เรือนไทย

เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวดาวอังคารกัน

มาฟื้นความหลังกันก่อนดีกว่า (ขลุกขลักเล็กน้อยเพราะกระทู้ "สัตว์ประหลาด" แรก ใส่กุญแจแล้ว อ้างอิงวิธีเดิมไม่ได้)

 (๑) (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3296.msg79926#msg79926) ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ยานสำรวจ "สปิริต"  (http://en.wikipedia.org/wiki/Spirit_rover) ลงจอดบนดาวอังคาร และเริ่มภารกิจถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคาร

(๒) (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3296.msg80080#msg80080) มีภาพถ่ายภาพหนึ่งซึ่งเป็นผลงานของ "สปิริต" น่าสนใจ

(http://marsrovers.nasa.gov/gallery/all/2/p/1367/2P247720343EFFAWCCP2415L7M1.JPG)

(๓) (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3296.msg65397#msg65397) สองคนยลตามช่อง คนหนึ่ง  (คุณเทาชมพู) มองเห็น "บิ๊กฟุต"

(๔) (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3296.msg80063#msg80063) คนหนึ่งตาแหลมคม (คุณดีดี) เห็นเป็น "นางเงือก" ;)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3296.0;attach=10828;image)

ฟื้นความหลังลำบากจริงหนอ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ไขกุญแจกระทู้เก่าแล้วค่ะ
หวังว่าเมื่อคุณเพ็ญชมพูเข้ามาดูกระทู้นี้อีกครั้ง   ชื่อกระทู้ในหน้าแรกจะเปลี่ยนไปอย่างถูกต้องแล้ว
ขออภัยในความผิดพลาดของระบบ

๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ยานสำรวจ "คิวริออสซิตี้ (http://en.wikipedia.org/wiki/Curiosity_(rover)) ลงจอดบนดาวอังคาร และนี่คือผลงานการถ่ายภาพภูมิประเทศดาวอังคารของ "คิวริออสซิตี้"

เพื่อน ๆ ชาวเรือนไทยมาช่วยมุงดูกันหน่อย  สังเกตดูดี ๆ ว่ามีสัตว์ประหลาดอะไรหนออยู่ในภาพนี้ ;D

จินตนาการด้านต่างดาวยังไม่สูง  เลยเห็นแต่ก้อนหิน    คุณชายประกอบเทพเห็นวังอยู่แถวนี้บ้างไหมคะ

กระทู้เริ่มนิ่งเสียตั้งแต่ตั้งต้น  เลยต้องเข้ามาปั่นเรตติ้ง(ตามเคย)
ผู้ชายในคลิปนี้ชื่อนายไซมอน พาร์คส์ อายุ 53 ปี มีลูกแล้ว 3 คน เป็นที่ปรึกษาของพรรคเลเบอร์ แสดงว่าแกก็มีตำแหน่งแหล่งที่เป็นเรื่องเป็นราว     แกออกมาให้การว่ามีเมียน้อยเป็นผู้หญิงต่างดาว ที่เขาเรียกว่า "นางแมว" (cat woman) จนมีลูกด้วยกันหนึ่งคน  ชื่อ Zarka    
เมียตัวจริงจับได้ โกรธมาก       ที่จริง ถ้าเป็นเรื่องจริง น่าจะใช้คำว่ากลัว มากกว่าโกรธ

http://www.youtube.com/watch?v=QzQTqGOlcWc

หน้าตาเมียน้อยต่างดาว

ชาวเรือนไทยที่เข้ามามุงดูภาพคงกำลังค้นหา "สัตว์ประหลาด" กันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด เลยเสียเวลาหน่อย

ฉะนั้นจึงขอใบ้ให้เล็กน้อย จำกัดบริเวณให้แคบลง คงค้นหาได้ไม่ยาก   ;D

เจอแล้วค่ะ..... ;D
กิ้งก่าทะเลทราย หรือไม่ก็ ตุ๊กแกยักษ์....

คุณดีดีตาแหลมจริง ๆ

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2013/05/29/article-2332516-1A0B1EAF000005DC-760_634x630.jpg)

http://www.youtube.com/watch?v=P7bES-f4VUI

คุณดีดีดูเป็นกิ้งก่าหรือตุ๊กแก บางคนบอกว่าเป็นหนู

คุณดีดีและคุณเทาชมพูเชื่อหรือไม่ว่ามันเป็น "สัตว์ประหลาดดาวอังคาร"

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

โหว คุณเพ็ญฯ นี่บุกถึงดาวอังคารแล้วหรือนี่  ;D ;D ;D

สำรวจมาหลายรอบแล้วค่ะ

นอกจากมีตุ๊กแก  ยังมีกระรอกและหนูด้วยนะ บนดาวอังคาร     ดูจากรูป
ว่าแต่บนนั้นมีออกซิเจนให้หายใจด้วยหรือคะ

คุณเทาชมพูก็ไปสำรวจดาวอังคารเหมือนกัน หลบอยู่หลังก้อนหินไหนหนอถึงมองไม่เห็น  ;)


ถ้าสัตว์ประหลาดดาวอังคารต้องการออกซิเจนเพื่อการหายใจ คงไม่ประหลาดสักเท่าใด เราคงไม่สามารถใช้มาตรฐานการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตบนโลกไปตัดสินสิ่งมีชีวิตบนโลกอื่น หนู (หรือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายหนู) บนดาวอังคารอาจใช้ก๊าซชนิดอื่นหรือสิ่งที่เราไม่รู้จักเพื่อการหายใจ หรืออาจไม่หายใจเลยก็ได้แต่มีกระบวนการทางชีวภาพอื่นทดแทน

ก๊าซที่พบมากที่สุดบนดาวอังคารคือคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างไรก็ตามออกซิเจนก็น่าจะพอหาได้บ้างจากน้ำแข็งที่อยู่ในพื้นผิวดาว (หากสมมุติฐานเรื่องน้ำแข็งดาวอังคารถูกต้อง)

เอารูปของคุณเทาชมพูที่พบหนู ฉบับค่อนข้างเต็มฝีมือ "คิวริออสซิตี้" เจ้าเก่ามาแสดง  ;D

แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมนึกถึง ปรากฏการณ์ทางจิตใจที่เรียกว่า pareidolia บ้าง  ;)



(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ไม่ค่อยจะเชื่อเจ้าหนู กระรอก หรือกิ้งก่ายักษ์ในรูปข้างบนนี้เท่าไหร่      กิ้งก่ายังดูยาก  แต่หนูหรือกระรอกนั่นหน้าตามันเหมือนพวกบนโลกนี้จริงๆ  เกินกว่าจะเชื่อว่ามันดำรงสรีระแบบนี้อยู่ได้บนดาวอังคาร ซึ่งสภาพแวดล้อมแตกต่างจากโลกแทบจะคนละขั้ว
ดูจากทิวทัศน์ มันแห้งแล้งเวิ้งว้างสุดขอบโลก มีแต่ก้อนหิน    หนักกว่าทะเลทรายที่ยังมีพืชบ้าง     ถ้ามีตัวพวกนี้จริง มันจะมาวิ่งหาอะไรอยู่แถวนี้  ไม่เห็นมีอะไรกินได้เลย  วิ่งทั้งวันก็ไม่เจอ

ถ้ามีสัตว์กิ้งก่าหรือกระรอก จริง อย่างน้อยต้องมี "รอยเท้า" นะครับ และแหล่งอาหาร

มนุษยมีความเชื่อมานมนานแล้วว่า  เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวพวกเดียวโดด ๆ ในจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้  ดวงดาวนับล้าน ๆ ดวงดุจเม็ดทรายริมชายหาดอันประมาณมิได้ ตัองมีสักจำนวนหนึ่งซึ่งแม้ไม่ถึงเศษเสี้ยวของหนึ่งเปอร์เซ็นต์ น่าจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นและอาศัยอยู่บ้าง อาจเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตรูปแบบง่าย ๆ หรือมีรูปแบบซับซ้อนทรงภูมิปัญญาเทียบเท่าหรือสูงกว่ามนุษย์โลก

ในบรรดาดวงดาวมากมายทั้งหลายนั้น ดาวที่มนุษย์คุ้นเคยและคาดหวังว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตมาตั้งแต่ครั้งโบราณคือ "ดาวอังคาร"  ชาวอังคารในจินตนาการของชาวโลกปัจจุบันอาจเป็นทั้ง

ศัตรูผู้มาจากแดนไกล จาก Mars Attacks! ของ ทิม เบอร์ตัน

http://www.youtube.com/watch?v=VYHeZCEFwhI&feature=player_embedded#at=46

และมิตรผู้มาจากต่างดาว ภาพลักษณ์จาก "ลุงอังคาร" แห่ง My Favorite Martian ที่เด็ก ๆ ยุค ๖๐ รู้จักกันดี  ;)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

แต่ดูเหมือนชาวโลกจะโน้มเอียงในทางที่เชื่อว่าเพื่อนบ้านต่างดาวที่ไม่คุ้นเคยกันจะมาร้ายมากกว่า

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ คนอเมริกันนับล้านช็อกกับประกาศข่าวด่วนทางวิทยุว่า ชาวอังคารบุกมาถึงโลกแล้ว การโจมตีจากศัตรูต่างดาวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น 

http://www.youtube.com/watch?v=Xs0K4ApWl4g

ต่างคนต่างพยายามหนีเอาตัวรอด จากนั้นความวุ่นวายโกลาหลครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/en/4/4a/WOTW-NYT-headline.jpg)

แท้จริงแล้วประกาศข่าวด่วนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของละครวิทยุซึ่งเมอคิวรี่ เธียเตอร์ หยิบเอามาจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง The War of the Worlds ที่ H. G. Wells แต่งไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑

คนอเมริกันช่างหลอกง่ายเสียจริง ๆ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

http://www.youtube.com/watch?v=7jeW30vLwds

หนังสะท้อนเบื้องหลังการออกอากาศทางวิทยุ และความโกลาหลในคืนนั้น

หลังจากการบุกโลกของชาวอังคารของ H. G. Wells ทางวิทยุเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ แล้ว ชาวอังคารได้บุกโลกมนุษย์อีก ๒ ครั้งในโรงภาพยนตร์คือเมื่อ

พ.ศ ๒๔๙๖ (http://en.wikipedia.org/wiki/The_War_of_the_Worlds_(1953_film))

http://www.youtube.com/watch?v=P9T9f3UbGuo

และ พ.ศ. ๒๕๔๘ (http://en.wikipedia.org/wiki/War_of_the_Worlds_(2005_film))

http://www.youtube.com/watch?v=MJYnHA2OzfA

การบุกของชาวอังคารในโรงภาพยนตร์ไม่ทำให้ชาวโลกตื่นตระหนกตกใจแต่ประการใด

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

The War of the Worlds จบลงด้วยการพ่ายแพ้ของชาวอังคารผู้รุกราน ไม่ใช่ต่อมนุษย์ แต่ต่อเชื้อจุลินทรีย์ตัวน้อย ๆ บนโลก ที่ทำให้เกิดโรคระบาดจนชาวอังคารตายหมดสิ้น

H.G. Wells จบเรื่องลงเพียงนั้น  แต่เรื่องนี้มีตอนต่อชื่อ Edison's Conquest of Mars  (http://www.gutenberg.org/files/19141/19141-h/19141-h.htm#II) เขียนโดย Garrett P. Serviss  (http://en.wikipedia.org/wiki/Garrett_P._Serviss) เป็นเรื่องการชำระแค้นของชาวโลกต่อชาวอังคาร  :o

เอดิสันแสดงผลงานคือยานและอาวุธแสงทำลายล้างต่อผู้นำโลกเพื่อเรี่ยไรเงินสร้างกองยาน  ใครเป็นใครคงพอเดากันออก

เซอร์ไพรส์ของเรื่องอยู่ตรงนี้

สิ่งน่าพิศวงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อถึงคราวของกษัตริย์สยาม พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในแถวหน้าของการประชุม แต่เมื่อชื่อประเทศสยามดังขึ้น กษัตริย์ในฉลองพระองค์แปลกพิศวงของประเทศก็ลุกจากพระเก้าอี้ เสด็จมาหน้าโต๊ะท่านประธานาธิบดีอย่างช้าๆแล้วทรงวางกล่องเล็ก ๆ ลง
 
"นี่คือเงินช่วยเหลือของเรา" พระองค์ตรัสด้วยสำเนียงอังกฤษแปร่ง ๆ
 
ฝากล่องถูกเปิดออก ทันใดนั้นแสงที่เรืองรองไปครึ่งห้องก็สว่างจ้าออกมาจากภายใน
 

กษัตริย์สยามพระองค์นั้นคือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง  ผู้วาดพระบรมสาทิศลักษณ์คงเอาแบบมาจากตอนประพาสยุโรปครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๔๐  การเสด็จประพาสยุโรปของรัชกาลที่ ๕ ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักไปถึงอเมริกา

"มิตรชาวตะวันตกของข้าพเจ้า" กษัตริย์สยามตรัส "คงสนใจกับอัญมณีเม็ดนี้มากทีเดียว เพราะที่ผ่านมาเคยมีชาวยุโรปเพียงคนเดียวเท่านั้นเคยได้เห็น หนังสือของท่านเล่าว่าในสมัยศตวรรษที่ ๑๗ นักผจญภัยฝรั่งเศสชื่อทาเวเนียร์ได้พบโคตรเพชรในประเทศอินเดีย แต่แล้วมันก็หายไปเหมือนดาวตก
  
ท่านทั้งหลายรู้จักมันในนามเพชรเกรทโมกุล ข้าพเจ้าจะไม่ขอบอกว่าได้มันมาได้อย่างไร แต่ก็ขอยืนยันว่ามันเป็นของข้าพเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ และวันนี้ข้าพเจ้าพร้อมเสียสละมันเพื่อปกป้องดาวบ้านเกิดจากศัตรูที่หวังทำลาย"
 
เมื่อพระองค์ตรัสจบ ผู้นำโลกต่างก็ส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตกตะลึง  

เรื่องแต่งเติมเสริมต่อนี่เว่อมากๆ โดยเฉพาะเรื่องเพชร "มหาราชโมกุล" หรือ The Great Mogul" ที่มั่วสนิทว่าตกมาอยู่ในครอบครองของพระมหากษัตริย์สยาม
เคยเล่าไว้ในกระทู้เก่าเรือนไทยเรื่องเพชรเม็ดนี้แล้วค่ะ    เป็นเพชรรูปไข่ไก่ผ่าครึ่ง  ขุดได้จากเหมืองในอินเดีย   หลังจากตกไปอยู่ในครอบครองของกษัตริย์เปอร์เชีย  แล้วก็หายสาบสูญไปตั้งแต่ค.ศ. 1747 

ส่งเรื่องมนุษย์ต่างดาวเข้าประกวดบ้างค่ะ
มนุษย์ต่างดาวที่ทำได้น่ากลัวมากเรื่องหนึ่ง ทั้งๆไม่ได้สร้างเป็นมนุษย์ประหลาด หรือสัตว์ประหลาด  แต่เอาเด็กๆหน้าตาน่ารักมาเล่น  ผู้กำกับการแสดงสามารถทำให้คนดูเห็นเด็กแล้วเย็นวาบถึงสันหลัง    เรื่องนั้นคือ Village of the Damned  เวอร์ชั่นปี 1960 
เป็นเรื่องของกลุ่มมนุษย์ต่างดาวที่มาเกิดในท้องของหญิงชาวโลกในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  อาศัยท้องแม่ คลอด และเติบโตขึ้นมาพร้อมกัน  ติดต่อกันด้วยกระแสจิต   มีพลังจิตสามารถบังคับมนุษย์ได้   เพื่อจะอยู่ครองโลก

http://www.youtube.com/watch?v=L5NmyFlGt80

หนังเรื่องนี้เอามาทำใหม่อีกครั้ง .ในค.ศ. 1995   ดูขนพองสยองเกล้าแบบเดียวกัน

http://www.youtube.com/watch?v=Dk2Fg3d5bJ0

เรื่องนี้ทำจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง The Midwich Cuckoos ของนักเขียนชาวอังกฤษ  John Wyndham  ตีพิมพ์เมื่อค.ศ.  1957  ใครเป็นแฟนหนังสือของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชคงจำได้ว่าเป็นที่มาของเรื่อง "กาเหว่าที่บางเพลง"

ทายาทของพวกกาเหว่าต่างดาวพวกนี้พบจุดจบเช่นเดียวกับชาวอังคาร คือพ่ายแพ้ต่อเชื้อจุลินทรีย์บนโลก รู้สึกว่าจะเป็น "หวัด" ตาย

http://www.youtube.com/watch?v=nzKgEkJT400

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ใน Village of the Damned จะให้เด็กต่างดาวที่น่ารักน่าสยองพวกนั้นมาพ่ายแพ้ "หวัด" เอาง่ายๆก็ไม่สะใจคนดูหนังฮอลลีวู้ด   เรื่องตอนจบจึงเปลี่ยนให้ตัวเอกฝ่ายมนุษย์ สามารถทำลายมนุษย์ต่างดาวพวกนี้ด้วยวิธีวางระเบิด     ปราบกันด้วยความรุนแรงตามสไตล์ฮอลลีวู้ด

ตอบจบของเรื่องเอดิสันพิชิตดาวอังคารก็บู๊ไม่เบาเหมือนกัน ความแค้นได้รับการชำระ

เมืองหลวงของดาวอังคารถูกชาวโลกทำลายราบคาบ

Garrett P. Serviss ยังเล่าไว้ในเรื่องนี้อีกว่าผู้สร้างปิรามิดและสฟิงซ์ที่อียิปต์หาใช่ใครอื่น ก็คือชาวอังคารนั่นเอง   ;)

กลับมาสู่ดาวอังคารในยุคปัจจุบัน  ภาพจากยานสำรวจดาวอังคาร Opportunity (http://en.wikipedia.org/wiki/Opportunity_rover)  สังเกตให้ดีคุณอาจเห็นรูปสลักในอารยธรรมอียิปต์โบราณบนหน้าผาแห่งนี้  ;D

การบ้านคราวนี้ทำได้

ซูมเข้าไป   จะพบคำตอบของเทพเจ้าหินสลักบนดาวอังคารค่ะ   

http://www.youtube.com/watch?v=qa4lHi4x9Fg

เอามาฝากซายาเพ็ญบ้าง     เคยเจอคิงคองบนดาวอังคารหรือยังคะ

http://www.youtube.com/watch?NR=1&v=0p9axFPsiN8&feature=endscreen

เทียบรูปสลัก ? บนหน้าผาที่ดาวอังคาร กับรูปสลักฟาโรห์ที่ มหาวิหารอาบู ซิมเบล (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B9_%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A5) ที่อียิปต์

อาจเป็นชาวอังคารก็ได้ ใครจะรู้   ;)

อาจมีกอริลลา 2 ตัวด้วย ไม่ใช่ตัวเดียว

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=YUizPeF3QXM#at=68

ร่องรอยวัตถุที่อาจสร้างด้วยฝีมือมนุษย์   ไม่ใช่เกิดตามธรรมชาติ    บนดาวอังคาร

http://www.youtube.com/watch?v=_kUjoFB8UZs

กลับมาดูเจ้าบิ๊กฟูตบนดาวอังคาร ที่คุณ DD เรียกว่านางเงือกกันดีกว่าค่ะ
คลิปนี้ ซูมเข้าไปที่ภาพนั้นเพื่อจะยืนยันว่าไม่ใช่เงาของหิน  แต่มีโครงสร้างเหมือนร่างกายมนุษย์
ฤๅจะเป็นมนุษย์ดาวอังคารตัวจริง?

http://www.youtube.com/watch?v=tuPWWLu8L04

ภาพจากยานสำรวจ "สปิริต" สังเกตให้ดีตรงมุมล่างซ้าย เป็นกะโหลกของชาวอังคารหรือเปล่าหนอ   ???

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=2hIPkELI_aY

อาจจะใช่หนอ

http://www.youtube.com/watch?v=nRhucfHIKzw

ภาพจาก "สปิริต" เช่นเดียวกัน มีกะโหลกอยู่ ๒ หัว ใครเห็นบ้างหนอ   ;)

เห็นแต่หัวนี้

http://www.youtube.com/watch?v=saL0Xe5eGTw

^
^
ภาพจาก "สปิริต"  ;D

ลำบากใจตรงที่ภาพที่ถ่ายจากยานอวกาศ พวกนี้ มันไม่มีสัดส่วนให้รู้เลยว่าขนาดของหินในภาพใหญ่เล็กแค่ไหน   แม้แต่ที่สงสัยว่าเป็นกิ้งก่า เป็นกระโหลกคน    สัดส่วนมันเทียบได้กับของบนโลกหรือเปล่า 

ถ้าหินที่เหมือนหัวกระโหลกในภาพข้างบนนี้ขนาดใหญ่ยักษ์เท่ากับไดโนเสาร์ไทรันทั้งตัว     เราก็คงจะบอกได้ว่ามันไม่น่าเป็นหัวกระโหลกชาวอังคาร     ถ้าหัวขนาดนี้ตัวจะสักขนาดไหน    หรือถ้าภาพที่ถ่ายมา มีสัดส่วนให้รู้ว่าหินพวกนี้เล็กนิดเดียว กระโหลกเล็กพอกับกำปั้นเด็ก มันก็ไม่น่าเป็นหัวเอเลียนอีกเหมือนกัน

มาช่วยให้ทำการบ้านได้ง่ายเข้า   ;)

เฉลยการบ้าน


Joseph P. Skipper เจ้าของเว็บไซต์ marsanomalyresearch.com  (http://www.marsanomalyresearch.com/evidence-reports/2004/073/animal-skulls.htm) ชี้ตำแหน่งของกะโหลก และให้ความเห็นว่าคล้าย ๆ กับกะโหลกของสัตว์ที่มีอยู่บนโลก

อันใหญ่ คล้ายกะโหลกของ ไดโนเสาร์ขนาดเล็ก Bagaceratops  (http://en.wikipedia.org/wiki/Bagaceratops) หรือไม่งั้นก็เสือชีต้าห์   ส่วนอันเล็ก คล้ายกะโหลกของ นกโบราณ Archaeopteryx (http://en.wikipedia.org/wiki/Archaeopteryx) หรือ นกอีมู หรือ ไก่งวง  

จะเห็นด้วยหรือไม่อยู่ในวิจารณญาณของแต่ละท่าน  ;D

ถ้าพวกนี้เป็นกระโหลกสัตว์จริง   ไม่ใช่หิน  มันจะคงทนอยู่บนสถานที่แบบนี้โดยไม่ผุพัง ได้สักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นปี?

น่าจะคงทนได้หลายสิบล้านหรือหลายร้อยล้านปี

ไดโนเสาร์ครองโลกอยู่ ๑๖๕ ล้านปีก่อนจะสูญพันธุ์ไปเมื่อ ๖๕ ล้านปีที่ผ่านมา เราก็ยังสามารถพบกระดูกไดโนเสาร์ได้ในยุคปัจจุบัน   ;D

ย้อนกลับสู่โลกในสมัยอียิปต์ยังรุ่งเรือง


นอกจากเรื่องปิรามิดและสฟิงซ์แล้ว เทคโนโลยี่หลายอย่างของอียิปต์ก็อาจได้รับมาจากชาวอังคาร


Mars Traded With Ancient Egypt

BERN – Swiss scientists say they can prove beyond a doubt that the Lost City of Atlantis was on Mars, and its astronauts traded with ancient Egypt for thousands of years!

Even more incredible, they claim to have the evidence to show that the legendary King Tut died spectacularly in a space shuttle crash with an alien crew.

“The Martian Civilization destroyed itself or was destroyed by a meteor while Egypt was still in its prime,” Dr. Stephan Weisz told a gathering of reporters and scientists in Bern, Switzerland. But the inhabitants left their mark both on Earth and Mars. Top secret photographs taken by America’s Martian probes clearly show the remains of temples on the surface of the planet.

“Egypt’s pyramids and the ability to mummify the human body are definitely the result of technologies that originated not on Earth but someplace else, in this case Mars. It is our belief that the Atlantans traded these technologies to the Egyptians for gold.”

Dr. Weisz and a colleague, Egyptologist Conrad Vetsch, said that a recently deciphered Egyptian scroll first led them to believe that Atlantis was located on Mars. The scroll describes a technologically advanced civilization existing beyond our own planet “in the vast, black ocean of space.”

It also alludes to space travel and the use of a shuttle craft to ferry manlike extraterrestrials from a space-bound mother ship to the surface of Earth.

“Researchers have long known that the Egyptians were exposed to flight because an elaborate model of what they called a glider was found in Tut’s tomb,” Dr. Weisz told the group. “In light of information gleaned from the scrolls, we now see that the glider was in fact the replica of a space shuttle. And it was just such a space craft that crashed with Tut aboard.”

Not everyone attending the conference agreed with the experts’ theories. Dr. Seth Rausch, a German historian, thinks they went too far in calling the Martian civilization Atlantis. “I don’t doubt that the Egyptians were in contact with extraterrestrials,” said the expert. “But until we actually inspect the ruins on Mars, there is no way to know if they are the remains of Atlantis.”

“In my opinion, if Atlantis did exist, it existed here on Earth.”

Norwegian astronomer Elling Gade agreed. “Atlantis might have been the colony of an alien civilization. But it most definitely was located on this planet,” he said.

ข่าวจาก  weeklyworldnews.com  (http://weeklyworldnews.com/alien-alert/8218/mars-traded-with-ancient-egypt/)

จะเชื่อหรือไม่ โปรดอยู่ในวิจารณญาณอีกเช่นกัน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ภายในวิหารที่เมือง Abydos  (http://en.wikipedia.org/wiki/Abydos,_Egypt) อียิปต์ มีหลักฐานแสดงเทคโนโลยีที่อียิปต์อาจได้รับจากชาวอังคาร

สังเกตภาพในกรอบสี่เหลี่ยมสีขาว มีอะไรบางอย่างที่ดูไม่เข้ากับยุคสมัย  ;)

ภาพขยายในกรอบสี่เหลี่ยม  

เฮลิคอปเตอร์ เรือดำน้ำ ยานอวกาศ เครื่องบิน

ชาวอียิปต์โบราณเคยเห็นยานพาหนะทันสมัยเหล่านี้ที่ใดหนอ   ???

บังเอิญมาคล้ายกันหนอ

เมื่อ ๓,๕๐๐ ปีมาแล้ว ในรัชสมัย ฟาโรห์ธุทโมซิสที่ ๓  (Thutmosis III) (http://en.wikipedia.org/wiki/Thutmose_III) มีจดหมายเหตุบันทึกไว้ในม้วนกระดาษปาปิรัสที่ชื่อว่า ทัลลี่ (Tulli Papyrus)  (http://en.wikipedia.org/wiki/Tulli_Papyrus) เกี่ยวกับวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า  ข้อความข้างล่างนี้แปลโดย เจ้าชาย Boris de Rachewiltz  (http://en.wikipedia.org/wiki/Boris_de_Rachewiltz) นักไอยคุปต์วิทยาชาวอิตาเลี่ยน

In the year 22 third month of winter, sixth hour of the day (...2...) the scribas of the House of Life found it was a circle of fire that was coming in the sky (Though) it had no head, the breadth of its mouth (had) a foul odour. Its body 1 rod long (about 150 feet) and 1 rod large, It had no voice... They hearts become confused through it, then they laid themselves on the bellies (...3...) They went to the King ..?) to report it. His Majesty ordered (...4...) has been examined (...5...) as to all which is written in the papyrus-rolls of the House Of Life His Majesty was meditating upon what happened. Now, after some days had passed over these things, Lo! they were more numerous than anything. They were shining in the sky more than the sun to the limits of the four supports of heaven. (...6...) Powerful was the position of the fire circles. The army of the king looked on and His Majesty was in the midst of it. It was after supper. Thereupon, they (i.e. the fire circles) went up higher directed to South. Fishes and volatiles fell down from the sky. (It was) a marvel never occurred since the foundation of this Land! Caused His Majesty to be brought incense to pacify the hearth (...9... to write?) what happened in the book of the House of Life (...10... to be remembered?) for the Eternity.

จาก De Rachewiltz, Boris, Doubt Magazine, No. 41, official magazine of the Fortean Society, pp. 214-215, Arlington, 1953. (http://img167.imageshack.us/img167/2922/doubt411953p214215bg2.jpg)

บันทึกในภาษาอียิปต์โบราณ  ;D

ถอดความคำต่อคำจากภาษาอียิปต์โบราณเป็นภาษาอังกฤษ ได้ดังนี้

พอจะถอดความเป็นภาษาไทย ดังนี้   ;D

ในปีที่ ๒๒ เดือน ๓ ของฤดูหนาว ชั่วโมงที่ ๖ ของวัน บรรดาพระได้พบเห็นวงล้อไฟผ่านมาในท้องฟ้า มันไม่มีหัว ลำตัวกว้างและยาวประมาณ ๔๕ เมตร ปากของมันระบายกลิ่นออกมา มันไม่ส่งเสียง พระทั้งหลายก็มีจิตใจตื่นตระหนกและงงงวย ต่างพากันนอนเอาท้องราบกับพื้น แล้วรายงานให้ฟาโรห์ทราบ  ทรงมีบัญชาให้ตรวจสอบเรื่องนี้ และพระองค์ก็ทรงตรวจสอบด้วยการเข้าสมาธิโดยพระองค์เองด้วย หลังจากผ่านไปหลายวันก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นในท้องฟ้ามากกว่าที่ผ่านมา มันส่องแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ และขยายไปจนถึงขอบเขตทั้ง ๔ ด้านของสวรรค์ วงไฟเหล่านี้ครอบครองอยู่เต็มฟ้า บรรดาไพร่พลและองค์ฟาโรห์ต่างแหงนมองดูเหตุการณ์ข้างบน จนเวลาหลังอาหารเย็น วงไฟนั้นก็ลอยสูงขึ้นไปในท้องฟ้าทางทิศใต้ ปลาและนกหลากชนิดหล่นลงมาจากท้องฟ้า เป็นสิ่งประหลาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่การก่อตั้งอาณาจักร ฟาโรห์ทรงบัญชาให้บันทึกเรื่องทั้งหมดไว้ในบันทึกเหตุการณ์ประจำปีของราชสำนักเพื่อว่ามันจะได้เป็นที่จดจำไปตลอดกาล

หลาย ๆ ท่านในเรือนไทยคงจะทันเฝ้าดูเหตุการณ์หนึ่งทางจอโทรทัศน์ในวันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๒  เป็นเหตุการณ์ที่นักบินอวกาศสหรัฐคู่แรก คือ นีล อาร์มสตรอง และเอดวิน อัลดริน ลงเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

http://www.youtube.com/watch?v=1BEwmTkMCCU  

พร้อมกับคำกล่าวเท่ ๆของ นีล อาร์มสตองที่ว่า

That's one small step for man, one giant leap for mankind.

นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ

มองในอีกแง่หนึ่งจากมุมมองของ "ชาวจันทร์" (หากมี) ทั้ง นีล อาร์มสตรอง และเอดวิน อัลดริน ก็ถือเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนดวงจันทร์

หากก้าวเล็ก ๆ ของมนุษย์สามารถเดินทางไปถึงดวงจันทร์ได้ ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีก้าวเล็ก ๆ ของสิ่งมีชีวิตอื่นจากต่างดาวที่ก้าวมาถึงโลกมนุษย์แล้วเช่นกัน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ก่อนหน้าที่มนุษย์คู่แรกจะลงเหยียบดวงจันทร์ ๑ ปี มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Chariots of the Gods?  (รถม้าของพระผู้เป็นเจ้า) เขียนโดย อีริค ฟอน ดานิเกน (Erich von Däniken) นักเขียนชาวสวิส ขายดีเป็นเทน้ำเทท่ากว่า ๔๐ ล้านเล่มทั่วโลก ดานิเกนเชื่อว่าในอดีตโลกของเราอาจมีมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลกมาเยือน โดยเฉพาะในช่วงเริ่มแรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์  มนุษย์ต่างดาวอาจจะเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามามีส่วนช่วยอยู่เบื้องหลังบางอารยธรรมโบราณของมนุษย์ มนุษย์โบราณในอดีตจึงให้ความชื่นชมเคารพมนุษย์ต่างดาวเหล่านั้น ส่งผลให้กำเนิดเป็นความเชื่อว่าพวกเขาคงเป็นพระเจ้า หรือเทวดา ผู้มาจากท้องฟ้า เมื่อพวกมนุษย์ต่างดาวจากไป ก็ได้เกิดการเล่าขานสืบต่อกันมาจนเป็นตำนาน มีการสร้างสิ่งก่อสร้าง รูปปั้น รูปสลัก รูปวาด ของพระเจ้าจากต่างดาวกระจายอยู่ทั่วไปในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

มนุษย์บางเผ่าพันธุ์อาจเป็นลูกหลานของมนุษย์ต่างดาวก็ได้  ;)

หนังสือของดานิเกน ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีในชื่อเดียวกัน  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=OtBfBGCaABU

เคยตามอ่านหนังสือของดานิเก้นด้วยความเพลิดเพลิน   มีกี่เล่มไปหามาอ่านจนหมด   ตอนหลังอกหักเพราะมารู้ว่า พี่แกจับแพะชนแกะมั่วอยู่หลายสิบเรื่อง
ในประวัติส่วนตัว ก็สิบแปดมงกุฎธรรมดาๆนี่เอง    ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร  เอาเงินมาใช้เพื่อเดินทางหาข้อมูลในประเทศต่างๆจนถูกศาลตัดสินจำคุก     หนังสือของแกที่กลายเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่ง ทำให้แกโกยเงินมาใช้หนี้จนหลุดออกจากคุกได้

ถึงแม้ดานิเกนจะมีประวัติส่วนตัวไม่ค่อยน่าชื่นชม แต่แนวความคิดเรื่องพระเจ้าจากอวกาศของเขายังคงได้รับการสานต่อจนถึงปัจจุบัน

Ancient Alien  (http://en.wikipedia.org/wiki/Ancient_Aliens) เป็นสารคดีเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวโดยดำเนินความตามพื้นฐานความคิดเรื่องมนุษย์ถูกแทรกแซงโดยมนุษย์ต่างดาวมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยมีดานิเกนเป็นตัวชูโรง พร้อมผู้สนับสนุนและผู้ไม่เห็นด้วย 

http://www.youtube.com/watch?v=olgb1dwC-F8&list=PLwm6n0lZk3eOpoALeYQXja5VTldsrA_ky&index=1

ลองติดตามเรื่องราวในคลิปไปเรื่อย ๆ จะทราบว่าทฤษฎีของดานิเกนกล่าวถึงเรื่องอะไรบ้าง   ;D

หากใครสนใจอ่านรายละเอียดในหนังสือ Chariots of the Gods? ของดานิเกน สามารถเข้าไปอ่านได้ที่นี่

http://www.wordscascade.com/chariots.pdf

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

แนะนำให้อ่านเล่มนี้   เขียนโดยนักวิชาการตัวจริงที่ออกมาเปิดเผยว่างานของดานิเก้นมั่วข้อมูลยังไงบ้าง

ลิ้งก์นี้น่าจะพอเข้าไปอ่านได้   ;)

http://www.scribd.com/doc/45091928/story-ronald-the-space-gods-revealed

มีตอนหนึ่งในหนังสือ Chariots of the Gods? ของดานิเกน กล่าวถึง อากาศยานชนิดหนึ่ง วิมาน - Vimana ในอีกความหมายหนึ่งซึ่งคนไทยส่วนมากยังไม่เคยรู้จัก   ;)

รอยอินท่านอธิบายศัพท์คำว่า "วิมาน" ไว้ดังนี้

วิมาน น. ที่อยู่หรือที่ประทับของเทวดา; ยานทิพย์. (ป., ส.).

Vimanas, i.e. flying machines, navigated at great heights with the aid of quicksilver and a great propulsive wind. The Vimanas could cover vast, distances and could travel forward, upward and downward. Enviably maneuverable space vehicles!

vimana หรือ vimanas  ในที่นี้คงจะเป็นประเภทโพยมยาน มากกว่าหมายถึงวิมานที่อยู่อาศัย
ดูรูปข้างล่างนะคะ
ในรามเกียรติ์  ทศกัณฐ์มีใช้อยู่อันหนึ่งเรียกว่าบุษบก  เป็นเหมือนเครื่องบินเจ๊ทส่วนตัวของเจ้ากรุงลงกา  อยากไปไหนก็ขึ้นนั่งให้เหาะพาไปได้     แต่มีข้อห้ามอย่างเดียวคือห้ามแม่ม่ายสามีตายขึ้นนั่ง เพราะบุษบกจะบินไม่ขึ้น 
นางสีดาได้นั่งหนหนึ่งตอนทัพพระรามถูกศรอินทรชิต  ทั้งตายและสลบกันเกลื่อนสมรภูมิ    ทศกัณฐ์นึกว่าพระรามเสร็จแน่ก็เลยให้นางสีดานั่งมาดูให้เห็นกับตา    ปรากฏว่านางสีดาใจชื้นรู้ว่าพระรามไม่ตาย  เพราะถ้านางเป็นแม่ม่ายไปแล้ว  บุษบกจะไม่ลอย

ถ้าวิมานคือ UFO ภาพอากาศยานที่อียิปต์เหล่านี้ก็อาจจะเป็น "วิมาน" ด้วย


และอธิบายได้ ๒ ทางคือ ชาวอินเดียและอียิปต์โบราณมีเทคโนโลยีสร้างอากาศยานได้ด้วยตนเอง หรืออีกทางหนึ่งคือรับเทคโนโลยีมาจากมนุษย์ต่างดาว

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

วิมาน - อากาศยานของอินเดียโบราณ, UFO หรือนิยายวิทยาศาสตร์ภาษาสันสกฤต   ;D

http://www.youtube.com/watch?v=RBvYGj7zh1o

ถ้าหากว่าอียิปต์รับเทคโนโลยีจากต่างดาว  มีหลักฐานรูปเครื่องบินอย่างที่คุณเพ็ญชมพูเอามาให้ดูกัน     อารยธรรมอียิปต์ก็น่าจะก้าวหน้าเรื่องเครื่องยนต์พาหนะบ้างไม่มากก็น้อย    ถึงจะยังสร้างเครื่องบินไม่ได้ ก็น่าจะสร้างรถยนต์ได้    นี่อะไร้    สร้างปิรามิดยังต้องสะกัดหินก้อน  ใช้แรงทาสลากเอามาอยู่เลย     ฟาโรห์ก็ไปหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องชีวิตอมตะ สร้างแต่มัมมี่   ไม่เห็นองค์ไหนคิดจะสร้างยวดยานขึ้นอวกาศกลับไปบ้านบรรพบุรุษกันสักองค์

แม้ว่าคนโบราณอาจมีเทคโนโลยีสร้าง "วิมาน" ได้ แต่ก็ใช้สำหรับสงครามเป็นส่วนใหญ่

มีการอ้างว่าพบต้นฉบับโบราณภาษาสันสกฤตของ "มหาภารตะ" เล่าถึงสงครามระหว่างชาวอินเดียโบราณกับคู่สงครามซึ่งเป็นมหานครที่เจริญด้วยอายธรรมเสียยิ่งกว่าพวกเขา ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอาณาจักรราม ไกลโพ้นออกไปกลางมหาสมุทร ชาวอินเดียโบราณเรียกว่าอาณาจักรของพวก Asvin และเรียกวิมานของฝ่ายนั้นว่า Vailixi  

มีอยู่บทหนึ่ง ในมหาภารตะเวอร์ชั่นนี้ ให้ภาพชัดเจนเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์ มีการใช้ขีปนาวุธที่ "ยาวราวเจ็ดชั่วตัวคน ขับเคลื่อนด้วยเปลวไฟในตัวเอง สามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมือง" ถล่มกันจากวิมาน มีอยู่บทหนึ่งกล่าวว่า อาวูธของฝ่ายข้าศึกช่างร้ายแรงราวกับรวมพลังจากทั่วสากลโลกมาไว้ในตัวเอง อานุภาพการทำลายเต็มไปด้วยไฟ ควัน และคลื่นความร้อนราวกับดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันทีละสิบดวง อาวุธนี้สามารถแปรสภาพพื้นที่รอบบริเวณได้ในพริบตา มันเผาผลาญธัญญาหารจนเกรียมวายวอดไปทั้งท้องทุ่ง ผู้คนจะผมเผ้าขาวโพลนและหลุดร่วง นกบนท้องฟ้าจะเปื้อนฝุ่นละอองสีขี้เถ้า ตกลงมาตายนับพันตัว มิช้ามินาน อาหารและเสบียงที่มีจะเป็นพิษจนหมดสิ้น วิธีการหนีรอดจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ คือ ถอดเสื้อผ้าและชุดเกราะออก ลงไปชำระกายในน้ำครับ เพื่อมิให้ฝุ่นละอองนี้ติดตัว

ในคลิปข้างล่างนี้ กล่าวถึงสงครามนิวเคลียร์ในเรื่อง "มหาภารตะ" แต่ภาพประกอบรู้สึกจะมาจาก "รามกียรติ์" ของไทย (ฝรั่งสับสน  ;))

http://www.youtube.com/watch?v=_9s1h3WJ5kg&feature=player_embedded#at=135

มีการกล่าวถึง โมเฮนโจดาโร  (http://en.wikipedia.org/wiki/Mohenjo-daro) เมืองโบราณในปากีสถาน ว่าเป็นสมรภูมิที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากสงครามปรมาณูครั้งน้้น มีการพบโครงกระดูกในสุสานจำนวนมากที่ปนเปื้อนกัมตภาพรังสีอยู่ รวมทั้งกำแพงเมือง และภาชนะบางชิ้นที่หลอมละลายจนกลายเป็นแก้ว เนื่องจากโดน "ความร้อนที่ไม่ทราบที่มา" หลอมละลายจนกลายเป็นแบบนี้

เก็บข้อมูลจาก วิมานะ อากาศยานโบราณ อากาศยาน แห่งภารตะยุค (http://board.postjung.com/604368.html)

สงครามทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นคำตอบได้ว่าทำไมเทคโนโลยี่ (ต่างดาว?) จึงไม่หลงเหลือจนถึงปัจจุบัน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ทีเม็กซิโกมีภาพหนึ่งซึ่งผู้คนคุ้นเคยกันมาก เป็นภาพบนแผ่นหินในสุสานของกษัตริย์มายาโบราณ K'inich Janaab' Pakal (http://en.wikipedia.org/wiki/K'inich_Janaab'_Pakal)

(http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2012/07/X12383398/X12383398-1.jpg)

ดานิเกนอธิบายว่านี่คือ "มนุษย์อวกาศโบราณ" กำลังขับจรวด

คุณเชื่อหรือไม่

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

บางทีภาพเขียนในถ้ำ รูปปั้น รูปสลัก และสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ อาจเป็นภาพมนุษย์ต่างดาวหรือผลงานของเขาก็ได้   ;D

มนุษย์ต่างดาว?  

ในเขตนาซกาของเปรู นอกจากเส้นรูปร่างต่าง ๆ แล้ว



สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในบริเวณนี้คือ กะโหลกที่ยาวผิดรูป

http://www.youtube.com/watch?v=Za2dFweUuqM

กะโหลกนี้เกี่ยวเนื่องกับมนุษย์ต่างดาวหรือไม่

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley19.png)

V
v
อาจจะตัวนี้

หรือสองตัวนี้   ;)

กะโหลกที่ยาวลักษณะนี้นอกจากในเปรูแล้วยังพบได้ที่ เม็กซิโก อียิปต์ แอฟริกา อเมริกา ออสเตรเลีย  มักเกิดจากความตั้งใจทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นบุคคลชั้นสูง และอยู่ใกล้ชิดกับเทพเจ้า

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/83/Kane_Caw_Wacham.jpg)

ภาพข้างบนวาดโดย Paul Kane (http://Paul Kane) จิตรกรชาวแคนาดา เป็นภาพเด็กชาว Chinook (http://en.wikipedia.org/wiki/Chinook_people) ชาวพื้นเมืองทางเหนือของอเมริกา ในขั้นตอนที่กำลังจะบีบกะโหลกให้ยาวขึ้นในอ้อมกอดของแม่ซึ่งมีกะโหลกยาวเช่นกัน

การที่ความเชื่อนี้กระจายไปในหลายถิ่นทั่วโลก เป็นไปได้ว่ามีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คนเหล่านี้ทำให้กะโหลกยาวขึ้นอาจเพื่อให้เหมือนเทพเจ้า (มนุษย์ต่างดาว?) ที่พวกเขาเคยพบเห็นในอดีต

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

กะโหลกยาวแบบนี้ก็พบในเมืองไทยเช่นกัน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

ในสมัยอียิปต์โบราณก็มีฟาโรห์พระองค์หนึ่งคือ Akhenaten ผู้ปฏิวัติการนับถือพระเจ้าหลายองค์มานับถือพระอาทิตย์ Aten เพียงองค์เดียว กะโหลกศีรษะของพระองค์ก็มีลักษณะนี้   :o

พระมเหสี  Nefertiti (ซ้าย) และพระโอรส Tutankhamun (ขวา) ก็มีกะโหลกศีรษะยาวเช่นเดียวกัน   ::)

แม้แต่พระธิดาก็มีกะโหลกศีรษะรูปร่างอย่างเดียวกัน  :-\

ฟาโรห์  Akhenaten  พระมเหสี  Nefertiti  พระโอรส  Tutankhamun  และพระธิดา ตั้งใจทำให้กะโหลกยาวเพื่อแสดงฐานะว่าเป็นชนชั้นสูง หรือว่ากะโหลกยาวเพราะมีเชื้อสายของเทพเจ้า (มนุษย์ต่างดาว?)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley19.png)

มีคลิปประกอบ

นาทีที่  ๗.๑๕     กะโหลกประหลาดที่นาซกา

นาทีที่ ๑๔.๒๐    ฟาโรห์  Akhenaten และราชวงศ์ ผู้สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ต่างดาว?

http://www.youtube.com/watch?v=2ywuhlZFzX8

ตอนต้นของคลิปเป็นเรื่องเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวล โปรดติดตามเรื่องราวต่อไป

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

หนังสือพิมพ์ Roswell Daily Record ฉบับวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ลงข่าวว่าสามารถจับ "จานบิน" ได้ ซึ่งแม้ทางการออกมาแก้ข่าวว่าเป็นเพียง "บอลลูนตรวจอากาศ" เท่านั้น เหล่านักจานบินวิทยาก็ไม่มีใครเชื่อ  ;D

บางคนเชื่อว่านี่คือ "มนุษย์ต่างดาว" ที่มากับจานบินนี้

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ZQlpACCcq4Y

คุณเชื่อหรือไม่

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

ไม่ค่อยเชื่อค่ะ  คิดว่าถ่ายทำเสียมากกว่า

จริงหรือไม่จริง ทุกวันนี้ "จุดขาย" ของเมืองรอสเวลล์ ก็คือ

"มนุษย์ต่างดาว"

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=2otZn_rl1-E

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐปฏิเสธมาตลอดว่า "มนุษย์ต่างดาว" น่ะหรือ ไม่มี้ ไม่มี แต่ทางด้านรัสเซียกลับตรงกันข้าม

ใน พ.ศ. ๒๕๕๓ ประธานาธิบดี คีร์ซาน อีลูมชินอฟ (https://sites.google.com/site/buddhisminrussia/khir-san-xi-lum-si-nxf-phu-funfu-phraphuthth-sasna-ni-satharnrath-kha-lmi-keiy) แห่ง คาลมีเกีย (http://www.oknation.net/blog/print.php?id=626488) สาธารณรัฐเล็ก ๆ ในรัสเซีย และเป็นสาธารณรัฐเดียวในยุโรปที่ประกาศให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เขาให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ว่าถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวจากอพาร์ตเมนต์ของเขาในกรุงมอสโก เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์เขายังให้ความเห็นอีกว่า หมากรุก น่าจะเป็นกีฬาที่มาจากต่างดาว

http://www.youtube.com/watch?v=ufCqRa5KZyk

ผลกระทบจากให้สัมภาษณ์ครั้งนี้

นายอังเดร เลเบเดฟ ส.ส.รัสเซีย ทำหนังสือถึงประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ เรียกร้องให้สอบสวนกรณีที่นายคีร์ซาน อิลูมชินอฟ ประเด็นที่นายเลเบเดฟ ต้องการให้ทางการสอบสวนคือในเหตุการณ์ครั้งนี้นายอิลูมซีนอฟ ได้เปิดเผยข้อมูลความลับของชาติให้กับมนุษย์ต่างดาวทราบหรือไม่

ในหนังสือที่ส่งถึงผู้นำรัสเซีย นายเลเบเดฟ บอกว่าเขาอยากจะรู้ว่า นายอิลูมชินอฟ ได้แจ้งเรื่องการพบกับตัวแทนมนุษย์ต่างดาวให้กับประธานาธิบดีรัสเซียทราบหรือไม่ และระหว่างการสนทนา มีการเปิดเผยข้อมูลความลับหรือไม่

มีรายละเอียดอยู่ใน เว็บฟอกซ์นิวส์ (http://www.foxnews.com/scitech/2010/05/06/russian-governor-abducted-aliens/)

อย่างน้อย ส.ส.รัสเซียผู้นี้ก็เชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวจริง

คุณเชื่อหรือไม่

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ขณะนั้น ดมิทรี เมดเวเดฟ เปลี่ยนตำแหน่งจากประธานาธิบดีเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีวลาดิเมียร์ ปูติน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน มีการสัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีคนใหม๋หลายเรื่อง แต่มีเรื่องที่น่าสนใจคือเรื่อง "มนุษย์ต่างดาว" เนื้อหาประมาณว่า ประธานธิบดีปูตินมีแฟ้มข้อมูลของเอเลี่ยนอยู่จริง ฝ่ายทางทหารมีการเตรียมรับมือและควบคุมสถานการณ์ของเอเลี่ยนที่อยู่แนวเขตแดนของรัสเซีย และหากนักข่าวอยากได้ข้อมูลที่ดีกว่านี้ ก็ลองไปหาภาพยนตร์สารคดีเรื่อง 'Men In Black' ดู  มันคล้าย ๆ แบบนั้นแหละ ส่วนจำนวนเอเลี่ยนนั้น ให้ข้อมูลไม่ได้เพราะจะสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน

http://www.youtube.com/watch?v=zHCSpm2kepo

ดูในคลิป ท่านนายกฯ ดูท่าจะซีเรียสกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวมาก ผิดกับนักข่าวเห็นอมยิ้มอยู่

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

'Men In Black' ที่ท่านนายกฯ เอ่ยถึงคงไม่ใช่ภาพยนตร์อเมริกัน แต่เป็นสารคดีรัสเซียเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเรื่องนี้

http://www.youtube.com/watch?v=CrjXmDlAYzo

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)

มาต้อนรับเอเลี่ยน  เผื่อแวะเรือนไทยบ้าง

ไทยเราก็มีศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน  ไม่น้อยหน้าประธานาธิบดี คีร์ซาน อีลูมชินอฟ แห่ง คาลมีเกีย เหมือนกันนะเออ!

ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน บอกว่าเขาเจอมนุษย์ต่างดาวตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ มาวิ่งรอบเตียงนอน มีลักษณะตาใหญ่ หัวโล้นไม่มีหู นาซาเรียกว่า ‘พวกสีเทา’ พออายุ 6 ขวบ ก็โดนยูเอฟโอยิงแสงใส่หน้าอกจนสลบอายุ 16 ปี ไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ อายุ 19 ปี ขณะตั้งแคมป์กับเพื่อนชาวอเมริกันที่รัฐเวอร์มอนต์ มีโอกาสได้เห็นยูเอฟโอครั้งแรกร่วมกับคน 1,000 คน นาน 2 ชั่วโมง จนเครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ ขึ้นขับไล่วัตถุประหลาดก็หายไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นความสนใจก็เปล่งประกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสมัครเป็นสมาชิกของสมาคมยูเอฟโอ และ ตามติดไล่ล่า เรื่องราวสื่อสารกับสิ่งเหล่านี้มาจนถึงปัจจุบัน

“พ.ศ.2535 ผมเริ่มทำสมาธิเพื่อติดต่อมนุษย์ต่างดาวจากคำแนะนำของ ดร.อาจอง ชุมสาย (เพื่อนสนิท) แต่ติดต่อไม่ได้ หลังจากปฏิบัติ ฝึกฝนการนั่งสมาธิด้วยตัวเอง และเรียนกับเกจิทั้งไทยและเทศที่เก่งเรื่องการทำสมาธิหลายปี จากแค่เห็น (ครั้งแรกมีโอกาสถ่ายภาพยูเอฟโอได้ที่ใกล้สะพานข้ามแม่น้ำแคว) จนสามารถสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่มาจากดาวอังคารได้ ชื่อ 1. พาราซิทัล ราชันแห่งดาวอังคาร 2. เอ็ดดี้ผู้ดูแลจักรวาลมากว่า 30 ปี”

ส่วนการออกมาเตือนภัยมนุษย์โลกนั้น....!! หมอเทพนม บอกว่า เพื่อนต่างดาว มักจะออกมาเตือนภัยผ่านกระแสจิตบ่อยๆ ที่สำคัญปีนี้เป็นเตือนภัยที่จะเกิดกับประเทศไทยซึ่งอันตรายสุดๆ

“เขาจะเตือนและก็แม่นยำทุกครั้ง อย่างปีที่เสื้อเหลืองยึดทำเนียบ เขาก็มาบอกว่าใต้ทำเนียบมีอาวุธสงครามซ่อนอยู่ ให้ระวังพอรู้ผมก็โทร.ไปบอก 'จำลอง ศรีเมือง' ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันให้ค้นดูใต้ทำเนียบปรากฏว่าพบอาวุธสงครามมากมาย เรื่องโจรใต้เขาก็เตือน ผมก็บอกอดีตนายกฯ ทักษิณว่าโจรใต้มันไม่กระจอกแบบที่ท่านพูดนะ เรื่องสึนามิเขาก็มายิงภาพ 3 มิติบนท้องฟ้า ว่าจะมีคลื่นยักษ์ฆ่าชีวิตมหาศาลเตือนเดือน ก.พ. 47 พอปลายปี 47 ก็เกิด ไข้หวัดนกก็ยิงภาพเป็นรูปเป็ด เตือนว่าจะระบาดใหญ่ น้ำท่วมปีที่แล้ว มนุษย์ต่างดาวก็สื่อสารผ่านผมว่า น้ำท่วมจากท้องฟ้า ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงๆ”ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนอกโลกกล่าว

ล่าสุดน่าระทึกใจเข้าไปใหญ่เมื่อ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน เปิดเผยว่า ปีนี้ ซึ่งตรงกับปีค.ศ.2012 ที่ชาวมายาระบุว่า จะเป็นวันสิ้นโลกนั้นจะเกิดเหตุการณ์ร้ายในเมืองไทย   

“พาราซิทัลและเอ็ดดี้” ออกมาฉายภาพเตือนให้เห็นภาพคนหัว แขน ขาขาด วันนี้จนถึงเดือนพฤษภาคม และย้ำเตือนว่า ให้ระวังคนสำคัญจะโดนระเบิดตาย นอกจากนี้ยังเตือนเรื่องการเมืองไทยจะร้อนแรง คนไทยจะฆ่ากัน ที่สำคัญจะมีการปฏิวัติ และประเทศไทยจะนองเลือด วันนี้จนถึงเดือนพฤษภาคม

“ปี ค.ศ.2012 สิ่งที่เขาย้ำหลายครั้งก็คือ ให้คนไทยระวังเรื่องภัยพิบัติเรื่องน้ำ และสิ่งแวดล้อมให้มากๆ ปีนี้น้ำจะมารุนแรงกว่าปีที่แล้วมาก เพราะว่าน้ำไม่ได้มาจากฝนอย่างเดียว น้ำจะมาจากทะเลและน้ำจากน้ำแข็งที่ละลายจากขั้วโลกเหนือและใต้ และอิทธิพลของอุกกาบาตที่วิ่งเฉียดโลกด้วย รวมทั้งระวังแผ่นดินไหวและพายุหมุน หรือ ‘สตอร์ม เซิร์จ’ หอบน้ำเข้ามาสูงกว่าตึก 10 ชั้นผสมโรงภายในปีนี้ด้วย ที่สำคัญเขื่อนต่างๆ โดยเฉพาะเขื่อนใหญ่ที่เคยเป็นข่าวว่าจะแตกบ่อยๆ อักษรย่อ ศ.และเขื่อนตัวย่อ ภ. ที่สร้างทับรอยเลื่อนเปลือกโลกจะแตกและเสียหายหนัก น้ำจากเขื่อนจะวิ่งเข้าถล่มคนกรุง และหลายจังหวัด กรุงเทพฯ อยู่ใต้น้ำหนักหนาสาหัสมหาศาล”

ผู้ที่อ้างว่าติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ บอกว่าที่น่าสะพรึงกลัวก็คือ ข้อมูลที่มนุษย์ต่างดาวเตือนมานั้นดันตรงกับข้อมูลที่นาซาบอกเอาไว้ว่า ปลายปีนี้เมืองใหญ่ๆ จะหายไป 50 เมือง โดยประเทศไทยจะเหลือแค่ภาคอีสานและภาคเหนือ ที่เหลือจะโดนน้ำท่วมหมด (มนุษย์ต่างดาวบอกว่ามาเลเซีย-สิงคโปร์ก็หายไปเกือบหมดเช่นกัน) ส่งผลให้คนตายมหาศาล

ข้างบนนี้คือข่าวที่ลงเมื่อพ.ศ. 2555 นะคะ  ไม่ใช่ข่าวปี 2556

*สงครามโลกครั้งที่ 3*

หมอเทพนมยังย้ำข่าวร้ายของชาวโลกที่เพื่อนต่างดาวเตือนอีกว่า มนุษย์ต่างดาวยังฟันธงเรื่องสงครามโลกที่จะเกิดขึ้นอีก 3-5 ปีและผู้คนจะตายมหาศาล!!!

“สมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช มนุษย์ต่างดาวก็เคยไปทำ Crop Circles เป็นใบไม้ 6 ใบบนสนามหญ้าที่ทำเนียบขาว เตือนภัยเอาไว้ และยังชี้ด้วยว่าพื้นที่อีก 6 แห่งเสี่ยงต่อการเกิดสงครามโลก
1. จีนและอเมริกา จีนกับไต้หวัน
2. เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ อเมริกาแจมด้วย
3. อินเดียกับปากีสถาน
4. รัสเซียกับอเมริกา
5. อิสราเอลกับอาหรับ
6. อินโดนีเซีย แต่ที่น่ากลัวมากที่สุดคือระหว่างยิวกับอาหรับ และผู้คนก็จะตายไปมากกว่าครึ่งโลก หลังจากนั้นโลกก็จะสงบ
ประเทศไทยก็จะตายเยอะ เขาบอกภาวนาว่าอย่าให้จีนเข้าไปร่วม ถ้าไม่ร่วมก็ไม่มีสงครามโลกครั้งที่ 3”

เมื่อถามว่าความเชื่อเรื่องยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาว ทำไมไม่ได้รับความเชื่อถือในวงกว้าง…?

“ใช่ เขาไม่ค่อยเชื่อกันโดยเฉพาะคนไทย บางคนผมออกมาเตือน เพราะอยากให้ระวังตัวเขาหาว่า'บ้า' ผมจบด็อกเตอร์จากฮาร์วาร์ดสอนที่นั่นมา 4 ปี คนที่โน่นศึกษาเรื่องพวกนี้เยอะ แต่นักวิทยาศาสตร์ไทยมีน้อยที่สนใจ เขาก็ว่าสหรัฐฯ ยังไม่ประกาศว่ามนุษย์ต่างดาว ยูเอฟโอว่ามีจริง จึงไม่ยอมรับ แต่หลักฐานมากมายที่โลกค้นพบคือมันมีอยู่จริง อย่างที่ สหรัฐฯ บอกว่า มียูเอฟโอมาตกที่
อเมริกา จีน รัสเซีย แล้วยังมีข่าวการผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว อีกทั้งตามดาวต่างๆ เช่น ดาวอังคาร  ดาวศุกร์ รวมถึงดวงจันทร์นักบินอวกาศก็ถ่ายภาพได้ มีเมืองร้างเป็นเมืองใหญ่มันมีข้อมูลที่พิสูจน์ได้”

/ไม่ได้ "บ้า" คิดไปเอง-เราย้ำ...!! /อาจารย์เทพนม บอกว่า บ้าได้อย่างไร ตนมีเงินมีทอง มีเกียรติ ได้สายสะพาย รางวัลสภาวิจัย รางวัล ฮาร์วาร์ด รางวัลต่างๆ ก็มีแทบทุกอย่าง อีกอย่าง ความเชื่อ และการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวของตนเอง เขาก็ระบุเหมือนกับนาซา ที่บอกว่าในศตวรรษ ที่ 21 เราจะรู้ว่ามีมนุษย์อื่นอาศัยอยู่ในดาวดวงอื่นด้วย ลองคิดดูจักรวาลมีเป็นแสนล้านดวง เราจะ
เป็นดาวดวงเดียวที่มีมนุษย์อยู่ได้ยังไง

*ศตวรรษที่ 21 โลกจะได้รู้จักกับมนุษย์ต่างดาว!!*

ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า พาราซิทัลและเอ็ดดี้พูดไว้ว่า อีกไม่นานมนุษย์โลกจะได้เห็นมนุษย์ต่างดาว 
“ที่เขายังไม่ปรากฏตัวตอนนี้ เพราะว่ามันเป็นกฎของจักรวาล อีกอย่างมนุษย์มีโกรธ โลภ หลงเยอะ  อากาศก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่เหมาะกับพวกเขา แต่อย่างไรก็ดี เขาบอกว่าอีกไม่นานในศตวรรษที่ 21 โลกจะรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่ดาวอื่นด้วยอย่างแน่นอน”


http://www.thairath.co.th/content/life/238380

ไทยรัฐลงข่าวสัมภาษณ์ดร.เทพนม เมืองแมนเมื่อปี 2555   ล่วงเลยมาจนกลางปี 2556 แล้ว  คุณเพ็ญชมพูคงบอกได้ว่าคุณเอเลี่ยนพาราซิทัลและเอ็ดดี้ทำนายแม่นแค่ไหน

ขอแถมคำสัมภาษณ์ของดร.เทพนม เมืองแมน เรื่องมนุษย์ต่างดาว พร้อมกันไปเลยค่ะ
http://www.dmc.tv/print/news/2007-10-04-1.html

   “ผมไปพูดเรื่องมนุษย์ต่างดาว จานบิน ที่ไหนๆ หลายคนมองว่าผมบ้า ผมก็ไม่โกรธเขานะที่เขาคิดไม่เหมือนผม ผมเชื่อของผมอย่างนี้ และผมก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ที่สำคัญประเทศมหาอำนาจของโลกทั้งอเมริกา รัสเซีย จีน เขาสนใจเรื่องนี้ทั้งนั้น” น้ำเสียงสุขุมนุ่มนวล ที่หลุดจากปากชายวัย 72 ปี อย่างศาสตราจารย์ ดร.เทพพนม เมืองแมน ทำให้ได้รับทราบถึง “ความเชื่อ” ส่วนตัวที่เขามีมาต่อเนื่องนานนับ 30 ปีเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและจานบิน แม้วันนี้จะยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวนั้นมีจริงหรือไม่
       
       **********
       
          วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว...
       ทางช้างเผือกมีจริง
       
        ศ.นพ.เทพพนม เป็นคนไทยคนแรกๆ ที่กล้าออกมาบอกกับสาธารณชนว่ามนุษย์เรานั้นไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวในจักรวาลนี้ หากแต่เรายังมี “เพื่อนบ้าน” ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่ามนุษย์อาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ด้วย
       
       “นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ทั่วโลกพิสูจน์มาแล้วว่าทั้งจักรวาลนั้นมีหลายแสนกาแลกซี กาแลกซีที่โลกมนุษย์อยู่นี้เพียงแห่งเดียวมีดาวตั้งแสนล้านดวง ในดาวแสนล้านดวงนั้นคิดง่ายๆว่ามีดวงอาทิตย์หนึ่งดวงมีดาวนพเคราะห์โคจรรอบอยู่ประมาณ 10 ดวง ฉะนั้นดาวนพเคราะห์จะต้องมีอยู่ตั้งหนึ่งล้านล้านดวง แล้วดาวตั้งหนึ่งล้านล้านดวงแล้วบอกว่าเราเป็นโลกเดียวที่มีมนุษย์อยู่ มันไม่น่าเป็นไปได้” ศ.นพ.เมืองแมน อธิบายสมมติฐานให้ฟัง
       
       ในปัจจุบันองค์การนาซา (NASA) ของสหรัฐฯ ได้นำเอาสมการ “เรกส์” (RARKE) มาใช้คำนวณหาจำนวนดวงดาวนพเคราะห์ในทางช้างเผือก (เรกส์นี้เป็นนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ และเคยไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด) ว่าหากคำนวณตามสมการเรกส์จะพบว่าในทางช้างเผือกของเรามีดาวนับแสนล้านดวง จะมีดาวนพเคราะห์ที่มีมนุษย์อยู่และสามารถเดินทางมายังโลกมนุษย์ได้นี้มีอยู่ประมาณหนึ่งล้านดวง   ซึ่งมนุษย์ดาวต่างๆ ที่ว่านั้นสามารถเดินทางมาโลกมนุษย์เราได้  เพราะเขามีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากกว่ามนุษย์หลายร้อยเท่า

     ศ.นพ.เทพพนม อธิบายอีกว่า ในระยะ 300-400 ปีที่ผ่านมามนุษย์เราสามารถพิสูจน์ได้ว่า
    1. โลกกลมไม่ใช่แบน
    2.เมื่อก่อนมนุษย์เชื่อว่าโลกที่เราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดวงอาทิตย์มาหมุนรอบโลกแต่ที่สุดกาลิเลโอก็พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกนี้ไปหมุนรอบดวงอาทิตย์
    3.มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 น่าจะมีการพิสูจน์มาให้เห็นได้แล้วว่ามีมนุษย์อื่นที่อยู่ยังโลกอื่นยังมีอยู่ มนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่อยู่ในจักรวาลนี้       

       “ผมได้ศึกษาเรื่องต่างๆ เหล่านี้มานานถึง 30 ปี เพราะส่วนตัวผมนั้นผมเคยเห็นจานบินซึ่งมีการศึกษาจากองค์การนาซามาแล้วว่ามนุษย์ใน 100 คนนั้นจะสามารถเห็นมนุษย์ต่างดาวได้ 5 คนในหนึ่งครั้งในชีวิต ซึ่งหากเห็นหนึ่งครั้งในชีวิตมันศึกษาไม่ได้มันต้องเห็นหลายๆ ครั้ง ดังนั้น ผมได้ไปปรึกษากับดอกเตอร์คนหนึ่งซึ่งหากเอ่ยชื่อไปแล้วคนทั่วโลกรู้จักท่าน และท่านสนใจทั้งยังเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวจริง เพราะดอกเตอร์ท่านนั้นได้เห็นมนุษย์ต่างดาวมาแล้วอย่างน้อย 30 ครั้งซึ่งมันยิ่งทำให้ผมอยากจะรู้มากขึ้น”       

       หัดทำสมาธิ กรรมฐานกับ 3 อาจารย์ดัง
       
       ศ.นพ.เทพพนม ได้รับคำแนะนำจากดอกเตอร์คนดังว่าหากต้องการจะติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ต้องหัดนั่งสมาธิ ปฏิบัติกรรมฐาน อย่างต่อเนื่อง ด้วยความสนใจว่าที่เขาคิดมาตลอดว่ามีมนุษย์จากโลกอื่นมีจริงไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นเอง
ทำให้ตัดสินใจไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่จังหวัดอุทัยธานี หัดฝึกสมาธิจนเกิดความชำนาญในระดับหนึ่ง จนกระทั่งหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมรณภาพจึงเดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจรัล และคุณแม่ศิริ กลินชัย และล่าสุดได้ดั้นด้นไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับโยคีที่มีชื่อเสียงที่สุดในอินเดีย
     “อาจารย์ที่ผมไปฝากตัวเป็นศิษย์นี่แต่ละคนล้วนแล้วแต่ได้อภิญญาทั้งนั้น คนทั่วประเทศก็ยอมรับท่านนะ ส่วนตัวผมผมปฏิบัติทำสมาธิมานานนับ 20 ปีแล้ว และเท่าที่ได้ถามอาจารย์ทั้งสี่คนท่านก็บอกว่ามนุษย์ต่างดาวน่ะมีจริงๆ เพราะท่านก็เคยเห็นมาหมด”   
     ศ.นพ.เทพพนม เมืองแมนบอกและว่า อาจารย์ทั้ง 3 คนในเมืองไทยท่านเคยบอกว่าท่านเคยเห็นด้วยตัวท่านเองและในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านก็บอกมาตั้งแต่ 2,500 ปี บอกไว้ว่าท่านเคยไปมาแล้วดาวหนึ่งชื่อ “อุตระประเทศ” เป็นดาวที่มนุษย์นั้นใจบุญสุนทาน หน้าตางดงามมากกว่าโลกมนุษย์เราหลายร้อยเท่า       

     ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้ได้ทราบข้อเท็จจริงว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นมีจริงหรือไม่ ศ.นพ.เทพพนม จึงพยายามที่จะฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอ   จนกระทั่งสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ด้วยการส่ง “โทรจิต” ผ่านการทำสมาธิที่ฝึกฝนมาหลายสิบปี จนถึงวันนี้เขาบอกว่าสามารถทำได้ในทุกที่ทุกเวลา และยังสามารถทำให้คนอื่นๆ ได้เห็นจานบิน และมนุษย์ต่างดาวได้ด้วย
       
       อีก 5 ปี ภัยพิบัติเกิดขึ้นทั่วโลก
       
        หลังจากที่ศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และลองนั่งสมาธิ ทำกรรมฐานจนสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้วทำให้ ศ.นพ.เทพพนม สามารถถ่ายรูปมนุษย์ต่างดาว ยานอวกาศได้ด้วยตัวเองนับร้อยๆ ภาพ เขาบอกว่าภาพถ่ายนี่คือหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ คนที่สงสัยว่าผมทำภาพเองก็สามารถนำไปตรวจได้ว่านั่นคือภาพถ่ายที่ถ่ายมนุษย์ต่างดาวจริงๆ
       
        “ใครไม่เชื่อผมก็ไม่ว่านะ เพราะผมรู้ตัวเองว่าผมทำอะไร ภาพถ่ายที่ผมถ่ายได้ก็เป็นภาพจริงๆ เอาไปตรวจได้เลย ผมไม่มีความจำเป็นที่จะโกหกใครๆ เพราะสถานะทางสังคม การเงินหน้าที่การงานมั่นคง ชื่อเสียงของผมก็มี ไม่จำเป็นต้องไปหลอกใคร”
       
        การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว ศ.นพ.เทพพนม บอกว่า จะต้องติดต่อผ่านการทำสมาธิเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเนื่องจากจะสามารถผ่าน “ภพภูมิ” ต่างๆไปได้ด้วยจิตที่ละเอียดเพียงพอนั่นหมายถึงการนั่งสมาธิจน “ถอดจิต” ออกจากร่างได้นั่นเอง
       
       สำหรับคนที่สนใจสามารถศึกษาด้วยตัวเองได้ในพระไตรปิฎกที่เขียนเรื่องภพภูมิไว้อย่างชัดเจน โดยศาสนาพุทธนิกายหินยานบอกว่าในจักรวาลนี้มีภพภูมิอยู่ถึง 31 ภพภูมิ ขณะที่ฝ่ายมหายานบอกว่ามีภพภูมิ 32 ภพภูมิ รวมภพ “อันตรภูมิ” ซึ่งเป็นภพภูมิที่วิญญาณต้องรอกรรมการตัดสินว่าจะไปสวรรค์หรือนรกรวมเข้าไปด้วย ในขณะที่มนุษย์ต่างดาวที่เขาบอกว่าเขามีความเจริญกว่าเรานั้นบอกว่าในจักรวาลมีตั้งร้อยกว่าภพภูมิ  และยังบอกว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเป็นเรื่องจริง

       เรื่องภพภูมินี้เราสามารถอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ ้เพราะผมเคยได้ศึกษาวิจัยร่วมกับ ศ.ดร.เอียนส์ ซิเวนเซนต์ จากดุกส์ ยูนิเวอร์ซิตี สหรัฐอเมริกา เรื่องการระลึกชาติโดยศึกษาจากคนไทยที่สามารถระลึกชาติได้ 300 คน ศึกษาจากคนทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 3,000 คน ปรากฏว่าเด็กที่ระลึกชาติได้นั้นมีอยู่ทั่วทุกทวีป แต่ละคนที่เข้าร่วมโครงการสามารถระลึกชาติได้จริงๆ ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่ามนุษย์เรานี้มีการเวียนว่ายตายเกิด มีภพมีภูมิที่แตกต่างกันจริงๆ
       
       “มนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อกับผมมาจากหลากหลายที่ เขาเคยบอกผมว่ามนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนแล้วแต่เกิดตามกระแสกรรม ใครทำดีย่อมไปเกิดในภพภูมิที่ดีใครทำชั่วย่อมไปเกิดในภพภูมิที่เลวร้าย พระเจ้าท่านไม่ได้มาเป็นผู้ตัดสินนะ แต่ตัวมนุษย์เองนั่นแหละเป็นคนกำหนดว่าตัวเองตายแล้วจะไปไหน นั่นคือเรื่องของการกระทำ หรือที่เราเรียกว่ากรรม และวิธีตัดสินกรรมอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์นี่ถือเป็นการตัดสินที่ยุติธรรมที่สุด”
       
       ศ.นพ.เทพพนม บอกว่า การที่มนุษย์ต่างดาวเลือกที่จะติดต่อกับเขานั้นเป็นเพราะในภพภูมิหนึ่งเคยได้เป็นส่วนหนึ่งของเขา ทำให้เขาสามารถสื่อกับมนุษย์ต่างดาวได้และเขาเชื่อว่าเขาถูกส่งมาเพื่อยกจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ดีขึ้น แต่มาถึงวันนี้ยังไม่สามารถทำตามวัตถุประสงค์ได้ ซึ่งมนุษย์ต่างดาวบอกว่าเพราะมนุษย์นั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย   และก็มาถึงยุคสุดท้ายที่มนุษย์จะถูกทำลายล้าง
       
       “ผมไม่รู้นะว่าจะมีคนเชื่อผมแค่ไหน แต่เท่าที่ผมได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวเขาบอกว่าภายใน 5 ปีนับจากนี้ มนุษย์จะเผชิญกับภัยพิบัติมากมาย ที่เขาบอกผมมันไปตรงกับภาวะโลกร้อนเข้าพอดี ซึ่งสหรัฐฯ ได้ทำการวิจัยแล้วว่าโลกมนุษย์กำลังเผชิญกับช่วงแม่เหล็กเปลี่ยนขั้ว โดยทุกๆ 26,000 ปีแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนขั้วแบบเหนือเป็นใต้ ใต้เป็นเหนือเลยซึ่งเรื่องนี้คนที่ทำคือมนุษย์   กอรปกับจุดดับในดวงอาทิตย์ที่เพิ่มมากขึ้นทำให้โอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติต่อโลกภายในปี คศ.2012 มากมาย”
       
       สำหรับการศึกษาเรื่องแม่เหล็กเปลี่ยนขั้วนี้ สหรัฐฯ เป็นผู้ดำเนินการเขาทำการศึกษามาแล้วว่าโลกมนุษย์เราเกิดแม่เหล็กเปลี่ยนขั้วมาแล้ว 8 ครั้งแต่ละครั้งจะทำให้เกิดพายุหมุน แผ่นดินไหว อุณหภูมิเปลี่ยน ประเทศที่ร้อนอย่างประเทศไทยก็อาจจะมีหิมะตก       

      นอกจากนี้ ภาวะแม่เหล็กเปลี่ยนขั้วจะทำให้เกิดภัยพิบัติอันเนื่องมาจากโรคระบาดมากมาย ไวรัสเปลี่ยนสายพันธุ์ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดนก ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วว่าสามารถติดจากสัตว์มาสู่คนได้แล้ว ต่อไปมันต้องพัฒนาจนสามารถติดจากคนสู่คนได้ซึ่งเรื่องนี้วงการแพทย์เรากลัวมาก
      
        “เรื่องเชื้อไวรัสไข้หวัดนกที่ติดจากคนมาสู่คนนั้นมีรายงานทางการแพทย์มาหลายประเทศแล้ว ทั้งอินโดนีเซีย จีน ไทย และเวียดนาม เพียงแต่มันยังมีไม่มากทางการแพทย์จึงยังถือว่ามันไม่เกิดขึ้น   แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นแล้วเชื่อว่าโลกเราจะเผชิญกับโรคระบาดที่รุนแรงและน่ากลัว เช่นเดียวกับที่เราเคยเผชิญกับเชื้อกาฬโรคมาแล้วในอดีต ซึ่งจะทำให้มนุษย์เสียชีวิตมากมายทีเดียว” ศ.นพ.เทพพนม เมืองแมนกล่าว
      
          จิตแพทย์ฟันธง
       “หมอเทพพนม” ไม่บ้า
      
        ด้วยความเชื่อที่แปลกแหวกแนวของ ศ.นพ.เทพพนม เมื่อเทียบกับนายแพทย์คนอื่นๆ ทำให้ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ได้สัมภาษณ์จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต อย่างน้อย 3 คน ว่าการมีความเชื่อเช่นนี้เขามีความผิดปกติหรือไม่ อย่างไร และเราได้คำตอบตรงกันว่า ในลักษณะของ นพ.เทพพนม นั้นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และปัจจุบันท่านยังสามารถจำวันเวลา สถานที่ ประกอบกิจการงานได้ และยังเป็นที่ปรึกษาบริษัทอีกหลายๆ แห่ง แสดงว่าท่านมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ดังนั้น ที่ใครๆ คิดว่าท่านบ้านั้นไม่จริงแน่นอน เพียงแต่ท่านอาจจะมีความเชื่อและความคิดที่ไม่เหมือนคนอื่นๆ เท่านั้นเอง

      http://www.dmc.tv/print/news/2007-10-04-1.html

เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านเรือนไทยสงสัยว่าดิฉันคิดอย่างไรกับบทสัมภาษณ์ข้างบนนี้ ก็ขอตอบตรงๆเลยว่า
1   จนบัดนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินนักวิทยาศาสตร์คนไหนฟันธงว่า ในกาแลกซี่หรือเมกากาแลคซี่มีแต่โลกเราเท่านั้นที่มีมนุษย์อยู่   พวกเขาก็เชื่อกันถึงความเป็นไปได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอยู่บนดาวดวงอื่น    
แต่...
การเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง ไม่ได้แปลว่าพอมีข่าวมนุษย์ต่างดาวมาโผล่ที่นั่นที่นี่บนโลก  มันจะเป็นข่าวจริงกันไปทุกเรื่อง
2   ดิฉันคิดว่าดร.เทพนม เมืองแมน มีความเชื่อถือจริงๆในสิ่งที่ท่านพูด  ท่านมิได้กล่าวเท็จ     แต่เรื่องที่ท่านเชื่อนั้นมันไม่จริง
3   มนุษย์ต่างดาวที่ดร.เทพนม อ้างถึงว่าปรากฏในพระไตรปิฎก ไม่จริง    ภูมิต่างๆที่อ้างถึงนั้นมาจากไตรภูมิกถา ซึ่งเรียบเรียงขึ้นจากคัมภีร์ต่างๆของอินเดีย    มีกล่าวถึงทวีปต่างๆและสวรรค์นรกภูมิต่างๆ ตามความเชื่อ     ซึ่งถ้าพิจารณาแล้ว เป็นอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์มากกว่าเป็นเรื่องพุทธล้วนๆ  
4  ตอนท้ายของบทความที่ว่าจิตแพทย์กรมสุขภาพจิตออกมารับรองสภาพจิตของท่าน  น่าสังเกตว่าไม่ยักมีชื่อเสียงเรียงนามจิตแพทย์ที่ยืนยันออกมาให้เห็นกันสักราย      ปกติแล้วจิตแพทย์หรือแม้แต่นักจิตวิทยาจะไม่ออกมารับรองใครว่าบ้าหรือไม่บ้า    เพียงเพราะว่าเขาทำงานทำการได้    แต่จะต้องเอาตัวไปตรวจอาการกันให้ละเอียดเสียก่อน ถึงจะบอกได้ว่าป่วยเป็นอาการทางจิตชนิดใด    หรือปกติดี
และต่อให้บอกได้ว่าป่วย    ถ้าหากว่าไม่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องยืนยันต่อสาธารณชน  เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ  เขาก็ไม่แถลงกันออกมาอยู่ดีละค่ะ  เพราะมันอาจไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้

ถามเผื่อท่านผู้อ่านเรือนไทย   ;)

คุณเทาชมพูคิดอย่างไรกับการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวของประธานาธิบดีคีร์ซาน อีลูมชินอฟ แห่งคาลมีเกีย และนายกรัฐมนตรีดมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย

ขอเวลานอกหน่อยนะคะ

กลับไปเปิดเทปคำสัมภาษณ์ของประธานาธิบดีคีร์ซาน อีลูมชินอฟ แล้วคิดเองดังนี้
1   ท่านปธน. บอกไม่หมด    เช่น ไม่บอกว่าพวกมะนาวต่างดุ๊ดพวกนั้นมาเอาตัวท่านขึ้นยูโฟไปต่างดาวทำไม    เอาไปล้วงความลับ  เอาไปตรวจร่างกาย  เอาไปล้างสมอง?   คงไม่ได้เอาตัวไปเที่ยวเล่นแน่ๆ  การที่ท่านไม่บอก ทำให้คนฟังไม่รู้จะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี   
2   ท่านไม่ยักตอบว่า การพาขึ้นไปถึงดวงดาวโดยพวกนี้  เดินทางด้วยความเร็วเท่าแสงหรือกว่าแสง หรือลอดหลุมดำไปอย่างไรถึงเอาตัวกลับมาส่งได้ในวันรุ่งขึ้น     เพราะดาวดวงใกล้ที่สุดคือดาวอังคารก็อยู่ห่างจากโลกใกล้สุดก็100 ล้านก.ม.ไกลสุดก็ 380 ก.ม.   เดินทางเร็วแบบนั้นโดยร่างกายท่านไม่ได้เตรียมความพร้อมอย่างมนุษย์อวกาศ มันจะไหวหรือ?

3  ท่านบอกว่าพวกนั้นก็หน้าตาเหมือนมนุษย์เรานี่แหละ  พูดจากันก็รู้เรื่อง   ดังนั้นหนทางเดียวที่ท่านจะรู้ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ต่างดาวก็คือเขาบอก    ไม่มีอะไรอย่างอื่นพิสูจน์ 
ทีนี้ ถ้าพวกนั้นโกหกล่ะ    ถ้าท่านพูดจริง อาจเป็นได้ว่าท่านเชื่อจริงๆ แต่พวกนั้นอาจเป็นขบวนการมิชชั่น อิมพอสสิเบิ้ลของจริงมาหลอกท่านก็ได้

ถ้าดิฉันถูกมนุษย์ต่างดาวพาตัวไป แล้วส่งกลับมาอย่างปลอดภัยในวันรุ่งขึ้น  มีทางเลือก 2 ทาง
ทางแรก  คือเราจะต้องเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่จำได้  ชนิดที่พิสูจน์ว่าประสบการณ์นี้เป็นของจริง   เพื่อให้น่าเชื่อถือที่สุด หากตัดสินใจแถลงกับสื่อ
ทางที่สอง คือถ้าบอกไม่ได้เพราะมนุษย์ต่างดาวลักตัวไปเพื่อให้กระทำภารกิจใหญ่หลวงแก่โลกเช่นให้เป็นตัวแทนซูเปอร์แมน    ก็ต้องหุบปากให้สนิทไม่บอกใครเลย
บอกครึ่งๆกลางๆ  โดยไม่พยายามจะบอกอะไรให้น่าเชื่อถือได้แม้แต่น้อยอย่างที่ท่านทำอยู่ในเทปนี้    ดิฉันไม่รู้ว่าจะให้สัมภาษณ์ไปทำไม   เป็นนักการเมืองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีอาชีพไหนที่ชาวบ้านตั้งแง่สงสัยกับคำพูดมากเท่าอาชีพนักการเมืองอีกแล้ว

ว่าแต่มีเทปสองเทปสามตามออกมาหรือเปล่าล่ะคะ    ข้อนี้มองในแง่ดีว่าท่านปธน.อุบไต๋เอาไว้เผยทีหลัง เพราะจะเล่นเป็นซีรี่ส์?

คำให้สัมภาษณ์ภาค ๒ ของประธานาธิบดีคีร์ซาน อีลูมชินอฟ เกิดขึ้นที่ประเทศไทยนี้เอง (คงเป็นที่วัดธรรมกาย  ;)) เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

(http://www.dmc.tv/images/ScoopUpdate/Dream03/D531215/K531215p3.jpg)
 
เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ ในขณะนั้น ตัวผมอายุ ๓๕ ปี ในช่วงเวลาประมาณสักสี่ห้าทุ่ม ผมได้อยู่ในห้องพักกลางกรุงมอสโก ซึ่งผมมีแผนว่าเวลาเที่ยงตรงของวันรุ่งขึ้นผมจะเดินทางไปคาลมีเกีย และในขณะที่ผมกำลังดื่มชาและพักผ่อนดูโทรทัศน์อยู่ในห้องพักซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของตึก ผมก็ได้เผลอหลับไปในช่วงนั้น ทันใดนั้นเอง...ผมรู้สึกเหมือนมีคนมาผลักข้างหลัง พอผมลืมตามองไปที่ระเบียงหน้าห้องก็เห็นหน้าต่างเปิดอยู่ ผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ซึ่งตรงบริเวณหน้าต่าง ผมได้เห็นปล่องแสงที่มีลักษณะเหมือนท่อกลมใสอยู่ตรงหน้าต่าง จากนั้น ผมได้เดินไปตามปล่องแสงนั้น ซึ่งผมมองไม่เห็นใครแต่ก็เหมือนได้ยินคนเรียกชื่อของผม พอผมเดินไปจนสุดปล่อง ผมก็ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ และใส่ชุดคล้าย ๆ กับอุบาสก เพียงแต่เป็นชุดสีส้ม

เมื่อผมไปอยู่บนยานอวกาศแล้ว ผมสังเกตเห็นว่าตัวยานมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับสนามฟุตบอลถึงสามสนาม และมีมนุษย์ต่างดาวที่ใส่ชุดเหมือน ๆ กันอยู่เยอะมาก เท่าที่จำได้...บนยานมีสิ่งประดิษฐ์รูปทรงเรขาคณิตที่มีลักษณะและสีสันแตกต่างกันไป นอกจากนั้น ผมยังเห็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนมอนิเตอร์หรือจอภาพที่ฉายภาพมนุษย์บนโลกว่ากำลังทำอะไรอยู่ และในช่วงที่ผมอยู่บนยานนั้น มนุษย์ต่างดาวแต่ละคนก็กำลังพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจผมมากนัก จากนั้น มนุษย์ต่างดาวคนหนึ่งได้พูดกับผมว่า “เราน่าจะไปด้วยกัน”

แต่ผมบอกไปว่า “ผมไม่อยากไป เพราะพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปที่เมืองอลิสตา (เมืองหลวงของคาลมีเกีย)”

แต่เขากลับตอบว่า “เรากลับมาทันไม่ต้องเป็นห่วง”

ผมก็ตอบเขาไปว่า “ผมกลัวกลับมาแล้วทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะเวลาของคุณแตกต่างจากเรามาก เพราะหนึ่งชั่วโมงของคุณจะเท่ากับ ๑,๐๐๐ ปีของเรา”

จากนั้น ผมก็ถามเขากลับไปว่า “ทำไม คุณถึงไม่เปิดเผยตัว แล้วทำไม คุณถึงไม่ออกโทรทัศน์ถ่ายทอดบีบีซีไปทั่วโลก”

เขาก็ตอบมาว่า “มันยังไม่ถึงเวลา เพราะคนบนโลกยังเด็ก ความคิดยังไม่ถึงขั้น”

ผมก็ถามเขากลับไปอีกว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่า ความรู้ของพวกเราไม่ถึงขั้น เพราะเราก็มีเครื่องบิน มียานอวกาศ แล้วทำไมคุณถึงว่าเรายังเป็นเด็ก”

เขาก็ตอบมาว่า “มนุษย์บนโลกยังเป็นเหมือนเด็ก เพราะความรู้ที่คุณมีเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก นอกจากนั้น พวกคุณยังชอบฆ่าฟันกันเอง แถมยังชอบฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เพื่อกินเป็นอาหาร แล้วพวกคุณยังชอบกินเนื้อกันเองอีกด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ความคิดของพวกคุณยังคงดูป่าเถื่อน และยังไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวแบบนี้”

แล้วผมก็ถามเขาไปอีกว่า “แล้วจะทำอย่างไรล่ะ มนุษย์โลกถึงจะพัฒนาความคิดได้เร็วขึ้น”

เขาก็ตอบว่า “พวกคุณต้องพัฒนาความดีขึ้นมา เพราะมนุษย์โลกในตอนนี้เหมือนเด็กห้าขวบที่ยังขับเครื่องบินเองไม่ได้” เขาเปรียบเทียบว่า มนุษย์โลกเป็นเหมือนเด็กเล็กที่ต้องค่อย ๆ โต ค่อย ๆ ฝึก

ในช่วงที่ผมสนทนากับมนุษย์ต่างดาวนั้น ผมไม่ได้ใช้ภาษาอะไรเลย แต่ผมใช้วิธีส่งใจถึงกันแทน เมื่อถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ เขาก็นำยานมาส่งผมที่ห้องพัก โดยใช้ปล่องแสงกลม ๆ ส่งผมเหมือนตอนขามา คือ มาอย่างไรก็กลับอย่างนั้น ผมได้มาถึงที่ห้องพักในเวลา ๑๑.๐๐ น.ของวันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๐ รวมเวลาที่หายไป ประมาณสิบสองชั่วโมง เวลาที่หายไปคืนวันเสาร์ ประมาณช่วง ๒๒.๐๐ น.‐๒๓.๐๐ น.กลับมาเวลา ๑๑.๐๐ น.ของวันอาทิตย์

เมื่อผมกลับมาถึงห้องพักของผมแล้ว ผมก็รีบล้างหน้าล้างตา อาบน้ำแต่งตัว เพราะเวลาเที่ยงตรงผมต้องรีบเดินทางไปที่สนามบิน และในระหว่างที่ผมเดินผ่านห้องครัว ผมก็ได้พบกับผู้ช่วยของผมสองคน และคนขับรถอีกหนึ่งคน ผมจึงได้สั่งให้พวกเขาไปเตรียมชาและบอกคนขับให้ไปเตรียมรถ พอผมพูดจบเท่านั้นแหละ ทุกคนต่างอยู่ในอาการตกใจมากว่า...ผมโผล่มาจากไหน เพราะก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างเข้ามาตามหาตัวผมในห้องพักแต่กลับไม่พบ ทันทีที่ผู้ช่วยของผมเห็นตัวผม เขาก็รีบเดินมาจับตัวผมดูว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า เพราะอยู่ดีๆผมก็ดันหายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วเขาก็ถามผมว่า “นี่ใช่คีร์ซานหรือนี่ คุณยังมีชีวิตอยู่หรือ คุณหายไปไหนมา”

ผมก็ตอบเขาว่า “ผมไปอยู่บนยานอวกาศ”

ผู้ช่วยของผมก็พูดกับผมว่า “คุณอย่ามาล้อเล่นสิ บอกมาซิว่าคุณไปอยู่ที่ไหนมา”

ในตอนนั้น เขาดูแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ไขกุญแจเข้ามาในห้องพักของผม แต่กลับไม่เจอตัวผม เมื่อหาผมไม่เจอเขาก็คิดว่าเขาคงจะต้องโทรศัพท์ไปแจ้งท่านประธานาธิบดีรัสเซียว่าผมหายตัวไป แต่ยังไม่ทันจะโทรก็กลับมาเจอตัวผมอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งทำให้เขารู้สึกแปลกใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ทุกคนแปลกใจมากที่อยู่ดี ๆ ผมก็หายตัวไป เพราะในระหว่างที่ผมพักอยู่ที่ห้อง ผมล็อกห้องเอาไว้ตลอด แถมหน้าต่างของห้องพักก็ห่างจากดาดฟ้าถึงห้าเมตร และในช่วงที่ผมหายตัวไปทีมงานทุกคนต่างก็เข้ามาช่วยกันค้นหาตัวผมในห้องพักตอนเวลา ๑๐.๓๐ น.แต่ก็ไม่พบ แต่อยู่ดี ๆ ผมก็โผล่มาตอน ๑๑.๐๐ น.ในตอนนั้น ทุกคนโกรธผมมาก เพราะทุกคนคิดว่าผมเล่นซ่อนหา นึกว่าผมล้อพวกเขาเล่น ขนาดคนขับรถของผมยังโกรธ และไม่ยอมคุยกับผมถึงหนึ่งเดือน

แต่เมื่อผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ท่านปูติน (ประธานาธิบดีวาลาดิเมียร์ ปูติน) ฟัง ท่านกลับเชื่อในสิ่งที่ผมเล่าว่าเป็นเรื่องจริง นอกจากนั้น ลูกสาวของท่านปูตินยังได้เชิญให้ผมมาเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังหลังจากนั้นอีกสามปี และในปีพ.ศ. ๒๕๔๒ ผมก็ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้กับสำนักข่าวบีบีซี ซึ่งทำการออกอากาศไปทั่วรัสเซีย นอกจากผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านปูตินฟังแล้ว ผมยังได้เล่าเรื่องนี้ให้กับท่านบอริส เยลซิน ซึ่งเป็นอดีตประธานาธิบดีรัสเซียฟังอีกด้วย ซึ่งท่านเยลซินบอกว่า ท่านทราบแล้วให้ไปทำงานต่อ (แสดงว่าท่านเยลซินไม่ค่อยเชื่อ ซึ่งผิดกับท่านปูตินที่จดทุกคำพูดของผมเลย)

นับตั้งแต่วันที่ผมเจอมนุษย์ต่างดาวในครั้งนั้น ผมก็ไม่สูบบุหรี่และดื่มเหล้าอีกเลย อีกทั้งผมมีโครงการที่จะสร้างวัดที่ใหญ่ที่สุดในคาลมีเกียอีกด้วย และในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หลังจากที่ได้พบกับมนุษย์ต่างดาว ผมได้สร้างวัดพุทธไปแล้ว ๔๖ วัด สร้างโบสถ์คริสต์ไปแล้ว ๒๐ โบสถ์

สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว จากองค์การนาซา (NASA) มีสถิติว่า ในหนึ่งปีจะมีคนเห็นยานอวกาศ หรือสิ่งที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวประมาณ ๔,๐๐๐ ครั้ง อีกทั้งประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกา กับ ประธานาธิบดีเบรสเนฟ แห่งรัสเซีย เคยปรึกษากันว่าจะไม่ส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ เพราะทราบว่าบนดวงจันทร์ไม่มีมนุษย์ต่างดาว แต่ผมคิดว่าดาวที่ผมไปกับยานอวกาศเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นดวงจันทร์  ตั้งแต่ผมเจอยานอวกาศครั้งแรก หลังจากนั้นอีกสามสิบปี ผมไม่เคยเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ใครฟังเลย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้แชมป์หมากรุกคนหนึ่งซึ่งเป็นศาสตราจารย์ฟัง ภรรยาของแชมป์หมากรุกคนนั้นก็บอกผมว่า ตัวเธอก็เคยเห็นยานอวกาศเหมือนกัน จากจุดนี้ทำให้ผมคิดว่า คงมีคนเคยเห็นยานอวกาศมากมาย แต่ไม่กล้าพูดให้ใครฟัง

ข้อมูลจาก เว็บธรรมกาย (http://www.dmc.tv/pages/latest_update/20110219-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7_LEFT.html)

ข้อมูลข้างบนนี้บอกเพิ่มเติมว่าประธานาธิบดีติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวทางโทรจิต และดาวที่มนุษย์ต่างดาวพาไปคือ "ดวงจันทร์"

ในเว็บธรรมกายมีประวัติชาติก่อนของท่านประธานาธิบดีคีร์ซานด้วยหนอ

อะไรจะเก่งกาจขนาดนั้น

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

เมื่อผมกลับมาถึงห้องพักของผมแล้ว ผมก็รีบล้างหน้าล้างตา อาบน้ำแต่งตัว เพราะเวลาเที่ยงตรงผมต้องรีบเดินทางไปที่สนามบิน และในระหว่างที่ผมเดินผ่านห้องครัว ผมก็ได้พบกับผู้ช่วยของผมสองคน และคนขับรถอีกหนึ่งคน
...............................
ในตอนนั้น เขาดูแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ไขกุญแจเข้ามาในห้องพักของผม แต่กลับไม่เจอตัวผม เมื่อหาผมไม่เจอเขาก็คิดว่าเขาคงจะต้องโทรศัพท์ไปแจ้งท่านประธานาธิบดีรัสเซียว่าผมหายตัวไป แต่ยังไม่ทันจะโทรก็กลับมาเจอตัวผมอยู่ในห้องน้ำ

ห้องไหนกันแน่?

"มนุษย์บนโลกยังเป็นเหมือนเด็ก เพราะความรู้ที่คุณมีเป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก นอกจากนั้น พวกคุณยังชอบฆ่าฟันกันเอง แถมยังชอบฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เพื่อกินเป็นอาหาร แล้วพวกคุณยังชอบกินเนื้อกันเองอีกด้วย ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงทำให้ความคิดของพวกคุณยังคงดูป่าเถื่อน และยังไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวแบบนี้”

แล้วผมก็ถามเขาไปอีกว่า “แล้วจะทำอย่างไรล่ะ มนุษย์โลกถึงจะพัฒนาความคิดได้เร็วขึ้น”

เขาก็ตอบว่า “พวกคุณต้องพัฒนาความดีขึ้นมา "
...........................
นับตั้งแต่วันที่ผมเจอมนุษย์ต่างดาวในครั้งนั้น ผมก็ไม่สูบบุหรี่และดื่มเหล้าอีกเลย อีกทั้งผมมีโครงการที่จะสร้างวัดที่ใหญ่ที่สุดในคาลมีเกียอีกด้วย และในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หลังจากที่ได้พบกับมนุษย์ต่างดาว ผมได้สร้างวัดพุทธไปแล้ว ๔๖ วัด สร้างโบสถ์คริสต์ไปแล้ว ๒๐ โบสถ์

เอิ่ม...ท่านปธน.งดเนื้อสัตว์รึยังคะ    ;)    ระหว่างที่มัวไปสร้างวัดสร้างโบสถ์อยู่น่ะ
ขอเรียนท่านผ่านทางเรือนไทย(แม้ว่าท่านอ่านภาษาไทยไม่ออก)  ว่าท่านไม่ต้องรอมนุษย์ต่างดาวมาบอกให้ทำความดีหรอกค่ะ   เข้าโบสถ์เข้าวัดในศาสนาไหน  เขาก็สอนให้พัฒนาความดีกันทั้งนั้น

ส่วนเรื่องสร้างวัดสร้างโบสถ์รวมแล้ว 66 วัดนั้นก็ดีอยู่หรอก   แต่ถ้าท่านเป็นชาวพุทธ   ก็คงจะรู้จักพระพุทธวัจนะบทนี้

โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเราตถาคต

ยังสงสัยอีกอย่างว่ามนุษย์ต่างดาวมาเอาตัวท่านปธน.ไปทำไม     ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้างจากการพบกันครั้งนี้  ทางฝ่ายท่านนอกจากสร้างวัดสร้างโบสถ์อีก 66 วัด  กับงดสูบบุหรี่กินเหล้า    ในสิบกว่าปีที่ผ่านมา  ท่านปธน.ช่วยลดจำนวนสงครามระหว่างประเทศ สงครามในประเทศ  เพิ่มคนกินมังสวิรัติ พัฒนาความดีเพื่อให้ได้ตามมาตรฐานมะนาวต่างดุ๊ดแห่งดวงจันทร์ที่ท่านไปพบ ได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว 
ท่านแถลงต่อในซีรี่ส์ 3 หรือเปล่าคะคุณเพ็ญ?

ชวนคุณเพ็ญชมพูมาดูนี่กันดีกว่า ว่าใช่ยูโฟของแท้ไหม

http://www.youtube.com/watch?v=GrtznJXwdCQ

ยูโฟ จับภาพได้จากหน้าต่างเครื่องบิน    ???

http://www.youtube.com/watch?v=8T2f4fEvKEM

ของเทียมฤๅของแท้     ถ้าให้แน่ต้องเห็นจริง
ถ่ายคลิปฤๅภาพนิ่ง       บอกยากแท้แม้ชี่ยวชาญ

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

อมยิ้มตัวนี้น่ารักกว่านะคะ

เมื่อโคลัมบัสเดินทางไปพบทวีปอเมริกา   สันนิษฐานว่าเขาเจอ UFO ด้วยละค่ะ

ในค.ศ. 1492 ขณะที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสพาเรือซานตามาเรียข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคไปทางตะวันตก   คืนหนึ่งเมื่ออยู่บนดาดฟ้าเรือ  เขาเห็นวัตถุประหลาดเรืองแสงในตัวลอยอยู่ในระยะไกล  เคลื่อนไหว เดี๋ยวดับ เดี๋ยวสว่างขึ้นมาอีก  ลอยไปทางทิศนั้นทิศนี้ แล้ววูบหายลงไปในท้องทะเลอีก  
ไม่มีใครอธิบายได้ว่ามันคืออะไร    ก็มีการตีความกันไปหลายทาง เช่นเป็นดาวตกบ้าง  เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติบ้าง   แต่คำตอบพวกนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยุติกันเลยสักอย่างเดียว

http://www.youtube.com/watch?v=dafN9bQ0wvI

คดีมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวเบตตี้และบาร์นี่ ฮิลล์ที่เกิดขึ้นเมื่อค.ศ. 1961  มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าคดีปธน. ถูกลักพาตัวเป็นไหนๆ    เพราะสามีภรรยาคู่นี้ให้รายละเอียดได้น่าเชื่อถือกว่า  โดยเฉพาะเมื่อเป็นคำให้การขณะอยู่ในภาวะถูกสะกดจิต  คือออกมาจากจิตใต้สำนึกของเขา   ไม่ใช่จากคำบอกเล่า

นายและนางฮิลล์อาศัยอยู่ที่รัฐนิวแฮมป์เชอร์    ไปท่องเที่ยวตากอากาศกันที่แคนาดา ขากลับขณะขับรถกลับตามเส้นทางสู่บ้าน  จู่ๆก็เห็นยานประหลาดลอยอยู่บนฟ้า ในระยะกระชั้นชิดมากจนบาร์นี ฮิลล์ผู้สามีตัดสินใจจอดรถแล้วลงมาดูว่ามันคืออะไรกันแน่  แต่เจ้ายานประหลาดนั้นก็ไม่ยักหายไป  กลับลอยวนไปมา   จนบาร์นีย์เกิดกลัวก็เลยเผ่นกลับขึ้นรถ  แล้วเหยียบคันเร่งห้อเหยียดออกไป   เจ้ายานนั้นก็หายลับไปเบื้องหลัง

ที่แปลกก็คือ  บาร์นีย์สังเกตว่าเขาขับรถมาไกลได้ 35 ไมล์ภายใน 2นาที เท่านั้นเอง    แต่ทั้งคู่ก็กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

สองสามวันต่อมา  เบตตี้มีอาการประหลาด เกิดความเครียดจากฝันร้ายซ้ำซากกว่าเธอและสามีถูกมนุษย์ต่างดาวตัวสูงๆจับตัวไปผ่าตัดร่างกายอยู่ในยานอวกาศ   มันเป็นฝันน่ากลัวดูเป็นจริงเป็นจังมาก  จนเธอทนไม่ไหว   ทั้งสองก็ตัดสินใจไปพึ่งจิตแพทย์   นายแพทย์เบนจามิน ไซมอนตรวจด้วยการสะกดจิตคุณนายเบตตี้   ผลที่ออกมาก็คือ  ในช่วงที่ถูกสะกดจิต จิตใต้สำนึกของเธอถ่ายทอดเหตุการณ์ออกมาว่าเธอและสามีถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปจริงๆ

http://www.youtube.com/watch?v=hakm2DKWIUE

เบตตี้จำได้จากถูกสะกดจิต ว่ามนุษย์ต่างดาวได้ชี้ให้ดูแผนที่ดาว เพื่อบอกว่าพวกเขามาจากไหน     เธอวาดแผนที่จากความทรงจำส่งให้หมอ   

หลังจากนั้นก็มีหลายคนพยายามถอดรหัสออกมาว่าเส้นทางจากดาวเหล่านั้นมันมาจากกลุ่มดาวไหนกันแน่     ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เหมือนกัน   เพราะเบตตี้ไม่มีความรู้เรื่องดาราศาสตร์   อาจจะวาดผิดเพี้ยนไปจากต้นแบบก็ได้
อย่างไรก็ตาม  ในช่วงปลายทศวรรษ 1960s  มีครูคนหนึ่งชื่อมาเจอรี่ ฟิช ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์สมัครเล่น สามารถหาตำแหน่งดาวที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ดาวได้ครบทุกดวง

นี่คือกลุ่มดาว ที่มาเจอรี่ ฟิช ถอดออกมาว่ามนุษย์ต่างดาวพวกนั้นมาจากไหน
เส้นทางที่เป็นเส้นทึบ คือเส้นทางที่พวกนั้นเดินทางติดต่อกันได้เป็นประจำ  ส่วนที่เป็น ...... คือเส้นทางสำรวจ

จุดที่บาร์นีย์เห็นยานอวกาศ กลายเป็นจุดสำคัญ   มีป้ายหลักฐานให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้

บาร์นีย์ถึงแก่กรรมไปตั้งแต่ค.ศ. 1969 เมื่ออายุได้แค่ 46 ปี ส่วนเบตตี้มีอายุยืนยาวมาจนค.ศ. 2004  จึงถึงแก่กรรมในวัย 85 ปี เธอเก็บรักษาเสื้อผ้าชุดที่สวมในคืนที่พบมนุษย์ต่างดาวไว้อย่างดี   ด้วยความหวังว่าวันหนึ่งเมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากกว่านี้ อาจเจอร่องรอยของสารเคมีบางอย่างได้บนเสื้อผ้า   ในค.ศ. 2009  มหาวิทยาลัยนิวแฮมป์เชอร์จัดนิทรรศการ และสัมมนาเรื่องนี้ขึ้น  เสื้อผ้าและภาพวาดของเบตตี้ถูกนำมาแสดงด้วย

กรณีที่สาม   สงครามเหนือน่านฟ้าลอสแอนเจลิส ในค.ศ. 1942

เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ทันจะถึงสามเดือนดี  ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942  เหนือท้องฟ้าในนครลอสแอนเจลิส เรดาร์ก็จับได้ถึงเครื่องบินไม่ปรากฏสัญชาติปรากฏขึ้น     กองทัพอเมริกันก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที  เพราะระแวงอยู่แล้วว่าญี่ปุ่นที่เคยบุกเพิร์ล ฮาเบอร์แบบสายฟ้าแลบมาก่อนหน้านี้ จะข้ามปาซิฟิคมาบุกแอลเอแบบสายฟ้าฟาดอีกครั้ง 

พอสัญญาณจับได้ว่ามีอะไรสักอย่างที่บินได้ แต่ไม่ใช่เครื่องบินพวกเดียวกันลอยอยู่บนน่านฟ้า   สัญญาณภัยก็ดังโหยหวนขึ้นมา แสงไฟฉายขนาดยักษ์จากข้างล่างก็สาดขึ้นไปบนฟ้า   ปืนต่อสู้อากาศยานก็ทำงานตามหน้าที่ทันทีทันควัน    ระดมยิงไปที่เป้าหมายตลอดทั้งคืน   โดยปราศจากผล   จนกระทั่งมีการแถลงในวันต่อมาว่าไม่ใช่เครื่องบินข้าศึก แต่เป็นบัลลูนตรวจอากาศ
(โปรดสังเกตว่าอเมริกาใช้คำนี้บ่อยมาก เวลาแถลงอย่างเป็นทางการถึงยูโฟที่ชาวบ้านเห็นกัน)

คืนนั้น หลักฐานคือรูปถ่ายว่ามี "อะไรอย่างหนึ่ง" ที่บินได้  ปรากฏอยู่เหนือน่านฟ้าจริงๆ  ไม่ใช่ภาพลวงตา   แต่มันไม่ใช่เครื่องบินของฝ่ายเดียวกัน หรือว่าฝ่ายตรงกันข้าม     จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าวัตถุบินได้เหล่านั้นคืออะไร

ยูโฟที่สนามบินโอแฮร์ของชิคาโก  หรือ The Chicago O’Hare UFO Sighting

เรื่องนี้เกิดไม่กี่ปีมานี้เอง   วันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.  2006 หรือพ.ศ. 2549  ตอน 4.40 น. ก่อนสว่าง   ศูนย์บังคับการของสนามบินได้รับแจ้งว่ามีพนักงานสนามบิน  12 คน มองเห็นยานอวกาศลึกลับรูปทรงแบนเหมือนจานลอยอยู่เหนือเกท  C-17.  ปกติแล้วการแจ้งว่าเห็นยูโฟนั้น พยานผู้รู้เห็นมักจะมีแค่ 1 หรือ 2 คนอย่างมาก    ไม่มีที่ไหนเห็นกันรวดเดียว 12 คน  แถมสองในจำนวนนั้นเป็นนักบิน และนักบินผู้ช่วยเสียอีก    แถมยังยืนยันด้วยว่ายูโฟลำนั้นบินด้วยสปีดเร็วมาก   พุ่งขึ้นทะลุเมฆหายไปในท้องฟ้าจนเห็นเป็นรูอยู่ในกลุ่มเมฆตามทางที่มันทะลุไป 

http://www.youtube.com/watch?v=-jRa1vMs8zQ

วิดีโอนี้จำลองเหตุการณ์จากปากคำพยานที่บอกว่าเคยเผชิญมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว

http://www.youtube.com/watch?v=aeoY7OR8cw8

ขำขัน - จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพบมนุษย์ (หรือสัตว์) ต่างดาวที่ อเมริกา จีน และไทย

จาก พันทิป (http://pantip.com/topic/30795461/comment4)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

เดินสำรวจโตเกียวเจอมนุษย์ต่างดาวเข้าให้  

มนุษย์ต่างดาวตัวนี้มีญาติตัวเท่า ๆ กันคอยดูแลพื้นที่อยู่แถวบ้านคุณนวรัตน


ตามประวัติ มนุษย์ต่างดาวพวกนี้ชาวโลกเรียกว่า Ultraman (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99) หรือในภาษาไทยว่า "ยอดมนุษย์" มาจากดาว M78 อันไกลโพ้น (อยู่ตรงไหนไม่ทราบได้)

ถือเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เป็นมิตรพวกหนึ่งที่ชาวโลกรู้จัก 

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

มนุษย์ต่างดาวอีกตัวหนึ่งเคยมาเยือนที่ปากช่อง ประเทศไทย ชื่อว่าคาลเอล มาจากดาวคริปตัน  ชาวโลกรู้จักในนามว่า "ซูเปอร์แมน" ใคร ๆ ก็รัก แม้แต่เด็กยังอยากให้พาขึ้นไปเหาะด้วย ;D

ภาพโดย คุณ begine (http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=febuary&month=03-2011&date=28&group=8&gblog=74)

วัวตัวนี้ก็น่าจะมาจากดาวเดียวกับซูเปอร์แมน  ;D

ภาพโดย คุณ tucktan (http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/11/E7170604/E7170604.html#52)

ภาพถ่ายบนดวงจันทร์ พบเงาปริศนาคล้ายคนเดิน
จากเว็ปไซต์ youtube.com เจ้าของ account UFOvni2012 ได้เผยแพร่ภาพจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศซึ่งบันทึกภาพเงาลักษณะคล้ายมนุษย์ยืนอยู่บนดวงจันทร์ และยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นเงาของอะไรกันแน่
http://www.nationtv.tv/main/content/lifestyle/378419196/ (http://www.nationtv.tv/main/content/lifestyle/378419196/)

ป.ล. ยังหา youtube ที่ว่าไม่พบค่ะ

คลิปนี้กระมัง  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=9wrTkK2p3B0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=9wrTkK2p3B0#ws)

ท่าทางมนุษย์ต่างดาวคล้าย ๆ กับในข่าวของไทยรัฐ   ;)

ซึ่งเป็นผลงานของ application แต่งภาพ Camera360  ;D

คุณเพ็ญชมพูและท่านสมาชิกอื่นๆ อ่านข่าวนี้หรือยังคะ
http://www.naewna.com/inter/132395 (http://www.naewna.com/inter/132395)

24 พ.ย. 57 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอมีการเปิดเผยภาพชันสูตรศพเอเลี่ยน ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นภาพจริง ไร้การตัดต่อ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2

โดย "นายทอม แครีย์" กล่าวว่า ภาพถ่ายเอเลี่ยนบนเตียงชันสูตรศพนี้ ถูกบันทึกด้วยกล้องฟิล์มโกดัก เมื่อปี 2490 ที่ฐานปฏิบัติการลับสหรัฐฯ แอเรีย 51 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่มีรายงานเหตุยูเอฟโอตกใส่ไร่แห่งหนึ่ง ใกล้กับเมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐฯ และเขาเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีความสูงประมาณ 4 ฟุต (ราว 120 เซนติเมตร) ซึ่งศีรษะของพวกเขาจะมีลักษณะคล้ายกับแมลง

ล่าสุดเขาได้นำภาพดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญของโกดักดูเพื่อยืนยันอีกครั้ง ก็พบว่าถ่ายในปีดังกล่าวจริง ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีเครื่องมือการตัดต่อภาพใดๆเลย ดังนั้นภาพเหล่านี้จึงเป็นภาพจริง

Alien Autopsy - Roswell UFO Crash 1947 (Original footage)(documentary) (http://www.youtube.com/watch?v=FZouZJSG4ic#)

คงเป็นมนุษย์ต่างดาวตนเดียวกันกับในคลิปนี้


http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ZQlpACCcq4Y#ws (http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ZQlpACCcq4Y#ws)

ฟังหูไว้หู ดูตาไว้ตา

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley16.png)

ข่าวจาก ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/459928)

เผยความลับสุดยอดก่อนตาย! นักวิทย์มะกัน ยัน ‘มนุษย์ต่างดาว’ มีจริง

เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๗ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวที่สร้างความฮือฮา และปริศนาลี้ลับเกี่ยวกับเอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาว, ยูเอฟโอ ยิ่งมีความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อ ดร.บอยด์ บุชแมน วิศวกรชาวอเมริกัน ซึ่งเคยทำงานร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ Area 51 ได้เปิดเผยข้อมูลลับสุดยอดก่อนเสียชีวิต เกี่ยวกับหน้าที่การงานของเขา ซึ่งได้ศึกษาเรื่องจานบิน UFO และชีวิตของมนุษย์ต่างดาว ที่ฐานปฏิบัติการลับแห่งหนึ่ง

ดร.บุชแมน ตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลของมนุษย์ต่างดาว และจานบินนอกโลก ผ่านการบันทึกลงในคลิปวิดีโอสั้น ๆ ก่อนเขาจะเสียชีวิตเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ‘ด้วยความเคารพต่อยานมนุษย์ต่างดาว พวกเรา: พลเมืองอเมริกันกำลังทำงานเกี่ยวกับจานบิน UFO ๒๔ ชม.ต่อวัน’ ดร.บุชแมน เปิดเผยถึงภารกิจของเขาและทีมงาน พร้อมระบุว่า พวกตนกำลังพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรทำอะไร

อดีตนักวิทยาศาสตร์อาวุโสผู้นี้ ได้อธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวไว้ว่า ตามที่พวกตนรู้นั้น เอเลี่ยนสามารถแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม ซึ่งเหมือนกับในฝูงปศุสัตว์ คือ กลุ่มหนึ่งทำหน้าที่เป็นโคบาล หรือผู้ต้อนสัตว์ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับผู้ขโมยวัวควาย โดยกลุ่มเอเลี่ยน ที่คล้ายกับเป็นโคบาลนั้น มีลักษณะนิสัยที่มีความเป็นมิตรมากกว่า มีความสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นเพื่อนและช่วยเหลือกับพวกตนมากกว่า

ขณะเดียวกัน ดร.บุชแมน ยังอธิบายถึงลักษณะของเอเลี่ยน และเผยภาพถ่ายของเอเลี่ยนด้วยว่า มีความสูงแค่เพียง ๕ ฟุตเท่านั้น โดยมี เอเลี่ยน ๑ หรือ ๒ ตน ของพวกเอเลี่ยนเหล่านี้ มีอายุยืนถึง ๒๓๐ ปี ขณะที่ ตาและจมูกของเอเลี่ยนมีความแตกต่างจากมนุษย์ แต่ก็มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละ ๕ นิ้วเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม (ที่น่าทึ่ง) คือ เอเลี่ยนมีความสามารถในการสื่อสารทางโทรจิต

‘พวกเขาสามารถใช้เสียงของเขา สื่อสารผ่านทางโทรจิตเพื่อคุยกับคุณ’ ดร.บุชแมน กล่าวถึงความสามารถเหนือมนุษย์ของเอเลี่ยน

http://www.youtube.com/watch?v=hGM-5u3WLXw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=hGM-5u3WLXw#ws)

ฟังหูไว้หู ดูตาไว้ตา  ;D

Alien Faces Near Pyramid On Mars, Rover Photo, June 2015, UFO Sighting Daily.

 (http://www.youtube.com/watch?v=YyhBy2qpTHk[/url)

ลักษณะหินก้อนนี้เหมือนมีคนสร้าง ไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ (http://www.youtube.com/watch?v=szw9OvJzsp8[/url)

องค์การการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือนาซา เปิดเผยภาพถ่ายล่าสุดจากยานสำรวจ "ดอว์น" ที่กำลังสำรวจพื้นผิวดาวเซเรส ดาวเคราะห์แคระที่โคจรอยู่ระหว่างดาวอังคา­รกับดาวพฤหัสสบดี พบว่ามีสิ่งที่ดูคล้ายกับ ภูเขาพีระมิด บนดาวดวงนี้

โดยภาพถ่ายเหล่านี้ ยานสำรวจดอว์นบันทึกภาพไว้เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายนที่ผ่านมา จากระยะห่างประมาณ ๔,๓๒๐ กิโลเมตร สำหรับภูเขานี้เป็นลักษณะพื้นผิวที่มีความ­ลาดชันสูงขึ้นไป คล้ายกับพีระมิด มีความสูงจากพื้นผิวประมาณ ๕ กิโลเมตรและมีแสงสว่างปริศนาออกมาจากตรงกล­าง เช่นเดียวกับแสงสว่างจากพื้นผิวตรงจุดอื่น­ ๆ ที่ยานสำรวจดอว์น เคยบันทึกภาพไว้ได้ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภ­าพันธ์ที่ผ่านมา

บรรดาผู้ติดตามความเคลื่อนไหวในแวดวงวิทยา­ศาสตร์และดาราศาสตร์ต่างลงความเห็นว่า ภาพที่เห็นนี้คล้ายกับสิ่งปลูกสร้าง หรือพีระมิดของมนุษย์ต่างดาว หรือไม่ก็แสงสว่างนั้นอาจเป็นลำแสงของยานอ­วกาศที่ลงจอดอยู่บนดาวดวงนี้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นชุมชนเอเลี่ยน เพราะเมื่อลองเทียบดูแล้วมีความสว่างพอ ๆ กั­บแสงของเมืองลาสเวกัส ในสหรัฐถ้าเรามองจากนอกโลกเลยทีเดียว

ขณะที่บางคนแย้งว่า นี่อาจจะเป็นลักษณะพื้นผิวที่ดูแปลกไป และเป็นปรากฎการณ์แปลกที่เกิดขึ้นบนพื้นผิ­วของดาวเท่านั้น ด้านองค์การนาซ่าระบุว่า กำลังเร่งไขปริศนาจากภาพถ่ายที่ยานสำรวจดอ­ว์นกำลังจะส่งมาเพิ่มเติม ก่อนที่เชื้อเพลิงของยานลำนี้จะหมดลงในเร็­ว ๆ นี้

http://www.youtube.com/watch?v=6TG_5pzaWO0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=6TG_5pzaWO0#ws)

มนุษย์ต่างดาวอยู่ไม่ไกลจากเราเลย  ;)

เอามาลงอีกที

ตะลึง! พบ “จานผี” 3 ลำบินผ่านน่านฟ้าเหนือวัดดังที่สงขลา พระ-เณรรุมยันเห็นด้วยตา

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เผยพระและเณรลูกวัดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา ขณะนั่งสนทนาธรรมกลางดึกได้เห็น “จานบินยูเอฟโอ” จำนวน 3 ลำ บินด้วยความเร็วสูง แต่ไร้เสียงผ่านน่านฟ้าเหนือวัด ซึ่งกลายเป็นที่กล่าวขานกันหนาหูตลอดวันนี้
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 ก.ค.) ที่วัดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่พระ และเณร และชาวบ้านร้านถิ่นใกล้เคียงตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า มีพระ และเณรในวันนาทวี ได้พบเห็นได้พบเห็นวัตถุบินกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้ หรือจานบินยูเอฟโอ (unidentified flying object : UFO) จำนวน 3 ลำ บินผ่านท้องฟ้าเหนือวัด ซึ่งหลังจากนั้นก็มีการพูดปากต่อปากกันอย่างแพร่หลาย
         ทั้งนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะที่พระ และเณรในวันนาทวีกำลังสนทนากันถึงเรื่องทางธรรมอยู่ภายในวัด จากนั้นก็มีรูปหนึ่งเห็นอำไรผิดสังเกตบนท้องฟ้า จึงบอกให้ช่วยกันดู พระ และเณรทุกรูปต่างแปลกใจที่ได้เห็นวัตถุดังกล่าวมีรูปร่างคล้ายจานบินยูเอฟโอ จำนวน 2 ลำ มีดวงไฟดวงกลมใหญ่สีขาวนวลอยู่ในจานบิน โดยบินติดๆ กันจากทางด้านทิศเหนือไปทางทิศใต้ ด้วยความเร็วสูง แต่จานบินทั้ง 2 ลำ กลับไร้เสียงเครื่องยนต์
       
       จากนั้นทอดเวลาไม่นานหลังจากจานบินทั้ง 2 ลำ ที่มีดวงไฟดวงใหญ่บินผ่านไป พระและเณรก็ได้มองเห็นจานบินยูเอฟโอลำที่ 3 บินมาเหนือวันนาทวี ซึ่งลำสุดท้ายนี้มีลักษณะแปลกกว่า 2 ลำแรก โดยมีรูปร่างคล้ายกับตัวนก ลำตัวจานบินมีดวงไฟสีส้มวิ่งรอบ ซึ่งบินจากทางด้านทิศตะวันออกไปทางทิศใต้ ด้วยความเร็วสูง และก็เป็นจานบินที่ไร้เสียงอีกเช่นกัน จึงทำให้ทั้งพระ และเณรต่างแปลกใจว่าจานบินทั้ง 3 ลำที่เห็นบินผ่านน่านฟ้า อ.นาทวี จะเป็นจานบินยูเอฟโอหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวยังได้รับการยืนยันจากสามเณรปฏิพล มณีโชติ หนึ่งในเณรลูกวัดนาทวี โดยได้นำโทรศัพท์มือถือเปิดค้นหารูปจานบิน UFO จากกูเกิลที่มีลักษณะเหมือนจานบินยูเอฟโอที่เห็นเมื่อคืนที่ผ่านมาให้ผู้สื่อข่าวดูด้วย สำหรับวัดนาทวี ถือเป็นวันดัง และเป็นวัดที่มีชื่อเสียงว่ามีพระเกจิขึ้นชื่อในพื้นที่ภาคใต้

http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081326 (http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9580000081326)

นักจักรวาลวิทยา สตีเฟน ฮอว์กิง จับมือมหาเศรษฐีรัสเซีย ทุ่มทุนกว่า ๓,๐๐๐ ล้านบาท ใช้เวลา ๑๐ ปี ค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกพิภพ นับเป็นโครงการใหญ่สุดเท่าที่เคยมี

ยูริ มิลเนอร์ นักลงทุนชาวรัสเซียในซิลิคอนแวลลีย์ ผู้สนับสนุนความริเริ่มที่เรียกว่า Breakthrough Listen บอกว่า โครงการนี้จะใช้เงิน ๑๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ ๓,๔๕๐ ล้านบาท ในระยะเวลา ๑๐ ปี นับเป็นการค้นหาสัญญาณของอารยธรรมต่างดาวครั้งใหญ่ที่สุด

สตีเฟน ฮอว์กิง นักจักรวาลวิทยาชาวอังกฤษ กล่าวในงานเปิดตัวโครงการ ซึ่งจัดขึ้นที่ราชสมาคมในกรุงลอนดอน ว่า ในเอกภาพอันไร้จุดจบ ต้องมีสิ่งมีชีวิตอื่นๆอุบัติขึ้นเช่นกัน ในจักรวาลตรงไหนสักแห่ง สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอาจกำลังเฝ้ามอง

“ไม่มีคำถามใดจะใหญ่กว่านี้อีกแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องค้นหาคำตอบอย่างจริงจัง ต้องค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก เราต้องรู้ให้ได้ว่า เราอยู่ลำพังในความมืดหรืออย่างไร”  ฮอว์กิงพูด

โครงการนี้จะใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อค้นหาสัญญาณคลื่นวิทยุและเลเซอร์ การสแกนท้องฟ้าของโครงการนี้ภายในหนึ่งวันจะได้ข้อมูลมากกว่าที่การกราดตรวจครั้งไหนๆเคยทำในเวลาหนึ่งปี

กล้องวิทยุจะค้นหาไปยังดาวเคราะห์ระยะใกล้ราวหนึ่งล้านดวง รวมทั้งใจกลางดาราจักรทางช้างเผือก และแกแล็กซีใกล้เคียง ๑๐๐แกแล็กซี

มาร์ติน รีส นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ หนึ่งในทีมแกนนำของโครงการ บอกว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยให้ค้นหาได้ละเอียดกว่าแต่ก่อน “โอกาสหาเจอมีน้อย เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ แต่ผลตอบแทนมีมหาศาล”

ความไวในการดักจับสัญญาณของโครงการ มีมากกว่าโครงการค้นหาก่อนหน้า ๕๐ เท่า ครอบคลุมปริมณฑลท้องฟ้ามากกว่าเดิม ๑๐ เท่า สแกนสเปกตรัมคลื่นวิทยุได้มากกว่าแต่ก่อนอย่างน้อย ๕ เท่า และทำได้เร็วขึ้น ๑๐๐เท่า ขณะเดียวกัน ยังสามารถค้นหาแสงเลเซอร์ได้ลึกและกว้างกว่าครั้งใด ๆ

ข้อมูลทั้งหมดเปิดให้สาธารณชนเข้าถึง ผู้สนใจจึงสามารถดึงเอาข้อมูลไปวิเคราะห์เองได้

นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันว่า หากค้นพบอารยธรรมต่างดาว มนุษย์ควรส่งข้อความไปทักทายหรือไม่ ดังเช่นที่เคยส่งข้อความไปกับยานวอยเอเจอร์เมื่อคริสต์ทศวรรษ ๑๙๗๐

ฮอว์กิงไม่เห็นด้วยที่เราจะติดต่อสื่อสาร เขามองเป็นเรื่องอันตราย เพราะมนุษย์ต่างดาวอาจมีวิวัฒนาการก้าวหน้ากว่าเรานับพันล้านปี “พวกเขาอาจแข็งแกร่งกว่าเรามาก และอาจไม่ได้มองเรามีค่าเกินไปกว่าแบคทีเรีย.”

ข่าวจาก http://news.voicetv.co.th/world/234948.html (http://news.voicetv.co.th/world/234948.html)

หวังว่าเราคงมีโอกาสเห็นมนุษย์ต่างดาวตัวเป็น ๆ ในช่วงชีวิตเรา  ;D

จะเจอแบบไหนหนอ

บางทีเราอาจจะเคยเห็นมนุษย์ต่างดาวมาแล้วก็ได้ แม้มิใช่ตัวเป็น ๆ ก็ตาม  ;)

ทางการจีนเข้าร่วมวงกับการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวกับเขาด้วยเต็มตัว ด้วยการใช้เงินมหาศาลสร้าง "กล้องโทรทรรศน์วิทยุ" หรือ "เรดิโอ เทเลสโคป" ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นทางตอนใต้ของประเทศ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า เพื่อทำหน้าที่ควานหาสัญญาณวิทยุจากต่างกาแล็กซี และติดตามร่องรอยของประวัติศาสตร์จักรวาล

การก่อสร้างกล้องโทรทรรศน์ขนาดยักษ์ดังกล่าวกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและรุดหน้าไปมากแล้วในหุบเขาแห่งหนึ่งของมณฑลกุ้ยโจวทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนซึ่งมีลักษณะเป็นหุบเขารูปชามอ่างโดยธรรมชาติ และตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดไม่น้อย ทำให้ไม่มีสัญญาณเสียงจากสภาพแวดล้อมมารบกวน โครงการนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ไฟว์-ฮันเดรด-มีเตอร์ อะเพอร์เจอร์ สเฟียริคอล เทเลสโคป" เรียกสั้น ๆ ว่า "ฟาสท์"

ตัวจานสำหรับสะท้อนสัญญาณเสียงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง ๕๐๐ เมตร โดยประกอบจากแผงชิ้นส่วนมากถึง ๔,๔๕๐ แผง แต่ละแผงมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมทำนองชิ้นพายที่ตัดแบ่ง ความยาวมากถึง ๑๑ เมตร ทางการจีนประเมินว่าการก่อสร้างน่าจะแล้วเสร็จภายในปีหน้า เมื่อแล้วเสร็จกล้องโทรทรรศน์วิทยุแห่งนี้จะกลายเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำลายสถิติเดิมของหอสังเกตการณ์ อาเรซิโบ ออบเซอร์เวทอรี ซึ่งมีจานรับสัญญาณที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๓๐๐ เมตรลง และจะมีขีดความสามารถในการตรวจสอบลึกเข้าไปในห้วงอวกาศไกลกว่าอาเรซิโบ ราว ๓ เท่าตัว

หนาน เหรินตง หัวหน้าทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำโครงการฟาสท์ของจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานหอสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์แห่งชาติ ในสังกัดสถาบันวิชาการวิทยาศาสตร์จีน เปรียบเทียบว่าหอสังเกตการณ์ด้วยสัญญาณวิทยุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เหมือนหูของคนเราที่มีความไวต่อเสียงสูงมาก ดังนั้น จึงสามารถรับฟังและจำแนกเสียงที่มีความหมายออกจากเสียงทั่วๆ ไปได้ ซึ่งศาสตราจารย์หนานอุปมาว่า เหมือนการฟังและจำแนกเสียงของจั๊กจั่นที่ส่งเสียงร้องท่ามกลางเสียงพายุฝนฟ้าคะนองออกมาได้

จานรับสัญญาณยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าใดยิ่งช่วยให้สามารถรับสัญญาณวิทยุอ่อน ๆ ได้มากขึ้นเท่านั้นทำให้นักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามควานหาสัญญาณวิทยุจากต่างดาวอย่าง เช่น โครงการเซติ หรือโครงการ "เบรกทรู ลิสเซน" สามารถตรวจสอบสัญญาณที่ต้องการได้ยินจากห้วงจักรวาลอันไพศาลกินอาณาบริเวณกว้างมากขึ้นและไปไกลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ความสามารถในการรับสัญญาณเสียงจากระยะไกลมากๆในห้วงจักรวาลทำให้เรารับรู้ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ จุดนั้นได้ก่อนหน้าที่เสียงจะเดินทางมาถึงโลก ซึ่งเท่ากับว่าเราสามารถสืบค้นสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของจักรวาลได้ย้อนหลังกลับไปไกลมากขึ้นกว่าเดิม

"การมีกล้องโทรทรรศน์ที่มีความไวสูงมากๆทำให้เราสามารถได้รับสัญญาณอ่อนๆรวมถึงสัญญาณวิทยุที่มาจากจุดที่ห่างไกลกว่าได้ดีขึ้น" นายอู๋ เซียงผิง ผู้อำนวยการสมาคมดาราศาสตร์จีน ระบุ

ซึ่งนั่นหมายความว่า เราสามารถสำรวจต้นกำเนิดจักรวาลและหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวได้ดีขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง

ข่าวจาก มติชน (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1438822771)

มีข่าวใหม่มาเรียกเรตติ้งกระทู้นี้อีกแล้ว

ฮือฮา!พบวัตถุปริศนาคล้ายหญิงชุดดำบนดาวอังคาร

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม สื่อต่างประเทศหลายสำนักได้ต่างรายงานเรื่องราวที่สร้างความฮือฮา เมื่อยานสำรวจคิวเรียสซิตี (Curiosity) ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (NASA) ได้บันทึกภาพหนึ่งขณะกำลังสำรวจบริเวณปากปล่องภูเขาไฟบนดาวอังคารและพบว่ามีวัตถุปริศนาบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายสิ่งมีชีวิต เว็บไซต์ UFO Sightings Daily ได้ระบุว่า วัตถุดังกล่าวมีความสูงเพียง 8-10 ซม. ลักษณะคล้ายร่างหญิงสวมชุดดำ โดยจะเห็นรูปทรงหน้าอกได้ชัดเจน ยังจะเห็นแสงเงาบนท่อนแขนสองข้างที่มีสีอ่อนกว่า และศีรษะที่คล้ายว่ามีผมยาวด้วย
"เป็นเรื่องยากที่จะระบุชัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหรือรูปปั้นหิน อย่างไรก็ตามหากเป็นรูปปั้นที่มีขนาดเล็กขนาดนั้นก็น่าจะสึกกร่อนไปนานแล้ว" เว็บไซต์ระบุ
อนึ่งเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ชาวโลกโซเชียลมีเดียก็ได้สังเกตพบวัตถุคล้ายปูหรือแมงมุมจากภาพถ่ายดาวอังคารที่ทางนาซาได้เผยแพร่บนเพจเฟซบุ๊กด้วย

อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/world/news/380517 (http://www.posttoday.com/world/news/380517)

อนึ่งเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว ชาวโลกโซเชียลมีเดียก็ได้สังเกตพบวัตถุคล้ายปูหรือแมงมุมจากภาพถ่ายดาวอังคารที่ทางนาซาได้เผยแพร่บนเพจเฟซบุ๊กด้วย....
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/world/news/380517 (http://www.posttoday.com/world/news/380517)

http://www.mirror.co.uk/news/world-news/dark-lady-mars-nasas-rover-6201711 (http://www.mirror.co.uk/news/world-news/dark-lady-mars-nasas-rover-6201711)
Dark Lady on Mars: NASA's Rover spots mysterious being looking out into space from red planet

A mysterious 'dark lady' has been spotted looking out into space from the surface of Mars.

The eerie shape was taken by the NASA' Curiosity Rover, the robot exploring a crater on the red planet.

UFO Sightings Daily says the shape is proof that there is 'life out there'.

The website has come up with a description of what the dark shape is, claiming it is definitely a woman because her breasts are visible, apparently.

They wrote: The woman seems to have breasts...indicated by the shadow on its chest.

"We also see two arms that are lighter in color and what looks like a head with long hair.

"Its hard to tell if this is a living being, or a statue of a being from long ago.

"However, a statue that small would be eroded and destroyed easily, so it has a higher chance of being a living being.

"Also it is facing the Mars rover...watching it from a distance.

^
เป็นมนุษย์ต่างดาวที่เซ็กซี่มาก  ;)

ถามท่านที่เรียนสายวิทย์มา ทั้งหลาย
บนพื้นผิวดาวอังคาร มีออกซิเจนหรือเปล่าคะ  นอกจากนี้ อุณหภูมิบนพื้นผิวมีความร้อนเท่าไหร่
เพราะดูจากภาพเหล่านี้    ถ้ามีสิ่งมีชีวิต มันน่าจะต้องหายใจ  ก็ต้องมีอากาศ  ถ้าไม่มีอากาศก็อยู่ไม่ได้
อีกอย่างคือ ที่นี่เห็นมีแต่หิน   ดูสภาพแห้งแล้ง ไม่มีน้ำ ไม่มีพืช   อุณหภูมิน่าจะร้อนจัดมาก   สิ่งมีชีวิตจะเอาอะไรกิน และอยู่ได้ในอุณหภูมิขนาดนี้ได้ยังไง

แม้แต่สาวเซ็กซี่ในรูป (ที่ขยายแล้วไม่ยักชัด) นางเดินมาจากตรงไหน   อยู่ได้ยังไงแม้แต่ไม่กี่นาทีตรงนั้น  สภาพมันทุรกันดารเกินกว่าจะเชื่อว่าหล่อนเดินเซ็กซี่อยู่ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
หรือหล่อนโผล่ขึ้นมาจากปล่องจากร่องไหน มาเที่ยวบนพื้นผิว  แต่ตัวเองอาศัยอยู่ภายในพื้นโลก   ถ้างั้นหล่อนน่าจะแต่งกายอย่างมนุษย์อวกาศ  ไม่ใช่แต่งตัวแบบนี้ ที่ดูไม่ปกป้องตัวเองจากสภาพแวดล้อมเอาเสียเลย

ก๊าซส่วนใหญ่บนดาวอังคารคือ คาร์บอนไดออกไซด์ ส่วน ออกซิเจน มีเพียง ๐.๑ เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิเฉลี่ยคือ - ๕๕ องศาเซลเซียส ซึ่งยากสำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีพื้นฐานทางชีววิทยาแบบมนุษย์หรือสัตว์บนโลกจะอาศัยอยู่ได้โดยไม่ดัดแปลงสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเสียก่อน แต่ถ้าตัดความคุ้นเคยต่อสภาพของสิ่งมีชีวิตบนโลก ลองคิดนอกกรอบ ชาวอังคารอาจอยู่ในสภาพที่เรานึกไม่ถึง เช่นในสภาพที่มนุษย์เรียกว่า "วิญญาณ" สามารถปรากฏเป็นรูปให้เห็นได้ตามที่ต้องการ สื่อสารกันทางโทรจิต  หรือในสภาพ ฯลฯ

ดูเป็นนวนิยายของ "แก้วเก้า" อีกแล้ว  ;)

คุณหมอเทพพนม เมืองแมนก็เคยพูดถึงมนุษย์ดาวอังคาร


อย่างน้อยมนุษย์ดาวอังคารก็มีชื่อเรียกคล้ายมนุษย์โลกอยู่เหมือนกัน  ;)

Paracital  และ Eddie
แสดงว่าโครงสร้างทางภาษาของมนุษย์ดาวอังคาร เหมือนภาษาอังกฤษ 
ชื่อเอ็ดดี้น่าจะออกอเมริกันด้วยซ้ำไป

เรื่องของท่านพาราซิทัล (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน  ;D)

ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๐ ผู้ติดต่อมาเป็นเสียงผู้หญิง ถามว่า..."พีระติ เจ้าลืมเผ่าพันธุ์ของเจ้าหมดแล้วหรือ ลืมดาวอังคารแล้วหรือ แต่เจ้าก็ลงมาอยู่ในโลกนี้  ๕ พันกว่าปีแล้ว ยังไม่อยากกลับบ้านของเราอีกหรือ..." สิ่งที่เล่าให้ฟังนี้ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ นอกจากบางครั้งอัดเสียงได้ทางโทรศัพท์ แต่ถ้าไม่ขออนุญาตก่อนก็อัดเสียงไม่ติด จะได้ยินแต่เสียงผู้เขียนพูดอยู่คนเดียว ผู้ขับขี่ยูเอฟโอ ที่ติดต่อมาเป้นคนแรก เป็นผู้หญิงนี้บอกว่า ชื่อ "พาราซิทัล" เขาบอกให้เรียกเขาว่า "มนุษย์ดาวอังคารก็แล้วกัน" เขาบอกว่า เขาได้รับมอบหมายให้มาช่วยโลกนี้ เมื่อเกิดภัยพิบัติ และตำแหน่งของเขาในดาวอังคารเป็น รองพระเจ้าแผ่นดิน เขาอธิบายสั้น ๆ ถึงเหตุผลที่มาติดต่อ...เพราะสายพันธุ์ เดียวกันจึงติดต่อด้วย และบอกว่าผู้เขียนเป็น เพื่อนสนิทของเขา เมื่ออยู่ดาวอังคารด้วยกัน เขาบอกว่ามนุษย์ต่างดาว มีทั้งกลุ่มที่ดี และกลุ่มไม่ดี แต่กลุ่มเขาเป็นกลุ่มดี หวังช่วยเหลือมนุษย์ทุกอย่างที่ทำได้ ไม่ได้มายึดครองโลกนี้เลย เขาได้เคยพาผู้เขียนขึ้นไปดูบนยานบินใหญ่ของเขา ๒ ครั้ง และพาไปดูที่ดาวอังคาร ๑  ครั้ง ไปทางจิต เห็นบ้านเป็นแก้วผลึก ยอดแหลม ๆ ทุกหลังอยู่ใต้ดิน ลึกลงไปหลายกิโลเมตร เขาชี้ให้ดูบ้านหลังหนึ่งที่ปิดตายอยู่ เขาบอกว่า นี่คือบ้านของท่าน ปิดตายมานานแล้ว เพราะเจ้าของบ้าน ภรรยาและลูกอีก ๒ คน ได้ลงมาปฏิบัติภารกิจในโลกมนุษย์นานแล้ว ไม่มีใครอยู่เลย

เขาอธิบายถึงการมาด้วยยานหรือจุติมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นการเวียนว่ายตายเกิดข้ามดาว ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ส่วนมากการเวียนว่ายตายเกิด จะเกิดเฉพาะในแต่ละดาวเท่านั้น ไม่ไปเกิดข้ามดาว สิ่งที่เล่ามานี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะพิสูจน์ได้ แต่ในอนาคตอาจมีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์เรื่องที่ได้รับการบอกเล่านี้ได้

ท่านพาราซิทัล เป็นผู้นำยานบินมาปรากฏมากที่สุด คำว่า "พาราซิทัล" เพิ่งทราบจากเพื่อนชาวอินเดีย ที่เชี่ยวชาญทางภาษาอินดีสโบราณบอกว่า แปลสั้น ๆ ว่า "เหนือมนุษย์" แต่ท่านพาราซิทัล ท่านก็บอกว่า ท่านไม่ใช่เทวดา พรหมหรือผี แต่เป็นมนุษย์ต่างดาว ซึ่งเป็นมนุษย์ชนิดหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในชั้นใต้ดินของดาวอังคาร มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์และศีลธรรม จริยธรรมสูงกว่ามนุษย์มาก มีอายุยืนหลายพันปี สามารถพิชิตโรคทุกชนิดได้หมดแล้ว

จานบินได้มาปรากฏให้ลูกชายผู้เขียนเห็นในเดือนมกราคม ๒๕๔๒ เมื่อเขากลับมาเยี่ยมบ้านจากสหรัฐอเมริกา ส่วนก่อนหน้านั้นในปี ๒๕๔๐ จานบินได้ไปปรากฏที่เมือง ฟิลาเดลเฟีย ที่ซึ่งลูกชายของผู้เขียนเรียนอยู่ จานบินนี้ถ่ายภาพได้ใกล้ ๆ ที่พักของเขา คือ Independence Hall ที่แสดง Liberty Bell ของสหรัฐ ท่าน "พาราซิทัล" บอกว่า จะช่วยดูแลให้ ไม่ต้องวิตก เขาอ้างว่า เขาบินด้วยวิธีเจาะมิติ ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ปรากฏที่เมืองฟิลาเดลเฟียได้แล้ว บินจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ ใช้เวลามนุษย์ ๑ นาที แต่ถ้าเป็นเครื่องบินโดยสารธรรมดาใช้เวลา ๕๕ นาที

จาก https://www.facebook.com/Ovni.Thailand.UFO.Alert/posts/212880925558106 (https://www.facebook.com/Ovni.Thailand.UFO.Alert/posts/212880925558106)

สรุปความว่า คุณหมอเทพพนมเองก็เป็นชาวอังคารจุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ เคยเป็นเพื่อนกับพระนางพาราซิทัล ราชินีแห่งดาวอังคาร คุณหมอเคยไปดาวอังคารทางจิตแล้วครั้งหนึ่ง เห็นหลังคาบ้านเรือนยอดแหลมเป็นแก้วผลึก ส่วนตัวบ้านอยู่ลึกลงไปใต้ดิน

พล็อตเรื่องนี้ของคุณหมอเทพพนมน่าสนใจ หากนำไปเขียนเป็นนิยายสักเรื่อง  ;)

เชิญคุณเพ็ญชมพูประเดิม  แก้วเก้าขอบาย

หน้าปกคงประมาณนี้  ;D

ข่าวจากรัสเซีย ก้ำกึ่งถึงระหว่างกระทู้ "สัตว์ประหลาด" กับกระทู้ "ต่างดาว"  ;D

ชาวบ้าน ๒ คนพบซากสัตว์ประหลาดตัวน้อยแม่น้ำ Kovashi ใกล้กับโรงผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ ในเมือง Sosnovy Bor ประเทศรัสเซีย โดยครั้งแรกที่พบเห็นนั้นพวกเขาคิดว่ามันคือซากตัวอ่อนไก่ที่กลายพันธุ์แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่ เมื่อพวกเขาได้นำไปให้นักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบแต่ยังไม่ยืนยันว่ามันคือซากของตัวอะไร นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า "ซากสัตว์ประหลาดนี้ไม่ใช่ทั้งสัตว์น้ำหรือสัตว์ปีก เพราะมันมีกะโหลกที่แปลกมากแถมยังไม่มีคอกับปีกด้วย"

Yegor Zadereev นักชีววิทยา แห่งสถาบันชีวฟิสิกส์ เมือง Krasnoyarsk  กล่าวแต่เพียงว่าจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดมากกว่านี้เพื่อระบุว่าเป็นลักษณะของสิ่งมีชีวิตชนิดใด

อย่างไรก็ตาม นักต่างดาววิทยาต่างมั่นใจว่า นี่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกแน่นอน โดย Scott C Waring บรรณาธิการของ "UFO Sightings Daily"กล่าวว่า "ซากเอเลี่ยนขนาดเล็กที่ถูกพบบริเวณแม่น้ำในรัสเซียนี้ ไม่มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ชนิดใดเลยที่อยู่บริเวณนั้น นักวิทยาศาสตร์รัสเซียกำลังถูกปั่นหัวว่ามันคืออะไรกันแน่และพวกเขาก็จะบอกแค่ว่ารอผลการตรวจสอบที่แน่นอน ซึ่งก็คงจะหนีไม่พ้นการตรวจดีเอ็นเอ อีกนั่นแหละ ผมว่านะ"

http://www.youtube.com/watch?v=c6FwelrDDZg#ws (http://www.youtube.com/watch?v=c6FwelrDDZg#ws)

เรื่องและภาพจาก  เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-3219351/Has-alien-corpse-Russia-Scientists-baffled-discovery-tiny-creature-mysterious-skull-no-neck-wings-near-nuclear-power-plant.html)

http://www.dailystar.co.uk/tech/news/463091/Ryan-Air-jet-near-miss-UFO (http://www.dailystar.co.uk/tech/news/463091/Ryan-Air-jet-near-miss-UFO)

WATCH: Terror as UFO appears to have near with miss with Ryanair jet


The close shave was apparently filmed by a Dutch passenger as the Ryanair jet made its way to Spain.

And it appears to show the plane makes a sharp turn to avoid the mystery object speeding towards it.

The engines can also be heard roaring into action as the small black UFO flies under the wing.

The video has has been uploaded onto a conspiracy YouTube channel called Lionsground, who are calling it a 'Hostile UFO captured by Dutch passenger.'

The channel states on its YouTube page: 'A Dutch passenger captured UFO on video while on board the Ryanair airbus Netherlands (Eindhoven), the Netherlands heading to Spain.

'After 4 minutes recording this UFO event happened.

'The engines made a lot of noise and the pilot made suddenly a sharp manoeuvre.'



ผู้โดยสารจับภาพทางหน้าต่างเครื่องบินได้ ว่ามียานอะไรสักอย่างพุ่งวื้ดผ่านไปด้วยความเร็วสูง  เชื่อว่าเป็น UFO
 (http://www.youtube.com/watch?v=KU4upjaQ8DY[/url)

ข่าวใหม่ ข่าวใหญ่ ของนาซา

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซา สหรัฐอเมริกา ประกาศว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของนาซา และมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐ มีการค้นพบใหม่มาจากยานสำรวจ "Mars Reconnaissance Orbitor" หรือ MRO พบร่องรอยของน้ำเค็มบนพื้นผิวของดาวอังคาร จากการวิจัยพื้นที่แถบเส้นตรงยาวสีดำ ส่วนที่เป็นเนินลาดชัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เป็นรอยตะกอนเกลือ เกิดจากการไหลของน้ำเกลือ ซึ่งรอยเหล่านี้ปรากฏชัดในช่วงที่อากาศอบอุ่น และค่อย ๆ จางลงในช่วงอากาศหนาว สอดคล้องกับจุดเยือกแข็งและจุดระเหยของน้ำ ซึ่งการค้นพบเป็นการบ่งชี้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ซึ่งอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ออกไปถึง ๒๒๕,๓๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร

คณะนักวิทยาศาสตร์ของนาซา กล่าวว่า แถบยาวก่อตัวจากการไหลของน้ำเค็ม เพราะมีลักษณะรูปทรงเหมือนกันกับการไหลของน้ำ บนพื้นผิวดินของโลก ทั้งนี้ นักวิจัยทราบมาหลายปีแล้วว่า ดาวอังคารมีน้ำในสภาพเป็นน้ำแข็งที่ขั้วโลก และเมื่อไม่นานมานี้ ก็ค้นพบแอ่งน้ำขนาดเล็กที่ดูเหมือนก่อตัวบนพื้นผิวตอนกลางคืน ซึ่งน้ำที่เป็นของเหลวนี้จะอยู่ใต้พื้นผิวดาวลงไปเล็กน้อย ส่วนการค้นพบล่าสุด มีความสำคัญคือเป็นน้ำที่มีการไหลเวียน

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ อัลเฟรด แม็คอีเวน แห่งมหาวิทยาลัยแอริโซนา สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ที่ใดก็ตามที่มีน้ำตามธรรมชาติ ที่นั่นจะมีสิ่งมีชีวิต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะเป็นความจริงสำหรับดาวอังคาร และหากดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จริง มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทจุลินทรีย์

ข่าวจาก ช่อง ๓ (http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/141295/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3.html)

http://www.youtube.com/watch?v=YM8f6l2Fubw#ws (http://www.youtube.com/watch?v=YM8f6l2Fubw#ws)

ที่ใดมีน้ำ ที่นั่น (น่าจะ) มีชีวิต   ;D

http://metro.co.uk/2015/10/12/lizard-men-abducted-me-to-the-moon-for-sex-woman-claims-5434998/ (http://metro.co.uk/2015/10/12/lizard-men-abducted-me-to-the-moon-for-sex-woman-claims-5434998/)

ผู้หญิงในรูปนี้ ให้สัมภาษณ์ว่าเธอถูกมนุษย์ต่างดาวบนดวงจันทร์ลักตัวไปใช้แรงงาน และบำเรอทางเพศด้วย

A former U.S. air force radar operator was abducted to the moon by lizard men for nightly sex – and was also forced to stack boxes.

What our reptilian overlords want with these sinister boxes can only be guessed at.

Niara Terela Isley is just one of several witnesses quoted by Alien UFO Sightings in an expose of the U.S. military’s secret moon bases – where reptiles rule, and humans are passed around like sex toys.

Isley believes her mind was wiped after the horrible events in 1980 (described in her books) – and she only remembered under hypnosis.

Isley said, ‘I was very poorly fed and worked hard during the day cycle, operating some kind of electronic equipment for excavation at times, and doing physical manual labor at others, such as lifting and stacking boxes.
‘Worst of all, I was used for sex during what passed for night there, from man to man.

Read more: http://metro.co.uk/2015/10/12/lizard-men-abducted-me-to-the-moon-for-sex-woman-claims-5434998/#ixzz3oYSwKDYh (http://metro.co.uk/2015/10/12/lizard-men-abducted-me-to-the-moon-for-sex-woman-claims-5434998/#ixzz3oYSwKDYh)

Read more: http://metro.co.uk/2015/10/12/lizard-men-abducted-me-to-the-moon-for-sex-woman-claims-5434998/#ixzz3oYSfaOEy (http://metro.co.uk/2015/10/12/lizard-men-abducted-me-to-the-moon-for-sex-woman-claims-5434998/#ixzz3oYSfaOEy)

ล่าสุด มาอีกแล้ว  เทวรูปบนดาวอังคาร

 (http://www.youtube.com/watch?v=TrPeY7bzbww[/url)

รูปจริงกับรูปขยาย และเสริมให้ชัดขึ้น

หลาย ๆ กรณีก้อนหินบนดาวอังคารเข้าลักษณะที่คุณศิลาเคยอธิบาย


ในคลิปของคุณเทาชมพู ผู้บรรยายมองเป็น "เทวรูปดาวอังคาร"  ในขณะที่หลาย ๆ สื่อของฝรั่ง อย่างเช่น เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-3273226/Now-alien-hunters-think-ve-seen-Buddha-statue-Mars-Latest-ridiculous-claim-used-prove-existence-ET.html) เดลีมิร์เรอร์ (http://www.mirror.co.uk/news/weird-news/buddha-statue-spotted-mars-held-6635543) หรือ เดอะซัน  (http://www.thesun.co.uk/sol/homepage/features/6692982/Is-this-Buddha-statue-the-latest-proof-of-life-on-Mars.html) มองเป็น "พระพุทธรูป"

ฝรั่งอาจคุ้นเคยพระพุทธรูปแบบ "พระสังกัจจายน์" มากกว่าพระพุทธรูปแบบไทย ๆ  ;D

ลองขยายภาพ และเพิ่มความเข้มเพื่อดูลักษณะหินให้ชัดๆ
ในเรือนไทย ใครเป็นนักธรณีวิทยาบ้างคะ     ช่วยดูหน่อยว่าหินลักษณะนี้ เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติเช่นเดียวกับหินรอบๆ  และเป็นหินลักษณะเดียวกันกับหินโดยรอบก็ได้
หรือคุณหมอเพ็ญ และคุณหมอท่านอื่นๆจะช่วยดูก็ไม่ขัดข้องค่ะ

ดิฉันพยายามหาภาพมุมอื่นจากกล้องสำรวจ  แต่หาไม่เจอ   ถ้าหามุมอื่นได้จะชัดเจนขึ้นว่าเป็นแค่หิน หรือซากหลงเหลือของรูปสลัก

ขยายเฉยๆ ไม่เพิ่มความเข้ม

นี่ก็  pareidolia  อีกตัวหนึ่งบนดาวอังคาร  ตามความเห็นของคุณเพ็ญชมพู?
บางคนเรียกมันว่า space crab หรือปูอวกาศ

ก็ไม่อาจฟันธงลงไปได้ว่าเป็นตัวอะไร หรือแค่เงาหินประหลาดๆอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น

อีกรูปหนึ่งค่ะ

พระสงฆ์(?) บนดาวอังคาร

 (http://www.youtube.com/watch?v=HbmKB_4koLE[/url)

งูขาวบนดาวอังคาร

 (http://www.youtube.com/watch?v=KJRUBNam4Lc[/url)

คน? หรือลิง?

 (http://www.youtube.com/watch?v=IzGV2Jr9H-A[/url)

หลายๆรูปดูก็น่าจะเป็นแค่หินนะครับ

ครับผม  เพิ่งกลับมาเข้านั่งในห้องครับ ได้ยิน อ.ใหญ่เปรยถึง เลยต้องรีบยกมือขานรับเพื่อให้ความเห็นครับ

ความเป็นจริง การมีอยู่จริง และการมีการเกิดขึ้นอย่างเป็นปรกติจริง ที่ทำให้เกิดเป็นภาพปรากฎให้เราได้เห็นบนพื้นผิวของวัตถุต่างๆที่ลอยอยู่ในระบบสุริยะจักรวาลนั้น ล้วนมาจากกระบวนการและกลใกพื้นฐานของกระบวนการ weathering & erosion (การทำให้ผุพัง และ การกัดกร่อน) ที่ได้พลังมาจากเรื่องของ gravity (การชักกะเย่อกัน ฯลฯ)  เรื่องของ pressure & tension (การอัดกันผลักกัน ฯลฯ) และในเรื่องของ transportation (นำพาเศษออกไปโดยตัวกลางใดๆ ฯลฯ)     

ในความเห็นของผมนะครับ

ภาพที่บันทึกโดยยานสำรวจของมนุษย์ที่ส่งลงไปบนดาวเคราห์ต่างๆ ที่นัก UFO ขุดคุ้ยและนำออกมาแสดงกันนั้น  น่าจะเป็นผลจากมุมกล้องและทิศทางของแสงในขณะที่ถ่าย และรวมถึงการเคลื่อนที่ของยานหุ่นยนต์ที่ส่งลงไปที่มีกล้องติดอยู่นั้นๆอีกด้วย

ผมเห็นว่า ภาพที่ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตในภาพต่างๆที่ได้ซูมลงไปดูกันนั้น ล้วนเป็นผลมาจากการะบวนการ weathering & erosion  ซึ่งในบ้า่นเราเองก็มีดังที่ได้เห็นอยู่บ่อยๆตามสภานที่ต่างๆ (ที่มีตำนานและจินตนาการกล่าวถึง) ในบ้านของเรา     

คุณตั้งกลับมาทันเวลาไขปริศนาดาวอังคารพอดี
ยังสงสัยเรื่องหินบนดาวอังคารอยู่ค่ะ  บางก้อนมันเหมือนไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ แต่มีมือมนุษย์เกลาให้เป็นรูปทรงต่างๆ
รวบรวมไว้ในรูปข้างล่างนี้ค่ะ

รูปนี้เขาเรียกว่า โลงศพบนดาวอังคาร

รูปทรงต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น นอกจากส่วนหนึ่งที่เป็นผลมาจากกระบวนการ weathering & erosion (=กระบวนการปฏิมากรรม)แล้ว ก็ยังขึ้นอยู่กับวัสดุที่ถูกกระทำอีกด้วยครับ

วัสดุที่กล่าวถึงนี้ ก็คงจะต้องมองลึกเข้าไปถึงเนื้อในของมัน ซึ่งก็มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ เนื้อแบบลาบอิสาน (ตกผลึกมาจากหินหลอมเหลว) เนื้อแบบขนมชั้น (ถูกนำพามาเททับถมกันเป็นชั้นๆ) และเนื้อแบบกองขยะฝังกลบ (ถูกไถพรวนบดอัด)    ซึ่งก็คือ หินสามชนิด_หินอัคนี หินชั้น และหินแปร

เมื่อเกิด erosion & weathering     เนื้อแบบหินอัคนีนั้น จะให้ผลในลักษณะเป็นทรงโค้ง_curvature  และทรงมน_spheroidal     เนื้อแบบหินชั้นจะให้ผลในลักษณะเป็นแผ่นเป็นกาบ_exfoliation     ในขณะที่เนื้อแบบกองขยะฝังกลบจะให้ผลในลักษณะเป็นกะบิ_chip

นั่นเป็นภาพกว้างรวมๆ  แต่ในภาพละเอียดลงไปของแต่ละวัสดุที่มีเนื้อแบบลาบ แบบชั้น และแบบถูกพรวนนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีบางบริเวณที่มีเนื้อในลักษณะอื่นๆคละอยู่ด้วย    ซึ่งไปทำให้เกิดความต่างในระดับของผลจากกระบวนการ weathering & erosion

ครับ ก็เป็นผลทำให้เกิดเป็นรูปทรงที่มิได้คาดคิดขึ้นได้

ต่ออีกนิดนึงครับ

ลืมกล่าวถึงว่า การเคลื่อนที่ของวัตถุก็ทำให้เกิดรูปทรงต่างๆได้มากมายเช่นกัน (โดยการกลิ้งมา_rolling  โดยการลอยตกลงมา_floating   โดยการถูกกระแทกให้กระเด็นมา_saltation   โดยการตกลงมาจากที่สูง_falling  ฯลฯ)

หลักง่ายๆแรกๆก็คือ ก้อนเล็ก ก้อนกลมมาไกลจากแหล่งกำเนิด ก้อนเหลี่ยม ก้อนใหญ่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิด
 
เป็นหลักที่ดูง่ายดีนะครับ
 
แต่เนื่องจากสิ่งที่เราเห็นนั้น มันเป็นผล+เรื่องราวที่มันได้ประสบพบมา ดังนั้น ก็เลยจะต้องใช้ตัวมันเพื่อสืบย้อนกลับ เพื่อจะได้เห็นภาพและเข้าใจภาพและเรื่องราวในอดีตตั้งแต่การเกิดของมันจนมาถึงวันที่เราได้พบเห็นมัน
พวกวิชาชีพแบบผมก็เลยต้องเรียนหลายวิชา แยกเป็นเรื่องๆเฉพาะเจาะจงลงไป เช่น เรื่องของตัววัสดุที่เป็นตะกอน เรื่องของวิธีการถูกนำพาไปโดยลม โดยน้ำ โดย...ฯลฯ    เรื่องทางเคมีและฟิสิกส์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ..... เรื่องวิถีชีวิต/วัฎจักรของตัวตะกอน   ฯลฯ

ที่กล่าวมานี้ เป็นเรื่องของความรู้ที่เรียนรู้ในเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกของเรา  ในต่างดาวที่มีความต่างออกไปทางสภาพแวดล้อมทางเคมี/ฟิสิกส์ ก็จึงเป็นเพียงการให้ความความเห็นแบบอนุมาณไปตามหลักการ           

ขอบคุณค่ะคุณตั้ง ได้ความรู้เยอะเลย

ด้วยความยินดีครับ   

ก็เป็นความเห็นที่ทางวิชาการที่ผมพอจะมีครับ  บวกกับที่เคยได้อ่านและที่เคยได้ฟังนักบินอวกาศที่เป็นนักธรณีฯที่เคยไปเหยียบบนดวงจันทร์ได้มาบรรยายเมื่อครั้งไปเรียนหนังสือครับ    ซึ่งก็เป็นความโชคดีที่ด้วยว่า Prof. ท่านหนึ่งที่สอนอยู่ที่ภาควิชาสาขาที่ผมเรียน เป็นหนึ่งในคณะนักวิชาการที่ทำการศึกษาวิจัยเรื่องต่างๆที่สามารถอ่านได้จากการวิเคราะห์วิจัยตัวอย่างหินที่นำกลับมาจากดวงจันทร์

บนดาวอังคาร หินเคลื่อนที่ได้ด้วยค่ะ

 (http://www.youtube.com/watch?v=_Br5ScGKZuY[/url)

ผมมีความล้าหลังในด้านเทคโนโลีมากพอสมควร  แต่ก็พอจะตามติดได้ว่า manipulation software นั้น มันมีอยู่มีมากมาย   

โดยพื้นฐานแล้ว การสร้างภาพด้วยข้อมูลระยะไกลที่เรียกว่าการถ่ายภาพทางอากาศ หรือในระบบที่เรียกว่า remote sensing นั้น  ไม่ว่าจะเป็นระบบ analog หรือ digital ก็ตาม  เมื่อจะสร้างให้เกิดเป็นภาพสามมิติได้ จะต้องใช้ข้อมูลของจุดเดียวกันที่เก็บมาได้จากอย่างน้อยจากสองตำแหน่งที่เก็บข้อมูล เพื่อทำให้ข้อมูลมีความทับซ้อนเหลื่อมกัน  แล้วนำข้อมูลจากสองจุดที่ทับซ้อนเหลื่อมกันนั้นมาวางเรียงในระยะที่ตาของเราทั้งสองข้างเห็นข้างละภาพ แล้วก็มองไปไกลแบบ infinity  เราก็จะเห็นภาพนั้นเป็นภาพสามมิติ (กว้าง-ยาว-สูง)

และซึ่งโดยหลักแล้ว เราจะเห็นภาพสามมิติได้ชัดเจนอย่างมีความต่อเนื่องตามเส้นทางที่ได้ทำการบันทึกข้อมูล (แต่ละ strip)  ส่วนสำหรับภาพสามมิติที่ต่อเนื่องระหว่าง strip นั้น (ด้านข้าง)จะมีพื้นที่รอยต่อที่แคบมาก   ทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามหลักของวิชา Photogrammetry ที่นักวิชาการภูมิศาสตร์เขาใช้ทำแผนที่ภูมิประเทศกัน

การสร้างภาพสามมิติของพื้นที่หนึ่งหรือจุดๆหนึ่งที่จะสามารถมองได้อย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงของทิศทางและเชิงระดับความสูงจึงมีข้อจำกัดมาก     ซึ่งผมเห็นว่าจะต้องใช้ระบบ extrapolate จึงจะสามารถสร้างภาพสามมิติแบบมองได้รอบด้าน ผนวกกับสามารถมองภาพในมุมก้มกับมุมเงยได้  ซึ่งก็หมายความว่า มีภาพหลายส่วนที่เริ่มเป็นภาพที่มิใช่เป็นถ่ายมาจากของจริง 

ผมมิได้ไม่เชื่อเรื่องของ UFO   แต่มีเรื่องของ UFO มากมายที่เป็นเรื่องสร้างขึ้นมา 

สำหรับตัวผมนั้น  ผมเห็นว่า เรื่องของ UFO ในยุค analog นั้น ดูจะมีเรื่องน่าเชื่อมากกว่ายุค digital ครับ 

ภาพ "มนุษย์ดวงจันทร์" ปีที่แล้วยังไม่ใคร่ชัด


http://www.youtube.com/watch?v=9wrTkK2p3B0#ws (http://www.youtube.com/watch?v=9wrTkK2p3B0#ws)

มาปีนี้ชัดขึ้นเยอะ  ;D

http://youtube.com/watch?v=Yy6t8oJ0olY#ws (http://youtube.com/watch?v=Yy6t8oJ0olY#ws)

ในข่าวบอกว่าคลิปวิดีโอนี้ถูกแอบลักลอบนำออกมาจากโครงการบลูบุ๊ก (Blue Book Project) ซึ่งเป็นโครงการที่รวบรวมรายงานเก่ียวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือ ยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาวของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า มีมนุษย์ต่างดาวผอม ๆ สูง ๆ อยู่บนดวงจันทร์ ระหว่างที่ยานอวกาศอพอลโล ๑๑ นำนักบินอวกาศของสหรัฐฯ ๓ คน ขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์เมื่อ ๔๖ ปีก่อน

คลิปวิดีโอนี้ อ้างว่าเป็นภาพถ่ายบนฟิล์มขนาด ๑๖ มม. ที่เกิดขึ้นในช่วง ๒ นาที ที่สัญญาณวิทยุเงียบหายไป ระหว่างมีการถ่ายทอดสดนาทีแห่งประวัติศาสตร์ ช่วงเวลาที่นักบินอวกาศสหรัฐฯ จากยานอพอลโล ๑๑ ลงไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกเมื่อ ๒๐ ก.ค. ๒๕๑๒

ข่้อมูลจาก http://www.thairath.co.th/content/535454]ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/535454)

ล่าสุด  พบหนูยักษ์บนดาวอังคาร



ึคุณหมอเพ็ญชมพูพอจะดูออกไหมคะ   ว่าเป็นหนู หรือก้อนหิน (http://www.youtube.com/watch?v=qJR3t3WUCF0[/url)

รู้สึกบนดาวอังคารจะมีหนูอยู่ชุกชุมทีเดียว  ๒ ตัวข้างล่างนี้อยู่ที่หน้าแรกของกระทู้ ชัดกว่าตัวล่าสุดของคุณเทาชมพูเสียอีก  ;D

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2013/05/29/article-2332516-1A0B1EAF000005DC-760_634x630.jpg) (http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=40526;image)

หนูยักษ์ข้างบนนี้  ไม่น่าเป็น pareidolia  แต่อาจเป็นอีกอย่างคือ photoshopolia

เคยคิดอย่างคุณหมอเพ็ญตอบเหมือนกันว่า สัตว์ประหลาดหรือแม้แต่นางในชุดดำที่มายืนโชว์อยู่ไม่นานมานี้ อาจเป็นสายพันธุ์แตกต่างจากสัตว์โลก  ไม่ต้องการออกซิเจนในการหายใจ  เลยท่องเที่ยวอยู่บนผิวดาวอังคารได้
แต่มาสงสัยในแง่ที่ว่า ธรรมชาติออกแบบอวัยวะของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างก็เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม  เช่นปลาอยู่ในน้ำ  เลยไม่มีจมูกเพราะขืนมี หายใจที น้ำก็เข้าไปท่วมจมูก  เลยถูกออกแบบให้มีเหงือกแทน
ตัวหนูบนดาวอังคาร และตัวนางในชุดดำที่ฝรั่งเรียกว่า The dark lady on Mars  ล้วนมีอวัยวะแบบเดียวกับสัตว์โลก   เห็นในรูปหนูก็มีขนฟูเหมือนหนูบนโลก  มีหัวจมูกปากอะไรก็เหมือนหนูบนโลก  ระบบอวัยวะภายในมันก็น่าจะเหมือนกัน    ดูๆแล้วมันไม่น่ารอดอยู่ได้บนพื้นผิวที่มีแต่ก้อนหิน อากาศก็ไม่มี   ถ้ามันกินก้อนหินแทนพืช  ระบบกระเพาะอาหารของมันจะถูกออกแบบมาให้เหมือนหนูที่กินพืชหรือ
ถ้ามันไม่ต้องการอากาศหายใจ   เส้นเลือดของมัน หัวใจของมัน  จะใช้อะไรบนพื้นผิวช่วยในการหายใจ

คุณหมอเพ็ญพอสันนิษฐานได้ไหมคะ

เรื่องจริง : ข้อมูลของ นาซา (http://www.vcharkarn.com/vnews/503559) จากยานสำรวจมาเวน MAVEN (Mars Atmosphere and Volatile Evolution) ทำให้เราทราบว่าแต่เดิมดาวอังคารเคยมีชั้นบรรยากาศหนาแน่นเอื้อต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตที่มีพื้นฐานทางชีววิทยาคล้ายกับสิ่งมีชีวิตบนโลก สิ่งที่ทำให้ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารในปัจจุบันเบาบางลงคืออิทธิพลของ พายุสุริยะ (solar storm)

เรื่องมโน : หากปัจจุบัน มีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารจริง อาจเป็นไปได้ ๓ ทางคือ

๑. สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีพื้นฐานทางชีววิทยาต่างจากสิ่งมีชีวิตบนโลกดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

๒. หากสิ่งมีชีวิตนั้นมีพื้นฐานทางชีววิทยาเหมือนกับบนโลก อาจจะอาศัยอยู่ใต้ดิน

๓. ชาวอังคารที่เคยมีชีวิตอยู่นานมาแล้วครั้งดาวอังคารยังอุดมสมบูรณ์อยู่ และเมื่อเสียชีวิตไปจึงแปรสภาพเป็นสภาวะที่มนุษย์บนโลกเรียกว่า "วิญญาณ" มีการติดต่อกันทางจิต และสามารถสร้างภาพที่คล้ายมนุษย์หรือสัตว์บนดาวอังคารให้เราเห็นเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

"จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้   ;D  

คิดว่าข้อ 2 น่าจะเป็นไปได้   แต่ถ้าถาม "แก้วเก้า"  ข้อ 3 เจ๋งสุด

ข้อ ๒ ถ้าเขียนพล็อตเรื่องดี ๆ อย่างข้างล่างนี้ ก็น่าจะเจ๋งเหมือนกัน ฝากแก้วเก้ารับไว้พิจารณา  ;)

ไม่ละค่ะ  มิบังอาจเอาพระนางพาราฯไปเขียน
เรื่องนี้  ลิขสิทธิ์เป็นของคุณหมอเทพพนมแต่ผู้เดียว ค่ะ

อย่างน้อยก็ได้คำตอบว่า หนูยักษ์ก็ดี  หนูหรือกระต่ายหรือตัวอะไรขนปุยๆที่วิ่งอยู่บนพื้นผิวดาวอังคารก็ดี    มันคงหลุดจากใต้ดินขึ้นมาเป็นครั้งคราวน่ะเอง
ไม่ใช่วิญญาณหนู อย่างที่คุณเพ็ญชมพูวิเคราะห์ไว้

ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกับพระนางพาราซิทัลรึเปล่า  เรียกพระนางพาราเซตตามอลไปก่อนละกัน
สังเกตว่า ก้อนหินต่างๆชัดมาก  แต่พระนางในรูปนี้ดูเบลอๆ  เหมือนมีสองมิติเท่านั้น   ท่านสมาชิกว่างั้นไหมคะ

ออกแบบหน้าปกไว้ เผื่อนักเขียนหน้าใหม่ท่านใดสนใจนำพล็อตนี้ไปเขียนเป็นนิยาย แต่อย่าลืมขอลิขสิทธิ์คุณหมอเทพพนมก่อนล่ะ   ;)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=58679;image)

อาคารทรงโดมบนดาวอังคาร
จะว่าเป็นภาพลวงตา pareidolia  อีกไหมคะ

ซูมภาพเข้าไป

นักสืบดาวอังคารค้นพบทางเข้าเมืองใต้ดินบนดาวอังคารเข้าให้แล้ว โดยการซูมภาพพื้นผิวดาวอังคารของโปรแกรม Google Earth

http://www.youtube.com/watch?v=nKNrEbQQFzQ#ws (http://www.youtube.com/watch?v=nKNrEbQQFzQ#ws)

มีคำอธิบายว่าภาพทางเข้าเมืองใต้ดินนี้ไม่ใช่ภาพจริง แต่เกิดจากการแสดงภาพบน Google Earth บนรอยต่อเมื่อภาพ ๒ ภาพมาบรรจบกัน ซึ่งสามารถพบได้บนดวงจันทร์ได้เช่นกัน

คำอธิบายนี้ถูกต้องหรือไม่ ต้องถาม ดร.ประกอบ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์  ;D

ข้อมูลจาก express.co.uk (http://www.express.co.uk/news/science/624851/Mars-Underground-bases-NASA-openings-Red-Planet)

ย้อนกลับมาที่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี่เองค่ะ  มีปิรามิดโผล่ขึ้นมา  และยังมียูโฟแถมมาอีกด้วย

Huge Pyramid emerges in Bermuda Triangle with Glowing UFO - Dec 2015 !!!

 (http://www.youtube.com/watch?v=4LJL2aeieK4&feature=youtu.be[/url)

สุขศรีปีใหม่ ชาวโลก   ;D

นักโบราณคดีขุดพบวัตถุประหลาดที่ดูคล้ายกับโทรศัพท์มือถือ ในเขตเมือง Fuschl am See ใน ซัลซเบิร์ก ประเทศออสเตรีย โดยมีสัญลักษณ์บนปุ่มกดเป็นตัวอักษรคูนิฟอร์ม หรือ ตัวอักษรรูปลิ่ม ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ถูกใช้มาตั้งแต่สมัยเมโสโปเตเมีย ในยุคหลายพันปีก่อนคริสตกาลหลังจากตรวจสอบอายุของมันพบว่า เจ้าวัตถุประหลาดนี้น่าจะเป็นแผ่นจารึกอายุราว ๘๐๐ ปี

การค้นพบวัตถุชิ้นนี้ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะมันถูกพบในออสเตรีย แทนที่จะเป็นอิหร่านหรืออิรักที่เคยเป็นดินแดนเมโสโปเตเมียของชาวสุเมเรียน

Scott Waring นักสืบอวกาศ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ UFO Sighting Daily กล่าวว่านี้เป็นหลักฐานว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกพร้อมกับสร้างอารยธรรมให้กับดินแดนโบราณแห่งนี้

คุณเชื่อหรือไม่   ;)

http://www.youtube.com/watch?v=URMMajelQ1Q#ws (http://www.youtube.com/watch?v=URMMajelQ1Q#ws)

ข่าวจาก เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-3379210/An-800-year-old-mobile-phone-left-ALIENS-Austria-according-latest-bizarre-claims-conspiracy-theorists.html)

สวัสดีชาวต่างดาว

ไม่เชื่อค่ะ    หน้าตาเหมือนก๊อปไกลๆ เสิ่นเจิ้นไปอีก

ดูเหมือนจะได้คำตอบแล้วว่า โทรศัพท์มือถืออายุ ๘๐๐ ปีนั้นมีที่มาอย่างไร

เว็บ snopes.com (http://www.snopes.com/alien-cellphone-found/) เฉลยว่าเป็นฝีมือของ ๒ นักแกะสลักชาวเยอรมัน Karin and Karl Weingärtner แห่ง the Art Replik Studio ทำขึ้น  และลงภาพพร้อมเรื่องราวในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ ๗ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕  (https://www.facebook.com/Art.Replik.Atelier/photos/pb.343615095664068.-2207520000.1451931647./352856251406619/?type=3&theater) และมีอีกภาพหนึ่งเรียกโทรศัพท์นี้ว่า "BablyoNokia"  ;D

ฮือฮา! “ฮิลลารี” รับเชื่อเอเลี่ยนมีอยู่จริง ลั่นเปิดโปงข้อมูลมนุษย์ต่างดาวหากได้เป็น ปธน.

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000001476 (http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000001476)

6 มกราคม 2559 04:01 น. (แก้ไขล่าสุด 6 มกราคม 2559 10:20 น.)
ฮือฮา! “ฮิลลารี” รับเชื่อเอเลี่ยนมีอยู่จริง ลั่นเปิดโปงข้อมูลมนุษย์ต่างดาวหากได้เป็น ปธน.
ภาพเอพี-ภาพถ่ายที่อ้างกันว่าเป็นซากของมนุษย์ต่างดาวที่ถูกพบหลังมีอากาศยานไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ตกในนิวเม็กซิโกเมื่อปี 1947
        เดลีสตาร์/เอ็กซ์เพรส - นางฮิลลารี คลินตัน ผู้หวังเป็นผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ เชื่อว่าเอเลี่ยนมีอยู่จริง พร้อมประกาศค้นหาความจริงและเปิดโปงข้อมูลทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกาเกี่ยวกับยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว หากว่าเธอได้ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ประธานาธิบดี
      
       ภรรยาของบิล คลินตัน ผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิดีสหรัฐฯ ระหว่างปี 1993 ถึง 2001 เปิดเผยถึงความเชื่อในเรื่องดังกล่าว ระหว่างให้สัมภาษณ์ขณะกำลังหาเสียงเลือกตั้งลุ้นเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี
      
       เธอให้สัมภาษณ์ว่าหากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เธอจะเดินหน้าขุดคุ้ยหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเอเลี่ยนและเปิดเผยในสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ รู้ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้น ณ พื้นที่ 51 ฐานทัพทหารและพื้นที่ต้องห้ามในรอสเวลล์ นิวเม็กซิโก ที่แม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังไม่มีสิทธิเข้าไป จุดที่พวกนักทฤษฎีสมคบคิดยูเอฟโอเชื่อว่ามันเป็นที่ซ่อนหลักฐานด้านเทคโนโลยีของเอเลียน
      
       นานหลายปีแล้วที่พวกนักทฤษฎีสมคบคิดและเหล่านักยูเอฟโอวิทยากล่าวอ้างว่า รัฐบาลชาติต่างๆ มีหลักฐานการมาเยือนโลกของเหล่าเอเลี่ยน แต่พวกเขาต้องปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้สาธารณชนทราบ สืบเนื่องจากความกังวลว่ามันอาจก่อผลกระทบทางศาสนาและหลักนิติธรรม
      
       ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าวรายหนึ่งที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นยูเอฟโอ ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งในนิวแฮมป์เชียร์ ทางคลินตัน บอกว่า “ใช่ ดิฉันจะสืบค้นเรื่องนี้” พร้อมทั้งยอมรับแม้กระทั่งว่าบางทีสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจเคยมาเยือนโลกนี้แล้ว “ฉันคิดว่าบางทีอาจมีผู้มาเยือนเราแล้วก็เป็นไปได้ แต่แน่นอนว่า เราคงไม่รู้หรอก”
      
       อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เล่าต่อว่าเธอจะพยายามจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเข้าสืบสวนพื้นที่ 51 จุดที่ผู้ที่เชื่อในยูเอฟโออ้างว่ามีซากอากาศยานไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ตกในนิวเม็กซิโกเมื่อปี 1947 และพบศพของมนุษยต่างดาวที่มีสภาพสมบูรณ์
      
       นางคลินตัน และบิล คลินตัน เคยกล่าวอ้างว่าจะพยายามกดดันให้มีเปิดเผยเอกสารยูเอฟโอมาก่อน ทว่ามันก็ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ในสมัยที่ฝ่ายหลังครองอำนาจอยู่ในทำเนียบขาว
      
       บิล คลินตัน ยอมรับว่าครั้งหนึ่งเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาเคยสืบสวนคำกล่าวอ้างเกี่ยวกับพื้นที่ 51 และแม้มีการพัฒนาเทคโนโลยีล่องหนอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่พบความเชื่อมโยงกับมนุษย์ต่างดาว

ถ้าหากคุณนายคลินตันต้องการจะทำเรื่องนี้จริง คงสำเร็จไปตั้งแต่สมัยคุณคลินตันผู้สามีเป็นประธานาธิบดีแล้ว เรื่องนี้น่าจะเป็นเพียง "มนต์การเมือง" สไตล์อเมริกัน เพื่อการหาเสียงเท่านั้นเอง  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=Xk-9KsKwvec#ws (http://www.youtube.com/watch?v=Xk-9KsKwvec#ws)

ดร.เทพนมติดต่อร่างทรงมนุษย์ต่างดาวบนดาวอังคาร   ผ่านมือถือสดๆ
มีล่ามแปลภาษาต่างดาวให้ด้วย!!
http://petmaya.com/%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3 (http://petmaya.com/%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3)



ขอให้ติดตามจนถึงตอนท้าย มีฉ็อทเด็ดด้วยค่ะ (http://www.youtube.com/watch?v=e1SZrgOfbTg[/url)

ต้องยอมรับว่าอาจารย์เทพนมมีต้นทุนทางสังคมสูงทีเดียว พูดเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวทีไรก็เป็นข่าว  คราวนี้เป็นข่าวดังเสียด้วย น่าสงสัยว่าทุนความน่าเชื่อถือของอาจารย์จะหมดไปหลายอยู่เหมือนกัน  ;D

http://www.youtube.com/watch?v=ocR5hJt7934#ws (http://www.youtube.com/watch?v=ocR5hJt7934#ws)

พูดสั้นๆ
"ไม่เชื่อ"

จบ

 (http://www.youtube.com/watch?list=PLkebytXYmhtnaKb2tJcm2YrpQRGJBC_31&v=essWERljEb0[/url)

Bridget Nielson และ Aluna Verse  ๒ สาวชาวมะกันมีทีเด็ดยิ่งกว่าอาจารย์เทพนมเสียอีก นอกจากจะติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว ยังมี "ตัวเล็ก ๆ" ด้วยกันอีกด้วย  ;D

Bridget วัย ๒๗ ปี เล่าว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นได้มาคัดเลือกมนุษย์เพื่อต้องการสร้างลูกผสมระหว่างเผ่าพันธุ์ของต่างดาวและมนุษย์โลก มีผู้หญิงหลายคนสมัครใจที่จะติดต่อและมีสัมพันธ์กับมนุษย์ต่างดาว โดยเธอได้ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว จนกระทั่งถึงเคยมีลูกกับพวกต่างดาวถึง ๑๐ คน (หรือตนดี ?)

ส่วน Aluna วัย ๒๓ ปี มีลูกกับมนุษย์ต่างดาว ๓ คน(ตน) เธอได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวตัวเขียวขณะที่กำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง แต่เมื่อทันทีที่เธอสบตาเขา ก็กลับมีอารมณ์ที่พุ่งพล่านจนไม่สามารถหยุดหรือควบคุมอารมณ์ของเธอได้ ทำให้เธอมีเซ็กซ์กับมนุษย์ต่างดาวตนนั้นต่อหน้าคนในห้องเรียน และก็แปลกที่คนในห้องเรียนไม่มีทีท่าสนใจเธอและคู่ขาเลย

ทั้งสองยังกล่าวอีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าจดจำและจะไม่ลืมเลือนเลย  อีกทั้งเธอยังคงรู้สึกเศร้าใจทุกครั้งที่นึกถึงลูก เพราะเธอไม่ได้มีโอกาสที่จะได้อยู่กับลูกของเธอ แต่จะต้องไปอยู่กับเด็กที่เป็นลูกผสมยังที่อื่น ดังนั้นเธอจึงมีเพียงรูปภาพที่เขียนวาดขึ้นจากความทรงจำของเธอเอาไว้ดูต่างหน้าเท่านั้น

เรื่องและรูปจาก เดอะซัน (http://www.thesun.co.uk/sol/homepage/features/6874426/We-had-sex-with-aliens-and-gave-birth-to-their-babies-Girls-make-bizarre-UFO-abduction-claim.html)

ชาวเรือนไทยเชื่อเธอทั้งสองหรือไม่ หากเชื่อยกมือขึ้น  ;D

Bridget (ซ้าย) และ  Aluna (ขวา) กับรูปลูกผสมต่างดาวของพวกเธอ

คงจะพอๆกับเรื่องลูกเทพที่เป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ล่ะค่ะ ;D

ู^

มีทฤษฎีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง "ลูกเทพ" กับ "ลูกผสมต่างดาว" อยู่เหมือนกัน


ในมหากาพย์มหาภารตยุทธ์ของอินเดียได้กล่าวถึงเทพเจ้าหลายองค์ที่มาเยือนด้วยยานอวกาศ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่แน่นอนชาวอินเดียไม่ได้เรียกพาหนะนั้นว่า Space ship พวกเขาขนานนามมันว่า “วิมาน (Vimana)” หรือที่สถิตของปวงเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์

ตำนานมหาภารตะเล่าถึงพระนางกุนตี (Kunti) ผู้ซึ่งสุริยเทพได้เสด็จลงมาร่วมรัก และได้กำเนิดกรรณ (Krana) ผู้เก่งกล้าในวิทยายุทธ์ เรื่องนี้อาจเทียบได้กับเฮอร์คิวลิส (Herculer) วีรบุรุษกึ่งเทพของกรีก ผู้ซึ่งถือกำเนิดจากการที่จอมเทพซูสเสด็จมาสมพาสกับมนุษย์ธรรมดานามอัลคมีเน (Alcmene)

นักดาราศาสตร์โบราณได้ระบุถึง “เด็กดวงดาว (Star Children)” ว่าเป็นผลผลิตของมนุษย์ที่เดินดินกับเอเลียนผู้มาเยือน โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่จำเป็นต้องมีการร่วมรักดังเช่นในปัจจุบัน การให้กำเนิดทารกนั้นอาจใช้เทคโนโลยีผสมเทียม

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเอเลียนจากต่างดาวได้ใช้ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของเขาทำให้สาวชาวพิภพของเราตั้งครรภ์ โดยมิได้ร่วมหลับนอนกับเธอแต่อย่างใด!

จากบทความเรื่อง ฤาเทพเจ้าในตำนาน...ก็คือ เอเลียน ที่มาเยือนโลก (http://www.thairath.co.th/content/185054)

ว่ากันตามทฤษฎีของดานิเกน ทั้งลูกเทพ "กรรณ" และ "เฮอร์คิวลิส" ต่างก็เป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาวด้วยกันทั้งสิ้น ;D

ตอนนี้มันมีทฤษฎีทางการตลาดผสมเข้าไปด้วยซีคะ เลยทำให้กระแสยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ ดิฉันยังบอกกับเพื่อนที่เป็นเจ้าของโรงเรียนอนุบาลเลยว่า "เปิดสอนลูกเทพด้วยซีเธอ ดีนะ เค้าไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่ส่งเสียงดัง"  ;D   

ล่าสุด  ตำรวจมีโปรโมชั่นให้เจ้าของตุ๊กตาลูกเทพด้วยค่ะ    ได้ย้ายบ้านฟรี    มีที่อยู่ใหม่ฟรี   อาหารฟรี  มีงานประจำทำฟรีทุกคน  ไม่ตกงาน

"ลูกเทพ"ที่ฮือฮากันในปัจจุบัน ไม่ใช่ลูกเทพของจริงอีกไม่นานก็จะลืมเลือนไปเหมือนดังจตุคามรามเทพที่ผ่านมา

ฝรั่งก็นิยม "ลูกเทพ" มานานแล้ว เป็นลูกเทพของจริงอย่างตัวอย่างข้างล่างนี้  ;)

วันที่ ๒๕ มกราคมที่ผ่านมา นักล่าเอเลียนชาวอเมริกันคนหนึ่งคือนายเจสัน ฮันเตอร์ได้เผยแพร่คลิปจากภาพถ่ายโดยยานสำรวจดาวอังคาร ระบุว่าเป็นภาพเด็กน้อยกำลังคลานอยู่บนพื้นผิวดาวอังคาร

http://www.youtube.com/watch?v=BskY5lkCPM8#ws (http://www.youtube.com/watch?v=BskY5lkCPM8#ws)

นักสืบอวกาศคนเดิม Scott Waring บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ UFO Sighting Daily บอกว่านี่เป็นหลักฐานการมีอยู่ของชีวิตบนดาวอังคาร สิ่งที่เห็นอาจเป็นรูปปั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่กลายเป็นหินโดยลาวาจากภูเขาไฟทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ปอมเปอีในอดีต

ข่าวจาก express (http://www.express.co.uk/news/science/638485/Pompeii-on-Mars-Petrified-baby-found-laying-on-Red-Planet-surface)

แต่บรรดาสาวก "ลูกเทพ" ในไทยอาจจะเห็นเป็นลูกเทพแสดงอภินิหารขึ้นไปคลานบนดาวอังคารก็เป็นได้   ;D

ถ้าเป็นอย่างคุณคนโคราชว่า  ก็แสดงว่า มนุษย์ต่างดาวทั้งๆมีเทคโนโลยีสูงมาก  แต่ระบบข่าวกรองไม่เอาไหนเลย
อาจารย์เทพนมไม่เคยปกปิดเรื่องการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวเป็นความลับ   ตรงกันข้าม ท่านให้สัมภาษณ์มาไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว ระบุชื่อที่อยู่เสร็จสรรพ
ฝ่ายปกครองก็ไม่ยักเฉลียวใจ ไล่จับฝ่ายของตัวกลับยานไปขังคุกอวกาศให้รู้แล้วรู้รอด 

ขนาดมีล่ามต่างดาวได้ แสดงว่าการติดต่อกันนี่ทำในวงกว้าง และยาวนานจนสอนภาษากันได้คล่อง
น่าจะจับฝ่ายปกครองมาลงทะเบียนเรียนวิชาข่าวกรอง ๑๐๑ ซะจริงๆ

เฉลียวใจขึ้นมาแว้บนึง

ว่าคุณ Koratian ต้องเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แน่ๆ 
กระซิบหน่อยได้ไหมว่าจากดาวดวงไหน คะ

สงสัยจะผิดที่ 
ต้องติดต่อลูกเทพค่ะ 

เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๘) Scott Waring นักสืบอวกาศเจ้าเก่าแจ้งต่อองค์การสหประชาชาติว่าเขาพบลูกหมีขาวในภาพถ่ายของนาซา มีรายละเอียดเห็นถึงขนบนลำตัว โดยสังเกตจากเงาที่ปรากฏ นั่นหมายความว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตแน่นอน

คุณสก็อตต์ส่งข้อมูลเหล่านี้ไปให้เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่น่าตื่นเต้นนี้ และต้องการที่จะเผยแพร่ภาพเหล่านี้เพื่อให้ชาวโลกได้ร่วมกันพิจารณาด้วย เพื่อที่ทุกคนจะได้เปิดตาและเปิดใจรับรู้ความจริงเสียที

ข่าวจาก เมโทร (http://metro.co.uk/2015/10/27/was-the-mars-baby-polar-bear-actually-chasing-a-swan-5464329/)

http://www.youtube.com/watch?v=wP7mWHBuerQ#ws (http://www.youtube.com/watch?v=wP7mWHBuerQ#ws)

นอกจากหมีขาวแล้ว ยังมีสัตว์ดาวอังคารอีกตัวหนึ่งซึ่งหลงหูหลงตาคุณสก็อตต์ไป นั่นคือ หงส์ หรืออาจเป็นห่าน หมีขาวอาจกำลังเล่นไล่จับกับหงส์อยู่ก็เป็นได้  ;D

ภาพปลอมรึเปล่า   เงาของเจ้าลูกหมีน้อย ทอดลงไม่ตรงกับเงาของก้อนหินรอบๆตัวมันเลย

หารูปสัตว์ประหลาดบนดาวอังคารมาให้อีกค่ะ
ตัวอะไรไม่รู้ เหมือนซากสิ่งมีชีวิตที่ถูกหุ้มด้วยลาวา แบบที่เจอที่ปอมเปอี

โครงกระดูก?

น่าจะซากฟอสซิลของหมาป่า

เหมือนออกมาจากหุ่นยนต์  แผนกของเล่น  ในห้างสรรพสินค้า

ภาพนี้เป็นต้นฉบับจากนาซา ;D

http://mars.jpl.nasa.gov/msl-raw-images/msss/01136/mcam/1136ML0050760050501267D02_DXXX.jpg (http://mars.jpl.nasa.gov/msl-raw-images/msss/01136/mcam/1136ML0050760050501267D02_DXXX.jpg)

เสียงดนตรีต่างดาว

 (http://www.youtube.com/watch?v=mVjL2vnC3D8[/url)

http://www.youtube.com/watch?v=mVjL2vnC3D8#ws (http://www.youtube.com/watch?v=mVjL2vnC3D8#ws)

สื่อต่างประเทศรายงานว่าองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐหรือนาซ่า ออกมาเปิดเผยเทปบันทึกเก่าแก่ของนักบินอวกาศ ที่ได้ยินเสียงดนตรีลึกลับจากดวงจันทร์ ขณะปฏิบัติภารกิจบนยานอพอลโล ๑๐

เสียงจากเทปขององค์การนาซ่า ซึ่งเป็นเสียงดนตรีลึกลับที่นักบินอวกาศ ๓ คนของยานอพอลโล ๑๐ บันทึกไว้ขณะเดินทางสำรวจวิถีวงโคจรของดวงจันทร์ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ยานอพอลโล ๑๐ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องก่อนโครงการอพอลโล ๑๑ ที่ลงจอดบนดวงจันทร์สำเร็จ ในปี ๒๕๑๒ กำลังโคจรข้ามไปอยู่ด้านมืดของดวงจันทร์ หรือด้านที่ไกลจากฝั่งโลกเป็นระยะเวลาเกือบ ๑ ชั่วโมง ซึ่งทางฝั่งโลกไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยินพวกเขาปฏิบัติภารกิจบนยานได้ อยู่ ๆ นักบินอวกาศก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาด คล้ายคลึงกับเสียงดนตรีจากคลื่นสัญญาณวิทยุผ่านเข้ามาในหูฟังของพวกเขา โดยพวกเขาได้เอ่ยถามกันว่า ได้ยินเสียงเพลงนี้ไหม
            
ทั้งนี้ ในซีรีส์รายการทางวิทยาศาสตร์ของนาซ่าชื่อ นาซ่า อันเอ็กซ์เพลนด์ ไฟล์ส (NASA's Unexplained Files) ได้กล่าวว่า เทปบันทึกบทสนทนานี้ได้ถูกปกปิดเป็นความลับในบันทึกเอกสารของนาซ่า จนกระทั่งในปี ๒๕๕๑ ได้มีการนำเทปบันทึกเสียงมาเปิดเผยและมีการถกเถียงกันถึงที่มาที่ไปของเสียงดนตรีอันแปลกประหลาด ซึ่งล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า เสียงลึกลับดังกล่าวน่าจะเป็นเสียงคลื่นรบกวนที่เกิดขึ้นระหว่างสัญญาณวิทยุของยานอพอลโล ๑๐ กับสัญญาณวิทยุที่ส่งจากศูนย์บัญชาการภาคพื้นดินบนโลก

ข่าวจาก แนวหน้า (http://www.naewna.com/inter/203995)

ผู้เชี่ยวชาญคิดว่าเป็นเสียงคลื่นรบกวน เพื่อน ๆ คิดว่าเป็นเสียงอะไร   ???

ถ้าฟังออกว่าเสียงคลื่นวิทยุ คงไม่ปิดมาเกือบ 50 ปี มั้งคะ
เสียง "วู้" มันดังแทรกเข้ามาชัดเจน แล้วก็หายไปดื้อๆ

นอกจากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าวซึ่งก็คือวิศวกรของนาซาคนหนึ่ง ยังมีความเห็นเรื่อง "เสียงดนตรีจากอวกาศ" ซึ่งต่างกันไป

อัล วอร์เดน นักบินอวกาศที่เคยขึ้นบินกับยานอพอลโล ๑๕ ไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายของผู้เชี่ยวชาญในข่าวข้างบน โดยอ้างว่า นักบินอวกาศทั้ง ๓ รายผ่านการฝึกมาจนคุ้นกับเสียงทุกอย่างที่พวกเขาควรได้ยิน “ตรรกบอกผมว่า ถ้ามีอะไรที่ถึงขนาดสามารถบันทึกเอาไว้ได้ที่นั่น ก็ต้องมีอะไรอยู่ที่นั่น” วอร์เดนระบุ

ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ เสียงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นจากอนุภาคในห้วงอวกาศที่มีประจุไฟฟ้าเข้าไปกวนคลื่นความถี่วิทยุ ก่อให้เกิดเสียงประหลาดดังกล่าวขึ้น เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ นาซาเผยแพร่เสียงที่ได้รับจากยานสำรวจอวกาศแคสซีนี ขณะทะยานผ่านบรรยากาศของดาวเสาร์ก็สามารถบันทึกเสียงคล้ายคลึงกันนี้ไว้ได้ อย่างไรก็ตาม อนุภาคที่มีประจุดังกล่าวเป็นไปได้ในบรรยากาศของดาวเสาร์ แต่ไม่น่าจะเกิดขึ้นรอบดวงจันทร์ซึ่งไม่มีทั้งบรรยากาศและสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแต่อย่างใด

นักบินอวกาศทั้ง ๓ จากอพอลโล ๑๐ ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ได้ยินเสียงดนตรีจากอวกาศดังกล่าวนั้น ไมเคิล คอลลินส์ ผู้บังคับยานแม่ของอพอลโล ๑๑ ที่จำเป็นต้องโคจรผ่านด้านมืดของดวงจันทร์ ในขณะที่ บัซ อัลดริน และนีล อาร์มสตรอง กำลังเดินอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ ก็ได้ยินเสียงดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน แต่คอลลินส์ระบุว่า ได้รับคำเตือนจากเจ้าหน้าที่เทคนิคแล้วว่าจะเจอเข้ากับเสียงที่เกิดจาก “การกวนกันของคลื่นวีเอชเอฟ” ของยานลูกและยานแม่เช่นนี้

ข้อกังขาสำคัญนอกเหนือจากแหล่งที่มาของเสียงดังกล่าวนี้ก็คือ ทำไมนาซาถึงได้เก็บเป็นความลับไว้นานกว่า ๔๐ ปีเช่นนี้?

ข่าวจาก มติชน (http://www.matichon.co.th/news/54804)

ความเห็นอีกทางหนึ่งซึ่งน่าจะรวมไว้ด้วยก็คืออาจเป็นเสียงที่ทำขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญานอกพิภพ หรือเป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตนั้นโดยตรงก็เป็นได้ ความเห็นนี้น่าจะถูกใจเหล่าบรรดานักสืบอวกาศที่สุด   ;D

หลักฐานจานบินตกในรัสเซีย และศพมนุษย์ต่างดาว

 (http://www.youtube.com/watch?v=gc0menDzaUE[/url)

เศรษฐีและนักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย Yuri Milner ได้ออกมาประกาศโครงการ Breakthrough Starshot ในการส่งยานอวกาศที่มีขนาดเล็กกว่า iPhone เดินทางด้วยความเร็ว ๒๐ % ของความเร็วแสง ไปสำรวจ Alpha Centauri ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเพียง ๒๐ ปี โดยเป็นความร่วมมือระหว่างนักฟิสิกส์ชื่อก้องโลก Stephen Hawking และ Mark Zuckerberg CEO แห่ง Facebook

ระบบดาว Alpha Centauri เป็นระบบที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด มีระยะห่างเพียง ๔.๓๗ ปีแสง ประกอบด้วยดาวเคราะห์ที่นักดาราศาสตร์เชื่อกันว่าเป็นดาวที่มีแนวโน้มว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือมนุษย์สามารถเดินทางไปอยู่อาศัยได้ เพราะมันมีขนาดเล็ก มีมวลใกล้เคียงกับโลกของเรานั่นเอง (ดาวนี้แอบไปปรากฏในหนังเรื่อง Avatar ด้วยนะ)

อย่างไรก็ตาม ๔.๓๗ ปีแสงตัวเลขที่ดูเหมือนจะน้อย แต่เนื่องจากอัตราเร็วแสงนั้นมีค่าประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ กิโลเมตรต่อวินาที นั่นหมายความว่าแสงจากดาว Alpha Centauri ต้องเดินทางไกลถึง ๔๐.๒ ล้านล้านกิโลเมตร ด้วยระยะทางเท่านี้ แม้จะเป็นยานอวกาศที่เร็วที่สุดในขณะนี้ก็ต้องใช้เวลาถึง ๓๐,๐๐๐ ปี เลยทีเดียว!

โครงการ Breakthrough Starshot เป็นความพยายามครั้งใหม่ของมนุษย์ในการสำรวจอวกาศ มีเป้าหมายสำรวจดาว Alpha Centauri โดยทำการติดตั้งยานอวกาศอัตโนมัติขนาดเล็ก Nanocraft ที่มีน้ำหนักเบามาก เบาขนาดที่ต้องน้ำหนักของยานนี้วัดเป็นหน่วยกรัม ซึ่งประกอบด้วย StarChip เป็นอุปกรณ์ขนาดจิ๋ว ติดตั้งกล้อง ตัวผลักดันโฟตอน แหล่งจ่ายพลังงาน ระบบนำทิศทาง และอุปกรณ์ในการสื่อสาร เพื่อใช้ในการสำรวจ LightSail เปรียบผืนผ้าใบขนาดใหญ่ แต่มีน้ำหนักเบา ทำหน้าที่เปรียบเสมือนใบของเรือใบ แต่แทนที่จะรับลม เป็นการรับแรงผลักจากโฟตอนแทน nanocraft

ยานลำนี้จะเคลื่อนที่ได้โดยอาศัยการยิงแสงเลเซอร์ (Light Beamer) ทีมีกำลังถึง ๑๐๐ กิกะวัตต์ ซึ่งประกอบด้วยโฟตอนจำนวนมากจากบนพื้นโลก ไปชนกับ LightSail เพื่อดันยานอวกาศให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วถึง ๒๐ % ของแสง เรียกว่า Light Sail หรือ Solar Sail ทำให้ยานอวกาศใช้เวลาในการเดินทางถึง Alpha Centauri ที่อยู่ห่างออกไป ๔.๓๗  ปีแสง ในระยะเวลาเพียง ๒๐ ปี ถือเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก เมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยยานอวกาศปกติซึ่งต้องใช้เวลาถึงประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปี หรือถ้าเป็นยาน Voyager 1 จะต้องใช้เวลาถึง ๗๐,๐๐๐ ปี

ในการเดินทางไปยัง Alpha Centauri จะเป็นการพิสูจน์ว่าดาวเคราะห์ที่ค้นพบนั้นมนุษย์สามารถไปอาศัยอยู่ได้ โดยจะทำการถ่ายภาพลักษณะต่าง ๆ ของพื้นผิว เช่น มหาสมุทรหรือผืนดิน และส่งข้อมูลกลับมายังโลกโดยจะใช้เวลาประมาณ ๔ ปี

http://www.youtube.com/watch?time_continue=20&v=wMkWGN1G6Kg#ws (http://www.youtube.com/watch?time_continue=20&v=wMkWGN1G6Kg#ws)

“Today we commit to the next great leap in the cosmos, because we are human and our nature is to fly.” ดร. Stephen Hawking กล่าว

ข้อมูลจาก  ชมรมสื่อและประชาสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  (http://nisitvidya.com/soscity/news/physics/breakthrough-starshot-to-alpha-centauri-announcement)

อีกไม่เกิน ๒๕ ปีเราอาจเดินทางไปถึงดาวเคราะห์ที่มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ (ถ้าโครงการตามข่าวสำเร็จ)   ;D

ระบบดาวอัลฟา เซ็นทอรี อยู่ใน กลุ่มดาวคนครึ่งม้า  (https://en.wikipedia.org/wiki/Centaurus) (Centaurus) อัลฟา เซ็นทอรี ประกอบด้วยดาวฤกษ์ ๓ ดวง ๒ ดวงแรกคือ A และ  B  เป็นดาวคู่  ส่วนดวงที่ ๓ คือ Proxima เป็นดาวแคระแดง ภาพข้างล่างแสดงขนาดเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/53/Alpha_Centauri_relative_sizes.svg/400px-Alpha_Centauri_relative_sizes.svg.png)

มีการค้นพบดาวเคราะห์ดวงหนึ่งขนาดใกล้เคียงกับโลกโคจรรอบดาวอัลฟา เซ็นทอรีบี แต่ท่าทางสิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ลำบากเพราะอยู่ใกล้ดาวแม่เกินไปทำให้อุณหภูมิสูงถึง ๑,๒๐๐ องศาเซลเซียส (มีรายละเอียดอยู่ในข่าวของ ผู้จัดการ (http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9550000127908))

ทีนี้มาถึงเรืองมโนของ เจมส์ คาเมรอน ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง "อวตาร" (Avatar) เหตุการณ์ในเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างมนุษย์ (ผู้รุกราน) กับชาวนาวี ( Na'vi ชนพื้นเมือง) บนดาวแพนดอรา (Pandora) ซึ่งเป็นดวงจันทร์ของดาวแก๊สยักษ์โพลีฟีมัส (Polyphemus) ซึ่งโคจรรอบอัลฟา เซ็นทอรีเอ (ซึ่งความจริงยังไม่มีการค้นพบดาวบริวาร)

แม้อยู่ไกลถึงสุดขอบจักรวาล คาเมรอนยังฝากมโนภาพของ "อเมริกันอินเดียน" ไว้กับชาวนาวีแห่งแพนดอรา   ;D

ภาพจาก monsterlegacy.net (https://monsterlegacy.net/2015/09/27/avatar-pandora-thanator-ikran-toruk-fauna/)

ปี ๒๕๕๘ ยานสำรวจดาวอังคารของนาซาก็ยังส่งภาพ "ช้อน" ในลักษณะที่ส่วนปลายลอยอยู่มาให้ชม

http://www.space.com/30454-floating-spoon-on-mars-weird-rock-photo.html

สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว (๒๕๕๙) นาซาเผยแพร่ภาพ "ช้อน" อีกคันหนึ่งบนดาวอังคาร ทำเอานักมนุษย์ต่างดาววิทยาฮือฮาอีกครั้งหนึ่ง  ;D

http://metro.co.uk/2016/12/27/is-this-spoon-a-sign-of-intelligent-life-on-mars-6345719/

https://youtu.be/tJXdd3Lfzp0

ช้อนลอยในรูป    เหมือนส่วนตัวด้ามที่ยาวมากจมอยู่ในพื้นหิน(หรือทราย?) มีแต่ตัวปลายช้อนยื่นออกมา  จึงลอยอยู่เหนือพื้นล่าง มองเห็นเงาทอดอยู่ข้างใต้ช้อน
แบบนี้ไม่ใช่วัตถุธรรมชาติเสียแล้วซีคะ

ข่าวที่ทำให้นักมนุษย์ต่างดาววิทยา อกหักไปอีกรายการหนึ่ง
(ความจริงเป็นข่าวเก่า แต่มาลงใหม่ค่ะ)
สารภาพหมดเปลือก! ความจริงเบื้องหลัง ‘คลิปผ่าเอเลี่ยน’ ปี 1995

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1081110

ต้นเรื่องคลิปผ่าเอเลี่ยนมาจากข่าวนี้


นอกจากคลิปผ่าตัดยังมีคลิปก่อนหน้านั้น

https://youtu.be/ZQlpACCcq4Y

ที่สำคัญยังมีนักวิทยาศาสตร์ที่เคยทำงานใน Area 51 ยืนยันก่อนเสียชีวิตว่าเขาเคยเจอมนุษย์ต่างดาวตัวจริงเสียงจริง


คลิปผ่าเอเลี่ยนอาจจะเป็นของปลอม แต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวใน Area 51 รอให้พิสูจน์ว่าเป็นของแท้หรือเทียม  ;D

เมื่อ ๒-๓ วันที่ผ่านมา มีข่าวเกี่ยวกับวัตถุบินกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้หรือ UFO ในสื่อต่างประเทศหลายสำนัก เรื่องของเรื่องมีว่า

หญิงสาวจากเมือง Cairns ทางเหนือสุดของรัฐควีนสแลนด์อ้างว่าได้ถ่ายภาพที่เชื่อว่าเป็นวัตถุจากต่างดาวบินอยู่เหนือมหาสมุทรใกล้เกาะ Fitzroy Island ในขณะที่เธอแล่นเรือกลับเข้าสู่ฝั่งหลังจากไปเที่ยวตกปลาที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟในตอนบ่ายของวันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม

นางสาว Jenny Morrison กล่าวว่าเธอกลับจาก Elford Reef ประมาณ ๕๐ กิโลเมตรจากชายฝั่งเมือง Cairns หลังจากใช้เวลาอยู่บนเรือ ๑ วันกับเพื่อน ๆ ในระหว่างทางเธอได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพขณะพระอาทิตย์ตกดินโดยมีเกาะ Fitzroy Island เป็นฉากเบื้องหลังจำนวนหลายภาพ

ต่อมาเธอพบว่าภาพที่ถ่ายไว้มีแสงสว่างสีเขียวเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่เหนือท้องฟ้า วัตถุสีเขียวนี้อยู่ตรงกลางเงาที่มีรูปร่างคล้ายจานบิน

ภาพจุดสีเขียวปรากฎอยู่ในภาพที่เธอถ่ายไว้หลายภาพ ก่อนที่มันหายไปจากภาพที่ถ่ายในช่วงหลัง ๆ

นางสาว Morrison กล่าวว่าตอนถ่ายภาพเธอไม่เห็นอะไรผิดปกติอยู่บนท้องฟ้าจากการมองด้วยตาเปล่า แต่เมื่อเธอตรวจเช็คภาพที่ถ่ายไว้กลับพบวัตุประหลาดนี้ติดมาด้วย

ขณะนี้ยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความเห็นว่าภาพที่นางสาว Morrison บันทึกได้คืออะไร

พื้นที่ Far North Queensland ซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของรัฐควีนสแลนด์ได้ชื่อว่าเป็นจุดที่มี UFO มาเยือนอย่างสม่ำเสมอ ผู้ที่เชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวหลายคนออกมาอ้างว่าได้เห็นวัตถุประหลาดบนท้องฟ้าจำนวนมากตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา

เมือง Cardwell ประมาณ ๑๘๐ กิโลเมตรทางใต้ของเมือง Cairns จัดให้มีงานเทศกาล Cardwell UFO Festival ในเดือนตุลาคมของทุกปี เพื่อฉลองความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวกับพื้นที่ทางเหนือของรัฐควีนสแลนด์ที่เชื่อกันว่าเป็นจุดที่ UFO มาเยือน และชักชวนให้สาธารณชนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้เห็นสิ่งลึกลับจากต่างดาว

https://jingjonews.com/2017/11/02/หญิงสาวอ้างเห็น-ufo-บินอยู/ (https://jingjonews.com/2017/11/02/หญิงสาวอ้างเห็น-ufo-บินอยู/)

http://www.cairnspost.com.au/flying-saucer-photographed-over-great-barrier-reef/news-story/28dcdb7a7a8a0a9c635ba09ad376acab


เพื่อน ๆ ชาวเรือนไทยคิดว่าภาพที่นางสาว Morrison บันทึกได้คืออะไร   ;D

เรื่องของนางสาว Morrison อาจจะไม่ตื่นเต้นเท่าเรื่องที่ซุปตาร์ของเราเล่า

เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ คุณวรนุช ภิรมย์ภักดีเดินทางไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศส ได้พบสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เธอเล่าว่า ในวันที่ ๕ กรกฎาคม เวลาประมาณ ๒๒.๒๐ น. หลังจากกลับจากถ่ายรูปที่ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ เมืองโพรวองซ์ ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส โดยนั่งรถไปกันทั้งหมด ๔ คน ในขณะนั้นเธอและเพื่อนได้มองเห็นแสงเป็นกลุ่ม ๆ เธอคิดว่าเป็นหมู่บ้านคน เพราะหมู่บ้านฝรั่งเศสบริเวณนั้นจะอยู่บนเขา

เธอถามไกด์ที่มาด้วย ไกด์บอกว่าตรงนั้นไม่มีหมู่บ้าน ซึ่งขณะนั้นผู้ที่อยู่ในรถคันเดียวกันก็เห็นในแบบเดียวกัน ลักษณะเป็นแสงไฟเป็นดวง ๆ หลายดวงอยู่ในกลุ่มเดียวกันและเคลื่อนตัวเร็ว สักพักแสงดังกล่าวก็ได้หายไป และกลับมาให้เธอเห็นอีกเป็นจำนวน ๓ ครั้ง

และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดที่เธอเล่า

https://youtu.be/Di96WNS3oKA

เธอถ่ายรูปการกลับมาครั้งที่ ๓ ของสิ่งที่เธอคิดว่าเป็น UFO ไว้หลายรูป

https://www.facebook.com/woranuch.wongsawan/posts/10155486077944921

รูปนี้เป็นรูปที่ชัดที่สุด

คุณนุ่นสนใจเรื่องนี้มาก ได้ใช้อินทรเนตรค้นหาเกี่ยวกับเรื่อง UFO แล้วพบเว็บนี้

http://www.ufosightingsdaily.com/2017/02/ufo-during-sunset-over-normandy-france.html

มีข่าวเกี่ยวกับ UFO ปรากฏที่นอร์มังดี (Normandy) ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เห็นเป็นดวงไฟคล้าย ๆ กับที่เธอเห็น

https://youtu.be/wXG9EJnjpE4

ใช่ UFO ลำเดียวกันหรือเปล่า  ;)

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=66060;image) (http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=66062;image)

เป็นจำพวก โดรนขนาดใหญ่ ได้ไหมคะ

การพบมนุษย์หรือสัตว์ (ประหลาด) ต่างดาว (alien) นั้น  "นักมนุษย์ต่างดาววิทยา" จัดไว้ ๕ รูปแบบ คือ

๑. Close Encounter of the First Kind       พบแบบห่าง ๆ เช่น เห็นจานบินบนท้องฟ้า
๒. Close Encounter of the Second Kind  พบแบบใกล้ชิดเข้ามาหน่อยเช่นเห็นจานบินมาลงจอดต่อหน้า หรือทิ้งร่องรอยการจอดให้เห็น
๓. Close Encounter of the Third Kind     พบกับตัวเอเลี่ยนต่อหน้าต่อตา
๔. Close Encounter of the Forth Kind     เป็นการถูกเอเลี่ยนลักพาตัว
๕. Close Encounter of the Fifth Kind      ติดต่อกับเอเลี่ยนอาจจะเป็นการพูดคุยกันด้วยคำพูดหรือทางโทรจิต

ในกรณีของคุณนุ่นเป็นการพบแบบที่ ๑

กรณีเหตุการณ์ที่รอสเวลล์ (Roswell UFO incident) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ ที่เชื่อว่ามีการตกของจานบินและพบเห็นมนุษย์ต่างดาวจัดเป็นการพบแบบที่ ๓ ที่โด่งดังที่สุด มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ แม้ไม่โด่งดังเท่าเหตุการณ์ที่รอสเวลล์ แต่ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ เหตุการณ์ที่เมืองวาร์จินยา (Varginha) ประเทศบราซิล

เหตุการณ์ที่วาร์จินยา (Varginha UFO Incident) เริ่มต้นเมื่อคืนวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ยูเอฟโอรูปร่างยาวคล้ายซิการ์ตกใกล้เมืองวาร์จินยา กระแทกพื้นแตกเป็นชิ้น ๆ  อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในวันที่ ๒๐ มกราคม เด็กสาว ๓ คนพบได้พบสัตว์ประหลาดบนท้องถนน มีรูปร่างผอม สูงประมาณ ๑๖๐ เซนติเมตร ศีรษะขนาดใหญ่ส่วนบนมีโหนกนูนคล้ายเขาอยู่ ๓ อัน เท้ารูปตัววี ตัวผอม ผิวสีน้ำตาล ตาสีแดงขนาดใหญ่ มีกลิ่นแรงเหมือนแอมโมเนีย และท่าทางเหมือนมันกำลังสับสนหรือบาดเจ็บ

เมื่อกองทัพได้รับรายงานจึงได้ส่งทหารเข้ามายังพื้นที่ทันที มีรายงานว่าสัตว์ประหลาดดังกล่าวถูกจับตัวได้ และตายในที่สุด ซากของมันถูกส่งแล้วส่งไปชันสูตรในห้องปฏิบัติการ  แต่สุดท้ายรัฐบาลบราซิลกลับออกมาแถลงการณ์ปฏิเสธเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด โดยบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะอุปทานหมู่เท่านั้น แต่หลายคนไม่เชื่อเรื่องดังกล่าว โดยกล่าวหาว่ารัฐบาลจงใจปกปิดข้อเท็จจริง พร้อมกับมีพยานหลายคนอ้างว่าเห็นเจ้าหน้าที่บราซิลนำสัตว์ประหลาดขึ้นเครื่องบินทางการทหารของสหรัฐอเมริกา และทหารที่มีส่วนร่วมในการสัตว์ประหลาดดังกล่าวก็ได้เสียชีวิตลงในสัปดาห์ต่อมาเนื่องจากติดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่รู้จัก

https://youtu.be/KMyiH-dFqfs

หอถังน้ำรูปจานบิน และ รูปจำลองมนุษย์ (สัตว์) ต่างดาว ที่วาร์จินยา สร้างเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙

จุดประสงค์คงต้องการเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วย  ;D

สิ่งมีชีวิตต่างดาว มหาอมตะนิรันดร์กาลของเด็กชาวโลก
(https://vignette.wikia.nocookie.net/alienfilm/images/3/32/E.T..gif/revision/latest?cb=20121219233946)

อเมริกาเป็นประเทศที่เห็น UFO มากที่สุดในโลก  จนเมืองหรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้ว
ขอเชิญคุณเพ็ญชมพูแวะไปชม  พร้อมกับท่านผู้อ่านเรือนไทยที่สนใจเรื่องนี้ค่ะ

10 of America's Must-See UFO Destinations
http://www.popularmechanics.com/culture/g3059/ufo-road-trip/

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กล้องโทรทรรศน์ Pan–STARRS ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจจับวัตถุจากอวกาศที่อาจเป็นอันตรายต่อโลก ได้ตรวจพบวัตถุลึกลับพุ่งเข้ามาในระบบสุริยจักรวาล

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1136598

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน เปิดเผยคลิปวิดิโอที่ถูกบันทึกจากเครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ F/A-18F กำลังตรวจจับไล่ล่าวัตถุบินกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้จากนอกโลก หรือ ยูเอฟโอ (unidentified flying object: UFO) ขณะบินอยู่เหนือน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก นอกชายฝั่งซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗

โดยบนเครื่องบินเจ็ตขับไล่นี้ มีนักบินจากกองทัพเรือ ๒ นาย คือ นาวาโทเดวิด ฟราเวอร์ และ เรือเอกจิม สเลท ทั้งคู่ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่า วัตถุดังกล่าวเคลื่อนที่เร็วมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เร็วกว่าเครื่องบินที่กำลังขับของเราเสียอีก และไม่ทราบว่ามันคือวัตถุอะไรกันแน่ และมีขนาดใกล้เคียงเครื่องบินโดยสาร

เป็นที่คาดกันว่า จากวิดีโอดังกล่าวนำมาซึ่งโครงการวิจัยการตรวจจับวัตถุปริศนาจากนอกโลก โดยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ นำเงินงบประมาณ ๒๒ ล้านเหรียญ หรือประมาณ ๗๑๔ ล้านบาท จากจำนวนทั้งหมดที่ได้ ๖๐๐ พันล้านเหรียญสหรัฐ มาใช้ในโครงการพิสูจน์ทราบภัยคุกคามจากอากาศยานล้ำยุค ในระหว่างปี ๒๕๕๐ – ๒๕๕๕ ที่เป็นแนวคิดของแฮร์รี รีด อดีตสมาชิกวุฒิสภารัฐเนวาดา จากเพรรคเดโมแครต เขาระบุว่า สามารถตรวจจับวัตถุบนอากาศที่บินด้วยความเร็วสูงหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม มีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ว่า สิ่งที่ตรวจพบไม่ใช่สื่งที่สามารถอธิบายได้ว่าสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกมีชีวิตอยู่จริง มีอดีตพนักงานของรัฐสภาคนหนึ่งกล่าวว่า โครงการนี้อาจถูกจัดตั้งเพื่อติดตามความกว้างหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศต่าง ๆ แต่ประเด็นที่เป็นเสียงวิจารณ์กันหนักสุดคือ เรื่องงบประมาณที่สูงลิ่วที่ใช้เพื่อประโยชน์ของกระทรวงกลาโหม จนต้องปิดโครงการไปในที่สุด

แฮร์รี รีด  กล่าวกับเดอะนิวยอร์กไทมส์ว่า เขาไม่รู้สึกอายหรือเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป เพราะได้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน

แม้ว่าจะมีการปิดโครงการไปแล้วตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ เจ้าหน้าที่บางส่วนอ้างว่า ยังคงมีการสืบสวนหาปรากฎการณ์ทางอากาศและวัตถุที่น่าสงสัยอยู่ต่อไป

https://youtu.be/7e0OxALylMI

ข่าวจาก เวิร์คพอยท์ (https://workpointnews.com/2017/12/20/เผยคลิปนักบินสหรัฐฯ-ไล่/)

จากแดนดาวอัศจรรย์อันไกลโพ้น
จากซอกโซนจักรวาลรอขานไข
จากดาราฟุ้งเฟื่องเรืองอำไพ
สู่โลกาคราปีใหม่ใจสราญ

ให้มนุษย์สดใสไร้ทุกข์โศก
ให้มีโชคมีรักสมัครสมาน
ให้ชีวีมีสุขทุกวันวาร
เอเลี่ยนร่อนส่งสาส์นสราญใจ

สุขสันต์วันปีใหม่ ๒๕๖๑ เด้อ มนุษย์โลก  ;D

คุณเพ็ญชมพูอ่านบทสัมภาษณ์ ดร.ก้องภพ อยู่เย็น หรือยังคะ
มีคำถามคำตอบเรื่องมนุษย์ต่างดาวด้วย

https://readthecloud.co/thoughts-11/

 :D

อ่านคำตอบแล้วอยากจะบอกว่า สิ่งที่คนเขาถามกันไม่ใช่ว่ามนุษย์ต่างดาวไม่มีจริง  เพราะใครๆก็รู้ว่าโลกคงไม่ใช่ดาวดาวเดียวที่มีสิ่งมีชีวิต  ดาวนอกนั้นมีแต่หินทั้งหมด
แต่เขาอยากรู้ว่ารูปถ่ายที่หลุดออกมา   อะไรแปลกๆบนท้องฟ้าที่เห็น  หรือเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้   เหล่านี้เป็นเรื่องจริงคือเป็นเรื่องสร้างขึ้นทั้งหมดต่างหากล่ะคะ

มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง* ตอบคำถามของคุณเทาชมพูไว้

UFO ที่หมายถึงสิ่งบินลึกลับนั้นมีจริง เพราะรายงานเรื่องนี้จากทั่วโลกมีเป็นแสนรายการ ซึ่งเราแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท

๑. ประมาณ ๘๕ % อธิบายได้แล้วว่ามันคืออะไร ซึ่งมีทั้งปรากฏการณ์ในท้องฟ้า ภาพลวงตา เฮลิคอปเตอร์ บอลลูน สิ่งบินทดลอง ภาพของดาว ฯลฯ และพวกเรื่องที่กุขึ้นมา ซึ่งกว่าจะจับได้ก็อาจใช้เวลานาน

๒. อีก ๑๕ % ที่ยังอธิบายไม่ได้นั้น ส่วนหนึ่งยังจับไม่ได้ว่าเป็นภาพโกหก เป็นรายงานที่เห็นโดยคนจำนวนมาก หรือเป็นภาพถ่ายที่ตรวจสอบแล้วไม่ใช่นก ดาว ฯลฯ แต่เชื่อว่า เมื่อตรวจสอบจนมีข้อมูลมากขึ้นแล้วก็น่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่มาจากนอกโลกเลย

* รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษา นักเขียน นักแปล คอลัมนิสต์ นักจัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ ได้รับรางวัล"นักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ดีเด่น” ประจำปี พ.ศ. ๒๕๓๘  เป็นหัวหน้าโครงการวิจัยหนังสือดีวิทยาศาสตร์ซึ่งคัดเลือกให้ "แดนดาว" โดย "แก้วเก้า" เป็น ๑ ในหนังสือวิทยาศาสตร์ประเภทบันเทิงคดีจำนวน ๒๙ เล่ม เป็นหนังสือดีวิทยาศาสตร์

อาจารย์ชัยวัฒน์ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวไว้อีกหลายเรื่อง ถูกใจหรือไม่ขึ้นกับวิจารณญาณของเพื่อน ๆ ชาวเรือนไทย  ;D

http://www.soccersuck.com/boards/topic/1075754

อึ้ง!นักดาราศาสตร์เชื่อการระเบิดรังสีแกมมา แท้จริงแล้วเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว

https://mgronline.com/around/detail/9610000005101

เอ็กเพรส - นักดาราศาสตร์คนหนึ่งรายหนึ่งมีคำกล่าวอ้างที่น่าตื่นตะลึง ด้วยเชื่อว่าการระเบิดรังสีแกมมา (Gamma-ray bursts) แท้จริงแล้วสัญญาณเอเลี่ยนที่ส่งมาจากมนุษย์ต่างดาวในความพยายามติดต่อกัยสิ่งมีชีวิตอื่นๆในจักรวาล

พวกนักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากการระเบิดใหญ่ของดาวในกาแล็กซีที่อยู่ไกลออกไปในอวกาศ และพลังงานที่ปล่อยออกมาจะอยู่ในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านรังสีแกมมา

อย่างไรก็ตามนักดาราศาสตร์บางส่วนมีทฤษฎีที่ต่างออกไป และเชื่อว่าอาจระเบิดรุนแรงดังกล่าวน่าจะเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ต่างดาว

การระเบิดของรังสีแกมมาให้ห้วงอวกาศลึกแต่ละครั้งจะรุนแรงกว่า 100 เท่าของซูเปอร์โนวา(supernova) หรือพลังงานประมาณล้านล้านล้านเท่าของดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน และการเกิดแต่ละครั้งจะกินเวลาแค่ระดับมิลลิวินาที

กระนั้นก็ตาม จอห์น เอ.บอลล์ นักดาราศาสตร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เชื่อว่าการระเบิดรังสีแกมมาทรงพลังงานเพียงพอที่จะนำส่งข้อมูลสาร โดยเขาบอกว่าการระเบิดของรังสีแกมมา 2 มิลลิวินาที อาจส่งข้อมูลสารได้ 1,000,000,000,000,000,000 บิต "เปรียบเทียบแล้วก็ประมาณข้อมูลโดยรวมของเนื้อหาเกี่ยวกับระบบนิเวศของโลก ข้อมูลพันธุกรรมและคอนเซ็ปต์ที่ใช้อธิบายในการถ่ายทอดความคิด วัฒนธรรม ไอเดีย ภาษาหรือเทคโนโลยีต่างๆ"

ในบทความพาดหัว ‘Gamma Ray Bursts The ETI [extraterrestrial intelligence] Hypothesis’ บอลล์ เชื่อว่า "การระเบิดรังสีแกมมา บางทีอาจเป็นสัญญาณที่ส่งมาโดยอารยธรรมนอกโลก รูปทรงของการระเบิดที่ต้นทางของสัญญาณนั้นบางทีอาจเป็นจังหวะง่ายๆ แต่รูปทรงอันซับซ้อนที่เราเห็นนั้น อาจเป็นเพราะมันเกิดการบิดเบี้ยวระหว่างทางจากปรากฏการณ์เลนส์แรงโน้มถ่วง"

ไม่ใช่แค่เชื่อว่าการระเบิดพลังงานสูงจะเป็นข้อมูลสารจากต่างดาว นักดาราศาสตร์รายนี้ยังสันนิษฐานด้วยว่าแท้ที่แล้วมันอาจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิต "สารในการระเบิดรังสีแกมมาอาจเป็นสปอร์ที่สามารถเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนอย่างทวีคุณยามที่มันตกในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เหมาะสม มันอาจแพร่พันธุ์สปอร์จำนวนมหาศาล แต่คาดหมายว่ามีเปอร์เซ็นต์น้อยมากที่จะอยู่รอด" บอลล์กล่าว

ขอคิดด้วยฅน "มนุษย์ต่างดาว"

https://youtu.be/ctx7-CPqqVs

https://www.youtube.com/watch?time_continue=3&v=wxVRg7LLaQA

ซีเอ็นเอ็น - มีการแพร่เผยคลิปใหม่เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ในเหตุการณ์ที่อ้างว่าเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างเครื่องบินของกองทัพสหรัฐฯกับวัตถุบินไม่ทราบเอกลักษณ์ที่บางส่วนเชื่อว่าเป็นยานบินของมนุษย์ต่างดาว หลังจากเพนตากอนยอมรับเมื่อปีก่อน ว่าพวกเขาเคยมีโครงการลับสุดยอดศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเจอภัยคุกคามจากนอกโลก แต่ได้ยุติลงไปแล้ว

อ่านรายละเอียดได้ที่
https://mgronline.com/around/detail/9610000025445

คลิปนี้ดูคล้ายกับคลิปที่แล้ว

https://youtu.be/wxVRg7LLaQA


หลุยส์ เอลิซอนโด อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองกลาโหมที่เคยดูแลโครงการ Advanced Aerospace Threat Identification Program (โครงการระบุภัยด้านอวกาศที่ก้าวล้ำ หรือโครงการต่อสู้กับ UFO) ซึ่งปัจจุบันทำงานให้กับ To The Stars Academy of Arts & Science ให้ความเห็นว่า วิดีโอใหม่กับวิดีโออีกชุดที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว มีความเหมือนกันอย่างมาก และบอกว่าเขาเองก็ไม่สามารถฟันธงได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันเป็นเอเลี่ยนตัวเขียวจากต่างดาว เพราะมันอาจเป็นอะไรก็ได้ ในนั้นรวมถึง อากาศยานต่างชาติ "มันอาจเป็นอะไรก็ได้ ดังนั้นเราจึงไม่ตัดข้อสันนิษฐานใด ๆนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงคิดว่าเราถึงจำเป็นต้องพิสูจน์มัน มันอาจเป็นของรัสเซีย จีน หรือเป็นมนุษย์ต่างดาวตัวเขียวจากดาวอังคาร แต่ตอนนี้เราไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

https://mgronline.com/around/detail/9610000025445

มีดาวฤกษ์ที่คล้ายดวงอาทิตย์มากมายมหาศาลในจักรวาล และก็มีความเป็นไปได้สูงที่หลายดวงจะมีดาวเคราะห์แบบโลกโคจรรอบอยู่ ซึ่งอาจจะมีการพัฒนาเกิดสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ในอารยธรรมทรงภูมิปัญญานี้ บางส่วนอาจสามารถเดินทางข้ามระหว่างดวงดาวได้ และอาจจะแวะมาเยือนชาวโลกแล้วก็ได้

มีรายงานและเรื่องเล่า (อย่างไม่เป็นทางการ) เกี่ยวกับ UFO และมนุษย์ต่างดาวมากมาย แต่ยังไม่เคยมีการติดต่อระหว่างมนุษย์โลกและมนุษย์ต่างดาวอย่างเป็นทางการ

นักฟิสิกส์ชาวอิตาเลียนชื่อ Enrico Fermi ได้เสนอความย้อนแย้งเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ Fermi paradox (https://en.wikipedia.org/wiki/Fermi_paradox)

หากพวกเขามีอยู่จริง เขาอยู่กันที่ไหน

https://youtu.be/sNhhvQGsMEc

https://youtu.be/1fQkVqno-uI

;D

ไม่ได้สงสัยถึงการมีตัวตนจริงของมนุษย์ต่างดาวค่ะ  เชื่อว่ามี
แต่ที่สงสัยคือจนบัดนี้มีกรณีอะไรสักอย่างไหม ที่ทำให้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกจริงๆ
ส่วนใหญ่ก็เห็นแต่ UFO แวบๆผ่านไปผ่านมา    หรือเห็นอะไรที่อธิบายไม่ได้ว่าเป็นอะไร ที่นาซ่าเอารูปมาให้ดูบ้าง โดยไม่มีการวิเคราะห์
จากนั้นข่าวก็เงียบหายไป  ทุกทีค่ะ

แวบๆอยู่ปีนี้เอง  2018

https://www.youtube.com/watch?v=3PRsPyZRRNw

อันที่จริงคำว่า UFO  (Unidentified Flying Object) ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นวัตถุบินซึ่งระบุไม่ได้ว่าเป็นอะไร

UFO กลายเป็น IFO ไปแล้ว ๘๕ % อย่างที่รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล ว่า


อีก ๑๕ % ที่เหลืออยู่ จะเป็นยานของ E.T. (Extra-Terrestrial) บ้างหรือเปล่า ก็เหลือจะคาดเดา  ;D

“มนุษย์ต่างดาว” ในทรรศนะ “สตีเฟน ฮอว์กิ้ง” ชายผู้ไขความลับแห่งจักรวาล

สตีเฟน ฮอว์กิ้ง นักฟิสิกส์ชื่อดังแห่งยุค จากไปอย่างสงบในวัย ๗๖ ปี ที่บ้านพักของเขาในเมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา

สตีเฟน ฮอว์กิ้ง เป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เขาเป็นที่รู้จักจากการทำนายเชิงทฤษฎีที่ว่าหลุมดำควรปล่อยรังสี ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่า รังสีฮอว์กิ้ง และเขายังเป็นผู้เขียนหนังสือ A Brief History of Time ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดี นอกจากนี้เขายังเป็นที่รู้จักทั้งในแง่วิชาการ และความมีอารมณ์ขันอีกด้วย ขณะที่เขาต้องต่อสู้กับโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม (Motor Neurone Disease-MND) หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาเกือบชั่วชีวิต

เป็นที่น่าสนใจว่า  “สตีเฟน ฮอว์กิ้ง” นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์เลื่องชื่อชาวอังกฤษ ถูกสอบถามเรื่อง “สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา” จากต่างดาวอยู่บ่อยครั้ง และแทบทุกครั้ง นอกเหนือจากการแสดงความเห็นในเชิง “เป็นไปได้” ที่จะปรากฏอารยธรรมต่างดาว ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตที่ก้าวหน้ามากพอที่จะท่องไปทั่วจักรวาลแล้ว ฮอว์กิ้งไม่ลืมที่จะแสดงความ “กลัว” ในการเผชิญหน้ากับ “มนุษย์ต่างดาว” เหล่านี้เอาไว้ด้วยทุกครั้งไป

ย้อนกลับไปในการถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีแนววิทยาศาสตร์-ดาราศาสตร์ให้กับ “คิวริออสซิตีสตรีม” ชื่อ “สถานที่ยอดนิยมของสตีเฟน ฮอว์กิ้ง” ความยาว ๒๖ นาที นักวิทยาศาสตร์ที่ได้ชื่อว่า ชาญฉลาดที่สุดผู้หนึ่งนับตั้งแต่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ก็มีโอกาสได้สอดแทรกความคิดเห็นเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเอาไว้อีกครั้งด้วยคำเตือนเช่นเคย

https://youtu.be/RBNmMZoqA0Y

ภาพยนตร์สารคดีดังกล่าว เขียนเรื่องให้ สตีเฟน ฮอว์กิ้ง ขึ้นยานสำรวจอวกาศห้วงลึกชื่อ “เอส.เอส. ฮอว์กิ้ง” เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบ ๕ จุด ประกอบด้วย การเดินทางไปสังเกตการณ์การเกิด “บิ๊กแบง” ที่เป็นจุดเริ่มต้นกำเนิดจักรวาล, การเดินทางไปเยี่ยมชม “มอนสเตอร์แบล็กโฮล” หลุมดำขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่ใจกลางกาแล็กซี ทางช้างเผือก, การเดินทางไปเยือน “กลีเซ ๘๓๒ ซี” ดาวเคราะห์คล้ายโลกนอกระบบสุริยะที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า สามารถเป็นแหล่งอาศัยของสิ่งมีชีวิตได้ หลังจากนั้นก็เดินทางทัวร์ “ดาวเสาร์” ซึ่งอยู่ภายในระบบสุริยะเดียวกับโลกเรา สุดท้ายจึงร่อนลงจอดยัง “ซานตา บาร์บารา” ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งฮอว์กิ้งเคยไปใช้ชีวิตอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เมื่อได้รับการทาบทามจาก สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (แคลเท็ต) ให้ยกครอบครัวไปทำงานที่นั่น

ขณะเดินทางไปเยี่ยมชมอารยธรรมต่างดาวที่สร้างขึ้นตามจินตนาการของศิลปินด้วยเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์กราฟิก (ซีจี) บน กลีเซ ๘๓๒ ซี สตีเฟน ฮอว์กิ้ง กล่าวกับผู้ชมว่า วันหนึ่ง เราอาจได้รับสัญญาณจากดาวเคราะห์เหมือนเช่นดาวเคราะห์ดวงนี้

“แต่ถ้าจะตอบกลับสัญญาณดังกล่าว เราควรระมัดระวัง การเผชิญหน้ากับอารยธรรมต่างดาวที่มีความก้าวหน้า อาจลงเอยเหมือนกับการที่ชนพื้นเมืองอเมริกันเผชิญหน้ากับ (คริสโตเฟอร์) โคลัมบัส ผลที่เกิดอาจไม่ดีนัก” ฮอว์กิ้งกล่าว

ความกลัวต่อมนุษย์ต่างดาวและอารยธรรมต่างดาว ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นกับฮอว์กิ้ง ในสารคดีทางช่อง ดิสคัฟเวอรี เมื่อปี ๒๐๑๐ สตีเฟน ฮอว์กิ้ง เคยให้เหตุผลแห่งความกลัวเอาไว้อย่างละเอียดว่า ถ้าหากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในต่างดาวมีอยู่จริงในจักรวาลอันไพศาลนี้ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นอาจ “ไม่เป็นมิตร” อย่างที่มนุษย์บนโลกเราคาดหวังก็เป็นไปได้
 
ฮอว์กิ้งระบุว่า หน่วยสำรวจส่วนหน้าของอารยธรรมต่างดาวอาจตระเวนไปทั่วจักรวาลในยานอวกาศขนาดมหึมา เป้าหมายเพื่อแสวงหาวัสดุที่เป็นประโยชน์ต่ออารยธรรมของตนหลังจากที่บริโภคทรัพยากรธรรมชาติบนดาวของตนเองจนหมดสิ้นแล้ว

“มนุษย์ต่างดาวที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาการดังกล่าวนั้นอาจกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อนของจักรวาล มองหาดาวเคราะห์สักดวงเพื่อเข้าพิชิตเอาเป็นอาณานิคมของตัวเอง ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่า มนุษย์ต่างดาวเหล่านี้อาจเข้าไปฉกฉวยประโยชน์จากดาวเคราะห์ใหม่แต่ละดวงไปเรื่อย ๆ เพื่อประโยชน์ในการสร้างยานอวกาศเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเคลื่อนกำลังต่อไป ใครจะไปรู้ว่าขีดจำกัดของพวกนี้อยู่ตรงไหน”

ในตอนหนึ่งของสารคดีชุดดังกล่าว สตีเฟน ฮอว์กิ้ง ยังเสนอแนะไว้ด้วยว่า สายพันธุ์ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาวเหล่า นี้อาจมีความสามารถในการเก็บเกี่ยวพลังงานจากดาวฤกษ์ทั้งดวงไปเป็นของตัวเองได้

“เพื่อการนี้ พวกนั้นอาจเพียงแค่ติดตั้งกระจกสะท้อนแสงนับล้านชิ้นไว้ในห้วงอวกาศ ล้อมดาวฤกษ์ที่ตกเป็นเป้าหมายไว้ทั้งดวงก่อนที่จะป้อนพลังงานของดวงดาวที่รวบรวมได้ไปเก็บไว้ในจุดเก็บรวบรวมเพียงจุดเดียว”

แนวความคิดเรื่องมนุษย์ต่างดาวของฮอว์กิ้ง เป็นเพียง ๑ในหลาย ๆ แนวคิดในเรื่องนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วนักดาราศาสตร์ทั่วไป เชื่อว่าอารยธรรมต่างดาวใด ๆ ที่มีขีดความสามารถเพียงพอที่จะเดินทางข้ามอวกาศกว้างใหญ่มายังโลกมนุษย์ได้ ก็ต้องมีความศิวิไลซ์เพียงพอที่จะก้าวข้ามความคิดทำลายล้างเพื่อยึดครองดังกล่าวไปได้แล้วเช่นกัน

https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_308390

ก็อย่างว่าหละครับ ตอนที่ชาวตะวันตกสร้างเรือข้ามมหาสมุทรอันกว้างใหญ่มายังโลกใหม่ได้ พวกเขาก็ศิวิไลซ์กว่าชนพื้นเมืองของโลกใหม่ แต่ก็ไม่ได้ศิวิไลซ์ขนาดก้าวข้ามความคิดยึดครองได้ อันที่จริง ความคิดยึดครองนี่แหละ ที่ผลักดันให้พวกเขาเพียรพยายามสร้างเรือข้ามทะเล   

มานึกๆดู   ถ้านาซ่าเกิดค้นพบว่าดาวอังคารมีส่วนหนึ่ง(จะส่วนไหนก็เถอะ) อุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรแร่ธาตุ   เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลกับอุตสาหกรรมของโลกมนุษย์   
แต่บริเวณนั้นมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อาศัยแร่ธาตุเป็นอาหารอยู่ด้วย
เราจะปล่อยไว้ตามเดิมให้อยู่ตามประสามัน   แล้วก็สำรวจดาวดวงอื่นต่อไป
หรือว่ายูเอ็นจะประชุมนานาชาติกันขนานใหญ่เพื่อแบ่งที่จับจองพื้นที่ตรงนั้น  ทำเหมืองแร่กัน  เพื่อขนส่งทรัพยากรกลับมาใช้ต่อในโลกมนุษย์ เนื่องจากของเราร่อยหรอไปมากแล้ว

มนุษย์ต่างดาว ฉันใดก็ฉันนั้น

ความเจริญทางวัตถุกับความเจริญทางจิตใจมักจะแปรผกผันกันเสมอ

ตัวอย่างที่คุณเทาชมพูกล่าวถึง เจมส์ คาเมรอนได้ให้คำตอบไว้แล้ว เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยระหว่าง คาวบอยอเมริกัน กับ ชนพื้นเมืองอเมริกันอินเดียน

ไม่ใช่แค่ชนผิวขาวจากยุโรปกับชาวพื้นเมืองอเมริกันอินเดียนเท่านั้น     เจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสก็คิดทำนองเดียวกันกับประเทศในเอเชีย
เป็นเรื่องของปลาใหญ่กินปลาเล็กค่ะ

ถ้ามนุษย์ต่างดาวเป็นปลาใหญ่     พวกเราก็เป็นปลาเล็ก 

ศีลธรรมจรรยาต่างๆที่มนุษย์เรายึดถือ ล้วนสร้างขึ้นจากพื้นฐานความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น
แต่ในอวกาศที่กว้างใหญ่ มีสภาพแวดล้อมที่ต่างกันมากมาย มนุษย์ต่างดาวอาจต่างจากมนุษย์แบบเทียบกันไม่ได้เลย ดังนั้น มาตรฐานทางจริยธรรมก็อาจจะต่างกันแบบเทียบกันไม่ได้เลยเช่นกันครับ บางสิ่งที่เราเห็นว่าผิด พวกเขาอาจมองว่าถูกก็ได้

ในภาพยนตร์เรื่อง Ender's Game เล่าเรื่องของมนุษย์ต่างดาวลักษณะคล้ายแมลงมาบุกโลก แต่ครั้งนั้น มนุษย์ป้องกันเอาไว้ได้ เพราะมีนักบินรบโชคดีนายหนึ่ง บังเอิญระเบิดยานราชินีได้ ด้วยความที่พวกนี้เป็นแมลง เมื่อขาดราชินี ก็แตกพ่ายไป มนุษย์จึงโต้กลับด้วยการบุกไปทำลายดาวบ้านเกิดของพวกเขาบ้าง หนังมีช่วงหนึ่งที่ตัวเอก มีโอกาสได้สื่อสารทางจิตกับราชินีเอเลี่ยนที่กำลังจะตายครับ

ราชินีเล่าว่า พวกเขาไม่ได้คิดรุกรานโลก พวกเขาเข้าใจว่าดาวดวงนั้น (หมายถึงโลก) ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่ เพราะทุกอย่างบนโลก ไม่เหมือนกับที่อยู่บนดาวของเขาเลย นอกจากนี้ มนุษย์ ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่สื่อสารกันผ่านทางจิตแบบรวมศูนย์อย่างพวกเขาไม่ได้ พวกเขาเลยคิดว่าสิ่งมีชีวิตนี้ด้อยปัญญา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงวินิจฉัยว่า สามารถตั้งถิ่นฐานบนดาวดวงนี้ได้ จึงทำให้เกิดข้อพิพาทกันขึ้น เมื่อสงครามเกิดขึ้น ทำให้พวกเขารู้ว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตแบบอื่น แต่ก็ทรงปัญญาเช่นกัน นับจากนั้นมา พวกแมลงไม่ได้มาโลกอีกเลย (แถมตัดพ้อต่อว่าด้วย เธอบอกว่ามนุษย์ไม่เคยคิดหยุดการล้างแค้น) มนุษย์เราจึงได้อาศัยช่วงเวลานี้พัฒนาเทคโนโลยีจนดีพอย้อนกลับไปถล่มเขาได้

อันนี้คือ คุณธรรมสูง แต่การตัดสินถูกผิด มาจากพื้นฐานที่ต่างกันครับ     

เป็นข้อคิดที่ดีมากค่ะ    ขนาดบนโลกใบเดียวกัน แต่ต่างสังคม หรือสังคมเดียวกันแต่ต่างยุค    ศีลธรรมจรรยายังแตกต่างกันเป็นตรงกันข้ามก็มี
บางที มนุษย์ต่างดาวอาจไม่มีศีลธรรมแบบโลกมนุษย์เลยก็ได้  แต่มีหลักเกณฑ์อะไรอย่างอื่นๆที่สมองของมนุษย์คิดไปไม่ถึง

ฮิลลารี คลินตัน, เอ็ดการ์ มิตเชล และสตาร์วอร์ส

วิกิลีกส์แฉ “ฮิลลารี” คุยลับอดีตนักบินนาซา สหรัฐฯ ยุค ปธน.หญิงส่อทำสงครามอวกาศกับมนุษย์ต่างดาว !

เดลิสตาร์/เอกซ์เพรส - สื่ออังกฤษอ้างอีเมลฉบับหนึ่งที่แฉโดยวิกิลีกส์ ระบุนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคเดโมแครต พูดคุยอย่างลับ ๆ กับอดีตมนุษย์อวกาศของนาซาหลายต่อหลายครั้ง เพื่อหารือในความเป็นไปได้เกี่ยวกับสงครามในอวกาศ

อีเมลที่เปิดเผยโดยวิกีลีกส์ระบุว่า นางคลินตันและนายจอห์น โพเดสตา ประธานทีมหาเสียงเลือกตั้ง เคยหารือกับดร.เอ็ดการ์ มิตเชล หลายต่อหลายครั้ง

มิตเชล เป็นมนุษย์คนที่ ๖ ที่ได้เหยียบดวงจันทร์และเป็นนักบินอวกาศภารกิจอพอลโล ๑๔ ที่ออกเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์เมื่อ ๒ ปีมาแล้ว (พ.ศ. ๒๕๕๙) ด้วยอายุ ๘๕ ปี ทั้งนี้ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เขาออกมาเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้มีการเผยแพร่ข้อมูลสิ่งทรงปัญญาในจักรวาลต่อสาธารณะอย่างครบถ้วน

ในอีเมลที่เปิดโปงโดยวิกิลีกส์เผยให้เห็นว่าโพเดสตา มิทเชล และนางคลินตัน พบปะกันเป็นประจำ และบางครั้งก็ถึงขั้นพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่สงครามจะปะทุขึ้นบนอวกาศ

ทั้งนี้ มิตเชล เตือนคู่สนทนาว่าสิ่งทรงปัญญาในจักรวาล (Extraterrestrial Intelligence - ETI) จะไม่อดทนต่อรูปแบบความรุนแรงทางทหารใด ๆ บนโลกหรือในอวกาศ อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าแม้ดูเหมือน ETI จะไม่อดทน แต่พวกเขาก็ไม่ใช่พวกใช้ความรุนแรง

มิตเชลยังเคยเขียนถึงโพเดสตาด้วยว่า เราโต้แย้งกัน “ว่าเราขยับเข้าใกล้สงครามในอวกาศมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดาวเทียมทั้งหมดที่กำลังโคจรรอบโลก ทั้งของสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย รวมถึงการทดสอบอาวุธต่อต้านดาวเทียมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ได้บรรเทาปัจจัยแห่งความกังวลเลยแม้แต่น้อย มันฟังเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีความเป็นไปได้เพียงพอที่สตาร์วอร์สในชีวิตจริงจะกลายเป็นจริง”

ในขณะที่รายละเอียดของการหารือไม่ชัดเจนเสียทีเดียว แต่อีเมลของมิตเชลแสดงให้เห็นว่าสงครามอวกาศและสิ่งมีชีวิตนอกโลกอยู่ในหัวข้อการประชุมของพวกเขา

มิตเชล พูดจาอย่างเปิดเผยในความเชื่อของเขาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกนับตั้งแต่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ และต่อมาเขาก็กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดในประชาคมยูเอฟโอ ก่อนเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์

ส่วนนางคลินตันเชื่อว่าเอเลี่ยนมีอยู่จริง และประกาศค้นหาความจริงและเปิดโปงข้อมูลทั้งหมดของรัฐบาลอเมริกาเกี่ยวกับยูเอฟโอ และมนุษย์ต่างดาว หากว่าเธอได้ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ประธานาธิบดี

https://mgronline.com/around/detail/9590000102135

https://www.express.co.uk/news/weird/719054/Hillary-Clinton-aliens-Wikileaks-e-mails-UFOs-star-wars-ETs

บทความนี้ เหมือนเอา 2 เรื่องมารวมกันครับ โดยใช้คำว่า สตาร์วอร์ เป็นตัวเชื่อม

อันที่จริงแล้ว คำว่า สตาร์วอร์ ยังมีความหมายอื่นนอกจาก "สงครามระหว่างดวงดาว" ด้วย
ในราวปี 1983 สมัยประธานาธิบดี โรแนล เรแกน ยุคนั้น โลกยังอยู่ในสภาวะสงครามเย็นครับ โลกฝ่ายเสรีนิยม กับฝ่ายสังคมนิยม ยังตั้งป้อมเผชิญหน้ากันอยู่ อาวุธที่ทั้งสองฝ่ายหวาดกลัวที่สุดในสมัยนั้นคือ ขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปแบบหลายหัวรบซึ่งสามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ ก็คือ จรวด 1 ลูก ที่สามารถพกเอาระเบิดนิวเคลียร์ไปได้เยอะๆ เมื่อยิงขึ้นไปแล้ว ก็จะไปแยกตัวบนอวกาศ แล้วหล่นลงสู่ดินแดนข้าศึกเป็นโหลๆ

ความกลัวอาวุธอย่างนั้น ทำให้อเมริกา พยายามคิดอาวุธที่สามารถทำลายจรวดที่ว่านี้ได้ ตั้งแต่ระยะแรกๆที่จรวดถูกปล่อย เพื่อตัดโอกาสมิให้จรวดขึ้นไปแยกหัวรบในวงโคจรได้ เนื่องจากถ้าถึงขั้นนั้นแล้วการสกัดกั้นหัวรบทั้งหมดจะยากมาก อาวุธที่คิดกันขึ้นมาในสมัยนั้นก็มีทั้งพวก อาวุธอานุภาค อาวุธลำแสงความร้อน ดาวเทียมติดตั้งปืนแม่เหล็กไฟฟ้า ที่สามารถยิงในอวกาศได้ ฯลฯ เกิดเป็นโครงข่ายการป้องกันน่านฟ้าสหรัฐอเมริกาขึ้น ทั้งหมดนี่ ผมจำไม่ได้แล้วครับว่าชื่ออะไร แต่เรียกกันเล่นๆว่า "โครงการสตาร์วอร์" (สมัยนั้น อ่านจากวารสาร โลกวิทยาศาสตร์ หรือไงนี่แหละครับ อาจารย์ชัยคุปต์ เป็นคนเขียน)

ทีนี้ โครงการที่ว่านั้น ถูกระงับไปเพราะแพงเกิน ประกอบกับสงครามเย็นยุติ และอเมริกาหลังสงครามเย็นก็ยิ่งใหญ่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว อาวุธเท่าที่มีก็ไร้คู่เปรียบพออยู่แล้ว จะเสียเงินไปพัฒนาอาวุธแพงๆ ไปทำไม

ทว่าในยุคนี้ รัสเซียและจีน เริ่มกลับมามีอำนาจท้าทายอเมริกาได้อีกครั้ง ประกอบกับการสงครามในทุกวันนี้ เราพึ่งพาระบบเครือข่ายมากยิ่งขึ้น การรบจะเริ่มจากการทำลายข่ายการสื่อสารก่อนเสมอ อาจจะเริ่มจากการป่วนระบบอินเตอร์เน็ต หรือการระเบิดดาวเทียมซึ่งเป็นส่วนสำคัญในเครื่อข่ายการสื่อสารระยะไกล ซึ่งอันที่จริงแล้ว แม้ในยุคที่ยังมีโครงการสตาร์วอร์ ฝ่ายโซเวียตเขาก็พัฒนา "ดาวเทียมล่าสังหาร" เอาไว้ถล่มดาวเทียมของอเมริกาอยู่แล้ว มาในยุคนี้ ก็อาจมีดาวเทียมอย่างที่ว่าขึ้นมาอีก รวมถึงอาจมีเทคนิคอื่นๆในการทำลายดาวเทียมจากภาคพื้นเพิ่มขึ้นได้อีกหลายวิธี ดังนั้น อเมริกาก็ต้อหาทางงติดอาวุธคุ้มกันให้กับดาวเทียมของตนเองบ้าง ซึ่งหากถ้าดาวเทียมคุ้มกัน กับดาวเทียมล่าสังหารเกิดยิงกันเมื่อไหร่ นั่นแหละครับ คือ "สงครามในอวกาศ" ที่บทความพูดถึง  

เพราะงั้น ถ้าคุณฮิลลารี คลินตัน เขาอยากรื้อฟื้น โครงการสตาร์วอร์ หรือ อยากทำสงครามในอวกาศ ก็ยังไม่ได้หมายความว่า กำลังเตรียมจะรบกับมนุษย์ต่างดาวหรอกครับ

จากคำพูดที่ว่า
"He said: "Take a moment to think about everything satellites do. GPS, surveillance and communications all depend on them. And the Scientific American notes you can disable satellites without missiles. Simply spray-painting lenses or breaking antennas is enough."

ผมเชื่อว่า มนุษย์ต่างดาวคงไม่โจมตีดาวเทียมของโลก ด้วยการเอาสเปรย์มาพ่นเลนส์หรอกครับ เขาแค่หมายถึงการปกป้องดาวเทียบจากการถูกรบกวนเพื่อให้มันทำงานไม่ได้ ซึ่งน่าจะมาจากมนุษย์"ต่างด้าว" เท่านั้นแหละครับ

การรบกวนดาวเทียมเป็นได้ทั้งจากมนุษย์ต่างด้าวและมนุษย์ต่างดาว และดาวเทียมทั้งหลายนับพันดวงที่โคจรอยู่รอบโลก หนึ่งในนั้นอาจจะมาจากต่างดาวก็เป็นได้ อย่าง "ดาวเทียมอัศวินดำ" (Black Knight satellite) ดวงนี้

https://youtu.be/lMSnD2qAWGE

เรื่องอัศวินดำนี้ ผมก็ตามๆอยู่ครับ แต่ยังไม่ค่อยมีความกระจ่างสักเท่าไหร่ครับ

คุณนริศอ่านกระทู้นี้ค่ะ

https://pantip.com/topic/34389638
ดาวเทียมที่ชื่อ black knight satellite ที่เขาว่ากันว่าเป็นดาวเทียมที่มาจากโลกอื่น นั้นมีจริงหรือป่าวคับ

เรื่องที่กล่าวในกระทู้พันทิปที่บอกว่าเป็นชิ้นส่วนระหว่างการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station, ISS) ที่หลุดออกมา มีกล่าวถึงในคลิป ตั้งแต่นาทีที่ ๑๔.๒๐ เป็นต้นไป

คุณวิกกี้ (https://th.m.wikipedia.org/wiki/สถานีอวกาศนานาชาติ) ให้ข้อมูลว่า ISS เริ่มการก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑  แล้วเราจะอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น  ???

เท่าที่ทราบ ก็คือมี "อะไรบางอย่าง" ที่มนุษย์ไม่ได้ส่งขึ้นไป กำลังโคจรอยู่รอบๆโลกของเรา

ประเด็นก็คือ "อะไรบางอย่าง" ที่ว่านี้ สามารถเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้หรือไม่ หรือต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างโดยใครสักคนเท่านั้น
ก็อย่างที่ทราบกันแหละครับ การที่วัตถุบางอย่างจะโคจรอยู่รอบโลกได้ ความเร็วของวัตถุนั้น ต้องสัมพันธ์กับแรงโน้มถ่วงของโลก คือ แรงหนีศูนย์กลางกับแรงดึงดูดของโลก สมดุลกันพอดี วัตถุนั้นจึงไม่ตกลงมา และไม่ลอยหายไป

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตลอดเวลาหลายพันล้านปี อาจมีก้อนหินอะไรสักก้อน ที่บังเอิญลงล๊อคที่ว่านี้พอดี ก้อนหินนี้เลยโคจรอยู่ได้เสมือนเป็นดวงจันทร์ดวงน้อยๆ และด้วยความที่มันเป็นแค่ก้อนหิน เราเลยเห็นมันค่อนข้างยาก จึงทำให้หินก้อนนี้กลายเป็นสิ่งลึกลับไป     

ดาวเทียมแบล็กไนต์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหา

ภาพถ่ายดาวเทียมแบล็กไนต์โดยองค์การนาซา โดยนาซาให้คำอธิบายว่าวัตถุดังกล่าวคือ "ขยะอวกาศ"
ดาวเทียมแบล็กไนต์ (อังกฤษ: Black Knight satellite) เป็นดาวเทียมที่โคจรอยู่ใกล้กับวงโคจรขั้วโลก ถูกคาดการณ์โดยนักทฤษฎีสมคบคิด  ว่าเป็นดาวเทียมที่ถูกส่งมาจากสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเมื่อราว 13,000 ปีที่แล้ว นักวิจารณ์และสถาบันกระแสหลักได้เรียกข้อมูลดังกล่าวว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดเนื่องจากประกอบด้วยข้อมูลที่ยังไม่ถูกเปิดเผยจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1988 องค์การนาซาก็ได้ถ่ายภาพดาวเทียมดังกล่าวไว้ได้ ซึ่งผู้เชียวชาญได้ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นวัตถุที่หลุดมาจากการปฏิบัติภารกิจทางอวกาศมากกว่า

หลักฐานเกี่ยวกับดาวเทียมดวงนี้มีขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1899 เมื่อนิโคลา เทสลา กำลังทำการทดลอง เขาก็ได้ยินสัญญาณวิทยุประหลาดจากนอกโลก และครั้งต่อมาในปี 1928 เมื่อนักวิทยุสมัครเล่น เยอร์เกิน ฮัลส์ ในกรุงออสโลได้ยินเสียงก้องประหลาดจากนอกโลก สื่อรายงานว่าสัญญาณวิทยุในปี ค.ศ. 1899 และ ค.ศ. 1928 นั้นยังคงเป็นปริศนา เนื่องจากขณะนั้นมนุษยชาติยังไม่มีดาวเทียมเป็นของตนเอง ต่อมาในปี ค.ศ. 1973 นักเขียนชาวสกอต ดังคัน ลูนัน ได้วิเคราะห์สัญญาณวิทยุที่ตรวจรับได้โดยฮัลส์และคนอื่น ๆ และได้คาดการณ์ว่าดาวเทียมดังกล่าว น่าจะเป็นของมนุษย์ต่างดาวและมีอายุราว 13,000 ปีมาแล้ว เขายังอธิบายอีกว่าดาวเทียมดังกล่าวน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากระบบดาวเอปไซลอนคนเลี้ยงสัตว์ ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 203 ปีแสง แม้เขาจะกลับคำในภายหลังว่าสมมติฐานของเขานั้นผิดผลาด และการคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นโดยกระบวนการที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C

อัศวินดำ ที่ถูกจับภาพได้   หน้าตาเหมือนชิ้นส่วนอุปกรณ์ ไม่ใช่วัตถุธรรมชาติ

ที่จริงถ้ามันเป็นชิ้นส่วนยานลำใดลำหนึ่งหลุดไป นาซ่ายังไงก็ต้องรู้ว่าลำไหน  เพราะองค์การติดตามการโคจรของดาวเทียมทุกดวงอยู่ทุกกระดิก   มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นได้
ทีนี้ทำไมไม่รู้   เกิดอุบๆอับๆ กันขึ้นมา  ก็เลยคิดมากกันใหญ่

รูปร่างอย่างนี้ แน่นอนเลยครับ ของแบทแมน (ฮ่า)

พบน้ำเค็มบนดาวอังคารมีออกซิเจนเพียงพอต่อสิ่งมีชีวิต

นักวิจัยพบว่าน้ำเค็มบนดาวอังคารอาจมีปริมาณออกซิเจนมากพอที่จะให้สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ สามารถใช้หายใจเพื่อดำรงชีวิตต่อไปได้ ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อในปัจจุบันเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร

งานวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร “เนเจอร์ จีโอไซแอนซ์” (Nature Geoscience) โดยใช้ข้อมูลตั้งต้นจากยานสำรวจคิวริออสซิตี้ (Curiosity) ขององค์การนาซา ที่ค้นพบแมงกานีสออกไซด์บนดาวอังคาร (ซึ่งการที่จะเกิดสารเคมีดังกล่าวได้จำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนในปริมาณสูง) รวมถึงการค้นพบแหล่งน้ำเกลือเข้มข้นที่มีองค์ประกอบสำคัญ ๆ หลายชนิด

วลาดา สตาเมนโควิซ หัวหน้าทีมวิจัยและนักทฤษฎีฟิสิกส์ของห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อยของนาซากล่าวว่า น้ำเกลือเข้มข้นที่ค้นพบบนดาวอังคารอาจมีออกซิเจนมากพอสำหรับการหายใจของสิ่งมีชีวิตขั้นปฐมภูมิ ที่ประกอบไปด้วยหลายเซลล์อย่างเช่น ฟองน้ำ

สตาเมนโควิซ เชื่อว่า การค้นพบในครั้งนี้ คือการปฏิวัติความเชื่อเดิมทั้งในปัจจุบันและอดีตเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร โดยที่ผ่านมา มีความเข้าใจว่าปริมาณออกซิเจนที่มีอยู่บนดาวอังคารมีน้อยเกินไป สำหรับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภทจุลินทรีย์ (โดยเชื่อว่ามีเพียง ๐.๑๔ เปอร์เซนต์ในชั้นบรรยากาศ)

นอกจากนี้ การมีเกลือในปริมาณเข้มข้นสูงยังช่วยให้น้ำยังคงสถานะการเป็นของเหลวต่อไป ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ออกซิเจนเกิดการละลายในน้ำจนเหมาะแก่การเติบโตของสิ่งมีชีวิตประเภทจุลินทรีย์

https://www.pptvhd36.com/news/ประเด็นร้อน/91687 (https://www.pptvhd36.com/news/ประเด็นร้อน/91687)
https://www.smithsonianmag.com/smart-news/salty-water-under-surface-mars-could-have-enough-o2-life-180970616/

เราอาจจะได้ฟังข่าวเรื่องชีวิตบนดาวอังคารในไม่ช้า ;D

ผู้หญิงบนดาวอังคารข้างล่างนี้ น่าจะอาศัยอะไรมากกว่าเกลือแน่ๆ  ถึงดำรงชีวิตอยู่ได้
ดูๆไปเธอเหมือนภาพฉายโดย power point สามมิติงั้นแหละค่ะ

ถ้ามีจริง ก็น่าจะอยู่ในระดับจุลชีพแหละครับ แค่ระดับสิ่งมีชีวิตหลายเซลก็น่าจะสุดๆ แล้วครับ
แต่การนำสิ่งมีชีวิตเหล่านี้กลับมาศึกษาที่โลกนี่สิครับ เห็นจะอีกนานกว่าจะทำได้ 

อาจจะเป็นพระนางพาราซิทัล ราชินีแห่งดาวอังคาร ตามที่คุณหมอเทพพนม เมืองแมนเคยเล่าไว้พอสรุปได้ว่า


หากชาวเรือนไทยท่านใดสนใจนำพล็อตเรื่องพีระติและพระนางพาราซิทัลมาเขียนเป็นนิยาย ออกแบบหน้าปกเตรียมไว้ให้พิจารณา  ;D

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=58679;image)

ลืมไป พระนางพาราเซตฯ นี่เอง

เป็นเรื่องราวที่ไม่เคยห่างหายไปไหน มีการพูดถึงอยู่แทบทุกวัน สำหรับประเด็นมนุษย์ต่างดาวและการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตนอกโลก แต่ข่าวล่าสุดดูจะกลายเป็นเรื่องใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อสำนักข่าวระดับโลกไม่ว่าจะเป็น BBC, Time, CNN, Washington Post และอีกหลายสำนักต่างพร้อมใจเสนอข่าวนี้

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายนที่ผ่านมา เวลา ๖ นาฬิกา ๔๗ นาที ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไอร์แลนด์ นักบินหญิงของสายการบิน British Airways ได้ติดต่อไปยังหอบังคับการบิน Shannon ซึ่งตั้งอยู่แถบชายฝั่งประเทศไอร์แลนด์ คำถามที่นักบินคนดังกล่าวได้สอบถามกับทางหอบังคับการบินค่อนข้างน่าประหลาดใจ

"ในบริเวณนี้มีการฝึกบินของกองทัพหรือเปล่า? เพราะเราพบอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า มันเคลื่อนที่ด้วย ความเร็วสูง"

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเที่ยวบินของ British Airways ที่กำลังนำผู้โดยสารจากเมือง Montreal ประเทศแคนาดา ลัดฟ้าสู่สนามบิน Heathrow ใน London แต่ระหว่างที่กำลังบินผ่านชายฝั่งไอร์แลนด์ อยู่ ๆ ก็มีวัตถุลึกลับ ส่องแสงสว่างจ้า เคลื่อนที่ผ่านทางกราบผซ้ายของตัวเครื่อง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือด้วยความเร็วสูง

จากนั้นนักบินของ Virgin Airlines ที่นำผู้โดยสารจากเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ มายังเมืองแมนเชสเตอร์ ในอังกฤษ ได้แจ้งมายังหอควบคุมการบินแชนนอนเช่นกันว่า เห็นอะไรบางอย่าง คล้ายกับดาวตก หรืออะไรบางอย่างที่โคจรเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลก อีกทั้งยังมีวัตถุหลายลำเคลื่อนตัวตามมาในเส้นทางเดียวกัน ซึ่งวัตถุเหล่านี้มีแสงสว่างมาก เขากล่าวว่าเห็นแสงสว่างจ้า ๒ ดวงทางฝั่งขวาของเครื่องบิน และได้บินไต่ระดับสูงขึ้นด้วยความเร็ว

นักบินอีกรายได้แจ้งว่าพบวัตถุบินไม่ทราบเอกลักษณ์กำลังบินด้วยความเร็วสูงเช่นกัน โดยบอกว่ามันน่าจะบินด้วยความเร็วประมาณ ๒ เท่าของความเร็วเสียง

อย่างไรก็ตามจนถึง ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย

https://youtu.be/6kIprgAaWbo

ถ้าไม่ใช่ UFO มันจะเป็นอะไรได้บ้าง

Apostolos  Christou นักดาราศาสตร์จากสถาบัน Armagh Observatory and Planetarium กล่าวว่าสิ่งที่ นักบินคนดังกล่าวเห็นอาจเป็นเศษฝุ่นจากอวกาศที่เคลื่อนที่เข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูง

"นั่นอาจจะเป็นดาวหาง"

"มันเป็นวัตถุที่ส่องสว่างมาก ดังนั้นอาจจะเป็นชิ้นส่วนที่มีขนาดใหญ่พอสมควร"

"ผมไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่นักบินเห็นเป็นอย่างไร แต่ขนาดของสิ่งนั้นอาจจะเท่าผลแอปเปิ้ลก็ได้"

เรียกว่า ต่างฝ่ายต่างแสดงความคิดเห็นกันไปต่าง ๆ นานา แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้ IAA หรือ International Academy of Astronautics  กำลังสืบสวนหาความจริงของเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนข้อสรุปจะเป็นอย่างไร เราคงต้องรอติดต่มกันต่อไป

https://www.unlockmen.com/ufo-ireland/
https://www.bbc.com/news/world-europe-46181662
http://time.com/5453027/ireland-ufo/
https://edition.cnn.com/travel/article/ireland-ufo-pilots-intl/index.html
https://www.washingtonpost.com/world/2018/11/13/pilots-saw-very-bright-ufo-streaking-over-ireland-if-it-wasnt-aliens-what-was-it/?noredirect=on&utm_term=.4679f0309174

ขอให้เป็น UFO ทีเถอะ   ได้หายสงสัยเสียที
ตามคำพูดของนักบิน  น่าจะมากันหลายลำ   แล้วฝูง UFO ไปร่อนลงที่ไหนหนอ?

ลำนี้ร่อนลงมาแล่นบนท้องถนนที่ไอร์แลนด์เมื่อ ๒ ปีก่อน  ;D

https://youtu.be/nk-Gcw0RH1U

https://auto.mthai.com/news/18404.html

มาที่ อูมัวมัว( Oumuamua) กันอีกครั้ง

อูมัวมัว ส่อแววยานอวกาศเอเลี่ยน แวะโลกครั้งเดียว อีก 2 หมื่นปีออกนอกระบบสุริยะ
กลับมาเป็นที่ฮือฮาของชาวโลกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 7 พ.ย.61 มีการตีพิมพ์รายงานจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 2 คนถึง Oumuamua (อูมัวมัว) วัตถุแรกที่มาจากนอกระบบสุริยะ กับการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก ถึงประมาณ 87.3 กม.ต่อวินาที ว่าอาจเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ตามความคิดเห็นของปรมาจารย์ด้านฟิสิกส์และนักจักรวาลวิทยาชื่อดังของโลกที่ล่วงลับไปแล้วอย่าง ศาสตราจารย์ สตีเฟน ฮอว์กกิ้ง และทำให้อูมัวมัวเป็นที่สนใจทั่วโลกเมื่อปลายปี พ.ศ.2560
อ่านต่อได้ที่นี่ค่ะ
https://www.thairath.co.th/content/1423258

(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/f2/51/33/f25133ab185f705bd827311899c741ec.jpg)
อาจเป็นเพราะว่า รูปร่างของวัตถุนี้ แทบจะเหมือนกันเดี๊ยะ กับยานรบ Mon Calamari Cruiser ยานรบลำใหญ่ของฝ่ายกบฐ จากเรื่อง Star Wars ก็เป็นได้ครับ

ดาวอังคารมีลมด้วย 

ยานน้องใหม่นาซาเผยให้ได้ยินเสียงลมดาวอังคารครั้งแรก

ยานน้องใหม่ของนาซาที่เพิ่งลงจอดดาวอังคาร สร้างประวัติศาสตร์จากการบันทึกการสั่นไหว ของลมกระโชกบนดาวแดงนี้ได้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถได้ยินเสียงลมของดาวเคราะห์เพื่อนบ้านดวงนี้ได้

ยานอินไซต์ (InSight) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ที่เพิ่งลงจอดดาวอังคารเมื่อ 26 พ.ย.2018 ที่ผ่านมา ได้บันทึกการสั่นไหวของสายลมหนาวที่กรรโชกบนดาวอังคาร โดยกระแสลมแรงดังกล่าวมีความเร็ว 5-7 เมตรต่อวินาที และถูกบันทึกได้ขณะพัดผ่านแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของยานลงจอดที่ไร้คนขับนี้
อ่านต่อที่นี่ค่ะ
https://mgronline.com/science/detail/9610000122447

ถ้ามีลมก็แปลว่ามีอากาศห่อหุ้มดาวอังคารอยู่น่ะซีคะ

บรรยากาศบนดาวอังคารเบาบางกว่าบนโลกมาก ก๊าซส่วนใหญ่คือคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อมีความร้อนจากดวงอาทิตย์สะสมบนพื้นผิว ก๊าซก็จะลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เกิดเป็นลมพัดบนดาวอังคาร ซึ่งจะมีความเร็วประมาณ ๑๖-๓๒ กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ข้างล่างนี้เป็นภาพถ่ายจากยาน Mars Reconnaissance Orbiter แสดงพายุซึ่งหอบเอาเศษหินและฝุ่นลอยตัวสูงขึ้นเป็นทางสีขาวยาวคล้ายงู และปรากฎเงาดำบนดาวอังคาร

ภาพจาก https://airandspace.si.edu/exhibitions/exploring-the-planets/online/solar-system/mars/wind/

ผู้เชี่ยวชาญ NASA เสนอว่า จริง ๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวอาจเคยมาเยือนโลก แต่เราไม่รู้ตัว !!

Silvano P. Colombano ผู้เชี่ยวชาญจาก NASA เชื่อว่ามนุษย์เราต้องพลาดบางอย่างไปแน่ ๆ เกี่ยวกับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาว เพราะทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวในปัจจุบันนั้นแคบจนเกินไป

Colombano เขียนอธิบายในรายงาน ถอดรหัสปัญญามนุษย์ต่างดาว เอาไว้ว่า…

“ผมอยากจะชี้แจงว่ามนุษย์ต่างดาวทรงปัญญาที่เราคิดว่าจะได้เจอนั้น มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่ได้มีร่างกายที่สร้างขึ้นจากคาร์บอนเป็นหลักอย่างเรา”
 
เขายังเชื่ออีกว่ามนุษย์ต่างดาวนั้นมีวิถีการใช้ชีวิต ภูมิปัญญา และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์หลายเท่านัก ซ้ำยังสามารถเดินทางข้ามดาวได้อย่างเชี่ยวชาญ

เขากล่าวว่า “เราอาจต้องย้อนดูทฤษฎีต่าง ๆ กันใหม่ สำหรับเรื่องของการเดินทางข้ามดวงดาวนั้น บางที่อายุขัยของมนุษย์เราก็อาจไม่ได้เป็นอุปสรรคอีกต่อไป อีกอย่างมันเป็นไปได้ที่พวก ‘นักสำรวจ’ (มนุษย์ต่างดาว) จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่ตัวเล็กมาก ๆ จนเราไม่รู้สึกถึงการมาเยือน”

นอกจากนี้ Colombano ยังเตือนให้เห็นถึงปัญหาในการพัฒนาเทคโนโลยีของชาวโลกอีกด้วยว่า…

“ลองพิจารณาดูว่า ความเจริญของมนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อ ๑๐,๐๐๐ ปีก่อน แต่วิทยาศาสตร์นั้นเพิ่งเริ่มพัฒนาเมื่อ ๕๐๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง ฉะนั้น เราไม่อาจคาดการณ์ถึงการวิวัฒนาการของเทคโนโลยีในภายภาคหน้าได้เลย ต่อให้เป็น ๑,๐๐๐ ปีข้างหน้า หรืออีก ๖,๐๐๐ ล้านปีข้างหน้าก็ตาม”

https://www.catdumb.com/nasa-expert-believe-in-alien-415/
https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-6457259/NASA-expert-says-alien-life-visited-Earth.html

https://youtu.be/bJlVcPgQwNY

ในอดีตมีรายงานหลายเรื่องกล่าวถึงปรากฏการณ์ UFO เช่นนี้เหนือน่านฟ้าสหราชอาณาจักร  ;D

https://youtu.be/VyEsdMTVv9Y

https://www.youtube.com/watch?v=3PRsPyZRRNw

ข่าวสารจากมนุษย์ต่างดาวจากจักรวาลอันไกลโพ้น ?

เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๒ เว็บไซต์ไลฟ์ไซแอนส์ รายงานข้อมูลอ้างอิงจากบทความทางวิทยาศาสตร์ของนิตยสาร เนเจอร์ (Nature) ที่เพิ่งถูกเผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ระบุว่า ในช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำหอสังเกตการณ์ซีเอชไอเอ็มอี หรือไชม์ (CHIME-Canadian Hydrogen Intensity Mapping Experiment) ในรัฐบริติชโคลัมเบีย ทางตะวันออกของประเทศแคนาดา พบว่ากล้องโทรทรรศน์วิทยุของหน่วยงานสามารถตรวจจับคลื่นเอฟอาร์บี (FRBs - Fast Radio Bursts) จากห้วงอวกาศอันไกลโพ้นได้ถึง ๑๓ ครั้ง โดยคลื่นชนิดนี้คือคำเรียกการระเบิดหรือการแผ่คลื่นวิทยุที่เข้มข้นและทรงพลังมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว ปรากฏการณ์นี้ได้สร้างความตื่นเต้นอย่างมากแก่วงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ห่างไกล

คลื่นวิทยุปริศนานี้ถูกตรวจจับได้เป็นครั้งแรกในปี ๒๕๕๑ และพบมาแล้วแค่เพียง ๖๐ ครั้งเท่านั้น แต่ในช่วงหลัง ๆ คลื่นวิทยุชนิดนี้ได้ถูกตรวจพบมากขึ้นกว่าเดิม โดยในการตรวจพบ ๑๓ ครั้งล่าสุดนั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำหอสังเกตการณ์ไชม์ พบว่า การระเบิดของคลื่นเอฟอาร์บี ๗ ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นคลื่นวิทยุที่มีความถี่ ๔๐๐ เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ต่ำที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบมา และในการตรวจจับคลื่น ๑๓ ครั้งล่าสุด พบว่า ๖ ครั้งในจำนวนนี้ เป็นการระเบิดหรือลุกวาบในระยะเวลาอันสั้น ติดต่อกัน ๖ ครั้ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะการแผ่คลื่นแบบหลายครั้งติดต่อกันแบบนี้ แทบไม่เคยพบมาก่อน และครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ตรวจจับได้

ข้อมูลเกี่ยวกับคลื่นวิทยุเอฟอาร์บีนั้นค่อนข้างจำกัด และยังไม่มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดมากนัก นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับปัจจัยการกำเนิดของคลื่นวิทยุปริศนานี้เอาไว้หลายประเด็น และมันก็อาจมาจากหลายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในห้วงอวกาศ อาทิ ซูเปอร์โนวา การปล่อยคลื่นไมโครเวฟและคลื่นวิทยุของดาวฤกษ์ที่อยู่ห่างไกล หลุมดำ เนบิวลาหรือเทห์ฟากฟ้าอื่น ๆ ในกาแล็กซีอันไกลโพ้น

แม้ว่าในช่วงหลัง การแผ่คลื่นเอฟอาร์บีจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าเดิม แต่เทคโนโลยีบนโลกยังไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจกับมันได้อย่างถ่องแท้ และย่านความถี่ต่ำที่สุดที่กล้องวิทยุโทรทรรศน์ของหอสังเกตการณ์ไชม์จับได้คือ ๔๐๐ เมกะเฮิรตซ์ ดังนั้นหมายความว่ามันอาจมีคลื่นความถี่ที่ต่ำกว่านี้อีก

อย่างไรก็ตาม การค้นพบครั้งนี้ก็สามารถทำให้นักวิทยาศาสตร์ก้าวไปอีกขั้นในการไขปริศนานี้ เพราะเมื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการตรวจจับคลื่นครั้งหลัง ๆ พบว่ามันมาจากจุดที่ห่างไกลจากโลกประมาณ ๑.๕ พันล้านปีแสง และมันเกิดขึ้นติดต่อกันที่จุดนี้ซ้ำ ๆ หลายครั้ง รวมทั้งการแผ่คลื่น ๖ ครั้งล่าสุดที่พบว่าเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงตัดทฤษฎีเรื่องซูเปอร์โนวา หรือการระเบิดของดาวฤกษ์ออกไป เพราะปรากฏการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในจุดเดียว ดาวฤกษ์ดวงเดียวที่หมดอายุขัยจะสามารถระเบิดแล้วระเบิดอีกอยู่ในจุดเดิมได้ ดังนั้นคลื่นวิทยุเอฟอาร์บีจะต้องเกิดขึ้นจากปรากฏการณ์อื่น

อีกทฤษฎีหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจอย่างมากก็คือ ต้นเหตุของคลื่นวิทยุนี้อาจเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นจากต่างดาว และอาจเป็นคลื่นจากยานอวกาศของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ หรือมันอาจจะเป็นการส่งสัญญาณทักทายจากเพื่อนร่วมเอกภพที่เรายังไม่เคยค้นพบ และไม่รู้ว่าอาจจะมีอยู่จริง แม้ว่าทฤษฎีเรื่องมนุษย์ต่างดาวนี้จะฟังดูเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเหลือเชื่อเหนือธรรมชาติ แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะจักรวาลนอกโลกนั้นกว้างใหญ่มาก ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ยังไม่พบเจอ และคลื่นวิทยุนี้ อาจเป็นกุญแจที่นำไปสู่การไขปริศนาบางอย่างในจักรวาลก็เป็นได้

https://hilight.kapook.com/view/182539

ในห้วงมหาสมุทร คนญี่ปุ่นเรียกปลาออร์ว่า 竜宮の使い (ริวกูโนะทสึไค) หมายถึงผู้ส่งสาส์นจากวังมังกร (竜宮の使い) ซึ่งถือเป็นเจ้าแห่งท้องสมุทร

ในห้วงอวกาศมีดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง อาจเป็นเพราะว่านักดาราศาสตร์เชื่อว่าที่นี่เป็นวังมังกรเหมือนกันจึงตั้งชื่อว่า Ryugu หรือ 竜宮 หรือ ริวกู ซึ่งแปลว่าวังมังกร ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง ๙๐๐ เมตร ห่างจากโลกประมาณ ๒๘๐ ล้านกิโลเมตร เชื่อว่ามีอายุมากกว่า ๔,๐๐๐ ล้านปี ซึ่งเป็นช่วงกำเนิดระบบสุริยะ ผู้ส่งสาส์นจากวังมังกรในอวกาศของญี่ปุ่นคือ เหยี่ยว (はやぶさ - Peregrine falcon)

เมื่อ ๓ วันมาแล้ว (๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) ยานอวกาศฮะยะบุสะ ๒ (はやぶさ 2) ของญี่ปุ่น ลงจอดบนดาวเคราะห์น้อยวังมังกรเพื่อเก็บตัวอย่างผงฝุ่นแร่ธาตุบนผิวดาว ตัวอย่างทั้งหมดนี้จะถูกเคลื่อนย้ายกลับมายังโลกภายในปี ๒๕๖๓ นักวิทยาศาสตร์หวังว่าสาส์นจากดาวเคราะห์วังมังกรนี้อาจจะนำไปสู่การไขคำตอบเรื่องการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตในจักรวาล

https://www.facebook.com/VoiceOnlineTH/videos/617776571991299/

https://voicetv.co.th/read/ajQqfVwBm

ขออวยพรให้ความหวังของนักวิทยาศาสตร์เป็นจริง  ;D

4 โมงเย็นวันนี้เองทุกคนจึงได้รับรู้ว่า ใครบางมีชีวิตอยู่บนโลก 2 ใบเป็นเวลาร่วม 10 ปีแล้ว โลกคู่ขนานมีจริงหาใช่แค่ในนิยาย  ;D

หมายถึงอะไรคะ ไม่เข้าใจ
หมายความว่าคุณเพ็ญชมพูมีฝาแฝดอยู่บนดาววังมังกรงั้นหรือคะ

หมายถึงนักร้องชายที่กำลังดังมากอยู่ในตอนนี้ครับ นอกประเด็นไปนิดขอโทษด้วยครับ (กำลังอิน)

โลกคู่ขนานของป๊อบ  ;)

โลกหนึ่งอยู่กับโบว์
ออกสื่อโชว์หน้าเฮฮา
โลกหนึ่งอยู่กับปลา
แต่งกันหนาหน้าระทม  

https://www.tvpoolonline.com/content/1272007
https://www.thairath.co.th/content/1504801

ไม่บอกว่าเดินทางกลับจากดาววังมังกรแล้ว ด้วยความเร็วกว่าแสง
ทันมาฟังข่าวตอนสี่โมงพอดี
เลยตามไม่ทันค่ะ

ขอออกนอกเส้นทางดวงดาวชั่วคราว
นอกจากผู้ชายทำร้ายผู้หญิง 2 คนพร้อมกันแล้ว  สื่อหลายฉบับก็ยังทำร้ายซ้ำด้วยการเปิดเผยหน้าตา ชื่อจริง อาชีพ ประวัติของผู้หญิงเสียละเอียดลออไม่มีเหลืออีกด้วย
ไม่นึกบ้างหรือว่าเธอจะเผชิญหน้ากับญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน  ลูกศิษย์ลูกหา ได้อย่างไร ทั้งๆไม่ใช่ความผิดของเธอเลย

กลับเข้าสู่หัวข้อกระทู้
ภาพนี้เขาบอกว่าถ่ายได้เมื่อ 15 มกราคม 2562  นี้เอง  เป็นยูโฟ หรือเอฟเฟ็ค เชิญพิจารณาเองนะคะ

https://www.youtube.com/watch?v=_XIrGsAZpE8

เหมือนผมเคยเห็นคลิปนี้เมื่อ 4-5 ปีก่อนมาแล้วนะครับ แต่คราวนั้นมีเสียงในฟิล์มของคนอเมริกาใต้ด้วย ป่าสนแบบนี้เลย UFO ก็แบบนี้เลย แต่ไม่แน่ใจว่ามีลมพัดแรงหรือเปล่า ประมาณว่าฝนใกล้ตกทำนองนี้ คลิปใหม่ใส่เสียงใหม่ มีฉากซูมใกลซูมไกลแต่โดยรวมคล้ายคลึงกันมาก

เดี๋ยวคุณเพ็ญชมพูคงเช็คได้ค่ะ   

คลิปที่เผยแพร่ทางยูทูบช่อง UFO Release ดูน่าตื่นเต้นและตื่นตาเหมือนฉากในภาพยนตร์ ถ้าเป็นเรื่องจริงน่าจะออกเป็นข่าวทางสื่อหลักบ้าง  ;D

ข่าวจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา นครสวรรค์ มีอยู่เป็นระยะ ๆ  

ข่าวมนุษย์ต่างดาวในเมืองไทยเวลานี้คงไม่มีเรื่องไหนดังไปกว่าข่าวมนุษย์ต่างดาวชาวพลูโตที่เขากะลา

เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นเรื่องหลอกลวง โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม  ;D

https://youtu.be/7viR1Lz_BMM

ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูที่นำข่าวนี้มาลงในกระทู้     ดิฉันลืมไปเลยค่ะ ไม่ทันนึกว่าควรจะรวบรวมไว้ในเรือนไทย ว่าครั้งหนึ่งเรามีชาวดาวพลูโตมาเยือนถึงประเทศไทย ผ่านทางคนทรง  ไม่ต้องเอายานมาลงให้เกะกะสนามหลวง

เจ้าสำนักฯ หายตัวเงียบ ชาวบ้านผิดหวัง "นั่งสมาธิดูจานบิน" ยกเลิกจัด

ตำรวจ-ทหารบุกตรวจสอบพื้นที่สำนักปฏิบัติธรรมเขากะลา ขณะที่เจ้าสำนักจานบินหายตัวเงียบ พร้อมกับเหล่าต่างดาว ชาวบ้านผิดหวังงานวันที่ 17 ส.ค.นี้ โดนยกเลิก

ความคืบหน้ากรณีคลิปอัญเชิญเทพที่อ้างว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว "พลูโต" ในพื้นที่ หมู่ 10 ตำบลเขากะลา อำเภอเมือง จ.นครสวรรค์ ล่าสุด นายพินิจ หล้าอยู่ ป่าไม้ชำนาญการ สำนักทรัพยากรป่าไม้ที่ 4 จังหวัดนครสวรรค์ สนธิกำลัง ทหารและตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ เดินทางมายังสำนักปฏิบัติธรรมเขากะลา เพื่อนำเครื่องวัดพิกัดของกรมป่าไม้มาสำรวจตรวจสอบพื้นที่

นายพินิจ กล่าวว่า เบื้องต้นได้นำกำลังป่าไม้มาเดินวัดพิกัดโดยรอบบริเวณ ตั้งแต่เชิงเขาเรื่อยมาจนถึงบริเวณบนยอดเขา เพื่อคำนวณหาพิกัดที่ตั้งว่าพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตป่าไม้ชนิดใด และคำนวณว่ามีพื้นที่บุกรุกจำนวนมากเท่าใด เพื่อรายงานให้กระทรวงทราบและดำเนินการตามกฎหมายในการดำเนินคดีต่อไป

“เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะวัดพิกัดดาวเทียมว่าพื้นที่ดังกล่าวตั้งบนพื้นที่ป่าหรือไม่ อย่างไร และคำนวณว่ามีพื้นที่เท่าไร จากนั้นจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งจากการสังเกตด้วยตาเปล่าพื้นที่ไม่น่าจะสามารถออกเอกสารสิทธิ์ได้ ซึ่งขณะนี้กำลังประสานกับเจ้าหน้าที่คาดว่าจะทราบผลการตรวจสอบประมาณ 7 วัน หากพบใครผิดจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”

 ศิษย์สำนักปฏิบัติธรรมเขากะลาเตือนไทยจะเกิดภัยพิบัติ เชื่อมนุษย์ต่างดาวเตรียมยานอวกาศพาหนีไว้แล้ว

อย่างไรก็ตามบรรยากาศที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ไม่มีคนงานทำงานในช่วงบ่ายเนื่องจาก นายเจริญ แร่เพชร เจ้าของที่ครอบครอง สั่งคนงานให้เลิกทำงาน มีเพียงคนงาน 2 คนเฝ้าสำนักเท่านั้น ล่าสุดได้ติดต่อนายเจริญ กล่าวว่า ไม่เข้าพื้นที่สำนักปฏิบัติ ขณะนี้ติดธุระอยู่นอกพื้นที่ พร้อมกล่าวทีเล่นทีจริงว่า กลัวป่าไม้ล็อคตัวไม่ขอขึ้นไปในพื้นที่

ต่อมา พล.ต.ต.ดำรงค์ ได้เรียกตัวนาย วัชรพล ชื่นสีนวล ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 10 พร้อมผู้ช่วย มาสอบถาม ได้ความว่า เดิมเมื่อ 60 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ดังกล่าวมีพระสงฆ์รูปหนึ่งชื่อพระโกศล มาตั้งสำนักปฏิบัติธรรมอยู่นานพอสมควร ต่อมาเกิดมรณภาพไปยังมีศิษย์ขึ้นมาปฏิบัติธรรมต่อเนื่องเรื่อยมา

จนกระทั่งเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา นายเจริญได้ขึ้นมายึดพื้นที่ครอบครอง และตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ซึ่งวันนี้พยายามติดต่อนายเจริญแต่ไม่ยอมมารับว่าครอบครอง สรุปว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่มีบุคคลครอบครอง

สำหรับบรรยากาศตลอดทั้งวันมีประชาชนที่ทราบข่าว เดินทางมาถ่ายรูปจำนวนมาก เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งส่วนใหญ่ก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นแล้วสวยงาม แต่เรื่องดวงดาวนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงแน่นอน ซึ่งมีคนเห็นว่า แสงไฟที่มองเห็นบนยอดเขานั้น เกิดจากการซ้อมยิงปืน และการจุดพลุไฟของทหารค่ายจิรประวัติ ซึ่งจะจุดพลุไฟในกลางคืน และซ้อมยิงปืนในตอนกลางคืน ทำให้คนที่มานั่งปฏิบัติเห็นแสงไฟจากยอดเขา คิดว่าเป็นยานอวกาศมาจอด และสร้างความฮือฮา

ฮือฮา มนุษย์ต่างดาว "เทพพลูโต" ประทับร่างทรง เตือนเหตุล้างโลกปี 2020

ขณะที่ พล.ต.ต.ดำรงค์ เพ็ชพงศ์ ผบก.ภ.นครสวรรค์ กล่าวว่า จาการสอบถามเบื้องต้นคนที่เฝ้าสถานที่แทนนายเจริญ แร่เพชร ทราบว่าขณะนี้ยังไม่มีใครมาแสดงตนเป็นเจ้าสำนัก เจ้าของสถานที่แท้จริง มีเพียงผู้ดูแลจำนวน 2 คนเท่านั้น

และจากการสอบถามคนเฝ้าสถานที่ทราบว่า เดิมที่สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งฝึกการปฏิบัติทำสมาธิ และทำสแกนกรรมในการช่วยรักษาคนป่วยโดยไม่ใช้ยารักษา ส่วนประเด็นที่เกิดข่าวว่ามีเอเลี่ยน ยานอวกาศนั้น ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่มีความเชื่อเรื่องยูเอฟโอ เพียงกลุ่มคนเหล่านี้มาขอใช้สถานที่เท่านั้น ทำให้สำนักเกิดความเสื่อมเสีย

เบื้องต้นได้สั่งการให้ ผกก.สภ.หนองปลิง เรียกตัว นายเจริญและลูกน้องที่ดูแลสำนักปฏิบัติธรรม กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาสอบปากคำถึงประวัติความเป็นมาของพื้นที่ปฏิบัติธรรม รวมถึงบรรดาผู้รับเหมาก่อสร้างมาสอบเพื่อตรวจเส้นทางการเงิน ว่าเงินที่นำมาสร้างสถานที่แห่งนี้มาจากที่ไหนบ้าง อีกทั้งยังให้เจ้าหน้าที่สอบปากคำชาวบ้านที่เคยเข้าไปร่วมในร่างทรงตามที่ปรากฏในคลิป เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสอบถามแรงจูงใจว่าทำไมเชื่อเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงานรวมพลคนเอเลี่ยน นั่งสมาธิดูจานบินในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ จำเป็นต้องยกเลิกไป เพราะว่าขณะนี้เจ้าสำนักได้หายตัวไป โดยไม่มีใครทราบว่าใครเป็นเจ้าของสถานที่ที่แท้จริงแล้ว ทำให้ชาวบ้านต่างรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

https://www.amarintv.com/news-update/news-22052/418455/

วันที่ 14 ส.ค. 62 ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน นายกสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตนไม่สามารถบอกได้ว่าภาษาในคลิปเป็นภาษาอะไร เพราะภาษาในโลกนี้มีอยู่เป็นหมื่นแสนภาษา ส่วนดาวทั้งในระบบสุริยะจักรวาล และนอกระบบสุริยะจักรวาล มีอยู่กว่า 8,000 ดาว ส่วนดาวอังคารที่ตนติดต่ออยู่ด้วย พบว่ามนุษย์ต่างดาวส่วนใหญ่ไม่มีนามสกุล มีเพียงชื่อที่ใช้พยัญชนะ ไม่มีสระ โดยพยัญชนะของดาวอังคารมีเพียง 24 ตัว ไม่เหมือนกับโลก โดยใช้การสื่อสารกันทางจิต เหมือนการจูนคลื่นให้ตรงกัน โดยไม่ต้องพูดก็สามารถเข้าใจความหมายได้ทันที ส่วนตัวไม่เชื่อเกี่ยวกับร่างทรงดาวพลูโต ส่วนร่างทรงจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตอบไม่ได้

(อ่านรายละเอียดได้ในลิ้งค์ข้างบนค่ะ)

ข่าวมนุษย์ต่างดาวยังไม่จบ

หนุ่มใหญ่อ้างคุยสันติภาพกับมนุษย์ต่างดาว โชว์ภาพถ่ายยานบิน แนะวิธีเห็น ถือศีลทำจิตบริสุทธิ์

วันที่ 18 ส.ค. 62 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางไปพบนายนวพล ที่บ้านพัก ในอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ โดยนายนวพล ยืนยันว่า สามารถติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวจากกาแล็กซี่อื่นได้จริง หลังได้ศึกษาเรื่องจานบินต่างดาวอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี 2558 พร้อมนำภาพถ่ายมนุษย์ต่างดาวและยานบินมายืนยัน

นายนวพล กล่าวว่า ครั้งแรกที่เห็นแสงไฟและวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่มนุษย์ต่างดาวหรือไม่ แต่เมื่อเห็นทุกวันก็เริ่มเชื่อ กระทั่งได้ยินเสียงของมนุษย์ต่างดาวใกล้หู จึงเริ่มพูดคุยกันอย่างจริงจัง ก่อนมนุษย์ต่างดาวจะแสดงอภินิหารให้ตนได้เห็นยานบิน เพื่อยืนยันว่ามนุษย์ต่าวด้าวมีอยู่จริง

ดยเรื่องที่คุยกับมนุษย์ต่างดาว ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องสันติภาพ รวมทั้งเรื่องธรรม และบอกว่า หากมนุษย์รักษาศีล ทำจิตใจบริสุทธิ์ ยกสภาวะจิตให้สูงขึ้น ก็จะสามารถเห็นมนุษย์ต่าวดาวได้ในทุกสถานที่ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปชม หรือไปพิสูจน์ความเชื่อเรื่องดังกล่าวที่เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์ ที่มีความเชื่อเรื่องการสื่อสารกับดาวพลูโต

https://www.amarintv.com/news-update/news-22123/419907/

ผมเคยหัดนั่งสมาธิอยู่พักหนึ่ง พระที่สอนผมท่านบอกว่า เมื่อฝึกนั่นไปได้สักครู่ เริ่มกำหนดลมหายใจได้ต่อเนื่อง จิตนิ่งเป็นสมาธิดีในระดับหนึ่ง สมองของเราจะเริ่มนำเอาข้อมูลที่อยู่ในหัวออกมาประมวลผลใหม่ เราจะเริ่มเห็นภาพ ได้ยินเสียง ได้กลิ่น หรือสัมผัสอะไรๆได้ ทั้งที่สิ่งนั้นไม่มีจริง แต่จะเหมือนจริงอย่างที่สุดเพราะสิ่งเหล่านั้นสร้างขึ้นมาจากสมองของเราเอง และเป็นสมองที่ปราศจากการรบกวน (อันเนื่องมาจากจิตที่กำลังเป็นสมาธิ) เสียด้วย 

ในทางพระ ก็เรียกวิ่งเหล่านี้ว่าเป็นมายา ผู้ฝึกสมาธิควรจะรู้และก้าวข้ามผ่านไปให้ได้

ผู้ฝึกสมาธิบางท่านก้าวข้ามไม่ได้ ก็หลงคิดว่า ตนได้พบเทพเทวดา ได้พบญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ได้พบมนุษย์ต่างดาว ได้ถอดจิตออกไปยังภพภูมิต่างๆ ได้ออกไปในอวกาศ หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่จริตของตนในขณะนั้น ก็จะพลอยคิดไปว่า ตนสำเร็จมรรคผลแล้ว สมาธิของตนแก่กล้าจนสามารถติดต่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติได้แล้ว เราเป็นผู้วิเศษแล้ว แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่พัฒนาต่อไปอีก 

เรื่องเหล่านี้ จะมีจริงหรือไม่ ผมตอบไม่ได้ครับเพราะฝึกไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่ข้อสังเกตของผมก็คือ มนุษย์ต่างดาวในข่าวเหล่านี้จะมาปรากฎให้เห็นในสมาธิ จะรับรู้สัมผัสได้ต่อเมื่อนั่งสมาธิ จริงๆแล้วมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ อาจเป็นแค่นิมิตของผู้นั่งสมาธิผู้นั่นเองก็เป็นได้ครับ 

  น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า "นิมิต" ค่ะ    คุณนริศไม่ต้องไปสนใจน่ะ    ถูกแล้ว
  ฝึกขั้นนี้  มันก็คือจินตนาการที่เรานึกว่าเป็นจริงเท่านั้นเอง
 ( รอดูว่าคุณเพ็ญชมพูจะเข้ามาขยายความว่าอะไร)

เปิดใจนักท่องเที่ยวถ่ายติดUFO เชื่อมนุษย์ต่างดาวเยือนเขากะลาจริง แต่ไม่เชื่อร่างทรง!
วันจันทร์ ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2562, 15.36 น.

เรื่องราวจากกรณี โลกออนไลน์มีการเผยแพร่คลิปร่างทรงดาวพลูโต พูดภาษาต่างดาว ทำนายวันสิ้นโลกปี 2020 ต่อหน้าชาวบ้านเขากะลา จังหวัดนครสวรรค์ จึงทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างมาก เพราะอาจทำให้ประชาชนบางส่วนหลงเชื่อและแตกตื่นได้

ล่าสุดรายการโหนกระแสวันที่ 19 ส.ค โดย "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัดออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.45 – 14.25 น. ทางช่อง 28 ได้เปิดใจสัมภาษณ์ คุณเอ ยุทธศักดิ์ , คุณประสิทธิ์, คุณเหน่ง ภวดล ชาวบ้านที่อ้างว่าเห็น UFO มาพร้อมกับ อาจารย์เจษฏา เด่นดวงบริพัทธ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว

ทั้งสามท่านเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวติตดต่อมายังโลกมนุษย์?
เอก : "ติดต่อมั้ย อาจยังไม่กล้าตอบตรงนั้น แต่เขามา"

อาจารย์ในมุมโลกมนุษย์ อาจไม่ใช่ดาวดวงเดียว?
เจษฎา : "เราเห็นภาพว่าเราเองเป็นดาวเคราะห์โลกในระบบสุริยะจักรวาล ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ดวงนะ ดาวพุธ ดาวศุกร์ อะไรก็ว่าไป ดาวเคราะหืโลกในระบบสุริยะจักรวาล เป็นกาแลคซี่ทางช้างเผือกเรา เราอยู่แค่ปลายติ่งเดียว กาแลคซี่ใหญ่กว่าเรามหาศาล ในอวกาศอาจมีเป็นหมื่นๆ กาแลคซี่ มันใหญ่มหาศาล เพราะฉะนั้นแทบทุกคนจะพูดตรงกัน เราไม่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในอวกาศนี้ แต่เขาทรงปัญญาหรือเปล่า รูปร่างหน้าตาเหมือนเราหรือเปล่า ไม่มีใครทราบ แต่ปัญหาคือเขาจะเยือนโลกเราได้มั้ย เคยมาหรือเปล่า ปัจจุบันยังเป็นคำถาม เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ฟันธงว่ามาจริงๆ"

คุณเอก เชื่อว่าเขามาแล้ว ?
เอก : "ครับ ผมไปเที่ยวแล้วถ่ายภาพติด เมื่อคืนวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา"

คุณเชื่อว่ามีมนุษย์ตางดาวอยู่แล้วหรือเปล่า?
เอก : "ตอนแรกเชื่อ 50 แต่ก็ไม่ได้คิดว่าไม่มี เพราะผมก็ศึกษาอยู่บ้าง ไม่คิดว่าจะได้เห็นเองด้วย"

คุณเป็นกลุ่มเขากะลาหรือเปล่า?
เอก : "ไม่ครับ ผมไปเที่ยว ไปวันที่ 15 พอไปถึงได้ข่าวว่าวันที่ 17 เขามีงาน ก็เลยนอนอีกคืน พอคืนวันที่ 16 ประมาณสองทุ่มกว่าๆ มีครอบครัวนึงเขานั่งสวดมนต์ สักพักมีคนบอกว่ามาแล้ว"

อะไรมา?
เอก : "เป็นแสงลอยมา วันนั้นอยู่กันสิบกว่าคน ไม่เยอะ ตอนแรกมีสองดวง อีกสักสองนาทีมาอีกดวง เป็นดวงที่สามข้างล่าง เป็นไฟกระพริบ ดูด้วยตาจะเห็นชัดกว่านี้ ผมถ่ายคืนวันที่ 16 ส.ค. ประมาณสองทุ่มยี่สิบเอ็ดนาที ไม่ได้ถ่ายบนท้องฟ้า ถ่ายประมาณตีนเขา ไม่ได้สูงมากด้วย ประมาณ 10-20 เมตร สามลำลอย"
 
กะสือหรือเปล่า?

เอก : "ไม่ใช่ครับ ผมกะด้วยสายตา ถ้ามองสิบล้อ กลางวันสิบล้อยังคันเล็กเลย มองว่าถ้าเป็นโดรนไม่มีทาง ระยะทางนี้ไม่มีทางเห็น เพราะกลางวันผมเคยเห็นโดรน"

ได้ยินเสียงมั้ย?
เอก : "ไม่ได้ยินเสียง กล้องผมเห็นอยู่สองดวงก่อน มีมือถือคนที่เขาถ่ายหน้าผมจะเห็นระยะมันไกล แล้วกะพริบๆ ให้รู้ว่าคนละดวงกัน ข้างล่างมาอีกลำ ในช่วงเวลาประมาณ 5 นาที"

ที่ขึ้นไว้เป็นภาษาอะไร จุ๊กจิ๊กๆ เขาสื่อกันเหรอ?
เอก : "คนนี้เป็นนักท่องเที่ยวนะ ผมเจอเขาตอนกลางวัน"

เขาพูดทั้งไทยและต่างดาว สาธุกันใหญ่ ?
เอก : "เหมือนไม่เกี่ยวกับเขา พี่เป็นนักท่องเที่ยว อยู่ดีๆ เขาพูดมาเอง  เขาเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนผม เขาพูดแบบนี้ทำไมเราก็ไม่ทราบ ตอนเช้าเขาก็กลับแล้ว"

เขาประกาศโลกจะได้รู้เขากะลามีมนุษย์ต่างดาวจริงๆ ?
เอก : "อันนั้นเป็นนักท่องเที่ยว ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย ส่วนใหญ่จะเห็นเงียบๆ อึกทึกครึกโครมมันไม่ดี"

เขาจะมีการชุมนุมวันที่ 17 พี่ตั้งใจไปอยู่แล้วเหรอ?
เอก : "ไม่ฮะ ผมกะไปนอนคืน 15 แต่พอรู้ข่าวว่ามีการประชุมกันก็นอนอีกคืน แต่เราก็รู้สึกอากาศมันดี มีพี่ที่เขาสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ก็พักผ่อน เลยนอนอีกคืน แล้วกะว่า 17 กะไปดูเขาเขาแถลง เหมืนนักท่องเที่ยว แค่นั้นเอง"

อาจารย์แปลให้ฟังหน่อย?
เจษฎา : "ผมไม่คร่ำหวอดภาษามนุษย์ต่างดาว ผมไม่ค่อยเข้าใจ โอเคเขาอาจตื่นเต้น แต่เขาเป็นคนมาบ่อยๆ มั้ย"
เอก : "ไม่ ผมคุยกับเขาตอนกลางวัน เขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็น เขามากับลูกสองคน"
เจษฎา : "มันผิดปกติ พูดสาธุไม่แปลกใจ เชิงพุทธ อาจยินดี สาธุคือซาบซึ้งไปด้วย แต่ทำเสียงแบบนั้นไม่เข้าใจว่าเขาสื่ออะไร"

พี่ประสิทธิ์ เชื่อมั้ยเขาสื่อสารกัน?
ประสิทธิ์ : "ผมก็งงๆ เขามาเที่ยว อยู่ดีๆ พูดอย่างนั้นได้ไง เขาเป็นคนปกติ แต่พอเห็นจาน เขาพูดภาษาอะไรที่ฟังไม่ออก"
 
คิดว่าเขาสื่อสารกับต่างดาวมั้ย?
ประสิทธิ์ : "มุมนึงก็คิดว่าเขาสื่อสารกันล่ะมั้ง ผมก็ไปปฏิบัติธรรมที่นั่น ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ผมเห็นคือผมไปปฏิบัติธรรมที่นั่น ผมกางเต้นใช้กระโจมใหญ่แล้วแบบมุ้งครอบ อยู่มุมนึงบนเขากะลา เสร็จแล้วมีน้องๆ มานั่งปฏิบัติธรรมประมาณ 4-5 คน รวมทั้งคุณเอก เรียงๆ กันไปสี่คน แล้วผมก็นั่งภาวนาตามครูบาอาจารย์สอนมา ไม่เกี่ยวกับยูเอฟโอ ก็ลืมตาไปมองว่าใครนั่งกันบ้าง อยู่ดีๆ เห็นไฟวิบๆ อยู่ซ้ายมือสุดของคนสุดทาย แล้วก็เห็นไฟแว้บ แต่ระดับการมองอยู่บนเขา ด้านโน้นป็นภูเขาทั้งหมด ไม่มีใครไปเล่นไฟบนภูเขา แว้บแล้วหายไป เหมือนคนเล่นกล้อง ผมก็ไม่ได้ถามเขาในคืนนั้น หลับตาแล้วภาวนาต่อ เช้ามาก็มาเจอกัน ผมก็เอ๊ะ เมื่อคืนนั่งหน้าองค์พระ ใครอยู่คนสุดท้าย หนูค่ะ ทำไมนั่งแล้วหนูเล่นโทรศัพท์ เขาบอกว่าปิดกันหมดเลย แล้วมันคืออะไร"

ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาว?
ประสิทธิ์ : "แล้วคุณหนุ่มคิดว่าเป็นอะไร บนเขาใครจะไปเล่นไฟ ไฟก็ไม่ปกติ ชาวบ้านบนเขาก็ไม่มี มันเป็นป่า"

มุมพี่เหน่งเชื่อเหลือเกิน ว่ามนุษย์ต่างดาวมาแล้ว?
เหน่ง : "อันดับแรกผมเชื่อในพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกเรื่องเป็นไปไม่ได้ หรือไม่ได้ ไม่สมควรเอามาพูดกัน เพราะพูดไปจะมีสองฝ่าย มีฝ่ายเชื่อและไม่เชือ ท่านถึงออกกฎว่าพระไม่ควรพูดเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เราเป็นธรรมดา เราพูดได้ ที่ผมไป เพราะมีคนๆ นึง ที่บางปะกง ฉะเชิงเทราเขามาอยู่ที่นั่นก่อน ก็มาลงในการสัมภาษณ์ ผมเป็นคนชลบุรี บ้านอยู่หลังโรงไฟฟ้าบางปะกง ผมก็เดินทางมาพิสูจน์เลย เพราะที่นี่มีการปฏิบัติธรรม ผมชอบปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ไปถึงนักข่าวมารวมกันหลายช่องเต็มไปหมด พอค่ำมืด วันที่ 17 ส.ค. บนลานเป็นแบบโต๊ะกรมๆ มีพระพุทธรูปให้กราบไหว้ เราก็ไปไหว้สวดมนต์ สี่ห้าทุ่มฝนตกปรอยๆ เสร็จแล้วก็แยกย้าย ผมก็เอารถไปจอดหาที่นอน ผมได้นอนในรถ ผมไปทีหลังคนเต็ม ประมาณห้าทุ่มเศษๆ เราก็มานั่งรอ ช่องนี้เป็นช่องภูเขาสูงนะ นั่งคุยกับพวกปฏิบัติธรรม แป๊บเดียวก็เตรียมโทรศัพท์วางไว้ เปิดสแตนบาย เผื่อมีอะไรจะได้ถ่ายทัน ประมาณห้าทุ่มสี่สิบมาทันทีเลย วับๆ มาที่ยอดเขา ก็เป็นดวงไฟเลย  แต่ของผมเป็นดวงไฟลอยมา ผมถามว่าบนยอดเขา ใครสามารถขึ้นไปลากอะไรได้มั้ย ไม่ได้นะ เพราะเขาสูงมาก จากมุมนี้ก็ลอยไปโผล่มุมโน้น ถ้าเป็นยานหรือเครื่องบินที่โลกเรา เขาจะยักไปไม่ได้ แต่อันนี้ยักได้ เขาเลี้ยวได้ 90 องศา เครื่องบินทำไม่ได้นะ โดรนก็ไม่ได้ ยอดเขาสูงมาก ใครจะไปบังคับได้ ผมถ่ายได้สองนาทีกว่า ดูจนเป็นที่พอใจ ไม่ได้เห็นคนเดียวนะ เห็นทุกคน ของผมสดๆ"

ทำไมถึงเชื่อว่ามาอยู่นานแล้ว?
เหน่ง : "เรื่องเขากะลาได้ยินข่าวมา 20 ปีแล้ว เขามาอยู่นี่นานแล้ว เดี๋ยวนี้โลกเรามีอะไรแปลกๆ พิลึกขึ้นเรื่อยๆ เขาให้เห็นถี่ๆ บ่อยๆ ทุกวันนี้คนธรรมดาก็เห็นได้แล้ว เมื่อก่อนคนเห็นเป็นนักปฏิบัติธรรม เดี๋ยวนี้คนธรรมดาก็เห็นกันได้"

คนเห็นยูเอฟโอต้องเป็นคนปฏิบัติธรรม?
เหน่ง : "เดี๋ยวนี้ใครก็เห็นได้ คุณไปนั่งเงียบๆ คุณเป็นนักท่องเที่ยวไปนั่งปฏิบัติธรรม คุณไปจ้อกแจ้กๆ เขาไม่มา ไม่สมควร ไปสวดมนต์ไหว้พระเงียบๆ เดี๋ยวเขามาให้เห็นเอง"

ที่เหมือนมีการเข้าทรง สื่อออกมา?
เหน่ง : "อันนั้นผมไม่เชื่อ"
 
มีคนไปสื่อสาร เขาบอกว่าเป็นดาวพลูโต แต่ได้คุยกับอ.สมจิตร์ เขาบอกว่าอันนี้ไม่ใช่ดาวพลูโต เขาสื่อสารได้จริง โดยการบอกว่าดาวพลูโตเป็นกายละเอียด ลอยไปลอยมา บังคับยานจากกายละเอียด

แต่วันนั้นที่ทางคุณหมอพงษ์ศักดิ์ไปคุย บอกว่ามาจากดาวอีกดวงนึง จากอีกกาแลคซี่นึง แล้วสื่อมาแบบนี้ เชื่อมั้ย?

เหน่ง : "อะไรที่ผมไม่เห็นด้วยตา ผมไม่เชื่อ เมื่อกี้ที่ฟังก็ไม่เชื่อ แต่ที่ผมเห็นผมเชื่อว่ามันใช่ แต่ฟังมาผมไม่เชื่อ"

อาจารย์จะตอบยังไง ในมุมสามท่านที่เห็น?

เจษฎา : "เขากะลาเป็นพื้นที่ที่คนศึกษาสนใจมานานมาก 30-40 ปีด้วยซ้ำ มีกลุ่มคนที่เขาเชื่อมาก ประตูมิติต่างๆ อาจมีอะไรที่เราไม่รู้เกี่ยวกับเขากะลา เพราะเขากะลาใหญ่มาก มีจุดชมวิวจุดนึง บนเขากะลามีสถานีส่งทีวีช่องนึง มีทางรถวิ่งขึ้นไปข้างบนด้วย ด้านหลังเขากะลาเป็นค่ายทหาร อีกด้านนึงเป็นสนามบิน เขาตาคลี ไม่ได้โด่งดังมากในระดับโลกเท่าไหร่เพราะหลายจุดหลายภาพที่ออกมา ยังไม่สามารถฟันธงได้ ถ้าอะไรก็ตามที่ระบุได้ก็จะเป็นยูเอฟโอ แต่หลายครั้งบอกเห็นดาวสว่างมาก เห็นดาวเทียมเคลื่อนที่ สถานีอวกาศเคลื่อนที่ คนเข้าใจผิด แต่เขาพิสูจนืได้ว่าคืออะไรมันก็จบ เคสนี้ถ้ามองจะคล้ายกันมาก ความมืดจะหลอกตาเราได้มาก พอซูมใกล้ๆ หาตำแหน่งใกล้ๆ ก็จะได้คำตอบ ต้องหาคำตอบร่วมกัน ภาพเมื่อกี้แสงสว่างคืออะไรก็ยังไม่ทราบ ต้องไปตามหาว่าตำแหน่งเดียวกับที่รถขึ้นเขามั้ย แต่แสงวับๆ ตอบง่าย เป็นรีเฟลกซ์ หรือปัญหาของกล้อง เวลาซูมไปก็จะเกิดภาวะพวกนี้ เอากล้องมือถือไปถ่ายหลอดไฟไกลๆ ก็ได้ พอซูมไปก็จะเกิดภาวะวับๆ ขึ้นมา ในมุมผม ภาพรวมเราไม่ตัดช้อยส์ว่ามนุษย์ต่างดาวไม่มีจริง ไม่ตัดช้อยส์ว่าสิ่งที่พี่เห็นเป็นยูเอฟโอหรือเปล่า แต่ ณ ตอนนี้หลักฐานยังไม่ยืนยันว่ามีจริง"

พี่ว่าไง?
เอก : "ของผมเห็นว่าคนข้างหน้ามีจอมือถือ แต่แสงผมอยู่ไกลๆ มันไม่สะท้อนแน่นอน เหมือนเราถ่ายพระจันทร์ด้วยกล้องจะไม่เห็นเหมือนตาเปล่าๆ มอง ของผมมีไฟหรี่ให้เห็นว่าสามดวงอยู่คนละตำแหน่ง หรี่ดับให้เห็น มันไม่ใช่การสะท้อน เพราะกล้องผมอยู่เหมือนเดิม"

อาจารย์กรณีแบบนี้ อาจารย์บอกมีสถานีโทรทัศน์ช่องนึง มีเป็นค่ายทหาร แสงพวกนี้มาปรากฎในมุมที่พี่เขาเห็น?
เจษฎา : "จริงๆ ตาคนเรามีจุดบอด มีเรื่องความไม่มีประสิทธิภาพหลายจุดเหมือนกัน สิ่งที่เห็นอย่างแรกคือกะระยะไม่ถูก ระยะผิดเพี้ยนหมดเลย เหมือนบั้งไฟพญานาค มันจะพูดยากมาก ถ้าเรามีสิ่งที่บันทึกที่ดีกว่านี้ ก็จะเห็นได้ชัดกว่านี้ ก็พยายามเน้นว่าแสงเป็นจุด กล้องมือถือต่างๆ การมีกล้องเยอะ การที่แสงมันจะวิบๆ เกิดขึ้นได้ง่ายมาก หลายคนถ่ายมาไม่ว่าจะกระสือก็ตาม พอมาดูจริงๆ ไม่ใช่กระสือหรอก เป็นจุดไฟธรรมดาที่กล้องมีปัญหา ปัญหาคือเรากะระยะค่อนข้างยาก ถ้าในอนาคตมีเครื่องมือที่ดี จะบอกได้ชัดว่าที่เห็นๆ คืออะไร"

นาซ่าเคยมีข่าวเล็ดลอดว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาโลก?
เจษฎา : "ถ้านาซ่าจริงๆ ไม่มีการยืนยันแบบนั้น จะมีการพูดอ้างอิงของสื่อนาซ่ามากกว่า เบสิกก่อนถ้าเห็นภาพนาซ่า บางทีบอกว่านาซ่าแต่จริงๆ ไม่ใช่ ที่เห็นบ่อยมากเอาภาพมา อย่างภาพดวงอาทิตย์แล้วเป็นเงาดำๆ  มันเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ แต่คนดึงภาพไปใช้ก็จะคิดแบบนั้น ส่วนเอเรีย 51 ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วในวันนี้ ว่าเป็นสนามบินอเมริกา ใช้ทดสอบเครื่องบินรบล่าสุดเป็นความลับสุดยอด แต่เมื่อ 50 ก่อนไม่เคยมีใครเห็นเครื่องบินแว้บไปแว้บมา คนก็เข้าใจว่าเป็นยูเอฟโอได้"

มุมพี่ประสิทธิ์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ในใจว่ามาแล้ว?
ประสิทธิ์ : "เห็นด้วยตาตัวเอง เห็นแค่แสง"

เคยเจอตัวเป็นๆ?
ประสิทธิ์ : "ไม่เคยเจอ"

พี่ล่ะ?
เอก : "ไม่เคยเจอ"
เหน่ง : "ไม่เคยเจอ"
ประสิทธิ์ : "ไม่มีใครไปอยู่บนเขาตอนกลางคืน"
เอก : "กล้องคนละยี่ห้อ คนละแบบ จะมาเออเร่อเหมือนกัน เป็นไปไม่ได้"

ถ้าผมไปนอนจะเห็นมั้ย?
เหน่ง : "90 เปอร์เซ็นต์อาจจะไเด้เห็น ต้องเปิดใจ"
ประสิทธิ์ : "หาเวลา คิดว่าไปพักผ่อน นอนกระโจม"   

https://www.naewna.com/local/434277

https://youtu.be/Ja-mZSTSSeI

ผมลองมาดูแผนที่ ทิศใต้ของเขากะลา ห่างออกไปราว 30 กิโลเมตร คือกองบิน 4 ตาคลี
ยานต่างดาวถ้ามีจริง และมาขึ้นลงในระยะนี้ พี่คงต้องรบกับ F16 MLU และ T50Th ของตาคลีซะก่อน เว้นแต่ขออนุญาตบินผ่านน่านฟ้ากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว (อิอิ)

อ. เจษฎา ก็พยายามบอกใบ้ว่า

ว่าด้วยเรื่อง "คนทรง" กับ "มนุษย์ต่างดาว"

เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ได้มีการค้นคว้าทดลองศึกษาความลึกลับเกี่ยวกับทางจิตในสหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้มากกว่า ๒๐ ปี ดร. แอนดริจา พูเฮริซ (Dr.Andrija Puharich) นักจิตวิทยาและวิศวกรอิเลคทรอนิคส์ทางเครื่องมือแพทย์ประจำอยู่ที่ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งนิวยอร์ค (New York University Medical Center) ได้ทดลองเรื่องการเข้าทรงโดย นางชเลมเมอร์ ฟิลลิส (Mrs.Schlemmer Phyllis) เป็นคนทรง และมีนายจอห์น วิทมอร์ (Mr.John Whitmore) นักศึกษาจิตศาสตร์จาก โอซ์ซินนิ่ง นิวยอร์คเสตท (Ossinging New York State) เป็นผู้ร่วมงาน

มีผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์สมทบภายหลังอีกหลายคน เช่น ดร. ไลออล วอทสัน (Dr.Lyall Watson) นักจิตวิทยา ศาสตราจารย์ ดร. คาร์ล ซาแกน (Prof. Dr.Carl Sagan) นักดาราศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทางเรื่องมนุษย์วิทยา อีกทั้งนักธรรมเปรียญ ผู้เชี่ยวชาญทางเรื่องเทววิทยาศาสนศาสตร์ เหตุที่ต้องเชิญผู้ชำนาญการในสาขาวิชาเหล่านี้เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย ก็เพราะภายหลังจากการเข้าทรงของนางฟิลลิส ๕-๖ ครั้ง ปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น "สิ่ง" ที่มาเข้าคนทรงนั้น ไม่ใช่ภูตผีวิญญาณอย่างเช่นที่ควรจะเป็น อะไรก็ตามที่พูดผ่านคนทรงออกมา อ้างตนเองเป็น "มนุษย์ต่างพิภพ" และเขาตั้งชื่อตัวเองว่า "ทอม" (Tom) เพื่อความสะดวกในการติดต่อเรียกชื่อกัน

การติดต่อผ่านคนทรงระหว่างคณะผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวกับ มนุษย์ต่างดาวที่เรียกตัวเองว่า ทอม ได้ถูกบันทึกไว้ในเทปบันทึกเสียงโดยตลอด มีการติดต่อหลายร้อยครั้ง รวมเวลาคำสนทนายาวถึง ๒๐๐ ชั่วโมงกว่าในการติดต่อโดยผ่านคนทรง มีการนัดหมายวันเวลาที่จะติดต่อกันเป็นครั้ง ๆ ไป เรื่องราวนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องการเข้าทรงธรรมดาอย่างที่ใครเข้าใจ แต่มันมีความลึกซึ้งไปกว่านั้น เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ผ่านการพิสูจน์ตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาวิชาด้วยกัน เท่าที่เครื่องมือและความรู้ทางวิทยาการปัจจุบันจะอำนวย ก็ไม่สามารถค้นพบความหลอกลวงได้ เรื่องทั้งหมดจึงเป็นเรื่องที่ทิ้งไว้ ให้อยู่ในดุลยพินิจของนักวิชาการทั้งหลาย ที่มีส่วนรู้เห็นว่าจะเชื่อหรือปฏิเสธเท่านั้น

ต่อมา สจ๊วร์ต โฮลรอย์ด (Stuart Holroyd) นักเขียนชาวอังกฤษนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ในหนังสือชื่อ Briefing for the Landing on Planet Earth (https://www.bibliotecapleyades.net/sociopolitica/landing_planetearth/brflist.htm)

จากหนังสือ "จานบินวิเคราะห์" เรียบเรียงโดย ดนต์ รัตนทัศนีย พิมพ์ครั้งที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๔ มนุษย์กับจานบิน บทที่ ๑๓ เตรียมการลงสู่พิภพ "โลก"

http://kaokalaufo1.blogspot.com/2014/05/2517-1.html?view=classic

https://youtu.be/PHJgbrhAv2A

ทดลองกันตั้งแต่พ.ศ. 2517  ผ่านมา 45 ปี    มนุษย์ต่างดาว "ทอม" ป่านนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหนคะ?
ทำไมไม่มีความคืบหน้าในการติดต่ออย่างเป็นทางการระหว่างพิภพสักที     
ถ้าเทียบว่าโลกคือประเทศหนึ่ง และดาวของนายทอมคืออีกประเทศหนึ่ง    เวลา 45 ปีก็ช้ามากในด้านสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   เรียกว่าระดับศูนย์ก็ว่าได้
ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน ผ่านมากี่สิบปี  ยูโฟก็ยังผลุบๆโผล่ๆให้เห็นแวบๆ  ปรากฏแก่คนซึ่งไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับศาสตร์ด้านนี้     
ไม่เคยไปปรากฏให้รัฐมนตรีหรือปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เห็นสักที

แม้ว่ามีดร. นายแพทย์ ปัญญาชนหลายคนอ้างว่าติดต่อกันได้   แต่จนบัดนี้ก็ยังเป็นการติดต่อลับๆ  และลึกลับ   ไม่มีหลักฐานมาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันนอกจากคำบอกเล่า

ห่วงอีกอย่าง เขากะลาอยู่ใกล้สนามบินตาคลีของกองทัพอากาศ   มีคนแห่กันไปเฝ้าสังเกตการณ์ ถ่ายรูปโน่นรูปนี่กันมากมาย  จะติดภาพที่เป็นสิ่งหวงห้ามของกองทัพเข้าบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

ส่วน Dr.Andrija Puharich นั้น ถ้าไปเปิดกูเกิ้ลอ่านประวัติและผลงานของแกแล้ว  จะเห็นได้ว่านักวิทยาศาสตร์จำนวนมากก็ไม่ได้ถือแกเป็นเรื่องจริงจังสักเท่าไหร่ค่ะ

ผมลองจินตนาการเล่นๆตามประสาคนคิดไปเรื่อยเปื่อย

ไม่ว่า "พาหนะ" ที่มนุษย์ต่างดาวใช้จะเรียกว่าอะไร หรือมีเทคโนโลยีที่ดีเพียงใดก็ตาม การใช้พาหนะชนิดนั้นๆ เดินทางข้ามห้วงอวกาศเป็นระยะทางไกลๆ อย่างไรก็ย่อมมีค่าใช้จ่าย และมีแนวโน้นว่า ค่าใช้จ่ายจะสูงด้วยครับ
 
ยานเดินทางระหว่างดวงดาว เองก็ไม่น่าที่จะเป็นของที่มีกันได้ทุกคน เปรียบเทียบกับเรือขนาดที่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ ไม่ใช่ของที่มีประจำทุกบ้านแน่นอนครับ ยิ่งถ้าเป็นระดับที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย เหมือนการไปสำรวจทวีปใหม่ของโคลัมบัส ยานพวกนั้นต้องมีความพิเศษ อาจจะต้องติดอาวุธ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะไปเจอชนพื้นเมืองโหดร้ายหรือเปล่า หรืออาจจะไปเจอมนุษย์ต่างดาวอีกพวกที่มีเทคโนโลยีใกล้เคียงกัน ก็อาจจะเกิดการกระทบกระทั่งกันได้ ยานเดินทางสำรวจระดับนี้อย่างไรก็ควรมีระบบอาวุธ และเมื่อยานติดอาวุธ ความเป็นไปได้ที่ว่า ยานจะเป็นของรัฐ ไม่ใช่ของเอกชน

เอาสองข้อมารวมกัน การใช้ยานของรัฐไปทำภารกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ตั้งโครงการต้องมีเหตุผลที่เพียงพอ และโครงการนั้นต้องคุ้มค่า

ถ้าผมอยู่ในคณะกรรมมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีของสภาดาวพลูโต แล้วมีใครตั้งงบประมาณ 3 หมื่นล้าน (สมมุตินะครับ) เป็นค่าเชื้อเพลิงยานอวกาศบินไปเขากะลา เพื่อโชว์ตัวตามคำร้องขอทางจิตของเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมท้องถิ่น ผมมั่นใจว่า โครงการนี้ไม่ผ่านแน่นอน แถมคนเสนอโดนด่าด้วยครับ (ฮ่า)

ดังนั้น ไม่ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมีจริงหรือไม่ (ซึ่งผมก็เชื่อว่า มีจริง) แต่ผมมั่นใจว่า เขาไม่ลงทุนบินมาเขากะละเพื่อโชว์ตัวให้เราดูฟรีๆ ปลี้ๆเปล่าๆ อย่างนั้นหรอกครับ   

"ทอม" พูดผ่านคนทรง คือ คุณ Schlemmer Phyllis ว่า

เราไม่ใช่สิ่งมีตัวตนที่จับต้องได้ แต่เราสามารถแสดงตัวตนให้จับต้องได้ และแลเห็นได้โดยผ่านทางร่างสังเคราะห์เทียม เมื่อจำเป็นต้องทำ มันเป็นการยากที่เราจะอธิบายให้พวกท่านเข้าใจได้ชัดเจนว่าเรามีรูปร่างในลักษณะใดก็ได้ เราสามารถแสดงรูปร่างของมนุษย์ได้ เราอาจจะแสดงตัวในรูปร่างของพลังงานที่เปล่งแสงเจิดจ้าก็ได้ เราได้มีวิวัฒนาการไปไกลเหนือจุดแห่งความต้องการยึดเหนี่ยวทางร่างกายที่ เป็นวัตถุธาตุ เราไม่มีความต้องการร่างกายที่เป็นเลือดเนื้อหนังมังสา

เราคือชีวิตที่ปราศจากรูปทางฟิสิกส์ อย่างที่เราเคยบอกแก่ท่านแล้ว เราไม่มีธรรมชาติของตัวตน เรามีธรรมชาติเป็นอยู่ในลักษณะของพลังงาน หรือเป็นพลังงานในความเข้าใจของมนุษย์ เราอยู่ในเขตเย็น ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถเปลี่ยนสภาพรูปร่างได้ตามที่เราต้องการ

สิ่งที่จะมากับยานบินของเรา ไม่ใช่เรา แต่จะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือมนุษย์จากพิภพอื่น ๆ เขาเหล่านั้นเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้เจริญซึ่งมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ สูงมากกว่าวิทยาศาสตร์ และความเจริญใด ๆ ที่มีอยู่บนโลกของท่าน กลุ่มสมาชิกต่างพิภพที่จะนำยานลงจอดนี้ จะมาช่วยแก้ไขปัญหาที่มนุษย์ไม่มีวันแก้เองได้สำเร็จ จะมาช่วยสอนวิทยาการที่ก้าวไกลกว่า และดีกว่าที่มีอยู่บนโลก แต่จุดมุ่งหมายใหญ่แล้วเขาจะมาจัดการ ยกระดับจิต ของพวกท่าน จะช่วยทำให้ระดับจิตของพวกท่านสูงขึ้น และดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

เรื่องของ "ทอม" ในหนังสือ "จานบินวิเคราะห์" จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละท่าน มนุษย์ต่างดาวอาจจะมีอยู่หลายรูปแบบ และมนุษย์ต่างดาวอย่าง "ทอม" ซึ่งอยู่ในรูป "พลังงาน" อาจจะมีอยู่ที่ใดที่หนึ่งในจักรวาล

การเดินทางในอวกาศสำหรับมนุษย์ต่างดาวโดยพื้นฐานอาจจำเป็นต้องใช้ยานอวกาศ แต่สำหรับมนุษย์ต่างดาวซึ่งมีรูปแบบอย่าง "ทอม" น่าจะสามารถเดินทางโดยใช้โทรจิต  "พาหนะ" ซึ่งเป็นสสาร อาจจะไม่จำเป็น  ;D

มนุษย์ต่างดาว สุดเก่งกาจ  วิวัฒนาการไปได้ไกลกว่ามนุษย์ไม่รู้กี่เท่า   ชนิดเดินทางก็ไม่ต้องใช้ยานอวกาศ ให้เปลืองงบประมาณ  แสดงตัวในรูปอะไรก็ได้   
แต่เวลาจะสื่อสารกับมนุษย์ต้องพึ่งคนทรงโนเนม    ตัวพี่ทอมแสดงรูปร่างออกมาไม่ได้จนแล้วจนรอด

โธ่เอ๊ย....     

คนเขากะลาสาวไส้! คลิป UFO โผล่แค่แสงไฟรถ ฉะพูดภาษานอกโลกแค่แหกตา (คลิป)
นายประสิทธิ์ จิตโสภี สมาชิกกลุ่มดู UFO ที่เขากะลา เปิดเผยในรายการต่างคนต่างคิด ออกอากาศทางอมรินทร์ทีวี ช่อง 34 วันจันทร์ที่ 19 ส.ค. 62 เวลา 18.00 น. ว่า ตนเองไม่สามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ แต่ต้องการพิสูจน์ว่าไปที่เขากะลาแล้วจะเห็นจานบินได้หรือไม่ หลังจากไปปฏิบัติธรรมก็ได้เห็นวัตถุบางอย่างคล้ายจานบิน ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่เครื่องบินหรือนก
โดยแสงไฟที่เห็นบนเขากะลา มีคนมุงดูกันเป็นจำนวนมากกำลังกราบไหว้ และหญิงรายหนึ่งที่เปล่งเสียงไม่เป็นภาษา คล้ายสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ ชาวบ้านก็ตะโกน “สาธุ” พร้อมกัน ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว แต่เป็นแสงไฟ 2 ดวงจากรถยนต์ด้านล่าง ตนเห็นเหตุการณ์ก็บอกกับชาวบ้านว่า “หาเรื่องแล้ว แบบนี้ไม่ใช่แล้ว”

อ่านต่อได้ที่นี่ค่ะ
https://www.amarintv.com/news-update/news-22193/420897/

ร่างทรงมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลาอาจได้แรงบันดาลใจในการเปล่งภาษาต่างดาวจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้  ;D

https://youtu.be/M3FtlKHZXhs

ชีวิตต่างดาว ห่างเรา ๑๑๐ ปีแสง ⁉️

ทีมนักวิทยาศาสตร์อังกฤษ ค้นพบน้ำบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะเป็นครั้งแรก จุดไฟแห่งความหวังครั้งใหม่แห่งมวลมนุษยชาติว่าด้วยการค้นหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ที่เหมาะกับการดำรงชีพของมนุษย์

ทีมนักวิจัยจาก University College London ออกถลงข่าวเมื่อวันพุธ (๑๑ กันยายน ๒๕๖๒) ว่าค้นพบไอน้ำในอากาศของดาวเคราะห์ K2-18b ซึ่งทีมนักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่า Super Earth ห่างออกไปจากโลกราว ๑๑๐ ปีแสง และมีอุณหภูมิเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต

ปัจจุบัน มีการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะมากกว่า ๔,๐๐๐ ดวง แต่นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่ามีดาวเคราะห์ K2-18b เพียงดวงเดียวเท่านั้นที่พบน้ำ พื้นผิวขรุขระ และสภาพอากาศที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตใกล้เคียงกับโลก แตกต่างกันแค่ดาวเคราะห์ K2-18b มีขนาดใหญ่เป็น ๒ เท่าของโลก

ดาวเคราะห์ K2-18b ถูกค้นพบโดยองค์การนาซา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ แต่การค้นพบล่าสุดโดย ทีมนักวิจัยจาก University College London ช่วยทำให้มนุษย์เข้าใกล้คำตอบที่ว่า “โลกลักษณะแบบนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลหรือไม่ ?”

https://www.voathai.com/a/water-founded-in-super-earth-exoplanet-09112019/5079813.html

https://youtu.be/hU5VywE_gBY

ห่างไป ๑๑๐ ปีแสง   จะเดินทางกันแบบไหนยังไงคะ

https://www.youtube.com/watch?v=LUr0qCjJQb4

หากเดินทางด้วยความเร็วเท่าความเร็วของแสง (ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ กิโลเมตรต่อวินาที) ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปยังดาวเคราะห์ K2-18b ๑๑๐ ปี ‼️

วิธีที่เป็นไปได้ (ในอนาคต) คือการจำศีล (Hibernation) ในขณะเดินทาง

https://youtu.be/_s9f0Eanx7I

มนุษย์ต่างดาวน่าจะมาอีกแล้ว     เราได้ไม่ต้องเสียเวลาไปเยี่ยมพวกเขา

https://www.amarintv.com/news-update/news-22869/430721/?fbclid=IwAR3P8avLYFAczYI0OaNkRR2ggXkvRsK7SOG-fX_aV8HqigRJUz3W-FDTyy4

ทึ่ง! คนสื่อมนุษย์ต่างดาว ชี้ลำแสงคล้ายงูเลื้อยที่สหรัฐคือเทพ นัดบุกโลก พ.ย.นี้

“เดลี่ สตาร์” เว็บไซต์ข่าวชื่อดังของอังกฤษ รายงานข่าว รัฐบาลสหรัฐอเมริกา กำลังสืบสวนข่าวการพบวัตถุประหลาดที่มีรูปร่างคล้าย “งูเลื้อย” ที่ปรากฏเหนือท้องฟ้า ในหลายเมืองทั่วประเทศ

เดลี่ สตาร์ ระบุว่า ตลอดหลายเดือนมานี้มีรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ไวโอมิง และนิวยอร์ก ซึ่งวัตถุประหลาดบินได้มีลักษณะคล้ายกับงูที่กำลังเลื้อย หรือคล้ายกับมวนซิการ์ลอยอยู่ในอากาศ

นิก คาร์นาเซ อดีตนาวิกโยธิน (หน่วยซีล) ของสหรัฐฯ ที่เคยประจำการในอัฟกานิสถาน เปิดเผยว่า วัตถุประหลาดที่มีผู้พบเห็นบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ตลอดหลายเดือนมานี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับโครงการลับสุดยอดทางทหารของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ หลายคนเชื่อว่า มันน่าจะเป็นยานที่มาจากนอกโลกจริง ๆ ขณะที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์บางส่วนต่างเชื่อว่าเป็นแค่ “ว่าว” เท่านั้น

https://www.youtube.com/watch?time_continue=31&v=XA89yaukBws

^^

https://youtu.be/XA89yaukBws

ส่วนหนึ่งที่เห็นน่าจะเป็น Solar Ballon

https://youtu.be/2JzdERxpzes

ทำไมดิฉันทำคลิปไม่ได้ คุณเพ็ญชมพูทำได้ คะ  ต้องใส่เครื่องหมายอะไร

ใส่ URL ที่ถูกต้อง  ;D

เอามาจากไหนคะ
url ของดิฉันก็เอามาจากยูทูป

 ;D

https://www.springnews.co.th/global/547658
คลิปหลุด UFO เป็นเรื่องจริง
กองทัพเรือสหรัฐ ยอมรับว่าคลิปวิดีโอ ที่นักบินเผชิญหน้ากับยูเอฟโอนั้นถูกยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง

กองทัพเรือสหรัฐออกมายืนยันเองว่า คลิปจานบิน (UFO) ที่ถ่ายเมื่อหลายปีก่อน 3 คลิป ที่กำลังถูกแชร์บนโลกโซเชียลนั้นเป็นคลิปของจริง คลิปที่หลุดออกมานั้น เผยแพร่โดยช่องยูทูบชื่อ To the Stars Academy of Arts & Sciences (ทูเดอะสตาร์ส อะแคเดมี ออฟ อาร์ทส แอนด์ ไซแอนเซส) มีภาพวัตถุลักษณะคล้ายจานบิน ลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ บินไปพร้อมกับเครื่องบินของกองทัพสหรัฐ ซึ่งภาพที่ถ่ายมาได้เป็นภาพจากกล้องที่ใช้เซนเซอร์อินฟราเรด

ล่าสุดวันที่ 18 ก.ย.62 เว็บไซต์ เดอะ ซัน รายงานว่า กองทัพเรือสหรัฐออกมายอมรับแล้วว่าคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ขณะนักบินสหรัฐฯ ประจันหน้ากับวัตถุปริศนาลักษณะคล้ายจานบิน เคลื่อนที่แบบหมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วนั้นเป็น ‘คลิปจริง’ หลังจากคลิปวิดีโอสองคลิปได้หลุดรอดออกไป และถูกนำมาเผยแพร่ทางโลกออนไลน์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว

เดอะ ซัน เผยต่ออีกว่าวิดีโอคลิปทั้ง 2 นั้นแสดงการเผชิญหน้าสามครั้งระหว่างเครื่องบินรบกับสิ่งที่กองทัพเรือพูดว่า “เป็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถระบุแน่ชัดได้”

https://youtu.be/60ZJQ4I7_3M

UFO บางลำเคยมาแวะเวียนที่กระทู้นี้แล้ว ;D

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5650.msg160507#msg160507

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=66384;image)

นาซ่าสืบเอง!พบจานบินลึกลับเคลื่อนผ่านพายุที่โหมกระหน่ำเมืองสเปน(ชมคลิป)
เผยแพร่: 21 ก.ย. 2562 04:02   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เดอะซัน - มีข่าวว่าองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ(นาซ่า) กำลังตรวจสอบคลิปวิดีโอหนึ่งซึ่งเป็นภาพวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ มีลักษณะคล้าย "จานบินสีเงิน" พุ่งผ่านพายุร้ายที่กำลังโหมกระหน่เมืองอาลิกันเตของสเปนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว

คลิปเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นภาพที่บันทึกไว้ได้โดย อเลฮันโดร มอลลา นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ครั้งที่พายุกำลังเล่นงานเมืองอาลิกันเต แคว้นบาเลนเซีย เมื่อวันเสาร์ที่ 14 กันยายน

อ่านต่อที่นี่ค่ะ
https://mgronline.com/around/detail/9620000091004

https://www.youtube.com/watch?v=_lE_WcnU10w

เป็นโดรนขนาดใหญ่ได้ไหมคะ

https://www.youtube.com/watch?v=dMXYhAaIfIs

นักวิจัยญี่ปุ่น” เผยน้ำบนดาวอังคาร รสชาติคล้าย “ซุปราเม็ง

สำนักข่าวเจแปนไทมส์ รายงานว่า ทีมนักวิจัยของประเทศญี่ปุ่นค้นพบว่า “น้ำ” บน “ดาวอังคาร” ซึ่งเชื่อกันว่าเคยมีอยู่มาตั้งแต่ ๓,๕๐๐ ล้านปีก่อน ประกอบไปด้วยเกลือและแร่ธาตุ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตได้

ทีมนักวิจัยระบุว่า พวกเขาประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูสภาพน้ำที่เชื่อว่า มีเคยอยู่ในแอ่งหลุมอุกกาบาตเกล (Gale Crater) ใกล้เส้นศูนย์สูตรของดาวอังคาร โดยใช้ข้อมูลจากตะกอนที่เก็บรวบรวมโดยยานสำรวจ “คิวริโอซิตี” (Curiosity) ของสหรัฐอเมริกา

โดยทีมนักวิจัยที่นำโดย รศ.ไคซูเกะ ฟุกุชิ จากมหาวิทยาลัยคานาซาว่า และ ศ.ยาซูฮิโตะ เซกิเนะจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว ได้ทำการประเมินปริมาณน้ำด้วยเทคนิคที่ใช้ในการวิจัยแบบการกำจัดทางธรณีวิทยาของกากนิวเคลียร์ (the geological disposal of nuclear waste) ซึ่งผลการวิจัยพบว่า น้ำบนดาวอังคารมีความเข้มข้นของเกลืออยู่ในระดับ ๑ ใน ๓ ของน้ำทะเลบนโลก

น้ำบนดาวอังคาร “มีรสชาติเค็มคล้ายน้ำซุปมิโซะและน้ำซุปของบะหมี่ราเม็ง” ศ.เซกิเนะกล่าว พร้อมทั้งระบุด้วยว่าน้ำบนดาวอังคารยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุอย่างเช่น แมกนีเซียม

ทีมนักวิจัยเชื่อว่า ความเข้มข้นของเกลือถึงระดับนี้ หลังจากที่น้ำในแอ่งหลุมอุกกาบาตค่อย ๆ ระเหยในระยะเวลากว่า ๑ ล้านปี รศ.ฟุกุชิ ระบุว่า การวิจัยนี้จะปูทางไปสู่การค้นหาว่าเคยมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อสิ่งชีวิตบนดาวอังคารหรือไม่ เมื่อใด และสภาพแวดล้อมดังกล่าวหายไปได้อย่างไร ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ลงบนวารสาร British Communications Nature ฉบับวันที่ ๒๕ ตุลาคม ที่ผ่านมา

https://www.prachachat.net/foreign-soft-news/news-385790

หากใครอยากจะทราบว่ารสชาติว่าน้ำที่ "เคย" มีบนดาวอังคารเป็นอย่างไร มื้อกลางวันนี้ให้ตรงไปลิ้มลองที่ร้านอาหารญี่ปุ่นใกล้บ้านโดยพลัน  ;D

ถ้าวันหนึ่งชาวโลกฟื้นฟูสภาพดาวอังคารขึ้นมาได้   ร้านอาหารญี่ปุ่นที่นั่นน่าจะขายดีที่สุด เป็นร้านหลักประจำดาวอังคาร
ซุปมิโซะ

บะหมี่ราเม็ง

เป็นเพราะนักวิจัยเป็นชายญี่ปุ่นกระมังครับ ถ้าเป็นนักวิจัยชาวไทย อาจบอกว่าน้ำของดาวอังคารรสชาติคล้าย ต้มจืดเต้าหู้สาหร่าย

กลาโหมสหรัฐยอมรับ คลิปหลุดนักบินทัพเรือขับเจ็ทไล่ตาม UFO เป็นของจริง

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือ เพนตากอน ได้เปิดเผยคลิปวิดิโอสามชุด ซึ่งถูกถ่ายโดยนักบินหน่วยนาวิกโยธินขณะขับเครื่องบินไล่ตามอากาศยานลึกลับ (unidentified flying objects - UFOs)

ในวิดิโอสั้นๆ3ชุด ซึ่งเพนตากอนระบุว่า "เป็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้” โดยพวกเขาเชื่อว่าเป็นภาพของวัตถุบินได้ลึกลับที่ไม่อาจระบุได้ ซึ่งแท้จริงแล้วคลิปวิดิโอทั้ง 3 ชุดนี้ เคยหลุดและถูกนำเสนอข่าวผ่านสื่อไปทั่วช่วงเดือนธันวาคมปี 2017 ถึง มีนาคม 2018 แล้ว แต่ในช่วงนั้นทางเพนตากอนปฏิเสธถึงรายงานข่าวดังกล่าว

อย่างไรก็ดี เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กลาโหมสหรัฐได้ออกมายอมรับพร้อมเผยคลิปทั้งสามด้วยตนเอง เนื่องจากคลิปดังกล่าวถูก"ลดชั้นความลับ"ตามระเบียบราชการแล้ว โดยจากภาพของคลิปวิดิโอแสดงให้เห็นอากาศยานลึกลับที่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวมเร็วซึ่งถูกถ่ายโดยกล้องอินฟาเรดของเครื่องขับไล่ของกองทัพเรือ คลิปวิดิโอในสองคลิปแสดงให้เห็นว่าอากาศยานลึกลับนี้เคลื่อนที่เร็วแค่ไหน โดยนักบินรายหนึ่งถึงกับพูดว่าอากาศยานลึกลับนี้มันกำลังหมุนได้
เพนตากอนระบุว่า การเผยคลิปวิดิโอนี้เป็นไปเพื่อสร้างความชัดเจนให้กับสังคมรวมถึงเพื่อยืนยันว่าที่มีคลิปวิดิโอหลุดไปก่อนหน้านั้นเป็ฯของจริงหรือไม่เช่นเดียวกับคลิปวิดิโออื่นๆ เนื่องจากช่วงปี 2007-2017 มีการเผยแพร่คลิปUFOที่้อ้างว่าถูกถ่ายโดยกองทัพสหรัฐหลายชิ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงความสำคัญแล้ว การเปิดเผยคลิปดังกล่าวไม่ได้เป็นการกระทบต่อข้อมูลอ่อนไหวด้านความมั่นคงแต่อย่างใด

ทั้งนี้ สำหรับคลิปวิดิโอทั้งสามชุด ถูกบันทึกโดยนักบินกองทัพขณะกำลังทำการฝึกบินในปี 2004 และ 2015 โดยวิดิโอสองชุดจากทั้งหมดถูกตีแผ่ครั้งแรกโดยสำนักข่าวนิวยอร์กไทมส์เมื่อปี 2017 ขณะที่อีกชุดอื่นๆถูกเผยแพร่ต่อมาโดย กลุ่ม the Stars Academy of Arts and Science group ซึ่งเป็นสื่อและองค์กรวิทยาศาสตร์เอกชนที่เฝ้าติดตามปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ

โดยหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวกองทัพเรือได้ระบุลงในคู่มือกองทัพของกองทัพอย่างเป็นทางการ เพื่อให้นักบินสามารถรายงานสิ่งที่พวกเขาพบเจอในระหว่างปฏิบัติการได้ถูกต้องตามระเบียบ


https://www.posttoday.com/world/622053

https://www.youtube.com/watch?v=2TumprpOwHY

ฟบ.ของคุณวินทร์ ผู้สนใจศึกษาเขียนถึงอวกาศเป็นระยะเล่าเสริมว่า

           เมื่อวานนี้ เพนตากอนสหรัฐฯเผยภาพวิดีโอ 'UFO' หรือยานลึกลับของมนุษย์ต่างดาว ภาพไม่ชัด คนที่เชื่อ
เรื่อง UFO ก็บอกว่า "นี่ไงหลักฐาน" คนที่ไม่เชื่อ ก็บอกว่า "หลักฐานไม่เพียงพอ"
           เรื่อง UFO นี่ถกกันมานานหลายสิบปีแล้ว เราก็ยังไม่ได้เห็นยานต่างดาวแบบชัดๆ สักที ยกเว้นในหนัง
           ยานต่างดาวในหนังจำนวนมากเป็นรูปจานบิน
           เราคุ้นมาแต่เด็ก รูปจานบินจากต่างดาว ถ้าเป็นหนังก็หมุนๆ ลงมาจากฟ้า ร่อนลงจอด แล้วมนุษย์ต่างดาวก็ก้าวลง
หน้าตาคล้ายๆ คน
           ทำไมยานของพวกนี้จึงมักเป็นทรงจานบิน?

           คาร์ล เซเกน อธิบายในหนังสือ The Demon-Haunted World ว่าคำว่า จานบิน (flying saucer) เป็นศัพท์ใหม่
ที่เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1947
           ในวันที่ 24 มิถุนายน 1947 นักบินพลเรือน เคนเนธ อาร์โนลด์ บินผ่านภูเขาเรนเนียร์ รัฐวอชิงตัน เขาเห็นบางสิ่งที่ไม่ชอบมา
พากล จึงรายงานการพบวัตถุประหลาดเก้าชิ้นซึ่งมีวิถีบินประหลาดมาก
           หนังสือพิมพ์รายงานข่าวนี้ทันทีว่ามีการพบจานบินจากต่างดาวเป็นครั้งแรก
           
            สามปีต่อมา ในวันที่ 7 เมษายน 1950 นักข่าว ซีบีเอส ชื่อ เอ็ดเวิร์ด เมอร์โรว์ สัมภาษณ์นักบิน เคนเนธ อาร์โนลด์ คนนี้
เคนเนธ อาร์โนลด์ อธิบายว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดกันอย่างมโหฬาร เขาบอกว่า ในวันนั้นตนเองแจ้งทางหนังสือพิมพ์ว่า
            วัตถุประหลาดเก้าชิ้นที่เขาพบในวันนั้นดูเหมือน "เรือที่แล่นบนน้ำอย่างรุนแรงมาก"
            เขาเล่าเป็นเชิงเปรียบเทียบว่า "พวกมันบินเหมือนเราขว้างจานร่อน (saucer) ข้ามน้ำ"

            หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่า "ยานจากต่างดาวนั้นมีรูปทรงเหมือนจานบิน"
            คำว่าจานบินเกิดฮิตขึ้นมาในบัดดล

นี่เป็นการอ้างคำพูดที่ผิดครั้งมโหฬารที่สุดในโลก ที่น่าตลกคือไม่มีใครสนใจในการแก้ข่าว หรือเจตนาไม่แก้ข่าว ราวกับว่า
ไม่มีใครอยากรู้ความจริง ยานอวกาศจากต่างดาวที่พบกันในช่วงหลายปีต่อมาก็มักมีรูปร่างเป็นจานบินไปดังฉะนี้

จากหนังสือ ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล โดย วินทร์ เลียววาริณ

เปิดเผยแล้วเปิดเผยอีก  ;D




จากแดนดาวอัศจรรย์อันไกลโพ้น
จากซอกโซนจักรวาลรอขานไข
จากดาราฟุ้งเฟื่องเรืองอำไพ
สู่โลกาอันสดใสให้ติดตาม

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=66516;image)

จานมีจริงนะคุณเพ็ญชมพู
https://www.mirror.co.uk/news/weird-news/flying-saucer-picture-genuine-ufo-3834405

วันนี้ (๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๓) ชาวญี่ปุ่นในเมืองเซนไดต่างประหลาดใจ เมื่อสังเกตเห็นวัตถุปริศนารูปร่างทรงกลมคล้ายบอลลูนสีขาวลอยอยู่เหนือท้องฟ้าเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ ภาคเหนือของญี่ปุ่น จึงรีบพากันโทรศัพท์สอบถามสำนักอุตุนิยมวิทยาในเมืองเซนไดเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ด้วยความสงสัยว่าบอลลูนดังกล่าวคืออะไร

ตามรายงานของสำนักอุตุนิยมวิทยาเมืองเซนได ระบุว่า บอลลูนปริศนานี้ลอยมาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองเซนไดประมาณ ๗.๐๐ น. โดยด้านล่างบอลลูนยังมีวัตถุลักษณะคล้ายไม้กางเขนห้อยอยู่ด้านล่างด้วย ทำให้การเคลื่อนไหวของบอลลูนเป็นไปค่อนข้างลำบาก ขณะที่เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเมืองเซนไดคนหนึ่งยังกล่าวว่า บอลลูนนี้มีลักษณะคล้ายกับอุปกรณ์ในการสังเกตการณ์อะไรบางอย่าง

ด้านสำนักงานการท่าอากาศยานของเมืองเซนได สังกัดกระทรวงคมนาคมญี่ปุ่น ระบุว่า ทางสำนักการท่าอากาศยานฯ ไม่ได้รับคำร้องขออนุญาตจากบุคคลใดในการขออนุญาตส่งวัตถุบินได้บินเหนือท้องฟ้าเมืองเซนได ซึ่งถือเป็นหลักการตามกฎหมายการบิน ในขณะที่ บอลลูนดังกล่าวไม่ได้กระทบต่อเส้นทางบินของเครื่องบินโดยสารพาณิชย์แต่อย่างใด

ส่วนผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์คนหนึ่ง ตั้งคำถามว่า ‘มันใช่ UFO ไหม’ ขณะที่อีกคน บอกว่ามันเหมือนบอลลูนอากาศร้อน

https://www.thairath.co.th/news/foreign/1871083

https://youtu.be/2kX2xT2XNqk

วัตถุปริศนานี้คือ UFO แน่นอน

UFO = Unidentified Flying Object (วัตถุบินซึ่งไม่สามารถระบุชนิดได้)  ;)

ดูจากการเคลื่อนไหว ลอยมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียว   ไม่ลอยเปะปะแกว่งไปแกว่งมา
เหมือนเครื่องมือสื่อสารบังคับได้จากภาคพื้นดิน

เมื่อคืนวานนี้ (๑๔ กันยายน ๒๕๖๓) เพจของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (https://m.facebook.com/148300028566953/posts/3495937540469835/) ได้รายงานการค้นพบอันน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะสำหรับผู้สนใจในเรื่องมนุษย์และสัตว์ประหลาดต่างดาว คือการค้นพบร่องรอยของหลักฐานความเป็นไปได้ของการมีชีวิตบนดาวศุกร์

ทีมนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคาร์ดีฟ ประเทศสหราชอาณาจักร ได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Nature Astronomy ประกาศการค้นพบโมเลกุลของสาร "ฟอสฟีน (phosphine)" ในชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่มีความร้อนมหาศาลมาก เนื่องจากมีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่น เกิดภาวะเรือนกระจก และเก็บกักความร้อนไว้จนอุณหภูมิพื้นผิวมากจะหลอมตะกั่วได้ แถมเต็มไปด้วยแก๊สของกรดกำมะถัน จนไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวศุกร์ได้

แต่การค้นพบสารฟอสฟีนดังกล่าว (ซึ่งปรกติแล้ว มีแหล่งกำเนิดเพียงแค่ ๒ แหล่ง คือ เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมเคมี หรือเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสภาพปราศจากออกซิเจน) จึงอาจจะบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์

เรื่องนี้ ผู้ที่น่าจะเป็นคนที่น่าจะตื่นเต้นที่สุด คือ  คาร์ล เซแกน (Carl Sagan) เพราะมันตรงกับที่เขาเคยพูดไว้ตั้งแต่เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว    

คาร์ล เซแกน เป็นนักดาราศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังมากที่สุดท่านหนึ่งในยุคสมัยปัจจุบันนี้ เป็นพิธีกรสารคดีอวกาศ Cosmos เป็นผู้เขียนหนังสือที่เป็นที่มาของภาพยนตร์ไซไฟ Contact  และเป็นคนที่ใส่เสียงเพลงของโลกเราไปกับยานอวกาศ Voyager ของนาซา

จากผลงานการศึกษาด้านดาราศาสตร์ของเซแกน เขาเคยทำนายไว้แล้วว่าพื้นผิวของดาวศุกร์นั้นจะร้อนมหาศาลมาก ก่อนที่นาซาส่งยานไปสำรวจยืนยันใน พ.ศ. ๒๕๐๕ และเขายังเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกที่พูดถึงปรากฏการณ์เรือนกระจกของชั้นบรรยากาศดาวศุกร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าโลกเราก็จะเกิดปัญหาเรื่องนี้ได้เช่นกัน

ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ เซแกนได้ร่วมเขียนบทความตีพิมพ์ในวารสาร Nature ว่าวันหนึ่งเราอาจจะค้นพบจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่บนชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ ถ้ามีแร่ธาตุที่แม้จะมีปริมาณน้อยมากก็ตาม ถูกพัดพาจากพื้นผิวดาวศุกร์ให้ขึ้นไปอยู่บนเมฆ ซึ่งสภาพบนชั้นบรรยากาศที่ระดับความสูงเช่นนั้นมีความแตกต่างจากบนพื้นผิวดวงดาวเป็นอย่างมาก

ในชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ซึ่งเต็มไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้น ถ้าขึ้นถึงระยะยอดเมฆที่ความสูง ๕๐ กิโลเมตร สภาพแวดล้อมตรงนั้นกับคล้ายคลึงกับบนโลก คล้ายกับที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน ซึ่งแบคทีเรียสามารถอยู่ได้ ในสภาพที่ร้อนจัดและเต็มไปด้วยคาร์บอนไดออกไซด์

คงต้องรอดูการศึกษาวิจัยต่อไปในอนาคต ว่าสิ่งที่เซแกนเคยคิดไว้จะเป็นจริงหรือไม่  ที่จะมี "ชีวิต" อยู่ตรงระหว่างรอยต่อ ของพื้นผิวที่ร้อนจัดของดาวศุกร์ กับบริเวณที่เกือบเป็นสูญญากาศ ของอวกาศที่อยู่รอบดาวเคราะห์นั้น  

ข้อมูลจาก อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์  (https://www.facebook.com/219186678564393/posts/977201826096204/)

https://youtu.be/qZvhqHlTCwM

เรื่องชีวิตบนดาวศุกร์ ครูแก้ว อัจฉริยะกุลได้กล่าวไว้ในเพลง รำวงดาวพระศุกร์ เมื่อนานมาแล้ว อาจก่อนเซแกนก็เป็นได้  ;D

พริ้งเพราพวกดาวพระศุกร์
สมนาม สมสุข สนุกภิรมย์
อยู่ต่างโลกโชคร่วมรัก
ทุกคนประจักษ์ฝากไมตรี ...

https://youtu.be/r00QWYvjh0w

ถามคุณเพ็ญชมพู
มีโอกาสไหมคะ   ที่สิ่งมีชีวิตบนดาวพระศุกร์ จะมีแบบอื่นๆที่ซับซ้อนกว่าจุลินทรีย์

ความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตบนกลุ่มเมฆเหนือดาวศุกร์น่าจะเป็นจุลินทรีย์ มาจากปรากฏการณ์ที่เกิดบนผืนโลก ซึ่งฟอสฟีนมักเกิดจากสิ่งมีชีวิตพวกแบคทีเรียในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน แต่สิ่งที่เราเรียนรู้บนโลกอาจจะมีวิถีอื่นบนดาวศุกร์ ฟอสฟีนจากสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นนอกเหนือจากจุลินทรีย์ย่อมเป็นไปได้เสมอ

แต่น่าจะไม่ถึงขั้นเป็นระดับ ซุปเปอร์แมนดาวพระศุกร์ (https://docs.google.com/file/d/0B0HuMOabgrNQNGE5NWViNDItMjQyNi00OTA1LWIyMzktNDM2MTlkMmE1MTg0/view) ในบทประพันธ์ของ ป. อินทรปาลิต  ;D

แุถมให้ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=bXe-fv-K24k

https://www.youtube.com/watch?v=VWI4wkhtZM0

NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ

ตามที่มีคลิปวีดีโอเผยแพร่เกี่ยวกับวัตถุปริศนาลอยอยู่ฟ้าเมืองเชียงใหม่ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 8 ตุลาคม 2563 นั้น
จากภาพ สังเกตได้ว่าวัตถุดังกล่าวไม่ได้ถูกเมฆบัง และยังมีสีดำสนิท ไม่ได้มีสีออกไปทางสีฟ้าตามสีของท้องฟ้า ซึ่งจะพบได้ในวัตถุที่ลอยอยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้า จึงสามารถบอกได้ว่าวัตถุดังกล่าวนั้นลอยอยู่ค่อนข้างต่ำ เหนือจากพื้นดินขึ้นไปไม่ไกลมากนัก บ่งชี้ว่าวัตถุนี้มีอัตราการเคลื่อนที่ค่อนข้างช้า สอดคล้องกับความสูงและอัตราการเคลื่อนที่ของโคมลอยที่มีการปล่อยตามประเพณีทั่วไปในจังหวัดเชียงใหม่
ดังนั้น คำอธิบายที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในปัจจุบัน จึงน่าจะเป็นภาพของวัตถุจำพวกโคม ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญว่ารูปร่างที่ปรากฏจากมุมมองของผู้ถ่ายมีความคล้ายคลึงกับวัตถุที่เราคุ้นเคยกันว่าเป็น “จานบิน” จึงทำให้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานที่มีอยู่ปัจจุบัน คาดว่าข่าวเรื่องของวัตถุปริศนาเหนือฟ้าเชียงใหม่นี้ น่าจะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า #ข่าวโคมลอย

เรียบเรียง : ดร. มติพล ตั้งมติธรรม - ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์

https://www.facebook.com/NARITpage/

ขออนุญาตถามค่ะว่าไทยเคยมีข่าวพบUFOแบบน่าเชื่อถือบ้างไหมคะดิฉันค้นหาตามกูเกิ้ลดูก็พบแต่มีคนว่าไม่น่าเชื่อถือ

แท่งปริศนาปรากฏขึ้นอีกครั้งในเขตทะเลทราย รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา

คราวนี้แท่งปริศนาปรากฏในรูปของ เสาโลหะสูงประมาณ ๓ เมตร ในภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยก้อนหินสีส้มอิฐตะปุ่มตะป่ำกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง  พบครั้งแรกเมื่อ ๑๘ พฤศจิกายนที่ผ่านมาโดยทีมเจ้าหน้าที่หน่วยอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าในรัฐยูทาห์ (แต่เพิ่งนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณชนในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) ขณะใช้เฮลิคอปเตอร์บินสำรวจประจำปีเพื่อนับจำนวนกวางเขาใหญ่ในเขตทะเลทราย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐยูทาห์

เบร็ต ฮัตซิงส์ นักบิน เผยกับสถานีข่าวท้องถิ่น KSLTV เรายังคิดว่านี่เป็นสิ่งที่นาซาทำ หรืออะไรบางอย่างสำหรับใช้เป็นที่สะท้อนสัญญาณดาวเทียม’ แต่ตามความเห็นของเขานั้น เขาคิดว่าเสาโลหะนี้อาจเป็นผลงานของศิลปินคลื่นลูกใหม่ หรือบางอย่างอะไรทำนองนี้ หรือคนทำน่าจะเป็นแฟนภาพยนตร์แนวไซไฟเรื่องดัง “2001: A Space Odyssey” ที่ลงโรงฉายในปี ๒๕๑๑ เพราะมันคล้ายแท่งสีดำที่สร้างโดยเผ่าพันธุ์เอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก ที่ปรากฏในฉากหนึ่งของหนัง ที่สร้างขึ้นจากนิยายของ อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ

มีการนำเสาโลหะปริศนาที่พบนี้มาเปรียบเทียบกับผลงานประติมากรรมจำนวนมากของศิลปิน John McCracken ที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปี ๒๕๕๔ อย่างไรก็ตาม เดวิด ซเวอร์เนอร์ โฆษกประจำ แกลเลอรีของจอห์น แมคแครคเคน กล่าวกับนักข่าวเดอะ การ์เดียนว่า เสาโลหะปริศนานี่ไม่ใช่หนึ่งในผลงานของแมคแครคเคน แต่พวกเราคาดว่า อาจเป็นงานของศิลปินรุ่นหลังที่ชื่นชม และต้องการแสดงความอาลัยแด่แมคแครคเคน

ด้านสำนักงานความปลอดภัยสาธารณรัฐยูทาห์ (DPS) ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเสาโลหะปริศนาว่า ถึงแม้ขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นคนนำเสาโลหะนี้ไปวางตั้งที่ทะเลทรายในรัฐยูทาห์ แต่ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายที่จะไปตั้งวัตถุหรืองานศิลปะในพื้นที่สาธารณะ ‘นี่คือความจริง ไม่ว่าคุณจะมาจากดาวเคราะห์ดวงไหนก็ตามเถอะ’ สำนักงาน DPS ออกแถลงการณ์อย่างขึงขัง

https://www.thairath.co.th/news/foreign/1983496

https://youtu.be/FU0i9VvPmoY

;D

https://youtu.be/v9Zizn4yurc

พบสัญญาณวิทยุลึกลับจากอารยธรรมนอกโลก
จากดาวพร็อกซิมา เซ็นทอรี  ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
รึมันอาจมาจากมนุษย์ต่างดาว

https://www.youtube.com/watch?v=1WazYjX0l3Q

อ่านข่าวได้ที่นี่ค่ะ
https://m.facebook.com/ThaiPBSSciAndTech/photos/a.668966616507229/4882981705105678/?type=3&eid=ARDsj3JOPsHX3nOsBCfJywOMVAPeTkMw-Fl-Vg03redszgkju0x2V4tfNO5GSHGuJ9KLmRNnaanBIJDI

แหล่งข่าวในแวดวงดาราศาสตร์เปิดเผยกับ หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน (https://www.theguardian.com/science/2020/dec/18/scientists-looking-for-aliens-investigate-radio-beam-from-nearby-star) ว่า ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ในโครงการค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาวหรือเซติ (SETI) กำลังตรวจสอบที่มาของสัญญาณวิทยุประหลาดจากนอกระบบสุริยะ ซึ่งพวกเขาตรวจจับได้เมื่อปีที่แล้ว โดยมีความเป็นไปได้ว่ามันคือสัญญาณจากเทคโนโลยีของเอเลียน ที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์บริวารของ "พร็อกซิมา เซนทอรี" ดาวฤกษ์เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับระบบสุริยะของเรามากที่สุด

สัญญาณประหลาดดังกล่าวเป็นคลื่นวิทยุที่ส่งออกมาเป็นลำแคบ ๆ ด้วยความถี่ ๙๘๐ เมกะเฮิร์ตซ์ ในทิศทางที่ตรงกับตำแหน่งของพร็อกซิมา เซนทอรีพอดี ซึ่งดาวฤกษ์ดวงนี้เป็นดาวแคระแดงที่อยู่ห่างจากโลกเพียง ๔.๒ ปีแสง

(https://1.bp.blogspot.com/-Kb25UOEazTM/Xy8LsIOFQhI/AAAAAAAAAvk/5-XEXDKCFRQCtX7vJwcTIOEOkugLCm_tQCPcBGAYYCw/s0/location%2Bof%2Bnearest%2Bstar%2Bsystem.PNG)

ผลการตรวจสอบเบื้องต้นชี้ว่า สัญญาณนี้ไม่ได้มาจากดาวเทียมหรือเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น และมีความเคลื่อนไหวในลักษณะที่สอดคล้องกับการโคจรของดาวเคราะห์อีกด้วย ทำให้น่าสงสัยว่าอาจเป็นสัญญาณที่ส่งมาจากพื้นผิวของดาวเคราะห์พร็อกซิมา บี (Proxima b) บริวารของพร็อกซิมา เซนทอรี ที่เคยเชื่อกันว่ามีสภาพเอื้อต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตมากที่สุด

นักวิทยาศาสตร์ในโครงการ Breakthrough Listen ของเซติ ซึ่งกำลังศึกษาเรื่องดังกล่าว ตั้งชื่อลำคลื่นวิทยุนี้ว่า BLC1 และชี้ว่านี่คือสัญญาณจากนอกโลกสัญญาณแรกในรอบกว่า ๔๐ ปี ที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาต่างดาว

แหล่งข่าวยังระบุว่า สัญญาณวิทยุจากพร็อกซิมา เซนทอรี มีความสำคัญเทียบเท่ากับสัญญาณ "ว้าว!" (Wow! Signal) จากกลุ่มดาวคนถือธนูที่ตรวจพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งจัดว่ามีความเป็นไปได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ที่จะเป็นการสื่อสารจากเอเลียน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยังไม่ปักใจเชื่อว่าสัญญาณประหลาดที่ตรวจจับได้ล่าสุดนี้จะเป็นของมนุษย์ต่างดาว โดยแหล่งข่าวของนิตยสาร Scientific American ระบุว่า สัญญาณ BLC1 นั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีข้อมูลที่ใช้สื่อความหมายใด ๆ แฝงอยู่ และอาจเป็นเพียงสัญญาณวิทยุที่มาจากยานอวกาศของมนุษย์

ส่วนโอกาสที่ดาวเคราะห์พร็อกซิมา บี จะเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนั้น ข้อมูลจากการศึกษาใหม่ล่าสุดชี้ว่าไม่อาจเป็นไปได้ เพราะไม่มีบรรยากาศและพื้นผิวมีอุณหภูมิร้อนแรง เนื่องจากอยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากเกินไป

ศาสตราจารย์ลูอิส ดาร์ตเนลล์ นักชีวดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ของสหราชอาณาจักรให้ความเห็นว่า "โอกาสที่สัญญาณนี้จะไม่ใช่ของมนุษย์ต่างดาวมีสูงมาก เราค้นหาเอเลียนมานานมากแล้ว แต่การที่กลับมาเจออยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ในระบบสุริยะที่อยู่ติดกันนี้ ยิ่งทวีความเป็นไปไม่ได้ให้เพิ่มสูงกว่าเดิมขึ้นไปอีก"

"โอกาสที่ ๒ อารยธรรมจะเกิดขึ้นในกาแล็กซีเดียวกัน ซึ่งมีดาวฤกษ์อยู่มหาศาลถึง ๔ แสนล้านดวง แล้วยังมาอยู่ใกล้ชิดเป็นเพื่อนบ้านกันอีก มันไม่สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง" ศาสตราจารย์ดาร์ตเนลล์กล่าว

https://www.bbc.com/thai/features-55393034

พร็อกซิมา บี เป็นดาวเคราะห์อยู่ในระบบดาวอัลฟา เซ็นทอรี


พร็อกซิมา บี ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีขนาดใกล้เคียงกับโลก มีมวลมากกว่าโลกเพียง ๑๗ เปอร์เซ็นต์ โคจรรอบดาวพร็อกซิมา เซ็นทอรีครบรอบทุก ๑๑.๒ วัน แม้จะอยู่ใกล้ดาวฤกษ์มาก แต่ก็ยังอยู่ในเขตเอื้ออาศัย เพราะดาวพร็อกซิมา เซ็นทอรี เป็นดาวฤกษ์ชนิดดาวแคระแดง ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าดวงอาทิตย์มาก

https://youtu.be/2LgE5NO5j-8

พร็อกซิมา เซ็นทอรี อาจมีดาวเคราะห์เป็นบริวารอย่างน้อย ๒-๓ ดวง ดาวเคราะห์ดวงที่สองถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๒ คือ พร็อกซิมา ซี มีมวลราวครึ่งหนึ่งของดาวเนปจูน โคจรรอบดาวแม่ครบรอบทุก ๕.๒ ปี หากดาวดวงนี้ไม่มีบรรยากาศ ก็จะมีอุณหภูมิราว -๒๐๐ องศาเซลเซียส และเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเจนีวาได้ศึกษาดาวพร็อกซิมา เซ็นทอรีด้วยสเปกโทรกราฟ พบความผันแปรของสเปกตรัมที่อาจเกิดจากการกระทำของดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง โดยดาวเคราะห์ดวงนี้จะมีมวลราว ๓๐ เปอร์เซนต์ของโลก โคจรรอบดาวแม่ครบรอบทุก ๕.๑๕ วัน

ข้อมูลจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย (http://thaiastro.nectec.or.th/news/3536/)

เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ เป็นช่วงที่ต้องติดตามภารกิจสำรวจดาวอังคารอย่างใกล้ชิด

ยานอวกาศ ๓ ลำมีกำหนดเดินทางถึงดาวเคราะห์สีแดงเพื่อศึกษาชั้นบรรยากาศและธรณีวิทยา นอกจากนี้ยังมีการหาสัญญาณที่เป็นไปได้ของการมีชีวิตอยู่ของแบคทีเรียในสมัยโบราณด้วย

โฮปของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารแล้วเมื่อ ๙ กุมภาพันธ์ หลังจากเดินทางจากโลกเมื่อ ๗ เดือนก่อน ในวันนี้ (๑๑ กุมภาพันธ์) เทียนเวิ่น-๑ ของจีน เดินทางเข้าสู่วงโคจรของดาวเสาร์แล้วเช่นกัน ส่วนยานเพอร์เซเวียแรนซ์ (Perseverance) ขององค์การนาซา คาดว่าจะเดินทางไปถึงดาวอังคารในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์

ทั้ง ๓ ภารกิจ ต่างฉวยจังหวะที่โลกและดาวอังคารโคจรเข้าใกล้กันในการเริ่มภารกิจ โดยระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์ทั้งสองดวงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากความเร็วที่แตกต่างกันในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ช่วงเวลาที่สามารถเริ่มภารกิจโดยใช้เชื้อเพลิงน้อยที่สุดจะเกิดขึ้น ๑ ครั้งทุก ๆ ๒๖ เดือน

ภารกิจโฮปของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ภารกิจเดินทางสู่ดาวอังคารภารกิจแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี เริ่มขึ้นจากการปล่อยจรวดจากญี่ปุ่นเมื่อเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว

ยานอวกาศนี้จะสำรวจชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ ซึ่งเป็นภารกิจที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน นักวิทยาศาสตร์คิดว่า ภารกิจนี้จะทำให้เราเข้าใจดียิ่งขึ้นว่าดาวอังคารสูญเสียอากาศและน้ำจำนวนมากไปได้อย่างไร ต่างไปจากภารกิจของจีนและสหรัฐฯ โฮปจะไม่ลงจอดบนดาวอังคาร แต่จะโคจรรอบดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างน้อย ๑ ปีดาวอังคาร หรือเท่ากับ ๖๘๗ วันบนโลก คาดว่าข้อมูลที่ได้จะเริ่มส่งมายังโลกในช่วงเดือนกันยายนนี้

ภารกิจเทียนเวิ่น-๑ ของจีน

เทียนเวิ่น (天问) แปลว่า "คำถามต่อสวรรค์" ยานเทียนเวิ่น-๑ (天问一号) จะยังไม่แล่นลงจอดในช่วงเวลา ๓ เดือนนี้ เพื่อที่เหล่าวิศวกรจะได้ประเมินสภาพชั้นบรรยากาศบนดาวเคราะห์ดวงนี้ก่อนที่จะพยายามแล่นลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารซึ่งเป็นภารกิจที่อันตราย

ในการแล่นลงจอดบนดาวอังคาร นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องลดความเร็วของยานอวกาศจากระดับ ๒๐,๐๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลงมาอยู่ที่ความเร็วเท่ากับคนเดินในตอนที่ "ล้อแตะพื้น" จีนหวังว่าจะนำหุ่นยนต์น้ำหนัก ๒๔๐ กิโลกรัมลงจอดบนพื้นที่ราบในบริเวณแอ่งยูโทเปียที่เกิดจากการพุ่งชุน (Utopia impact basin) ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ หุ่นยนต์ที่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์ที่กางออกมา จะศึกษาธรณีวิทยาในภูมิภาคนี้ ทั้งในระดับพื้นผิวและต่ำกว่าระดับพื้นผิวของดาวอังคาร เสาสูงมีกล้องติดตั้งอยู่เพื่อถ่ายภาพและให้ความช่วยเหลือในการนำทาง อุปกรณ์เพิ่มเติมอีก ๕ อย่างจะช่วยประเมินด้านแร่วิทยาของหินในพื้นที่นั้นและตรวจสอบว่ามีน้ำแข็งอยู่หรือไม่

ภารกิจเพอร์เซเวียแรนซ์ของสหรัฐฯ

ภารกิจเพอร์เซเวียแรนซ์ขององค์การนาซาคือการหาหลักฐานการมีชีวิตอยู่ของแบคทีเรียในสมัยดึกดำบรรพ์บนดาวอังคาร โดยจะเก็บตัวอย่างหินที่อาจจะให้เบาะแสอันประเมินค่าไม่ได้ว่า เคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้หรือไม่

คาดว่าเพอร์เซเวียแรนซ์จะแตะพื้นผิวดาวอังคารบริเวณปล่องที่อยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรซึ่งมีชื่อว่า เยเซโร (Jezero) ในเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ตามมาตรฐานกรีนิช ของวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ หรือตรงกับเวลาประมาณ ๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ตามเวลาในประเทศไทย

ยานลำนี้มีขนาดไม่ต่างจากรถเอสยูวีขนาดเล็ก และมีน้ำหนัก ๑ ตัน ยานสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเองราว ๒๐๐ เมตรต่อวัน มีกล้อง ๑๙ ตัวและไมโครโฟน ๒ ตัวติดตั้งอยู่ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หวังว่า จะใช้บันทึกเสียงแรกบนดาวอังคารไว้ นอกจากนี้ ภารกิจนี้ก็จะพยายามส่งโดรนที่มีน้ำหนัก ๑.๘ กิโลกรัมขึ้นไปบินบนดาวเคราะห์ดวงอื่นเป็นครั้งแรกด้วย

แม้ว่าจะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่เราจะค้นพบคำตอบของภารกิจเพียร์เซเวียแรนซ์ได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อตัวอย่างที่เก็บมาจากดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ถูกส่งกลับมาบนพื้นโลก นั่นหมายถึงหลังจากภารกิจนี้สิ้นสุดลง หรือ ๒ ปีนับจากนี้

ข้อมูลจาก บีบีซีไทย (https://www.bbc.com/thai/international-55995678)

https://youtu.be/oW7FZh2pmtw

ยานสำรวจ Perseverance ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารเมื่อเวลา ๑๕.๕๕ น.วันพฤหัสบดี หรือ ๐๓.๕๕ น. วันนี้ (๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) ตามเวลาประเทศไทย เรียบร้อยแล้ว Perseverance และเพื่อนร่วมทาง คือโดรนเฮลิคอปเตอร์ Ingenuity  จะร่วมกันหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์บนดาวอังคาร

หากพบร่องรอยดังกล่าวจะเป็นข่าวใหญ่ทีเดียวเชียว  ;D

https://youtu.be/JFRrLB1RebE

https://youtu.be/yVRKiF-YcoQ

๒ ภาพแรกที่ Perseverance ส่งมาจากดาวอังคาร

https://www.youtube.com/watch?v=E00731OeWCA

เมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔) องค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน ( 国家航天局 China National Space Administration - CNSA) ประกาศว่ายานอวกาศเทียนเวิ่น-๑ ส่งยานลงจอดลงบนพื้นที่ที่ถูกคัดเลือกไว้ล่วงหน้า บริเวณตอนใต้ของยูโทเปีย พลานิเทีย (Utopia Planitia) ที่ราบขนาดมหึมาทางซีกเหนือของดาวอังคาร เมื่อ ๗.๑๘ น. ของวันเสาร์ ตามเวลาปักกิ่ง

ช่วงเช้ามืดวันเสาร์ เทียนเวิ่น-๑ เริ่มลดตัวจากวงโคจรพักรอ และแคปซูลยานลงจอด-ยานสำรวจพื้นผิวแยกตัวจากยานโคจรตอน ๔.๐๐ น. หลังจากบินอยู่ราว ๓ ชั่วโมง แคปซูลดังกล่าวพุ่งทะยานเข้าสู่ชั้นบรรยากาศดาวอังคาร ณ ระดับความสูง ๑๒๕ กิโลเมตร ชะลอตัวตามแรงเสียดทานของชั้นบรรยากาศดาวอังคาร เมื่อความเร็วลดจาก ๔.๘ กิโลเมตรต่อวินาทีเหลือราว ๔๖๐ เมตรต่อวินาที ร่มยักษ์ใหญ่ราว ๒๐๐ ตารางเมตร ได้กางออกเพื่อลดความเร็วจนต่ำกว่า ๑๐๐ เมตรต่อวินาที ต่อจากนั้นร่มชะลอความเร็วและเกราะนอกของแคปซูลถูกสลัดทิ้ง จรวดถอยหลังของยานลงจอดเริ่มทำงานเพื่อชะลอความเร็วของแคปซูลจนเกือบเป็นศูนย์ สุดท้ายแคปซูลยานลงจอดและยานสำรวจพื้นผิวเลือกพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบและลดตัวอย่างเชื่องช้าพร้อมกางขารับน้ำหนัก ๔ ข้าง ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคารอย่างปลอดภัย

ยานสำรวจพื้นผิวจู้หรง (祝融 ตามชื่อเทพเเห่งไฟในตำนานเเละความเชื่อพื้นบ้านของจีน) จะใช้เวลาอีก ๗-๘ วัน ตรวจตราสภาพแวดล้อมโดยรอบและดำเนินการตรวจสอบการทำงานของยานก่อนจะเคลื่อนลงจากยานลงจอดสู่พื้นผิวดาวอังคาร ยานมี ๖ ล้อ น้ำหนัก ๒๔๐ กิโลกรัม ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ มีรูปลักษณ์คล้ายผีเสื้อสีน้ำเงิน และอายุการใช้งานอย่างน้อย ๙๐ วันดาวอังคาร (ราว ๓ เดือนบนโลก)

ด้านยานโคจรที่มีอายุการใช้งานออกแบบนาน ๑ ปีดาวอังคาร (ราว ๖๘๗ วันบนโลก) ทะยานกลับสู่วงโคจรพักรอหลังแยกตัวจากแคปซูลยานลงจอดและยานสำรวจพื้นผิว เพื่อช่วยเหลือการสื่อสารระหว่างยานลงจอดและโลก

https://www.xinhuathai.com/china/201246_20210515

https://youtu.be/YQu2BNMC_aE

ไม่มีเวลาหาย้อนหลัง  เลยจะคุยว่าได้ดูรายการ Ancient Aliens ซึ่งมีอายุยืนยาวมาบัดนี้ถึง season 16 แล้ว

สมัยยังรับทีวี IBC จะดูประจำ  ตอนนี้เลิกรับไปแล้วเลย  ขาดช่วง

จำได้ว่ามีตอนหนึ่งกล่าวถึงการค้นพบ วัตถุโบราณแปลก ๆ บางชิ้นทำด้วยปูน  บางชิ้นเป็นทองเหลือง  รูปร่างออกไปในทางจรวดแบบต่าง ๆ

เสียดายจำเลขปี/เลขตอนไม่ได้

https://www.youtube.com/watch?v=MLQb-OL4nXc&t=2s

(http://image.free.in.th/v/2013/im/210520030425.jpg) (http://picture.in.th/id/14faf9fed9c825864578c6dd255448af)

สหรัฐฯ ยืนยันไม่พบหลักฐานยานมนุษย์ต่างดาว

โดย PPTV Online  เผยแพร่ 6 มิ.ย. 2564

สื่อสหรัฐฯ เผยหน่วยข่าวกรองของประเทศ ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าปรากฎการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถระบุได้หลายต่อหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว

หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทม์สของสหรัฐฯ รายงานว่าหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ไม่พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ปรากฎการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถระบุได้ (Unidentified Aerial Phenomena: UAP) ซึ่งถูกพบเห็นโดยนักบินของกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถอธิบายปรากฎการณ์ดังกล่าวได้

สื่อสหรัฐฯรายงานอ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลโจ ไบเดนที่บรรยายสรุปผลการค้นพบดังกล่าวเป็นการล่วงหน้า เพียงไม่นานก่อนหน้าที่จะนำเสนอรายงานต่อสภาคองเกรสภายในช่วงปลายเดือนนี้


อ่านข่าวนี้แล้วต้องแปลไทยเป็นไทยอีกครั้ง
1  มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกลางท้องฟ้าหลายครั้ง ที่นักบินของสหรัฐมองเห็นได้ระหว่างบิน เช่นเห็นยานประหลาดบินผ่านไปด้วยความเร็วสูง  หรือเห็นวัตถุประหลาดบอกไม่ถูกว่าอะไร ลอยอยู่กลางฟ้า
2  เมื่อแจ้งทางการให้รับรู้  ทางการตรวจสอบแล้วบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร แต่ไม่ใช่ยานที่รู้จักกัน หรือยานบินในหน่วยงานทั้งหลาย
3  แต่ก็ไม่มีหลักฐานให้ทุบโต๊ะปังว่านี่คือยานของมนุษย์ต่างดาว
    (ไม่มีมนุษย์ต่างดาวมาปรากฏตัวยืนยันว่านี่คือยานของผมเอง)
4  จึงตอบไม่ได้จนบัดนี้ว่าสิ่งที่มีตัวตนให้เห็น คืออะไร   รู้แต่ว่านักบินไม่ได้มโนไปเอง
5  สรุปว่าเป็นข่าวที่ยืนยันถึงความไม่คืบหน้าใดๆเรื่องยูโฟ หรือมนุษย์ต่างดาว

ยูโฟ (UFO : Unidentified Flying Object) ตามตัวหนังสือก็ไม่หมายถึงยานของมนุษย์ต่างดาวโดยตรง และให้ความหมายไปในทางเดียวกับ UAP : Unidentified Aerial Phenomena

ข่าวนี้บอกทำนองว่าทางการสหรัฐฯ อยากให้ใช้ UAP มากกว่า UFO (ซึ่งมีกลิ่นอายของมนุษย์ต่างดาว) คงไม่ติดตลาดสำหรับคนทั่วไป  UAP ออกเสียงได้ไม่ง่ายเหมือน UFO : ยูโฟ

 :o :o :o

เชียงใหม่นิวส์ Chiang Mai News ข่าวเชียงใหม่
2 ชม.  ·
เสียงดังสนั่นเลยเจ้า พื้นที่ไหนได้ยินบ้าง ⁉
ทันได้รูปไว่ก่อ แอดอยากเห็นเมนท์ไว้หื้อผ่อกำเจ้า

ช่วงเย็นวันนี้ (22 มิ.ย.64) เวลาประมาณ 19.00 น. รายงานข่าวแจ้งว่า หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาด จากการที่มีประชาชนหลายคนได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นอย่างพร้อมกันจากหลายอำเภอ โดยประชาชนหลายคนต่างตั้งขอสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยังหาคำตอบไม่ได้ แต่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ยินเสียงระเบิดดังสนัน แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นากจุดใด และเมื่อทำการเช็คอุบัติเหตุ หรือเหตุด่วนเกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ ก็ยังไม่มีรายงานถึงเหตุระเบิดเสียงดังที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

ขณะที่ในเวลาต่อมา บนโลกโซเชียล ได้มีหลายคนตั้งข้อสงสัยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น และมีประชาชนเข้ามาคอมเม้นโดยระบุว่า ก่อนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นนั้นได้พบเห็นแสงประหลาดเกิดขึ้นบนท้องฟ้า แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร โดยในส่วนของรายละเอียดของเหตุการณ์ในครั้งนี้ อาจจะต้องรอการตรวจสอบจากผู้เกี่ยวข้อง และการแจ้งข้อมูลกับประชาชนต่อไป

https://www.facebook.com/ThaiPBS/videos/535343670829462/

เบื้องต้น คุณนริศ (NARIT : National Astronomical Research Institute of Thailand) หรือ สดร. (สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ) ชี้แจงดังนี้


อดเห็นมนุษย์ต่างดาวเลย  :'(

คลิปนี้แสดงให้เห็นวัตถุประหลาดพุ่งเป็นทางยาวลงจากท้องฟ้า แล้วขยายส่วนหัวออกจนดูคล้ายแมงกะพรุนยักษ์   
ปรากฏแก่ตาของชาวบ้านรัสเซีย ในท้องถิ่นชื่อ Amur Oblast region ในเดือนกรกฎาคม   ไม่มีใครรู้ว่ามันคือดาวตก  UFO  หรือชิ้นส่วนขีปนาวุธ หรืออะไรกันแน่

https://www.youtube.com/watch?v=CRmMDqbL7ro&t=73s

 

อาจเรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ ‘แมงกะพรุนอวกาศ’ หรือ ’Petrozavodsk Phenomenon’ (https://m.pantip.com/topic/40218789?)

ปรากฏการณ์นี้เกิดระหว่างการปล่อยจรวดโดยเฉพาะในช่วงค่ำหรือเช้าตรู่เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ต่ำกว่าขอบฟ้า แต่แสงแดดยังคงสามารถเข้าถึงระดับความสูงที่สูงขึ้นและสะท้อนก๊าซที่ปล่อยออกมาจากจรวด ลักษณะที่ส่องสว่างนี้มักดูเหมือนแมงกะพรุน

เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ยาน Falcon 9 สร้างโดยบริษัท Space X ของ Elon Musk ถูกปล่อยออกจากฐานทัพอวกาศแวนเดนเบิร์ก (Vandenberg Space Force Base) รัฐแคลิฟอร์เนีย ก็ก่อให้เกิดความตื่นเต้นทำนองนี้เช่นกัน

https://youtu.be/xmvKJvf_RqQ

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของสเปซเอกซ์เ ถึงกับทวีตข้อความเชิงล้อเลียนพร้อมคลิปว่าเป็น

'นิวเคลียร์ เอเลี่ยน UFO จากเกาหลีเหนือ'

https://twitter.com/elonmusk/status/944399853316055040?s=21

ไม่ใช่มีแต่คุณหมอเทพพนมคนเดียวที่จุติมาจากดาวอังคาร มารู้จักชาวอังคารอีกคนหนึ่งซึ่งจุติมาเกิดยังโลกมนุษย์ ;D

บอริสกา คิปรียาโนวิช (Boriska Kipriyanovich) เด็กหนุ่มชาวรัสเซียเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ อ้างว่าตนเองมาจากดาวอังคาร เขาถูกส่งมาเกิดที่โลกมนุษย์เพื่อปกป้องและรักษามนุษยชาติจากการสูญพันธ์ุ สื่อรัสเซียได้รายงานว่าหนุ่มคนนี้มีไอคิวถึง ๒๐๐ นอกจากนี้เขายังมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และดาวเคราะห์ที่ดีมาก ๆ อีกด้วย

แม่ของบอริสกาบอกว่าลูกของเธอเกิดมาพร้อมความสามารถที่พิเศษกว่าเด็กคนอื่น บอริสกาสามารถพูดได้เขาอายุเพียงไม่กี่เดือนแถมยังระบายสีและวาดภาพได้ตอนอายุเพียง ๑ ปีเท่านั้น ครอบครัวของบอริสกายังบอกอีกว่าพวกเขาไม่เคยสอนเรื่องดาราศาสตร์ให้กับเขาเลยแต่ บอริสกากลับมีความรู้เรื่องดวงดาวและอวกาศมากเป็นพิเศษ หลายครั้งที่บอริสกามักจะพูดเกี่ยวกับเรื่องชีวิตและอารยธรรมบนดาวอังคาร

เมื่อย้อนกลับไปตอนบาริสกาอายุได้ ๑๑ ปี เขาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อของรัสเซียว่าบนดาวอังคารมีมนุษย์ที่มีรูปร่างสูงเกือบ ๒ เมตรอาศัยอยู่ ซึ่งมนุษย์บนดาวอังคารจะหยุดเติบโตเมื่ออายุ ๓๕ ปีและพวกเขายังเป็นอมตะอีกด้วย

นอกเหนือจากนี้มนุษย์บนดาวอังคารทุกคนยังใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการหายใจ บาริสกายังบอกอีกว่าอารยธรรมของชาวดาวอังคารได้ถูกทำลายลงเพราะพวกเขาต่อสู้กันเองเมื่อหลายพันปีก่อนแต่ก็ยังมีชาวดาวอังคารอีกจำนวนหนึ่งที่รอดชีวิตและได้อาศัยอยู่ใต้ดิน ซึ่งพวกเขาก็ได้เรียนวิธีการสร้างที่อยู่อาศัยและการเอาตัวรอดอีกครั้ง

บอริสกายังบอกอีกว่ายังมีเด็กอีกหลายคนที่ถูกส่งมาจากดาวอังคารเช่นเดียวกันซึ่งเด็กเหล่านี้จะถูกเรียนว่า ‘อินดิโก’ (Indigo Children) เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่าถ้ามนุษย์ยังคงต่อสู้และทำสงครามกันเองชาวโลกอาจต้องตกอยู่สภานะการณ์ที่ยากลำบากเหมือนประชากรบนดาวอังคาร

ทั้งนี้ยังมีข่าวลืออีกว่าทางการรัฐเซียได้คุ้มครองความปลอดภัยของบอริสกาอย่างเข็มงวดสื่อหลายสำนักพยายามติดต่อเขาก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นผล

ข่าวจาก ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6722242)

https://youtu.be/s6fWUA6_odc

บอริสกา คิปรียาโนวิช เด็กหนุ่มชาวรัสเซียผู้จุติมาจากดาวอังคาร

https://www.facebook.com/upsoclpositivethai/videos/903378723582925/

ลองถามครูกู๊กดู  ก็ไม่มีข่าวคืบหน้าว่าปัจจุบันเด็กคนนี้ซึ่งโตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว ทำอะไร  รู้แต่ว่ายังอยู่ในรัสเซีย
เจอแต่เว็บไซต์ที่หน้าตาคล้ายๆจะเป็นประเภทหนังสือ "แปลก" "มหัศจรรย์" ทำนองนั้น  เพราะพ่อหนูบอริสก้าบอกว่า สฟิงซ์มีห้องลับ(ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ล้ำยุค) ด้วย

อ่านโทนเสียงที่บรรยายไว้ก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์จะไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง    คุณเพ็ญชมพูมีเนื้อหาเพิ่มเติมไหมคะ

การสัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ ขณะบอริสกามีอายุ ๑๑ ขวบ

https://youtu.be/rViNqp5daCo

อ่านข้อมูลเพิ่มได้จาก  mysteriesrunsolved.com (https://mysteriesrunsolved.com/th/2020/04/boris-kipriyanovich-martian.html);D

เจอในยูทูป

https://www.youtube.com/watch?v=qYy6kRbTp_8

ยานโรเวอร์สำรวจพื้นผิวอวี้ทู่-๒ (Yutu-2) ของจีน ส่งพบวัตถุแปลก ๆ บริเวณด้านไกลของดวงจันทร์  บางสำนักข่าวเรียกมันว่า "กระท่อมลึกลับ"

"กระท่อมลึกลับ" ถูกพบในเดือนพฤศจิกายน ตามรายงานของ Our Space สื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวกับโครงการอวกาศของจีน ยานโรเวอร์ตรวจพบวัตถุดังกล่าวอยู่ตรงเส้นขอบดวงจันทร์ห่างออกไปทางเหนือราว ๘๐ เมตร ขณะที่มันกำลังข้ามแอ่งฟอน คาร์มาน (Von Kármán crater) ซึ่งมีสภาพเป็นแอ่งขนาด ๑๘๐ กิโลเมตร ตั้งอยู่ในซีกใต้ของด้านไกลของดวงจันทร์

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ขององค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน(CNSA) เผยแพร่ภาพถ่ายของวัตถุดังกล่าวที่โผล่ขึ้นมาเหนือเส้นขอบดวงจันทร์โดยมีท้องฟ้าอันมืดมิดเป็นฉากหลัง สามารถสืบเสาะหารายละเอียดจากภาพนี้ได้เพียงเล็กน้อยและชนิดของวัตถุดังกล่าวยังคงไม่ชัดเจน

จีนแสดงความสนใจอย่างยิ่งในการสืบสวน "กระท่อมลึกลับนี้" และคาดหมายว่ายานโรเวอร์จะใช้เวลา ๒ ถึง ๓ วันตามเวลาของดวงจันทร์ เทียบกับเวลาบนโลกราวๆ ๒ ถึง ๓ เดือน ในการเคลื่อนที่มุ่งหน้าสู่วัตถุดังกล่าว ในขณะที่ต้องหลีกเลี่ยงแอ่งต่าง ๆ ที่สังเกตเห็นเป็นจุด ๆ บริเวณด้านไกล

อวี้ทู่-๒ ลงจอดบริเวณด้านไกลของดาวจันทร์เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๐๑๙ และนับตั้งแต่นั้นเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ แอ่งฟอน คาร์มาน มันเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการเดินทางไปยังดวงจันทร์ครั้งที่ ๔ ของจีน และเป็นครั้งที่ ๒ ที่มียานโรเวอร์เกี่ยวข้องด้วย

ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์ (https://mgronline.com/around/detail/9640000120884)

ไม่เกิน ๓ เดือน คงรู้ว่า "กระท่อมลึกลับ" คืออะไร มีอะไรอยู่ในกระท่อม ⁉️

https://youtu.be/dUW_0lWJf7w

น่าเจ็บใจยานสำรวจอยู่ข้อหนึ่ง  ไม่ว่าสำรวจดาวอังคารหรือดาวจันทร์ ไม่ว่าของอเมริกาหรือจีน
คือเวลาถ่ายรูปอะไรที่ไม่ค่อยสลักสำคัญ เช่นหินและพื้นผิว ละก็ชัดแจ๋วทุกรายละเอียด ราวกับเอามือถือถ่ายระยะใกล้
แต่พอเจออะไรที่แปลกประหลาดน่าตื่นเต้นเข้า   ถ่ายเบลอซะงั้น

กระท่อมนี่ก็เข้ารอยเดียวกัน    จนแทบจะเป็นคำขวัญได้ว่า  "ของแปลกต้องเบลอไว้ก่อน"

 :-\

https://www.youtube.com/watch?v=IW_KtbTOZoI

https://www.youtube.com/watch?v=OU58Ya2-rpY

https://www.youtube.com/watch?v=tXZ-ORLvoJo

ไม่ถึง ๓ เดือนปริศนา "กระท่อมลึกลับ" บนดวงจันทร์ ก็ถูกเฉลยแล้ว

ยานโรเวอร์ Yutu-2 ของจีนได้เดินทางไปถึงสถานที่ที่มีวัตถุน่าสงสัยนี้และถ่ายรูปที่ชัดเจนมาได้ ซึ่งเผยว่ามันเป็นเพียงก้อนหินที่มีรูปร่างคล้ายกระต่ายกำลังหมอบอยู่ พวกเขาจึงตั้งชื่อเล่นให้มันว่า "หินกระต่ายหยก" (Jade Rabbit) โดยมีความหมายเช่นเดียวกับชื่อยาน Yutu (玉兔 = กระต่ายหยก)

แม้จะไม่ใช่กระท่อมมนุษย์ต่างดาวตามที่หลายคนหวังไว้ แต่หินกระต่ายหยกก็ได้สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่ติดตามข่าวราวกับว่าเป็นมาสคอตของดวงจันทร์

จาก  National Geographic Thailand (https://www.facebook.com/311725700037/posts/10166308036160038/?d=n)

 :(

อย่างน้อยก็เป็นข้อพิสูจน์ว่ากระต่ายบนดวงจันทร์มีจริง ;D

กระต่ายหยกกำลังกินแคร์รอต

หรืออาจจะเป็นมากกว่าที่เป็นข่าว :o  ;)

https://youtu.be/izUMtm6_qAU

กลับไปดูรูปอีกที   เจ้ากระต่ายหยก ดูยังไงก็ไม่น่าเป็นกระท่อมสี่เหลี่ยมไปได้ ในระยะห่าง
แล้วรู้สึกว่ากระต่ายมันตัวเล็กกว่ากระท่อม เมื่อเทียบกับพื้นที่ในมุมกว้าง

ภาพถ่ายอันน่าพิศวงของภูมิประเทศบนดาวอังคาร ซึ่งหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจคิวริออซิที (Curiosity Rover) ขององค์การนาซาบันทึกภาพไว้ได้ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคมที่ผ่านมา เผยให้เห็นสิ่งที่ดูเหมือนกับประตูทางเข้าสถานที่ลับสักแห่งไม่มีผิด

ประตูปริศนาดังกล่าวอยู่ในภาพที่บันทึกได้จากภูเขาชาร์ป (Mount Sharp) ภายในแอ่งหลุมเกล (Gale Crater) ซึ่งหุ่นยนต์คิวริออซิทีทำการสำรวจในหลายจุดมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๕

กล้องของหุ่นยนต์ตระเวนสำรวจจับภาพของประตูปริศนาได้ ขณะกำลังไต่ระดับขึ้นเขาสูง ๕,๕๐๐ เมตร โดยประตูนี้ตั้งอยู่ตรงส่วนเนินเขาชันที่เรียกว่า Greenheugh Pediment ซึ่งมีพื้นผิวขรุขระคล้ายหลังจระเข้

ข่าวจาก บีบีซี (https://www.bbc.com/thai/international-61434407)

จะเป็นช่องที่เกิดโดยธรรมชาติหรือเป็นฝีมือชาวอังคารต้องติดตามกันต่อไป (ด้วยใจระทึก) ;D

ตำแหน่ง "ประตูปริศนา" ในภาพมุมกว้าง

ภาพจาก gigapan.com (http://www.gigapan.com/gigapans/229311)

แม้ว่าในที่สุดมีความเห็นจากผู้สันทัดกรณีจะมีว่า "ประตูปริศนา" เป็นผลงานของธรรมชาติมิใช่จากฝีมือของชาวอังคาร

https://www.facebook.com/thairath/videos/686032925842040/

แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการเข้าไปสำรวจข้างใน เห็นทีจะเชื่ออย่างสนิทใจได้ยาก ;D

ไขปริศนา “ประตูเอเลียน” บนดาวอังคาร นักธรณีวิทยาชี้ ไม่ใช่ทางเข้าสถานที่ลับ

ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาของดาวอังคารหลายคนชี้ว่า มันไม่ใช่ประตู แต่เป็นร่องรอยการกัดเซาะตามธรรมชาติ ไม่ใช่ประตูที่สร้างโดยฝีมือมนุษย์หรือเอเลียนแต่อย่างใด

นีล ฮอดจ์กินส์ นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ รองประธานบริษัทวิจัยทางธรณีศาสตร์ Searcher ผู้ศึกษาสภาพภูมิประเทศของดาวอังคารมานาน กล่าวให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Live Science ว่าสำหรับเขาแล้วมันดูเหมือนร่องรอยการกัดเซาะด้วยลมหรือน้ำตามธรรมชาติมากกว่า

“เนินเขาที่ช่องหินคล้ายประตูตั้งอยู่ มีลักษณะเป็นชั้นหินที่เกิดจากการทับถมของดินและทรายที่เป็นตะกอนก้นแม่น้ำ หรือไม่ก็เป็นเนินทรายที่ถูกลมพัดมาทับถมกันตั้งแต่ราว 4,000 ล้านปีก่อน โดยส่วนของทรายที่แข็งกว่าจะยื่นออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด” ฮอดจ์กินส์กล่าวและว่า

ในบริเวณใกล้เคียงยังพบรอยแตกของหินในแนวตั้งจำนวนมาก เมื่อรอยแตกเหล่านี้ขยายตัวจนมาพบกับชั้นหินที่ทับถมกันในแนวนอน จะทำให้เนื้อหินแตกหลุดออกมาเป็นก้อนใหญ่ โดยมีรูปทรงบางส่วนคล้ายกับมุมเหลี่ยมและขอบบางด้านแทบจะเป็นเส้นตรงได้ ซึ่งจากในภาพยังคงมีชิ้นส่วนของหินที่แตกหลุดออกมาให้เห็นอยู่

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ ในหุบเหว Valles Marineris บนดาวอังคาร

“นี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก และเราก็พบชั้นหินที่แตกออกเป็นรูปทรงคล้ายกันนี้ได้ ตามพื้นที่แห้งแล้งหลายแห่งทั่วโลก” ฮอดจ์กินส์กล่าวอธิบาย

ด้านดร. นิโคลาส แมนโกลด์ นักธรณีวิทยาดาวเคราะห์จากมหาวิทยาลัยน็องต์ของฝรั่งเศส เห็นเช่นเดียวกันว่า มีหลายสิ่งในภาพที่บ่งชี้ว่ามันไม่ใช่ “ประตูเอเลียน” อย่างแน่นอน

อันดับแรกคือเรื่องของขนาดที่ประเมินแล้วน่าจะมีความสูงไม่ถึง 1 เมตร ประกอบกับแสงเงาที่ปรากฎทำให้ดูเสมือนว่าเป็นช่องลึกเปิดเข้าไปด้านใน ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงช่องวางตื้น ๆ ในเนื้อหินเท่านั้น

โครงสร้างของชั้นหินที่ประกอบกันขึ้นเป็นเนินเขาแห่งนี้ มีรอยแตกอยู่ทั่วไปทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ทำให้ง่ายต่อการเกิดก้อนหินที่จะแตกหลุดออกเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม” ดร. แมนโกลด์กล่าวและว่า ประตูนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับ แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงบนดาวอังคารเมื่อปลายปีที่แล้วและเมื่อต้นเดือนพ.ค.

“แผ่นดินไหวน่าจะมีผลต่อการกะเทาะหลุดร่วงของชั้นหินนี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับแรงเค้นที่กระทำต่อเนื้อหิน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามฤดูกาลบนดาวอังคาร” ดร. แมนโกลด์กล่าวสรุป

https://www.prachachat.net/spinoff/science-technology/news-931566

เห็นด้วยค่ะ

NASA เตรียมเริ่มต้นศึกษา UFO หลังได้รับความสนใจอย่างมากจากสาธารณชน

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Aeronautics and Space Administration - NASA) ประกาศเตรียมเริ่มต้นศึกษาจานบินอวกาศของมนุษย์ต่างดาว (Unidentified Flying Objects - UFO) หรือปรากฏการณ์ใด ๆ กลางอากาศที่ไม่สามารถระบุได้ (Unidentified Aerial Phenomena - UAP) ด้วยการรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบ และวิเคราะห์หลักฐานงานวิจัย เพื่อพัฒนาความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็นได้มากยิ่งขึ้น
 
ด้าน โทมัส เซอร์บูเชน หัวหน้าหน่วยด้านวิทยาศาสตร์ของ NASA เผยว่า เราไม่กลัวความเสี่ยงที่อาจกระทบกับชื่อเสียง เราเชื่อว่าความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปรากฏการณ์เหล่านี้ คือขอบเขตของข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งต้องใช้เวลาตรวจสอบและคัดกรอง
 
ในขณะที่ยานสำรวจของ NASA สำรวจระบบสุริยะ เพื่อค้นหาฟอสซิลของจุลินทรีย์ในสมัยโบราณ ประกอบกับนักดาราศาสตร์เองก็กำลังมองหาสิ่งที่เปรียบเสมือนเป็นหลักฐานของร่องรอยบางอย่างบนดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกล เพื่อหาสัญญาณของอารยธรรม รวมถึงความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่มีระดับสติปัญญา โดยนับเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานของ NASA จะตรวจสอบปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้บนท้องฟ้าของโลกใบนี้อย่างจริงจัง
 
ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา NASA ได้รับข้อเรียกร้องให้ค้นหาคำตอบของปรากฏการณ์เหล่านี้ที่ไม่สามารถระบุหรืออธิบายได้ ก่อนที่แนวคิดเหล่านี้จะค่อย ๆ เริ่มเป็นที่สนใจของสาธารณชนมากยิ่งขึ้น และจากรายงานหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ พบว่า มีการพบเหตุวัตถุหรือปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถระบุได้ถึง ๑๔๔ เหตุการณ์เมื่อปี ๒๐๒๑ ซึ่งทั้งหมดยังไม่ได้ข้อสรุปหรือฟันธงว่ามีความเกี่ยวโยงกับมนุษย์ต่างดาวหรือยาน UFO หรือไม่แต่อย่างใด
 
โดยทีมศึกษาของ NASA กลุ่มนี้จะไม่ขึ้นกับกลุ่มด้านความมั่นคงของเพนตากอน เบื้องต้นคาดว่าการศึกษาดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาราว ๙ เดือน และใช้งบประมาณไม่เกิน ๑ แสนดอลลาร์สหรัฐ เป็นการศึกษาแบบเปิด ทั้งยังไม่มีการใช้ข้อมูลทางการทหารที่เป็นความลับของทางการสหรัฐฯ อีกด้วย
 
NASA เผยว่า ทีมศึกษาจะนำโดย เดวิด สเปอร์เจล นักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ ประธานมูลนิธิ Simons Foundation เพื่อการพัฒนาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งสเปอร์เจลคาดว่า การศึกษาในครั้งนี้อาจช่วยค้นหาคำตอบที่ใครหลายคนสงสัยเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ได้ไม่มากก็น้อย อีกทั้งจักรวาลนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เรายังไม่เข้าใจ และรอให้เราค้นหาคำตอบอีกมากมาย

ข่าวจาก THE STANDARD (https://thestandard.co/nasa-prepares-to-start-studying-ufo/)

อีกไม่นานเราอาจได้คำตอบเรื่องสิ่งมีชีวิตต่างดาวไม่มากก็น้อย ;D

วัตถุสีเงินแวววาวบนดาวอังคาร ถูกพบโดยรถสำรวจ Perseverance

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2022 ที่ผ่านมา รถแลนด์โรเวอร์เพอร์เซเวียแรนส์ (Perseverance) รถสำหรับสำรวจพื้นผิวดาวอังคารของนาซา (NASA) ที่ทำการทัชดาวน์ (Touch down) หรือล้อแตะกับพื้นผิวดาวอังคารในปี 2021 ได้บันทึกภาพวัตถุสีเงินแวววาวที่อยู่ตรงกลางระหว่างก้อนหินขนาดใหญ่ 2 ก้อน บริเวณหลุมอุกกาบาตเจซีโร (Jezero Crater)

ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลกตา เนื่องจากดาวอังคารเป็นดาวที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นสีส้มแดง จนได้รับสมญานามว่าดาวเคราะห์แดง (Red Planet) นักวิทยาศาสตร์จึงคิดว่าวัตถุดังกล่าวน่าจะมาจากนอกดาวอังคาร และพวกเขาคิดถูก เนื่องจากวัตถุดังกล่าวมาจากโลกของเรานั่นเอง

วัตถุดังกล่าว คือ ชิ้นส่วนผ้าห่มกันความร้อนของตัวพาวเวอร์ เจ็ต แพค (Powered Jet Pack) ที่เคยใช้ในการนำรถแลนด์โรเวอร์เพอร์เซเวียแรนส์ลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคาร ในตอนนั้นตัวพาวเวอร์ เจ็ต แพคตกกระแทกพื้นผิวดวงจันทร์ห่างออกไป 2 กิโลเมตร จากจุดพบชิ้นส่วนผ้าห่มกันความร้อน ทั้งนี้ ชิ้นส่วนดังกล่าวอาจกระเด็นไกลมาจนถึงจุดนี้ หรืออาจถูกลมพัดมา

https://www.tnnthailand.com/news/tech/116967/?fbclid=IwAR2epkeBRhMrh2KeBA4PW3u4-g14hWgvGAyPAMTtR6EGAWqnzPiZiv64ZWc

ขอถามค่ะ
ถ้าดาวอังคารมีลม ก็แปลว่ามีอากาศใช่ไหมคะ

ยานอินไซต์ (InSight) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ที่ลงจอดดาวอังคารเมื่อ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้บันทึกการสั่นไหวของสายลมหนาวที่กรรโชกบนดาวอังคาร โดยกระแสลมแรงดังกล่าวมีความเร็ว ๕-๗ เมตรต่อวินาที

บรรยากาศบนดาวอังคารเบาบางกว่าบนโลกมาก ก๊าซส่วนใหญ่คือคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อมีความร้อนจากดวงอาทิตย์สะสมบนพื้นผิว ก๊าซก็จะลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน เกิดเป็นลมพัดบนดาวอังคาร

ข้างล่างนี้เป็นภาพถ่ายจากยาน Mars Reconnaissance Orbiter แสดงพายุซึ่งมีความเร็วถึง ๓๑ เมตรต่อวินาที หอบเอาเศษหินและฝุ่นลอยตัวสูงขึ้นเป็นทางสีขาวยาวคล้ายงู และปรากฎเงาดำบนดาวอังคาร

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5650.0;attach=69868;image)

จาก  มนุษย์และสัตว์(ประหลาด)ต่างดาว (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5650.msg166275#msg166275) ความคิดเห็นที่ ๒๙๓-๒๙๔

วัตถุอีกชิ้นหนึ่งซึ่งถูกพัดพาโดยลมบนดาวอังคาร❗️

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Aeronautics and Space Administration - NASA) เปิดเผยภาพที่ถ่ายจากกล้องด้านหน้าตำแหน่งด้านซ้ายของหุ่นยนต์สำรวจ "เพอร์เซเวียแรนส์" (Perseverance) แสดงให้เห็นวัตถุรูปร่างแปลกคล้ายก้อนเชือกสีอ่อนวางอยู่บนพื้นผิวดาวอังคาร โดยเป็นภาพที่ถ่ายระหว่างการสำรวจแอ่งหลุมเจเซโร (Jezero Crater) เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคมที่ผ่านมา

โฆษกประจำห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น หรือเจพีแอล ของนาซาในเมืองพาซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า วัตถุนี้อาจเป็นสายเชือกร่มของเพอร์เซเวียแรนส์ ที่ถูกทิ้งไว้จากการขั้นตอนการลดระดับก่อนลงจอด หรือช่วงการลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคาร โดยเป็นชิ้นส่วนของอุปกรณ์ที่ทำให้หุ่นสำรวจร่อนลงบนพื้นผิวด่าวอังคารอย่างปลอดภัย

อย่างไรก็ตามเพอร์เซเวียแรนส์ไม่เคยเดินทางมายังจุดนี้ที่อยู่ใกล้กับบริเวณแอ่งหลุมเจเซโร มาก่อน ทำให้เชื่อว่าวัตถุนี้อาจถูกกระแสลมพัดพามา และเมื่อกลับไปดูอีกครั้งใน ๔ วันถัดมาปรากฏว่าวัตถุนี้ได้หายไปแล้ว ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของนาซาเตรียมตรวจสอบ และเปิดเผยรายละเอียดอีกครั้งในสัปดาห์นี้

นี่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่เพอร์เซเวียแรนส์มาพบชิ้นส่วนที่หลงเหลือจากการลงจอดบนดาวอังคาร โดยก่อนหน้านี้กล้องจับภาพพบวัตถุที่เป็นชิ้นส่วนฟอยล์มีความเงา เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าเป็นชิ้นส่วนของผ้าห่มฟอยล์รักษาอุณหภูมิ ที่อาจหล่นกระจายระหว่างการลงจอด

ข่าวจาก ไทยรัฐ (https://www.thairath.co.th/news/foreign/2450513?fbclid=IwAR21wcF2MrmG_6MdeMDxCCnLuCS4lznfG8HlGdbOo0IcUzklwpgTUdg-2Co#l5ugmjr298xrup3r8pd)

เรื่องที่ฮือฮากันขึ้นมาสำหรับผู้นิยม UFO  ในตอนนี้  คือ  'The Calvine Photo' ภาพที่เชื่อกันว่าถ่ายยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวได้ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ย้อนหลังไปถึงวันที่ 4  สิงหาคม ค.ศ.1990  นักปีนเขาสองคนในสกอตแลนด์ชวนกันไปปีนบนเนินเขาใกล้ Calvine
ขณะออกเดิน ทั้งสองเห็นวัตถุบินได้รูปทรงเพชรขนาดใหญ่เคลื่อนที่อย่างเงียบๆ บนท้องฟ้า ซึ่งทำให้ทั้งสองตกใจกลัวมาก
พวกเขาจึงวิ่งเข้าไปหลบในป่า และได้ยินเสียงยานประหลาดนี้หายลงไปในหุบเขา แต่สองนาทีต่อมา มันก็กลับมาและบินวนไปรอบ ๆ ทั้งสองจึงตัดสินใจถ่ายรูป ซึ่งในที่สุดรูปนี้คือภาพยูเอฟโอที่ชัดที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกได้
เขาส่งภาพนี้ไปให้หนังสือพิมพ์  Daily Record ของสกอตแลนด์เพื่อตีพิมพ์ แต่บรรณาธิการกลับส่งภาพไปให้กระทรวงกลาโหมแทน
ภาพก็เลยหายสาบสูญไป จน 32 ปีให้หลัง จึงถูกเปิดเผยโดยดร.เดวิด คลาร์คอดีตนักข่าว ปัจจุบันสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Sheffield Hallam University,

ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นภาพจริงหรือเป็นวัตถุชนิดอื่น

https://www.youtube.com/watch?v=zsp9737mFg8

มีเรื่องให้นัก "ต่างดาววิทยา" ได้ฮือฮากันอีกแล้ว   เมื่อมีข่าวยืนยันได้อย่างเป็นทางการว่าเครื่องบินขับไล่ F-16 ของสหรัฐอเมริกา  เพิ่งยิงวัตถุรูปทรงแปดเหลี่ยมตกเหนือทะเลสาบฮูรอนบริเวณชายแดนสหรัฐฯ – แคนาดา

กองทัพสหรัฐฯ ยังไม่สามารถระบุความสูง หรือที่มาของวัตถุต้องสงสัย 3 ชิ้นหลังได้

https://www.npr.org/2023/02/12/1156428862/us-shoot-down-ufo-unidentified-object-lake-huron

 :)

ถ้าเป็นยานจากต่างดาวจริง หมายความว่าอเมริกาประกาศสงครามกับมนุษย์ต่างดาวเแล้ว ⁉️

https://www.facebook.com/ThaiPBS/videos/921062449333109/

กำลังรอดูว่ากระทรวงกลาโหมจะออกมาประกาศว่า เป็นแค่บัลลูนตรวจอากาศ อย่างครั้งก่อนๆเวลามีใครถ่ายรูปยูโฟได้
หรือว่าจะแถลงว่าเป็นยานเครื่องเก็บข้อมูล ของประเทศคู่แข่งประเทศใดประเทศหนึ่งของอเมริกา ส่งเข้ามาจารกรรม

คารีน ฌอง-ปิแอร์ (Karine Jean-Pierre) โฆษกทำเนียบขาว (White House Press Secretary) กล่าวว่า ชาวอเมริกันอย่าตื่นตกใจเรื่องการยิง UFO ตก ๓ ลำ โดยไม่แจ้งรายละเอียดที่พบเกี่ยวกับยานดังกล่าว

https://youtu.be/oGCn7YQU_NE

กลัวจะเป็นอย่างที่คนไทยว่า ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ หลังจากโฆษกแถลง ชาวอเมริกันอาจจะยิ่งตื่นตกใจยิ่งขึ้นก็เป็นได้ ;D

อ้าว  ไม่ยักใช่บัลลูนตรวจอากาศ   และไม่ยักใช่บัลลูนสอดแนม อย่างที่มีข่าวเร็วๆนี้

สีหน้าเจ๊เธอพะอืดพะอมมาก   คงจะรู้ตัวว่าทำหน้าที่แถลงแบบเท่ากับไม่ได้แถลง   คือบอกอะไรไม่ได้สักอย่าง  ได้แต่ย้ำว่าอย่าตื่นตระหนก
เจ๊เองก็คงรู้จากประสบการณ์การทำงานว่า  ยิ่งบอกว่าอย่าแพนิค   เท่ากับบอกว่า..เรื่องมันน่าตื่นเต้นตกใจมากนะพวกคุณ 
ถ้าเจ๊แถลงอยู่ในไทย  ป่านนี้่น่าจะยับเยินอยู่ในทวิตเตอร์แล้ว :-\ :-\

ไปหาจากทวิตเตอร์ดีกว่า
ได้ความออกมาว่า เป็นคำปฏิเสธว่า วัตถุบินได้ที่ถูกยิงตกนั้น ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว   แต่เกี่ยวกับอะไรไม่บอก

เมื่อไม่มีรายละเอียด ก็ยากที่จะมีคนเชื่อ ::)

https://youtu.be/1fh7JZn96jY

คลิปนี้ (เสื้อแดง) เป็นคำแถลงก่อนหน้าคลิปแรก (เสื้อเหลือง) ๑ วัน

ไม่ต้องรอเจ๊แล้วค่ะ    ของเราชัดเจนกว่าโฆษกทำเนียบข่าวอีก

พีท ทองเจือ แชร์ประสบการณ์เจอ UFO เชื่อมนุษย์ต่างดาวแวะมาโลกบ่อย  พร้อมยืนยันว่าในอนาคตนั้นทุกคนจะได้เจอแน่นอน

https://www.youtube.com/watch?v=5dkprHntZOk

https://www.youtube.com/watch?v=W5Yv-uTUUSM

กาแลคซี่ต่างๆมีดาวอยู่รวมกันเป็นล้านล้านดวง   เพราะฉะนั้นจะให้ทั้งหมดนี้มีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงอยู่เฉพาะโลกของเราเอง มันก็ไม่น่าเชื่ออยู่แล้ว
แต่ที่น่าแปลกก็คือข่าวเรื่องมนุษย์ต่างดาวมีมาให้ชาวโลกเห็นนานหลายทศวรรษ    จนป่านนี้ก็ยังไม่เคยเห็นตัวจริงกันเลยสักครั้ง 
ส่วนคนที่อ้างว่าติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว รู้เรื่องต่างดาวได้ก็ไม่เคยนำหลักฐานหรือตัวมนุษย์ต่างดาวมาพิสูจน์กันให้หายข้องใจเลยสักคนเดียว 
สรุปว่า เราก็ต้องรอกันต่อไป

มนุษย์ต่างดาว ยังแรงไม่เลิก
ล่าสุด หมอปลาย พรายกระซิบ ออกมาเผยแพร่ภาพมนุษย์ต่างดาวที่ถ่ายไว่ได้ในป่าที่ประเทศออสเตรเลีย


https://www.facebook.com/PlaiNavaracha

พอดีไปเจอคำให้สัมภาษณ์ของศ.ดร.เทพนม เมืองแมน เรื่องที่ท่านติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้  เมื่อปีพ.ศ. 2542  จึงขอนำลงในกระทู้ให้อ่านกัน
https://sites.google.com/site/snimnon/bth-samphasn-mnusy-tang-daw-2-khn-s-dr-nph-thephnm-meuxng-maen

บทสัมภาษณ์มนุษย์ต่างดาว 2 คน...ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน..เขาอาจช่วยเราได้

**บทสัมภาษณ์ระหว่างนายแพทย์ไทยกับมนุษย์ต่างดาวจากดาวอังคาร ชื่อ พาราซิทัลและดาวศุกร์ ชื่อ เอ็ดดี้**

1.ถาม-(หมอเทพนมฯ) ทำไมท่านจึงมาติดต่อกับผม เพราะบังเอิญหรือเพราะอะไร?

ตอบ-การมาติดต่อกับท่าน ไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ พวกเราติดต่อกับสายพันธุ์เดียวกันเท่านั้นหรือจะเรียกตามภาษามนุษย์ว่า มีกรรมพัวพันกันก็ได้ มนุษย์ต่างดาวจะมาที่โลกนี้ใน 3 รูปแบบ คือ

1)มาในรูปมนุษย์ต่างดาว อย่างพวกเราขณะนี้

2)มาในแบบถูกส่งมาจุติให้เป็นมนุษย์ ท่านได้ถูกส่งลงมายังโลกนี้ห้าพันกว่าปีแล้ว มีหน้าที่ประสานงานระหว่างมนุษย์กับต่างดาว

3)วิญญาณของมนุษย์ต่างดาวเข้าสิงอยู่ในตัวมนุษย์

2.ถาม-วิญญาณหรือจิต มีจริงหรือไม่?

ตอบ- วิญญาณ หรือจิต หรือพลังงานชีวิต มีจริง ในสิ่งที่มีชีวิตทั่วจักรวาล พลังชีวิตนี้ ไม่มีใครทำลายได้ เมื่อมนุษย์ตาย ร่ายกายเน่าเปื่อยไป แต่วิญญาณยังคงอยู่ และจะต้องไปจุติตามการกระทำ หรือกรรมที่ตนทำไว้ อาจไปเกิดเป็นสัตว์ก็ได้ พวกที่เกิดเป็นมนุษย์อีก มักเกิดใกล้สถานที่ที่กำเนิดในชาติก่อน มีจำนวนน้อยที่ไปเกิดข้ามทวีป และมีจำนวนน้อยมากอย่างยิ่ง ที่ไปเกิดในอีกดาวหนึ่ง......

ภาพถ่ายแสงออร่าของหมอเทพนมฯขณะเข้าสมาธิจิตติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว โปรดสังเกตุแสงสีขาวด้านบนแผ่กว้างคลุมโดยรอบ แสดงว่าสภาวะจิตสงบลึกมาก นิ่ง สว่าง มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงมาก อยู่ในขั้นบรรลุธรรมขั้นสูงในระดับหนึ่งแล้ว....Webmaster

3.ถาม-ท่านนับถือศาสนาอะไร? มีศาสนาแบบมนุษย์ไหม?

ตอบ-พวกเรานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเหมือนกัน มีองค์เดียวที่สูงสุด และทุกชีวิตมาจากหนึ่งเดียวนี้ ตามความจริงซึ่งท่านจะได้เรียนรู้และทราบในศตวรรษใหม่ที่จะมาถึง ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ มีพระผู้สร้าง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอยู่ 1 องค์ ที่สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมาแต่เริ่มแรก แต่การบริหารจัดการกับสิ่งมีชีวิตต่างๆนั้น มีคณะกรรมการจัดการระหว่างดวงดาว ซึ่งบรรดาศาสดาต่างๆของโลกมนุษย์ก็เป็นกรรมการอยู่ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดี ไม่ควรมาเปรียบเทียบกันว่าศาสนาของฉันดีกว่าศาสนาของเธอ เพราะศาสดาทุกท่าน ก็มาจากที่เดียวกันหมด และถูกส่งลงมาช่วยพัฒนาจิตใจมนุษย์เป็นระยะๆไป.....

4.ถาม-ท่านอายุเท่าใด? และพวกท่านมีตายบ้างไหม?

ตอบ(ท่านพาราซิทัล)-เราอายุหลายพันปี ตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงปัจจุบัน เคยเห็นพวกเราตายแค่ 3 คน ตายจากอุบัติเหตุยานอวกาศตก ทางด้านโรคต่างๆ เราสามารถพิชิตได้หมดแล้ว ขอให้ถามท่านเอ็ดดี้ ผู้ตรวจจักรวาลบ้าง

ท่านเอ็ดดี้- ท่านพาราซิทัลพูดถูกต้องแล้ว พวกเราอายุยืนมาก......


5.ถาม-ขอให้ท่านให้ความกระจ่าง เกี่ยวกับมนุษย์คู่แรกบนโลกนี้ว่า มาจากไหนกันแน่? มาจากลิงใช่หรือไม่?

ตอบ-มนุษย์ไม่ได้พัฒนามาจากลิงอย่างที่เข้าใจกัน ตามความเป็นจริง มนุษย์เพศชายคนแรกที่พวกท่านเรียกว่า"อาดัม"นั้น ถูกสร้างขึ้นมาที่ดาวนพเคราะห์ดวงหนึ่งนอกระบบสุริยะของท่าน พระผู้สร้างได้ให้พวกเรา นำมนุษย์ผู้นั้นมาไว้ยังโลกนี้ และต่อมาได้สร้างมนุษย์เพศหญิง ที่พวกท่านเรียกว่า "อีฟ" ขึ้นมาอีกคนหนึ่ง และให้นำมาอยู่ด้วยกัน จนสืบเชื้อสายมีลูกหลานกันมากมายไปทั่วโลก พวกเราเปรียบเสมือนบรรพบุรุษของพวกท่านเหมือนกัน มีหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือพวกท่านอยู่เสมอมา ในระยะ 200 กว่าปีที่ผ่านมา มนุษย์เจริญทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมามาก แต่ทางด้านศีลธรรม และจริยธรรม กลับพัฒนาได้น้อยมาก เมื่อมนุษย์ค้นพบพลังงานใหม่ เช่นพลังปรมาณู ก็นำไปใช้สร้างอาวุธทำลายล้างกัน แทนที่จะนำไปใช้ในด้านพัฒนาสุขภาพและสันติภาพ......


6.ถาม-ถ้าพระผู้สร้างมีจริง และเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และสิ่งไม่มีชีวิตขึ้นมาจริงอย่างที่ท่านบอก สิ่งนี้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาหรือไม่?

ตอบ- พระผู้สร้าง ได้สร้างทุกอย่างในจักรวาลขึ้นมา แต่ท่านได้ให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ที่จะทำดี หรือทำชั่วก็ได้ หากทำดี ก็ได้รับผบตอบแทนที่ดี ทำชั่ว ก็ได้รับผลตอบแทนที่ไม่ดี นับว่ายุติธรรมที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ? ฉะนั้น ไม่ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาเลย และนี่คือ ความจริงของกฎจักรวาล........


7.ถาม-สิ่งมีชีวิตในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ แบ่งเป็นระดับอย่างไรบ้าง? และพวกท่าน(มนุษย์ต่างดาว)เป็นผี หรือเทวดา หรืออะไรกันแน่?

ตอบ-พลังงานชีวิต หรือจิตวิญญาณในจักรวาลนี้ แบ่งเป็นระดับต่างๆมากมาย จะเรียกว่า "ภพภูมิ" หรือ"มิติ"ก็ได้ มนุษย์อยู่ในมิติที่ 3 มีความกว้าง ยาว ลึก แต่ไม่สามารถควบคุม"เวลา"ได้ พวกเราอยู่ในมิติสูงกว่าพวกท่านหลายมิติ เราอยู่สูงกว่ามิติ"ผี" แต่เราก็ยังไม่ใช่พวกเทพ หรือพรหม อย่างที่พวกท่านเชื่อว่ามี เราเป็น"มนุษย์"อีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ยังดาวดวงอื่น มีความเจริญทางวิทยาศาสตร์ และศีลธรรมสูงกว่าพวกท่านมาก ความโกรธ โลภ หลง ในพวกเรา แทบไม่มีเหลืออยู่เลย เรามีจิตวิญญาณที่เป็นอมตะแบบพวกท่าน แต่เราก็มี"ร่าง" ที่ไม่คล้ายกับพวกท่านนัก และมี"ยานบิน" ที่ทำให้เราเดินทางไปยังดาวต่างๆได้อย่างรวดเร็วกว่าแสง พวกเราเป็นสมาชิกของสมาคมระหว่างดวงดาว ซึ่งมนุษย์ยังไม่ได้เป็น แต่คาดว่า มนุษย์คงสามารถพัฒนาตัวเองให้เข้าเป็นสมาชิกได้ในศตวรรษที่ 21 นี้ หากมนุษย์สามารถลดกิเลส โกรธ โลภ หลง ลงได้ เทวดาและพรหมนั้นมีจริง เราสามารถติดต่อได้ทางจิต แต่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกัน พวกเขามักเรียกพวกเราว่า"มนุษย์พิเศษ" ส่วนผีนั้น ไม่มีร่างถาวร มีแต่จิต และส่วนมาก ไม่สามารถออกไปจากโลกนี้ได้เกิน 50 กม. เพราะมีสิ่งที่บังคับควบคุมไว้ แต่"มนุษย์ต่างดาว"ไม่มีข้อจำกัดนี้......

8.ถาม-มนุษย์ต่างดาว จะมายังโลกนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากใครก่อนหรือเปล่า?

ตอบ- มนุษย์พิเศษจากดาวอื่นๆ จะมายังโลกนี้ ต้องขออนุญาตจากสมาคมระหว่างดวงดาวก่อนเสมอ หรือถูกส่งให้มาช่วยเหลือในบางเรื่อง แต่เมื่อมาถึงโลกนี้ ก็ยังต้องรายงานกับ"ผู้ตรวจโลก" ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ มนุษย์ต่างดาวที่แอบมาก็มีเหมือนกัน คือ มาโดยไม่ขออนุญาตก่อน ส่วนมากพวกนี้เป็นพวก"ไม่ดี" ซึ่งมีอยู่เหมือนกัน แต่เป็นจำนวนน้อย ปีที่แล้ว มีพวกกลุ่มไม่ดี ได้แอบเข้ามาในโลกของท่าน ด้วยยานอวกาศลำใหญ่ขณะมิติเปิด ขณะนี้สำหรับประเทศไทย กลุ่มไม่ดีลอยอยู่ในบริเวณเขาผีปันน้ำ ในภาคเหนือของประเทศท่าน หากพบยานบินสีดำ อย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อันตรายมาก......

9.ถาม-มนุษย์ต่างดาวเช่นพวกท่าน หน้าตาคล้ายพวกเราไหม? หายใจด้วยออกซิเจนหรือไม่? กินอาหารและขับถ่ายอย่างไร?

ตอบ-ผู้ที่มาจากดาวดวงอื่น ที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์มากที่สุด คือ พวกที่มาจากกลุ่มดาวลูกไก่ และดาวพระศุกร์ เราจากดาวอังคาร(ท่านพาราซิทัล) หน้าตาไม่เหมือนพวกท่าน ตาจะใหญ่ดำ คางแหลม แบบในรูปที่ท่านวาดไว้ สูงกว่ามนุษย์ มือมี 3 นิ้ว และไม่มีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิง แต่รู้ว่าใครเป็นเพศชาย เพศหญิง มนุษย์ต่างดาวเพศชาย มักตัวโตกว่าผู้หญิง เราไม่หายใจด้วยออกซิเจน แต่หายใจด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว เรามีปากเล็กๆ จมูกเล็กๆ ไม่กินอาหารเหมือนพวกท่าน เรากินพลังงานชนิดหนึ่ง กินหนึ่งครั้งอยู่ได้หลายเดือน เราไม่มีกระเพาะอาหาร ลำไส้ ทวารหนัก ฉะนั้นพวกเราไม่ต้องขับถ่ายทั้งหนักและเบาระหว่างเดินทางในอวกาศ ความแตกต่างเหล่านี้ เป็นของธรรมดา "ท่านเอ็ดดี้" ก็หน้าตาเป็นสี่เหลี่ยม ตากลมใหญ่ แปลกไปจากเราอีก แต่เขาใจดีมากนะ หน้าตาแตกต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าคุยกันไม่ได้.....

10.ถาม- ผมอยากถามว่า มาตรฐานของดาวอังคาร ดูเพศชายว่าหล่อ หรือเพศหญิงว่าสวย เหมือนมนุษย์ดูหน้าตาและรูปร่างหรือเปล่า?

ตอบ- ไม่ใช่เลย ความหล่อและความสวย ไม่มีความสำคัญในโลกของเราเลย เราดูความ"งาม"ของเพศตรงข้าม คือ 1)ดูว่ารัศมีออร่า ที่ออกมารอบตัวและศีรษะของเขา เป็นสีที่บริสุทธิ์ เช่น สีขาวมากน้อยแค่ไหน? 2)ดูที่ความคิดอ่านของเขา เวลาเขาคิด ก็ออกมาเป็นคลื่นไฟฟ้า ให้พิจารณาได้แล้วว่า คิดดี คิดบริสุทธิ์หรือไม่? ถ้าคิดดี คิดถูกต้อง วาจาและการกระทำที่ตามมาก็จะดีตาม พวกเราถือสัจจะสำคัญกว่าชีวิต ไม่มีการพูดปดกันหน้าตาเฉย อย่างในโลกมนุษย์เลย เพราะหากพูดปด อีกฝ่ายก็ทราบทันที และตัวเองก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นเลย.......

11.ถาม-พวกมนุษย์สงสัยว่า ถ้าท่านไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านมีลูกกันได้อย่างไร? แต่งงานกันหรือไม่?

ตอบ- พวกเราเคยมีอวัยวะสืบพันธุ์ ตั้งนมนานมาแล้ว แต่หลังจากมีการพัฒนาทางด้านโคลนนิ่งมากเข้า เพศหญิงไม่ต้องอุ้มท้อง 9 เดือน แบบผู้หญิงของท่าน เพราะไม่ยุติธรรมต่อเพศหญิง เมื่อพัฒนาโน่นนี่กันมากขึ้น อวัยวะเพศก็หย่อนความสำคัญลงไป ไม่ค่อยได้ใช้กันบ่อย ขณะนี้ถ้าเราชอบพอกัน อยากไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราก็มีพิธีแต่งงานง่ายๆ มีคล้ายพระ ทำพิธีให้ และไปอยู่ด้วยกัน มีบ้านที่รัฐบาลสร้างไว้ให้แล้ว เมื่ออยากมีลูกกัน ทั้ง 2 คนก็ยืนจ้องตากัน เอา 2 มือแตะกัน "ปิ๊ง"เดียว ลูกตัวเล็กๆก็ลอยลงมาในแคปซูลน้อยๆ และก็เลี้ยงให้โตขึ้นมา ต้องไปเข้าโรงเรียนด้วย คล้ายของมนุษย์ ทุกครอบครัวถูกกำหนดว่า มีลูกได้ไม่เกิน 2 คน หากมีเกิน 2 คน จะถูกลงโทษ คือ ตายไปแล้ว ไม่ได้เกิดอีกเลย ซึ่งทุกคนกลัวมาก บางดาวแค่จ้องตากัน ก็มีลูกได้แล้ว แปลกไหม? ต่อไปโลกของท่าน อาจเป็นแบบของเราก็ได้........

12.ถาม-โลกดาวอังคารของท่าน ทำไมสหรัฐอเมริกา ส่งจรวดไปแล้ว ไม่เจอผู้คนเลย และท่านมีระบบการปกครองอย่างไร?

ตอบ-โลกของเรา เคยมีบรรยากาศ มีน้ำ เช่นโลกของท่าน แต่พวกเรากันเอง ก็ทำลายสิ่งแวดล้อมจนหมดสิ้น และทำสงครามกันด้วย คนต้องหนีลงไปอยู่ใต้ดินสำหรับผู้ที่รอดตาย เราอยู่ลึกลงไปหลายกิโลเมตร เรายังใช้ระบบบการปกครอง ที่มีหัวหน้า คล้ายพระเจ้าแผ่นดิน ทุกคนก่อนเกิด ถูกกำหนดไว้แล้วว่า ต้องเกิดมาเป็นเพศอะไร? และโตขึ้นทำอาชีพอะไร? เช่น เราถูกกำหนดให้เกิดเป็นทหาร จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โลกของท่านดีกว่า ที่เกิดแล้วเลือกเรียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ จะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง โลกของเราต้องเป็นคนดีเท่านั้น เป็นคนเลวไม่ได้ คนเลวจะถูกกำจัดออกไปทันที และไม่ได้เกิดอีกเลย......

13.ถาม-โลกของท่านมีนรกและสวรรค์ไหม? และการกลับชาติมาเกิดมีจริงหรือไม่?

ตอบ-ในระบบสุริยะของพวกเรา ในทางช้างเผือก มนุษย์เป็นดาวนพเคราะห์ดวงเดียว ที่มีทั้งนรกและสวรรค์ ดาวนพเคราะห์อื่นๆไม่มี เพราะเขาทำดีกันหมด ไม่มีคนทำชั่ว ที่ต้องถูกไปลงโทษในนรก แต่โลกของท่าน ก็มีดี ที่ตายไปแล้วได้เกิดอีก ขึ้นอยู่กับการกระทำของท่าน ถ้าท่านทำดี ชาติต่อไป ก็ดีขึ้นกว่าเดิมม หากทำชั่ว ก็ตกนรก หรือเกิดเป็นสัตว์ หรือมนุษย์ที่แย่กว่าเดิม การกลับชาติมาเกิด มีจริง ส่วนมากจะเวียนว่ายตายเกิดในโลกของตัวเอง บางคนอาจจะเกิดข้ามดาว แต่มีน้อยมาก ที่จะทำได้เช่นนั้น ต้องพิเศษจริงๆ.....

14.ถาม-ผมมีรูปถ่ายจากแฟ้มลับของเคจีบี ที่เพิ่งเปิดเผย อ้างว่าเป็นภาพจานบินตกในรัสเซีย ราว 40 ปีมาแล้ว และมีมนุษย์ตัวเล็กๆสีเขียวตายอยู่ในนั้น และเขานำมาผ่าศพดู ท่านดูแล้วคิดว่าภาพเหล่านี้เป็นของจริงหรือภาพหลอกลวง?

ตอบ-จานบินตกทั่วโลกมาแยะแล้ว ในรัสเซีย ในจีนก็ตกหลายครั้ง ในประเทศไทยของท่าน ก็ตกที่ อ.สันกำแพง จ.เชีงใหม่ ในปี ค.ศ.1958 ท่านเอ็ดดี้รู้ดี เพราะรอดมาได้ รูปที่รัสเซียเปิดเผยนั้น เป็นรูปจริง มนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆเขียวๆ มี 4 นิ้ว ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขามาจากดาวดวงอื่น จะให้รูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ คงเป็นไปไม่ได้ น่าสงสารเขานะ.....

15.ถาม-เพื่อนของผม ถ่ายภาพมนุษย์มีแสงออกมาจากตัว ที่ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เมื่อเดือนมีนาคม 2542 เวลากลางคืน ท่านบอกได้ไหมว่า เขาเป็นชาวบ้านหรือมนุษย์ต่างดาว หากเป็นมนุษย์ต่างดาว เขามาทำไมในป่าทึบ?

ตอบ- ผู้ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่มีแสงออกมาจากตัว ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน จ.กาญจนบุรี เป็นพื้นที่ที่มิติเปิด คล้ายสามเหลี่ยมเบอมิวดา และบรรดายานอวกาศต่างๆ สามารถผ่านเข้า-ออกได้ง่าย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งของโลก ที่มีแร่ธาตุหายาก ที่ใช้ในการเดินทางในอวกาศ เราเคยบอกท่านแล้ว เกี่ยวกับแร่ธาตุชนิดนี้ ว่าคล้ายแร่ธาตุที่ท่านเรียกว่า"เหล็กไหล"ไงล่ะ เราจะไม่บอกว่า เขามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า เขาไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่ผี!!!......

16.ถาม-เมื่อ 6 สิงหาคม 2542ผมได้รับเชิญจากองค์การนาซ่าและInternational Space University ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมาจัดประชุมอยู่เงียบๆอยู่ที่มหาวิทยาลัยสุรนารี ให้ไปพูดถึงเรื่อง"การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับยูเอฟโอ และผู้ขับขี่ยานบินในประเทศไทย พ.ศ.2540-2542" และได้รับคำชมเชยจากฝรั่งนักวิชาการ 300 กว่าคนว่า ทำวิจัยได้ดีมาก ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องที่นาซ่าคิดจะไปยึดดาวอังคารทำเหมืองแร่ และส่งคนไปอยู่ 50,000 คน ใน 20 ปีข้างหน้านี้ และทำไมจานบินของท่านมาแล้ว ไม่ยอมบินลงมาต่ำตามที่ขอร้องให้ฝรั่งเห็นทั่วกัน?

ตอบ-เราไปฟังอยู่ตลอดเวลา และไม่พอใจอย่างมาก ที่เขาคิดจะไปยึดดินแดนที่มีเจ้าของแล้ว เช่นที่เคยทำมาในโลกนี้ในอดีต ขอบอกสั้นๆว่า หากรบกัน ก็ไม่มีทางสู้พวกเราได้ ขอให้บอกแก่พวกเขา 3 ข้อ คือ

1)จานบินและมนุษย์ต่างดาวนั้น มีจริง และได้มาเยือนโลกนี้ เป็นเวลานานหลายพันปีแล้ว มนุษย์เปรียบเสมือนลูกหลานของเรา

2)มนุษย์ต่างดาว ไม่ต้องการมายึดครองโลกนี้ ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ก็ไม่ควรคิด จะไปยึดครองดวงดาวของเรา เพราะมีเจ้าของแล้ว และไม่มีทางสู้เราได้

3)ขอให้มนุษย์ใช้สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาโลกนี้ดีกว่า รวมทั้งเตรียมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นในโลกนี้ในปีหน้า(ค.ศ.2000 หรือ พศ.2543)

ยานอวกาศของเรา ได้บินไปให้ท่านและบางคนเห็นแล้ว เราไม่บินลงต่ำ เพราะคิดว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกที่คิดจะไปยึดดาวของเรา.....

17.ถาม- เมื่อ 19 มีนาคม 2539 มีผู้ถ่ายภาพประหลาดได้ ที่พระเมรุพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี แสงนั้นเป็นแสงอะไร?(จะนำลงภาพปาฏิหาริย์ในเว็บฯนี้ต่อไป-Webmaster)

ตอบ-ขอตอบสั้นๆว่า กลุ่มเทพชั้นสูงมาแสดงคารวะต่อพระบรมศพ ไม่ใช่จานบินมาอย่างที่เข้าใจกัน.....

18.ถาม-ผมได้รับเชิญให้ไปพูดในสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของ ม.สงขลานครินทร์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2542 ซึ่งท่านได้สั่งให้ผมไปพูดเตือนชาวใต้เกี่ยวกับปี 2000 แต่ทำไม"จานบิน" ไปปรากฏที่อ่างเก็บน้ำของ ม.สงขลาฯ ทุกคืน เป็นเวลาถึง 10 วัน ก่อนผมไปถึง ผมไม่ได้ร้องขอมากเพียงนั้น........

ตอบ-เราเป็นห่วงชาวใต้ของท่านมาก เกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ จึงไปหลายครั้ง ในปีหน้า เราจะพยายามช่วยให้หนักกลายเป็นเบา ได้ขอให้ท่านพูด อย่าให้เขาตกใจกลัว จนขาดสติ ที่บอกเขาว่า ให้ช่วยเหลือกัน มีความเมตตากรุณาต่อกันมากขึ้นนั้น ดีแล้ว ให้หมั่นสดับรับฟังข่าวสารต่างๆอยู่เสมอ รู้จักที่ๆปลอดภัย หากเกิดภัยพิบัติ อย่าประมาท เราหวังว่า ทุกท่านจะปลอดภัยในปีหน้า 2543 ส่วนคืนวีนที่ 19 สิงหาคม 2542 อากาศไม่ดี เราบินกันมา 3 ลำ ในระยะสูง แต่ให้ท่านถ่ายภาพได้ชัดๆ ตั้งแต่หัวค่ำแล้วไม่ใช่หรือ? ที่ดูคล้ายดวงอาทิตย์นั่นแหละ......

สรุปว่า ตั้งแต่ต้นปี จนถึงเดือนกันยายน 2542 ขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ผู้เขียนได้ติดต่อกับท่านพาราซิทัล และท่านเอ็ดดี้เป็นประจำ เดือนละ 1-2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ซึ่งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2542 ยูเอฟโอ ได้มาปรากฏให้เห็น เวลา 20.15 น.ที่เหนือบ้านผู้เขียนใน กทม. มีผู้พบเห็น และถ่ายภาพได้จำนวนมาก ซึ่งจากการสื่อด้วยโทรจิต พวกเขาบอกว่า บินผ่านทางจึงแวะลงมาเยี่ยมเยียน......สิ่งที่นำมาเล่าให้ฟัง เป็นสิ่งที่ได้รับสื่อทางจิต จากผู้ที่อ้างว่าเขามากับยานบิน และยังมีรายละเอียดอีกมากมาย ที่ผู้เขียนได้จดบันทึกไว้

อย่างที่บอกกับท่านผู้อ่านไว้แล้วว่า สิ่งที่เล่ามาให้ฟัง ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน เหมือนกับการถ่ายภาพยานบินได้ ก็ได้แต่บันทึกไว้ และรอเปรียบเทียบกับความจริงต่างๆ ที่จะค่อยเผยออกมาทีละน้อยๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ "ความจริงเท่านั้น ที่จะช่วยให้มนุษย์เราหลุดพ้นจากความโง่เขลาทั้งปวง".......(จบบริบูรณ์)
https://sites.google.com/site/snimnon/bth-samphasn-mnusy-tang-daw-2-khn-s-dr-nph-thephnm-meuxng-maen

ดิฉันไม่มีความรู้ด้าน  alienology (มนุษย์ต่างดาวศาสตร์)  แต่พอจะมีความรู้ทางภาษาอยู่บ้าง  จึงพบว่าชื่อของมนุษย์ต่างดาวทั้งสองท่าน   เผอิญไปซ้ำกับภาษาอังกฤษ   ตามนี้ค่ะ

The name Eddie is primarily a male name of English origin that means Wealthy Guardian. Eddie is a diminutive form (nickname) of names beginning with Ed-, most commonly Edward or Edgar.
(ชื่อเอ็ดดี้ เป็นชื่อของเพศชาย   มีที่มาจากภาษาอังกฤษดั้งเดิม  มีความหมายว่าผู้พิทักษ์ที่มั่งคั่ง   เอ็ดดี้เป็นชื่อย่อ(หมายถึงชื่อเล่น)ของชื่อจริงเพศชายที่เริ่มต้นด้วยคำว่า Ed  ที่พบกันมากที่สุดคือชื่อ เอ็ดเวิร์ด หรือ เอ็ดการ์)

merriam-webste dictionary ให้ความหมายของคำว่า parasital เป็นคำมีความหมายเดียวกัน(Synonyms) กับคำว่า parasitic
คำว่า parasitic เป็นคำคุณศัพท์ของคำว่า parasite  ภาษาไทยแปลทับศัพท์คำหลังนี้ว่า ปรสิต
parasitic  แปลว่า เกี่ยวข้อง หรือเป็นปรสิต ( parasite) เช่น a parasitic yeast/plant

จาก facebook อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์

(รายงานข่าว) อ.เจษฏา แจงแล้ว ภาพมนุษย์ต่างดาว อธิบายไม่ยาก เกิดจากสาเหตุนี้
ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวที่ไหนหรอก ไขที่มา อ.เจษฎาแจงเอง อธิบายไม่ยาก เกิดจากแสงแฟลร์ กล้องถ่ายรูป เลนส์อาจสกปรก จนเกิดแสงสะท้อนขึ้น หักเห จนเป็นภาพดังกล่าว

วันที่ 17 ก.พ.2566 เพจเฟซบุ๊ก ‘อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์’ ของดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงภาพที่หมอปลาย พรายกระซิบ ได้โพสต์เรื่องราวประสบการณ์พบมนุษย์ต่างดาว โดยมีภาพถ่ายด้วยว่า เกิดจากแสงแฟลร์ ที่เป็นผลจากกล้องถ่ายรูป
โดยทางเพจเขียนคำอธิบายโดยละเอียดไว้ว่า แสงแฟลร์ นั้นเกิดจากเลนส์ถ่ายภาพไม่ว่าจะกล้องเล็ก กล้องใหญ่ หรือกล้องสมาร์ทโฟน ต่างประกอบด้วยชิ้นเลนส์หลายชิ้นเรียงกันอยู่ ส่วนมากแสงแฟลร์ จะเกิดจากแสงที่พุ่งตรงเข้ามาที่เลนส์ในปริมาณมากเกินไปหรือในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม จนเกิดเป็นแสงสะท้อนขึ้น
สำหรับไอโฟน รวมถึงสมาร์ทโฟนบางรุ่น มักจะเกิดแสงแฟลร์ในการถ่ายภาพย้อนแสง และการถ่ายภาพกลางคืน ซึ่งแทนที่จะได้แสงแฟลร์ที่หลายคนมองว่าเป็นสีสันของภาพ กลับกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมบนภาพ รวมถึงอาจทำให้รายละเอียดของภาพขาดหายด้วยซ้ำ
นอกจากสาเหตุจากสภาพแสงแล้ว ส่วนของฮาร์ดแวร์ ก็มีผล มีการตั้งข้อสังเกตว่าการเกิดแสงแฟลร์ในไอโฟน จนถึงไอโฟน12 อาจเพราะการตำแหน่งกล้องอยู่ใกล้กันเกินไป จึงเกิดแสงสะท้อนเข้าสู่เลนส์หลัก จนทางแอปเปิ้ล ปรับตำแหน่งของเลนส์ให้ทแยงมุมกัน ทว่าก็ยังพบปัญหาแสงแฟลร์อยู่บ้าง
สาเหตุการเกิดแฟลร์ยังมีอีกหลายปัจจัย ตั้งแต่เลนส์สกปรกทั้งจากฝุ่น รอยนิ้วมือ หรือคราบต่างๆ, รอยร้าวบนหน้าเลนส์, การที่สาร Multi Coated บนหน้าเลนส์หลุดร่อน ไปจนถึงการติดฟิล์มหรือกระจกกันรอยที่หน้าเลนส์ด้วยซ้ำไป เพราะถึงแม้จะมีเงาแต่การที่แสงตกกระทบบนวัตถุอื่นก่อนก็อาจหักเหแสงจนเกิดเป็นแฟลร์ได้เช่นกัน

จาก https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7516177

อีกตัวอย่างของ lens flare ที่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็น UFO เมื่อ ๔ ปีที่แล้ว (กุมภาพันธ์ ๒๐๑๙)

ณ ลานจอดรถริมชายหาดแห่งหนึ่ง เมือง Broome ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ภาพจากวิดีโอวงจรปิดเผยให้เห็น วัตถุทรงกลมเปล่งประกายปรากฏขึ้นในช่วงพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง

แสงไฟจากรถที่อยู่ทางมุมล่างขวาทำให้เกิดแสงแฟลร์ ขณะที่รถยนต์เคลื่อนที่ ภาพที่คล้าย UFO ที่อยู่ทางมุมบนซ้ายก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม

คำอธิบายจาก singularfortean.com (https://www.singularfortean.com/news/2019/2/20/lens-flare-likely-cause-of-ufo-in-cctv-footage-shared-by-australian-police)

https://youtu.be/3sghwZHuqXA

คลิปแสงประหลาดบนท้องฟ้า ถ่ายโดย ราษฎรบ้านหนองแซงอำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖

https://youtu.be/mW6sVFSG3UE

ยังมีผู้เห็นเหตุการณ์ประหลาดนี้ในหลายจังหวัด เช่น หนองคาย, กาฬสินธุ์ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็น UFO

อย่างไรก็ตามมีข้อมูลข่าวจาก สำนักข่าวไชน่าเดลี่ (https://global.chinadaily.com.cn/a/202303/16/WS641288b0a31057c47ebb4d5a.html) ได้รายงานเกี่ยวกับความสำเร็จในการปล่อยจรวด Long March 11 พร้อมดาวเทียม Shiyan 19 เมื่อวันพุธที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖ (วันเดียวกับแสงประหลาดที่เห็นในเมืองไทย)

แสงประหลาดบนท้องฟ้าในเมืองไทย น่าจะเกิดจากการปล่อยจรวด Long March 11 ของจีน นั่นแล ;D

นาซ่าออกโรงเองแล้ว ;D

เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ NASA ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่อง UFO (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น Unidentified Anomalous Phenomena: UAP) มีการจัดการประชุมสาธารณะด้าน UFO ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพื่อคลายข้อสงสัยในหลายประเด็น แต่ 'บางเรื่อง' ก็ยังยากจะอธิบาย

ดร.ฌอน เคิร์กแพทริก ผู้อำนวยการสำนักงาน All-Domain Anomaly Resolution Office (AARO) หน่วยงานด้าน UFO ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ สร้างความฮือฮาในการประชุมนี้ ด้วยการเปิดภาพวัตถุลึกลับที่มีลักษณะคล้ายโลหะทรงกลม บินอยู่เหนือทะเลทรายในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุปริศนาที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร และมีที่มาจากในโลกนี้หรือมาจากต่างดาว

ขณะที่ AARO เผยว่าได้รับรายงานเกี่ยวกับ UFO มากถึง ๕๐-๑๐๐ ครั้งต่อเดือน แต่มีการพบเห็นเพียงประมาณ ๒-๕% เท่านั้นที่ไม่สามารถอธิบายได้

https://youtu.be/hBj4qtLM4i0

เดวิด กรัสช์ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง ซึ่งเป็นผู้นำการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ไม่สามารถอธิบายได้ (UAP) ภายในหน่วยงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ เปิดเผยหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว

กรัสช์เผยว่า ที่เขาออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ พูดความจริง เพราะมีข้อมูลว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ มียานพาหนะของมนุษย์ต่างดาวที่ไม่ได้สร้างโดยมนุษย์ ในสภาพไม่บุบสลายและเสียหายเพียงบางส่วน ไว้ในครอบครอง”

https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/198117

นี่ก็อีกข่าวที่ยืนยันเนื้อหาเดียวกัน

https://www.youtube.com/watch?v=QJKwglRgwDM&t=22

ตำรวจลาสเวกัสส่งทีมตามสืบหลังมีผู้โทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน ‘เจอมนุษย์ต่างดาว’ อยู่หลังบ้าน

เรื่องราวโดย เดลินิวส์

เมื่อเดือนที่แล้วเกิดเหตุชาวบ้านในลาสเวกัส โทรแจ้งเหตุฉุกเฉินโดยอ้างว่าพบเห็น ‘มนุษย์ต่างดาว’ ในบริเวณสวนหลังบ้านของเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาราว 1 ชม. หลังจากที่มีตำรวจในท้องที่พบเห็นวัตถุตกลงจากท้องฟ้า

กรมตำรวจลาสเวกัสส่งอีเมลแถลงการณ์ไปยังสื่อมวลชน มีเนื้อความระบุว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2566 เวลาประมาณ 0.29 น. ทีมตำรวจลาสเวกัสได้ตอบรับการแจ้งเหตุฉุกเฉินว่าพบสถานการณ์น่าสงสัย แต่เมื่อสืบสวนตามกระบวนการแล้ว ไม่พบสิ่งผิดปกติ

เมื่อเวลาประมาณ 23.50 น. ของวันที่ 30 เม.ย. 2566 ภาพจากกล้องติดตามตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจลาสเวกัสได้บันทึกภาพวัตถุบางอย่างที่มีแสงส่องสว่างกำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า

หลังจากนั้นประมาณ 40 นาที ก็มีชาวบ้านในท้องที่โทรแจ้งเหตุฉุกเฉินและรายงานว่ามี “บางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน” กำลังจ้องมองเขาจากบริเวณสวนหลังบ้าน หลังจากที่เขาและครอบครัวเห็นวัตถุบางอย่างตกลงจากท้องฟ้า

ผู้โทรแจ้งกล่าวว่า มีสิ่งมีชีวิตสูงประมาณ 8 ฟุตยืนอยู่ข้าง ๆ วัตถุและอีกร่างหนึ่งอยู่ข้างใน ตัวที่จ้องมองพวกเขานั้นมีดวงตาที่โตมากและยังคงจ้องมองมาในระหว่างที่พวกเขาโทรแจ้งตำรวจ

พวกเขายืนยันกับศูนย์รับแจ้งเหตุว่าเห็นตัวประหลาดนี้จริงและตกใจกลัวมาก

สำนักข่าวที่ได้รับไฟล์เสียงบทสนทนาระหว่างศูนย์ฯ กับผู้โทรแจ้งถอดความและสรุปได้ว่า ผู้แจ้งเหตุพบร่าง 2 ร่างที่สูงใหญ่มาก ราว 8-10 ฟุต ในสวนหลังบ้านของพวกเขา หน้าตาดูเหมือน “มนุษย์ต่างดาว” และมีดวงตาเรืองแสงที่โตมากพร้อมกับปากที่กว้างมาก พวกมันดูไม่เหมือนมนุษย์

เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย ตอบรับการแจ้งเหตุและเดินทางไปยังบ้านของผู้แจ้งเพื่อตรวจสอบและสอบถามเจ้าของบ้านกับครอบครัวที่บริเวณหน้าบ้าน

เจ้าของบ้านยืนยันว่าเขาเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างใหญ่โต หนึ่งในเจ้าหน้าที่ซึ่งเห็นวัตถุบางอย่างตกลงจากท้องฟ้าก่อนหน้านั้นได้ถามต่อไปว่า พวกเขาพบเห็นว่ามีอะไรตกใส่สวนหลังบ้านหรือไม่ ซึ่งเจ้าของบ้านได้ตอบไปว่า มีคนในบ้านที่เห็นวัตถุขนาดใหญ่ที่มีแสงสว่างตกจากฟ้า

ทีมตำรวจได้สืบสวนและขยายขอบเขตการสัมภาษณ์ไปยังเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ว่ามีใครพบเห็นสิ่งผิดปกติตกลงมาจากท้องฟ้าหรือไม่ ซึ่งกินเวลาหลายวัน และบทสรุปสุดท้ายก็คือ “ไม่พบสิ่งผิดปกติ”

ตามข้อมูลของทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่ได้ติดตามกรณีของ “ปรากฏการณ์สิ่งบินลึกลับที่ระบุไม่ได้ในท้องฟ้า” มากกว่า 800 กรณีในเวลา 27 ปีที่ผ่านมา ชี้ว่ามีเพียง 2-5% ในกรณีเหล่านี้ที่สามารถหาที่มาหรือสามารถอธิบายได้อย่างมีเหตุผล 

แหล่งข่าว : latimes.com

เอเลี่ยนมาเยือน! นักวิทยาศาสตร์พบร่องรอย ‘ยานมนุษย์ต่างดาว’ บนดาวอังคาร
หลังจากทีมนักวิทยาศาสตร์ศึกษาภาพพื้นผิวบนดาวอังคารที่ส่งมาจากยานสำรวจ ก็พบว่ามีบางจุดที่ไม่น่าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่อาจเป็นร่องรอยของยานอวกาศ “เอเลี่ยน”...

ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ยานสำรวจคิวรีออสซิตีขององค์การนาซา ได้ถ่ายภาพพื้นผิวดาวอังคารและส่งกลับมายังโลก โดยบางภาพแสดงให้เห็นร่องรอยของพื้นผิวที่มีทั้งส่วนที่เป็นยอดแหลม แผ่นเรียบและลักษณะคล้ายลิ่ม เรียงรายกันเป็นแถว อยู่ห่างจาก ‘หลุมเกล’ ซึ่งเป็นแอ่งขนาดใหญ่บนดาวอังคาร ประมาณ 154 กม.

ในตอนนั้น ดร. นาตาลี คาบรอล นักชีวดาราศาสตร์จากศูนย์ค้นคว้าวิจัยเพื่อสิ่งมีชีวิตนอกโลกหรือสถาบัน Seti แห่งนาซา กล่าวว่า เป็นหินที่มีลักษณะแปลกที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมาตลอดเวลา 20 ปีที่ศึกษาดาวอังคาร

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีรายงานการศึกษาฉบับใหม่เผยแพร่ในวารสารชีวดาราศาสตร์ ซึ่งสรุปว่าลักษณะการก่อตัวของพื้นผิวดังกล่าวอาจเป็นกลุ่มทรายที่มีลักษณะก่อตัวเป็นยอดแหลม เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของพื้นผิวที่เป็นทรายที่ล้อมด้วยน้ำซึ่งมักจะเกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงระดับ 7 ริกเตอร์ขึ้นไป

... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/2561357/?fbclid=IwAR0c9TvwCSDCPjnuMLxv13STdiAqH1VZw3FF4OHc68F5t7yN6A_9X8hFC8c

ถ้าคุณตั้งแวะเข้ามาอ่าน  ขอถามนักธรณีวิทยาว่า ร่องรอยข้างบนนี้ เกิดจากธรรมชาติทำได้ไหม   
เช่นในอดีตกาล ดาวอังคารเคยมีทะเล มีอากาศ  มีดิน  จะเกิดจากยุบตัวเป็นหุบเหว  หรือเกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลม จนกลายเป็นภาพนี้ได้ไหมคะ

ไขปริศนามนุษย์ต่างดาว

https://www.youtube.com/watch?v=_CEzMp6uujw

เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖ สภาเม็กซิโกเปิดเผยหลักฐานเป็นซากฟอสซิลของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ระหว่างการรับฟังข้อมูลที่สะท้อนว่า "มนุษย์เราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง" ในจักรวาลนี้ ตามรายงานของรอยเตอร์

ในการรับฟังข้อมูลสาธารณะของสภาเม็กซิโกว่าด้วย "ปรากฏการณ์ผิดปกติที่ระบุไม่ได้" หรือ UAP นักการเมืองในสภาเม็กซิโกรับฟังและซักถามข้อมูลในสิ่งที่ผู้สื่อข่าวเม็กซิกันและผู้ที่หลงไหลคลั่งไคล้เรื่องราวเกี่ยวกับยูเอฟโอ ไฮเม มาอุซซัน อ้างว่าเป็นซากของมนุษย์ต่างดาว เนื่องจากไม่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตใดบนโลกนี้เลย

ร่างขนาดเล็ก ๒ ร่างจัดแสดงอยู่ในกล่องใส มีนิ้ว ๓ นิ้วที่มือแต่ละข้าง และมีศีรษะยื่นออกมา ซึ่งมาอุซซันกล่าวว่าสิ่งนี้ถูกค้นพบที่เปรู ใกล้กับลายเส้นโบราณนาซกา เมื่อปี ๒๐๑๗ มีอายุประมาณ ๗๐๐ ปี และ ๑,๘๐๐ ปี (จากการวิเคราะห์คาร์บอน ๑๔)

มาอุซซัน กล่าวต่อที่ประชุมสภาเม็กซิโกด้วยว่า "นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำเสนอสิ่งมีชีวิตนอกโลกในรูปแบบดังกล่าว และคิดว่านี่คือตัวอย่างว่าเรากำลังเผชิญกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตใดในโลก ที่สถาบันด้านวิทยาศาสตร์จะต้องเข้ามาตรวจสอบกัน"

อย่างไรก็ตาม การค้นพบในลักษณะคล้ายกันนี้หลายต่อหลายครั้งในอดีต กลับกลายเป็นเพียงซากมัมมี่ของเด็กเท่านั้น

ล่าสุด ทางองค์การนาซา เตรียมหารือเรื่องการค้นพบที่ได้ในการศึกษาครั้งนี้ ในวันพฤหัสบดี

ข่าวจาก วีโอเอไทย (https://www.voathai.com/a/mexican-congress-holds-hearing-on-ufos-featuring-purported-alien-bodies/7267314.html)

https://youtu.be/6Md33KWL4AE

https://youtu.be/d-Xx0EPScew

Unidentified Anomalous Phenomena Independent Study Report

https://www.youtube.com/watch?app=desktop&fbclid=IwAR0EXFjNc0XODJ3Yh6D3-8YYydZCgDy_nvAPPjeyrmhkrCDsr7wZfESOy10&v=idJKLP5hcuQ&feature=youtu.be

https://www.youtube.com/watch?v=w1wGGTjZk44

NASA เปิดรายงาน UFO ฉบับเต็ม และวิเคราะห์ข่าวซาก 'เอเลี่ยน' เม็กซิโก ดำเนินรายการโดย กรทอง วิริยะเศวตกุล นักสื่อสารดาราศาสตร์

https://www.youtube.com/live/xkpK5Z4JsuI

ชีวิตนอกโลก และ การค้นหา

https://youtu.be/fLFlMKXJlY0

https://youtu.be/2p-r1sjvmOU

ซากเอเลี่ยนที่เม็กซิโก ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

ความห็นของ นักสื่อสารดาราศาสตร์ กรทอง วิริยะเศวตกุล

https://www.facebook.com/thestandardth/videos/249688174711324/

ความเห็นของ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

https://www.facebook.com/ThaiPBS/videos/1675232946298248/

สรุปว่า ยังไม่มีสถาบันทางวิทยาศาสตร์ที่ใดในโลกรับรองว่ามนุษย์ต่างดาวในเม็กซิโกเป็นของจริง
แต่ก็ไม่มีสถาบันทางวิทยาศาสตร์ที่ในในโลกเช่นกัน ออกมายืนยันว่าเป็นของปลอม
 ;) ;) ;)

ดร.ประกอบ สถาบันนั่งเทียนคดีศึกษา ออกมาฟันธงให้แล้วครับว่าปลอมแน่นอน ปลอมพอ ๆ กับดาวเคราะห์เรียงตัวกันแล้วทำให้แผ่นดินไหว น้ำท่วม โลกแตกนั่นแหละครัล

เรื่องนี้เห็นด้วยกับ ดร.วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์ aka ดร.ประกอบ นักสื่อสารนั่งเทียนศาสตร์ ;D

 ;D

https://www.youtube.com/watch?v=buhwOR-kRsI

เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๖ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านแท่น อำเภอชนบท จังหวัดอนแก่น ได้บันทึกภาพวัตถุต้องสงสัยคล้าย UFO จำนวน ๔ ลำ ลอยอยู่ในก้อนเมฆฝนก่อนที่จะหายไป ท่านผอ. ดูมั่นใจมากว่าเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว

ข่าวจาก ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7882070)

รอ ดร.ประกอบ แห่งสถาบันนั่งเทียนคดีศึกษา ออกมาฟันธงให้หน่อยว่า ชัวร์หนือมั่วนิ่ม ;D

https://youtu.be/D_5cnZznJiA

เจอข่าวนี้เหมือนกัน  ตั้งใจจะเอาลงในเรือนไทย  คุณเพ็ญชมพูไวกว่า  :D :D

ผอ.โรงพยาบาล ตะลึงเจอยานประหลาด 4 ลำ ท่ามกลางเมฆฝน เชื่อเป็น UFO แวะมาที่โลก เผยไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น

นายศุภโชค กุศลวัตร ผอ.รพ.สต.บ้านแท่น อ.ชนบท จ.ขอนแก่น สังกัด อบจ.ขอนแก่น สามารถถ่ายคลิปวัตุคล้ายยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว หรือ UFO ได้ ขณะที่กำลังลอยอยู่บนก้อนเมฆเหนืออำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น โดยเป็นยานอวกาศลำใหญ่รูปร่างคล้ายปลากระเบน ได้ลอยนิ่งอยู่เหนือก้อนเมฆฝนที่กำลังลอยตามแรงลม จากนั้นไม่นานได้มียานอวกาศหรือ UFO อีก 3 ลำ ซึ่งจะมีขนาดเล็กได้ลอยมาหายานลำใหญ่ ก่อนที่จะหยุดการบันทึกคลิปลง โดยมีความยาว 1.13 นาที

นายศุภโชค กุศลวัตร ผอ.รพ.สต.บ้านแท่น อ.ชนบท จ.ขอนแก่น สังกัด อบจ.ขอนแก่น เล่าว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา ได้มีการเรียกประชุมผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ในพื้นที่อำเภอชนบทโดยใช้ รพ.สต.กุดเพียขอม เป็นที่ประชุม เพื่อเตรียมเสนองบประมาณให้กับทาง อบจ.ขอนแก่น หลังจากการประชุมเสร็จตนเองได้ขึ้นไปที่ชั้น 2 โดยขณะนั้นมี ผอ.รพ.สต.บ้านแท่น อยู่ด้วย

จากนั้นตนเองได้มาเปิดหน้าต่างออก เมื่อมองไปบนฟ้าเห็นวัตถุประหลาด จึงได้พยายามดูอยู่ประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นเห็นมีแสงสีขาวออกมาจากยานดังล่าว จึงได้รีบเข้ามาหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะมาถ่ายคลิป จากนั้นมียานอีกจำนวน 3 ลำ ได้ลอยเข้ามายานลำแรก ตนเองจึงหยุดกดบันทึกภาพและต่อมายานทั้ง 4 ลำ ได้ลอยหายไปพร้อมกับเมฆฝน ก่อนที่ท้องฟ้าที่มีเมฆฝนกลับเมฆหายไป จากนั้นจึงได้รีบเดินทางกลับมายังที่ทำงาน เพราะอยู่ในอาการตกใจกับเรื่องที่ตนเองพบ

โดยระหว่างขับรถ ได้โทรศัพท์บอกภรรยาว่าสามารถถ่ายคลิป UFO ได้ จนกรทั่งมาถึงที่ทำงาน จึงได้นำคลิปมาให้คนที่ทำงานดู ก่อนจะมีการโพสลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวไป จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นตนเองคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า เพราะทาง UFO คงไม่อยากให้ใครเห็นแต่ตนเองกลับไปเห็น พร้อมกับบันทึกคลิปไว้ได้ ตนเองเชื่อว่าน่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่อยู่นอกโลก แล้วได้เข้ามาในโลกก่อนที่จะกลับออกไป

ผอ.รพ.สต.บ้านแท่น กล่าวต่อไปว่า ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน ช่วงที่ตนเองทำงานที่อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ก็เคยลำแสงปริศนาคล้ายกับ UFO มาแล้ว โดยขณะนั้นได้ลอยอยู่เหนืออ่างเก็บน้ำของเขื่อนอุบลรัตน์ ไปทางอุทยานภูเก้าภูพานคำ ซึ่งจะมีการเคลื่อนที่เร็วกว่าเครื่องบิน เมื่อมองจากพื้นดินขึ้นไป แต่สมัยนั้นตนเองยังไม่โทรศัพท์มือถือที่จะบันทึกภาพวิดีโอ ได้เหมือนโทรศัพท์สมัยใหม่ และในครั้งถือว่าเป็นการเห็นที่คิดว่าอยู่ห่างกันไม่มาก

https://www.sanook.com/news/9043622/

ขออนุญาตลัดคิว ดร.ประกอบ นักสื่อสารนั่งเทียนศาสตร์ เป็นความเห็นของ ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ (https://www.facebook.com/100044244645619/posts/pfbid0Uyemg5TPQDg9xCkwQGW19jGYYfFFTLq6ZhwYDqxXso8d81pG7hipAvExfvoVW393l/?mibextid=cr9u03) นักสื่อสารวิทยาศาสตร์

"คลิปยูเอฟโอ ที่ขอนแก่น ผมว่าเป้นแค่ก้อนเมฆฝนนะครับ"

ของแบบนี้ อาจจะขึ้นกับ "มโนทัศน์" ของแต่ละคนนะครับ ถ้าคนเชื่อในเรื่องมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก ก็คงมองยูเอฟโอ (สิ่งบินที่ยังระบุไม่ได้แน่ชัดว่าคืออะไร) นี้เป็นยานบินต่างดาว ... แต่ผม มองเห็นเป็นแค่ "ก้อนเมฆฝน" ก้อนเล็ก ๆ  ที่ก่อตัวขึ้น ลอยตัวแยกออกมาจากแนวของก้อนใหญ่ และสลายตัวไปเองได้ด้วย

ส่วนที่เจ้าของคลิปคอมเม้นต์บอกว่า มองด้วยตา เห็นแสงสว่างสีขาววิ่งวนไปมา ไม่เร็วนัก ประมาณ ๓ รอบ รอบวัตถุนั้น ก่อนที่คว้ามือถือมาถ่ายวิดีโอ ซึ่งแสงหรี่เหลือเพียงเล็กน้อยให้เห็น ... ก็อธิบายได้ว่า เป็นไปได้ที่จะเป็นผลจากการเกิดฟ้าแลบ ฟ้าคะนอง ระหว่างก้อนเมฆฝนครับ รวมทั้งการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ด้วย ก็สามารถหลอกตาเราให้คิดว่าเป็นการฉายไฟออกมาจากยานบินได้

ในต่างประเทศ ก็เคยมีรายงานข่าวทำนองนี้เป็นระยะ ว่าเห็นวัตถุประหลาด สีเข้ม ลอยตัวอยู่ในก้อนเมฆ ตอนใกล้ฝนตก และคิดว่าเป็นยูเอฟโอเหมือนกัน .. ส่วนจะเคลื่อนที่เร็วช้าหรืออยู่นิ่ง ก็ขึ้นกับกระแสลมบนท้องฟ้าขณะนั้น

ดังเช่น ข่าวจาก เดอะยูเอสซัน (https://www.the-sun.com/news/3226941/mom-daughter-film-mystery-craft/?fbclid=IwAR0jAh7CQOwby9Fy2ehgxFaIQvX2Zc7YBbCqcg3GvTqScQLSiGFiGC1nb4k) ปี ๒๐๒๑ ที่รัฐ South Carolina ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่คนถ่ายคลิป รวมถึงคนที่มาคอมเม้นต์ คิดกันว่าเป็นยานบินลึกลับจากต่างดาว ... แต่ผมดูแล้ว ก็คิดว่าเป็นแค่ก้อนเมฆฝนเล็กๆ อยู่ดี

หรืออีกข่าวหนึ่งจาก เดลิเมล (https://www.dailymail.co.uk/news/article-3788823/Is-UFO-seen-flying-clouds-Mysterious-dark-shape-appears-Peru.html) ปี ๒๐๑๖ ที่ประเทศเปรู ที่คนถ่ายคลิปคิดว่ามียานบินต่างดาวซ่อนตัวอยู่ในก้อนเมฆ แต่ผมดูก็คิดว่าแค่เมฆฝนนั่นแหละครับ

ส่วนการที่เมฆฝนก้อนเล็ก ๆ ก่อตัวขึ้นและลอยเดี่ยว ๆ ในอากาศได้นั้น ก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกมากอะไร มีให้ดูเช่น ๒ ภาพนี้

อ.อ๊อด’ ตอบแล้ว UFO มีจริงไหม ปรากฏวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า จ.ขอนแก่น

ล่าสุด (25 ก.ย. 66) “อ.อ๊อด” หรือ “รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์” อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับทางไทยรัฐออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยอาจารย์กล่าวว่าเป็นการมองเห็น “ก้อนเมฆเคลื่อนไหว” พร้อมกล่าวถึงผลสรุปจากองค์การ NASA ว่ายังไม่สามารถสรุปเรื่องการมีอยู่ของ UFO ได้ในขณะนี้

แต่ในความคิดของอาจารย์อ๊อด มองว่ารูปที่ถ่ายได้เป็นเพียงก้อนเมฆ ไม่ใช่ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งอาจารย์อ๊อดอธิบายว่าเป็นเพราะก้อนเมฆบนท้องฟ้ามีหลายขนาด หากก้อนเมฆขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า เมื่อแสงแดดมากระทบก็อาจทำให้เกิดเงาที่ด้านหลังได้ ทั้งนี้มวลวัตถุเมฆก้อนเล็กบนท้องฟ้ามีความเบากว่า เมื่อเจอลมก็จะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า

ด้วยเหตุนี้เองจึงอาจทำให้มองเห็นเป็นวัตถุบางอย่างกำลังเคลื่อนที่อยู่บนท้องฟ้าโดยมีเมฆบังอีกชั้นหนึ่ง นอกจากนี้อาการที่มองเห็นวัตถุประหลาดแล้วคิดไปเองว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ในทางการแพทย์เรียกว่า “อาการแพริโดเลีย” (Pareidolia) เป็นอาการทางจิตที่เกิดได้กับคนปกติทั่วไป คือการมองเห็นวัตถุต่าง ๆ เป็นรูปทรงหรือหน้าตาคนตามแต่จินตนาการของแต่ละบุคคล

อย่างไรก็ดี ทางอาจารย์อ๊อดเองก็ไม่ได้ตัดสินว่า UFO มีจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดในมุมมองของอาจารย์นั้นคิดว่าเกิดจากอาการแพริโดเลียมากกว่า ทั้งนี้อาจารย์อ๊อดก็ยังเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยสิ่งที่ถูกมองว่าเป็น UFO อาจเป็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจริงหรือไม่ก็ได้

https://thethaiger.com/th/news/950583/

https://www.youtube.com/watch?v=9uXpzmjJWfY

มนุษย์ต่างดาวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ปี 1974  แต่เพิ่งไปอ่านเจอในกูเกิ้ลค่ะ    เป็นเรื่องที่ทางการของสหรัฐไม่ค่อยจะให้ความสำคัญนัก    ก็เลยไม่ค่อยดัง    แต่ก็น่าจะนำมารวมไว้ในกระทู้นี้
เป็นอีกกรณีหนึ่งที่คนอ้างว่าถูกลักพาตัวโดยมนุษย์ต่างดาว

ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1974  ชายวัย 41 ปีชื่อคาร์ล  ฮิกดัน (Carl Higdon) อาศัยอยู่ในรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกา  พร้อมกับครอบครัว    เขาทำงานในบริษัทน้ำมัน  นอกจากทำงานประจำแล้ว คาร์ลยังชอบล่าสัตว์เช่นกวาง และกวางใหญ่ที่เรียกว่า Elk  เพื่อเอาเนื้อมากินกันในบ้านตลอดฤดูหนาว

วันนั้นเป็นวันสุดสัปดาห์   คาร์ลออกจากบ้านขับรถไปตามลำพัง   ระหว่างทางเขาเจอเพื่อนนักล่าสัตว์ด้วยกัน ที่แนะนำให้เขาไปในเขตอุทยานแห่งชาติ ชื่อ  Medicine Bow National Forest ซึ่งห่างบ้านไปแค่ 40 กว่าไมล์และสัตว์ชุกชุมกว่า   ก็เลยตัดสินใจไปที่นั่น
ตอนไปถึงเป็นเวลาประมาณสี่โมงเย็น  ในฤดูหนาว เวลาแบบนี้จวนมืดแล้ว  แต่ยังพอมีแสงขมุกขมัวให้เห็นทาง    เจอเพื่อนนักล่าสัตว์คนหนึ่งชื่อ Gaery Eaton ซึ่งบอกว่าจะเดินขึ้นเขาไปสูงกว่าพื้นที่ตรงนี้ ถ้าเจอกวางเอลก์ก็จะไล่ให้มันวิ่งลงมา เพื่อคาร์ลจะได้ยิงได้ง่าย
เมื่อคุยกันเสร็จต่างคนต่างก็แยกกันไป   
คาร์ลเดินไปอีกนิดหน่อย ก็เจอกวางเอลก์ฝูงย่อมๆ  5 ตัว เบื้องหน้า ก็ยกปืนขึ้นประทับบ่า ลั่นกระสุนออกไป
ตอนนั้นเอง  สิ่งประหลาดพิลึกพิลั่นก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

      สิ่งประหลาดนั้นก็คือ นอกจากไม่มีเสียง "เปรี้ยง" ของกระสุนผ่านลำกล้องออกไปแล้ว  มีแต่ความเงียบสนิทเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  และที่ชวนอ้าปากค้างกว่านั้นคือลูกกระสุนวิ่งออกจากปากกระบอกกลืน อย่างช้าๆ ไปในอากาศ   จนเขาอธิบายในภายหลังว่า "เหมือนผีเสื้อบิน"  แล้วมันก็หล่นปุ๊บลงไปสู่พื้นดิน ห่างจากเขาประมาณ 50 ฟุต   ราวกับว่ามันปะทะเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครมองเห็น แต่แข็งแกร่งและมีพลังเหนือกว่ามันมาก
    จากนั้นฮิกดันอธิบายว่า ทุกอย่างรอบตัวเงียบกริบ  เงียบอย่างประหลาด เงียบจนเหมือนความเงียบก่อนฝนพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก
    พอได้สติ   ฮิกดันก็ก้าวออกไป ที่ลูกกระสุนซึ่งตกอยู่  เขาสังเกตว่าส่วนที่เป็นตะกั่วนั้นหายไป ตัวกระสุนก็บิดเบี้ยวไม่เป็นรูป
    เขาได้ยินเสียงกิ่งไม้ลั่นผัวะเหมือนใครเหยียบ   พอเหลียวกลับไปมองก็เห็นร่างหนึ่งเคลื่อนออกมาจากเงาไม้   ทีแรกนึกว่าเป็นนักล่าสัตว์ด้วยกันก็ลดปืนลง  แต่พอก้าวออกมาเห็นชัดๆ ฮิกดันก็บอกตัวเองได้ว่า มันผิดปกติเอามากๆเสียแล้ว
    ร่างนั้นดูเหมือนมนุษย์ แต่ไม่ใช่มนุษย์อย่างพวกเขา  เมื่อมาทบทวนในภายหลัง  ฮิกดันจำได้ว่าร่างนั้นไม่มีหู  ดวงตาเล็กมาก  ไม่มีคิ้ว  บนหัวมีผมที่หยาบกระด้างเหมือนฟาง   ปากเป็นเส้นโค้งมีฟันใหญ่ 3 ซี่โผล่ออกมา    เขาจำได้อีกอย่างว่าร่างนั้นไม่มีคอ แต่เหมือนหัวจะเชื่อมต่อกับตัวโดยตรง   ไม่มีขากรรไกร
    สิ่งประหลาดที่สุดคือมีเส้น 2  เส้น คล้ายเสาอากาศ หรือไม่ก็หนวดของแมลง  ตั้งอยู่บนหัว
    ร่างนั้นสูงประมาณ 6 ฟุต เท่ามนุษย์   สวมชุดดำแนบเนื้อตั้งแต่คอถึงเท้าเหมือนชุดประดาน้ำ   ท่อนบนมีสายบังเหียนพาดไขว้กันด้านหน้า  มีเข็มขัดโลหะที่หัวเข็มขัดเป็นรูปดาวหกแฉกสีเหลือง

สิ่งต่อมาที่ฮิกดันเห็นคือมนุษย์ประหลาดคนนี้ไม่มี คือมืออย่างมนุษย์ทั่วไป  ส่วนที่ควรเป็นมือขวามีลักษณะคล้ายสว่านสวมต่อจากข้อมือ  หรือเป็นมือรูปสว่าน  ส่วนมือข้างซ้ายไม่มี เป็นปลายด้วนอยู่เฉยๆ    มันเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ฮิกดันผู้ยืนตะลึงอยู่ แล้วเอ่ยเป็นภาษามนุษย์ แบบทักทายธรรมดาๆ ว่า
" เป็นไงมั่ง?"

ฮิกดันพยายามรวบรวมสติ เพื่อจะดูว่าจะเกิดอะไรต่อไป  มนุษย์ประหลาดถามต่อไปว่า เขารู้สึกหิวไหม  แต่ก่อนฮิกดันจะทันตอบ   ก็เห็นกล่องใสกล่องหนึ่งลอยลิ่วตรงมา เหมือนถูกบังคับด้วยมนุษย์คนนั้น  ฮิกดันคว้าไว้ได้  เปิดกล่องใสดูก็เห็นยาเม็ด 4 เม็ดวางอยู่ในนั้น   มนุษย์ประหลาดบอกว่ากินเม็ดหนึ่งจะอยู่ไปได้ 4 วัน  ให้กินเม็ดหนึ่งเสียตอนนี้    ฮิกดันพบว่าตัวเขาทำตามอย่างว่าง่าย  ไม่มีคำถามหรือขัดขืนแต่อย่างใด   แล้วหย่อนกล่องที่มียาเหลืออีก 3 เม็ดลงในกระเป๋าเสื้อ

มนุษย์ประหลาดแนะนำตัวเองว่า เขาชื่อ ออสโซ วัน (Ausso One)  เมื่อเคลื่อนตัวห่างออกไป  ฮิกดันมองเห็นวัตถุรูปร่างเหมือนกล่องใสรูปสี่เหลี่ยมตั้งอยู่บนพื้นดิน ทางด้านหลัง   กว้างยาวประมาณ 5 ฟุตและสูงประมาณ 7 ฟุตยาว   ถึงไม่มีใครบอก  ฮิกดันก็มองออกว่า น่าจะเป็นยานของมนุษย์ประหลาดนั่นเอง
มนุษย์ประหลาดดูเหมือนจะอ่านใจเขาออก  ก็ถามว่า
"อยากไปด้วยกันไหม"
ถึงแม้ฮิกดันไม่ได้ตอบออกมา แต่เขาคงทำท่าว่าไม่ปฏิเสธ  สิ่งต่อมาที่รู้คือเขาเข้าไปอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมนั้นเรียบร้อยแล้ว มีออสโซวันอยู่ข้างๆ เขาไม่รู่้ว่าทั้งสองเข้าไปอยู่ในพื้นที่แคบๆนั้นได้อย่างไร  นอกจากทั้งสองคนแล้ว เขายังเห็นกวางเอลก์อีก 5 ตัวที่เขาตั้งใจจะยิง เข้ามาอยู่ในยานลำนั้นด้วย

  ฮิกดันพบว่ายานลอยตัวขึ้น  เขาพบว่ามีมนุษย์ประหลาดอีกตนหนึ่งอยู่ในยานด้วย  เดินเข้ามาสวมเครื่องครอบศีรษะลักษณะโปร่งใสลงบนหัวเขา  จากนั้นเขาก็มองเห็นโลกอีกใบหนึ่ง  รูปร่างกลมๆ "เหมือนลูกบาสเกตบอล"   มันเป็นโลกแต่ไม่ใช่โลกของเขา  โลกใบใหม่นี้มีอาคารใหญ่น้อยมากมาย  มีอาคารรูปหอสูงแห่งหนึ่งใหญ่มหึมาจนข่มอาคารอื่นให้เล็กลงไปหมด    ที่สำคัญคือทุกหนทุกแห่งมีแสงจ้ามาก  จนฮิกดันทนมองไม่ไหว  แต่มนุษย์ประหลาดดูเฉยๆเป็นปกติ  นำยานลงจอดที่ฐานของหอสูงแห่งนั้น
  สิ่งน่าประหลาดคือเมื่อมองทะลุผนังกระจกของยานออกไป  เขาเห็นมนุษย์หลายคนอยู่ข้างนอกยาน  พูดคุยกันด้วยท่าทางปกติเหมือนมนุษย์บนโลก   เขาจำได้ว่าในจำนวนนั้นมีเด็กหญิง 2 คน  คนหนึ่งอายุราว 11 ปี และอีกคนอยู่ในวัยรุ่นๆ  นอกจากนี้มีเด็กหนุ่มสาวอายุราวๆ 18 คู่หนึ่ง และชายอายุราวๆ 50 กว่าๆอีกคน
  มนุษย์ประหลาดที่พาเขามาเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า ดาวดวงนี้อยู่ห่างจากโลกไป  “163,000 ไมล์แสง(light miles)    ฮิกดันเข้าใจว่าหมายถึงปีแสง  แต่มนุษย์ประหลาดบอกว่า " เส้นทางเดินทางไม่เหมือนกัน" แล้วก็พาเข้าไปในหอมหึมานั้น

ฮิกดันถูกนำตัวขึ้นลิฟต์ไปถึงห้องๆหนึ่งที่มียกพื้นอยู่กลางห้อง   ถูกสั่งให้ขึ้นไปยืนบนยกพื้นนั้น  ขณะก้าวไปเขาสังเกตว่าตัวเขาไม่ได้เดิน แต่ลอยไป  ไม่รู้ว่าลอยไปได้อย่างไร  เมื่อขึ้นไปยืนบนยกพื้น  เขาก็เห็น "แผ่นกระจกใส" ออกมาจากผนัง  มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วทำงานเหมือนสแกนเขาอยู่ประมาณ 5 นาทีก็ถอยกลับ หายเข้าไปในผนังเหมือนเดิม

จากนั้นออสโซ วันก็บอกเขาว่าเขาจะถูกส่งตัวกลับโลก   เพราะเขา "ไม่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของพวกเรา"  
น่าสังเกตว่าอีกไม่ถึง 10 ปีต่อมา มีกรณีแบบเดียวกันเกิดขึ้นในอังกฤษ  ชายสูงวัยชื่อ Alfred Burtoo ให้การว่าเจอเหตุการณ์เกือบจะเหมือนกันทุกอย่างกับ  UFO. ที่เจอ    ดูๆแล้ว เบอร์ทูไม่น่าจะรู้เรื่องของฮิกดันที่เกิดในอเมริกาก่อนหน้า   แต่อาจจะเจอเรื่องเดียวกันกับที่ฮิกดันเชื่อ คือจุดมุ่งหมายของมนุษย์ต่างดาวพวกนี้ ว่าเอามนุษย์ไป "สร้างเผ่าพันธุ์ใหม่" ให้พวกเขา

  หลังจากนั้นฮิกดันก็พบว่าตัวเองกลับมานั่งในยานลำเดิม โดยไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร    แต่จำได้ว่าออสโซวันออกปากชมเชย "อาวุธโบราณ" คือปืนไรเฟิลของเขา ก่อนส่งคืนให้เจ้าของ    ฮิกดันยังจำได้อีกว่าออสโซ วันเล่าว่า ดาวดวงนี้มีทะเลแต่ไม่มีปลา   ผิดกับในโลกมนุษย์   เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวชอบมากมากที่สุดคือเรื่องมีสิ่งชีวิตในทะเลนี่แหละ
  เมื่อเตรียมตัวออกเดินทาง  มนุษย์ต่างดาวก็เอายาที่ให้ฮิกดันกลับไป เพราะเขาไม่ต้องใช้อีกแล้ว   นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้เกี่ยวมนุษย์ต่างดาว

   ตอนนั้นฮิกดอนสับสนจนเกือบสติแตก  เลยไม่คิดฉงนสนเท่ห์ว่าทำไมรถบรรทุกที่ขับมาจึงถูกย้ายจากจุดที่เขาจอดไปหลายไมล์  ไปอยู่ที่จุดที่เขาพบมนุษย์ต่างดาว  คำสุดท้ายที่ออสโซ วัน พูดคือ
 "แล้วเจอกัน"
  จากนั้นฮิกดันพบว่าเขากำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย   ยานประหลาดหายไปแล้ว เขาอยู่เหนือขอบหน้าผาหินแห่งหนึ่ง   แม้ว่าหล่นลงมาราวๆ 10 ฟุตถึงพื้นดิน แต่ในเมื่อไม่ได้เตรียมตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บมากเอาการ เมื่อตกลงบนพื้นด้านล่าง

  เป็นได้ว่าฮิกดันได้รับความกระทบกระเทือนมากจากที่หล่นลงกระแทกพื้น ทำให้เขาจำอะไรไม่ได้นอกจากพบว่าตัวเองกำลังกระเสือกกระสนไปตามทางลูกรัง  จนไปเจอรถของเขาจอดอยู่   แม้จำไม่ได้ว่านี่คือพาหนะของเขา  แต่รีบเข้าไปหาทันทีเพื่อให้เป็นที่หลบภัย
  เขาได้ยินเสียงเรียกติดต่อดังมาจากวิทยุติดต่อประจำรถ    ฮิกดันรีบรับทันที ร้องขอความช่วยเหลือ  แต่เขาบอกไม่ถูกว่าอยู่ตรงจุดไหน บอกได้กว้างๆว่า อยู่ในป่าสงวน  กว่าคณะค้นหาจะตามหาเขาพบก็เกือบเที่ยงคืน
  เมื่อมาเจอตัว  พวกนั้นงุนงงมาก ว่าฮิกดันขับรถขึ้นมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร  ยิ่งกว่านั้นคือแถวนั้นไม่มีร่องรอยล้อรถแล่นขึ้นมาเลย ทั้งๆทางเป็นโคลนเฉอะแฉะ    และที่น่าพิศวงกว่านี้ คือ คณะค้นหามองเห็นแสงไฟสีเขียว แดง และขาว วูบวาบอยู่บนฟ้าเหนือศีรษะ เมื่อพวกเขากำลังค้นหาฮิกดัน
   ภรรยาของฮิกดันอยู่ในคณะค้นหาด้วย   ในตอนแรกฮิกดันจำเธอไม่ได้  เมื่อพวกนั้นไปถึง คำแรกที่ได้ยินเขาร้องออกมาคือ
   "พวกเขาเอากวางของผมไป"
   ฮิกดันถูกพาขึ้นรถตำรวจ  นำส่งโรงพยาบาล  ส่วนคณะค้นหาที่เหลือก็ช่วยกันเอารถของเขาลงจากที่ตรงนั้นอย่างทุลักทุเล   อย่างที่เล่ามาคือไม่มีใครเข้าใจว่าเขาเอารถขึ้นไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร ไม่มีร่องรอยขาขึ้น และสถานที่ก็ไปถึงยากลำบากมาก

  แพทย์ตรวจร่างกายของฮิกดัน พบอะไรแปลกๆหลายอย่าง  เช่นดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเส้นเลือด   เหมือนระคายเคืองจากแสงสว่างจ้าอยู่นานๆ   ผลเลือดแสดงว่าร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินอุดมสมบูรณ์มากเกินกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป  และแปลกกว่านี้คือ ปอดที่เคยมีร่องรอยของวัณโรคที่เขาเคยเป็น  กลับหายไปไม่มีร่องรอย  แพทย์ออกปากว่าสุขภาพเขาตอนนี้ระดับดีเยี่ยม
  วันรุ่งขึ้นฮิกดันเริ่มจำอะไรๆได้   เขายินยอมที่จะให้ทางการเจ้าหน้าที่สอบสวนและเปิดเผยประสบการณ์  ฮิกดันยอมให้นักสะกดจิตชื่อ  Leo Sprinkle ทำการสะกดจิตให้ลงลึกไปถึงจิตใต้สำนึกของเขา    เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวจึงเปิดเผยออกมา
  มนุษย์ต่างดาวพวกนี้เดินทางมาเพื่อแสวงหาอาหาร   โลกเป็นดาวดวงเดียวที่มีอาหารอย่างที่พวกนั้นไม่มี  กวางเอลก์ถูกจับขึ้นเครื่องไปเพื่อไป "เพาะพันธุ์สัตว์" มนุษย์ก็ถูกจับไปด้วยเหตุผลเดียวกัน   ฮิกดันเชื่อว่าเขาถูกส่งตัวกลับโลก เพราะพวกนั้นพบว่าเขาไม่สามารถแพร่พันธุ์มนุษย์ได้ เนื่องจากทำหมันมาหลายปีแล้ว
  ในปี 1978  ฮิกดันยินยอมที่จะเข้าตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ   ผลออกมาว่าเขาผ่านการตรวจสอบทุกข้อ   ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฮิกดันคืออะไร  รู้แต่ว่าเขาได้ประสบเหตุการณ์พิสดารที่ไม่มีใครอธิบายได้จนบัดนี้

       คำบอกเล่าของฮิกดันว่าเขาถูกมนุษย์ต่างดาวลักตัวไป แล้วส่งกลับคืนเพราะใช้ประโยชน์ไม่ได้  ไม่ได้รับความเชื่อถือจากทางการ หรือแม้แต่สื่อเองก็ไม่ได้สนใจจะสาวลึกมากกว่านั้น    กลายเป็นว่าเขากุเรื่องขึ้นมาทั้งเพ เพื่อให้ตัวเองดัง       เรื่องที่เล่าก็ฟังเหมือนหนังเกรด B  ที่ทำกันมาซ้ำซาก  มนุษย์ต่างดาวแต่งตัวเหมือนมนุษย์กบ   พูดภาษาอังกฤษได้  เดินทางแป๊บๆเดียวก็ไปถึงดาวอีกดวง  มนุษย์ต่างดาวจับสัตว์และมนุษย์ไปเพาะพันธุ์    ล้วนเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์รับไม่ได้ เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล   ฮิกดันก็เลยกลายเป็นคนลวงโลกไป
     แต่ก็มี 2-3 เร่ื่องที่ผู้ไม่เชื่อถือหาคำตอบให้ไม่ได้จนแล้วจนรอด  คือแผลเป็นในปอดที่หายไป   รถที่ขึ้นไปจอดบนเขาโดยไม่มีรอยยางรถตามทาง  และเครื่องจับเท็จที่บอกว่าฮิกดันไม่ได้พูดเท็จ
      ชะตาชีวิตของฮิกดันหลังจากสปอตไลต์เลิกจับที่ตัวเขาแล้ว  คือเขาดำเนินชีวิตไปตามปกติ   พาครอบครัวย้ายงานไปตามรัฐต่างๆแล้วแต่บริษัทน้ำมันที่เขาทำงานอยู่จะส่งตัวไปไหน   จนเกษียณจากงานก็ไปตั้งหลักอยู่ในรัฐเทกซัส  ดำเนินชีวิตอย่างเงียบๆไม่เป็นข่าวอีก  จนโควิดระบาด เขาเป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อ เสียชีวิตไปเมื่ออายุ 87 ปี
   

ภรรยาของเขา มาเจอรี่ ฮิกดันเขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง ถ่ายทอดประสบการณ์ที่เธอรับรู้จากเขา 

https://www.youtube.com/watch?v=7ItdeRBpElc