jean1966
|
วัดกันมาตุยาราม เป็นวัดราษฎร์ขนาดเล็ก สังกัดธรรมยุตินิกาย ตั้งอยู่ริมถนนมังกร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร แวดล้อมด้วยชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีน ในบริเวณใกล้เคียงกับวัดกุศลสมาครของฝ่ายอนัมนิกาย และวัดบำเพ็ญจีนพรตของฝ่ายจีนนิกาย วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2407 ตรงกับปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยนางกลีบ สาครวาสี ได้อุทิศสวนดอกไม้สร้างเป็นวัดขึ้น ต่อมาบุตรของนางกลับ คือ พระดรุณรักษา (กัน สาครวาสี) ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว นางกลีบ ได้น้อมเกล้าฯ ถวาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า"วัดกันมาตุยาราม" อันหมายถึง วัดที่มารดาของนายกันเป็นผู้สร้าง บริเวณวัดแห่งนี้ค่อนข้างคับแคบ ปูชนียสถานสำคัญมีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบลังกาสร้างเลียนแบบธัมเมกขสถูปในประเทศอินเดีย และในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ วัดนี้เคยเป็นที่จำพรรษาของ สุชีโวภิกขุ หรือ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาคนหนึ่งของประเทศไทย เอ่ยถึงที่มาของชื่อวัดเพิ่มเติมว่าเดิมนั้นเรียกว่าวัดกัณฑ์มาตุยารามด้วยมูลเหตุว่าคุณแม่กลีบ มีบุตร2คนคื่อคนพี่ชื่อ"สวาท"ถึงแก่กรรมก่อนที่จะสร้างวัดคนน้องจะมีชื่อว่ากระไรมาก่อนหรือยังไม่ได้ตั้งชื่อไม่ทราบแน่ แต่ได้ยินว่าเมื่อเล็กๆเป็นคนเลี้ยงยากเจ็บออดๆแอดๆรักษาไม่หาย คราวหนึ่งคุณแม่นิมนต์พระราชาคณะองค์หนึ่ง(จำเลือนๆ)ว่าเป็นสมเด็จพุฒาจารย์โตมาเทศน์ คุณแม่เลยยกลูกคนนี้ใส่กัณฑ์เทศน์ เพื่อให้เป็นลูกพระจะได้เลี้ยงง่ายหายโรค เทศน์จบแล้วท่านผู้เทศน์จึงขนานนามให้ว่า"กัณฑ์"ซึ่งหมายความว่า"กัณฑ์เทศน์"นั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:12
|
|
ผมเดินทางไปวัดนี้เมื่อวานนี้ประมาณบ่ายโมงเพราะไปทำธุระแถวเยาวราช เข้าไปที่วัดประมาณบ่าย2โมงซึ่งเป็นการดีเพราะช่วงเช้าส่วนใหญ่พระที่วัดจะรับกิจนิมนต์ ทราบจากหลวงพี่ที่อำนวยความสะดวกในการเปิดโบสถ์ให้เข้าชมและถ่ายภาพ วัดนี้ก็เหมือนกับทุกวัด ที่ผมเคยถ่ายรูปไว้กว่า20ปีมาแล้ว ปัจจุบัน มีการซ่อมแซมจิตรกรรมฝาผนังแล้วโดยกรมศิลปากร ซึ่งเมื่อพินิจพิเคราะห์แล้วก็ไม่อยากพูดถึง เพราะอยู่ในสภาพอย่างที่เคยๆพูดแต่เปอร์เซ็นต์ก็ไม่มากนัก พระอุโบสถ มีขนาดไม่ใหญ่โต เล็กพอเหมาะกับขนาดวัด ภายในประดิษฐานพระประธาน ไม่มีชื่อมาแต่เดิม ภายหลังเมื่อวันที่9มี.ค.2547 เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณวโรดม เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้กรุณาตั้งพระนามพระประธานนี้ว่า "พระอริยกันต์มหามุนี" บานประตูหน้าต่างด้านนอกประดับมุกทุกบาน ผนังภายในมีภาพพุทธประวัติตลอดเหนือหน้าต่างด้านในมีช่องรอบพร้อมซุ้มกรอบประดิษฐ์ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆขนาดกำลังงามจำนวน37ปาง บานประตูหน้าพระอุโบสถด้านในเขียนรูปอกับปิยมังสะ คือเนื้อสัตว์ที่ห้ามทางพระวินัยมิให้ภิกษุฉันรวม10ชนิด ส่วนบานประตูด้านหลังเขียนรูปผลไม้ที่ใช้ทำน้ำอัฏฐบาน(ปานะ)ได้8ชนิด บริเวณบานแผละหน้าต่างเขียนรูปพระภิกษุกระทำกัมมัฏฐาน เพ่งนิมิตรต่างๆส่วนปริเวณประตูเขียนเป็นภาพสุภาษิตไทย เช่นกลิ้งครกขึ้นภูเขาและอีกหลายๆสุภาษิต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:14
|
|
พระประธานในพระอุโบสถ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:19
|
|
ภาพบานประตูเขียนภาพเนื้อซึ่งห้ามภิกษุฉัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:23
|
|
ภาพสุภาษิตบริเวณบานแผละประตูอันนี้สำนวน"จระเข้ขวางคลอง"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:29
|
|
ภาพบานหน้าต่างด้านในเขียนภาพน้ำอัฏฐบาน(ปานะ) พระพุทธารถญาตน้ำอัฏฐบาน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด คือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลหว้า ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะทราง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือองุ่น ๑ น้ำปานะทำด้วยเง่าบัว ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำอ้อยสด.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:35
|
|
มาดูภาพเขียนโดยรอบพระอุโบสถ เขียนเรื่องพุทธประวัติ ไม่อธิบายความนะครับ ไปศึกษาในปฐมสมโพธิกถาเอาเองครับ(รูปประกอบผนังนี้ ได้บอกทางหลวงพี่ผู้ดูแลว่า น่าจะนำข้าวของในจุดที่ปิดบังจิตรกรรมฝาผนังออกไปเก็บทีอื่นเสีย)จุดนี้เลยได้เท่านี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:42
|
|
ภาพเขียนที่นี่ไม่มีระบุปีที่เขียนไว้ แต่น่าจะเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่5 เพราะนับจากปีที่สร้างวัด2407ค่อนมาปลายรัชกาลที่4แล้ว อีกทั้งลักษณะภาพเขียนก็เป็นภาพในลักษณะที่เป็นที่นิยมเขียนในสมัยร.5แล้วเปรียบเทียบจากวัดที่มีประวัดชัดเจนเช่นวัดโสมนัสวรวิหาร วัดปรมัยยิกาวาส ไม่ผิดไปจากนี้(รูปประกอบเริ่มจากผนังที่1ด้านหลังอุโบสถขวามือพระประธาน)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:44
|
|
ผนังที่2
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:49
|
|
ผนังที่3
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 12:54
|
|
ผนังที่4เขียนตอนพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพานและถวายพระเพลิงหระพุทธเจ้า เป็นตอนที่ผมชอบมากที่สุดโดยเฉพาะฉากถวายพระเพลิงเดี๋ยวดูรายละเอียดรูปต่อไป(รูปนี้ถ่ายตรงไม่ได้เพราะอยู้ข้างพระประธานมุมกล้องไม่ได้)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 13:09
|
|
ภาพจิตกาธานของพระพุทธเจ้าช่างกับเชียนเป็นโลงศพธรรมดาอย่างโรงศพธรรมดาบนเชิงตะกอน อันนี้เข้าใจว่าช่างคงต้องการแสดงให้เห็นถึงพิธีการในขั้นตอนเผาจริงอย่างที่ปรากฎในการออกพระเมรุของพระมหากษัตร์ย์ สังเกตุได้ว่าเป็นการกระทำอยู่ในพระเมรุ มีฉากบังเพลิงเขียนเรื่องรามเกียรติ์ได้งดงามมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 13:12
|
|
รูปโลงพระศพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 13:15
|
|
รูปฉากบังเพลิงเรื่องรามเกียรติ์เขียนได้งดงามทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 12 ก.ค. 09, 13:18
|
|
ฉากบังเพลิงอีกด้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|