มีข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ศิลปหัตถกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ซึ่งคุณ kokokoko (ขอประทานโทษ ผมไม่แน่ใจว่ากี่โค จำไม่ได้จริงๆ) และหลายท่านอาจยังไม่ทราบ หรือถึงทราบก็ทำเฉยๆ เพราะ "เลือก" ที่จะไม่เชื่อ
อาจจะง่ายเกินไปสักหน่อยที่ผมจะตอบด้วยวิธีการยกลิ้งก์ขึ้นมาจากเว็บไซต์เว็บหนึ่งมาตอบ แต่ผมเห็นว่าค่อนข้างจะครอบคลุม คุณโคฯ ลองอ่านดูนะครับ แล้วมาคุยกัน ดูซิว่ามีประเด็นเห็นด้วยหรือขัดแย้งอย่างไรหรือไม่
http://www.geocities.com/Tokyo/Shrine/6611/ar06.htmแต่ก่อนอื่น ก่อนจะตัดสินใจอะไรต่อไป อาจะต้องขอความกรุณาคุณโคฯ ให้ลดอคติ หรือสลัดภาพที่คุณเลือกจะเชื่อออกไปแล้ว สักพักหนึ่งได้หรือไม่ จริงอยู่ว่าเรื่องเหล่านั้นมันสนุกปาก เข้าทำนองเม้าธ์มันๆ หรือเรื่องแนวนี้อาจจะมีรสจับจิตจับใจอะไรคุณโคฯ เข้า ผมก็ไม่อาจจะหยั่งทราบ แต่ภาพเหล่านั้นอาจเป็นเพียงมายาหรือกระจกบางด้านที่คนบางกลุ่มใส่สีสร้างไว้ เพื่อสร้าง "พระเอก" และ "ตัวร้าย" บนหน้าประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้บุคคลคนหนึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือถูกนินทาว่าร้ายไปโดยเกินจริง
ถ้าจะมองอีกมุมหนึ่ง ผมเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานด้านอื่นๆ ไว้อย่างมหาศาล นอกเหนือจากอักษรศาสตร์ และนาฏศิลป์ครับ เพียงแต่พระราชกรณียกิจเหล่านั้นถูกบดบังหายไปอย่างน่าเสียดาย ...ลองคิดดูว่าทรงมีเวลาเพียง ๑๕ ปีในการทรงงานเท่านั้นเองนะครับ แต่งานด้านการพัฒนาประเทศที่ประมวลไว้ในเว็บไซต์ข้างต้น มีมากเท่าไหร่ ลองค่อยๆ อ่านดูด้วยใจเป็นธรรม
ผมไม่คิดว่า "การพลิกแผ่นดินในเชิงอุตสาหกรรม" (โดยเฉพาะในบ้านเมืองที่มีวัฒนธรรมความอืดฉืดเฉื่อยชาเป็นอาจิณ อุดมด้วยทรัพยากร ไม่มีภัยธรรมชาติร้ายแรง ขอประทานโทษถ้าจะพูดแบบเหมารวม คือคุณโคฯ ลองมองประเทศที่อยู่แถบๆ เส้นศูนย์สูตรสิครับ ว่ามีบ้านไหนเมืองไหนไม่เป็นโรค "เฉื่อยแฉะ" กันบ้าง) จะสามารถทำให้สำเร็จได้ในภายใน ๑๕ ปีครับ ผมคิดว่าแผนที่ทรงวางไว้ ยังค้างๆ คาๆ อยู่อีกมาก
ถ้าจะพูดในแง่ลบก็บอก "..โธ่..ทำได้แค่เนี้ย มหาลัยก็ตั้งได้แค่มหาลัยเดียวเองเหรอ..พรบ.ประถม ได้แค่ประถมเองเหรอ..โธ่ สร้างทางรถไฟได้แค่นี้เองเหรอ ...ตั้งโรงเรียนไว้แค่สิบกว่าโรงเองเหรอ ...สร้างโรงพยาบาลไว้สองสามโรงเท่านั้นน่ะรึ ...โรงปูน ธนาคาร สภาเศรษฐกิจ สภาวิจัย โรงประปา สร้างแค่เนี้ย โอ้ย..แถมยังส่งกองทัพไปชนะสงครามโลกจนทำให้ค่อยๆ แก้สนธิสัญญาไม่เป็นธรรมได้ ...ทำได้แค่เนี้ยเหรอ มีเวลาตั้ง ๑๕ ปี"
เฮ่อ...ถ้าจะประเมินคุณค่างานในรอบ ๑๕ ปีของคนคนหนึ่งว่าต่ำต้อยด้อยค่า จนเห็นเพียงแค่ว่าคนคนนั้นเป็นคนแต่งหนังสือ ร้องรำทำเพลงคนหนึ่งเท่านั้น ...ผมว่าก็เกินไปหน่อยล่ะ
สิ่งที่ผมเห็นได้ชัดๆ จากพระราชกรณียกิจ ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะพัฒนาอุตสาหกรรม นั่นคือ รถไฟ สะพาน ถนน เขื่อน ชลประทาน และงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะรถไฟที่โปรดให้ทำสะพานพระราม ๖ เชื่อมเส้นทางรถไฟสายเหนือสายใต้ สร้างรถไฟสายใต้ลงไปจรดใต้สุด สร้างอุโมงค์ขุนตาน สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของการลำเลียงวัตถุดิบเพื่ออุตสาหกรรมทั้งสิ้นครับ และเป็นวิธีขนถ่ายสินค้าเข้าออกที่คุ้มค่าที่สุดด้วยเพราะขนได้มากแต่ค่าใช้จ่ายน้อย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร อย่างไรก็ดี ในสมัยนั้นอาจจะยังไม่มีคำว่า "อุตสาหกรรม" คุณโคฯ เวลาอ่านอาจจะต้องตีความสักนิด ว่าส่วนใด แง่ใดที่อาจจะเข้าทางอุตสาหกรรมได้บ้าง
อ้อ...คุณโคฯ อย่าลืมดูเรื่องสภาเผยแผ่พาณิชย์ด้วยนะครับ นั่นก็คือหน่วยงานกำหนดแผนพัฒนาอุตสาหกรรม ไม่ได้เกี่ยวกับพาณิชย์อย่างเดียวตามชื่อนะครับ
ด้านวัสดุก่อสร้างสาธารณูปโภคจำเป็นสำหรับประเทศ ได้ทรงตั้งโรงปูนซึ่งต่อมาพัฒนามาเป็นบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ไว้ครับ ยิ่งในเชิงเศรษฐศาสตร์ก็ทรงนำทฤษฎีงบประมาณขาดดุลซึ่งหลายคนในยุคนั้นไม่เข้าใจ และคิดว่าทรงดำเนินแผนงานทางเศรษฐกิจผิดพลาด ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเรื่องตรงกันข้าม เมื่อประสบปัญหาเศรษฐกิจ ก็ทรงพยายามสนับสนุนให้สินค้าไทยแพร่หลายสู่สายตาชาวโลก ทรงพระราชดำริจะจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ณ สวนลุมพินีอันเป็นที่ดินส่วนพระองค์ เพื่อแสดงสินค้าไทย ทำนองเดียวกันงานเวิลด์แฟร์ หรืองานเอ็กซโปสิชันของต่างประเทศ แต่น่าเสียดายที่เสด็จสวรรคตก่อนงานนี้จะได้จัดขึ้น คงเหลือแต่สวนลุมพินีซึ่งทรงพระราชดำริไว้แต่ต้นว่าเมื่อเสร็จงานแล้วจะพระราชทานให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชน
การจะประจักษ์ผลของงานด้านนี้ต้องใช้เวลาครับ ไม่เหมือนงานเขียนหนังสือหรือเล่นละคร ซึ่งปรากฏผลให้โลกได้รับรู้ทันตาเห็นเดี๋ยวนั้นทันทีที่หมึกแห้งแล้วยื่นใส่มือคนอ่าน หรือเมื่อเปิดม่านแล้วเปิดตามอง ยิ่งถ้างานด้านนี้ไม่ได้รับการสานต่ออย่างจริงจัง เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ที นโยบายก็เปลี่ยนที อคติคนโน้นที ทิฐิคนนี้ที มันก็ต้องขลุกขลักติดขัดเป็นธรรมดา
ท้ายสุดของความเห็นนี้ ขอเชิญพระราชดำรัสที่พระราชทานไว้เมื่อปี ๒๔๕๗ มาให้อ่านกันครับ
“...ถึงของที่พวกเราทำได้นั้นจะยังสู้ของเขาไม่ได้หรือแพงไปสักนิด ถ้าเราตั้งใจช่วยกันอุดหนุนแล้วก็เป็นทางที่จะให้ของๆ เราดีขึ้นพอทัดเทียมกับของเขาได้ ในเวลาปกติพวกเราย่อมแลเห็นได้ยากว่าเหตุไรจึงมีความจำเป็นที่จะต้องบำรุงวิชชาหัตถกรรมและศิลปกรรมของเราเองให้พอเพียง ต่อเมื่อไรมีเหตุสำคัญซึ่งของใช้ของเราจะส่งมาจากต่างประเทศไม่ได้ เมื่อนั้นแหละจึงเป็นเวลาที่เราต้องรู้สึกตัวและเสียใจเองว่า เราทั้งหลายได้รามือราตีนเสียหมดแล้ว ช่วยตัวเองก็ไม่ได้เสียแล้ว
...เราจะต้องช่วยกันคิดอย่างไรให้บ้านเมืองเราเลี้ยงตัวเองได้ ถึงของของในเมืองไทยจะยังทำไม่ได้ดีเหมือนเขาก็ให้พอใช้ได้และมีเพียงพอแก่ความต้องการของเรา ...ถ้าจะพูดกันตามตรงแล้ว ก็ต้องรับว่าเดี๋ยวนี้เรายังต้องอาศัยให้ชาวต่างประเทศเลี้ยงตัวเราอยู่ทุกคน เช่นนี้เราไม่อายเขาหรือ
เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันบำรุงศิลปหัตถกรรมแห่งบ้านเมืองเราให้เจริญขึ้น เราจะปล่อยให้ความบกพร่องมีอยู่เช่นนี้ไม่ได้ต่อไปเป็นอันขาด เราต้องนึกถึงว่าเงินทองที่เรามีพอจะจับจ่ายใช้สอยนั้น ทำอย่างไรจึ่งจะได้ใช้ตั้งแต่สตางค์เดียวขึ้นไป ให้เป็นประโยชน์แก่คนไทย...”
ผมคิดว่าคำว่า "วิชชาหัตถกรรมและศิลปกรรม" ที่ทรงหมายถึงนั้น จริงๆ แล้วก็คืออุตสาหกรรมนั่นแหละครับ ทรงตั้งพระราชหฤทัยสนับสนุนให้ทำได้มาก ได้มีคุณภาพ และให้มีใช้ได้ไม่ขาดแคลน ซึ่งก็คือการพยายามทำให้หัตถกรรมและศิลปกรรมของเรากลายเป็นอุตสาหกรรมให้จงได้นั่นเอง