ส่วนเรื่องศาสนาพุทธ ผมเห็นด้วยกับท่าน(อาจารย์)นวรัตนนะครับว่าศาสนาพุทธ ถ้าใช้นิยามคำว่าประชาธิปไตยแบบสมัยปัจจุบัน ศาสนาพุทธคงไม่ใช่ศาสนาประชาธิปไตย เพราะไม่ได้ใช้หลักความเห็นของคนหมู่มากในการตัดสินทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่สิ่งที่ต่างกันคือศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาแห่งการใช้เหตุผล อย่างพระวินัยต่างๆ ที่พระพุทธองค์บัญญัติขึ้น บัญญัติขึ้นอย่างไม่เป็นประชาธิปไตย คือพระพุทธองค์ไม่ได้ถามความเห็นจากคณะสงฆ์ ไม่มีการโหวตหรืออภิปราย แต่ทุกข้อจะมีที่มาที่ไป และทรงมีเหตุผลกำกับเสมอ ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องทรงบัญญัติพระวินัยข้อนั้นๆ ขึ้นมา
ถ้ามีประชาธิปไตย แต่ไม่มีเหตุผล สุดท้ายสังคมประชาธิปไตยนั้นก็ต้องล่มสลายไป ดูตัวอย่างการขึ้นครองอำนาจของฮิตเลอร์ได้ ขึ้นมาจากระบอบประชาธิไตย แต่สุดท้ายคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่มีเหตุผล ไม่มีสติ เป็นที่มาของการฆ่าฟันนองเลือดเดือดร้อนไปทั้งโลก
แต่ถ้าทั้งสังคมใช้แต่เหตุผล ทุกคนมองผลประโยชน์ของส่วนรวมก่อนเป็นหลัก เคารพซึ่งกันและกัน ประชาธิปไตยก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับสังคมนั้นๆ
ขออนุญาตร่วมสนทนาครับ
ในประชาธิปไตยเอง ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบไม่มีขอบเขตนี่ครับ เพราะถึงที่สุดแล้วประชาธิปไตยก็ต้องมีรัฐธรรมนูญ , พระราชบัญญัติ, พระราชกำหนด, พระราชกฤษฏีกา, กฎกระทรวง ฯลฯ
ซึ่งถ้าว่ากันตามจริง กฎหมายทุกประเภทที่ว่ามานี้ ก็ไม่ได้ผ่านการรับฟังประชามติ หรือไม่ได้มีการให้ประชาชนลงคะแนนเสียงว่าจะเลือกรับหรือไม่รับกฎหมายเหล่านี้ทุกประเภท
รัฐธรรมนูญมีการให้ลงคะแนนยอมรับหรือไม่ก็จริง แต่กฎหมายอื่นไม่มีการให้ลงคะแนนเลย ถ้ามองในมุมที่ว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วม ผมเดาว่าก็ยังไม่ใช่ประชาธิปไตยอยู่ดีครับ
ย้อนกลับมาเรื่องพระวินัย จริง ๆ แล้วในตอนต้น พระสงฆ์ทั้งหลายท่านมีจุดประสงค์บวชเข้ามเพื่อละกิเลส เพราะฉะนั้นท่านเหล่านั้นก็จะมุ่งทำหน้าที่ละกิเลสอย่างเดียว โอกาสที่จะไปทำอะไรที่มันนอกลู่นอกท่าก็น้อย ภายหลังสมมติสงฆ์ที่เป็นปุถุชน ที่ไม่ได้ต้องการจะละกิเลสจริงจัง แต่มาหากินกับพระพุทธศาสนาบวชเข้ามามากขึ้น บุคคลเหล่านี้ก็ย่อมหาทางทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ เพราะว่าไม่มีกฎบังคับไว้
จึงทำให้เกิดเป็นที่มาของพระวินัยขึ้น
เพราะฉะนั้น การที่จะมองว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ผมคิดว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่จะต้องมองครับ