มาถึงตอนนี้ พระเจ้าอยู่หัวและเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเห็นพ้องกันว่า ป่วยการที่จะทำความเข้าใจกับนายน๊อกซ์เสียแล้ว จึงตัดสินใจส่งคณะทูตพิเศษรีบเดินทางออกไปชี้แจงกับรัฐบาลอังกฤษในทันที เมื่อทูตออกไปแล้วจึงทำหนังสือถึงนายน๊อกซ์ว่า รัฐบาลสยามได้ส่งคณะทูตไปลอนดอน เพื่อชี้แจงต่อกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษในกรณีย์ที่รัฐบาลและกงสุลใหญ่อังกฤษมีความเห็นไม่ตรงกัน สุดแล้วแต่รัฐบาลอังกฤษจะมีความเห็นควรประการใด
นายน๊อกซ์คาดไม่ถึงว่ารัฐบาลสยามจะทำอะไรได้เร็วขนาดนั้น เมื่อไม่สามารถจะคัดค้านได้ทันการ ก็ต้องเลยตามเลย โดยทำหนังสือตอบไม่ขัดข้องกลับมา แต่ยังไม่วายที่จะขู่ว่า ไม่แน่ที่รัฐบาลอังกฤษจะต้อนรับคณะทูตสยามก็ได้ เพราะรัฐบาลกระทำข้ามขั้นตอนข้ามหัวเขา โดยไม่ทำหนังสือถึงกงสุลใหญ่ให้เห็นชอบและเสนอเรื่องไปที่รัฐบาลอังกฤษก่อน ต่อเมื่อทางลอนดอนตอบรับแล้วค่อยไป พร้อมกันนั้น นายน๊อกซ์ได้ขอสำเนาหนังสือราชการที่คณะทูตได้นำไปอังกฤษให้เขาได้ทราบความด้วย แต่รัฐบาลตอบปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อเกิดคดีความพระปรีชาขึ้นมาในตอนแรก แล้วนายน๊อกซ์ทำรายงานไปยังกระทรวงต่างประเทศอังกฤษนั้น รัฐบาลสยามก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเช่นกัน
ช่างโต้ตอบได้ถึงพริกถึงขิงดีแท้
นายน๊อกซ์คงลืมไปว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเตรียมการที่จะส่งคณะทูตให้นำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปถวายพระนางเจ้าวิกตอเรียมานานพอสมควร โดยทีแรกกะจะออกเดินทางตั้งแต่เดือนเมษา แต่ต้องเลื่อนเพราะทางอังกฤษแจ้งว่าพระนางเจ้าทรงพระประชวร ไม่พร้อมที่จะเสด็จออกรับคณะทูต ในเมื่อคณะทูตพร้อมที่จะเดินทางอยู่แล้ว จึงโปรดเกล้าให้ออกไปเลย ให้กงสุลสยามในลอนดอนแจ้งกระทรวงการต่างประเทศว่า จะไปหารือถึงกำหนดการใหม่ที่จะนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปถวาย ซึ่งรัฐบาลอังกฤษยินดีต้อนรับ แล้วจะถือโอกาสหารือกันเรื่องนายน๊อกซ์ด้วย
ดังนั้น เพื่อให้เหตุผลของฝ่ายไทยหนักแน่นที่จะไม่ปล่อยตัวพระปรีชา และลงโทษตามความผิด ก็จะต้องรีบทำการสอบสวนคดีความโดยเร็ว ให้ได้ผลก่อนที่คณะทูตจะเดินทางถึงกรุงลอนดอนได้ก็ยิ่งดี
ดังนั้น หลังจากนายน๊อกซ์เข้าเฝ้าได้เพียงวันเดียว ก็ได้มีพระบรมราชโองการให้คณะตุลาการ เบิกตัวพระปรีชาออกมาขึ้นศาลเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๔๒๒ ประเดิมในข้อหาเรื่องขาดถือน้ำพระพิฒน์สัตยาก่อน เพราะทุกคนคิดว่าเป็นคดีที่ง่ายที่สุดที่จะเอาผิดได้