SILA
|
ความคิดเห็นที่ 855 เมื่อ 16 ม.ค. 14, 11:23
|
|
รถจอดในบริเวณที่จอดรถชั่วคราวใกล้ทางเข้า ได้เค้าความคึกคักของเมืองท่องเที่ยว ยอดนิยมหน้าร้อน
ปี 2013 นี้มีข่าวว่าทางการดูบรอฟนิคได้ตระหนักถึงปัญหาความคับแคบแออัด ของเมืองในฤดูกาลท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยือนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยว ที่แวบมาวันเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 856 เมื่อ 16 ม.ค. 14, 11:27
|
|
เดินย้อนทางเดิมเมื่อเย็นวาน ผ่านป้อม Revelin, ท่าเรือเก่า, สู่ประตู Ploce เพื่อเข้าทางขึ้นกำแพงที่ถนนอารามดอมินิกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 857 เมื่อ 16 ม.ค. 14, 11:29
|
|
เมื่อมาอยู่บนกำแพง มองกลับไปยังฝั่งตรงข้ามที่อารามดอมินิกันแลเห็น หอระฆังสูงสง่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 858 เมื่อ 16 ม.ค. 14, 11:31
|
|
เบื้องหน้าคือหอ Asimon ปกป้องประตู Ploce และบันไดสู่กำแพงยกระดับสูง ฝั่งแผ่นดิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 859 เมื่อ 16 ม.ค. 14, 11:33
|
|
แนวกำแพงสูงทอดยาว รายเรียงด้วยหอเป็นระยะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 860 เมื่อ 16 ม.ค. 14, 11:36
|
|
ด้านขวามือคือภูเขาเซอร์จที่มีเคเบิ้ล คาร์พาสู่ยอดเขาโดยสะดวก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 861 เมื่อ 16 ม.ค. 14, 11:38
|
|
เบื้องหน้าแลเห็นอีกหนึ่งป้อมใหญ่แยกทางขวามือ และแนวกำแพงเหยียดยาวไกล จนอาจทำให้ผู้ที่มีปัญหาด้านไขข้อท้อได้ แต่ทิวทัศน์ของป้อมปราการ,บ้านเมือง และทะเล เขียวครามตื่นตาพาใจให้สู้
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 862 เมื่อ 20 ม.ค. 14, 09:39
|
|
สิ่งก่อสร้างยาวเหยียดใหญ่โตล้นสองตา แลตระการตั้งตระหง่านยืนยงทรงคุณค่า ทางประวัติศาสตร์ สามารถมองเห็นได้แต่ไกลนี้ คือสัญญลักษณ์ของดูบรอฟนิคเมืองมรดก โลกที่เพรียบพร้อมด้วยความงามและความแข็งแกร่งแห่งน่านน้ำเมดิเตอเรเนียน กอปรด้วยกำแพง ป้อม หอคอย ที่อยู่ยั้งยืนยงคงทนถึงปัจจุบันด้วยฝีมือของนายช่าง เชี่ยวชาญ และผลงานการดูแลรักษาซ่อมสร้างอย่างมีประสิทธิภาพโดยชาวเมืองและคนงาน ผู้รอบรู้ชำนาญ ภายใต้นโยบายฉลาดแยบยลของทางการในการประคับประคองเมืองให้ รอดพ้นจากการรุกรานทำลายโดยศัตรู ยังผลให้สิ่งก่อสร้างอลังการนี้คงสภาพทนทานผ่าน กาลเวลามาเนิ่นนานหลายร้อยปี
ป้อมปราการปกป้องปรปักษ์พิทักษ์เมืองเมื่อมองจากเคเบิ้ล คาร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 863 เมื่อ 20 ม.ค. 14, 09:56
|
|
ปูมประวัติแรกเริ่มเดิมทีย้อนไปไกลถึงตอนต้นยุคกลางจนถึงปลายศตวรรษที่ 8 กล่าวว่าชุมชนที่นี่ได้สร้างป้อมปราการหินปูนรายรอบเมือง แต่บางตำนานเล่าว่าบนพื้นที่นี้ มีปราสาทอยู่ก่อนแล้ว กำแพงที่ล้อมรอบตัวเมืองบนเกาะ Laus แต่เดิมนั้นเป็นรั้วไม้ จนถึงศตวรรษที่ 9 เมื่อพวกมุสลิมบุกมาถึงดูบรอฟนิค ประวัติศาสตร์บันทึกว่าเมืองนี้ มีกำแพงปกป้องอย่างดี สามารถต้านทานการรุกคุกคามได้นานถึง 15 เดือน
เมื่อขอบเขตเมืองได้ขยายออกไปทางตะวันออกของเกาะ ตรงบริเวณใต้/ตะวันออก ที่เรียกว่า Pustijerna(ภาษาละตินแปลว่า "นอกเมือง") ในเวลาต่อมากำแพงก็ได้ถูกสร้าง ให้โอบล้อมส่วนนี้เข้ามาไว้ในเมืองในช่วงศตวรรษที่ 9 - 10
มองย้อนกลับไปด้านหลัง แนวกำแพงจรดป้อมเซนต์ จอห์นที่ท่าเรือเก่า หอระฆังและ ยอดโบสถ์วิหารสูงล้ำเหนือหลังคาอาคารที่ปูด้วยกระเบื้องใหม่และเก่า เกาะ Lokrum เห็นเด่นไกลออกไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 864 เมื่อ 20 ม.ค. 14, 10:21
|
|
ต่อมาหลังจากที่ช่องแคบระหว่างเกาะกับเมืองถูกถมลงในศตวรรษที่ 11 ชุมชน เมืองเกาะและเมืองบกก็ได้รวมกันเป็นหนึ่งอยู่ในกำแพงเดียวกันในศตวรรษที่ 13(เว้นแต่ อารามดอมินิกัน ที่ได้เดินผ่านไปเมื่อบ่ายวานนี้) แผนผังเมืองเริ่มมีขึ้นในปี 1292 เมื่อทางการ ได้สร้างท่าเรือขึ้นใหม่หลังจากเกิดเหตุอัคคีภัย ต่อมาอารามดอมินิกันนั้นก็ได้ถูกกำแพงสร้างขึ้น โอบเข้าไว้ในศตวรรษที่ 14
หอระฆังอารามดอมินิกันสูงพ้นโดดเด่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 865 เมื่อ 20 ม.ค. 14, 10:26
|
|
รูปลักษณ์ของกำแพงในปัจจุบันนั้นเป็นตัวเป็นตนมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 หลังจาก ที่เมืองได้รับอิสรภาพจากเวนิส แล้วก่อขึ้นเห็นเป็นรูปร่างชัดเจนสมบูรณ์ในช่วงยุคทองของ ดูบรอฟนิค(ระหว่างปี 1453 เมื่อกรุง Constaninople ล่มสลาย - ปี 1667 ที่ดูบรอฟนิค ล่มราบจากเหตุแผ่นดินไหว) ตัวกำแพงสร้างจากหินและปูนขาวนี้มีความหนา 1.5 - 6 เมตร และเสริมการปกป้อง ด้วยป้อมสี่เหลี่ยม 15 จุดในศตวรรษที่ 14 ที่ในช่วงปลายศตวรรษยังต้องเร่งซ่อมแซมและ สร้างเสริมความแข็งแกร่งของกำแพงหลังจากที่ดูบรอฟนิคหลุดพ้นจากเวนิสแล้วตามมาด้วยภัย คุกคามจากออตโตมานที่สามารถยึดกรุง Constantinople ได้สำเร็จ
ภาพป้อม Revelin และกำแพงด้านบก(จากเน็ท)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 866 เมื่อ 20 ม.ค. 14, 10:29
|
|
ในปี 1453 ชาวเมืองและชนชั้นนำทุ่มเทร่วมแรงกันเสริมความแข็งแกร่งของกำแพง โดยเฉพาะทางด้านติดกับแผ่นดิน นอกจากนี้ยังมีการสร้างหอ, ป้อมรูปครึ่งวงกลมเสริมเพิ่ม เติมจนแล้วเสร็จในเวลาไม่ถึง 3 ปี
ภาพภูเขาเซอร์จสูง 419 ม. ทางด้านขวามือ คือปราการธรรมชาติแต่ไม่อาจกั้นการคุกคามของออตโตมานได้ มงกุฎครอบยอดภูคือป้อม Imperial Fortress (ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่นโปเลียน) ผลงานของนายพล Marmont แห่งกองทัพนโปเลียนที่เข้ายึดครองดูบรอฟนิคระหว่างปี 1806-10 เมื่อกองทัพรัสเซียบุกระดมโจมตีกำแพงด้วยกระสุนปืนใหญ่ ดูบรอฟนิคตัดสินใจใช้ อุบายให้สองศัตรูฟัดสู้กันเอง โดยยอมให้กองทัพฝรั่งเศสผ่านเข้าเมืองเพื่อต่อกรกับรัสเซีย แต่หลังจากที่รบชนะเแล้วทัพฝรั่งเศสก็ถือโอกาสยึดครองดูบรอฟนิคต่อไป ทำให้ความเป็น รัฐพาณิชย์อิสระของดูบรอฟนิคที่ยืนยาวนานหลายศตวรรษต้องถึงกาลสิ้นสุดลง ในปี 1991 พวกเซิร์บระดมยิงกระสุนระเบิดลงมาจากเขาเซอร์จ กระเช้าไฟฟ้าที่พา นักท่องเที่ยวขึ้นไปบนเขาสูง 1300 ฟุตถูกทำลายเสียหาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 867 เมื่อ 20 ม.ค. 14, 10:32
|
|
การสร้างเสริมการป้องกันเมืองยังคงดำเนินต่ออย่างเต็มที่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 โดยเฉพาะกำแพงด้านบก ระบบการปกปักพิทักษ์เมืองได้ถูกขยายเขตและปรับปรุงให้ทันสมัย ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 เพื่อป้องกันการรุกรานจากเตอร์คและภัยแฝงจากเวนิส ผลที่ได้คือกำแพงสูงใหญ่แข็งแกร่งแน่นหนาที่ไม่สึกกร่อนสะเทือนเมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในปี 1667 อีกสิ่งสำคัญในการปกป้องเมืองนอกเหนือไปจากป้อมปราการ คือปัญญาชาญฉลาด ดูบรอฟนิคสามารถรักษาความเป็นรัฐอิสระไว้ได้โดยการดำเนินนโยบายทางการทูตด้วยกโลบาย อันแยบยลกับมหาอำนาจทั้งสองที่มุ่งหมายปอง(เวนิสและเตอร์ค) การทำสนธิสัญญากับเตอร์ค ส่งผลให้คงบทบาทเมืองท่าทางการค้าหลักระหว่างออตโตมานกับยุโรปไว้ ทั้งนี้บางครั้งก็ยังต้อง อาศัยกลวิธีส่งบรรณาการหรือการติดสินบนให้แก่แต่ละฝ่ายด้วย
อนุสรณ์แห่งความภาคภูมิใจในบรรพชนชาวดูบรอฟนิคที่ได้ร่วมมือร่วมใจกัน รักษาบ้านเมืองอันรุ่งเรืองไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 868 เมื่อ 20 ม.ค. 14, 10:34
|
|
ตัวกำแพงที่โอบล้อมเมืองไว้เป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานที่ไม่ตรงแน่วสม่ำเสมอ กำแพงบางช่วงมีความสูงถึง 25 ม.ด้านชายทะเลมีความหนา 1.5 - 3 ม. ส่วนด้านแผ่นดินหนา 4 - 6 เมตรและยังเสริมด้วยกำแพงลาดตรงช่วงล่างเพื่อกันกระสุน ปืนใหญ่
เมื่อเดินไปสักพักก็เริ่มตระหนักถึงอากาศที่ร้อน ฟ้าใสๆ ปล่อยแสงแดดยามสายส่องลงทางเดิน บนกำแพงที่ไร้ร่มเงาอย่างเต็มๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 869 เมื่อ 22 ม.ค. 14, 10:46
|
|
กำแพงที่โอบรอบพารานี้ มีตำแหน่งที่เป็นชัยภูมิสำคัญสี่แห่ง ณ สี่จุดยุทธศาสตร์นี้ ได้มีการสร้างเสริมการปกป้องด้วยหอ,ป้อมสี่มุมเมือง นั่นคือ ทิศตะวันออกบริเวณท่าเรือเก่า มีป้อมแยก Revelin กั้นสะกัดทางเข้าเมืองและ ท่าเรือ ทิศใต้/ตะวันออกเป็นป้อม St John ขนาดมหึมาน่าเกรงขามเหนือน่านน้ำสีคราม ส่วนทิศเหนือคือ
หอ Minceta Tower
หมุดหมายที่กำลังมุ่งหน้าไปถึงตามทางเดินชันสู่หอคอยที่เห็นเด่นเป็นสง่าด้วยขนาด และตำแหน่ง ณ จุดสูงสุดของเมืองที่กำแพงฝั่งบกด้านทิศเหนือ/ตะวันตก
ภาพจากหนังสือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|