อานิสงส์จากกระทู้
สายสกุลจีนของ เจ้าคุณจอมมารดาเอมในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทำให้ผมตามสืบข้อมูลเรื่องชื่อกวางหนำเพิ่มเติม ยาวเลยไปถึงเรื่องราวขององเชียงสือ ซึ่งไม่ว่ากวางหนำของวงศ์องเชียงสือจะเป็นกวางหนำเดียวกับของ ก.ศ.ร.กุหลาบหรือไม่ เรื่องราวขององเชียงสือเองก็น่าสนใจมากพอที่จะเอามาเล่าสู่กันฟังครับ
ราวปี ค.ศ.1600 (พ.ศ.๒๑๕๓) แผ่นดินเวียดนามแตกออกเป็นสองก๊ก ก๊กทางเหนือขุนนางตระกูลจิ่ง (Trịnh 鄭) กุมอำนาจรัฐผ่านจักรพรรด์หุ่นเชิดราชวงเล (Lê 黎) ตั้งตนเป็นเจ้านามบั๊ก (Nam Bắc 南北) อยู่ที่เมืองหลวง ทังลอง (Thăng Long 昇龍 ซึ่งต่อมาคือเมืองฮานอย) ในขณะที่ทางใต้นั้น ขุนนางตระกูลเหงวียน (Nguyễn 阮 เวียดนามว่าเงวี้ยน) ตั้งตนเป็นเจ้ากว๋างนาม (Quảng Nam 廣南) ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ ฟู้ซวน (Phú Xuân 富春) ซึ่งต่อมาคือเมืองเว้ (เวียดนามว่าเหฺว) เมืองหลวงของจักรพรรดิ์ราชวงศ์เหงวียน
ราวปี ค.ศ.1620 (พ.ศ.๒๑๗๓) เหงวียนฟุกเงวียน (Nguyễn Phúc Nguyên) เจ้ากว๋างนามถวายพระธิดาเป็นพระมเหสีของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชกษัตริย์เขมร สามปีต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาฯ ตอบแทนโดยให้พวกญวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเมืองไพรนคร (Prei Nokor) เมืองท่าสำคัญของเขมร ผลของการนี้ทำให้คนญวนเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันมากจนกลืนเมืองนี้ กลายเป็นเมืองไซ่ง่อนในเวลาต่อมา (และเปลี่ยนชื่อเป็นโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน) เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายอำนาจลงใต้ของก๊กเหงวียน และเริ่มมีปัญหากับอยุธยาอยู่เนืองๆ ด้วยเรื่องการแทรกแซงการเมืองในเขมรครับ
หลังจากสงครามระหว่างทั้งสองก๊กยาวนานหลายสิบปี ก๊กจิ่งและก๊กเหงวียนก็ตกลงสงบศึกกันในปี ค.ศ. 1672 (พ.ศ.๒๒๑๕) โดยก๊กเหงวียนตกลงจะยอมรับอำนาจของจักพรรดิ์หุ่นเชิดราชวงศ์เลในมือของก๊กจิ่งในทางนิตินัย แต่ทางพฤตินัย ก๊กเหงวียนตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับจักรพรรดิ์เลแต่ประการใด
พงศาวดารเวียดนามที่ฝ่ายไทยบันทึกไว้ (ประชุมพงศาวดารภาค ๒๘) มีความว่า
"ครั้นเมื่อองเฮียวหูเวียงได้เป็นเจ้าเมืองเว้ก็ตั้งแข็งเมืองไม่ไปขึ้นกับ เมืองตังเกี๋ยเหมือนแต่ก่อน เจ้าเมืองตังเกี๋ยก็จัดกองทัพไปตีเมืองเว้หลายครั้งก็ไม่ได้ องเฮียวหูเวียงจึงให้ตั้งด่านทางบกลงไว้ที่ตำบลโปจัน ตำบลโปจันนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำซงยัน ฟากแม่น้ำซงยันข้างตะวันออกเป็นแดนเมืองตังเกี๋ย ด่านโปจันทุกวันนี้เขาเรียกว่าเมืองกวางเบือง ทางน้ำนั้นให้เอาโซ่ขึงแม่น้ำกงเหยไว้ไม่ให้พวกเมืองตังเกี๋ยมาเมืองเว้ได้ เมืองเว้ก็ขาดจิ้มก้องเมืองตังเกี๋ยมาหลายปี ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ขึ้นด้วยกันทั้งสองเมืองเมืองตังเกี๋ยที่ว่าหมายถึงก๊กจิ่งทางเหนือ อง (ông เวียดนามว่าองม์) เป็นคำนำหน้านามใช้เรียกอย่างให้เกียรติ เฮียวฮูเวือง เพี้ยนมาจาก เฮี้ยววู้เวือง (Hiếu Vũ Vương 孝武王) ซึ่งเป็นพระสมัญญาของเจ้ากว๋างนามซึ่งเป็นพระอัยกาขององเชียงสือ มีชื่อตัวว่า เหงวียนฟุกค้วด (Nguyễn Phúc Khoát 阮福濶) เป็นเจ้ากว๋างนามอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1738-1765 (พ.ศ.๒๒๘๑-๒๓๐๘) พงศาวดารญวนฉบับไทยอ้างเรื่องการตั้งตนเป็นเจ้าก๊กเหงวียนผิดสมัยไปร้อยกว่าปีครับ
น่าสนใจว่าในรัชกาลพระเจ้าท้ายสระ ราว ค.ศ.1710 (พ.ศ.๒๒๕๓) นักแก้วฟ้ามีปัญหากับพระธรรมราชาเจ้ากรุงเขมร นักแก้วฟ้าไปขอทัพญวนมาช่วย นักพระธรรมราชากับนักพระองค์ทองหนีพึ่งมาอยุธยา พระเจ้าท้ายสระทรงโปรดยกไปตีเขมร ให้พระยาจักรีเป็นแม่ทัพบกยกไปทางเสียมราบ พระยาโกษาธิบดีจีน (น่าจะเป็นคนเดียวกับผู้ที่นำตัวอ๋องเฮงฉ่วนเข้าเฝ้าพระเจ้าท้ายสระ) เป็นแม่ทัพเรือยกไปทางพุทไธมาศ ทัพเรือของพระยาโกษาธิบดีถูกทัพเรือญวนตีแตกที่ปากน้ำพุทไธมาศ (พงศาวดารว่าพระยาโกษาธิบดีขลาด และไม่ชำนาญในการสงคราม) ตัวพระยาโกษาธิบดีถอยหนีมา ในขณะที่พระยาจักรีทัพบกยกเข้าไปล้อมกรุงเขมร (ในเวลานั้นคือเมืองอุดง) เจรจากันแล้วนักพระแก้วฟ้ายอมอ่อนน้อม จึงให้นักแก้วฟ้าเป็นเจ้ากรุงเขมรต่อไป พระยาจักรียกทัพกลับ ได้ความดีความชอบเป็นอันมาก ส่วนพระยาโกษาธิบดีโดนปรับให้ชดใช้ค่าเรือรบ อาวุธ ดินปืนที่เสียหายทั้งหมด
เห็นได้ว่าพระยาโกษาธิบดีท่านนี้ นอกจากร่ำรวยมากแล้วคงมีบทบาทสำคัญที่ราชสำนักต้องพึ่งพา (ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องการค้าเมืองจีน) จึงได้รับโทษเพียงเท่านี้ครับ
เพื่อไม่ให้เรื่องราวยืดเยื้อต่อไปมาก เพราะตัวเอกยังไม่ได้ออกโรงเสียที ขออนุญาตลัดไปเรื่องครอบครัวญาติวงศ์ขององเชียงสือเลยนะครับ
พงศาวดารญวนฉบับไทยว่า
"องเฮียวหูเวียงนั้นมีราชบุตร ๕ องคือ องดิกหมูที่ ๑ องเฮียวคางเวียงที่ ๒ องเทิงกวางที่ ๓ กับองเชียงฉุนที่ ๔ องทางที่ ๕
"ฝ่ายองดิกหมูราชบุตรใหญ่นั้นมีบุตรชายชื่อองหวางคน ๑ องเฮียวคางเวียงราชบุตรที่ ๒ มีบุตร ๓ คนคือ องยาบา ๑ องหมัน ๑ องไชสือ ๑ องดิกหมู องคางเวียงตายก่อนพระราชบิดา ครั้นองเฮียวหูเวียงพระราชบิดาตาย องกวักภัยขุนนางผู้ใหญ่ก็ยกกองเทิงกวางพระราชบุตรที่ ๓ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเว้ แล้วองกวักภ้อก็เป็นผู้สำเร็จราชการสิทธิ์ขาดอยู่แต่ผู้เดียว เสนาบดีและราษฎรไม่เต็มใจ บ้านเมืองก็เกิดจลาจลต่างๆ ข้อมูลจากพงศาวดารไทยมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการ เฮี้ยววู้เวือง เหงวียนฟุดค้วด นั้น ตามหลักฐานที่ฝรั่งเศสรวบรวมไว้มีภรรยา ๓ คน มีบุตรทั้งสิ้น ๑๘ คน ธิดาอีก ๑๒ เฉพาะที่ปรากฏในพงศาวดารญวนฉบับไทยมีรายนามดังนี้
บุตรคนที่ ๒ มีนามว่า ฟุกลวน (Phúc Luân) เกิดแต่ภรรยาเอก ฟุกลวนผู้นี้คือบิดาขององเชียงสือ เมื่อองเชียงสือได้ปราบดาภิเษกเป็นจักรพรรดิ์แห่งเวียดนามแล้ว ได้เฉลิมพระนามพระบิดาว่า เฮี้ยวเคืองเวือง (Hiếu Khương Vương 孝康王) ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของชื่อ คางเวีอง ที่ปรากฏในพงศาวดารญวนฉบับไทยครับ
บุตรคนที่ ๙ มีนามว่า เหี่ยว (Hiệu) มีอีกชื่อหนึ่งว่า ดึ๊กหมุ (Ðức Mụ) เป็นที่มาของชื่อดิกหมูที่เป็นพ่อขององหวางในพงศาวดารญวนฉบับไทย (เวียดนามเรียก ฟุกเซวือง Phúc Dương) แต่พงศาวดารญวนฉบับไทยบอกว่าเป็นบุตรคนโต ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะบุตรคนโตชื่อเจือง ไม่มีบุตร มีแต่ธิดา ๑ คน
บุตรคนที่ ๑๖ มีนามว่า ฟุกถ่วน (Phúc Thuần) เป็นบุตรภรรยารอง ภายหลังได้ขึ้นเป็นเจ้ากว๋างนาม ใช้ชื่อว่า ดิ่งเวือง Định vương น่าจะเป็นที่มาของชื่อเทิงกวาง หรือเทืองกวางในพงศาวดารญวนฉบับไทย
บุตรคนที่ ๑๗ มีนามว่า ซวน (Xuân) คำ Xuân ในชื่อ เขียนด้วยตัวอักษรจีนว่า 春 จีนอ่านว่าชุน น่าจะเป็นที่มาของชื่อ องเชียงชุน
บุตรคนที่ ๑๘ มีนามว่า แทง (Thănh) คือ ทาง ในพงศาวดารญวนฉบับไทย เป็นคนเดียวที่อยู่รอดมาจนได้เป็นพระเจ้าอาในแผ่นดินพระเจ้าเวียดนามยาลอง
พงศาวดารญวนฉบับไทยว่าคางเวีองมีบุตร ๓ คน คือ ยาบา องเชียงสือ และหมัน แต่หลักฐานฝรั่งเศสว่า มีบุตร ๖ ธิดาอีก ๔ มีรายนามบุตรดังนี้
บุตรคนโต นามว่า ฟุกเห่า (Phúc Hạo) ไม่มีหลักฐานว่าตายเมื่อใด
บุตรคนที่ ๒ นามว่า ฟุกด๊อง Phúc Đồng ตายในปี ค.ศ.1777 อาจจะเป็นคนนี้ที่พงศาวดารญวนฉบับไทยเรียก ยาบา เพราะตายในเหตุการณ์ปี 1777
บุตรคนที่ ๓ นามว่า ฟุกอ๊าง (Phúc Ánh) คือองเชียงสือ พงศาวดารไทยเกือบทั้งหมดออกชื่อว่าองเชียงสือ มีเพียงในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๘ ที่ออกชื่อว่าองไชสือ เป็นไปได้ว่าเป็นชื่อที่ถูก โดยมาจาก ไท้ตื๋อ (thái tử) แปลว่าองค์รัชทายาท
บุตรคนที่ ๔ ตายตั้งแต่ยังเด็ก
บุตรคนที่ ๕ นามว่า ฟุกเมิน (Phúc Mân) คือ หมัน ในพงศาวดารญวนฉบับไทย
บุตรคนที่ ๖ นามว่า ฟุกเดี่ยน (Phúc Điển) ตายในปี ค.ศ.1783