เข้ามาเพิ่มเรตติ้ง ด้วยการเอาบทความที่เกี่ยวข้องกันนิดหน่อยมาลง ได้จากโอเคเนชั่น
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=185347คนสยามในมาเลเซีย
คนสยามในมาเลเซีย
ผมเองมีเพื่อนๆที่เป็นชาวสยามมาเลย์หลายท่าน ทุกท่านล้วนมีนิสัยดีกันทั้งนั้นครับ ถึงแม้จะคุยภาษาเดียวกัน(ใต้) แต่ท่านเล่นคำโบราณจนผมแอบอมยิ้มอยู่เสมอ วันนี้ก็เลยขอนำเรื่องราวที่น่าสนใจของคนสยามในมาเลเซียมาเล่าให้เพื่อนผองชาวบลอกได้อ่านประดับความรู้กันนะครับ
เรื่องราวความเป็นมาของชาวสยามในอาณาจักรมาลายูซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศเพื่อนบ้านของเรานั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร มีที่มาที่ไปอย่างไร และเขาอยู่กันอย่างไรนั้น ขอเชิญทุกท่านอ่านกันตามอัธยาศัยครับ
ว่ากันว่าชาวสยามในมาเลเซียเป็นคนเชื้อสายเดียวกับคนในประเทศไทย ่ซึ่งได้อพยพมาตั้งแต่ครั้งอาณาจักรศรีวิชัย (Srivijaya) และจากบันทึกตำราของคุณธำรงศักดิ์ อายุวัฒนะ (ฉบับปรับปรุงปีค.ศ. 2004) ได้กล่าวไว้ว่ามีชาวพุทธเชื้อสายสยามอพยพเข้าไปอยู่ในดินแดนมลายูเมื่อประมาณ 300-500 ปีมาก่อนแล้ว ซึ่งตรงกับช่วงที่สยามยาตราทัพเข้าไปยึดเมืองปาหัง โดยที่ผู้ที่ติดตามพร้อมกับกองทัพสยามได้เข้าไปอยู่อย่างกระจัดกระจายไปทั่ว ท่านได้บันทึกไว้ว่าชาวพุทธเชื้อสายสยามอพยพเข้าไปในรัฐกลันตันหรือทางตะวันออกตอนเหนือของคาบสมุทธมลายูประมาณ 300 ปีแล้ว และอพยพเข้าไปอยู่ในรัฐเคดาห์หรือไทรบุรีซึ่งตั้งอยู่ตะวันตกตอนเหนือของคาบสมุทรมลายูเมื่อประมาณ 500 ปีมาก่อนแล้ว
จากประวัติศาสตร์พบว่าเมือง ไทรบุรีเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีมาช้านานแล้ว (หาอ่านเพิ่มเติมได้ใน wikipedia) ดังมีปรากฏหลักฐานว่าเป็นหนึ่งในเมืองสิบสองนักษัตร เมืองไทรบุรีใช้ตรานักษัตรงูใหญ่ ต่อมาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยาตั้งเมืองชัยนครขึ้นใหม่ เมื่อไทยยกไปตี เมืองมะละการะหว่าง พ.ศ. 1998-2003 จึงขนานนามเมืองนี้ว่าเมืองไชยบุรี และมีราษฎรทางหัวเมืองเหนืออพยพมาอยู่กันมาก จึงออกเสียงแบบสำเนียงเหนือเป็นไซบุรี ต่อมาปี พ.ศ. 2067 เมืองไชยบุรีได้ตกเป็นเมืองขึ้นของอาเจะห์ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ประชากรจึงได้หันไปนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีคนที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากเช่นเดียวกัน ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ราว พ.ศ. 2173 จึงได้เมืองไชยบุรีกลับมาตามเดิม ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นก็ยังเขียนชื่อเป็นไซบุรีอยู่ ต่อมาภายหลังจึงเขียนเป็น ไทรบุรี
ต่อมารัฐไทรบุรีได้ทำการแบ่งการปกครองออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ เมืองสตูล ปะลิส ไทรบุรีหรือรัฐเกดะห์ในปัจจุบัน และกุบังปาสู
ในสมัยยุคล่าอาณานิคม ไทยถูกบังคับให้เซ็นสนธิสัญญายกไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ตรังกานู เประตอนบนให้อังกฤษ ในวันที่ 10 มีนาคม 2451
ยังมีชาวสยามที่อาศัยอยู่ในเมืองตุมปัด ในรัฐกลันตันเนื่องจากการแบ่งเขตดินแดนกับอังกฤษ ในการยึดครองมลายู โดยใช้แม่น้ำโก-ลกเป็นเขตแดน โดยใช้สิ่งแสดงว่ามีชาวไทยอพยพอาศัยมาช้านานแล้วคือ วัดชลธาราสิงเหซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนาราธิวาส นอกจากนี้ยังมีชาวสยามกระจัดกระจาดอยู่ที่อื่นๆอีก แต่ที่เป็นกลุ่มเป็นก้อนก็จะอยู่ในรัฐและเมืองที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในมาเลเซียมาช้านานคนสยามเหล่านี้ก็ยังคงธำรงรักษาประเพณีวัฒนธรรม และภาษาของตนเองไว้ได้ตราบจนถึงทุกวันนี้ และเขายังเรียกตัวเองว่าเซียมหรือสยาม ภาษาไทยไทรบุรีกับปะลิสคล้ายกับภาษาไทยถิ่นใต้ของจังหวัดสงขลาและนครศรีธรรมราช ส่วนของกลันตันจะคล้ายกับของภาษาไทยถิ่นใต้แถบตากใบ
คาดว่าชาวสยามในมาเลย์เซียมีอยู่ประมาณ 50,000 คน
ชาวสยามในมาเลเซียมีการรวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อเรียกร้องสิทธิต่างที่พึงจะได้รับจากทางการ (หาอ่านเพิ่มเติมได้จาก The Politics of ERthnic Representation: Malay-Muslim in Southern Thailand and Thai Buddhists in Northern Malaysia by Dr. Suria Saniwa) ในปี 1960s (พ.ศ. 2503) เริ่มมีสมาคมสยามเคดาห์-เปอร์ลิสที่เพื่อคงไว้ซึ่งภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยในมาเลเซีย มีการเปิดโรงเรียนสอนภาษาไทยและมีการสอนให้รักชาติไทย รักศาสนาพุทธเทิดทูลพระมหากษัตริย์ไทยองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีการยกธงชาติไทยควบคู่กับธงชาติมาเลเซีย
ในช่วงนี้ขอนำเสนอข้อเรียกร้องที่เป็นประเด็นสำคัญๆที่สมาคมไทยกลันตันและสมาคาสยามมาเลเซียเสนอมายังรัฐบาลก็คือ
-การขอมีสิทธิเป็นภูมิบุตรา
-การขอมีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดให้เป็นที่สักการะบูชาของชาวพุทธจากทั่วโลก
-การขอแก้ไขให้มีการระบุชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยในแบบฟอร์มการขอเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ
-การขอประกาศวัฒนธรรมไทยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแห่งชาติและขอประกาศวันสงกรานต์เป็นวันหยุดราชการ
-การขอมีสิทธิในกองทุนช่วยเหลือด้านการศึกษาและด้านการประกอบทางธุรกิจ
ตลอดจนการขอมีสิทธิเป็นสมาชิกของพรรค UMNO
จากข้อเรียกร้องดังกล่าวรัฐบาลได้ตอบสนองดังต่อไปนี้
- ถึงแม้ชาวสยามจะไม่ได้สถานภาพเป็นภูมิบุตร แต่สิทธิต่างๆ ในด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคม จะเหมือนกับภูมิบุตรที่เป็นชาวมลายูทุกประการ ปัจจุบันนี้ ชาวพุทธเชื้อสายไทยจึงมีสถานภาพพิเศษซึ่งถือว่าเป็นสถานภาพที่สูงกว่าชาวจีนและชาวอินเดียในมาเลเซีย
-ปัจจุบันนี้ประเทศมามาเลเซียมีพระพุทธรูปทรงนั่งที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจากพระพุทธรูปทรงนั่งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพระพุทธรูปทรงนั่งในประเทศมาเลเซียจะประดิษฐานอยู่ที่วัดมัชชิมาราม หมู่บ้าน Tereboh อำเภอ Tumpat รัฐ Kelantan ผู้ที่เดินทางเข้าประเทศมาเลเซียจากฝั่งอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ก็จะพบเห็น พระพุทธรูปดังกล่าวทางด้านซ้ายมือห่างจาก Pengkalan Kubor ริมฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามอำเภอตากใบประมาณ 5-8 กิโลเมตร
- รัฐจัดการให้มีการแก้ไขให้มีการระบุกลุ่มชาติพันธ์สยามในแบบฤอร์มการเข้ามหาวิทยาลัย (หากไม่มีการระบุกลุ่มชาติพันธุ์ที่ชัดเจน จะทำให้ลูกหลานชาวพุทธเชื้อสายไทยหมดสิทธิในการเข้าศึกษาต่อในสถาบันของรัฐ เพราะการเข้าสถาบันการศึกษาของรัฐในมาเลเซียนั้นมีการจัดการเข้าศึกษาตามระบบ PR ซึ่งเป็นอัตราส่วนตามจำนวนกลุ่มชาติพันธุ์)
- รัฐบาลมาเลเซียจึงประกาศให้วัฒนธรรมการละเล่นกลองยาว การฟ้อนรำไทย และประเพณีวันสงกรานต์เป็นวัฒนธรรมแห่งชาติ
- รัฐจัดให้มีกองทุนต่างๆแก่ชาวพุทธเชื้อสายสยามเท่ากับชาวมาเลเซียทุกประการ
- นับตั้งแต่มีการต่อสู้การเรียกร้องสิทธิทางการเมือง มี คุณเจริญ อินทร์ชาติ คุณซิวชุน เอมอัมไพซึ่งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติล้วนแต่เป็นสมาชิกของพรรค UMNO ทั้งสิ้น
จะเห็นว่ารัฐบาลมาเลเซียไม่เพิกเฉยต่อการเป็นชนกลุ่มน้อยชาวสยามที่อยู่ในแระเทศของตน นับตั้งแต่การให้มีการจัดตั้งองค์กรกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อที่จะได้ปกป้องสิทธิของพวกเขาเอง และรัฐบาลยังได้สัญยากับชาวสยามมาเลย์ว่าจะสงวนสิทธิในตำแหน่งสภานิติบัญญัติไว้สำหรับชาวสยามหนึ่งที่นั่งต่อประชากร 60,000 คน และชาวสยามมาเลย์คนแรกที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าวในปี 2002 คือ นายเจริญ อิทรชาติ
ทุกวันนี้ชาวสยามมาเลย์ได้ดำเนินวิธีชีวิติตามวิธีแห่งตนท่ามกลางวัฒนธรรมที่หลากหลายในมาเลเซียและจากการต่อสู้เรียกร้องตามวิถีครรลองแห่งประชาธิปไตยด้วยความสันติ รวมถึงการเปิดโอกาศที่เป็นธรรมและยุติธรรมและไม่ทอดทิ้งของรัฐบาลยังทำให้พวกเขายังเป็นชาวสยามในมาเลเซียที่ดำเนินวิถีแห่งชาวสยามต่อไป
หวังว่าคงมีประโยชน์นะครับ
โดย สนต้นที่เก้า