SILA
|
ความคิดเห็นที่ 525 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 11:03
|
|
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สปลิทเป็นส่วนหนึ่งของ Kingdom of Serbs, Croats and Slovenes มีฐานะเป็นเมืองท่าสำคัญ แล้วต่อมาได้เป็นเขตปกครองตนเอง - banovina (an autonomous province) ของ Kingdom of Yugoslavia ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี 1941 สปลิทถูกอิตาลียึดครอง นายทหารอิตาลีถูกสังหาร หลายนายเพราะสปลิทเป็นศูนย์กลางการต่อต้านฟาสซิสต์
Death to Fascism, Freedom to the people Split, Croatia 1943
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 526 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 11:47
|
|
หลังการสู้รบและถูกบอมบ์ในที่สุดกองกำลังกู้บ้านกู้เมืองก็สามารถยึดสปลิท คืนได้ในปี 1944 และตั้งให้สปลิทเป็นเมืองหลวง ชาวอิตาเลียนที่อาศัยอยู่ในสปลิทได้ ถูกสังหารและขับออกนอกประเทศไปในปี 1945 ยุค Yugoslavia ของนายพล Tito เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เศรษฐกิจของสปลิทเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการต่อเรือที่โครเอเชีย ก็เป็นหนึ่งในแถวหน้าทางด้านนี้ กองบัญชาการกองทัพเรือยูโกสลาเวียตั้งอยู่ในสปลิท Croatian Maritime Museum – Split
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 527 เมื่อ 24 ก.ย. 13, 11:52
|
|
เมื่อโครเอเชียประกาศแยกตัวจากยูโกสลาเวีย และเกิดสงครามแบ่งแยกดินแดน สปลิทได้รับความเสียหายจากยุทธภูมิทางทะเลในปี 1991 แล้วตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยที่กลับมาฟื้นคืนในศตวรรษใหม่ โดยหันมาเน้นด้านการท่องเที่ยวเป็นหลัก
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 528 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 09:28
|
|
ปัจจุบันสปลิทได้เจริญก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการขนส่งของแดลเมเชีย มีถนนฟรีเวย์ ทันสมัยรวดเร็ว และท่าเรือที่คึกคัก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงพื้นที่ในส่วนเมืองโบราณไว้จนได้ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก รถบัสมาถึงบริเวณที่จอดริมอ่าวใกล้กับวังโรมัน ที่นี่เป็นเป็นชุมทางทั้งบกและน้ำ สำหรับรถบัส, รถไฟ และเรือ ทำให้สปลิทเป็นเมืองชุมทางที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ
split-porta จากเน็ท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 529 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 09:31
|
|
ไม่ไกลจากที่จอดรถเดินมาถึงริมฝั่งน้ำ มองไปข้างหน้าคือเนินเขา Marjan Hill ที่ผู้คนนิยมขึ้นไปเพื่อมองดูเมืองจากเบื้องบน ที่นี่มีสวนซึ่งมีมาแต่ศตวรรษที่ 3 จัดเป็นหนึ่ง ในสวนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 530 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 09:33
|
|
ซ้ายมือคือท่าเทียบเรือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 531 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 09:37
|
|
ถนนคนเดินเลียบชายฝั่ง(riva) อยู่ทางด้านขวา รายด้วยต้นปาล์มปลูกเป็นแถว บังแนวอาคารด้านใน วังไดอะคลีชั่นเกือบสองพันปี ถึงวันนี้จะคงสภาพเหลือให้เห็นเป็นอย่างไร น่าสงสัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 532 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 09:50
|
|
พักความสงสัยไว้ชั่วคราว แล้วย้อนเรื่องราวอดีตกาลของจักรพรรดิไดอะคลีชั่นพอสังเขป
Diocletian (244 – 311)
จักรพรรดิองค์ที่ 51 แห่งจักรวรรดิโรมันช่วงค.ศ. 284 - 286 และ ค.ศ. 286 - 305 ในฐานะออกัสตัสแห่งตะวันออกร่วมกับแม็กซิเมียน(ออกัสตัสแห่งตะวันตก) ถือกำเนิดที่ Salona บิดาเป็นทาส มีภรรยาและลูกสาวซึ่งกล่าวกันว่าเป็นคริสเตียน ช่วงต้นศตวรรษที่ 3 เกิดความไม่สงบในจักรวรรดิโรมันทั้งภายใน(กองทัพ)และภายนอก (จากการรุกรานของชนเผ่าอื่น) ไดอะคลีชั่นได้เข้ารับราชการเป็นทหารแล้วเติบโตก้าวหน้า จากผลงานการรบในสงครามจนได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น consulate ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ เป็นจักรพรรดิหลังจากที่จักรพรรดิองค์ก่อนและทายาทสิ้นลง พระองค์ได้ทรงจัดให้มีการเปลี่ยน แปลงปฏิรูปกองทัพจนสามารถนำกองทัพกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมสำเร็จ
เหรียญรูปจักรพรรดิสวม"มงกุฎชัยพฤกษ์ (laurel crown)" อีกด้านคือเทพบดีจูปิเตอร์ถืออสนีบาต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 533 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 09:55
|
|
ปีที่พระองค์ขึ้นปกครองเป็นปีเริ่มสมัยจักรวรรดิยุคปลาย (Late Imperial Period ค.ศ.284-395) จักรวรรดิโรมันกำลังอ่อนแอลง ไดอะคลีชั่นได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิที่ทรงอำนาจ เบ็ดเสร็จรวบยอด และนำพาจักรวรรดิโรมันเข้าสู่ยุค "Dominate" หรือ "Tetrarchy" หรือ "Later Roman Empire" หรือ the "Byzantine Empire" กล่าวคือ ในปี 286 ทรงมีดำริหลักการ - Four Rulers, but One Empire แล้วทรงแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยจักรพรรดิจากแดลเมเชีย - Maximian ให้ปกครองจักรวรรดิ ภาคตะวันตกส่วนพระองค์ปกครองภาคตะวันออก จักรพรรดิทั้งสองนี้เรียกว่า Augustus (senior) ผู้จะมีรัชทายาทไว้สืบตำแหน่งต่อเรียกว่า Caesar (apprentice) การปฏิรูปของไดอะคลีชั่นทำให้จักรวรรดิมีความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหาร จนอยู่ยืนยงอย่างไร้ปัญหาสืบต่อมาร่วมร้อยปี
The tetrarchs, (left) Diocletian and Maximian, (behind) Constantius and Galerius. Porphyry sculpture of AD 305, Piazza san Marco, Venice.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 534 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 10:08
|
|
ในปี 305 วังที่จักรพรรดิไดอะคลีชั่นมีบัญชาให้สร้างสำหรับเป็นวังหลังเกษียณ ในบริเวณอ่าวใกล้เมือง Salona บ้านเกิดได้แล้วเสร็จลง พระองค์ได้ทรงวางมือจาก การปกครองจักรวรรดิแล้วเสด็จมาประทับอยู่ในวังแห่งนี้ตราบจนถึงวันสุดท้ายดังที่ได้ ทรงตั้งใจไว้ แม้ว่าระบบ Tetrarchy ที่ได้ทรงวางไว้จะไม่เวิร์คและทรงได้รับการขอร้อง ให้กลับไปปกครองจักรวรรดิอีก แต่พระองค์ทรงปฏิเสธด้วยว่าได้ทรงพบกับความสุขสงบ ปราศจากความวุ่นวายภายในวังนี้ที่พระองค์ทรงพระสำราญกับการปลูกพืชผักในสวน ส่วนพระองค์
ภาพจาก Young Folks' History of Rome
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 535 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 10:13
|
|
ประวัติอีกด้านหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงเสมอเกี่ยวกับพระองค์คือ การสถาปนาองค์เป็นเทพ สืบเชื้อสายมาจากเทพบดีจูปิเตอร์(ซูส) แล้วมีคำสั่งให้ทำลายโบสถ์และสังหารคริสเตียน ซึ่งประวัติศาสตร์นิยมบันทึกว่ามีมรณสักขี (martyr) มากมายนับหมื่นในขณะที่นักประวัติศาสตร์ ศาสนาพบว่ามีมรณสักขีไม่เกิน 20 ราย
ทรงบัญญัติให้สีม่วงเป็นสีจักรพรรดิสำหรับพระองค์ทรงใช้ได้เพียงผู้เดียว รูปจักรพรรดิในฉลองพระองค์สีม่วงจากภาพวาด St Sebastian Reproving Diocletian
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 536 เมื่อ 26 ก.ย. 13, 10:23
|
|
หลังจากที่ไดโอเคลเชียนสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ.311 ได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกัน จนกระทั่งค.ศ.313 คอนสแตนตินผู้เป็นพระโอรสของไดอะคลีชั่นและเป็นซีซาร์ก็สามารถ รวบรวมอำนาจไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว ในสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนตินนี้มีเหตุการณ์สำคัญ เกิดขึ้น คือ 1. การตั้งเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งคือ คอนสแตนติโนเปิล ในไบซันทิอุม (Byzantium) เพื่อปกครองดูแลจักรวรรดิโรมันตะวันออก 2. การประกาศให้อิสรภาพแก่ชาวโรมันในการนับถือศาสนา และประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็น ศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน
นับจากนั้นจักรวรรดิโรมันก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่างเด็ดขาดคือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมและจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบซันทีน (Byzantine) มีศูนย์กลาง อยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดิทั้งสองมีจักรพรรดิปกครองเป็นของตนเอง จนเมื่อปีค.ศ.476 จักรวรรดิโรมันตะวันตก ก็ถูกโจมตีจนล่มสลาย นับเป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่ ในขณะที่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ยังคงรุ่งเรืองสืบเนื่องต่อไปจนกระทั่ง ค.ศ.1453
รูป(ที่อาจจะกล่าวได้ว่าน่าจะเหมือนที่สุด)จักรพรรดิที่สุสานในวัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 537 เมื่อ 30 ก.ย. 13, 10:39
|
|
งานสร้างวังจักรพรรดิเริ่มขึ้นในปี AD 293 แล้วเสร็จในปี AD 305 ผลที่ได้คือ วังในรูปลักษณ์ป้อมปราการ สร้างจากหินอ่อนและ limestone กำแพงล้อมรอบมีขนาด ยาว 170 - 200 ม. สูง 15 - 20 ม. พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมคางหมูขนาด 38,000 ตร.ม. มีประชากรอาศัยในวังราว 1,500 - 2,000 (ในพื้นที่ครึ่งหนึ่งของส่วนที่เหลือจากเขต พระราชฐาน) และในพื้นที่โดยรอบราวหนึ่งหมื่นคน (8,000 - 10,000 คน) จักรพรรดิไดอะคลีชั่นทรงใช้ชีวิตในวังกับครอบครัว, โดยมีข้าราชบริพารรับใช้และ นายทหารยศสูงจำนวนหนึ่งตลอดพระชนม์ชีพดังตั้งใจไว้ ไม่อาลัยหวนคืนสู่อำนาจสูงสุด ที่เคยครอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 538 เมื่อ 30 ก.ย. 13, 10:42
|
|
ในขณะที่วังโรมันที่อื่นๆ ต่างล่มสลาย, ถูกทำลายกลายเป็นซากชิ้นส่วนแทบ ไม่เหลือเค้า แต่วัง 1700 ปีแห่งนี้ยังยืนยงคงสภาพโครงสร้างไว้ได้จนถึงปัจจุบัน ได้รับการยกย่องให้เป็น the greatest Roman ruin in southeastern Europe และ the best preserved classical imperial palace in the world
เดินไป riva
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 539 เมื่อ 30 ก.ย. 13, 10:44
|
|
ริมทางเดินมีแบบจำลองเวียงวังตั้งไว้ ให้ภาพรวมของสปลิทเขตเมืองเก่า ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นอาคารโรมันดั้งเดิมนั่นคือวังไดอะคลีชั่น สุสานจักรพรรดิ กำแพงรอบ พร้อมประตูสี่ทิศ รวมทั้งบ้านพักอาศัยของยุคกลาง โบสถ์ และซอกซอย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|