นหน้ากลองทั้งเมือง ยังคงเหลืออาคารก่อสร้าง อยู่เพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ของที่มีเดิมเท่านั้น(แรงระเบิดจากระเบิดปรมาณูลูกนี้ = T.N.T. 12.5 ตัน)

ต่อจากแรงระเบิดก็คือ อิทธิฤทธิ์ของรังสี ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่เกิดจากการจุดระเบิด ปรมาณู โดยพบว่าในอาคารโรงพยาบาล ซึ่งไม่ถูกทำลายด้วยแรงระเบิดและความร้อนนั้น ฟิล์มเอกซเรย์ทุกชิ้น ถูกรังสีทำให้ฟิล์มเสียไปจนหมดสิ้น ซึ่งแสดงว่า "รังสี" ได้แผ่กระจายไปทั่วและกว้างไกลกว่ากระแสความร้อน และแรงระเบิด ประชาชนล้มตายในครั้งนั้นรวมทั้งสิ้นกว่า 240,000 คน

ระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิ ถูกจุดระเบิดที่ตำแหน่ง 500 เมตร เหนือพื้นดิน ณ เวลา 11.02 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม 2488 ขนาดแรงระเบิดเท่ากับระเบิด T.N.T. 22 กิโลตัน ซึ่งมากกว่าที่ฮิโรชิมา แต่ผลการ ทำลาย ณ เมืองนางาซากิมีน้อยกว่าคือ ประชาชนล้มตาย 74,000 คน ทั้งนี้เพราะสภาพภูมิศาสตร์ของเมือง เป็นเนินเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ สลับกัน และตัวเมืองขยายไปเป็นทางยาวมิใช่เป็นเมืองกว้างใหญ่อย่างฮิโรชิมา

ออพเพนไฮเมอร์ ในฐานะหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ผู้ผลิตระเบิดปรมาณู มักกล่าวเสมอว่า "นักวิทยาศาสตร์ก็เป็นผู้มีชีวิตจิตใจ การทำงานค้นคว้าสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้อันได้แก่ ระเบิดปรมาณูเป็นผลงานทางวิชาการที่พวกเราภาคภูมิใจ แต่เรารู้สึกเสมอว่าสองมือของเราชุ่มโชกด้วยเลือด และคราบน้ำตาตลอดเวลา…"
http://www.baanjomyut.com/library_2/atom/04.html (http://www.baanjomyut.com/library_2/atom/04.html)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 14, 10:01
          เครื่องบินบรรทุกระเบิดปรมาณูซึ่งมีชื่อน่ารักว่า Little Boy นี้ มีชื่อว่า Enola Gay
ตั้งตามชื่อมารดาของนักบินเที่ยวบินมฤตยูนั้น - Colonel Paul Warfield Tibbets, Jr. (1915 - 2007)

โบกมือให้สัญญาณผู้สื่อข่าวหลบเลี่ยงใบพัดก่อนที่จะติดเครื่องนำ(โพ)ยมยานทะยานออกปฏิบัติการ
ปฏิบัติการครั้งนั้นยังมีเครื่องบิน B29 ร่วมขบวนด้วยอีกสองลำ ลำหนึ่งบรรทุกเครื่องมือบันทึกตรวจวัด
ผลงานและอีกลำบันทึกภาพ          


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 14, 10:04
เรื่องราวของแม่ผู้เป็นแรงใจให้ลูกผู้เป็นนักบินนี้ไม่ค่อยมีบันทึกให้อ่านนัก

            แม่ได้ชื่อนี้มาจากตัวละครในนิยายที่ตาอ่านช่วงก่อนแม่เกิด แม่เติบโตในไร่ที่ Iowa
แต่งงานกับพ่อที่เป็นเซลส์แมนธุรกิจขายของชำของครอบครัว ต่อมาครอบครัวได้ย้ายไปอยู่
ที่ Miami

แม่และพ่อ Paul Warfield Tibbets, Sr.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 14, 10:07
           ที่นั่นเมื่อพอลอายุได้ 12 ปี หนูน้อยได้มีโอกาส(ผ่านทางธุรกิจของพ่อ) ขึ้นไปกับเครื่องบิน
เพื่อโปรยลูกกวาดผูกติดกับร่มชูชีพลงมายังสนามแข่งรถและชายหาดเบื้องล่างในกิจกรรมโปรโมท
สินค้าของบริษัทผลิตลูกกวาด ประสบการณ์บนอากาศยานครั้งนั้นคงจะประทับใจจำจนทำให้พอลน้อย
ฝันใฝ่อยากเป็นนักบินในตอนโต
            แม้ว่าพ่อจะพยายามสนับสนุนให้เขาเป็นหมอ แต่พอลกลับพบว่าตัวเองชอบที่จะไปสนามบิน
เพื่อเช่าเครื่องบินขับไปในอากาศกว้าง

            ตอนที่เขาเลือกชื่อเพื่อที่จะนำมาตั้งให้เครื่องบินลำนี้ พอลเล่าว่า เขานึกถึงแม่ซึ่งมีผมสีแดง
แม่ผู้เข้มแข็งกล้าหาญ มีความมั่นใจอย่างเงียบๆ และคอยให้กำลังใจแก่เขามาแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะ
ในช่วงที่เขาค้นหาและพบตัวตนที่แท้จริงแล้วตัดสินใจที่จะเบนเข็มเป็นนักบิน แม่อยู่ข้างเขา และบอก
กับเขาว่า "I know you will be all right son."

พอลน้อยวัย 8 ขวบ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 14, 10:10
          หลังเหตุการณ์ผ่านไป สงครามโลกสิ้นสุดยุติลงด้วยความสูญเสียอย่างมหาศาลของทุกฝ่าย
พอลได้รับจดหมายหลายร้อยฉบับจากทั่วโลก บางคนเรียกเขาว่า อาชญากรสงคราม บางคนให้สมญา
ว่า the world’s greatest killer
          แต่ส่วนมากขอบคุณเขา สำหรับสิ่งที่ได้กระทำไป สิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นงานในหน้าที่ พอลบอกว่า
เราอยู่ในภาวะสงคราม หน้าที่ของเราคือการเอาชนะ 

คุณปู่พอลเซ็นชื่อลงบนปีกเครื่องบินจำลอง Enola Gay


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 14, 10:12
           พอลไม่รู้สึกผิดต่อการเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ หากแต่รู้สึก ละอายแทนมวลมนุษยชาติ ที่ยอมรับ
การนองเลือดของปวงประชาเพื่อเป็นวิธียุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติ ที่ได้ปฏิบัติสืบเนื่องกัน
มายาวนานในประวัติศาสตร์

           พอลผู้รับบทบาทสำคัญที่ขัดแย้งแล้วแต่มุมมองของฝ่ายใด เป็นได้ทั้งอาชญากรหรือวีรบุรุษ
สงครามจากโลกนี้ไปในปี 2007 ด้วยวัย 92 ปี

ปู่พอลกับ Enola Gay ที่ตั้งแสดงไว้ใน Smithsonian National Air and Space Museum


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ส.ค. 14, 10:32
            I didn’t bomb Pearl Harbor. I didn’t start the war, but I was going
to finish it.
            I have been convinced that we saved more lives than we took.
            It would have been morally wrong if we’d have had that weapon
and not used it and let a million more people die.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ส.ค. 14, 10:42
          เครื่องบิน Enola Gay ลำนี้เป็น Boeing B-29 Superfortress กล่าวคือ
เครื่องบินทิ้งระเบิดสี่ใบพัดขนาดใหญ่ ออกแบบพัฒนาโดยบริษัท Boeing ที่กองทัพสหรัฐ
ใช้รบในสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเกาหลี ลำตัวยาว 30 ม. ปีกกว้าง 43 ม. และ
สูง 9 ม.

Enola Gay มาถึงเกาะ Tinian* แล้วออกบิน(ฝึก)ทิ้งระเบิดโจมตีญี่ปุ่นในเดือนกรกฎาคม
ก่อนออกงานยักษ์ในเดือนสิงหาคม

*เกาะ Tinian อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิคทางตะวันออกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ถูกยึดครองโดย
จักรวรรดิ์ญี่ปุ่นตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดได้ในปี 1944  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ส.ค. 14, 10:47
           ส่วนตัวระเบิดปรมาณูซึ่งก่อมหันตภัยมหาพินาศนี้มีชื่อรหัสน่ารักว่า  Little Boy
มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 28 นิ้ว และยาว 120 นิ้ว  น้ำหนักรวม 9,000 ปอนด์ เป็นน้ำหนัก
ของยูเรเนียมแค่ 141 ปอนด์ แต่ให้พลังผลาญมหาศาลเทียบเท่าระเบิดระดับรุนแรงถึง
15,000 ตัน(ตัวเลขระหว่าง 13,000 - 18,000) จากขบวนการแตกตัวของนิวเคลียส
ของอะตอม(nuclear fission) ของ uranium 235
           ผลงานสร้างสรรค์(เพื่อทำลาย) ชิ้นที่สองของโครงการ Manhattan Project
ลูกแรกเป็นระเบิดปรมาณูของ Trinity test ในทะเลทรายรัฐ New Mexico ที่เพิ่งเสร็จสิ้น
การทดลองไปไม่ถึงเดือนเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม

โหลดลูกชายน้อยเข้าสู่อุทรแม่


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ส.ค. 14, 10:54
         เมืองเป้าหมาย - ฮิโรชิมา เมืองท่าสำคัญและเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการทหารอันดับสอง
รองจากโตเกียว มีระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศเป็นเลิศในญี่ปุ่น
          ประชากรอาศัยอยู่ 310,000 คน รวมกับทหาร 40,000 นาย และคนงานจากชานเมือง
เข้ามาทำงานรายวัน 20,000 คน รวมเป็น 370,000 ชีวิตในยามกลางวัน

ภาพตัวเมืองถ่ายไว้ไม่นานก่อนถูกถล่ม


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ส.ค. 14, 10:55
           สาเหตุที่ฮิโรชิมาถูกเลือกเป็นเป้าหมายการทำลายล้างและการทดสอบตรวจวัดผลของระเบิด
ปรมาณูลูกแรกที่จะใช้งานจริงนั้นเป็นเพราะ ชัยภูมิเป็นที่ราบ มีประชากรหนาแน่น เป็นที่ตั้งของฐานทัพ
อันดับสอง บ้านเมืองก็ยังคงสภาพเดิมไม่เคยถูกโจมตีทางอากาศทำให้สามารถวัดผลการทำลายล้าง
จากระเบิดได้แน่ชัด และสำคัญที่สุดก็คือที่นี่ไม่มีเชลยสงครามชาวตะวันตก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ส.ค. 14, 15:24
เรื่องของ ซะดะโกะ ซะซะกิ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%B0_%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%8B%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B4) กับผลของการทิ้งระเบิดปรมาณูครั้งนี้

http://www.youtube.com/watch?v=fPlAzO0mGT4#ws (http://www.youtube.com/watch?v=fPlAzO0mGT4#ws)

เศร้าใจพอ ๆ กับเรื่องของ แอนน์ แฟรงค์ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%AD_%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C) ที่เสียชีวิตในค่ายกักกันของนาซี   :'(  :'(

ถ้าคิดถึงความโหดร้ายของนาซี ก็อย่าลืมความโหดร้ายของลุงแซมด้วย  :-X


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 14, 09:20
Little Boy โหลดแล้ว, เครื่องบิน Enola Gay พร้อม, ทีม"ยุติมหาสงคราม" ทั้ง 12 ก็พร้อม
(นักบินพอลยืนอยู่แถวหน้าคนที่สองจากขวามือ)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 14, 09:23
6 สิงหาคม 1945 ช่วงเวลาก่อนออกปฏิบัติการไม่นานนัก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 14, 09:25
เส้นทางบินจากฐานทัพบนเกาะ Tinian สู่ฮิโรชิมา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 14, 09:28
พิกัดกำหนดจุดทิ้งระเบิดคือสะพานรูปตัว T - Aioi Bridge


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 14, 09:31
         ที่ระดับความสูงราว 9,400 ม. ยานแม่ Enola Gay คลอดลูกชายน้อย Little Boy
หย่อนออกมาเมื่อเวลา 8.15 น. กระแสลมได้พัดพาระเบิดออกห่างจากพิกัดไป 240 ม. ตรง
ตำแหน่งที่เป็นโรงพยาบาล Shima ในย่าน Saiku-machi

พอลซึ่งผ่านการฝึกบินท่านี้จนชำนาญบังคับ Enola Gay ตีโค้งหันหลังกลับทันที


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 14, 09:35
เขาเล่าถึงภาพเหตุการณ์ระเบิดในวันนั้นว่า

              แสงแรงจ้าสาดเข้ามาเต็มเครื่องบิน คลื่นกระแทกลูกแรกซัดมาถึงเราซึ่งอยู่ในพิสัยลาดเอียง
ห่างออกมา 11 ไมล์ครึ่งจากตำแหน่งระเบิด ตัวเครื่องบินทั้งลำถูกแรงระเบิดกระแทกทุบจนย่นยับ เราหัน
กลับไปมองฮิโรชิมาที่บัดนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆควันน่าพรั่นพรึง..พวยพุ่งสูงอย่างไม่น่าเชื่อสู่ฟากฟ้าเป็น
รูปต้นเห็ด

ภาพพร้อมลายเซ็นของทีมงาน 4 จาก 12 นาย ได้แก่ Paul Tibbetts(Pilot and Aircraft commander)
- Theodore 'Dutch' Van Kirk(Navigator)- Tom Ferebee(Bombardier)- Richard 'Dick' Nelson
(Radio Operator) และ Morris Jeppson (weapon test officer).


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ส.ค. 14, 10:47
รูปในความเห็น 274 แหล่งข้อมูลบอกว่า Just before the mission

         จากการพิจารณารูป จะเห็นแสงเงาที่เห็นได้ว่าเช้าแล้ว ในขณะที่ปูมบันทึกบิน
ว่า Enola Gay take off เวลา 0235 และเมื่อบินไปแล้วจนถึงเวลา 0500 จึงเริ่ม
เห็นแสงแรกของรุ่งสาง ดังนั้น รูปคห. 274 จึงไม่ใช่รูปก่อนออกปฏิบัติการในวันนั้น

รูป Enola Gay ขณะ take off


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ส.ค. 14, 09:25
           ส่วน Capt. Robert A Lewis ผู้เป็น co-pilot ในเช้าวันนั้นได้บรรยายความรู้สึก
นึกคิดในปูมบันทึกการบิน(logbook) ของปฏิบัติการครั้งนี้(แบบดรามา) ไว้ว่า

            วันที่ 6 สิงหาคม  0815 นาฬิกา คือเวลาหย่อนระเบิดลงฮิโรชิมา ระเบิดแตกตูม
ในเวลาหนึ่งนาทีต่อมา 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ส.ค. 14, 09:36
            นาทีต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไร ไม่มีใครคาดคิดได้.. แสงแวบจ้าน่าหวั่น สิบห้าวินาที
หลังจากนั้น เกิดความป่วนปั่นสั่นสะเทือน(air turbulence) อย่างชัดเจนขึ้นสองครั้ง นี่คือ
ผลทางด้านกายภาพทั้งหมดของระเบิดที่มาถึงเราให้รับรู้ได้

ส่วนผลทางด้าน(ความรู้สึกนึกคิด) จิตใจนั้น เขาเล่าต่อไปว่า


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ส.ค. 14, 09:41
          เราหันตัวเครื่องบินเพื่อมองผลงาน เบื้องหน้าสองตาเราคือภาพการระเบิดที่รุนแรงที่สุดเท่าที่
มนุษย์เคยทัศนา ครึ่งหนึ่งของตัวเมืองถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควัน แท่งเมฆสีขาวพวยพุ่งสูง 30,000 ฟุต
ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที จากนั้นทะยานต่อสู่ความสูง 50,000

          ผมแน่ใจว่า ลูกเรือทุกคนต่างรู้สึกว่าประสบการณ์ครั้งนี้มันมากล้นเกินจินตนาการของมนุษย์
คนไหนจะไปถึง เกินความสามารถจะเข้าใจ พวกเราได้ฆ่าคนไปมากเท่าไรกันนี่ โดยความสัตย์ ผมเกิด
ความรู้สึกหรือความคิดที่จะค้นหาคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น หรือ
        
                   I might say my God, what have we done?  


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ส.ค. 14, 09:44
             หากผมมีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี ผมก็จะไม่มีวันสามารถลบภาพช่วงเวลาสามนาทีนี้ไปจากใจได้

เมฆมหึมามวลนั้นยังคงมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ แม้เมื่อบินออกจากเป้าหมายมาได้หนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว
ที่ระยะห่างไกล 400 ไมล์


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 14, 09:45
หนึ่งในคลิปสารคดี ระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิมา

             The Hiroshima Bombing (http://www.youtube.com/watch?v=bKFsZ-2Z21c#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 14, 09:47
           หลังจากปฏิบัติภารกิจสำเร็จแล้วพอลพา Enola Gay บินกลับฐานโดยสวัสดิภาพ
ส่วนที่ฮิโรชิมา, บันทึกบางส่วนของประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกเล่าว่า

            40 วินาทีหลังคลอด ลูกน้อยก็ปลดปล่อยพลังงานระเบิดเทียบเท่า TNT ขนาด 15,000 ตัน
ที่ระดับความสูง 600 ม.เหนือพื้นดิน เกิดเป็นลูกไฟขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 28 ม. แทบจะในทันที
            ระดับนี้คือตำแหน่งที่จะก่อให้เกิดการทำลายล้างอย่างสูงสุด ต่ำลงไปพลังระเบิดจะเสียเปล่า
ไปในการกระแทกขุดหลุมบนพื้นดิน

            พลังงานมหาศาลที่เจ้าหนูปรมาณูยูเรเนียมปลดปล่อยออกมา 15% เป็นกัมมันตรังสี
(5% เป็นการแผ่รังสีช่วงแรก 10% เป็นส่วนที่เหลือ) 35% เป็นคลื่นความร้อน และที่เหลือ
50% เป็นแรงระเบิด

ภาพแบบจำลองจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Hiroshima Peace Memorial Museum(HPMM)
ลูกกลมสีแดงคือตำแหน่งลูกน้อยระเบิดเหนือฮิโรชิมา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 14, 09:49
             การจุดระเบิดกำเนิดประกายแสงแรงจ้าขนาดตาบอดและลูกไฟยักษ์ที่ร้อนเร่าเกือบเทียบ
เท่าอุณหภูมิผิวดวงอาทิตย์(5,600 องศา) ด้วยอุณหภูมิ 4000 องศา รังสีและความร้อนแผ่กระจาย
ออกทุกทิศทางระเหิดระเหยชีวิตและแผดเผาหลอมละลายอาคารสถานบ้านเรือน พร้อมแรงระเบิด
กระแทก ผลาญทำลายเมืองเก่าแก่ 400 ปีให้ราพณาสูร
               กองบัญชาการทหารอันดับสองถูกทำลายล้าง รวมทั้งอาคารในระยะรัศมี 4 กม.

ซากบริเวณสะพาน Aioi เป้าหมาย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 14, 09:50
ground zero(hypocenter) บริเวณพื้นผิวโลกตรง(ด้านใต้) ตำแหน่งระเบิด
ถ่ายในฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 14, 09:53
เงามรณะ(Shadow of Death)

          ร่างของเหยื่อที่เหลือเพียงรอยเงาบนบันไดหินตรงทางเข้าธนาคารซูมิโตโมสาขาฮิโรชิมา
ซึ่งอยู่ห่างจากตำแหน่งใต้การระเบิด(hypocenter) 260 เมตร ผลงานรังสีความร้อนมหาศาล


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 ส.ค. 14, 09:56
ปัจจุบันติดตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์ HPMM


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ส.ค. 14, 10:16
ฮิโระชิมะหลังจาก  ไอ้ตัวเล็ก "Little Boy" (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A2) มาเยือน  ผ่านสายตาของหนูน้อยโทะโมะโกะ :o

http://www.youtube.com/watch?v=x_gGP-4Cwhc#ws (http://www.youtube.com/watch?v=x_gGP-4Cwhc#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ส.ค. 14, 10:25
กล้วยไข่

http://www.youtube.com/watch?v=lpBZRnxa8FA#ws (http://www.youtube.com/watch?v=lpBZRnxa8FA#ws)

เกิดสงครามพันครั้ง     เด็กก็ยังสวยงาม
เป็นเพียงแค่สงคราม    ความเดียงสาเท่าเดิม


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley04.png)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:19
           ความกดดันขนาดสูงลิบลิ่วจากตำแหน่งระเบิดส่งคลื่นกระแทก(shock wave) ที่ทำให้
กระจกหน้าต่างแตกได้ไกลถึง 9 ไมล์ ตามด้วยลมระเบิดรุนแรงที่ล้มอาคารต่างๆ ให้พังพาบพินาศ

แผลผนังอาคารจากกระจกบิน ตั้งแสดงใน HPMM เช่นกัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:21
บาทวิถีริมถนนและท่อระบายน้ำขยับยกสูงขึ้น เป็นอีกหนึ่งผลจากแรงระเบิดทำให้เกิด
ภาวะสูญญากาศดูดสองสิ่งนี้ขึ้นมา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:22
และผู้คนตามริมถนนในฮิโรชิมา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:25
           อันตรายทางกายภาพโดยตรง(ต่อผู้คน) จากระเบิดปรมาณูเป็นผลจากการเผาไหม้ด้วย
รังสีความร้อนและไฟที่กระจายลุกลามไปทั่วเมือง รวมทั้งแรงระเบิดทำให้เกิดการบาดเจ็บ, กระดูกหัก
นอกจากนี้ยังมีอันตรายทางอ้อมที่เป็นผลจากความเสียหายของอาคารบ้านเรือนที่พังครืนและเศษกระจก
แตกกระจาย
            ประมาณผู้คนล้มหายตายไปเป็นจำนวนราว 66,000 ชีวิต ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บอีกราว 70,000 คน

ภาพถ่ายวันรุ่งขึ้นหลังระเบิดถล่ม(วันที่ 7 สิงหาคม) ภายในกระโจมของศูนย์บรรเทาภัย
ของโรงพยาบาลทหาร


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:28
            ในขณะที่รังสีแกมม่าจากปฏิกิริยาลูกโซ่ของธาตุยูเรเนียมนั้นทำอันตรายต่อผิวหนัง
และลงลึกถึงอวัยวะภายใน  ผลของการแผ่รังสีในระยะเฉียบพลันทำให้เกิดอาการที่เริ่มด้วย
คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียอย่างรุนแรง มีไข้และท้องเสีย ตามมาด้วยผมร่วง อาการเลือดออกง่าย
และโรคเลือดในระยะหลัง

ภาพถ่ายเหยื่อที่รอดชีวิตในเดือนกันยายนปีเดียวกัน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:30
            ส่วนโรคที่เป็นผลจากรังสีในระยะยาวซึ่งเกิดกับผู้รอดชีวิตจากระยะเฉียบพลันที่แลดู
เหมือนสุขภาพดีแล้วก็คือมะเร็งเม็ดเลือดและมะเร็งอวัยวะอื่น ได้แก่ ต่อมธัยรอยด์
             ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของเหยื่อระเบิดปรมาณูคือ แผลเป็นนูนหนา keloid scar
ที่เจ็บปวดมากและแม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดออกแล้วแต่แผลเป็นนี้ก็จะกลับขึ้นมาใหม่อีก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:33
           ประชาชนหลายหมื่นสิ้นชีวิตไป(ในจำนวนนี้ที่ไม่น้อยเป็นเพียงหนูเล็กเด็กชายหญิงไม่เดียงสา)
ไม่ก็ได้รับบาดเจ็บปางตายแล้วตามมาด้วยสภาพพิการ นับจำนวนประชากรที่ถูกลูกชายน้อยทำร้ายเป็น
พลเรือนราว 320,000 คน, ทหาร 40,000 นาย ยอดรวมผู้เสียชีวิตเมื่อตอนปลายธันวาคมปีนั้นอยู่ที่
140,000 ชีวิต ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตตั้งแต่สองสัปดาห์แรกหลังระเบิดลง
                      
            พื้นที่ประมาณ 13 ตร.กม. ของเมืองถูกทำลายย่อยยับเป็นซากสงคราม ทางการญี่ปุ่นประมาณ
การว่าอาคารบ้านเรือนถูกทำลายราว 69%  

แบบจำลองเมืองใน HPMM - ก่อนระเบิด


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:34
หลังระเบิด


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ส.ค. 14, 09:37
            ภายในรัศมีราว 2 กม. อาคารแทบทั้งหมดล้มพังและถูกเผามอด เมืองท่าที่เคยรุ่งเรือง
กลายเป็นผืนดินที่ถูกแผดเผาแห้งเกรียม ซากอาคารสถานปกคลุมด้วยวัตถุที่ถูกความร้อนประลัย
หลอมละลายคล้ายถูกฝังอยู่ใต้ลาวา

แผนผังแสดงพื้นที่ถูกทำลายล้างใน HPMM

    สีแดง Totally collapse and burned
    สีชมพู Totally collapsed
    สีเหลือง Half collapse and burned and irreplacably damage


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:29
ความร้อนแรงระอุบิดเบี้ยวโครงเหล็กของอาคาร
(ภาพถ่ายในเดือนต่อมา - กันยายน)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:31
สารพัดสิ่งของและ"กองลาวา"


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:32
พระพุทธรูป


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:33
ฮิโรชิมาเดือนถัดมา(กันยายน)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:34
.....................


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:35
ฮิโรชิมาปีต่อมา เดือนมีนาคม 1946


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:38
ซากอาคารสำคัญ, ปัจจุบันคือ Hiroshima Genbaku(atomic bomb) Dome


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:40
           อาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเชคนามว่า Jan Letzel เป็นอาคารสไตล์ผสม
neo-Baroque และ Art Deco โดดเด่นด้วยหลังคาโดมสีเขียว(ทองแดง) สร้างเสร็จในปี
1915 ใช้เป็นอาคาร Hiroshima Prefectural Commercial Exhibition ต่อมาเปลี่ยน
ชื่อเป็น Prefectural Industrial Promotion Hall


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:43
           อาคารตั้งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางการระเบิดราว 160 ม. ตัวอาคารบางส่วนและ
โครงหลังคาโดม(ทองแดง) สามารถทนทานการทำลายล้าง หลังจากนั้นมา (ซาก) อาคาร
หลังนี้จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า Atomic Bomb Dome(A-Bomb Dome) ที่ทางการ
ได้อนุรักษ์ไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจและได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:45
คนละฟากฝั่งตรงกันข้ามกับโดมนี้(A) เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ Hiroshima Peace Memorial
Museum


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 09:54
ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์รูปทรงสี่เหลี่ยมแบนยาวยกสูง เบื้องหน้าคือโค้งไฟไม่รู้มอดตลอดกาล
(Eternal Flame) ตราบที่อาวุธนิวเคลียร์ยังไม่หมดไปจากโลก       


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 10:06
จากด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ มองลอดโค้งไฟผ่านอนุสาวรีย์รำลึกถึงผู้เสียชีวิต(memorial cenotaph)
ตรงไปสุดสายตาที่โดมระเบิดปรมาณู 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 14, 17:24
เรื่องราวของระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ฮิโระชิมะของคุณศิลาตั้งแต่ #๒๕๘ เป็นต้นมามีรายละเอียดน่าสนใจและสะเทือนใจมาก หากคุณศิลาเห็นชอบ ขอเสนอให้แยกเป็นกระทู้ใหม่ เพื่อให้ผู้สนใจติดตามได้สะดวกขึ้น  8)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 14, 18:43
            ใกล้จบแล้วหนอ คุณเพ็ญ อยากเปิดเพลงใหม่ต่อไปแล้ว  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 14, 08:32
วันที่หกสิงหา        วันมหาวิปโยค
ฮิโระชิมะโศก        คนทั้งโลกร่วมอาลัย


จากด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ มองลอดโค้งไฟผ่านอนุสาวรีย์รำลึกถึงผู้เสียชีวิต(memorial cenotaph)
ตรงไปสุดสายตาที่โดมระเบิดปรมาณู


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5984.0;attach=50206;image)

ภาพถ่ายมุมสูงจากบน Hiroshima Peace Memorial Museum เมื่อ ๒๘ ปีที่แล้ว  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ส.ค. 14, 10:13
           เรื่องระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา จบช่วงระเบิดถล่มบ้านเมืองได้รับความเสียหายพอดี
ช่วงสุดท้ายต่อไปจะเป็นดรามาหนักจากเรื่องเล่าของเหยื่อที่รอดชีวิต ประเมินดูว่ายืดได้พอ
สมควร
             ตามความเห็นของคุณเพ็ญ, ขอยกเรื่องราวที่ผ่านมาและเชิญติดตามเรื่องต่อไป
ตอนท้ายได้ที่กระทู้ใหม่ ครับ

                 ฮิโระชิมะวิปโยค โลกไม่ลืม

          http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6057.msg135746#msg135746


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 19 ส.ค. 14, 12:24
ขอบพระคุณในความกรุณา และขอช่วยแก้ไขที่อยู่ที่คุณศิลาให้ไว้ เพื่อสามารถติดตามต่อได้  ;D

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6057.msg135746#msg135746 (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6057.msg135746#msg135746)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ย. 14, 10:23
สืบเนื่องจากความประทับใจในภาพส่งท้ายของเหยื่อระเบิดปรมาณูในกระทู้ ฮิโระชิมะวิปโยค
กลับมาพักเหนื่อยและเครียดจากเรื่องสงคราม นำเสนอเพลงนี้อย่างไม่ขุดเจาะลึกนัก ครับ

             He Ain't Heavy, He's My Brother          


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ย. 14, 10:24
           The Hollies - He Ain't Heavy He's My Brother (lyrics on screen & in description) (http://www.youtube.com/watch?v=EYzfTdIZoP0#ws)

เนื้อเพลง และร้อยกรอง จากบล็อก อนุวาทศาสตร์---ศาสตร์การแปล
โดย บัญชา สุวรรณานนท์ 14 พฤศจิกายน 2555
(มีไซท์หนึ่งแปลชื่อเพลงนี้ได้มันมากว่า ไม่หนักหรอกน้องกูเอง)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ย. 14, 10:31
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ย. 14, 10:33
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ย. 14, 10:34
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 ก.ย. 14, 15:55
ชื่อเพลงนี้มาจากคำขวัญ (motto) ของสถานเลี้ยงเด็ก Boys Town ของคุณพ่อ Edward Flanagan เมือง Omaha Nebraska  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 ก.ย. 14, 15:58
 ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 03 ก.ย. 14, 16:10
 ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ย. 14, 09:32
           ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า Boys Town ใน Omaha Douglas County, Nebraska,
สหรัฐอเมริกา มีรูปปั้นเป็นเด็กชาย 2คน คนหนึ่งยืนแบกอีกคนไว้บนหลัง ติดตั้งอยู่สี่จุด

ที่ฐานใต้รูปปั้นสลักข้อความว่า

                "HE AIN'T HEAVY. FATHER.... HE'S M' BROTHER."

ดังในรูป


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ย. 14, 09:36
           Fafher ในประโยคนี้ คือ สาธุคุณ Edward J. Flanagan(1886 – 1948) บาทหลวง
ผู้มากเมตตา ท่านเป็นอเมริกันเชื้อสายไอริชอพยพมาอเมริกาในปี 1904

สองพี่น้อง Flanagan เชื้อสายไอริชอพยพมาอเมริกา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ย. 14, 09:39
           ท่านได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยที่นี่และที่ออสเตรีย ที่นั่นท่านได้บวชเป็นพระแล้วกลับมา
ปฏิบัติกิจที่สังฆมณฑล Omaha, Nebraska


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ย. 14, 09:43
           ท่านได้จัดตั้งบ้านสำหรับเยาวชนชายขึ้นในปี 1917 ที่ย่านดาวน์ทาวน์ ด้วยปณิธานความฝัน
ว่าเด็กทุกคนจะเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพหากได้รับความรัก, ที่พักพิง-บ้าน, การศึกษา และอาชีพ
บ้านของท่านเปิดรับเด็กชายโดยไม่จำกัดด้วยเชื้อชาติ, ศาสนา หรือสีผิว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ย. 14, 09:48
            แรกเริ่มท่านยืมเงินค่าเช่า 90 เหรียญจากเพื่อนเพื่อเช่าบ้านเปิดรับเด็กกำพร้าหลังแรก
จำนวนเด็กจาก 5 คนในตอนเริ่มเพิ่มเป็น 50 คนอย่างรวดเร็ว จนต้องขยับขยายย้ายไปที่ใหม่ซึ่ง
ก็ไม่พอรองรับกับจำนวนเด็กที่เพิ่มมากขึ้น ในที่สุดจึงย้ายออกไปอีกยัง Overlook Farm ซึ่งเป็น
ที่ตั้งในปัจจุบันเมื่อปี 1921  
            ถึงปี 1922 ชาวเมือง Omaha, ผู้นำทางศาสนาและธุรกิจได้รวมทุนสร้างบ้านเป็นอาคาร
ตึกห้าชั้นที่มีทั้งหอพัก, ห้องเรียน, ห้องอาหาร, สถานพยาบาล, ยิมและโบสถ์น้อย และ ต่อมาใน
ปี 1930 ตึกหลังใหม่มูลค่าสี่แสนเหรียญก็ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นโรงเรียนอาชีวะและสำนักงาน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ย. 14, 09:54
          เรื่องราวของคุณพ่อ Flanagan ได้ถูกฮอลลีวู้ดนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยมีนักแสดงรุ่นใหญ่
อย่าง Spencer Tracy (ซึ่งก็มีเชื้อสายไอริช) นำแสดง  ส่วนบทเด็กกำพร้าจอมแก่นรับบทโดยดารา
เด็กคนดัง Micky Rouney
           เมื่อออกฉายหนัง Boys Town ได้รับความนิยมจนกลายเป็นหนังทำเงิน ส่วน Spencer ก็คว้า
รางวัลออสการ์นักแสดงนำชายปี 1938 ไปครองแล้วได้นำรางวัลออสการ์นี้มามอบต่อแด่คุณพ่อ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 14, 10:59
           หลังสงครามโลกครั้งที่สอง คุณพ่อได้ออกเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเยี่ยมเยือน
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลังสงครามและสื่อสารปัญหาเด็กกำพร้าและยากไร้กับรัฐบาลของประเทศนั้น
           คุณพ่อจากไปในปี 1948 แต่ผลงานที่คุณพ่อเรียกว่า "งานของพระเจ้า" ยังคงได้รับการสานต่อ
และเติบโตขยายไปยังรัฐอื่นๆ ในอเมริกา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 14, 11:01
           คู่หูนักแต่งเพลง   Bobby Scott และ Bob Russell ได้แรงบันดาลใจคติพจน์ของบ้านเด็กชาย
และได้นำมาประพันธ์เป็นบทเพลงประทับใจในปี 1968 ขณะที่ Russell นั้นกำลังป่วยในระยะสุดท้ายจาก
โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
            'เขาเล่าว่า' เนื้อเพลงอิงเรื่องจากทหารผ่านศึกเวียตนามที่ได้พานพบเด็กชายเวียตนามแบกร่าง
ไร้ลมหายใจของน้องชายหนีไฟที่กำลังเผาไหม้หมู่บ้าน ชื่อเพลงคือประโยคคำตอบของเด็กชายเมื่อถูก
ถามว่า หนักไหม?

คุณกุ้งแห้งฯ เคยเล่าว่า
 
             คนเขียนเพลงๆ นี้คือ บ็อบบี้ สก็อต เป็นนักแต่งคำร้องมือฉกาจของฮอลลีวู้ด แต่งเพลงประกอบ
และธีมภาพยนต์มากมาย ประวัติว่าเคยทำอาชีพเขียนคำโฆษณามาก่อนด้วย สมัยเรียนมหาลัย Washington,
Missouri เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องกับนักเขียนนิยายชื่อดัง Sydney Sheldon และมีบางช่วงที่เป็นคู่แต่งคำร้อง
ให้กับมือเพลงระดับ Quincy Jones
           อำลาโลกใบนี้ไปตั้งแต่ปี 1970 ไม่นานหลังจาก The Hollies วงอังกฤษเอาเพลงนี้ไปร้องจน
ขึ้นอันดับ #3 in the UK and #7 in the US


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 14, 11:03
          วงดนตรีอังกฤษคณะ The Hollies นำมาบันทึกเสียงออกวางตลาดในเดือนกันยายนปี 1969
แล้วก็ได้กลายเป็นเพลงฮิทอมตะในที่สุด

คุณ pipat เคยเล่าไว้ว่า

              ร้องไว้ครั้งแรกโดย Kelly Gordon ในอัลบั้ม Defunked 1969 มือกีตาร์ของวง ฮอลลี่ส์
ไปเจอแผ่นเสียงนี้ เขาเอามาปรับใหม่ให้จังหวะเร็วและเร้าใจขึ้น มีการเติมวงออเคสตร้าเข้าไป ของเดิม
หนืดเหมือนเพลงสวด เพราะเป็น spiritaul country มือปิอาโนรับจ้างในเพลงนี้ ได้ค่าแรง 12 ปอนด์
เขาผู้นี้...เอ่อ เธอ มากกว่า ต่อมาใช้ชื่อว่า เอลตั้น จอห์น
              โจ ค๊อคเกอร์เจอเพลงนี้ก่อน แต่ไม่สน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 14, 09:12
          วิกกี้บอกว่า ต้นน้ำถ้อยคำประโยคนี้ เกิดที่สก็อตแลนด์ ดังมีปรากฏในหนังสือนิทานคติธรรม
The Parables of Jesus โดย James Wells, Moderator ของ United Free Church of
Scotland ในปี 1884 เล่าเรื่อง เด็กหญิงตัวน้อยอุ้มน้องชายตัวโตเกือบเท่าตัวเธอ เมื่อมีคนถามว่า
ไม่เหนื่อยหรือ เธอตอบว่า
                    "No, he's not heavy; he's my brother."


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 14, 09:15
          เรื่องราวของเด็กหญิงถูกนำไปถ่ายทอดต่อใน  The Higher Powers of Mind and Spirit
โดย Ralph Waldo Trine เมื่อปี 1918 เป็นถ้อยคำว่า
                        'He's na heavy. He's mi brither.'


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 14, 09:17
         จนกระทั่งปี 1924 Roe Fulkerson บรรณาธิการแม็กซีน Kiwanis ได้ตีพิมพ์คอลัมน์
ซึ่งปรากฏประโยคนี้ที่ดัดแปลงเป็นดังเช่นชื่อเพลง He Ain't Heavy, He's My Brother
เป็นครั้งแรก

ยังนึกถึงแดนอาทิตย์อุทัย, ภาพนี้จากโอกินาวา


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 14, 09:18
            และต่อมาประโยคนี้ก็ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นคติพจน์ของ Boys Town children's home
โดยคุณพ่อผู้ก่อตั้ง Father Edward Flanagan ในทศวรรษที่ 1940s เป็น
                       "He ain't heavy. Father.. he's m' brother"


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 14, 09:20
          วิกกี้พูดถึงลักษณะของถ้อยความนี้ว่าเป็น paraprosdokian(unexpected ending)
ที่เนื้อหาข้อความส่วนหลังทำให้ผู้ฟังต้องตีความส่วนหน้าใหม่ มักใช้ในบทตลกมากกว่าใช้ในภาวะ
เวทนา(pathos) อย่างชื่อเพลงนี้

ส่วนภาพนี้บรรยายว่า He ain’t heavy, he’s my husband

Jesse Cottle สูญเสียขาทั้งสองข้างที่อาฟกานิสถานจากระเบิดแสวงเครื่อง(IED - Improvised
Explosive Device) เมื่อปี 2009 ไม่นานนักจากนั้น, เขาได้พบกับ Kelly ที่สระว่ายน้ำเมื่อเขามา
ทดลองใช้ขาเทียม
           เคลลี่บอกว่า บุคลิกภาพและตัวตนที่เขาเป็นนั้นมีคุณค่าเหนือกว่าสภาพการบาดเจ็บของเขา
จนกระทั่งคุณลืมมันไปได้โดยไม่ยากนาน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ก.ย. 14, 11:49
^
^


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ก.ย. 14, 11:50
ชอบกระทู้นี้จริงๆ   จนลืมหาจังหวะแทรกไปเลยค่ะ
encore...encore


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 14, 14:36
ขอบคุณ ครับ

         ย้อนขึ้นไปอ่านทบทวนเรื่องราวที่โพสท์แล้ว พบว่าในส่วนที่ยกข้อความของคุณกุ้งแห้งฯ มานั้น
มีที่ต้องแก้ไข ครับ
คุณกุ้งแห้งฯ เคยเล่าว่า 
             คนเขียนเพลงๆ นี้คือ บ็อบบี้ สก็อต เป็นนักแต่งคำร้องมือฉกาจของฮอลลีวู้ด แต่งเพลงประกอบ
และธีมภาพยนต์มากมาย ประวัติว่าเคยทำอาชีพเขียนคำโฆษณามาก่อนด้วย สมัยเรียนมหาลัย Washington,
Missouri เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องกับนักเขียนนิยายชื่อดัง Sydney Sheldon และมีบางช่วงที่เป็นคู่แต่งคำร้อง
ให้กับมือเพลงระดับ Quincy Jones
           อำลาโลกใบนี้ไปตั้งแต่ปี 1970 ไม่นานหลังจาก The Hollies วงอังกฤษเอาเพลงนี้ไปร้องจน
ขึ้นอันดับ #3 in the UK and #7 in the US

นั่นคือ         เปลี่ยนจาก บ็อบบี้ สก็อต(ซึ่งเป็นคนให้ทำนอง) เป็น บ็อบ รัสเซลล์ แต่งคำร้อง
ส่วนเรื่องราวนั้นคงตามเดิม

ผลงานคำร้องเพลงอื่นๆ ของ บ็อบ รัสเซลล์ ที่คุ้นหู ได้แก่
          No Other Love(ทำนองเพลงของ Chopin), Brazil(ให้คำร้องเป็นภาษาอังกฤษ)
Don't Get Around Much Anymore และ Would I Love You (Love You, Love You)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 08 ก.ย. 14, 14:46
ชอบกระทู้นี้จริงๆ   จนลืมหาจังหวะแทรกไปเลยค่ะ
encore...encore

ชอบด้วยคนครับ  แอบตามเงียบๆ ตลอด  ;D  ;D  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 08 ก.ย. 14, 15:23
นึกถึงเพลงนี้

พี่ชายที่แสนดี

http://www.youtube.com/watch?v=H3VcRJg5eiw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=H3VcRJg5eiw#ws)

ขี่คอจนเกือบสูงทัน จ้องมองบนฟ้านั่น
เอื้อมมือถึงจันทร์ จะเอาเป็นของเรา

ขี่คอจนเกือบสูงทัน เอื้อมมือให้ถึงจันทร์
บอกเอาไว้นาน พี่ชายที่แสนดี


นอกจากชอบเนื้อเพลงแล้ว ยังชอบคนร้องด้วย เสียงน่ารักดี  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 14, 10:03
ขอบคุณ"เพลงตอบเพลง" จากคุณเพ็ญ

เพลงต่อไปจะไปเยี่ยมเยือนคุณชายประกอบแถวชายขอบเกาะอังกฤษ  ครับ

--------------

         จากเดือนสิงหาคมซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญ โลกไม่ลืมที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในปี 1945
เดือนต่อมาปีเดียวกันนั้น สงครามโลกครั้งที่สองก็ถึงกาลสิ้นสุดลงในวันที่ 2 กันยายน ซึ่งเป็น
เดือนเดียวกับที่สงครามโลกครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 75 ปีก่อน(1 กันยายน 1939 – 2 กันยายน 1945)

         ในวาระครบ 75 ปีนี้(ที่ไม่อาจหาญเล่าเรื่องราวมหากาพย์สงครามโลกครั้งที่สอง) ใคร่ชวน
ชาวเรือนไทยฟังเพลงไพเราะเสนาะหูที่เคยชุบชูจิตใจผู้คนที่ทนทุกข์ยามสงครามในเกาะอังกฤษ
นั่นคือ เพลง     

               (There'll Be Bluebirds Over) The White Cliffs of Dover

                My Choice - Vera Lynn: The White Cliffs of Dover (http://www.youtube.com/watch?v=Hqtaoz4QFX8#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 14, 10:05
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 14, 10:07
         เสียงร้องโดย Dame Vera Lynn(20 March 1917 - ปัจจุบันคุณย่ายังมีชีวิตอยู่) ร้องไว้
ในปี 1942 แล้วก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่โด่งดังที่สุดของคุณย่า
         อีกผลงานเพลงยามสงครามของคุณย่าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือเพลง  We'll Meet Again
(ชื่อเพลง, เนื้อโดนจนไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมจึงฮิทสุด
             We'll meet again, don't know where, don't know when,
             but I know we'll meet again some sunny day)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 14, 10:09
         เพลงนี้และเพลงอื่นๆ ของคุณย่าได้ถูกนำมารวมเป็นอัลบั้มชุด
                 We'll Meet Again: The Very Best of Vera Lynn
ออกวางจำหน่ายในปี 2009 แล้วสามารถไต่ขึ้นถึงอันดับ 1 ชาร์ทเพลงในอังกฤษ ส่งผลให้
คุณย่า(ในวัย 92 ปี-ตอนนั้น) เป็นศิลปินผู้มีอายุสูงสุดและยังมีชิวิตอยู่ที่มีอัลบั้มขึ้นถึงอันดับหนึ่ง


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 14, 10:10
ปีต่อมา(2010) ด.ญ. วัยสิบขวบ CHLOE HICKINBOTTOM ก็ได้นำเพลงนี้มาสร้างความประทับใจ
ให้แก่ผู้ชมผู้ฟังถ้วนหน้าในการประกวด BRITAIN'S GOT TALENT

      CHLOE HICKINBOTTOM(10) STUNS AUDIENCE ON BRITAIN'S GOT TALENT (http://www.youtube.com/watch?v=-qY8wA-_e-k#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 14, 10:13
          ช่วงสงคราม คุณย่า(สมัยยังสาว) ได้ใช้เสียงเพลงปลุกปลอบขวัญทหารหาญของชาติ
โดยจัดรายการเพลงตามคำขอจากทหารหาญ และส่งสารกำลังใจไปยังแนวหน้าแดนไกล นอกจากนี้
ยังออกทัวร์คอนเสิร์ทกล่อมขวัญทหารใน อียิปท์, อินเดีย และพม่า ทำให้คุณย่าเป็นขวัญใจของเหล่า
ทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่สอง และได้รับเสนอชื่อในปี 2000 ให้เป็นคนอังกฤษที่เป็นตัวแทน
ที่โดดเด่นที่สุดของจิตวิญญาณแห่งศตวรรษที่ 20


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ย. 14, 10:24
และปีนี้ คุณย่าก็มีอัลบั้มรวมเพลงออกวางจำหน่ายอีกชุด

              Vera Lynn: National Treasure - The Ultimate Collection

เนื่องในวาระ 70 ปี วันยกพลขึ้นบก D-Day Normandy landings(6 June 1944)
         อัลบั้มชุดนี้ทำสถิติให้คุณย่าเป็นศิลปินอายุสูงสุดที่ยังมีชีวิตและมีผลงานติดอันดับ top 20
ของอังกฤษ

ภาพคุณย่าในปี 2009


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 14, 09:21
             กล่าวถึง  White Cliffs of Dover หน้าผาแห่งนี้รายชายฝั่งอังกฤษตรงช่องแคบ
คั่นฝรั่งเศส


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 14, 09:23
           ตั้งตระหง่านด้วยความสูง 110 ม. อวดผิวผาสีขาวด้วยหินชอล์คซึ่งเป็นหินปูน(limestone)
ที่มีส่วนประกอบเป็นแร่ calcite(calcium carbonate) แต้มลายดำด้วยหินเหล็กไฟ(flint) ที่
ประกอบจากผลึกเล็กๆ ของแร่ควอทซ์


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 14, 09:27
           หน้าผาแห่ง(เมืองท่า) โดเวอร์นี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ของอังกฤษด้วยตำแหน่ง
แห่งสถิตตรงส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบ
           เป็นเสมือนปราการเผชิญภัยรุกรานจากฟากฝั่งยุโรป นับแต่อดีตกาลสมัยโรมัน ยืนหยัด
ประจันกองทัพนำโดยจูเลียส ซีซาร์


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 14, 09:43
           เป็นทัศนียภาพของเกาะอังกฤษซึ่งผู้คนที่ใช้เส้นทางช่องแคบนี้จะได้เห็นเป็นสิ่งแรก
เมื่อมาถึง หรือคือสิ่งสุดท้ายเมื่อจากไป


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 10 ก.ย. 14, 09:46
          เป็นแรงดลใจให้กวีประพันธ์ทั้งบทกลอนและบทเพลงอิงผานี้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 14, 10:00
          ทำนองของเพลงนี้ประพันธ์โดย Walter Kent (ซึ่งบางแห่งว่า) อิงท่วงทำนอง
เพลง Over the Rainbow ส่วนคำร้องโดย Nat Burton ได้แรงบันดาลใจจากร้อยกรอง
ของกวีท่านอื่น(ไม่ระบุว่าใคร)
         Burton นั้นเป็นชาวอเมริกันที่ไม่เคยย่างกรายใกล้อังกฤษ เขาจับนก bluebird
ซึ่งเป็นนกในทวีปอเมริกามาบินเหนือน่านฟ้าอังกฤษ เป็นเหตุให้คนฟังกังขาแต่ก็ยกให้ด้วย
หัวใจที่หวั่นไหวไปตามเนื้อร้องซึ่งวาดหวังถึงวันสันติสุขกลับคืน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 14, 10:02
         แต่มีความเห็นอธิบายว่า บลูเบิร์ดนี้เป็นสัญลักษณ์ หมายถึงเครื่องบินรบอังกฤษ spitfire
ที่ออกบินปกป้องประเทศในสงครามครั้งนี้
         มีอีกชื่อเรียกกันว่า บลูเบิร์ด เนื่องจากส่วนท้องเครื่องทาสีฟ้าเพื่อที่ว่าฝ่ายตรงข้ามยามอยู่
ข้างล่างจะมองขึ้นมาเห็นได้ยาก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 14, 10:09
          ในสงครามยามนั้น เครื่องบินรบเมื่อประจัญบานเรียกกันว่า dogfight(หมากัดกัน)
หมายถึง การต่อสู้ในระยะประชิดเพื่อที่จะได้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถยิงฝ่ายตรงข้ามได้อย่าง
ถูกต้องแม่นยำ ด้วยอาวุธที่มีคือ ปืนกับศูนย์เล็ง
           ด้วยระยะยิงไม่ไกล ความเร็วเครื่องไม่ต่างกัน การรบจึงเป็นไปในลักษณะที่แต่ละฝ่าย
บินไล่ล่า(คล้ายหมากัดกัน) ส่วนมากมักเป็นการไล่ยิงจากด้านหลังเพราะเล็งและยิงได้แม่นยำ
กว่าการโจมตีจากด้านอื่นและเป้าหมายก็ยิงตอบโต้ได้ลำบาก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 14, 10:12
          ส่วนเนื้อที่ว่า  "tomorrow, just you wait and see" นั้น (เขาว่า)
หมายถึง การรอนับจำนวนเครื่องบินที่บินกลับมาหลังปฏิบัติการ ผู้คนสมัยสงครามเล่าว่า
          ชาวอังกฤษเมื่อเห็นครื่องบินรบบินออกจากฐานทัพไปปกป้องประเทศ พวกเขาจะ
คอยนับจำนวนเครื่องที่บินไปและรอนับใหม่อีกครั้งตอนบินกลับ
          พวกเขาจะเศร้าใจเมื่อนับจำนวนเครื่องที่บินกลับมาได้น้อยกว่าที่บินจากไปไม่กลับคืน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ย. 14, 10:29
           Sentinel งานประติมากรรมรำลึกรูป spitfire ใน  Birmingham เพื่อเป็นอนุสรณ์
แด่โรงงาน Castle Bromwich factory ที่อยู่ใกล้เคียง ออกแบบโดย Tim Tolkien ผู้เป็น
great-nephew (หลานของน้องชาย) J. R. R. Tolkien แห่ง The Lord of the Rings
           ช่วงสงคราม เครื่องบิน spitfire ส่วนมาก(กว่าครึ่ง) ถูกสร้างขึ้นในโรงงานแห่งนี้
ในขณะที่ บางโรงงานถูกเครื่องบินเยอรมันโจมตี พนักงานเสียชีวิตหลายราย แต่เหล่าคนงาน
ก็ไม่เสียขวัญ ยังคงมุ่งมั่นผลิตเครื่องบินเพื่อปกป้องน่านฟ้าปิตุภูมิ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 14, 10:29
            บทเพลงนี้ประพันธ์ขึ้นในปี 1941 ก่อนที่อเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง
เวลานั้นเยอรมันได้พิชิตยุโรปแทบหมดทวีปแล้วข้ามช่องแคบและหน้าผาเข้ามาเปิดสงคราม
เวหาเหนือน่านฟ้าเกาะอังกฤษได้หนึ่งปี

เครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันบินข้ามช่องแคบอังกฤษ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 14, 10:31
             อังกฤษเรียกสงครามนี้ว่า Battle of Britain ในขณะที่ฝ่ายเยอรมันเรียกว่า
Luftschlacht um England แปลตรงตัวว่า Air battle for England ที่กองทัพอากาศ
เยอรมันรณรงค์ในช่วงหน้าร้อนและใบไม้ร่วงปี 1940


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 14, 10:32
           คำว่า Battle of Britain นี้ นายกรัฐมนตรี  Winston Churchill ได้กล่าวไว้
ในสภาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1940 ว่า
           "... the Battle of France is over. I expect that the Battle of Britain
is about to begin."

นายกฯ เชอร์ชิลล์ ชูนิ้วสัญลักษณ์ตัว V เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 1940, 10 วันหลังจากที่
ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, กองทัพเยอรมันเคลื่อนพลถึงช่องแคบอังกฤษ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 14, 10:37
รื้อฟื้นวิชาภูมิศาสตร์

      England + Wales = Britain

      Britain + Scotland = Great Britain

      Great Britain + Northern Ireland = United Kingdom


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 14, 10:40
           ตามเกณฑ์แล้ว บริเทน คือ อังกฤษและเวลส์ แต่คำว่า บริเทนนี้เป็นที่นิยมใช้ใน
ความหมาย เกาะ(ที่รวม) อังกฤษ, เวลส์ และสก็อตแลนด์ ที่เป็นความหมายเดียวกับ เกรท บริเทน
           ในที่นี้ Britain สั้นๆ นั้นยังเหมาะเจาะในแง่พ้องเสียง b กับ t และมีจำนวนสองพยางค์
เท่ากับ Battle


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 14, 10:43
           สงครามแห่งบริเทน เป็นสงครามเวหา(สู้รบกันทางอากาศอย่างเดียว) ระดับพระกาฬ
ครั้งแรกแห่งประวัติศาสตร์สงคราม เยอรมันมีเป้าหมายที่จะครองน่านฟ้าเหนือกองทัพอากาศอังกฤษ
เปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทิ้งระเบิดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 1940 โดยมีเมืองชายฝั่งที่เป็นศูนย์กลาง
การเดินเรืออย่างเช่น  Portsmouth เป็นเป้าหมายหลัก

           หนึ่งเดือนต่อมากองทัพอากาศเยอรมันก็รุกเข้าโจมตีสนามบินของกองทัพอากาศอังกฤษ
ตลอดจนโรงงานผลิตเครื่องบินและโครงสร้างพื้นฐาน จากนั้นก็เลยไปยังสถานที่สำคัญทางการเมือง
และเปิดกลยุทธ์การทิ้งระเบิดข่มขวัญประชาชนพลเรือน

แผนที่การโจมตีทางอากาศขนาดใหญ่


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 14, 10:55
             ในส่วนการโจมตีกรุงลอนดอนทางอากาศนี้มีศัพท์เรียกว่า (London) Blitz โดยที่
คำว่า blitz นี้มาจากภาษาเยอรมัน blitzkrieg แปลว่า สงครามสายฟ้าฟาด - lightning war
เป็นการทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายอุตสาหกรรมและศูนย์กลางพลเรือนในลอนดอนอย่างหนักตั้งแต่
บ่ายวันที่ 7 กันยายน ปี 1940 ด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดเกือบ 350 ลำ หย่อนระเบิดลงสู่ลอนดอน
แถบตะวันออก ส่งผลให้ชาวเมืองเสียชีวิต 450 คนและบาดเจ็บรุนแรง 1,300 ราย

ปี 1940 เดือนกันยา สายฟ้าฟาดลงมหานครลอนดอน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 14, 09:45
เครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันเหนือบริเวณใต้/ตะวันออกของลอนดอน ในวันที่  7 กันยายน 1940


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 14, 09:55
อังกฤษมี Supermarine Spitfire ปกป้องประจัญบานผู้รุกราน ร่วมกับ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 14, 09:57
Hawker Hurricane (ซึ่งเป็น fighter ที่มีจำนวนมากที่สุดในสงครามครั้งนี้)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 14, 09:59
นอกจากเครื่องบิน, ปืนต่อต้านอากาศยานแล้ว อีกสิ่งหนึ่งซึ่งช่วยปกป้องน่านฟ้าของอังกฤษ คือ

           Barrage balloon(blimp) บัลลูนขนาดใหญ่ลอยอยู่กับที่เหนือเมืองโดยผูกโยงยึด
ไว้ด้วยสายเคเบิ้ลโลหะ ทำหน้าที่ขวางกั้นและสร้างความเสียหายหากเครื่องบินของฝ่ายตรงข้าม
พุ่งเข้าชน มีผลทำให้การจู่โจมเป็นไปได้ยาก และเป็นการบังคับให้อีกฝ่ายต้องบินในระดับสูงขึ้น
ไปกว่า 1,500 ม. ซึ่งเป็นย่านกระสุนปืนต่อต้านอากาศยานหนาแน่น(กระสุนปืนต่อต้านนี้ไม่
สามารถพุ่งสู่เป้าเครื่องบินที่บินอย่างรวดเร็วในระดับล่างได้ทันท่วงที)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 14, 10:06
            ตอนกลางปี 1940 บัลลูนจำนวน 1,400 ลูกได้รับการติดตั้งเหนือน่านฟ้า หนึ่งในสาม
ของจำนวนนั้นอยู่ที่ลอนดอน

ภาพนี้ระบุว่าเป็นบัลลูนเหนือลอนดอนตอนหน้าร้อนปี 1944


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 15 ก.ย. 14, 10:18
เยอรมันเปิดปฐมบทสายฟ้าฟาดในวันที่ 7 กันยายน 1940 ตอนกลางวันแสกๆ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 10:43
          แล้วตามมาด้วยการทิ้งระเยิดยามค่ำคืน คืนแล้วคืนเล่าติดต่อกันราวสองเดือน
หย่อนระเบิดเกือบ 30,000 ลูก ลงในย่าน the Strand, West End และ Piccadilly
รวมทั้ง โรงพยาบาล St Thomas’s, St Paul’s Cathedral, House of Commons,
Lambeth Palace และ Buckingham Palace

โรงพยาบาล St Thomas ที่ได้รับความเสียหาย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 10:44
พระราชวัง Buckingham ถูกระเบิดทำลายบางส่วนในวันที่ 13 กันยายน 1940


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 10:46
King George VI และ Queen Elizabeth เสด็จเยี่ยมเยือนย่านที่ได้รับความเสียหาย
จากสายฟ้าฟาด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 1940


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 10:49
สายฟ้าฟาดช่วงคริสต์มาสปี 1940 (29 ธันวาคม 1940) ท่ามกลางควันไฟ โดมของวิหารเซนต์พอล
ยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 10:53
             นายกฯ เชอร์ชิลประกาศว่า จะทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อปกป้องรักษาวิหารแห่งนี้ที่เป็น
"นิวาสสถานแห่งจิตวิญญาณของชาติ" ไว้ให้ได้

จากวิหาร St Paul มองออกไปยังควันไฟรุกโรมโดยรอบ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 10:54
           อย่างไรก็ตาม วิหารได้ถูกระเบิดทำร้ายในวันที่ 10 ตุลาคม 1940 และ 17 เมษายน 1941
นอกจากนั้นยังถูกลูกระเบิดเวลาตกลงใส่ในวันที่ 12 กันยายน 1940 แต่ฝ่ายวิศวกรรมกู้วินาศทำการ
ปลดชนวนและขนย้ายได้สำเร็จ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 10:56
ยังคงยืนเด่นโดยท้าทายท่ามกลางซากปรักหักพังของอาคารรายรอบ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ก.ย. 14, 11:00
            อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของมหานคร นั่นคือ หอระฆัง Big Ben ก็ไม่พ้นได้รับความเสียหาย
จากระเบิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 1941 แต่เป็นเฉพาะบางส่วนตรงหน้าปัทม์นาฬิกาสองด้าน
และหลังคา
             ตลอดเวลาแห่งสายฟ้าฟาด เข็มนาฬิกาบิ๊ก เบน ยังคนเดินอย่างเที่ยงตรงยงยืนและ
เสียงระฆังก็ยังลั่นดังกังวาน

พวยการกลั่นตัว(condensation trail) ที่เครื่องบินรบของทั้งสองฝ่ายฝากไว้บนฟากฟ้า
เหนือ Big Ben หลัง"หมากัดกัน" (dogfight)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 09:48
พักจิบน้ำชาหลังสายฟ้าฟาด


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 09:49
ชีวิตยังไม่สิ้น ก้าวเดินกันต่อไป(ทำงาน)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 09:51
ภาพชีวิตอีกแบบของชาวลอนดอนจำนวนมากมายหลบสายฟ้าไปอาศัยอยู่ใต้ดินใน tube


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 09:54
ภาพจากหนังเยี่ยมเรื่อง Atonement


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 09:56
           มื่อดูจากแผนที่มหานครลอนดอนที่ถูกโจมตี(Bomb Sight) ด้านล่างนี้ก็จะเข้าใจ
ความหมายของคำว่า blitz ได้ชัดขึ้น   

                    http://www.bombsight.org/#15/51.5050/-0.0900 (http://www.bombsight.org/#15/51.5050/-0.0900)

แผนที่ใกล้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 09:57
            สถิติบอกว่า พลเรือนเสียชีวิต 43,000 คน(บ้างว่า สองหมื่นคน) อาคารบ้านเรือนเสียหาย
ถูกทำลายกว่าหนึ่งล้านหลัง(บ้างว่า 3-5 ล้าน) คิดเป็นพื้นที่เสียหายยับเยินเกินซ่อมแซม 1 ใน 3 ส่วน

แผนที่ไกล


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 09:59
ไฟโชนแสงเบื้องหลังกลุ่มวังแห่งเวสมินส์เตอร์ในเงามืดมน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 10:02
รูปปั้น Prince Albert เปิดหมวกอำลา ห้าง Wallis ที่ถูกเพลิงผลาญ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 10:09
           สายฟ้าฟาดลดลงเป็นครั้งคราวในปีต่อมา จนสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม ปี 1941
เมื่อเยอรมันโยกกองกำลังทางอากาศไปบุกรัสเซีย

เหยื่อสงครามไร้เดียงสา ภาพหนูน้อย Margaret Curtis ปรากฏในนิตยสาร LIFE ฉบับวันที่ 9 กันยายน 1940


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 10:11
อีกหนึ่งหนูน้อย Eileen Dunne อายุสามขวบ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 10:12
           ความล้มเหลวของเยอรมันในสงครามเวหาครั้งนี้ทั้งๆ ที่มีกองกำลังทางอากาศมากกว่า
แต่ไม่สามารถทำลายระบบการป้องกันทางอากาศของอังกฤษ แล้วสยบอังกฤษให้เจรจาสงบศึก
หรือยอมปราชัย นับได้ว่าเป็นความแพ้พ่ายครั้งใหญ่ของฝ่ายเยอรมันและเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ
สงครามโลกครั้งนี้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 10:16
            นายกฯ Churchill กล่าวถึงสงครามแห่งเกาะอังกฤษและบทบาทของเหล่าวีรบุรุษ
นักบินรบเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1940 ช่วงเวลาประมาณสองสัปดาห์ก่อนสายฟ้าฟาดลอนดอน
ด้วยประโยคนี้ซึ่งเป็นที่จดจำเและเรียกกันว่า "The Few" speech
          
            ไม่เคยมีสมรภูมิของความขัดแย้งแห่งมนุษยชาติครั้งไหน(เทียบได้กับครั้งนี้) ที่มวลชน
มากมายเป็นหนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อวีรชนไม่กี่คน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ก.ย. 14, 10:28
The memorial stain glass window at Bentley Priory in Hertfordshire,
the headquarters of RAF Fighter Command during the Second World War


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ต.ค. 14, 10:09
            จากปริศนา They ใน The Sound of Music ชวนให้นึกถึงอีกหนึ่ง They
ในเพลง       THEY CAN'T TAKE THAT AWAY FROM ME ว่า เขาคือใคร

           เพลงนี้ประพันธ์ทำนองโดยคีตกวีเอกชาวอเมริกัน George Gershwin(1898 – 1937)
และเนื้อร้องโดยเกอร์ชวินผู้พี่ Ira Gershwin(1896 – 1983) ในปี 1937 ซึ่งเป็นปีสุดท้าย
ในชีวิตของ(จอร์จ) เกอร์ชวิน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ต.ค. 14, 10:10
           เสียงเพลงแรกปรากฏในหนังเรื่อง Shall We Dance ซึ่งนำแสดงโดย Fred Astaire
และ Ginger Rogers สองนักแสดงชื่อดัง ทั้งหนังและเพลงได้รับความนิยมอย่างสูง แต่น่าเสียดาย
ที่เกอร์ชวินสิ้นใจหลังจากหนังออกฉายได้สองเดือน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ต.ค. 14, 10:14
เพลงนี้ถูกนำไปร้องโดยนักร้องผู้ยิ่งใหญ่ในตำนานหลายท่าน ขอเลือกเวอร์ชั่นจากนักร้องคนโปรด 

              They Can't Take That Away From Me (Frank Sinatra - with Lyrics) (http://www.youtube.com/watch?v=LpcWfWUEjY0#)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ต.ค. 14, 10:15
.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ต.ค. 14, 10:30
           คำร้องเล่าถึงการถูกพรากจากกันของคู่รักบนเส้นทางรักที่ไม่ราบรื่น(On the bumpy
road to love) และ แม้กายจะห่างแต่หัวใจยังอาวรณ์ถวิลไม่ลืม
           เรื่องราวในเพลงอิงพล็อตจากเพลงก่อนหน้านั้นในปี 1927 ของนักประพันธ์เพลงในตำนาน
แห่งอเมริกา Irving Berlin -

      The Song Is Ended
But the melody lingers on
You and the song are gone
But the melody lingers on


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ต.ค. 14, 11:21
            เบื้องหลังของเนื้อร้องปริศนา they (can't take that away from me)
โดยเกอร์ชวินผู้พี่นี้ มีที่มาจากเรื่องราวรักต้องห้ามของเกอร์ชวินผู้น้อง

             จอร์จ เกอร์ชวิน คือ อีกหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ชัดว่าอัจฉริยะจะ(ต้อง?) มีตำหนิ
เขามี affair มากมายหลายคนหลายปี, ให้กำเนิดลูกนอกกฎหมายอย่างน้อยหนึ่งคน,
ไม่เป็นสุภาพบุรุษ (He is) the cad(not a gentleman)

และสูบบุหรี่มวนต่อมวน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 01 ต.ค. 14, 11:39
         ช่วงเวลาสุดท้ายปลายชีวิตของ(จอร์จ) เกอร์ชวินบนโลกใบนี้และในเมืองมายาฮอลลีวู้ดนั้น
ถูกรุมเร้าด้วยปัญหาใหญ่สองเรื่อง อย่างแรกเป็นปัญหาทางกายจากอาการปวดศีรษะรุนแรง และ
สองคือปัญหาหัวใจจากเรื่องรักที่ไม่อาจสมหวังกับนางแบบสาวที่ก้าวมาเจิดจ้าเป็นดาวจรัสแสงแห่ง
จอเงิน


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ต.ค. 14, 10:20
           เธอผู้นี้มีนามว่า Paulette Goddard ทั้งสองพบกันในงานปาร์ตี้เมื่อ มีนาคม 1937
เกอร์ชวินได้ที่นั่งดินเนอร์ติดกับเธอผู้ซึ่งมีคุณสมบัติตรงกับจริตของเขา นั่นคือ สวย, ฉลาด และ
มีชีวิตชีวา เกอร์ชวินได้กล่าวถึงกอเดอร์ดว่า (เธอมี) บุคลิกที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่เขาได้พบพาน
ตั้งแต่มาอยู่ในฮอลลีวู้ด ทั้งสองได้สานสัมพันธ์กันต่อเนื่อง    


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ต.ค. 14, 10:23
แต่
        แอฟแฟร์ครั้งนี้มีอุปสรรคสาเหตุเนื่องมาจากฝ่ายหญิงนั้นได้มีสัมพันธ์และลือกันว่าผูกพันธ์
ถึงขั้นแต่งงานอย่างลับๆ แล้วกับ นักปรนบันเทิงผู้ยิ่งใหญ่คับโลก นั่นคือ Charlie Chaplin ซึ่ง
ข้อนี้ใครๆ ในฮอลลีวู้ดและเกอร์ชวินต่างก็รับรู้กันทั่ว แต่สำหรับเขาแล้วอุปสรรครักนี้กลับเป็นสิ่งกระตุ้น
สิ่งท้าทายให้เขาอยากเอาชนะ

Goddard กับ  Chaplin ในหนังเรื่อง Modern Times


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ต.ค. 14, 10:26
           (เขาว่า) แชปลินก็รู้เรื่องราวความสัมพันธ์(อันเปิดเผย) นี้ และได้ส่งคนตามรอยพฤติกรรม
ของทั้งสอง และแล้ว
           ในที่สุด แอฟแฟร์ของเกอร์ชวินครั้งนี้ที่ดูเหมือนจะจริงจังถึงขั้นเกอร์ชวินขอกอเดอร์ดแต่งงาน
แต่เธอไม่สามารถ ก็ต้องยุติลงอย่างรวดร้าวรวดเร็วในเดือนพฤษภาคม


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ต.ค. 14, 10:30
         ไม่พบเรื่องเล่ารายละเอียดของการเลิกร้างระหว่างทั้งสอง คงได้แต่จินตนาการและมโนกัน
ไปตามเนื่อร้องที่ว่า
           No they can't take that away from me ที่อาจจะเป็น(ถ้อยความที่พี่ชายแต่งให้
แทนใจน้อง) เสมือนร้อยกรองของคำพ้อคำมั่นสัญญาแด่กอเดอร์ดว่า
         พวกเขาเหล่านั้นอาจจะพรากร่างแต่ไม่อาจพรากความรักความทรงจำไปจากใจเกอร์ชวินได้


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ต.ค. 14, 10:02
           เดือนต่อมา(มิถุนายน 1937) หลังร้างรักจากกัน เกอร์ชวินมีอาการปวดศีรษะอย่าง
รุนแรง แพทย์ตรวจไม่พบความผิดปกติทางกาย(น่าเสียดายที่ยุคนั้นไม่มีการตรวจพิเศษแบบ
CT Scan หรือ MRI เพื่อดูภาพสมอง) แล้ววินิจฉัยว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากความเครียดและ
การทำงานหนัก
           เข้าเดือนกรกฎาคม อาการปวดศีรษะทวีความรุนแรงขึ้นแต่คนใกล้ชิดต่างก็คิดว่าเป็น
จากสภาวะจิตใจ จนกระทั่งวันที่ 10 กรกฎาคม เกอร์ชวินเกิดอาการหมดสติอยู่ในภาวะโคม่า
และได้รับการผ่าตัดสมองฉุกเฉินแล้วพบก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่
           ในที่สุด คีตโลกาก็ต้องสูญเสียคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวอเมริกัน เมื่อเกอร์ชวินสิ้นใจใน
วันต่อมา 11 กรกฎาคม 1937 ด้วยวัยเพียง 38 ปี


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ต.ค. 14, 10:04
         ผลงานเพลงสุดท้ายที่เกอร์ชวินฝากทำนองไว้คือ (Our) Love is Here to Stay
เป็นเพลงในหนัง The Goldwyn Follies ได้รับความนิยมในปี 1938 แล้วกลับมาเป็นที่
นิยมอีกครั้งในปี 1951 เมื่อปรากฏในหนังเพลงเรื่อง An American in Paris
         เกอร์ชวินผู้พี่ประพันธ์เนื้อร้องหลังจากต้องสูญเสียน้องชายไปทำให้เพลงนี้มีความหมาย
กินใจยิ่งล้ำ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ต.ค. 14, 10:05
         เลือกเวอร์ชั่นจากเสียงร้องของ Ella Fitzgerald นักร้องในตำนานที่ Ira Gershwin
ผู้พี่ให้คำนิยมยกย่องว่า  

          never known how good our songs were until I heard Ella sing them

         Ella Fitzgerald ft Nelson Riddle Orchestra - Our Love Is Here To Stay (Verve Records 1959) (http://www.youtube.com/watch?v=NoJcEybKPGY#ws)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 17, 14:27
             มีเพลงเก่าเพลงหนึ่งซึ่งอยากจะนำมาพูดถึงแต่ยังได้แค่คิด จนกระทั่งเกิดบันดาลใจจากเหตุการณ์
ขัดแย้งรุนแรงที่ชาร์ล็อตส์วิลในเดือนก่อน เมื่อพวกผิวขาวสุดโต่งนำโดย Ku Klux Klan (KKK) ออกมา
เคลื่อนไหวจึงได้ขุดกระทู้เก่านี้ขึ้นมาชวนฟังเพลงนี้

(wiki,youtube,kalamu.com,khatiashiuka13.blogspot,mapbox,flashbak.com,
vaassignmentjrcr.gitedumontmyon.com)

Billie Holiday - Strange Fruit 1939

https://www.youtube.com/watch?v=wHGAMjwr_j8

กว่าเสียงร้องจะมา,เสียงดนตรีขึ้นนำนานกว่าหนึ่งนาทีเหมือนจะให้เวลาแก่ทั้งนักร้องและคนฟัง
ได้ตั้งสมาธิเตรียมตัวเตรียมใจ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 17, 14:40
            ต้นไม้ในแดนใต้ผลิผลพิกลประหลาด  ใบอาบเลือดสีชาดราดรดรากโคน

ร่างคนดำยามต้องสายลมใต้แกว่งไกวโยกโยน  โน่น..ผลไม้ประหลาดห้อยจากกิ่งต้นหยาง

(poplar tree มีบางที่เรียก ต้นหยาง)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 17, 14:46
           ผลไม้พิกลผลนี้ ได้ถูกนำมาเล่าขานผ่านเสียงเพลงโดยศิลปินหลายท่านแต่หนึ่งเดียวที่เป็นตำนาน
และ เป็นคนแรกที่ร้องเพลงนี้บันทึกเสียงไว้ในปี 1939 คือ Billie Holiday(1915 - 1959) - Lady Sings the Blues
นักร้องผิวสีแถวหน้าในประวัติศาสตร์ดนตรีแดนเมกา
           คุณทวดสมัยยังสาวใส่หัวใจร้องได้อย่างไร้เทียมทัน จนเวอร์ชั่นของคุณทวดนั้นได้รับการยกย่องจาก
นิตยสาร Time ในปี 1999 ให้ครองตำแหน่ง "song of the century"


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 17, 14:54
            ผู้ประพันธ์คำร้อง Abel Meeropol เกิดแรงดลใจเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ด้านล่างนี้ซึ่งเกิดขึ้น
ที่ Indiana ในปี 1930


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 05 ก.ย. 17, 15:00
          ความสะเทือนใจมากล้นจนต้องระบบายถ่ายทอดเป็นบทร้อยกรอง ซึ่งได้ถูกนำไปออกเผยแพร่
ทางนิตยสารครูนิว ยอร์ค เมื่อปี 1937 ก่อนที่จะถูกนำมาใส่ทำนองเป็นเพลงร้องต่อไป


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 05 ก.ย. 17, 16:05
คิดถึงเพลง "ต้นมะขามสนามหลวง" (The Hanging Tree) (https://www.google.co.th/search?q=%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87+6+%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2&client=safari&hl=th-th&prmd=vimn&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwjS_Zvg1o3WAhVJxrwKHbA1AhUQ_AUICigC&biw=1024&bih=672#imgrc=0rMjIqD3BDlUXM:)  :'(


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 06 ก.ย. 17, 03:09
ก่อนหน้านี้ผมรู้จักดนตรีของ George Gershwin แค่ Rhapsody in Blues ซึ่งเป็นเพลงที่ Piano บรรเลงตอบโต้กับ Orchestra ที่สนุกสนาน ฟังติดหูมาก
แต่มารู้จักเพลงร้อง(Songs) ของพี่น้อง Gershwin จากหนังเรื่อง Mr. Holland's Opus ซึ่งใช้เพลงของ Gershwin ประกอบหลายเพลง

Mr Holland นักดนตรีแจ๊ซที่เก่งกาจ หนีจากงานในเมืองมาเป็นครูดนตรีโรงเรียนบ้านนอกเพื่อหาเวลาให้ตัวเองในการแต่งเพลง
แต่ด้วยสเน่ห์ของดนตรี ความรักที่มีต่อดนตรีร่วมกัน ทำให้ Mr. Holland เกือบจะมี affair กับลูกศิษย์สาวสวย
ลองดูคลิปนี้ก็จะทราบว่ามันเย้ายวนใจแค่ไหน  55555 ดนตรีไพเราะมากจริงๆ

https://www.youtube.com/watch?v=3A84-s9RyNw



กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ย. 17, 09:42
ตั้งใจไว้จะไม่พูดถึง,จึงถือโอกาสข้ามเรื่อง ต้นผลิผลประหลาด ของบ้านเราไปเพราะคุณเพ็ญชมพู
ได้กล่าวถึงไปแล้ว :)

แต่แรกสงสัยอยู่ว่าคุณ paganini พา Gershwin มาจากไหน. อ้อ,จากเพลงเก่ากระทู้นี้เมื่อ 3 ปีก่อน  ;D


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ก.ย. 17, 10:09
คิดถึงเพลง "ต้นมะขามสนามหลวง" (The Hanging Tree) (https://www.google.co.th/search?q=%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87+6+%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%B2&client=safari&hl=th-th&prmd=vimn&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0ahUKEwjS_Zvg1o3WAhVJxrwKHbA1AhUQ_AUICigC&biw=1024&bih=672#imgrc=0rMjIqD3BDlUXM:)  :'(

เพลงต้นฉบับจากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games: Mockingjay – Part 1

https://youtu.be/F3hTW9e20d8

Are you, are you
Coming to the tree?
They strung up a man
They say who murdered three.
Strange things did happen here
No stranger would it be
If we met at midnight
In the hanging tree.

Are you, are you
Coming to the tree?
Where dead man called out
For his love to flee.
Strange things did happen here
No stranger would it be
If we met at midnight
In the hanging tree.

Are you, are you
Coming to the tree?
Where I told you to run,
So we'd both be free.
Strange things did happen here
No stranger would it be
If we met at midnight
In the hanging tree.

Are you, are you
Coming to the tree?
Wear a necklace of rope,
Side by side with me.
Strange things did happen here
No stranger would it be
If we met at midnight
In the hanging tree.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ย. 17, 10:13
           คำร้องจากร้อยกรอง ผลไม้ประหลาดนี้ กล่าวถึงการลงทัณฑ์(ชนผิวสี) อย่างโหดเหี้ยมด้วยวิธี
ที่เรียกว่า lynching ที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันนานนับศตวรรษในดินแดนตอนใต้ของอเมริกาเป็นหลัก

           คำนี้มีที่มาจาก Lynch law(1811) ซึ่ง(น่าจะ) ได้นามตามนามสกุลของ William Lynch(1742-1820)
แห่ง Pittsylvania, Virginia ผู้ก่อตั้งคณะดูแลรักษาความสงบขึ้นที่นั่นเมื่อปี 1780 ในช่วงการปฏิวัติ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ย. 17, 10:17
             ปฏิบัติการเริ่มต้นด้วยการรวมตัวกันของกลุ่มคนขาวทำการรุมจับผู้กระทำความผิด(ซึ่งมักเป็นคนดำ)
ลากออกมาจากบ้านหรือจากสถานีตำรวจแล้วตัดสินความกันเองนอกศาล ตามด้วยทัณฑสังหารที่มักจะเป็น
การแขวนคอ(และอาจมีเผา)
              แรกปรากฏมีปฏิบัติกันมาตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามกลางเมืองแล้วยังคงต่อเนื่องต่อไป เคสแรกเริ่มเป็น
ที่ St. Louis ในปี 1835 จากนั้นจึงอุบัติตามมามากมายระหว่างปี 1890 - 1920s ช่วงต้นเป็นการดำเนินการ
โดยฝูงชนมากหลายพร้อมอเมริกันมุงนับร้อย จนเมื่อเข้าศตวรรษที่ 20 จึงเปลี่ยนเป็นกลุ่มเล็กๆ กระทำกันแบบลับๆ 

โพสท์การ์ดสยองจากคุณป้า ภาพเหตุการณ์ที่ Texas เดือนสิงหาคมปี 1920 ด้านหลังโพสท์การ์ดมีข้อความ
เขียนไว้ว่า
     
        “This was made in the court yard in Center, Texas. He is a 16 year old Black boy.
He killed Earl’s grandma. She was Florence’s mother. Give this to Bud. From Aunt Myrtle.”


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ย. 17, 11:05
ไปหาความหมายของคำว่า lynching   เพื่อจะมาแปลให้ชาวเรือนไทยอ่าน     พบว่ามันโหดแกมสยองเสียจนเล่าไม่ไหวค่ะคุณหมอ SILA   
โปสการ์ดของคุณป้าเมอร์เทิลที่เล่าถึง lynching ด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับเล่าถึงดนตรีในสวนสาธารณะ ที่คุณป้าไปชมร่วมกับประชาชนอื่นๆ   อ่านแล้วมือเท้าอ่อน
ถ้าลูกแมวของคุณป้าถูกรถทับตาย  คุณป้าน่าจะเศร้าโศกเสียใจมากกว่านี้หลายเท่า


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ก.ย. 17, 11:34
เห็นภาพเจ้าหนูผูกเนคไทตรงกลางภาพ

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5984.0;attach=65441;image)

แล้วนึกถึงเจ้าหนูคนนี้  ::)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: paganini ที่ 06 ก.ย. 17, 14:27
ตั้งใจไว้จะไม่พูดถึง,จึงถือโอกาสข้ามเรื่อง ต้นผลิผลประหลาด ของบ้านเราไปเพราะคุณเพ็ญชมพู
ได้กล่าวถึงไปแล้ว :)

แต่แรกสงสัยอยู่ว่าคุณ paganini พา Gershwin มาจากไหน. อ้อ,จากเพลงเก่ากระทู้นี้เมื่อ 3 ปีก่อน  ;D

ใช่ครับคุณ SILA
เวปบอร์ดเรา Timeless ครับ โพสต์ล่าสุดก่อนที่คุณ SILA จะโพสต์ของปีนี้ เป็นเรื่องของ Gershwin ผมเห็นปุ๊บก็คิดว่าโพสต์เมื่อวานนี้ 55555  จริงๆก็สามปีที่แล้ว


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 17, 10:27
           มีคำไทยสำหรับ lynching ใช้ว่า  อวินิจฉยทัณฑ์ / การรุมประชาทัณฑ์
ซึ่งฟังดูหรู, ทางการ, (มาจากภาค) รัฐ(ะ) มาก ไม่ได้ฟีล (กิจกรรมของ)ชาวบ้าน, (มาจากภาค)ประชาชน
ที่จะสื่อตรงๆ โหดจริงๆ แบบคำว่า
(nation tv) 


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 17, 15:44
          ปฏิบัติการโหดนี้เริ่มจะลดลงไปในช่วง 1930s แล้วกลับมาก่อเหตุเคสพุ่งขึ้นอีกหลังสงครามโลก
ครั้งที่สอง เมื่อเกิดกระแสต้านความภาคภูมิใจของทหารผ่านศึกผิวดำ ในช่วง 1950s เหยื่อสังหารที่เป็น
เพียงเด็กชายวัย 14 ปี ได้ส่งแรงขับเคลื่อนอย่างแรงต่อการรณรงค์เรื่องสิทธิพลเมือง จนช่วงปี 1960s
lynching จึงได้ลดลงไปจนเกือบหมด เคสสุดท้ายที่มีบันทึกไว้เกิดขึ้นที่ Alabama ในปี 1981

เมกันมุง, ฝูงชนผิวขาวนับหมื่นรวมตัวกันเพื่อชม lynching ชายผิวดำนาม Henry Smith ที่ Paris,Texas
ในปี 1893


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 07 ก.ย. 17, 15:48
             เหยื่อของปฏิบัติการสังหารนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวผิวดำในรัฐตอนใต้ ส่วนน้อยเป็นผิวขาว
(ที่เป็นฝ่ายต่อต้านการมีทาส), เม็กซิกัน, ละติน, ผู้อพยพเชื้อสายอิตาเลียน, ชนพื้นเมือง และ ชาวจีน
ที่
             ได้รับการจารึกไว้ว่าเป็น เชื้อชาติที่มีจำนวนคนตายจากเหตุการณ์ lynching ในครั้งเดียวมากที่สุด
ของเมกา เมื่อชาวจีนประมาณ 17 - 20 คน ถูกฝูงชนผิวขาวรุมทำร้ายแล้วแขวนคอที่แคลิฟอร์เนียในปี 1871
เนื่องจากกรณีที่สองแกงก์ชาวจีนยิงปะทะกันแล้วชายผิวขาวคนหนึ่งถูกกระสุนลูกหลงได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 17, 14:12
              เนื่องจากเป็นเหตุการณ์นานนับร้อยปีที่กระทำทั้งในที่แจ้งและที่ลับ ทำให้นับจำนวนเหยื่อที่แท้จริงได้
ไม่แน่ชัด
              ข้อมูลจากสถาบัน Tuskegee ซึ่งปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยประวัติศาสตร์คนดำ ใน Alabama เมื่อปี
1959 ระบุจำนวนเหยื่อของ lynching นับจากปี 1882 มีทั้งสิ้น 4,733 ราย, ประมาณ 72.7% เป็นชาวผิวดำ
              มีรายงานเหยื่อสังหารที่เป็นหญิงผิวดำอย่างน้อยจำนวน 150 รายในรัฐทางใต้ระหว่างช่วงปี 1880 -
1965 บางรายงานกล่าวถึงเหยื่อผู้หญิงที่เป็นคนขาวด้วย ส่วนใหญ่มักจะถูกสังหารร่วมกับผู้ชาย

ภาพ lynching แม่และลูกชายใต้สะพานที่ Okfuskee County, Oklahoma ปี  1911
จากคดีฆ่าผช.นายอำเภอ


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 08 ก.ย. 17, 14:14
            เมื่อไม่นานมานี้ Mapbox ได้นำเสนอแผนที่ของเหยื่อความรุนแรงจากคนผิวขาวแบ่งตามสถานที่,
ปีที่เกิดเหตุและเชื้อชาติตามสีที่แตกต่าง แน่นอน,นำโด่งโดยสีส้มแทน คนดำ,ตามด้วยสีเหลืองแทน คนละติน 

หมายเหตุ แผนที่มีขนาดใหญ่มาก


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 17, 09:43
         หลังจากที่เพลงนี้ได้สร้างความตื่นตะลึงจนอึ้งแก่สาธารณชนโดยทั่วไป ในที่สุดก็ได้รับการยกย่อง
ให้เป็นยอดเพลงประท้วง ที่แหวกแนวทางเพลงประท้วงเดิมๆ ซึ่งฟังแล้วชวนให้ฮึกเหิมเดือดเลือดสูบฉีด
แต่ เพลงนี้กลับทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกใน และ ที่สำคัญ, เพลงนี้ยังได้ยกระดับเพลงประท้วงให้ขึ้นไปสู่
ความเป็นงานศิลปะด้วย

เดินขบวนในช่วงการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง ที่ Rhode Island


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ย. 17, 09:44
       ส่งท้ายด้วยคลิปนี้ - Diana Ross รับบท Billie Holiday ในหนังชีวประวัติคุณทวดเรื่อง
Lady Sings the Blues ปี 1972

https://www.youtube.com/watch?v=qzDsuKMxe_I


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.ย. 17, 18:00
เนื้อเพลง  Strange Fruit Lyrics

Southern trees bear a strange fruit,
Blood on the leaves and blood at the root,
Black bodies swinging in the southern breeze,
Strange fruit hanging from the poplar trees.

Pastoral scene of the gallant south,
The bulging eyes and the twisted mouth,
Scent of magnolias, sweet and fresh,
Then the sudden smell of burning flesh.

Here is fruit for the crows to pluck,
For the rain to gather, for the wind to suck,
For the sun to rot, for the trees to drop,
Here is a strange and bitter crop.


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ม.ค. 18, 09:53
            ปีใหม่ผ่านไปได้ไม่กี่วัน,ไม่ทันไร, รู้สึกว่าบรรยากาศเทศกาลเฉลิมฉลองได้เลือนหายไปไว
ชีวิตดำเนินเข้าสู่โหมดซ้ำประจำวันเช่นที่เคยเป็นมานาน เป็นอาการของคนที่ผ่านปีใหม่มาแล้วหลายหน
จนชิน (หรือกล่าวได้ว่า อายุมากแล้ว)
             ถ้าเช่นนั้น ชวนอ่านเรื่องราวแล้วฟังเพลงปีใหม่เรทผู้ใหญ่(30 up) ครับ
(เขาว่า ร่างกายมนุษย์เราเข้าสู่โหมด เสื่อม-ชรา ที่อายุ 30 ปี )    
                
จากคอลัมน์ พาสปอร์ตรอบโลก นสพ.เดลินิวส์ 28 ธ.ค. 2560

โดย บ๊อบ บุญหด https://www.dailynews.co.th/article/618231

(เพื่อนหญิงสองคนสนทนาเรื่อง)  เบื่อปีเก่า


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ม.ค. 18, 09:55
            "ปีใหม่อีกแล้ว แต่ทำไมพอเราอายุมากขึ้นจะรู้สึกเฉยๆ อยากกลับไปรู้สึกเหมือนแต่ก่อนอีก"     

           "เพื่อนบ้านในซอยฉัน เขาฉลองมาเป็นสิบๆ ปี เมาจนไม่รู้เรื่อง จำอะไรไม่ได้ และทุกวันนี้ก็ยัง
จะทำอย่างนั้นอีก หรือว่าเขาจะเป็นอย่างที่ว่า some drink to remember,some drink to forget

(ดัดแปลงจากเนื้อเพลง Hotel California)
            เป็นไปได้ว่า เขาฉลองเพื่อลืมความทุกข์ชั่วขณะ ตอนหนุ่มๆ เขาเคยมองการดื่มว่าเป็นการฉลอง
ช่วงเวลาความสุขแต่เมื่อชีวิตผ่านไป, ความจริงตอกย้ำว่าชีวิตไม่ได้มากับความสุขเสมอไป เขาก็ยังอาจ
associate การดื่มกับความสุขในอดีตอยู่"


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ม.ค. 18, 09:56
             "ฉัน(เคย)มองปีใหม่ว่าเป็นเวลาที่เราจะได้เจออะไร,ทำอะไร ใหม่ๆ ซึ่งมันตื่นเต้นดี แต่ตอนนี้
สิ่งที่เคยใหม่กลายเป็นเก่าไปหมดแล้ว ไม่รู้จะ look forward to อะไรแล้ว"


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ม.ค. 18, 09:58
https://www.youtube.com/watch?v=HTjwRmpng2w

             เพลง It's Just Another New Year's Eve เสียงร้องของ Barry Manilow
ประพันธ์โดย Barry Manilow และ Marty Panzer ใช้เวลาเพียง 2-3 วันก็บันทึกเสียงสำเร็จ

             ทำนองอิงเพลง Goldberg Variations ของ Bach เมื่อออกเผยแพร่แล้วสามารถไต่ไปถึง
อันดับ 33 ชาร์ทเพลง Adult Contemporary ในปี 1977
             ท่วงทำนอง,เรียบเรียงเสียงประสานประกอบเสียงร้องเร้าอารมณ์ให้คล้อยตาม มองย้อนวันเก่าๆ
ที่มีทั้งดี,มีทั้งพลาด วันนี้ที่ก็เป็นเพียงคืนวันเหมือนวันอื่นๆ และ วันข้างหน้าที่มียังความหวังว่าจะเป็นวันที่ดี


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ม.ค. 18, 10:05
            บันทึกแรกสุดของเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ปรากฏย้อนหลังไปที่ 4,000 ปีก่อน ชาว Babylon นับ
วันจันทร์ดับ หรือ อมาวสี (New moon - ปรากฏการณ์ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในทิศทางเดียวกับดวงอาทิตย์
เมื่อมองจากโลกดวงจันทร์หันด้านมืดเข้าหาโลก ทำให้ไม่เห็นดวงจันทร์ มักเกิดในวันแรม 14 ค่ำ หรือแรม 15 ค่ำ,
บางครั้งเกิดในข้างขึ้นอ่อน ๆ เพราะปฏิทินจันทรคติคลาดเคลื่อนจากดวงจันทร์จริงบนท้องฟ้า) วันแรกหลังจาก
วันวสันตวิษุวัต
(vernal equinox — วันที่ 20 หรือ 21 มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
และตกทางทิศตะวันตกพอดี ทำให้ช่วงเวลากลางวันเท่ากับกลางคืน เป็นวันที่ประเทศทางซีกโลกเหนือย่างสู่ฤดู
ใบไม้ผลิส่วนซีกโลกใต้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง) เป็นวันเริ่มต้นปีใหม่
             พวกเขาจัดพิธียิ่งใหญ่ทางศาสนาเรียกว่า Akitu (แปลว่า barley ที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิ) เป็นเวลา
นาน 11 วัน  มีการแห่รูปพระเจ้าไปตามท้องถนน นอกจากนั้น,พิธีราชาภิเษกราชาองค์ใหม่ยังถูกจัดขึ้นในช่วงเวลานี้ด้วย

Artist: Peter Jackson
A New Year's Day religious procession through the streets of ancient Babylon


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ม.ค. 18, 11:15
           ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็มีการนับปีปฏิทินแตกต่างกันไปโดยอ้างอิงตามเหตุการณ์ทางการเกษตร
หรือดาราศาสตร์ เช่น
           จีน,ปีใหม่เริ่มที่วันจันทร์ดับวันที่สองหลังวันเหมายัน(Winter Solstice คือ วันที่กลางคืนยาวที่สุด
กลางวันสั้นที่สุด เมื่อซีกโลกเหนือในหน้าหนาวเอียงห่างจากดวงอาทิตย์ ส่วนใหญ่ตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคม)
           อียิปท์ - ปีใหม่เริ่มเมื่อถึงฤดูแม่น้ำไนล์ท่วมท้น


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 17 ม.ค. 18, 11:18
            อียิปท์เรียกเทศกาลเริ่มต้นปีว่า Wepet Renpet แปลว่า opening of the year คือวันที่แม่น้ำไนล์
ไหลท่วมท้น(เริ่มเดือนมิถุนายนจนถึงระดับสูงสุดเดือนกรกฎาคม) ประชาชนแต่งกายในชุดพิธี,มีการจัดงานเลี้ยง
และแลกเปลี่ยนของขวัญ
            จากตำนานเล่าถึงเทวีสงครามผู้มีศีรษะเป็นสิงห์พิโรธหมายทำลายล้างมวลมนุษย์แต่เทพพระอาทิตย์ได้
ขัดขวางไว้ด้วยการมอบเมรัยสีเลือดให้พระนางดื่มโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดมนุษย์,ส่งผลให้พระนางเมามาย
หมดสติไป
            ชาวอียิปท์จึงเฉลิมฉลองการรอดพ้นโดยการดื่มต้อนรับปีใหม่อย่างหนักจนหมดสติฟุบลงตามทางหรือ
บนพื้นวิหาร ส่วนพวกที่ไม่หมดสติมีหน้าที่เดินตีกลองไปตามถนนเพื่อปลุกพวกที่เมามายไปร่วมพิธีทางศาสนา
ขอพรเทพให้ปกปักรักษาในปีใหม่


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ม.ค. 18, 09:44
          ที่โรมัน,ปฏิทินเดิมเริ่มปีใหม่ในเดือนแรก คือ มีนาคม(ชื่อเดือนบางเดือนที่ใช้กันทุกวันนี้สะท้อน
การลำดับเดือนตามนี้ นั่นคือ septem ภาษาละตินแปลว่า  "seven", octo - "eight", novem - "nine"
และ decem - "ten") จนกระทั่งเมื่อ 153 B.C จึงได้มีการเพิ่มเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์เข้ามาแต่ยัง
คงฉลองปีใหม่กันในวันที่ 1 มีนาคมเช่นเคย    
          ต่อมาจักรพรรดิ์ Julius Caesar ได้ปรับแก้ไขปฏิทินใหม่ตามสุริยคติเมื่อ 46 B.C และกำหนดให้
วันที่ 1 มกราคม - January เป็นวันแรกของปีใหม่(ชื่อเดือนนี้มาจากเทพ Janus ผู้มีสองหน้ามองไปเบื้องหลัง
และข้างหน้า เป็นเทพแห่งการเริ่มต้น) ชาวโรมันเฉลิมฉลองโดยการทำพิธีสังเวยเทพ,มองของขวัญให้แก่กัน,
ประดับตกแต่งที่อยู่อาศัยด้วยกิ่ง laurel และจัดงานเลี้ยง

A Roman Feast  by Roberto Bompiani


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ม.ค. 18, 09:47
         ส่วนที่ยุโรปยุคกลางเดิมมีการฉลองปีใหม่ในวันที่ 25 ธันวาคม ต่อมา พระสันตปาปา Gregory XIII ได้
ปรับปรุงปฏิทินใหม่โดยยังคงใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันเริ่มปีใหม่ตั้งแต่ปี 1582 ปฏิทินใหม่นี้เป็นที่ยอมรับทั่วไปใน
ประเทศแคธอลิค แต่กว่าจะเป็นที่ยอมรับในประเทศโพรเทสแทนท์ก็ล่วงเข้าถึงปี 1752 ก่อนหน้านั้นในจักรวรรดิ์บริทิช
และอาณานิคมอเมริกาจึงคงฉลองปีใหม่ในเดือนมีนาคม


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ม.ค. 18, 11:21
           ที่สุวรรณภูมินี้, แต่ปางบรรพ์พันปี นับสิ้นปีเก่าเดือน ๑๒ แล้วขึ้นปีใหม่ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้าย(เดือน ๑)
ตามฤดูกาลที่เปลี่ยนจากฝนเป็นหนาว(ในเดือนอ้าย - ปลายฝน ต้นหนาว) โดยที่ปีนักษัตร(รับจากเปอร์เซียผ่านมา
ทางจีน) ก็เปลี่ยนเมื่อสิ้นเดือน ๑๒ หลังจากลอยกระทงขอขมาแม่น้ำให้น้ำลดลงเพื่อจะได้เกี่ยวข้าวในเดือนยี่
           ในราชสำนักอยุธยากำหนดปีเก่า-ใหม่ วันสงกรานต์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕  ตามคติพราหมณ์(ก่อนที่จะแพร่
ออกไปนอกรั้ววังในเวลาต่อมา*) ในขณะที่ราษฎรยังคงนับปีใหม่ตามเดิมในเดือนอ้ายหลังลอยกระทงเดือน ๑๒
ซึ่งตรงกับราว ปลายพฤศจิกายน-ธันวาคม-ต้นมกราคม (จดหมายเหตุลาลูแบร์ บันทึกว่า กรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จ
พระนารายณ์นั้น ราษฎรทั่วไปขึ้นปีใหม่หลังลอยกระทงในวันรุ่งขึ้น)

จิตรกรรมฝาผนังวัดเสนาสนาราม พระนครศรีอยุธยา
แสดงภาพกระบวนเรือและเสาโคมในพิธีจองเปรียง (ลอยกระทง)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 ม.ค. 18, 11:24
* ยุคธนบุรีไม่พบหลักฐานเรื่องสงกรานต์ มาพบหลักฐานสงกรานต์ชัดเจนจากจารึกวัดโพธิ์ ในนิทานเรื่อง แห่เศียร
ท้าวกบิลพรหม  ภายหลังรัชกาลที่ ๓ จึงแพร่ไปโดยผ่านทางพระ นิราศเดือนของเสมียนมี(กวีต้นรัตนโกสินทร์ร่วม
สมัยสุนทรภู่) กล่าวถึงสงกรานต์ว่า ...มนุษย์สุดสุขสนุกครัน
                   ในรัชกาลที่ ๔ ปรากฏคำประกาศวันสงกรานต์ แจ้งแก่ประชาชนให้มาคอยดูรูปมหาสงกรานต์(นางสงกรานต์)
ที่เขียนแขวนไว้ที่พระบรมมหาราชวัง
                   สมัยรัชกาลที่ ๕ ชาวประชาเล่นสงกรานต์กันสนุกสนานดังปรากฏโคลงพระราชพิธีทวาทศมาสว่า

     สงกรานต์ชาวบ้านเที่ยว         ตามสบาย
หญิงปะปนฝูงชาย                    แซ่ซ้อง


เดือน ๕ ถือเป็นช่วงเถลิงศกใหม่ ทั้งพระราชพิธีหลวงและราษฎร ถือปฏิบัติคล้ายคลึงกัน คือทำบุญตักบาตร ทำทาน
ก่อพระเจดีย์ทราย สรงน้ำพระและเทวรูปซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภาพจากจิตรกรรมพระอุโบสถวันราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ม.ค. 18, 10:01
          เนื่องจากการนับวันปีใหม่หรือวันสงกรานต์(เมื่อดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ) จากการคำนวณ
ตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์นั้นมีความคลาดเคลื่อนไปในแต่ละปี ในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ พ.ศ. ๒๔๓๒ ซึ่ง
ตรงกับวันที่ ๑ เมษายน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ถือเอาวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่
ของไทยนับแต่นั้นมาเพื่อให้วันปีใหม่จะได้ตรงกันทุกปีเมื่อนับทางสุริยคติ

Bangkok 1889 (พ.ศ. ๒๔๓๒)


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ม.ค. 18, 10:02
           แต่คนทั่วไปยังคงถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ทำให้วันปีใหม่ ๑ เมษายนเป็นวันเงียบๆ ไม่มีงานฉลอง
เพราะจะรอไปจัดในวันสงกรานต์
           จนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยทางราชการเห็นควรให้ชุบชีวิตชีวาวันขึ้นปีใหม่ที่
๑ เมษายน จึงประกาศให้จัดงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ใน กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก และ
ได้แพร่ต่อไปตามต่างจังหวัดจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๙ จึงได้มีการจัดงานปีใหม่ทั่วทุกจังหวัดพร้อมกัน
           ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ได้มีมติให้เปลี่ยน
วันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินสากล "ให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก" จึงกำหนดให้วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔
เป็น วันขึ้นปีใหม่ ของปีนั้นและตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป

วันนี้ในอดีต ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๒ เปิดงานฉลองวันขึ้นปีใหม่ของเทศบาลนครกรุงเทพ ที่ท้องสนามหลวง

https://www.youtube.com/watch?v=v1pBa1iIbU4


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 22 ม.ค. 18, 10:04
วันนี้ในอดีต ๑ มกราคม ๒๕๑๔ บำเพ็ญกุศลวันขึ้นปีใหม่พุทธศักราช ๒๕๑๔

https://www.youtube.com/watch?v=BvicOx_DDIY


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 19 มิ.ย. 20, 10:34
            คุณย่าทวด ผู้ร้องเพลงเก่า เล่าอดีต (There'll Be Bluebirds Over) The White Cliffs of Dover

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5984.msg136398#msg136398

           Dame Vera Lynn ได้จากไปด้วยวัย 103 ปี เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นี้

           คุณย่าทวดได้รับการยกย่องอย่างสูงว่าเป็น สมบัติแห่งชาติ และ หวานใจสามเหล่าทัพ จากผลงานเพลงและ
กิจกรรมที่ได้กระทำในช่วงเวลาวิกฤตสงครามโลกครั้งที่สอง
           เมื่อกรุงลอนดอนถูกเยอรมันโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วง ในปี 1940 คุณย่าทวดยังคงไปจัดรายการชื่อ
Starlight ที่ห้องส่งใต้ดินของ BBC ที่ Criterion Theatre ใจกลางมหานครลอนดอน ออกอากาศตอน 2:30am
กระจายเสียงไปยังค่ายทหารในสมรภูมิทั่วโลกเป็นเวลา 15 นาที นำเสนอเพลงซึ้งเข้าถึงจับใจเหล่าทหารหาญคนไกล
ที่จากบ้าน,จากคนรัก จนเป็นที่มาของสมญา Forces' Sweetheart

ภาพจากทวิต Clarence House


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มิ.ย. 20, 11:27
RIP ค่ะคุณทวด
คลิปนี้พิสูจน์ว่าคุณทวดเป็นขวัญใจทหารมากขนาดไหน
https://www.youtube.com/watch?v=T5C4meGkNyc


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มิ.ย. 20, 11:28
https://www.youtube.com/watch?v=tuHYnzWHS7o


กระทู้: เพลงเก่า เล่าอดีต
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มิ.ย. 20, 12:43
เทคโนโลยีพาคุณทวดมาร้องเพลงกับนักร้องสาวรุ่นเหลน Hayley  Westenra ได้

https://www.youtube.com/watch?v=tBX16iBQ0rI