ความลับของสำริด
พระพุทธรูปส่วนใหญ่ เราดูกันที่เนื้อสำริดขององคืพระครับ
เราจะรู้ว่าเป็นสำริดชนิดใด ก็ดูที่เนื้อองค์พระ มี 3 ชนิดใหญ่ ๆ เช่น
- สำริดเงิน ประกอบด้วยโลหะหลายชนิดสุดจะคาดเดา แต่แก่เงิน
- สำริดทอง ประกอบด้วยโลหะหลายชนิดสุดจะคาดเดา แต่แก่ทอง
- สำริดนาค ประกอบด้วยโลหะหลายชนิดสุดจะคาดเดา แต่แก่นาค
อู่ทองเป็นยุคที่หล่อสำริดได้ เก่ง,ใหญ่ และ บางที่สุด
แต่ไม่ว่าจะเป็นสำริดชนิดใด ก็ต้องใส่แร่ทองคำลงไป
เพราะทองจะทำให้สำริดเหนียวและทำให้สำริดไม่เปราะ
และแตก ทั้งยังทำให้ขึ้นรูปง่ายเวลาน้ำโลหะไหลลงไป
ในช่องของแม่พิมพ์ที่มีลายละเอียดมาก
ทองจึงนิยมนำมาตีเป็นแผ่นทองคำเปลวครับ
สมัยที่พระพุทธรูปใส่ทองมาที่สุด คือ พระพุทธรูป
สมัยเชียงแสนและสุโขทัย โดยเฉพาะเชียงแสน
โดยส่วนใหญ่จะมีปริมาณแร่ทองคำปนอยู่มาก
แทบจะทุกองค์ มากกว่าสุโขทัยเสียด้วยซ้ำ
คนไทยสมัยลพบุรีหล่อโลหะเก่งมาก มากกว่าเขมร
เสียด้วยซ้ำ หรืออาจจะเก่งที่สุดในโลก
ผมคัดมาฝาก เรื่อง "ศิลปะเขมรสูงชาวพุทธ" กล่าวถึงการหล่อสำริด
คัดลอกจากหนังสือพระพุทธรูปศิลปะสมัยอยุธยา
ประวัติศาสตร์ชนชาติไทยกับปฏิมากรรมในพุทธศาสนา เล่ม 1
ของ สมเกียรติ โล่ห์เพชรัตน์
พิพม์ครั้งที่ 2 หน้า373
"เป็นศิลปะที่มีอายุอยู่ช่วงสมัยกับศิลปะทวาราวดีและลวะปุระ ที่ปัจจุบันเรายังอนุโลมให้เรียก
พระพุทธรูปและปฏิมากรรมทางศาสนาอื่นๆ ที่มีอายุตั้งแต่ปีคริสต์ศตวรรษที่ 7-11
ว่าเป็นกลุ่มศิลปะทวา-อีสาน แต่ที่ถูกต้องตามความเป็นจริงในหน้าประวัติศาสตร์จะต้องเป็น
ศิลปะเขมรสูง ตั้งแต่สมัยก่อนเมืองพระนครหลวงจนถึงยุคนครหลวงตอนต้น จริงอยู่ในสมัยนั้น
โดยสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ศิลปะเขมรสูงกลุ่มนี้ได้ร่วมศิลปะกับศิลปะทวาราวดีที่อยู่ใกล้กัน
มานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ประชาชนและดินแดนส่วนนี้ก็ยังขึ้นอยู่ภายใต้การปกครอง
ของอาณาจักรกัมพูชาอย่างปฏิเสธมิได้ ศิลปะที่ค้นพบในดินแดนเขมรสูงแห่งนี้ มีทั้งปฏิมากรรม
ทางศาสนาพราหมณ์ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานปฏิมากรรมที่สร้างขึ้นเพื่อศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน
เช่น พระพุทธรูปที่แสดงสัญลักษณ์ของเหล่าธยานิพุทธ หรือ พระโพธิสัตต์ศรีอริยเมตไตรที่ค้นพบ
ที่อำเภอประโคนชัยที่โด่งดังไปทั่วโลก ที่มีอายุอยู่ระหว่างคริสศตวรรษที่ 8-9 มีรูปแบบคล้ายกับ
ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุกของเขมรเมืองพระนครหลวง แต่มีรูปแบบที่แตกต่างออกไปตามสาย
สกุลช่างพื้นถิ่น
จากการศึกษาถึงด้านประติมานวิทยาจะเห็นว่า ตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 8 ช่างในดินแดน
ประเทศไทยส่วนนี้มีประติมานวิยาทางการหล่อสำริดจะสูงกว่าในเมืองนครหลวงของอาณาจักร
กัมพูชามาก ดังพระราชวินิจฉัยของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่พระองค์กล่าวว่า
หากเป็นการแกะสลักศิลาช่างเขมรจะเก่งกว่า แต่หากเป็นงานหล่อโลหะสำริดช่างลพบุรีจะ
เก่งกว่ามาก เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่ปฏิมากรรมโลหะที่พบในกัมพูชาอาจจะ
หล่อจากเมืองลพบุรี แล้วส่งไปยังนครหลวงของกัมพูชา ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานที่ไม่น่าจะเกิน
ความเป็นจริงนัก เพราะมีการพบหลักฐานหล่อปฏิมากรรมรูปแบบต่างๆ ที่หล่อไม่ติดมีมากมาย
ที่ค้นพบในเมืองลพบุรี จนถึงทุกวันนี้ยังมีการค้นพบปฏิมากรรมโลหะแบบสำริดผสมในลพบุรี
จำนวนมากกว่ากัมพูชา
เพราะเหตุนี้ ผู้เขียนจึงขอฝากงานวิจัยให้ท่านนักปราชญ์ช่วยนำเรื่องศิลปะลพบุรีไปช่วยศึกษา
ค้นคว้าต่อ โดยเฉพาะหน่วยงานการศึกษาของทางราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพราะเหตุว่า
สิ่งที่ค้นพบเหล่านี้เป็นศิลปะภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่น่าจะมีการขยายวงกว้างเจาะลึก
เขียนเป็นงานศึกษาวิจัยขนาดใหญ่สำคัญของชาติ ดีกว่าจะให้คนบางกลุ่มที่ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์
ชอบนำมากล่าวแบบลอยๆ ไร้หลักฐานว่า ศิลปะเหล่านี้เป็นของกัมพูชา แต่เราก็ไม่ปฏิเสธว่า
กลุ่มเขมรสูงและกลุ่มมอญทวาราวดีซึ่งเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณษจักรกัมพูชาที่
ศูนย์อำนาจอยู่ที่เมืองพระนครหลวงนั้น เป็นบรรพบุรุษตัวจริงผู้มีส่วนริเริ่มการก่อตั้งรัฐไทย
โดยเฉพาะอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาที่ยิ่งใหญ่ของชนชาติไทย"
ลองอ่านเรื่องศรีจนาศะ
http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=130&Pid=52443