เรือนไทย

General Category => ภาษาวรรณคดี => ข้อความที่เริ่มโดย: จิตแผ้ว ที่ 03 มี.ค. 06, 06:04



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 03 มี.ค. 06, 06:04
 เกิดเป็นชายอย่าหยามชายให้ขายหน้า
ต้องรักษาศักดิ์ชายไว้ลายเสือ
ต้องชัดเจนโปร่งใสใช่คลุมเครือ
ชายชาติเสือต้องรู้รักศักดิืศรีชาย
 เป็นยอดชายต้องใฝ่ในความสัตย์
 ต้องเคร่งครัดในวจีเป็นที่หมาย
 ต้องรักษาวาจาของยอดชาย
 พูดคำไหนเป็นคำนั้นนั่นแหละชาย
เกิดเป็นชายใช่ตะแบงแทงด้วยลิ้น
เที่ยวหยามหมิ่นเหยียดชายให้เสียหาย
ชาติไหนไหนไม่ควรเกิดเป็นชาย
ถึงคราตายตกนรกอเวจี
 ชายเหนือชายต้องเชิดชายให้มีชื่อ
 ให้ระบือชื่อชายไว้ศักดิ์ศรี
  ชายต้องอุดหนุนชายให้ได้ดี
  ชายเช่นนี้ที่เห็นกันนั่นแหละชาย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 03 มี.ค. 06, 09:57
 หัวข้อกระทู้ตั้งใจจะสื่ออะไรคะ เห็นหัวกับไส้ไม่สามัคคีกัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 03 มี.ค. 06, 10:32
 เป็นนักกลอนก็ต้องแต่งกลอนซีจ๊้ะ แต่งกลอนมาแบ่งกันอ่านไม่จำกัดเนื้อหาขอให้เป็นกลอน
ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว คงพอเข้าใจ นะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 03 มี.ค. 06, 10:49
 เกิดเป็นคนเพศใดอะไรแน่
เป็นชายจริงหญิงแท้น่าสรรเสริญ
บางเพลาเยินยอชายมากเหลือเกิน
พอเพลิดเพลินออกแต๋ว..อ้าว... แล้วกัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 03 มี.ค. 06, 13:29
 พี่เป็นชายชาติเชื้อเนื้อทองแท้
ห่วงก็แต่กานดาน่าสงสัย
ดี้หรือทอมจอมนางกลางดวงใจ
วานขานไขให้รู้รอบช่วยตอบที


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 03 มี.ค. 06, 14:29
 อันที่จริงตุ๊ดหรือไม่ไม่ใช่เรื่อง
ที่ต้องเปลืองหัวคิดพินิจถึง
ลักเพศเพี้ยนพิศคิดคะนึง
ครูบาพึงเป็นแบบอย่างเยาวชน
****************
คุณจิตแผ้ว
ช่วงเดือน ธ.ค. 48 ขณะที่บอร์ดเรือนไทยกำลังไล่ตัวป่วน ที่เป็นชายแต่ปลอมเป็นหญิงเข้ามาก่อกวน
ซึ่งเราเรียกเขาว่าพ่อ "จิตป่วย" จู่ๆก็มีสมาชิกใหม่เอี่ยม ใช้นามว่า "จิตแผ้ว" ตรงรี่เข้าไปที่บอร์ด
แสดงความยินดีปริญญาดุษฎีบัณฑิต อาจารย์เทาชมพู และเขียนกลอนให้ท่าน
อีกประเดี๋ยวอาจารย์เขียนใน ค.ห. 60 ว่า

ความเห็นเพิ่มเติมที่ 60
ดิฉันขอลบกลอนของสมาชิกใหม่ ที่เข้ามาโพสต์ในกระทู้นี้
เพราะเห็นว่ามีนัยกระแหนะกระแหนมากกว่าแสดงความยินดี
โดย: เทาชมพู  [IP: hidden]
วันที่ 17 ธ.ค. 2548 - 09:03:06
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=19&Pid=41236
**************
ด้วยเหตุนี้ กระทู้หรือโพสต์ที่มาแหวกแนวกว่าปกติ จึงถูกจับตามองค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 03 มี.ค. 06, 17:37
 กลอนบทนั้นจำคำตรงๆไม่ได้ค่ะ
แต่มีความหมายว่า ค่าของครูไม่ได้อยู่ที่มีเงินทองมาก
มีเกียรติยศศักดิ์ศรีสูง หรือว่ามีปริญญาเอกโทตรี
แต่ว่าอยู่ที่หมั่นทำความดี......ฟังแล้ว เสียดสีถากถาง

เป็นสมาชิกใหม่เอี่ยมเพิ่งโพสต์กระทู้แรก ตรงรี่มาที่กระทู้เฉพาะกิจ
แล้วแสดงความยินดีด้วยนัยเหน็บแนมด่าว่ามากกว่าชม

คนอื่นเขาแสดงความยินดีที่ท่านอาจารย์เทาชมพูได้ปริญญา
"จิตแผ้ว" เกิดบอกว่าปริญญามันไม่ได้พิสูจน์ค่าของครู
มันคนละเรื่องกันไหมคะ จะเรียกว่ายินดีด้วยได้ยังไง

หลังจากลบแล้ว อาจารย์บอกสาเหตุว่าทำไมจึงลบ  
"จิตแผ้ว" ก็หายไปเลยจากเรือนไทย นับแต่วันที่ 17 ธ.ค. 48
โผล่มาอีกที ก็มาคะคะ ขาขา ดังที่เห็นข้างบนนั่นแหละค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: สู่ฝัน ที่ 03 มี.ค. 06, 21:01
 ว่าจะเข้ามาเขียนกลอนมั่ง ดันกลายเป็นโขนตอนยกรบไป

ลาดีกว่า

   


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 03 มี.ค. 06, 21:50
 คุณจิตแผ้วเปิดกระทู้ จะมิกล่าวนำอะไรซักหน่อยหรือ
ยกเอากลอนมาเป็นดุ้นๆแบบนี้ ใครจะเห็นดีเห็นงามด้วยคงน้อยนัก
อยากเปิดกระทู้จะมีความหมายนัยตรง นัยประแอบแฝงอะไรก็เล่ามาเถิด




ขอบพระคุณ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 04 มี.ค. 06, 09:44
 ชี้แจงให้ทราบ
คุณ Nuchana ผมเป็นครูบ้านนอกสอนวิชาภาษาอังกฤษมา21ปี แต่ก็ยังรักความเป็นไทยสนใจเรื่องกาพท์กลอนอยู่พอสมควรผมมักจะพก
สมุดโน้ตเล่มเล็กๆติดกระเป๋าเสมอไว้คอยจดบทกลอน วลี ประโยคที่มี
ความหมายมีความไพเราะ บางชิ้นเอาไว้เตือนใจตนเอง อย่างเช่น บทกลอนที่เกี่ยวกับครู ของอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์และบทที่ส่งไปแสดงความยินดีกับ คุณเทาชมพู ซึ่งบทกลอน2บทนี้ถ้าอ่านอย่างผิวเผินก็จะมีความรู้สึกว่าเป็นการกระแนะ
กระแหน ประชดประเทียด การที่ครูผู้ชายหรือผู้ชายโดยทั่วไปใช้สรรพนามแทนตนเวลาพูดกับผู้หญิง
ว่า เข้าใจไหมคะ มิได้หมายความว่า เพศชายตนนั้นมันจะเป็นตุ๊ดหรือแต๋วอย่างที่คูณเข้าใจ
ผมเพิ่งเป็นสมาชิกใหม่ ของ วิชาการ.คอมแต่ติดตามอ่านมาเป็นปีเท่ากับเวลาที่ซื้อคอม. และพอจะ
เริ่มเข้าใจเรื่องอินเตอร์เน็ต ผมสมัครสมาชิกโดยใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง ที่ทำงานจริง เป็นสถานที่ราชการ เป็นโรงเรียนผมบริสุทธิ์ใจ นามแฝง จิตแผ้ว ตัดทอนมาจาก ผ่องแผ้ว
ไม่ใช่ จิตป่วน หรือจิตป่วย อะไรของใคร นามแฝงที่น่าจะเป็นหญิงแต่เขาก็ชายน่าจะเป็น ศรีปิงเวียง จากเชียงใหม่ ต้องกราบขออภัยที่พาดพิง ปิงคือแม่น้ำ้ เวียงคือเมือง
และเชียงใหม่คือบ้านแห่งที่2ของผม ผมเรียนวิทยาลัยครูที่นั่นสมัย
ท่านอธิการ บุญจันทร์ วงศ์รักมิตร
การสอนหนังสือเด็กต่างจังหวัดเหนื่อยหน่อยนะคุณ จึงไม่ค่อยมีเวลา
มาโพสมาแพสอะไรแต่ก็พยายามอยู่ส่วนมากจะไปที่ หัวข้อครูอาจารย์ครับไม่ได้หายไปไหนและผมไม่รู้เลยว่ามีการลบการเพิ่ม
ข้อความพูดไปก็เหมือนดัดจริตผมเพิ่งพอเป็นขณะนี้ที่พิมพ์นี้ก็ต้องจิ้มเอากว่าจะได้
แต่ละตัวบางทียังไม่เสร็จเน็ตหมดเวลาต้องเสียเงินเพิ่มจาก3เป็น6บาท
ผมเพิ่งร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์มาได้ไม่ถึง50ครั้งหวังอยากได้มีโอกาส
พานพบกัลยาณมิตรเหมือนอย่างใครอื่นบ้างเพราะเว็ปนี้ชื่อก็บอกว่า วิชาการ เป็นที่รวมพลคน บัณฑิต  "ขุนเขาไม่สะเทือนเพราะแรงลมฉันใด บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวเพราะนินทาหรือสรรเสริญฉันนั้น"
ถ้าไม่ให้โอกาสกันหรือเห็นว่าคนบ้านนอกอย่างข้า (ชื่อนี้ได้มาจากชื่อหนังสือนวนิยายของคุณนิเวศน์ กันไทยราษฎร์)
มีคุณสมบัติไม่เพียงพอกรุณาลบชื่อออกจากการเป็นสมาชิกโดยพลัน
  โลกนี้มิอยู่ด้วย      มณีเดียวนา
ทรายและสิ่งอื่นมี      สว่นสร้าง
ปวงธาตุต่ำกลางดี      ดุลยภาพ
ภาคจักรวาลมิร้าง      เพราะน้ำ แรงไหน

  ภพนี้มิใช่หล้า        หงส์ทอง  เดียวเลย
กาก็เจ้าของครอง      ชีพด้วย
เมาสมมติจองหอง     หีนชาติ
น้ำมิตรแล้งโลกม้วย   หมดสิ้น สุขศานติ์
                        (โลก  อังคาร กัลยาณพงศ์)
      สงสัยต้องโดนลบอีก
  คุณ ติบอ
      ขอบคุณหลาย ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เปิดกระทู้ผมเข้าอ่านของท่านก่อนแต่เห็นบอกว่า
ปิดกระทู้ตอนแรกว่าจะแจมด้วยแต่เพราะยังใหม่ไม่รู้จักใครสักคน
เห็นโต้ตอบกันด้วยบทกลอนดีครับจะได้ลับสมองและรักษาสมบัติชาติ
แต่รู้สึกว่าจะอยู่ในวงจำกัด
"FORGIVENESS IS THE KEY THAT UNLOCKS THE DOOR OF
RESENTMENT AND THE HANDCUFFS OF HATE.IT IS A POWER
THAT BREAKS THE CHAINS OF BITTERNESS AND THE SHACKLES OF SELFISHNESS.คัดลอกมาจากที่ไหนสักแห่งครับกระทู้ผมไม่มีันัยใดๆใครอยากเขียนกลอนก็ขอเชิญชวนด้วยมตรไมตรี
กราบเรียน คุณเทาชมพู
  ผมไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัวแต่มนุษย์คนหนึ่งใช้ความสามารถแห่งตน
สร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่ยอมรับของสังคมจนได้ระดับขั้นมาสเตอร์ดีกรีย่อม
เป็นที่ชื่นชมหากบทกลอนเจ้าปัญหานั้นทำให้ท่านและหลายๆท่านรู้สึกขุ่นมัวผมต้อง
กราบขอขมามันคงไม่ถูกกาลเทศประมาณนั้น ผมคงไม่บังอาจส่งให้ใครอีกขอเก็บไว้เตือนสติตนเองดีกว่า
ผมไม่มีเจตนาเข้ามาป่วนกวนใคร และไม่มีประโยชน์ที่จะมาวิวาทะกัน
ให้สิ้นเปลืองทรัพยากรหากมีข้อแนะนำเป็นการส่วนตัวเรียนเชิญที่
jormkhon@yahoo.com
                                    ขอขอบพระคุณที่ให้การเอื้อเฟื้อ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 มี.ค. 06, 10:52
 ท่าทางคุณจิตแผ้วจะเป็นคนอารมณ์ร้อน      ดิฉันจะไม่ชี้แจงอะไรละค่ะ     จะกลายเป็นการเถียงกันไปในเรื่องไร้สาระ
อะไรต่อมิอะไรที่ยกมานั้น   เป็นคำคมที่ดีแต่ว่าใช้ในสถานการณ์ที่ผู้รับ(คือดิฉัน)รู้สึกว่าแสลงหู      แต่ก็มองในแง่ดีว่าคนอาชีพครูก็มักจะติดความเคยชินที่ชอบอบรมว่ากล่าวคนอื่นๆ  ไม่คิดว่าเป็นยาขมหรือว่ายาหวาน   ไม่เลือกว่าป้อนเข้าไปดีๆ หรือจับกรอกปากให้สำลัก

ก็ขอให้คุณถือว่าคุณมีเจตนาดีก็แล้วกัน  ถ้าดิฉันรับไม่ได้หรืออ่านแล้วยังไม่รู้สึกดีขึ้น  ก็เป็นเรื่องที่ดิฉันจะหาทางออกให้ตัวเองเอาเอง  
ไม่มีใครจะไปลบสมาชิกภาพของคุณ   คุณจะเข้ามาตอบในเรือนไทยได้ตราบใดที่ไม่ผิดกฎกติกามารยาทของเว็บ
ใครอยากจะต่อกลอนกับคุณก็ทำได้ตามสบาย    ไม่มีใครห้าม

สุดท้ายนี้  ดิฉันไม่ได้มาสเตอร์ดีกรีค่ะ  แต่ได้อะไรก็ไม่ใช่ประเด็นใหญ่  เพียงแต่ขอแก้ให้ถูกเท่านั้น้


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 04 มี.ค. 06, 12:22
 คุณจิตแผ้ว
คัดข้างล่างมาให้ดูค่ะ เอาเป็นว่าขณะที่เรากำลังไล่กวดขโจรอยู่ คุณบังเอิญก้าวเข้ามาในเรือนไทย
จึงเจอ "friendly fires" เฉียดๆเท่านั้น เราก็ไม่ได้ตามไปราวีตีรวนกับคุณที่ไหน
แค่จับขึ้น "watch list" เท่านั้น ดูวันที่แล้วจะทราบว่ามันประจวบกันพอดีค่ะ

โลกในเน็ตเป็นโลกแห่งไร้หน้าไร้ตัว คงมี casualties เกิดขึ้นโดยความไม่ตั้งใจในอีกหลายกรณี
******
หรือประจานให้ผู้ร่วมงานรู้ว่าเพื่อนเขาเป็นคนจิตป่วย จะได้ช่วยกันดึงๆ อย่าให้มาเพ่นพ่านเกเรในสังคม
โดย: Nuchan  [IP: hidden]  
วันที่ 14 ธ.ค. 2548 - 08:19:19


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 04 มี.ค. 06, 13:07
 ต้องขอขอบคุณคุณจิตแผ้วด้วย ที่ได้ออกมาชี้แจงแถลงไขเรื่องกระทู้นี้ที่คุณเปิดมา
และทำให้ผมแอบดีใจอยู่เล็กๆ ที่กระทู้ของผมได้เป็นแรงบันดาลใจให้คุณมาเปิดกระทู้นี้ขึ้น

ส่วนเรื่องที่แล้วไปแล้ว ผมอยากขออนุญาตขอคุณ ว่าให้คุณถือซะว่าเป็นเรื่องการเข้าใจผิดเถิดนะครับ
โลกที่เห็นหน้าเห็นตัว พูดคุยกันได้ยินเสียงเห็นสีหน้า เรื่องเข้าใจผิดยังมีกันมากมาย
แล้วโลกที่พิมพ์ข้อความกันผ่านตัวอักษร เสียงก็ไม่ได้ยิน สีหน้าก็ไม่เห็น จะไม่เข้าใจผิดกันง่ายกว่าหรือ



ขอบพระคุณครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Nuchana ที่ 04 มี.ค. 06, 15:15
 ค.ห. ที่ 12
.....ให้คุณถือซะว่าเป็นเรื่องการเข้าใจผิดเถิดนะครับ

มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด เพราะเราไม่ได้กล่าวหาใครผิดๆ
เราสงสัยใคร เราก็เก็บคนนั้นให้อยู่ในข่ายเฝ้าระวัง "watch list" อย่างเงียบสงบของเรา

กลอนบทนั้นดิฉันอ่าน ก็จี๊ดขึ้นหัวว่าเขียนมาได้อย่างไรเนี่ย
กลับไปมองอีกที อ้าว...อาจารย์ลบไปแล้ว ดิฉันต่อว่าอาจารย์เล็กน้อยว่า แหม..อาจารย์ไม่น่ารีบลบเลย

มันเป็นเรื่องที่ผู้รับกลอน รู้สึกว่าแสลงหูเพราะกลอนออกทางกระเเหนะกระแหนจริงๆ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 04 มี.ค. 06, 23:03
 ใครลืม ลืมใคร ใจรู้
ใครอยู่ ใครไป ใจเห็น
ใครสุข ใครเศร้า เช้าเย็น
ใจเป็น ที่แจ้ง แห่งเรา
 ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
  ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
  ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
   ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ
                   ชาญ สิโรรส


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ต้นกล้าเป็นspy ที่ 05 มี.ค. 06, 21:55
 สื่อถึง?


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 05 มี.ค. 06, 22:26
 จิตเราร่มเย็นจริงหรือ .... จิตถือคือมั่นพลันขอ
จิตชวนป่วนจิตคิดคลอ ...จิตจ้อเจ๊าะแจ๊ะแคะคำ
ใครชวนใครชี้เชิงกลอน.. ใครอ้อนใครสอนค่อนขำ
ใครชี้ใครเชิญเพลินคำ.... ใครจำไม่ได้ใครเป็น


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: เนยสด ที่ 05 มี.ค. 06, 22:32
 ผ่านมาอ่านครับ
ช่วงนี้คิดกลอนไม่ค่อยได้ครับ
สงสัยต้องกลับไปฝึกเพิ่ม อิอิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 05 มี.ค. 06, 22:56
 ริจะเป้นนักกลอน อย่านอนเล่น
คอยหลบเร้นอ่านกระทู้ดูภาษา
โปรดตอบถ้อยกล่าววจีมีวาจา
ใช้ภาษาแต่งคำลำนำกลอน

ริจะเป็นนักกลอนอย่านอนนิ่ง
มัวประวิงนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน
จะมีหรือครูไหนให้มาสอน
คงขาดตอนทั้งคำกลอนทั้งคำความ




นึกไม่ออกแล้วครับ คืนนี้หมดเวลาแล้ว สงสัยต้องขอลาไปก่อนล่ะครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 06 มี.ค. 06, 19:20
..... รักจะเขียนเพียรเข็นเป็นคำกลอน ........ ความมาก่อนในใจให้เฉลย
เรียบเรียงถ้อยร้อยความคิดอภิเปรย ........... เป็นคำเอ่ยวาจาที่น่าฟัง
แล้วเฟ้นคำสัมผัสจัดเสียใหม่ .................... ขยับใช้ไวยพจน์กฎที่หวัง
สัมผัสนอกสัมผัสในให้ระวัง ......................ส่งเสียงดังกังวานขานขับไป
อ่านกลอนเก่าคำกวีที่ไพเราะ ......................ฟังเสนาะสำเนียงเสียงขานไข
แล้วพากเพียรร่ำเรียนเลียนแบบไป ............. จินตนาการเติมให้เป็นของเรา
อารมณ์โกรธอารมณ์กลุ้มอารมณ์รัก............ ยามอกหักผลักให้ใจหงอยเหงา
จงบรรเลงเพลงกลอนค่อนขัดเกลา ............. จะบรรเทาเพลาลงปลงในกลอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 21 มี.ค. 06, 09:44
 ขอบพระคุณที่หนุนสร้างทางความคิด
ช่วยลิขิตแบบอย่างทางแห่งฝัน
เติมแรงไฟให้เห็นเป็นสำคัญ
ครูนิรันดร์แนะแนวทางสร้างนักกลอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ศนิ ที่ 21 มี.ค. 06, 20:14
 บรรจงจดท่วงถ้อยทั้งรอยลักษณ์
ตรึงตระหนักในคำที่พร่ำสอน
แล้วเรียงร้อยถ้อยพจน์เป็นบทกลอน
ให้อักษรร่ายรำตามคำครู


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 23 มี.ค. 06, 15:20
 ... กวี ก่น .   เกลา กล กลอน .  เกื้อ กูล กล่อม
ข้าฯ ขอ ค้อม .  ขาน ขบ ความ .  คำ ครู เขียน
งาน ง่าย งาม .  ตาม  เงา  ครู .  "  รู้ และ เพียร "
จวบ จน เจียน .  จิต จบ จุล .  จัก จด จำ ...

...  ขอบพระคุณ อาจารย์นิรันดร์ รวมทั้ง อาจารย์ และผู้ชี้แนะทุกท่านครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 23 มี.ค. 06, 17:31
 คุณหมูน้อยครับ ผมติดใจรูป ละอ่อนน้อย ในความเห็นที่ 22 ครับ
ละอ่อนน่อยน่าฮักแต๊หลาย เป๋นลูกไผใคร่ฮู้แต๊นอ ไหว้สางาม ๆ แต๊เน่ออีพ่อ มารยาทนั้นนอสำคัญแต๊นา
ป.ล. ช่วงนี้ยังงนึกฉันทลักษณ์ไม่ออกครับ ขอชมสาวน้อยก็แล้วกันครับ
จะคอยดูครับ ว่าคุณหมูน้อยจะปั่นกระทู้พอ ๆ กับ อ.นิรันดร์หรือเปล่าครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 23 มี.ค. 06, 18:11
 .."   งาม ใด ใด ห่อน สู้ .........  งาม ใจ
งาม อื่น หมื่น พัน ใด ..........   ไป่ สู้
งาม  รูป อาจ แปร ไป ..........   เป็น อื่น
งาม จิต มารยาท รู้ ..............   เพริด พริ้ง สถาพร "

" ละอ่อนดี มีมารยาท งดงาม  ไปตี๋ไหน ไผ๋ เปิ้นก็ชื่นชม ไปเถิง ป๋อ เถิงแม่ ลูกเต้าเหล่าไผ๋ ก็มีคนอยากฮู้ เถิงเจี้อ เถิงจาด ขนาดคุณศรีฯ พอได้หัน ก็ยังถามเถิง
เป็นป๋อเป็นแม่ ก็ จื่นอ๊ก จื่นใจ๋ "

คงยากครับที่จะตามอาจารย์ท่านทัน (โดยปกติก็แค่ได้อยากเดินตาม ไม่ค่อยอยากวิ่งแข่งกับใครเขา)  ผมแอบอยู่ในกะลาเฝ้าฟังเรื่องดีๆจากบนเรือน อยู่ใต้ถุนเรือนมาก็นาน พอดู
แต่ไม่ค่อยได้แหลมหน้ามา ออกมาเสวนากับใครเขาหรอกครับ  อายความรู้ตน..
นานๆจะออกมา สูดอากาศ เย็นๆสักที  เครื่องบินก็เลยยัง บินได้ไม่พ้นใต้ถุนเรือน   แต่ก็พอใจ จะให้เป็นเช่นนี้ครับ
ขอบคุณที่อุตส่าห์ก้มลงมาทักทาย จากยอดเขาครับ คุณศรีฯ ต้องขอตัวมุดกลับในกะลาก่อนล่ะครับ สรีสวัสสดีครับ.


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 24 มี.ค. 06, 07:50
 ขอยกสิบนิ้ว ก๋างกิ้วเกศา น้อมนบวันทา ครูบาท่านไท้ ครูสอนแต่น้อย
จวบจนเติบใหญ่ กึดเติง เมื่อใด น้ำ้ต๋าไหลย้อย สำนึกบุญคุณ ครูสอน
จ้อย จ้อย ฮื้อละอ่อนน้อย นั้นเป๋นคนดี เมื่อก่อนเกยโขด ตี้ครูบุบตี๋ มาในวันนี้ กราบลงแทบเท้า ฮุ้ว่าครูฮัก จ้าดนักแต้เล่า ขอครูของเฮา
โปรดจงอภัย อายุยืนยาวเต้า อสงไขย พลานามัยสมบูรณ์ทั่วหน้า เน้อ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 24 มี.ค. 06, 15:34
 คุณหมูน้อยครับ ไม่ต้องนั่งมุดกะลาใต้ถุนบ้านก็ได้ครับ
ลุกขึ้นมาแอบที่ชานเรือนเอา จะได้สบาย ๆ ไม่ต้องคลุกฝุ่นครับ
ป.ล. ไว้คราวหลัง ผมจะแวะมาใหม่ครับ ตอนนี้หมดมุกแต่งกลอนครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 27 มี.ค. 06, 06:49
 เสืยงหมาหอนเกรียวกราวทั่วราวป่า
เดือนลับลาดาวร่วงหล่นทนขื่นขม
โอ้อกเอ๋ยทำไมหนามาระทม
แสนโศกตรมบ่มเศร้าเคล้าน้ำตา
 คืนวันนี้ไม่มีเื่พื่อนเหมือนวันนั้น
 วันที่เราร่วมกันสุขหรรษา
 ฟื้นความหลังฟังเรื่องเล่าเก่าก่อนมา
 ชื่นอุราพากันชวนม่วนร้องเพลง
กีต้าร์เก่าเกาบทเพลงบรรเลงเสนาะ
ร่วมตีเกราะเคาะกาละมังดังโฉงเฉง
คืนนี้ใยจึงเหงาเงียบเชียบวังเวง
คนกันเองมาลาไกลไป กทม.
 โอ้เพื่อนเอ๋ยเพื่อนยามาพลัดพลาก
  อำลาจากเพื่อนไปเป็น สส.
  อีกไม่นานคงได้เป็น รมต.
  ปล่อยคนรอเป็นชาวนาตาดำๆ
เสียงหมาหอนบนราวไพรในวันนั้น
คนโจษจรรย์ทั่วพาราดูน่าขำ
แบงค์ แดง เขียว เทา ม่วง ร่วงเป็นกำ
เพื่อนเราทำหยามค่าประชาชน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 27 มี.ค. 06, 09:49
 แก้ไขข้อผิดพลาดจาก พลัดพลาก ใน ความเห็น ที่ 27 เป็น
พลัดพราก


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรนารี ที่ 30 มี.ค. 06, 02:57

เมื่อริเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
กลอนกานต์กล่าวไหวหวานงานฝึกฝน
นิราศร่ำลำนำร้อยค่อยฝึกตน
กล่อมกมลดลสันดานงานกวีฯ

เมื่อริเป็นนักกลอนอย่าอ่อนหัด
เชิงต้องจัดจ้านเจ็บเหน็บลิ่นปี่
คารมร้ายย้ายโยกโขกราวี
ย้อนต่อตีศอกอักษรกลอนนักเลงฯ

เมื่อริเป็นนักกลอนต้องนอนฝัน
ให้รางวัลอารมณ์บ่มพิศเพ่ง
พิศวาส บาดจิต นิมิตเอง
ละเลงจินต์กวีคลี่โลกงามฯ

เมื่อริเป็นนักกลอนต้องร้อนรัก
คือแรงผลักผลิตคิดวาบหวาม
พลังรักผลิดอกงอกลุกลาม
ลือถึงสามโลกสิ้น....จิตนาการฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรนารี ที่ 30 มี.ค. 06, 02:58
 เมื่อริเป็นนักกลอนต้องร้อนรัก
คือแรงผลักผลิตคิดวาบหวาม
พลังรักผลิดอกงอกลุกลาม
ลือถึงสามโลกสิ้น....จินตนาการฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 31 มี.ค. 06, 16:51
 ...............มิได้คิดจิตจินต์ถวิลกลอน
...............แต่ใช้ผ่อนสติดำริได้
...............เวลาเศร้าเหงาใจไม่สบาย
...............เขียนกลอนลงสาธยายเป็นลายมือ
เวลารักมักพร่ำคำกลอนบอก
พูดไม่ออกก็ไขเป็นลายสือ
เมี้ยนกระมิดปิดซองแล้วร้องอือ
ให้เธอถือไปอ่านที่บ้านเอง
...............เวลาแค้นแค่นโกรธถึงโคตรเง่า
...............เขียนด่าเขาเว้าเป็นกลอนผ่อนข่มเหง
...............เกลียดเท่าใดใช้กลอนช่วยบรรเลง
...............ไม่กระเตงทิ้งลงถังผงไป


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 31 มี.ค. 06, 17:44
 เขียนขีดกรีดกวนสำนวนสะบัด
ข้องขัดจริงหนอไม่พอขยาย
ความคิดไปก่อนกำจรกระจาย
แต่ลายกลอนอ่อนด้อยร้อยไม่ทันใจเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 02 เม.ย. 06, 07:39
 ชอบกลอนในตวามเห็นที่24ค่ะ เพราะดี กลอนท่านอื่นๆก็เพราะ
นะคะฝีมือทั้งนั้น  ลิตเติ้ลก็ชอบแต่งกลอนค่ะ แต่ยังอ่อนหัด

อยากทำใจให้เย็นเฉกเช่นดังสายน้ำ
ดูชุ่มฉ่ำเวลาใครผ่านเข้ามาพบเห็น
อยู่ใกล้ด้วยแล้วให้ความรู้สึกเย็น
ฤาจะเป็นฝนพรำเวลาเธอร้อนใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 03 เม.ย. 06, 14:22
 เกรงว่า คห.ที่24 จะเรียกว่า โคลงสี่สุภาพ ครับผมคุณลิตเติ้ล
กลอนเพราะดีครับ เข้าใจใช้คำ แต่ถ้าทำเป็นกลอนแปดจะมี ทำนองไพเราะกว่า (ผมก็พูดไปอย่างงั้นแหละ เรื่องนี้ต้องให้อาจารย์นิรันดร์ท่านช่วยแนะครับ)    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 03 เม.ย. 06, 14:29
 ลืมไป  !!เราไปร่วมสนุกกันที่นี่กันดีไม๊ครับ คุณลิตเติ้ล

 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=19&Pid=49143  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 05 เม.ย. 06, 06:46
 ดาวเดือนดับลับหายจากปลายฟ้า
มีเวลาหวนคืนผืนฟ้าใหม่
สาดแสงส่องผ่องเวหาอ่าอำไพ
ชีพดับไปหายลับไม่กลับคืน
  เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
  กรรมบันดาลนำพายากฝ่าฝืน
  ถึงเจ็บปวดชอกช้ำต้องกล้ำกลืน
  สู้ทนฝืนรับหน้าชะตากรรม
แต่นี้ไปใจเอยขอให้คิด
แม้เพียงนิดสิ่งชั่วช้าอย่าถลำ
คบคนชั่วมั่วอบายอย่าได้ทำ
เจ็บต้องจำย้ำให้นึกจงตรึกตรอง
 โลกใบใหม่ต้องสดใสกว่าใบเก่า
  ลืมเรื่องเศร้าโสกสลดรันทดหมอง
  เคยบาดเจ็บเจียนบ้าน้ำตานอง
  จงปรองดองครองรักมั่นนิรันดร์เทอญ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 09 เม.ย. 06, 21:19
 แก้ไข โสกสลด เป็น โศกสลด แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามีร เรือ เป็น โศรกหรือเปล่าที่ถูกต้อง ถ้าย้อนอดีตได้ สิ่งหนึ่งที่จะต้องฝึกฝนแน่ๆคือ พิมพ์สัมผัส


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 21 เม.ย. 06, 23:06
 บางคืนเหงาเศร้าใจใครจะรู้
ยืนหยัดสู้ยิ้มละไมเมื่อใครเห็น
ความเป็นจริงเจ็บข้างในใจลำเค็ญ
กรรมหรือเวรจึงประสบพานพบกัน
ยามแรกรักน้ำต้มผักชมว่าหวาน
อยู่กันนานแม้น้ำตาลก็พาลขม
ไม่คาดคิดชีวิตจะเศร้าตรม
สิ่งโสมมเกิดจากใจใครบางคน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 22 เม.ย. 06, 10:27
แม้มิมีผู้ใดใครจะรู้
ใจดนูรู้ใจใครไม่เห็น
ถึงเจ็บบ้างข้างในใช่ลำเค็ญ
ใช่ใครเกณฑ์กวนให้ใจรำพึง
เมื่อแรกรักมักชมคมเนตรหวาน
ครารำคาญตาหวานพาลถมึง
ทั้งวาจากิริยาพาบึ้งตึง
ปานประหนึ่งนางมารร้ายมาใกล้กัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 24 เม.ย. 06, 06:01
 ควรถนอมน้ำใจกันไว้บ้าง
เพื่อสรรค์สร้างชีวาพาสุขสรรต์
มอบความรักเติมน้ำใจให้แก่กัน
ชั่วนิรันดร์รักคงอยู่มิรู้คลาย
จงใคร่ครวญหวลคิดถึงวันวาร
สัญญากันรักชั่วฟ้าดินสลาย
เหตุใดหนอดวงสุดามากลับกลาย
มิทันไรเธอบั่นรักหักแหลกราญ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 24 เม.ย. 06, 07:50
 สวัสดีค่ะ มาแอบแต่งกลอนรักกันสองคนได้ยังไงคะ
หนูขอแต่งด้วยนะคะ

รักอะไรไม่เท่ารักธรรมะ
มีสัจจะธรรมค้ำจุนอบอุ่นมหาศาล
เป็นคมิ่งมิตรคู่ชืวิตตลอดกาล
สุขสราญเบิกบานใจไร้กังวล


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 24 เม.ย. 06, 22:02
... หาได้แอบแนบชิดสนิทใกล้
หากแต่ใช้เว็บบอร์ดได้ทุกแห่งหน
เปิดเป็นทางกว้างไกลแก่ปวงชน
สมานคนคือมิตรสนิทกัน

ถึงอยู่ข้ามขอบฟ้าก็สามารถ
ทุกผู้อาจเอ่ยวาจาให้น่าขัน
หรือรำพันหว่านรักภักดีกัน
แม้ห้ำหั่นเฉือนเชือดให้เดือดดาล

อาทิตย์น้อยค่อยเผยแสงสุรีย์
น่ายินดีปรีดามหาศาล
แม้นพบเพียงชั่วเพลามิช้านาน
เหมือนวันวานใกล้ชิดสนิทดี

มธุรสวาจามารยาท
จิตสะอาดปราดเปรื่องเรืองศักดิ์ศรี
เป็นฉบับแบบของกุลสตรี
ขอให้พบฝันดีทุกนิทรา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 25 เม.ย. 06, 00:31
 หนูขอคารวะอาจารย์ค่ะ แต่งกลอนได้
คล่องจริงๆนะคะ หนูต้องใช้เวลาฝึกอีกนานเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 25 เม.ย. 06, 06:37
 รับเอยขอรับขวัญ
ลิตเติ้ลซันมิ่งมิตรสิเนหา
เข้าพำนักพักใจในชายคา
ร่วมรจนาร้อยพจน์เป็นบทกลอน
ธรรมะ คือประทีปทองของชีวิต
ดุจเข็มทิศชี้นำช่วยพร่ำ่สอน
ใจใฝ่ธรรมน้อมนำเป็นคุณากร
นั้นคือพรสู่โลกหน้าค่าอนันต์


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 28 เม.ย. 06, 11:10
 ........ หาเอ๋ยหาฝัน
ลิตเติ้ลซันสตรีมีเป้าหมาย
แสวงหาความรู้มาคู่กาย
คุณธรรมเพริดพรายมากไมตรี
อุดมการณ์มีอยู่คู่ดวงจิตร
กำลังใจมิ่งมิตรมารศรี
ขอสมหวังตั้งใจให้จงดี
ให้มั่งมีมากสุขทุกวันเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 29 เม.ย. 06, 15:43
 ...ล่าเอยล่าฝัน
จงมุ่งมั่นก้าวไปให้เต็มที่
หากเหน็ดเหนื่อยหน่ายนักพักสักที
พอแรงมีรีบมุ่งหน้าคว้าธงชัย

เมื่อใจใฝ่ในฝันอันบรรเจิด
ก้าวไปเถิดให้ถึงซึ่งจุดหมาย
หมู่มวลมิตรขอเป็นกำลังใจ
จงมีชัยในฝันนั้นเถิดเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 29 เม.ย. 06, 19:43
 ขอบพระคุณอาจารย์นิรันต์ และคุณ จิตแผ้วนะคะ
ลิตเติ้ลอยากขอบคุณด้วยบทกลอนแต่เกรงว่าจะ
ไพเราะค่ะ
ขออนุญาตเล่านืดนึงนะคะว่าธรรมะให้อะไร และทำไม
ุถึงต้องหันมาสนใจธรรมะ

เอาประเด็นหลังก่อนนะคะ ลิตเติ้ล เหงาและเศร้าง่ายจึงทุกข์ใจ
เลยต้องหาทางออกให้ตัวเอง ด้วยการเข้าหาธรรมะ แล้วลิตเติ้ล
ก็พบว่าการอ่านหนังสือรรมะอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เราทุกข์ น้อยลงเลย นอกจากเราจะลงมือปฏิบัติเท่านั้น พระท่านเปรียบว่า เหมือนคนที่รู้แต่ทฤษฎืการว่ายน้ำแต่ไม่เคยฝึกว่ายน้ำเลย
แล้วจะว่ายได้อย่างไร จากนั้นก็ฝึกค่ะ แค่มีสติรู้อยู่กับปัจจุบันก็เป็นอันว่าใช้ได้ในระดับหนึ่งแล้ว คนเราส่วนมากมักไม่คอยอยู่กับปัจจุบันค่ะ มีคนเคยบอกว่า เราชอบนั่งรถไฟความคิดไปในอดีต หรือไม่ก็อนาคต เก็บเรื่องเหล่านั้นมาคิดทำให้ทุกข์ใจ
นี่เป็นแค่สาเหตุหนึ่งของการเกิดทุกข์ค่ะ ทุกข์มันเกิดที่ใจเรานี่เอง ใจเราอยาก ไม่รู้จักพอ ก็ทุรนทุราย เป็นทุกข์เมื่อไม่ได้อย่างต้องการ พระหุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราทุกข์เพราะความไม่รู้   เราหลงไปยึดสิ่งนั้น สิ่งนี้ว่าเป็นของเรา หากสนใจศึกษาลิเติ้ลขอแนะนำ
 http://santidharma.com/
http://dungtrin.com/

แล้วลิตเติ้ลได้อะไรจากธรรมะ คำตอบคือ ทุกข์ใจน้อยลง
เบิกบานใจมากขี้น เห็นแก่ตัวน้อยลง  เข้าใจผู้อี่นมากขี้น
แต่กิเลสยังมีอยู่ เพราะเพิ่งหัดเดินทางนี้


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: เจ้าสำราญ ที่ 30 เม.ย. 06, 19:06
 เรื่องกลอนนี่ไม่ค่อยถนัดครับ  ขอเปลี่ยนเป็นกาพย์บ้าง
กาพย์ยานี 11 ชมไม้ในวรรณคดีครับ (แต่งไว้หลายปีแล้วครับตั้งแต่อยู่ม.ปลาย)

เฟื่องฟ้าฟ้าใดเฟื่อง        ฟ้าลือเลื่องเมืองสยาม
ทั่วถิ่นแผ่นดินคาม        พฤกษงามชูช่อไสว
นมแมวแก้วเจ้าจอม        มณฑาหอมชื่นเย็นใจ
นางแย้มแย้มยิ้มให้        สุขฤทัยหาใดปาน
หอมรินกลิ่นประยงค์        ต้นตันหยงชบาบาน
ราตรีทิวาวาร               ทิวางามทุกคืนวัน
พิกุลกุลนารี                แดงชาดสีพนมสวรรค์
พุดซ้อนซ้อนต้นจันทร์        สร้อยระย้าราชาวดี
ยี่เข่งดอกแดงสด            ดูงามงดต้นส่าหรี
นางนวลเหลืองนวลดี        โน่นจำปีนี่โยทะกา
พรรณไม้ดูชื่นชุ่ม            แลชอุ่มพุ่มพฤกษา
ดับร้อนผ่อนวิญญาณ์        พาสดชื่นรื่นอารมณ์

ต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมเป็นมือสมัครเล่นน่ะครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 02 พ.ค. 06, 07:27
 และพระสูตรจากพระไตรปิฎก

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร

(ปฐมเทศนา แสดงอริยสัจ๔) มหาสติปัฏฐานสูตร

 
Paitoon Inthavong (Instructor)

Fresno Adult Community Education Center

2500 Stanislaus Street

Fresno, California 93721-1223

Tel: 559-457-6000....E-Mail:  Pinthavong@Fas.Edu

็ ถึง Littlesun เพื่อนของผมตามที่อยู่ข้างต้นจะช่วยเหลือได้มากเรื่องธรรมะ
และขอแนะนำ Dhammahome.com ของ อาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ หนทาง
เดินสู่แดนนิพพานมีอยู่ ใช่หรือไม่? หนทางสายนี้มีคนใช้เดินอยู่ใช่หรือไม่? ถ้าใช่ย่อมมีคนไปถึงทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตจนกว่าศาสนาพุทธจะไม่มีความหมาย
สำหรับคนซึ่งบาปหนาขึ้นทุกวันก็ประมาณอีกสองพันกว่าปี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 02 พ.ค. 06, 17:54
 กราบขอบคุณ คุณจิตแผ้วนะคะ ที่แนะนำกัลยานิมิตร
ทางธรรมและเว็บดีๆให้หนู หนูเคยฟังบรรยายของ
อาจารย์ทางวิทยุบ้างค่ะ ชื่นชมท่านมาก
ขอให้คุณจิตแผ้วเจริญในธรรมนะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 03 พ.ค. 06, 00:21
 ..... สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ
ก็เพราะริรักกลอนไม่นอนเฉย
จึงได้คบพบสหายได้ภิเปรย
ปากอยู่เฉยใช้เว็บบอร์ดพลอดคำแทน
ล้วนแต่มีคติธรรมนำชีวิต
พามิ่งมิตรพบทางสว่างแสน
ล้ำเลิศกว่ามอบสิ่งใดในดินแดน
ธรรมะแม่นตรงประตูสู่นิพพาน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 03 พ.ค. 06, 06:55
 กลอนนำพาพานพบประสบมิตร
ผู้มีจิตใฝ่ธรรมล้ำเลิศเหลือ
แม้มิใช่ญาติสนิทแนบชิดเชื้อ
เหมือนว่านเครือเดียวกันมั่นในธรรม

รู้ธรรมะ มักชนะในผู้อื่น
มิรู้ตื่นจากหลับใหลใจถลำ
สู่หุบเหววิบากจากผลกรรม
คนมีธรรมชนะในใจตนเอง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 03 พ.ค. 06, 23:20
 เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด

 http://www.thai-freelance.com/dhammasound/allsinger/Kati-Track08.wma

ชาวพุทธ

 http://www.thai-freelance.com/dhammasound/dhammathai/02chaobud.wma


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 04 พ.ค. 06, 00:05
 See if you can listen to the dhamma audio below:

[         เกิดมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร (366 KB)

[         บทที่ ๑ - ใครเป็นผู้รู้แจ้งเรื่องกรรม (2.3 MB)

[         บทที่ ๒ - เหตุใดจึงเกิดเป็นมนุษย์ (2.5 MB)

[         บทที่ ๓ - เหตุใดจึงเกิดเป็นหญิงเป็นชาย (2.5 MB)

[         บทที่ ๔ - เหตุใดจึงเกิดเป็นผู้มีรูปงาม (4.6 MB)

[         บทที่ ๕ - เหตุใดจึงมีฐานะร่ำรวย (4.2 MB)

[         บทที่ ๖ - เหตุใดจึงมีสติปัญญามาก (3.2 MB)

[         สรุปปฐมบรรพ (276 KB)

[         ทุติยบรรพ - ตายแล้วไปไหนได้บ้าง (589 KB)

[         บทที่ ๗ - สัจจะเกี่ยวกับความตาย (6.8 MB)

[         บทที่ ๘ - สภาพความเป็นอยู่ของสัตว์ในภพภูมิต่างๆ (4.4 MB)

[         สรุปทุติยบรรพ (222 KB)

[         ตติยบรรพ - ยังอยู่แล้วควรทำอะไรดี (394 KB)

[         บทที่ ๙ - คำถามที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต (1.8 MB)

[         บทที่ ๑๐ - วิชารู้ตามจริง (3.5 MB)

[         สรุปตติยบรรพ (281 KB)

[         บทส่งท้าย (219 KB)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 04 พ.ค. 06, 00:18
 (ธรรมแห่งเครื่องตรัสรู้)

                       และพระสูตรจากพระไตรปิฎก

ธัมมจักกัปปวัตนสูตร

(ปฐมเทศนา แสดงอริยสัจ๔) มหาสติปัฏฐานสูตร

(แสดงการใช้สติในการปฏิบัติ)    
อนัตตลักขณสูตร

(แสดงอนัตตลักษณะ)       อาทิตตปริยายสูตร

(แสดงสิ่งที่เป็นของร้อน)      
อานาปานสติสูตร

(แสดงการฝึกสติโดยการพิจารณาลมหายใจ)     กายคตาสติสูตร

(แสดงการใช้สติพิจารณากาย)      
โลกวิปัตติสูตร

(แสดงโลกธรรม๘ - ธรรมชาติของโลก อันเป็นของคู่โลก)        ชราสูตร

(แสดงธรรมชาติพระไตรลักษณ์ ต่อสังขาร)  
มรณัฐสติ สูตรที่ ๑

(แสดงมรณานุสติสูตรที่๑) มรณัฐสติ สูตรที่ ๒

(แสดงมรณานุสติสูตรที่๒ และความเพียร)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 05 พ.ค. 06, 02:20
 อนุโมทนากับคุณจิตแผ้วด้วยนะคะที่เอาลิงค์มา
แนะนำ
อาจารย์ นอรันด์ กับคุณ จิดแผ้ว แต่งกลอนได้ดีทุกครั้ง
เลยนะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 05 พ.ค. 06, 06:29
 เพิ่งได้รับคำแนะนำจาก"หมูน้อย"ว่าก่อนส่งข้อความควรPREVIEWดูแลความถูกต้องเสีย
ก่อนนับว่าเป็นประโยชน์มากเลยอยากบอกต่อ อาจารย์นิรันดร์ ขึ้นชั้นระดับปรมาจารย์
เรายังห่างจากท่านหลายหมื่นลี้ แต่อบอุ่นใจมากที่สุดที่ท่านหมั่นมาเยือนเป็นการให้ความรู้
ไปด้วยมิได้ขาดนี่ก็กำลังหัดเปิด "พจนานุกรมไทย"อยู่ครับ มีกลอนมาฝากเช่นเคย

การที่ได้พานพบประสบมิตร
จะใกล้ชิดสนิทแนบฐานะไหน
สิ่งหนึ่งต้องจดจำให้ขึ้นใจ
คนนั้นไซร้เป็นสิ่งมีชีวิต

พฤติกรรมไม่ว่าบวกหรือลบ
มีอยู่ครบในคนนั้นมั่นสนิท
อย่าตั้งใจกับใครเกินความคิด
เรามิใช่เจ้าชีวิตของใครใคร

ใครอยากเป็นต้นเหตุความล้มเหลว?
คนแสนเลวก็ไม่รับอย่าสงสัย
อย่าคาดหวังกับคนมากเกินไป
ไม่มีใครเป็นทุกอย่างดั่งต้องการ

ทุกคนอยากมีเวลาเป็นส่วนตัว
ไว้ยิ้มหัวร้องไห้ไว้ไขขาน
อย่าให้เวลากับคนจนเกินนาน
สิ่งเคยหวานอาจพาลขมตรมฤทัย

เกิดเป็นคนมิควรเปลี่ยนแปลงคน
แสนสุดทนคนอาจรับไม่ไหว
หากว่าคนเปลี่ยนแปลงคนมากเกินไป
จะเหลือใครให้เป็นตนของคนนี้

อย่าควบคุมชีวิตคนจนเกินงาม
ขวากหนามขวางก็ตามจักหลบหนี
คนจะทำทุกทางทุกวิธี
เพื่อออกจากกฏที่กำหนดคน

อย่าบังคับคนหนึ่งคนมากกว่านี้
หากคนหลุดจากที่แม้เพียงหน
คนจะหันหลังให้คนบังคับคน
แม้นวายชนม์คนมิให้ใครบงการ

เธอจงมองดูฉันนั้นจงดี
ฉันก็มีลมหายใจให้เล่าขาน
ใช่ภาพวาดสวยสดตลอดกาล
ฉันก็มีสองด้านปานทุกคน

อยากรู้จักผู้ใดให้เรียนรู้
อย่าเป็นผู้เปลี่ยนแปลงเสียทุกหน
หากคบใครให้รู้ในใจของคน
มีหรือคนชอบให้ใครเปลี่ยนแปลง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 05 พ.ค. 06, 06:38
 ถึง ลิตเติ้ลซันแลผองมิตร
ลิงค์บางอันมันไม่เวอร์คผมก๊อปจากอีเมล์ที่กัลยาณมิตรส่งมาให้เป็นธรรมทานขอความ
กรุณาให้อภัยแก่ความผิดพลาดผมเพิ่งหัดให้ ไอ ที นี้มาปีกว่า "หมูน้อย"เพิ่งแนะนำการเอารูปภาพมาประกอบไปหยกๆแล้วจะพยายามทดลองทำดู


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 06 พ.ค. 06, 00:32
 เรื่องเกี่ยวกับพระศรีอารย์

ขออธิบายคร่าวๆ ดังนี้ครับ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์

นั
บตั้งแต่พระทีปังกรพุทธเจ้าที่ทรงทำนายพระสมณโคดมพุทธเจ้า เป็นครั้งแรกว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า (พระพุทธองค์ตรัสรู้ด้วยปัญญาบารมี ใช้เวลา 4 อสงไขย แสนกัลป์) สำหรับพระทีปังกรพุทธเจ้าซึ่งเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์ แรกที่ทรงทำนายว่าพระสมณโคดม พุทธเจ้าของเราทั้งหลาย ในปัจจุบัน จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแน่นอนนั้น ทรงอุบัติเป็น พระพุทธเจ้า พระองค์ที่ ๔ ในกัปที่มีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ โดยพระพุทธเจ้า อีก ๓ พระองค์ก่อนหน้าในกัปเดียวกัน กับพระทีปังกรพุทธเจ้า พระองค์แรกทรงพระนามว่า พระตัณหังกรสัมพุทธเจ้า พระองค์ที่ สองทรงพระนามว่า พระเมธังกรสัมพุทธเจ้า และพระองค์ที่สามทรงพระนามว่า พระสุรณังกรสัมพุทธเจ้า


อานนท์! ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะและอฐานะนั้น ย่อมรู้ว่า ข้อนี้มิใช่ ฐานะ ข้อนี้มิใช่โอกาสที่จะมี คือข้อที่ในโลกธาตุอันเดียว จะมี พระตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ สององค์ เกิดขึ้นพร้อมกัน ไม่ก่อน ไม่หลังกัน. นั่นมิใช่ฐานะที่จะมีได้.

ส่วนฐานะ อันมีได้นั้น คือข้อที่ใน โลกธาตุอันเดียว มีพระตถา คต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะองค์เดียว เกิดขึ้น. นั่นเป็นฐานะที่ จะมีได้.

๑. บาลี พหุธาตุกสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๑๗๑/๒๔๕. ตรัสแก่พระอานนท์ ที่เชตวัน.

พระพุทธเจ้า: ท่านผู้ตรัสรู้แล้ว,ผู้รู้อริยสัจจ์ ๔ อย่างถ่องแท้ ตามอรรถกถาท่านแบ่งเป็น ๓ คือ

๑. พระพุทธเจ้า ท่านผู้ตรัสรู้เองและสอนผู้อื่นให้รู้ตาม (บางทีเรียกพระสัมมาสัมพุทธะ)
๒. พระปัจเจกพุทธะท่านผู้ตรัสรู้เองจำเพาะผู้เดียว มิได้สั่งสอนผู้อื่น
๓. พระอนุพุทธะ ท่านผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า (เรียกอีกอย่างว่าสาวกพุทธะ);
สำหรับรายละเอียดก็ลองอ่านดูในพระไตรปิฎกก็แล้วกันนะครับ โดยเฉพาะใน 2 สูตรนี้คือ
1. พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตร
2. พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕ ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ พุทธปกิรณกกัณฑ์
พระพุทธเจ้า ๒๕

(๑) พระทีปังกรพุทธเจ้า (กัปอันประมาณมิได้นับจากกัปนี้ย้อนไป) ปิปผลิ - ควงไม้ซีก
(๒) พระโกณฑัญญพุทธเจ้า ไม้สาละ
(๓) พระมงคลพุทธเจ้า ต้นกระทิง (กากะทิง)
(๔) พระสุมนพุทธเจ้า ควงไม้กากะทิง
(๕) พระเรวตพุทธเจ้า ควงไม้กากะทิง
(๖) พระโสภิตพุทธเจ้า ควงไม้กากะทิง
(๗) พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ต้นกุ่ม
(๘) พระปทุมพุทธเจ้า ไม้อ้อยช้างใหญ่
(๙) พระนารทพุทธเจ้า ไม้อ้อยช้างใหญ่
(๑๐) พระปทุมมุตรตรพุทธเจ้า (แสนกัป) ไม้สน
(๑๑) พระสุเมธพุทธเจ้า (๓๐๐๐๐ กัป) ต้นสะเดา
(๑๒) พระสุชาตพุทธเจ้า ไม้ไผ่ใหญ่
(๑๓) พระปิยทัสสีพุทธเจ้า (๑๘๐๐ กัป) ต้นกุ่มสันทก
(๑๔) พระอัตถทัสสีพุทธเจ้า จำปา
(๑๕) พระธัมมทัสสีพุทธเจ้า ติมพชาละ (มะพลับ)
(๑๖) พระสิทธัตถพุทธเจ้า (๙๔ กัป) กรรณิการ์
(๑๗) พระติสสพุทธเจ้า (๙๒ กัป) ไม้ประดู่
(๑๘) พระปุสสพุทธเจ้า ไม้มะขามป้อม
(๑๙) พระวิปัสสีพุทธเจ้า (๙๑ กัป) ไม้แคฝอย
(๒๐) พระสิขีพุทธเจ้า (๓๑ กัป) บุณฑริก (ไม้กุ่มพก)
(๒๑) พระเวสสภูพุทธเจ้า ไม้อ้อยช้างใหญ่
(๒๒) พระกุกกุสันธพุทธเจ้า (ภัทรกัปนี้) ไม้ซีก - ไม้ชีก
(๒๓) พระโกนาคมนพุทธเจ้า ไม้มะเดื่อ
(๒๔) พระกัสสปพุทธเจ้า นิโครธ
(๒๕) พระโคตมพุทธเจ้า ควงไม้อัสสัตพฤกษ์ (โพธิ์)
(๒๖) พระเมตไตรย์สัมพุทธเจ้า (ในอนาคตข้างหน้า)

ภัทรกัปนี้ อันถือว่าเป็นกัปที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด เพราะว่าในสังสารวัฏนี้ จะมีกัปจำแนก ตามการอุบัติหรือ การมีขึ้นของพระพุทธเจ้า ก็จะจำแนกได้เป็น ๖ คือ
(๑) สุญญกัป - กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามีตรัสรู้
(๒) กัปที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๑ พระองค์ (จำศัพท์ไม่ได้ครับ)
(๓) กัปที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๒ พระองค์
(๔) กัปที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๓ พระองค์
(๕) กัปที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๔ พระองค์
(๖) ภัทรกัป - กัปที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์

ภัทรกัป หรือ ภัททกัปป์ นี้ เคยอ่านเจอรู้สึกจะในพระไตรปิฎก กล่าวไว้ว่า ถือเป็นกัปป์ ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด เพราะมีพระพุทธเจ้า มาตรัสรู้ได้มากที่สุดแล้วคือ ๕ พระองค์ใน กัปป์เดียวกัน
A.   พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันได้ตรัสเอาไว้ว่า ในกัปนี้จะมีพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นทั้งหมด 5 พระองค์ (เพราะฉะนั้นกัปนี้จึงได้ชื่อว่าภัทรกัป) คือ
1. พระกุกกุสันธะพุทธเจ้า   2. พระโกนาคมนะพุทธเจ้า
3. พระกัสสปะพุทธเจ้า   4. พระโคตมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน)
5. พระเมตไตรย์พุทธเจ้า (พระศรีอารย์)
กัป
ขออธิบายคร่าวๆ ดังนี้ครับ

ลกเกิดขึ้นและถูกทำลายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วระยะเวลา1คาบของโลกคืออายุขัย ของโลกตั้งแต่โลกเริ่มก่อตัวใหม่ๆยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่เลยจนเริ่มมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาจนกระทั่งโลกถูกทำลายไปแล้วเริ่มก่อตัวขึ้นมาใหม่จนอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง 1 รอบเช่นนี้เรียกว่า1กัปของโลก

กัป,กัลป์(lifeSpan):กาลกำหนด,ระยะเวลายาวนานเหลือเกินที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักรวาฬประลัยครั้งหนึ่ง(ศาสนาฮินดูว่าเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของพระพรหม)ท่านให้เข้าใจด้วยอุปมาว่าเปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วนกว้างยาวสูงด้านละ๑โยชน์ทุก๑๐๐ปีมีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่งจนกว่าภูเขานั้นจะสึกหรอสิ้นไปกัปหนึ่ง"ยาวนานกว่านั้น";กำหนดอายุของโลก;กำหนดอายุเรียกเต็มว่าอายุกัปเช่นว่าอายุกัปของคนยุคนี้ประมาณ๑๐๐ปี

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตมีมากมายนับไม่ถ้วนในบางกัปของโลกก็ไม่มีพระพุทธ เจ้าอุบัติขึ้นมาเลยบางกัปก็มีพระพุทธเจ้า1,2,...,5พระองค์เป็นอย่างมากโดยที่คำสอนของ พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนสิ้นสูญไปแล้วพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จึงจะอุบัติขึ้น
พระไตรปิฎก เล่มที่ 11

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี เขาจักไม่มีจิตคิดเคารพ ยำเกรงว่า นี่แม่ นี่น้า นี่พ่อ นี่อา นี่ป้า นี่ภรรยาของอาจารย์ หรือว่านี่ภรรยาของท่านที่เคารพทั้งหลาย สัตว์โลกจักถึงความสมสู่ปะปนกันหมด เปรียบเหมือน แพะ ไก่ สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๑๐ ปี สัตว์เหล่านั้นต่างก็จักเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความ
คิดจะฆ่าอย่างแรงกล้าในกันและกัน มารดากับบุตรก็ดี บุตรกับมารดาก็ดี บิดากับ
บุตรก็ดี บุตรกับบิดาก็ดี พี่ชายกับน้องหญิงก็ดี น้องหญิงกับพี่ชายก็ดี จักเกิดความ
อาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่ากันอย่างแรงกล้า นายพราน
เนื้อเห็นเนื้อเข้าเกิดความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดจะฆ่า
อย่างแรงกล้าฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
     [๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๑๐ ปี จักมีสัตถันตรกัป
สิ้น ๗ วัน มนุษย์เหล่านั้นจักกลับได้ความสำคัญกันเองว่าเป็นเนื้อ ศัสตราทั้ง
หลายอันคมจักปรากฏมีในมือของพวกเขา พวกเขาจะฆ่ากันเองด้วยศัสตราอันคม
นั้นโดยสำคัญว่า นี้เนื้อ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้น บางพวกมี
ความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราอย่าฆ่าใครๆ และใครๆ ก็อย่าฆ่าเรา อย่ากระนั้น
เลย เราควรเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ หรือซอกเขา มีรากไม้
และผลไม้ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ เขาพากันเข้าไปตามป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้
ระหว่างเกาะหรือซอกเขา มีรากไม้และผลไม้ ในป่าเป็นอาหารเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอด
๗ วัน เมื่อล่วง ๗ วันไป เขาพากันออกจากป่าหญ้าสุมทุมป่าไม้ ระหว่างเกาะ
ซอกเขา แล้วต่างสวมกอดกันและกัน จักขับร้องดีใจอย่างเหลือเกินในที่ประชุม
ว่า สัตว์ผู้เจริญ เราพบเห็นกันแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือๆ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น สัตว์เหล่านั้น จักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา
ถึงความสิ้นญาติอย่างใหญ่เห็นปานนี้ เหตุเพราะสมาทานธรรมที่เป็นอกุศล อย่ากระ
นั้นเลยเราควรทำกุศล ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นปาณาติบาต ควรสมาทาน
กุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาจักงดเว้นจากปาณาติบาต จักสมาทานกุศล
ธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม เขาจักเจริญด้วยอายุบ้าง
จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อเขาเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตร
ของมนุษย์ทั้งหลายที่มีอายุ ๑๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐ ปี ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้นสัตว์เหล่านั้นจักมีความคิดอย่างนี้ว่า เรา
เจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง เพราะเหตุที่สมาทานกุศลธรรม อย่า
กระนั้นเลย เราควรทำกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ควรทำกุศลอะไร เราควรงดเว้นจาก
อทินนาทาน ควรงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร ควรงดเว้นจากปิสุณาวาจา ควรงดเว้น
จากผรุสวาจา ควรงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ ควรละอภิชฌา ควรละพยาบาท
ควรละมิจฉาทิฐิ ควรละธรรม ๓ ประการ คืออธรรมราคะ วิสมโลภ มิจฉาธรรม
อย่ากระนั้นเลยเราควรปฏิบัติชอบในมารดา ควรปฏิบัติชอบในบิดา ควรปฏิบัติชอบ
ในสมณะ ควรปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ควรประพฤติอ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ใน
ตระกูล ควรสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เขาเหล่านั้นจักปฏิบัติชอบในมารดา
ปฏิบัติชอบในบิดา ปฏิบัติชอบในสมณะ ปฏิบัติชอบในพราหมณ์ ประพฤติ
อ่อนน้อมต่อท่านผู้ใหญ่ในตระกูล จักสมาทานกุศลธรรมนี้แล้วประพฤติ เพราะ
เหตุที่สมาทานกุศลธรรมเหล่านั้น เขาเหล่านั้นจักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วย
วรรณะบ้าง เมื่อเขาเหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง เจริญด้วยวรรณะบ้าง บุตรของคน
ผู้มีอายุ ๒๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐ ปี จักมีอายุ
เจริญขึ้นถึง ๘๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๘๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๑๖๐ ปี บุตร
ของคนผู้มีอายุ ๑๖๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๓๒๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๓๒๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๖๔๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๖๔๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง
๒,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔,๐๐๐ ปี บุตร
ของคนผู้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๘,๐๐๐ ปี บุตรของคนมีอายุ
๘,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๒๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี
จักมีอายุเจริญขึ้นถึง ๔๐,๐๐๐ ปี บุตรของคนผู้มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี จักมีอายุเจริญ
ขึ้นถึง ๘๐,๐๐๐ ปี ฯ
     [๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กหญิงมี
อายุ ๕๐๐ ปี จึงจักสมควรมีสามีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ
๘๐,๐๐๐ ปี จักเกิดมีอาพาธ ๓ อย่าง คือ ความอยากกิน ๑ ความไม่อยากกิน ๑
ความแก่ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้จัก
มั่งคั่งและรุ่งเรือง มีบ้านนิคมและราชธานีพอชั่วไก่บินตก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ชมพูทวีปนี้ประหนึ่งว่าอเวจีนรก จักยัดเยียดไป
ด้วยผู้คนทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้อ้อ หรือป่าสาลพฤกษ์ฉะนั้น ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จัก
เป็นราชธานีมีนามว่า เกตุมดี เป็นเมืองที่มั่งคั่งและรุ่งเรืองมีพลเมืองมาก มีผู้คน
คับคั่ง และมีอาหารสมบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี
ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง ๘๔,๐๐๐ เมือง มีเกตุมดีราชธานีเป็นประมุข ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี จักมีพระเจ้าจักร
พรรดิ์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสังขะ ทรงอุบัติขึ้น ณ เกตุมดีราชธานี เป็นผู้ทรง
ธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต
ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ๑
ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้วเป็น
ที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์
สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรมมิต้องใช้อาชญา มิต้อง
ใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรง
พระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เอง
โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถี
ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้
เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้
เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้ง
โลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
เมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้
แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณ
พราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่า
เมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งาม
ในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์
บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหาร
ภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้น ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะจักทรงให้ยกขึ้นซึ่งปราสาทที่
พระเจ้ามหาปนาทะทรงสร้างไว้ แล้วประทับอยู่ แล้วจักทรงสละ จักทรงบำเพ็ญ
ทาน แก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย จัก
ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากเรือน ทรง
ผนวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระผู้มีพระภาคพระนามว่า เมตไตรย์อรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้า ท้าวเธอทรงผนวชอย่างนี้แล้ว ทรงปลีกพระองค์อยู่แต่ผู้เดียว
ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้ว ไม่ช้านักก็จักทรงทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์
อันยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย พากันออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ
ต้องการ อันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง ใน
ทิฐธรรมเทียว เข้าถึงอยู่ ฯ
     [๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มี
ธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างไรเล่า ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
เสียได้ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มี
ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
ทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
เสียได้ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่
พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างนี้แล ฯ
     [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัย
อันสืบมาจากบิดาของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในโคจร
ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน จักเจริญทั้งด้วยอายุ จักเจริญทั้งด้วยวรรณะ
จักเจริญทั้งด้วยสุข จักเจริญทั้งด้วยโภคะ จักเจริญทั้งด้วยพละ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องอายุของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยฉันทะสมาธิปธาน
สังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิริยะสมาธิปธานสังขาร เจริญอิทธิบาท
ประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธาน
สังขาร เธอนั้น เพราะเจริญอิทธิบาท ๔ เหล่านี้ เพราะกระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท
๔ เหล่านี้ เมื่อปรารถนาก็พึงตั้งอยู่ได้ถึงกัป ๑ หรือเกินกว่ากัป ๑ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องอายุของภิกษุ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องวรรณะของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทาน
ศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องวรรณะ
ของภิกษุ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องสุขของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุ
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแก่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มี
ความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มี
สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะ
ทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุ
จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายใน
เรื่องสุขของภิกษุ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องโภคะของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีจิตประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่
ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง
เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณ
มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุก
สถาน ด้วยมีจิตประกอบด้วยกรุณา แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓
ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิต
ประกอบด้วยกรุณาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี
ความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยมีจิต
ประกอบด้วยมุทิตา แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือน
กัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยมุทิตา
อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่
ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยมีจิตประกอบด้วยอุเบกขา
แผ่ไปตลอดทิศ ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้ง
เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ด้วยจิตประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความ
เป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลก
ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องโภคะ
ของภิกษุ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องพละของภิกษุ มีอธิบายอย่างไร ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ อันหา
อาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในทิฐธรรมเทียว
เข้าถึงอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นอธิบายในเรื่องพละของภิกษุ ฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นแม้กำลังสักอย่างหนึ่งอื่น อันข่มได้
แสนยาก เหมือนกำลังของมารนี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้จะเจริญขึ้นได้
อย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นกุศลธรรมทั้งหลาย ฯ
     พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดีชื่นชม
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วดังนี้แล ฯ

จบ จักกวัตติสูตร ที่ ๓




เจริญในธรรม

ไพฑรูย์ อินทวงศ์

ปารถนาเป็นพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นปัจเจกพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องขวาเบื้อง ซ้าย ปรารถนาเป็นมหาสาวก(พระอเสติ) ปรารถนาเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา 6 หรือมีปฏิสัมภิทา 4 สุดท้ายปรารถนาให้ถึงพระนิพพานโดยเร็ว ชาวพุทธส่วนมากเกือบ 100 % ปรารถนาดังที่กล่าวมา
        พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ กับความยาวนานของอวิชาอันน่ากลัว
    ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นความยาวนานของอวิชา ที่ไม่รู้ว่าเริ่มต้นแต่เมื่อ ใด ? หาเบื้องต้นไม่ได้ ถ้ายังมีอวิชชาต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะอีกยาวนานเท่าใดจึงจะถึงที่สุด เพราะหาที่สุดไม่ได้ มีแต่ ปัญญาเท่านั้นที่จะชำละอวิชชา ให้ยุติ ตัดขาดจากวัฏฏะสงสาร หมายเหตุ ผมเอาเรื่อง สัพเพเหระ ขึ้นมา เพื่อทำให้การเสวนาธรรมมีสีสรร แตกต่างไปบ้าง โดยการวิเคราะห์ ประมาณเอา ไม่มีเจตนาให้ผู้หนึ่งผู้ใดไปปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และไม่เจตนาที่ทำให้ผู้ ปรารถนาอยู่แล้วคลายความปรารถนา เพียงแต่ตีแผ่ให้เห็นเท่านั้น
    พระโพธิสัตว์ คือบุคคลที่ปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภท
    1.พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า
อนิยตะโพธิสัตว์  ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้ม ความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
    2.พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตะโพธิสัตว์
ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติ อย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยียมยอด  ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ  จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
    พระพุทธเจ้า คือผู้ที่เป็นศาสดาเอกในพุทธศาสนา แบ่งพระพุทธเจ้าออกเป็น 3 ประเภท
      1.ปัญญาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการ สร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือปารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ ครั้งแรก  เหลืออีก 4 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป  เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการ สร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือปารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก  เหลืออีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
     3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการ สร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากับล์ คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก  เหลืออีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    วิเคราะห์ผลบุญและบารมีของพระโพธิสัตว์  ที่มีผลในพุทธภูมิของท่านเองเมื่อท่านตรัสรู้
การวิเคราะห์ต้องแยกเรื่องบารมี กับผลบุญออกจากกัน เพื่อทำให้เข้าใจง่ายขึ้น
           บารมีนั้นสามารถอธิบายได้ว่า มีผลต่อการเป็นพระพุทธภูมิของท่านตั้ง แต่เริ่มปรารถนาแล้ว ถึงแม้พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่แน่นอนเกิดล้มเลิกความตั้งใจ ปรารถนาเป็นพระสาวกบารมีก็ยังส่งผลให้ท่านมีคุณสมบัติบางประการที่อำนวยประโยชน์ต่อผู้อื่นอยู่ โดยไม่ขาดตกบกพร่อง แต่คุณประโยชน์ต่อสรรพสัตว์อันยิ่งใหญ่หาได้เกิดขึ้น ในอนาคต
    ผลของบุญของพระโพธิสัตว์สามารถอธิบายแยกเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
    1. ผลบุญขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาอยู่ในใจ (ไม่ได้กล่าววาจาปรารถนา ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า แต่อาจกล่าวกับบุคคลทั่วไป) ซึ่งบุญบารมียังอ่อนอยู่มาก และยังห่างไกลมาก จึงไม่สามารถส่งไปถึงสมัยที่ท่านตรัสรู้ เพราะผลบุญนั้นจะส่งผล ในระหว่างทางหมดเสียก่อน
    2. ผลบุญขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่กล่าววาจาปรารถนา ต่อพระพักตร์พระพุทธ เจ้า(บารมีที่ปรารถนาอยู่ในใจ สมบูรณ์แล้วจึงจะสามารถกล่าววาจาออกมาต่อพระพักตร์ของ พระพุทธองค์ได้) ซึ่งเป็นบุญบารมีอย่างกลาง และยังไกลจากสมัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ และจะล้มเลิกความตั้งใจเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ปรากฏชัดเจนในพุทธภูมิที่จะบังเกิดหรือ ไม่เกิดในอนาคต ดังนั้นผลบุญที่ทำก็จะอำนวยผลในช่วงเวลานั้นเสียมากกว่า ที่จะส่งเก็บสะสมในพุทธภูมิ
    3. ผลบุญที่พระโพธิสัตว์ได้รับพยากรณ์แน่นอนแล้ว ซึ่งเป็นบุญที่ทำอย่างยิ่งผล บุญเหล่านั้นจะส่งผลในปัจจุบันและอนาคตอันใก้ลพอประมาณ เพื่อให้ทรงสร้างบารมีต่อ แต่ผลบุญส่วนมากจะไปปรากฏในพุทธภูมิของท่านเสียมากกว่า ดังนั้นพระโพธิสัตว์ ที่เทียงแท้แน่นอน ท่านจึงมีอุปนิสัยในการสร้างบุญบารมีอย่างต่อเนื่อง และถ้าท่านได้สร้าง บุญบารมีกับพระพุทธเจ้ามากเท่าไร หรือพระพุทธศาสนาก่อนมากเท่าไร ผลบุญบารมีที่จะ รากฏในสมัยพุทธภูมิของท่านมากขึ้นเท่านั้น ถึงระยะเวลาจะห่างไกลถึง 4 อสงไขย หรือ 8 อสงไขย หรือ 16 อสงไขย ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ เพราะผลบุญไม่ส่งก่อนเวลาเป็นแน่นอน   จะรออยู่ในอนาคตสมัยพุทธภูมิของท่าน และพระนิยตโพธิสัตว์มีแต่จะสร้างบุญบารมีเพิ่ม มากขึ้นไปเสียอีก ตามที่สามารถหาโอกาสที่อำนวยให้ได้ จึงจะเห็นว่าพระนิยตโพธิสัตว์ ไม่ค่อยจะอยู่เสวยสุขบนสวรรค์นานนัก ต้องมีใจปรารถนาลงมาเกิดบนมนุษยโลกอยู่เป็น ประจำและถ้านิยติโพธิสัตว์ได้สร้างบุญบารมีกับพระพุทธเจ้า  หรือกับพระพุทธศาสนา มากเท่าไร พุทธภูมิที่ท่านจะตรัสรู้ก็จะมีความบริบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น ดังที่ได้มีข้อมูล การเปรีบเทียบพุทธภูมิของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในพระไตรปิฏก
           แต่การที่เราท่านทั้งหลายจะตำหนิว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้สร้างบารมีบกพร่องไม่ดีกว่า พระพุทธเจ้าองค์โน้นในอดิต  หรือในอนาคต นั้นย่อมไม่ได้เป็นอันขาด  เนื่องจากไม่ ใช่ความผิดของพระองค์ เป็นเพราะโอกาสที่จะอำนวยให้พระองค์สร้างบารมี เมื่อตอนเป็นนิยตโพธิสัตว์ มีไม่เท่าเทียมกันตามกฎกระแสแห่งกรรม และบุญบารมีที่เด่นๆ ก็ต่างต่างกัน หาได้เหมือนกันทั้งหมดไม่ ที่ทรงมีเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยนิด คือสัมมาสัมโพธิญาณ และธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอน
        พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก(ผมยังไม่มั่นใจ เพราะมีได้ หลายกรณี) ต้องสร้างบารมีต่อไปอีก ถึง 2 อสงไขย ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์ อาจจะสร้าง บารมีมาหลายอสงไขยมาก่อนแล้วก็ได้
        พระอัครสาวกเบื้องขวาหรือเบื้องซ้าย เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรก ก็ต้องสร้าง บารมีต่อไปอีก ถึง 1 อสงไขยเศษแสนมหากัป แต่ก่อนที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้ง แรกนั้นไม่รู้ว่าท่านสร้างบารมีมายาวนานเท่าไร อาจเป็นหลายอสงไขยมาก่อนแล้วก็ได้
     พระอเสติที่เป็นเอตทัคคะหรือพระมหาสาวก เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก ต้องสร้างบารมีต่อ อีก หนึ่งแสนมหากัป เป็นอย่างน้อย แต่ก่อนหน้านั้นท่านอาจ สร้างบารมีมานานมากแล้วก็ได้ ดังมีในพระไตรปิฏก บางท่านสร้างบารมีนานถึง 4 อสงไขยเศษแสนมหากัป บางท่านสร้างบารมีนานถึง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 11 พ.ค. 06, 07:59
 กลับคืนสู่ชายคาอีกคราหนึ่ง
เป็นที่ซึ่งพึงใจให้ความหวัง
ได้เห็นหน้าคราใดดีใจจัง
เด็กน้อยยังเริงร่าคราเปฺดเทอม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 12 พ.ค. 06, 00:06
 ดีจังเปิดเทอมแล้วเด็กจะได้ไปโรงเรียน
คุณจิตแผ้วสอนเด็กระดับชั้นอะไรคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 12 พ.ค. 06, 22:46
 สอนระดับมัธยมศึกษา
ตั้งยี่สิบปีกว่าครานึกถึง
บางครั้งท้อแท้ใจในรำพึง
แต่ไม่ถึงถอดใจในความจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 13 พ.ค. 06, 00:16
 ดีจังลิตเติ้ลก็อยากเป็นครูค่ะ เคยไปสอนเด็กป.6โรงดรียนนานาชาติอยู่อาทืตย์หนึ่ง ถอยออกมาเสียก่อนเพราะยังไม่พร้อม
คิดถึงเด็กๆมากๆค่ะ น่ารักกันทั้งน้าน ลิตเติ้ลอยากไปสอนเด็กบ้านนอกมากกว่าค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 14 พ.ค. 06, 07:28

พระพุทธองค์ ถือว่า้ป็นบรมครู ดวงจิตทุกดวง ที่รักการเป็นครู จึงถือว่าได้น้อมนำวิถีพุทธเข้าสู่ครรลองของชีวิต ชีวิตที่สมถะ เรียบง่ายไม่ร่ำรวยวัตถุ
แต่อิ่มเอมกับคุณูปการที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ตั้งใจอบรมสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดี งานหนัก
เห็ดเหนื่อยแต่สุขใจครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 16 พ.ค. 06, 05:31
 ทรนงหลงตัวไม่กลัวบาป
เที่ยวหยามหยาบคนดีมีเหตุผล
เหลิงอำนาจขาดสติจนลืมตน
ในกมลไร้ศีลธรรมนำครอบครอง
วิถีพุทธแต่ไม่หยุดกามราคะ
ไม่ยอมละเลิกอบายใจมัวหมอง
เที่ยวคิดคดไร้สำนึกไม่ตรึกตรอง
ไม่ทำตามครรลองทำนองธรรม
มือใครยาวสาวได้ก็สาวเอา
ความโง่เขลาเบาปัญญาพาถลำ
หลงเกียรติยศลืมหมดกฏแห่งกรรม
พุทธรรมไม่น้อมนำชำระใจ
เมอื่สิ้นลมหายใจไปจากโลก
วิญญาณโศกจิตหมองไม่ผ่องใส
แทนจุติแดนสวรรค์อันอำไพ
กรรมนำไปในนรกอเวจี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 18 พ.ค. 06, 01:27
 แต่งกลอนได้คล่องจริงๆนะคะคุณจิตแผ้ว
ลิตเติ้ลกำลังจะหัดแต่งโคลงสี่สุภาพค่ะ
ยังเริ่มไม่ได้สักบทเลย ไม่รู้จะเริ่มยังไง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 18 พ.ค. 06, 18:59
 ใดใดในโลกล้วน....................................อนิจจัง
คนไม่ดูหนังสือยัง...................................สอบได้
คนดูหัวแทบพัง......................................สอบไม่ . ได้นา
คิดได้อย่างนี้ไซร้.....................................อย่าได้ .  ดูมัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 18 พ.ค. 06, 19:24
 ...๐๐๐xy……….๐ (๐๐)
๐x๐๐…………xy
๐๐x๐…………๐x (๐๐)
๐x๐๐y………….xy ๐๐




x คือคำที่เป็นมีวรรณยุกต์ รูปไม้เอก ( อาจใช้คำตายแทนที่ได้)
y คือคำที่เป็นมีวรรณยุกต์ รูปไม้โท
สีแดง  ต้องคล้องจองกับ  สีแดง
สีน้ำเงิน ต้องคล้องจองกับ สีน้ำเงิน


ตัวอย่างที่ดีที่สุดของโคล4สุภาพ ก็คือ โคลงบทที่ว่า

เสียงลือเสียงเล่าอ้าง.........อันใด
(ไปหาดูต่อเองนะจ๊ะ)
โคลง4สุภาพหมูไม่ถนัด หมูถนัดเฉพาะโคลง4หยาบคาย จ๊าา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 18 พ.ค. 06, 22:05
 เสียงลือเสียงเล่าอ้าง...อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยกใคร....ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล.....ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า..........อย่าได้ ถามเผือ

คุณดวงอาทิตย์น้อย ลองเทียบดูดีๆ นะคะ
เหมือนเปี๊ยบตาม โอ เอ๊กซ์ วาย ของคุณหมูฯ เลย
บทนี้ใช้เป็นแม่แบบได้ดีเชียว

ป.ล. (oo) ที่เห็นคุณหมูฯ เขียนไว้ในผังนั่น
(เทียบได้กับตำแหน่งของคำว่า "พี่เอย" และ "ฤาพี่")
เป็นตำแหน่งที่จะใส่คำลงไปก็ได้ หรือไม่ใส่ก็ได้ เพราะไม่ได้บังคับตายตัว
ดังนั้นถ้าเห็นโคลงสี่สุภาพบทไหน ไม่มีคำตรงตำแหน่งนี้
ก็ไม่ได้หมายความว่า คนแต่งเขาแต่งเขาลืมนะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 19 พ.ค. 06, 09:01
 เท็จจริงประการใด ผมได้ยินมาเนินนานแล้ว
คือเขาเล่าว่า(ไม่รู้ว่าใครเล่า) ท่านบรมครูสุนทรภู่ ถูกสบประมาทว่า
ไม่ได้เป็นกวี เพราะแต่งได้แต่กลอนตลาด ใคร ๆ ก็แต่งได้
ท่านจึงแต่งกลโคลงขึ้นมาว่า

......เฉน็งไอจึ่งเว้า .... วู่กา
รูกับกาวเมิงแต่ยา .... มู่ไร้
ปิดเซ็นจะมู่ซา ...... เคราฒู่ นี้เฮย
เชะแต่จะตอบให้ .... ช่วยมี้บมังรณอ

ก็ไม่ขอบืนยันว่าโคลงที่เขียนข้างบนจะถูกต้องสักเท่าไรนะครับ
รบกวนท่านที่ทราบชัดเจนช่วยแก้ไขให้ด้วยครับ

แล้วท่านก็ได้แต่ง"นิราศสุพรรณ"ขึ้นมา เป็นโคลงนิราศทั้งเรื่อง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 19 พ.ค. 06, 10:45
 ขออนุญาตแก้ไขความเห็นที่ 69 จากยอยกใคร เป็นยอยศใคร เพื่อความถูกต้องครับ ยอยศพระลอครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 19 พ.ค. 06, 12:29
 โคลงครูอีกบทหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด น่าจะมาจากนิราศนรินทร์

........ จากมามาลิ่วล้ำ ........ ลำบาง
บางยี่เรือราพลาง ............. พี่พร้อง
เรือแผงช่วยพานาง .......... เมียงม่าน มานา
บางบ่รับคำคล้อง ............. คล่าวน้ำตาคลอ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 20 พ.ค. 06, 07:34
 โหแต่งกันได้เหมือนแต่งง่ายๆเลยนะคะ
ลิตเติ้ลแต่งอยู่นานมากหว่าจะได้มา1บท
ศีลคือกอบที่ต้อง..............  ปฏิบัติตามนา  
ถือเคร่งไม่เสียสัตย์................เยี่ยมแท้
เริ่มต้นอาจเคืองขัด...........ใจหน่อย
พอเชียวชาญดีขึ้น........... ไม่ท้อใจเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 20 พ.ค. 06, 15:08
 .........เสียงถามเสียงหนุ่มซื้อ.............ลำใย . แม่เอย
เสียงบ่นบอกแพงไป...........................แม่ค้า
สองโลยี่สิบไหม...................................ลดหน่อย . เถิดแม่
สองท่อนฟืนเฉียดหน้า.......................แม่ค้า . ปาหัว ฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 21 พ.ค. 06, 00:19
 คุณหมูน้อยคิดได้ยังไงคะ ลิตเติ้ลอ่านแล้วขำมากๆ
อยากแต่งอะไรขำบ้างจัง ไว้จะลองแต่งแล้วเอามาให้ช่วยขำนะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 21 พ.ค. 06, 16:13
 การสร้างอารมณ์ขันให้คนอื่น นับเป็นศิลป์ที่ทำตามไม่ได้ง่ายนัก(ไม่งั้นตลกคาเฟ่จะรวยกันหรือ)  
ยิ่งเอารมณ์ขันมาแต่เป็นโคลงที่แต่งได้ยากอีก นับถือ นับถือ    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 21 พ.ค. 06, 21:57
 อ้างอิงความเห็น ๖๙ และ ๗๑
ขอบพระคุณค่ะคุณจิตแผ้วที่กรุณาแก้ไขให้ถูกต้อง

ขออภัยเรื่องความจำที่ไม่ค่อยจะแม่นด้วยนะคะ  

คุณหมูฯ ...ขอคารวะจริงๆ  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 22 พ.ค. 06, 01:00
 มาแก้ไขที่ตัสเองพิมพ์ผิดเช่นกันค่ะ
กอบ---->กรอบ
เชียว       ----> เชี่ยว

ลองไปแต่งกลอนขำๆมาบ้างอาจไม่ได้ครึ่งหมูน้อยนะ
บทนี้แต่ให้พี่ชายที่เคารพค่ะ

แต่งกลอนรักลึกซึ้ง..............มาอวด พี่ชาย
ถูกไล่ไปพร้อมหวด..............ที่ก้น
ไม่วายถูกตามสวด...............หลายบท  เลยแฮ
หัดแต่งกลอนธรรมบ้าง.........พี่ชี้ แนวทาง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 22 พ.ค. 06, 12:19
 ...  ปูเหม็น  ตอบไม่แฉ้ ............... กำริน
หยวดขิบ   รัณฑ์น้ำจิน .............. ส่วยใถ้
ชานทุกท่วน  ก้วยดิน ................ เปือนเพ่น
แจ๊วหริบ  จาจักใกล้ .................. ร่อยถ้ำ  โถลงแคลง ฯ




.


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 22 พ.ค. 06, 22:37
 .... สุราควรแต่เว้น ...... สัมผัส
เสพเมื่อใดขาขัด .......... ทิ่มหน้า
อาจมใส่จานจัด ............ กินหมด
คลานสี่ขาเหมือนบ้า ..... อย่าได้ลองเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 22 พ.ค. 06, 23:12
 มาสนับสนุนกลอนอาจารย์นิรันดร์ค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 09:57
 ..... ครูคือแบบอย่างเหยี้ยง ....... เยาวชน
สอนสั่งแลทำตน ...................... เพื่อให้
ศิษย์รักซับซึมผล ...... ............... คำสั่ง ครูนา
หาเท่าครูทำให้ ........................ จักษ์แจ้งจริงจัง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 10:05
 ........ ครูเมาหัวทิ่มน้ำ ......... ครำคลอง
ศิษย์แจ่มสองตามอง ............ ช่องชี้
ครูทำใคร่อยากลอง .............. ซดดื่ม สักครา
เมาเล่าหัวตำขี้ ...................... ดั่งถี้ครูนำ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 23 พ.ค. 06, 10:17
 นักกลอนนอนเปล่าอ้าง    เอกา
เหงาเปลี่ยวเดียวแดพา      หม่นไหม้
อกเอยอ่อนอกครา         ขมขื่น
ระทมบ่มพิษไข้          แน่แท้เรียมตรม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 10:19
 ...... ชาวพุทธมีวัตรห้า ......... ควรทำ
ปฏิบัติเป็นประจำ ...................ห่อนเว้น
เมตตาซื่อสัตย์คำ ................... ควรกล่าว
ครองคู่เดียวและเร้น ...............ดื่มเหล้าเมายา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 23 พ.ค. 06, 11:12
 ผมมีเกร็ดเล็กๆมาฝากคุณลิ๊ตเติ้ลครับ คือว่า
หากเราที่ไม่สามารถหาพยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์ตามต้องการได้จะใช้  “ เอกโทษ , โทโทษ “ ก็ได้

คำเอก
ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์เอกบังคับ เช่น ล่า เก่า ก่อน น่า ว่าย ไม่ ฯลฯ
และให้รวมถึง คำตาย ทั้งหมดไม่ว่าจะมีเสียงวรรณยุกต์ใดก็ตาม เช่น ปะ พบ รึ ขัด ชิด

คำตาย คือ
1. คำที่ประสมสระเสียงสั้นแม่ ก กา (ไม่มีตัวสะกด)
2. คำที่สะกดด้วยแม่ กก กบ กด

คำโท
ได้แก่ พยางค์ที่มีรูปวรรณยุกต์โทบังคับ ไม่ว่าจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใดก็ตาม

โทโทษ
คือ นำรูปเอก แปลงมาใช้ เป็นรูปโท  เช่น เล่น
นำมาเขียนใช้เป็น เหล้น
ได้
เอกโทษ
คือ นำรูปโท แปลงมาใช้ เป็นรูปเอก เช่น ห้าม
ข้อน นำมาเขียนเป็น ฮ่าม
ค่อน

ตอนนี้จำได้เพียงเท่านี้ เพราะก่อนหน้านี้ ครั้งสุดท้ายที่เคยแต่งโคลงก็คือตอนอยู่มัธยม วิธีการและฉันทลักษณ์อื่นๆก็ต้องลองไปศึกษาดู(คิดว่ามันน่าจะมีอีก) ผมเองก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ถนัดเรื่องทฤษฎีสักเท่าไหร่ ลำพังพอจำและแต่งได้บ้างก็ถือว่าโชคดีแล้วล่ะครับ แห่ๆๆ

ตัวอย่างการใช้โทโทษ

เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม...................ถึงพรหม
พาเทพเจ้าตกจม......................จ่อมม้วย
เขาพระสุเมรุเปื่อยเป็นตม............ทบท่าว ลงนา
หากอักษิษฐ์พรหมฉ้วย...............พี่ไว้จึ่งคง

ถ้วม =  ท่วม
ฉ้วย =  ช่วย
เป็นต้น


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 23 พ.ค. 06, 11:52
 เกือบลืมแน่ะ!! ..มีเกร็ดเพิ่มอีกนิดครับ (แต่อันนี้ผมไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าวิธีอะไร ใครทราบช่วยบอกที ) เคยเห็นอยู่บ่อยๆ  คือบางโคลงนั้น ตรงบังคับวรรณยุกต์เอก โท นั้น อาจสลับที่กันได้เช่นกัน ได้รับ  สลับเป็น รับได้ เป็นต้น
ตัวอย่างการสลับที่ครับ

แหวนนี้ท่านได้แต่..............ใดมา
เจ้าพิภพโลกา.....................ท่านให้
ทำชอบสิ่งใดฤา..................วานบอก
เราแต่งโคลงถวายไซร้........ท่านให้ รางวัล

ปล. ผมเคยเห็นแต่ใช้ ที่บรรทัดแรก แค่บรรทัดเดียว ไม่แน่ใจว่าสามารถใช้กับบรรทัดอื่นได้ด้วยหรือไม่นะครับ

ปล.2 คุณลิ๊ตเติ้ลครับ อย่าลืมสำผัสตรงตัว y สีน้ำเงิน ที่คหพต.68 นะครับ  (คหพต. 73,78)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 12:02
 อาจเป็นเพราะโคลงของกวีศรีปราชญ์ล่วงเลยมาหลายร้อยปี
ทำให้แต่ละกระแสก็คลาดเคลื่อนกันไป
อย่างของท่านอาจารย์เทาชมพูใน #40 ของกระทู้
 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=12498&page=2
เขียนไว้ว่า

....เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม.........ถึงพรหม
พาเทพเจ้าจ่อมจม...............ตกม้วย
เขาพระเมรุเปี่อยเป็นตม......ทบท่าว ลงนา
หากอกนิษฐ์พรหมฉ้วย.......พี่ไว้จึ่งคง


ส่วนที่ผมจำได้จะเป็น
........เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม ........ ถึงพรหม
พาหมู่สัตว์จ่อมจม ...................ชีพม้วย
พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม..............ทบท่าว ลงนา
หากอักนิฏฐ์พรหมฉ้วย ........... พี่ไว้จึงคง

ผิดพลาดประการใด รบกวนใครที่แม่น ๆ กรุณายืนยันด้วยนะครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 12:13
 คำว่า ฤา ใน #87 ออกเสียงว่า รือ ซึ่งไม่สัมผัสกับ มา และกา ในบรรทัดบน

น่าจะเป็น มา มากกว่า
ที่ผมจำได้จะเหมือนกับคุณหมูทั้งหมด ยกเว้นคำนี้คำเดียวครับ

.......แหวนนี้ท่านได้แต่..............ใดมา
เจ้าพิภพโลกา............................ท่านให้
ทำชอบสิ่งใดมา........................วานบอก
เราแต่งโคลงถวายไซร้...............ท่านให้รางวัล

ซึ่งเป็นบทโต้ตอบระหว่างศรีปราชญ์กับนายทวาร
ที่เห็นแหวนของท่านศรีปราชญ์ก็เลยถามไถ่กัน น่าจะเป็นคนคุ้นเคย
แสดงให้เห็นว่าคนในยุคนั้น มีลมหายใจเป็นกวี    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 12:31
 อีกบทที่สลับตำแหน่ง เอก - โท ที่พอนึกออก

.......อันใดย้ำแก้มแม่ ......หมองหมาย
ยุงเหลือบฤาริ้นพราย.......ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย............ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ ........... ชอกเนื้อเรียมสงวน

โคลงเป็นฉันทลักษณ์ที่มีความแปลกประหลาดในตัวเอง
ด้วยฉันทลักษณ์อื่น จะบังคับเสียงสัมผัสหรือระดับเสียงสูงต่ำ
แต่โคลงกลับบังคับรูปวรรณยุกต์
ทั้งที่รูปวรรณยุกต์มักมีเสียงไม่ตรงเสียงวรรณยุกต์
จะมีก็แต่อักษรกลางคำเป็นเท่านั้นที่รูปและเสียงวรรณยุกต์ตรงกัน
แต่โคลงสี่สุภาพ เมื่อแต่งอย่างถูกบังคับแล้วก็มีความไพเราะไม่แพ้ฉันทลักษณ์อื่นเลย    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 12:35
 อ้างถึง #87 & #89

สงสัยจะไม่ใช่คำว่า มา เพราะ เป็นสัมผัสซ้ำ
ไม่แน่ใจนะครับ อาจเป็นคำว่า นา ก็ได้
แต่อย่างไร ผมว่าไม่ใข่ ฤา แน่


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 23 พ.ค. 06, 12:52
 เรียนอาจารย์ครับ
เท่าที่จำได้ ผมก็จำได้แต่คำว่า นา ครับ ไม่เคยเห็นคำว่า มา
ส่วนคำว่า ฤา นั้นผมก็ไม่เคยเห็นเห็นเหมือนกัน ( แฮ่ๆๆ เพราะผมไปก๊อบปี้ของเขามาแล้วก็ลืมตรวจทานอ่านก่อน ขายหน้าจัง !!)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 23 พ.ค. 06, 16:36
 
 
     หมู หลง เลยล่วงล้ำ                  หลุดคอก
น้อย จิต หากคิดบอก                      แบ่งชั้น
ใน กาย แผกภายนอก                     เพียงร่าง  หมูนา
กะลา ครอบตัวนั้น                         ห่อนกั้น  ไมตรี ฯ  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 23 พ.ค. 06, 16:38
 งั้นขอแก้ไข #89 ตามนี้นะครับ


.......แหวนนี้ท่านได้แต่..............ใดมา
เจ้าพิภพโลกา............................ท่านให้
ทำชอบสิ่งใดนา........................วานบอก
เราแต่งโคลงถวายไซร้...............ท่านให้รางวัล


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 23 พ.ค. 06, 18:45
 ขอบคุณหมูน้อยมากๆค่ะที่ช่วยแนะนำ
ลิตเติ้ลผิดไปแล้ว แงๆๆ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 23 พ.ค. 06, 22:15
 ขอโทษนะคะที่ไม่ได้ทักทายใครเลย
คุณจิตแผ้ว กำลังเหงา เขาว่าคนเหงาเพราะกำลังค้นหาตัวเองค่ะ

อาจารย์นิรันดร์แต่งหลอนทีไร ได้เรื่องทุกทีเลยนะคะ ดีมากๆค่ะ
ให้ข้อคืดดี
ขอบคุณหมูน้อย ที่ให้เกร็ดความรู้เรื่องแต่งกลอนนะคะ

ลิตเติ้ลไปแก้มาใหม่แล้วค่า
ผิดตรงไหนก็แนะนำอีกนะคะทุกท่าน

แต่งกลอนรักลึกซึ้ง............. มากฝากพี่ชาย
ท้ายสุดโดนพี่ว๊าก................กลับบ้าน
ธรรมะมีเรื่องตั้งมาก.............ไม่แต่ง ดูฤา
ลองสักบทสะท้าน...............สะท้อนความจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 23 พ.ค. 06, 22:48
 คุณลิ๊ตเติ้ลที่น่ารัก
อดอมยิ้มกับความเพียรของคุณไม่ได้ ยิ่งเห็นโคลงบทนี้ก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีก
แต่งได้ดีมากเลยครับ บทนี้ ความหมายก็น่ารักดี..


----->อาจารย์นิรันดร์แต่งหลอนทีไร ได้เรื่องทุกทีเลยนะคะ ดีมากๆค่ะ ให้ข้อคืดดี<--------
( ไม่รู้ว่าชอบมากหรือชอบน้อย กับโคลงของอาจารย์ท่าน ฮ่ะๆ
ตกลงเป็น" แต่งกลอน" หรือ " แต่งหลอน"  กันแน่จ๊ะ)

----->ขอบคุณหมูน้อย ที่ให้เกร็ดความรู้เรื่องแต่งกลอนนะคะ<--------
( กระทู้นี้ผมยังไม่ได้แนะ ให้เกร็ดความรู้เรื่อง " กลอน " แก่ใครเลยจ๊ะคุณลิ๊ตเติ้ล  ผมแนะเรื่อง " โคลง"  
ที่แนะเรื่องกลอนนั่นมันอีกกระทู้หนึ่งจ้าาาาาา)

ขอเป็นกำลังใจให้คุณ ให้แต่งทั้งโคลงและกลอนได้เก่งๆคล่องๆยิ่งขึ้นครับ พี่ๆท่านอื่นและอาจารย์เมื่อเห็นความพยายามของคุณก็ต้องเป็นกำลังใจให้คุณด้วยแน่นอนครับผม !!

ปล.ผมไม่แน่ใจนะครับว่าตรงคำว่า " ว๊าก " นั้นถูกต้องรึเปล่า  เพราะไม่เคยเห็นว่ามีใครเคยใช้รูปวรรณยุกต์ตรงตำแหน่งดังกล่าวมาก่อนเลย  แต่คิดว่าอาจไม่ผิดฉันทลักษณ์ก็ได้เพราะ ไม่เคยเห็นมีข้อห้ามไว้เช่นกัน บอกแล้วผมไม่ค่อยถนัดเรื่องทฤษฎี

ต้องเชิญอาจารย์นิรันดร์มาช่วยตอบแล้วล่ะครับ!!


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 24 พ.ค. 06, 01:07
 อ้างอิง ๙๖ และ๙๗ ค่ะ

เรื่องวรรณยุกต์ที่ตำแหน่งนั้นอิฉันเองก็ไม่มีความรู้
แต่ที่รู้แน่ๆ คือ ว. แหวน เป็นอักษรต่ำค่ะ
เมื่ออักษรต่ำผสมกับวรรณยุกต์ โท จะออกเสียงเหมือนอักษรกลาง ผสมวรรณยุกต์ ตรี
ดังนั้น คำว่า ว๊าก จึงไม่ควรใช้ไม้ตรีค่ะ ที่ถูกต้องสะกดว่า "ว้าก"

ลองสังเกตนะคะ อย่างคำว่า "ว้า" ใช้ไม้โท ยังอ่านออกเสียงเป็นเสียงตรีเลย ดังนั้นคำว่า "ว้าก" จึงยึดแบบแผนเดียวกัน

 


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 24 พ.ค. 06, 01:14
 มีข้อสังเกตเพิ่มเติมค่ะ
พอกดส่ง คหพ ๙๘ แล้วจึงนึกได้

ถ้าคุณ Little Sun เปลี่ยนรูปวรรณยุกต์จากตรี เป็นโทแล้ว
คำนั้น จะกลายเป็น "ว้าก"
แม้ว่า ณ ตำแหน่งที่คำว่า ว้าก อยู่ตอนนี้
ไม่ได้กำหนดรูปวรรณยุกต์ไว้ก็จริง
แต่โคลงของคุณ Little Sun จะมีคำที่มีรูปวรรณยุกต์ โท เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคำ
ทำให้มี "คำโท" เกินจากที่ฉันทลักษณ์บังคับไว้

อิฉันเองก็ไม่ทราบว่าผิดหลักหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวรู้สึกว่าแปลกๆ นะคะ
เรียนถามความคิดเห็นท่านอื่นๆ ด้วยค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 24 พ.ค. 06, 03:20
 เกินได้ แต่ขาดไม่ได้ครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 24 พ.ค. 06, 09:20
 การแต่งโคลง นั้น บังคับรูปวรรณยุกต์ โท
หากเป็นคำที่ใช้รูปวรรณยุกต์เอก แล้วไม่ตรงบังคับแต่ทำเป็นสะกดผิดให้ได้รูปวรรณยุกต์โทโดยเสียงของคำคงเดิม ก็อนุโลมให้ใช้ได้ เรียกว่าโทโทษ
แล้วก็ยังยอมให้มีเอกโทษ ได้อีกเช่นกัน
แต่คำที่รูปวรรณยุกต์เอก ไม่ใคร่เคร่งครัดนัก ให้ใช้คำตาย คือคำที่สะกดด้วยมาตราตัวสะกด แม่ กก กด กบ แทนคำที่ต้องใช้รูปวรรณยุกต์เอกได้

หากโคลงใดจะมีวรรณยุกต์เอก โท เกินไปบ้างก็ไม่ถือว่าผิดฉันทลักษณ์
แต่ถ้ามีมากเกินไปมากนักก็จะมีคำตำหนิอย่างเป็นทางการว่าโคลงรกเอก รกโท ครับ  

การให้ใช้คำตายแทนวรรณยุกต์เอกได้ นับว่าช่วยให้แต่โคลงได้ง่ายขึ้นแยะครับ    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 24 พ.ค. 06, 09:52
 กรรมใดใครก่อไว้           กับใคร  ก็ดี
กรรมย่อมติดตามใคร        ทั่วหน้า
กรรมดีย่อมยกใคร            สูงส่ง
กรรมชั่วฉุดให้ล้า               ต่ำช้าเลวทราม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 24 พ.ค. 06, 10:50
 เรียนคุณจิตแผ้ว

ตรงบังคับสัมผัสบรรทัดแรกคำที่7 บังคับให้ต้องคล้องกับ บรรทัดที่2 คำที่5 และบรรทัด3 คำที่ 5 ตรงนี้ผมเข้าใจว่า เป็นบังคับให้สำผัส ไม่ใช่ให้เป็นคำๆเดียวกัน หรือแม้แต่คำพ้องเสียงเดียวกันก็น่าจะงดเว้นไม่ใช้

ส่วนช่องว่างระหว่างโคลงหรือกลอนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากให้เว้นพื้นที่ว่างระหว่างคำมากๆนั้น ผมขอแนะนำให้ใช้ ................ เพื่อแทนช่องว่าง หรือไม่ ก็ใช้  Vcafe Code ครับมันจะอยู่ด้านล่างของ VSmilies    นะครับ อ่านคำแนะนำและวิธีใช้ก็จะทำเป็นครับ ไม่แนะนำให้ใช้ เจ้าตัวแป้นยาวๆสำหรับเคาะเว้นวรรคตรงคีย์บอร์ดครับ ไม่เช่นนั้น ถึงจะเค้าให้ห่างเท่าใดก็ตามมันก็จะเด้งกลับมาติดกันกับคำหรือประโยคหน้าเหมือนเดิม เอาไว้หากไม่เข้าใจอะไรหรือต้องการทราบอะไรเพิ่มเติมก็ ส่งVsms มาถามเหมือนเดิมอีกก็ได้นะครับ ยินดีตอบให้(แม้ว่าจะงูๆปลาๆก็ตาม)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 24 พ.ค. 06, 10:50
 เรียนคุณจิตแผ้ว

ตรงบังคับสัมผัสบรรทัดแรกคำที่7 บังคับให้ต้องคล้องกับ บรรทัดที่2 คำที่5 และบรรทัด3 คำที่ 5 ตรงนี้ผมเข้าใจว่า เป็นบังคับให้สำผัส ไม่ใช่ให้เป็นคำๆเดียวกัน หรือแม้แต่คำพ้องเสียงเดียวกันก็น่าจะงดเว้นไม่ใช้

ส่วนช่องว่างระหว่างโคลงหรือกลอนหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากให้เว้นพื้นที่ว่างระหว่างคำมากๆนั้น ผมขอแนะนำให้ใช้ ................ เพื่อแทนช่องว่าง หรือไม่ ก็ใช้  Vcafe Code ครับมันจะอยู่ด้านล่างของ VSmilies    นะครับ อ่านคำแนะนำและวิธีใช้ก็จะทำเป็นครับ ไม่แนะนำให้ใช้ เจ้าตัวแป้นยาวๆสำหรับเคาะเว้นวรรคตรงคีย์บอร์ดครับ ไม่เช่นนั้น ถึงจะเค้าให้ห่างเท่าใดก็ตามมันก็จะเด้งกลับมาติดกันกับคำหรือประโยคหน้าเหมือนเดิม เอาไว้หากไม่เข้าใจอะไรหรือต้องการทราบอะไรเพิ่มเติมก็ ส่งVsms มาถามเหมือนเดิมอีกก็ได้นะครับ ยินดีตอบให้(แม้ว่าจะงูๆปลาๆก็ตาม)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 24 พ.ค. 06, 12:39
 ลองอยากก็แต่งเขา....ชายชาติ
อ่านคนมีไม่อาจ....ว่ารู้
กลับย้อนแต่งประหลาด....เล่นก็
หลังมาหน้าจากสู้....เพราะไม่ คงมัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 24 พ.ค. 06, 14:02
 ไหนลองเหมือนคุณเครซี่ฯบ้างสิครับ  กลับหน้ากลับหลัง กลับไป กลับมา    ???              
 


                        นักรบ

ชัยชาญ หาญศึกกล้า              ชาญชัย
ป้องปก แผ่นดินไทย               ปกป้อง
หวั่นฤ เลือดรินไหล                 ฤหวั่น
สยามถิ่น ประกาศก้อง             แซ่ซ้อง ถิ่นสยาม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 24 พ.ค. 06, 18:15
 ขอบพระคุณทุกคำแนะนำและคำติชมนะคะ
ลิตเติ้ลจะนำไปปรับปรุงค่ะ

คุณหมูละเอียดนะคะ ลิตเติ้ลพิมพ์ผิดหรอกค่ะ
หลอน ขอเปลี่ยนเป็นกลอนค่ะ อาจารย์นิรันดร์อ่านเจอคง
ใจหาย ขอโทษนะคะ

ขอบคุณหมูน้อยที่ให้คำแนะนำเรื่องแต่งโคลงสี่สุภาพ ไม่ใช่กลอนก็ได้ค่ะ เอดีเหมือนกันนะคะมีคนตรวจละเอียดแบบนี้
ลิตเติ้ลจะได้รอบคอบไปด้วย ท่าทางจะเป็น บก.


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 24 พ.ค. 06, 21:11
 ห หีบ กับ ก ไก่ เป็นแป้นอยู่ติดกัน
ก็เดาได้ว่าคงเคาะผิดไปนิด
ไม่ได้คิดว่าตั้งใจสะกดผิดหรอกครับ  

แต่ก่อน ถ้าผมเจอแบบนี้ ผมจะเข้าไปแก้ไขให้
แต่เดี๋ยวนี้ ระบบเปลี่ยน ผมเข้าไปทำอะไรไม่ได้

แล้วแปลก ๆ ที่ชื่อคนอื่นเป็นสีน้ำเงิน
พอชื่อผมเป็นสีเลือดหมู

เหอะ เหอะ
เกิดอะไรขึ้นกับเว็บบอร์ดนี้


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 24 พ.ค. 06, 21:44
 อ้าว สีกลับมาเหมือนคนอื่นแล้ว อิอิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 24 พ.ค. 06, 21:56
 มีใครแอบมาเล่นกลหรือเปล่านา ตัวอักษรเลย
เปลี่ยนสีได้ คนแต่งโคลงเก่งนี่แต่งยังไงก็ได้นะคะ
ลิตเติ้ล แต่งตั้งนานกว่าจะได้แต่ละบท
เมื่อคืนได้ 2บท ต้องกลับไปแก้ใหม่อีกค่ะ
เพราะหลังจากอ่านคำแนะนำของแต่ละท่านแล้ว
ทำให้ลิตเติ้ลต้องปรับปรุงเยอะ ดีค่ะดี จะได้แต่งเก่ง
เหมือนกับทุกท่านในนี้บ้าง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 25 พ.ค. 06, 05:41
 ขอขอบคุณหมูน้อยที่กรุณาครับ เพื่อนแท้คือคนที่คอยแก้ไขและส่งเสริมเพื่อนดังที่
หมูน้อยกำลังกระทำอยู่ขอกุศลผลบุญจงกลับคืนสู่สาธุชนผู้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม
ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเทอญ
 ฝูงชนกำเนิดคล้าย      คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ     แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน       กันหมด
เว้นแต่ชั่วดีกระด้าง       ห่อนแก้ฤาไหว
                             หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 25 พ.ค. 06, 12:10
 ผมมีเรื่องมาบอกเล่า(เชิงสารภาพ)กับคุณลิ๊ตเติล ซัน , คุณชื่นใจ , คุณจิตแผ้ว , คุณเครซี่ฯ และอาจารย์นิรันดร์สักหน่อยหนึ่งครับ

อันที่จริงแล้วผมไม่ค่อยสู้รู้เรื่องโคลงสี่สุภาพสักเท่าไหร่เลย

พอแนะนำใครไปก็แนะได้ไม่เต็มปาก  ก็อย่างที่บอก ว่าความรู้มัเข้ากรุไปนานแล้ว
จำได้ว่าสมัยมัธยม เรียนวิชาแต่งบทร้อยกรอง ผมแต่งโคลงอยู่ 2 บท (จำไม่ได้แล้ว)เป็นการบ้านส่งครู ท่านก็ให้คะแนนมา 4เต็ม10 ตอนสอบไล่ ครูท่านก็ให้แต่งกลอน 5 บทให้เลือกจากหัวข้อที่กำหนดให้ และให้แต่งโคลงอีก 1 บทเรื่องอะไรก็ได้ กลอนนั้นผมเลือกหัวข้อเรื่องคุณครูของฉัน(จำบางบทได้อย่างเลือนลางเต็มที) ส่วนโคลงนั้นผมจำได้แม่นเพราะแต่งเพียงบทเดียว บทที่ว่าก็คือ

.." งาม ใด ใด ห่อน สู้ ......... งาม ใจ
งาม อื่น หมื่น พัน ใด .......... ไป่ สู้
งาม รูป อาจ แปร ไป .......... เป็น อื่น
งาม จิต มารยาท รู้ .............. เพริด พริ้ง สถาพร "

เคยโพสไปแล้วที่กระทู้นี้แหละ #คหพต.ที่ 24 (คุณลิ๊ตเติ้ลฯยังเคยตามไปชมแต่ครั้งกระโน้นว่า กลอน นี้เพราะดี ) ก่อนหน้านี้ หลังจากดูภาพยนต์เรื่องบางระจัน จบผมคว้าปากกามาแต่งไว้บทหนึ่งตั้งชื่อว่า “ นักรบ “ ที่โพสไว้ใน คหพต.ที่  106 กระทู้นี้ด้านบน ….นั่นเป็น โคลงบทสุดท้ายจริงๆ ก่อนที่ผมจะพบกับเรือนไทยและกระทู้นี้ (สมัยเรียนเคยแต่งฉันท์ไว้เรื่องหนึ่งประมาณ 10 บท แต่จำเนื้อเรื่องไม่ได้แล้ว  จำไม่ได้กระทั่งว่าที่แต่งนั้นเป็นฉันท์ประเภทไหน)

ตัวผมเองเมื่อเห็นโคลงกลอนต่างๆก็มักจะฟังผ่านๆดูผ่านๆ บางครั้งก็แอบวิเคราะห์ไปในใจ ว่าบทไหนเพราะบ้าง เนื้อหาสอดคล้องกันไหม โดยที่รู้เรื่องของฉันท์ลักษณ์ น้อยมาก จำได้บ้างไม่ได้บ้าง อาศัยความรู้งูๆปลาๆประกอบกับฟังดูว่ามันไพเราะไหมสำหรับเราเท่านั้นเอง  
โคลง4ฯนี่ก็เหมือนกัน บางครั้งผมสับสนเหมือนกันนะ ว่าเอก 7 ส่วนโท นี่ 4หรือ5 ???  ก็ต้องหาเปิดดู อีก

ที่แนะนำคุณลิตเติ้ลฯไปนั้นก็อาศัยจากความทรงจำอันเลือนลางและการสังเกตุเอา เช่น การสลับที่เอก-โท ฯลฯ ส่วนตัวอย่างนั้นก็อาศัยก็อปปี้ มาจากเว็บอื่นหรือกระทู้อื่น  แม้แต่โคลงบทที่ว่า

เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม...................ถึงพรหม
พาเทพเจ้าตกจม......................จ่อมม้วย
เขาพระสุเมรุเปื่อยเป็นตม............ทบท่าว ลงนา
หากอักษิษฐ์พรหมฉ้วย...............พี่ไว้จึ่งคง

เคยได้ยินอีกแบบ เหมือน อ.นิรันดร์คือ

….....เรียมร่ำน้ำเนตรถ้วม ........ ถึงพรหม
พาหมู่สัตว์จ่อมจม ...................ชีพม้วย
พระสุเมรุเปื่อยเป็นตม..............ทบท่าว ลงนา
หากอักนิฏฐ์พรหมฉ้วย ........... พี่ไว้จึงคง

หรือโคลงบท

แหวนนี้ท่านได้แต่..............ใดมา
เจ้าพิภพโลกา.....................ท่านให้
ทำชอบสิ่งใดฤา..................วานบอก
เราแต่งโคลงถวายไซร้........ท่านให้ รางวัล

ก็ไม่เคยเห็น “ ฤา “พอกด โพสลงไป “ อ๊าว..มีบทนี้ด้วยเหรอ??” อย่างที่อ.นิรันดร์ กรุณาติงมา ส่วนที่แนะคุณจิตแผ้วไปนั้นก็ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่มีที่อ้างอิงใดๆ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 25 พ.ค. 06, 12:12
 ที่คุณจิตแผ้วยกมา ผมคิดว่า น่าจะมาจากโคลงโลกนิติ นะครับ
ซึ่งทรงประพันธ์โดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร
พระเจ้าน้องยาเธอในรัชการที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ฯ

และที่ผมจำได้จะใช้คำว่า ยก แทนคำว่า เว้น คือ

......ฝูงชนกำเนิดคล้าย ..... คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ .... แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน ......... กันหมด
ยก
แต่ชั่วดีกระด้าง .......... ห่อนแก้ฤาไหว


ถ้าผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 25 พ.ค. 06, 12:15
 พอเริ่มแต่งโคลงอีกผมก็มีความรู้สึกสนุก ผมว่าโคลงมันมีเสน่ห์หลายอย่างที่ต่างจากกลอน มันมีลูกเล่นอีกแบบที่ไม่เหมือนบทร้อยกรองอื่นๆ โคลงบท คหพต.ที่ 67 ผมหยิบของคนอื่นมาแปะไว้  ส่วน คหพต.ที่ 74 นั้นนึกสนุกแต่งล้อเลียน บทครูที่ว่า “ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง….อันใด พี่เอย..” แปลงเป็น “ เสียงลือเสียงหนุ่มซื้อ……….ลำไย แม่เอย..”ซะ อย่างที่เห็น

สารภาพอีกทีว่าโคลงคำผวนของสุนทรภู่นั้นผมไม่เคยเห็นมาก่อน (ด้วยความรู้น้อย)เห็นแล้วก็เลยตื่นตาตื่นใจในลูกเล่น ก็เลยลองแต่งบทโคลงผวนคำ ที่ คหพต.ที่ 79 เข้ามา (แล้วก็โดนสวดยาวกันไป 555    ) ด้วยน้อยใจตัวเอง จึงแต่งอีกบทชื่อ “ หมูนอกคอก “ ขึ้นมาใน คหพต .ที่ 93 ( แอบแทรก กลบท ลงไปเล็กน้อยตรงคำแรกของแต่ล่ะวรรค )

พอเห็น คหพต.ที่ 105 ของคุณเครซี่ ฯ ยิ่งประหลาดใจไปใหญ่ว่ามีโคลงลูกเล่นแพรวพราวขนาดนี้เลยรึ …. อ่านโดยไม่ต้องผวนคำ แต่อ่านจากคำหลังสุดในแต่ล่ะวรรค มาหน้าสุด !! เห็นว่าคุณ เครซี่ ฯ เข้าใจประดิษฐ์ประโยคจัง
ส่วนโคลงบทที่ผมแต่งนั้น คุณลิ๊ตเติ้ล ฯ จะสังเกตุได้ว่าผมใช้คำและภาษาที่แสนจะธรรมดา คำพื้นๆ ไม่ได้เอาคำวิลาสหรูมาจากไหน(เพราะไม่รู้จะไปหามาจากไหนเหมือนกัน)
ด้วยเหตุนี้ หากมีใครสักคนมาบอกว่าผมเก่งโคลง ผมจึงกระดากใจที่จะรับคำชมนั้นไว้ แต่งไปก็เพียงแค่อยากร่วมสนุกกับทุกท่านและอยากวัดฝีมือตัวเอง กับตัวเอง ให้รู้สึกนับถือตัวเองมากขึ้น ก็เท่านั้น

พิมพ์ไปพิมพ์มาชักจะยาว
ถ้างั้น

ขอจบเรื่องเล่าไว้เพียงเท่านี้  



…………….ปิดม่าน…………….


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 25 พ.ค. 06, 12:20
 ส่วน ฯพณฯ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ท่านได้แปลงโคลงบทนี้เป็นภาษาอังกฤษ ว่า

Born men are we all ............. and one
Brown, black by the sun ...... cultured.
Knowledge can be won ...... alike.
Only the heart differs ,............from man to man.

ส่วนต้นฉบับโคลง จะใช้คำว่า เว้น (ไม่ได้ ยก อย่างที่ผมยกมา)
เหมือนที่คุณจิตแผ้วยกมา

ที่มา
 http://www.osknetwork.com/modules.php?name=News&file=print&sid=539  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 25 พ.ค. 06, 12:25
 อ่านความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโคลงโลกนิติได้ที่
 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B4  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 25 พ.ค. 06, 12:33
 ผมที่จะพลาดไปเสียแล้ว
โคลงบทนี้ น่าจะเป็นประราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ร.๕ครับ

 http://www.wattampa.com/page_02/rhyme02.html  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 25 พ.ค. 06, 16:11
 ……..เมื่อคืนนอนจะหลับอยู่แล้ว ใจละเมอคิดแต่งโคลงได้บทหนึ่ง เมื่อกี้เลยจับมาเขียน และตั้งชื่อให้มันด้วย (เวอร์ไปไม๊เนี๊ย) จะว่าไปแล้วมันก็เข้ากับตัวผมดี......

 


                                                        ในสังคม


                  เขลา จึงมักเอ่ยอ้าง                 อวด ฉลาด
                ขลาด ริ ยัง บังอาจ                    อวด กล้า
                คร้าน ยังไม่วายวาด                   ว่า หมั่น
                เลว กลับ ไม่อายฟ้า                   กล่าวแสร้ง แกล้ง ดี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 25 พ.ค. 06, 17:08
 ฉลาดจึงสงบหลบเลี่ยง.....แกล้งเขลา
กล้าจึงแฝงกายเข้า.....ทำขลาด
หมั่นจึงสู้หนักเบา.....ไม่คร้าน
ดีจึ่งละอำนาจ.....หลีกพ้น ชนเลว


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 25 พ.ค. 06, 18:36
 คุณ เครซี่ ฯทำผมประทับใจมาครั้งหนึ่งแล้วครั้งนี้ก็เช่นกัน

ผิแต่ว่า เสียตรงฉันทลักษณ์(กระมัง)นิดเดียว ตรงเอก ตรงโท แต่แต่งได้คล้อง , ลูกเล่นแพรวพราว และได้ความหมายกระชับ ดี



นี่ขนาดเพิ่งเคยเห็นแต่ง แสดงว่ายังออมมือไว้อีกเยอะ

นับถือ นับถือ

เช่นนั้นเชิญมาร่วมสนุกด้วยกันต่อให้นานๆเถิดท่าน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 25 พ.ค. 06, 19:05
 
 


                                                    ในสังคม ๒


                  ฉลาด จริงจึงมิอ้าง                 อวดฉลาด
                รู้ มัก มิ บังอาจ                          อวด รู้
                โง่ กลับบอกเป็นปราชญ์              ปิด โง่
                คำ โอ่ ฤ จะ สู้                         สงบถ้อย เสงี่ยม คำ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 25 พ.ค. 06, 19:13
 ตัวเรา ยังอ่อนด้อย.....เพียงดิน
เอื้อมอาจ เหยียบถึงถิ่น.....พญาหงส์
ประลองวิชา.....อาจถึงฆาต เชียวแล
ได้แต่ จดหมัดจ้อง.....ลองดู


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 25 พ.ค. 06, 21:46
 โหแต่งกันได้ยังกับมืออาชีพเลยนะอืจฉาๆ
ลิตเติ้ลใช้ความพยายามกลับไปแก้มาอีกรอบค่ะวน
อยู่ที่เดืมแต่คิดว่าน่าจะถูกนะคะ ช่วยตรวจด้วยค่ะ
ขอบคุณ
พากันล่วงหน้าลิตเติ้ลไปหมดเลยนะ ยังกับฝีมืออนุบาล
กับพี่มหาลัยยังงั้นแหละ
แต่งกลอนรักลึกซึ้ง  .............มาฝากพี่ชาย
เสียงตอบมาดังมาก..............เด็กบ้า
ธรรมะมีเรื่องหลายหลาก.........ไปแต่ง ดูซี
บุญส่องใจสว่างจ้า...........แก่เจ้า  ลองดู


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 25 พ.ค. 06, 21:53
 ลิตเติ้ลหมายถุงตัวเองแนุบาลนะ
ส่วนท่านอื่นๆระดับมหาวิทยาลัยค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 25 พ.ค. 06, 22:01
 คำที่เก้า บรรทัดแรก (คำสร้อย) ผมว่า เขาไม่นิยมให้มีความหมายนะครับ คำสร้อยเอาเก็บไว้ใช้เมื่อจำเป็น

1 2 3 4 5.............6 7 ( 8 9 )
1 2 3 4 5.............6 7
1 2 3 4 5.............6 7 ( 8 9 )
1 2 3 4 5.............6 7 . 8 9

ในวงเล็บเรียกว่าคำสร้อย ถ้าคำอื่นมีความหมายตามที่เราต้องการแล้ว คำในวงเล็บก็ (สำหรับผม)ไม่นิยมเติมไป

หากต้องเติม ก็ให้มีความหมายเฉพาะในคำที่ 8ในวงเล็บ ส่วนคำที่เก้า ไม่นิยมให้มีความหมายครับ โดยมากจะใช้คำว่า นา , เฮย แม่ , พี่,  แฮ  ฤ  แล ฯลฯ
ปล.แม้ว่าบางคำจะมีความหมาย เช่น พี่ , แม่ ก็ไม่ให้ถือเอาเป็นคำมีความหมายของประโยค ครับผม

ลองอีกนิด น่ะคุณลิ๊ตเติ้ลฯ ใกล้ล่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 25 พ.ค. 06, 22:55
 .... ปัญญามีมากเพี้ยง ....... ทะเล
เก็บซ่อนมิผ่อนเท ..............ออกบ้าง
คราวชีวาตขาดเจ-........... รจาอีก
รู้เปล่าราวกับร้าง ............ ร่างผู้คนเป็น


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 25 พ.ค. 06, 23:40
 .... ปัญญามีแต่น้อย ......... เพียงนิด
ใจมุ่งบำรุงกิจ ................. ห่อนเว้น
ตั้งใจถ่ายเทวิช- .............. ชามั่น
สลายร่างชีพมิเร้น ........... อยู่ได้ใจคน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 พ.ค. 06, 06:48

ปางหนึ่งซึ่งฟ้าโน้ม จูบดิน
สวรรค์ส่งหมอกประทิน พรายพร่าง
งามดุจจะยลยิน น้ำค้างหยาด
ปางมนุษย์สุดสรรค์สร้าง ปางอุ๋ง นี้แลฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 26 พ.ค. 06, 10:08
 ขอขอบคุณอาจารย์นิรันดร์ที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อความถูกต้องครับ ก็เป็นไปดั่งที่อาจารย์นิรันดร์ให้ความรู้ไว้ครับ ท่านนายก เสนีย์ แปลงเป็นภาษาไทยครับ
ไม่ได้เป็นคนแต่งครับ ต้องขออภัยในความผิดพลาด และรู้สึกซาบซึ้งในน้ำมิตรที่ทุกท่าน
มอบให้ซึ่งกันและกันด้วยความจริงใจครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 26 พ.ค. 06, 10:58
 .... นกเอ๋ยนกกิ้งโคลง
หลงเข้าโพรงนกเอี้ยงเถียงเจ้าของ
อ้อยอี๋เอียงอ้อยอี๋เอียงส่งเสียงร้อง
เจ้าของเขาว่าน่าไม่อาย
แต่นกยังรู้ผิดรัง
นักปราชญ์รู้พลั้งไม่แม่นหมาย
รู้ผิดรับผิดพอผ่อนร้าย
ภายหลังจงระวังอย่าพลั้งเอย

ผมเองก็พลาดเหมือนกับครับคุณจิตแผ้ว
พบที่ผมผิดก็ช่วยติงด้วยนะครับ    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 26 พ.ค. 06, 12:25
 ขออนุญาต ลงภาพประกอบครับ
เป็นแผนผังฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพ (อีกที) เผื่อท่านอื่นที่เข้ามาแล้ว หรือกำลังจะเข้ามาอ่านในอนาคต นึกสนุก อยากกระโดดลงมาร่วมแจมกัน..



.


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 พ.ค. 06, 12:50
 http://thaiarc.tu.ac.th/poetry/khloong/index.html  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 26 พ.ค. 06, 14:20
 
 
                เทพสรรค์ สรวงแห่งพื้น                 พิภพ
                แดนแห่ง ดินบรรจบ                      จูบฟ้า
                ปางอุ๋ง อาบสงบ                           งามผ่อง
                หมอกลูบ ละโลมหล้า                    เร่งเร้า วิญญาณ์ ฯ



.


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 พ.ค. 06, 15:24
 เทพสรรค์สร้างสรวงศรีบนพิภพ
สร้างแผ่นดินมาสยบจบแผ่นฟ้า
ส่งหมอกลูบประโลมเร่งเร้าวิญญาณ์
กระจ่างตาสงบวาง ณ ปางอุ๋ง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 พ.ค. 06, 15:31
 ปางเอยปางอุ๋งเจ้า ปางใดไหนเล่า จะเทียบเจ้าฤปางอุ๋ง
ความงามที่ชนหมายมุ่ง ยามตะวันรุ่ง อาจพบพานได้ที่นี้
ผืนป่าประโคมดนตรี ข้าขอถามที นี่มิใช่สวรรค์ฤา?


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 26 พ.ค. 06, 17:03
 คุณเครซี่ฯ เคยไปเหยียบสวรรค์แห่งนั้นมาแล้วใช่ไหมครับ ถึงถ่ายภาพนั้นมาได้
น่าอิจฉา เหลือเกิน..

ตาม คหพต. ที่   135   นั้น


ร้อยกรองบทนี้เรียก ……………. ชื่อใด


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 พ.ค. 06, 17:35
 ไปมาเมื่อต้นปีครับ เสียดายไม่ได้นอนพักบนนั้น แต่ก็ขึ้นไป 2 วันซ้อนเลยครับ

ช่วงเช้าๆ และเย็นๆจะสวยมากเป็นพิเศษ

รูปที่เห็นเป็นช่วงเช้า ผมถ่ายจากในป่าสนทางขวามือในรูปของคุณหมูฯไงครับ

ส่วนคคห.135 นั้นเป็น กาบกล้วย ครับ ฮิฮิ

ยืมวรรคกาพย์ฉบังมาใส่สัมผัสแบบกาพย์ขับไม้ครับ

ได้จังหวะแบบที่ชอบเป็นส่วนตัวครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 26 พ.ค. 06, 21:48
 ภาพประกอบในความเห็น 128 และ 133 งามนะคะ
กลอนก็เพราะค่ะ ลืตเติ้ลจะพยายามค่า


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 27 พ.ค. 06, 09:38
 สงสารเธอสุดแล้ว      คุณครู
คนเถื่อนหยามพธู      กึ่งม้วย
วิงวอนช่วยเอ็นดู      กันหน่อย
วานส่งจิตปลอบด้วย    เผื่อน้องหายคืน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 27 พ.ค. 06, 19:42
 ลิตเติ้ลก็เพียงแต่ได้ส่งกำลังใจไปให้ครูและชาวใต้
ของเราอยู่อย่างสงบไม่มีภัยก่อการร้ายคุกคาม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 27 พ.ค. 06, 23:27
 ขอแก้ไขหน่อยครับ ในคคห.135 เป็นกาพย์ฉบัง 16 ครับ

ผมแต่งมานาน เคยเป็นจาก website อ.กำชัย นี่แหละ แต่อ่านไม่ดี เลยหลงเข้าใจว่าไม่ใช่กาพย์ฉบัง 16 แล้วจำมาผิดๆตลอดว่าไม่ใช้ฉันทลักษณ์มาตรฐาน

กลับไปดูอีกที ตัวอย่างในนั้นน่ะไม่ตรงกับแผนที่แสดงไว้

ตัวอย่างถูก แต่แผนผิดครับ

ดังนั้นในคคห.135 คือกาพย์ฉบัง 16

ขออภัยในความผิดพลาดครับ

ขออนุญาตยืมของอ.นิรันดร์มาแปลงนะครับ

แต่นกยังรู้ผิดรัง ปราชญ์ยังรู้พลั้ง นักกระยาสาทรย่อมพลาดได้
เราเองนั้นไม่แม่นหมาย ขอรับผ่อนร้าย รู้ผิดและขอรับผิด
หวัีงทัณฑ์ไม่ถึงชีวิต จะสำรวมจิต ไม่ผิดไม่พลั้งบ่อยเอยฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 28 พ.ค. 06, 21:08
 มาส่งโคลงค่ะ หายไปไหนเนี่ยประเดี๋ยวลิตเติ้ล
แอบหนีอีกคน

รักกว้างกว่าขอบฟ้า  ................มาชน
มอบแด่คนหน้ามล...................จิตล้ำ
ให้แล้วอย่าทำหล่น.................นาพี่
จริงบ่ลวงให้ช้ำ........................แน่แท้ พ่อเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 29 พ.ค. 06, 00:27
 ดอกสร้อย นกเอ๋ยนกกิ้งโครง นั้น
ผมไม่ได้เป็นคนแต่งนะครับ
เป็นบทอาขยาน บทดอกสร้อยสุภาษิต
คุณครูให้ท่องจำสมัยที่ยังเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนสตรีทัดสิงหเสนีย์
มีอีกหลายบทเช่น เด็กเอ๋ยเด็กน้อย แมวเอ๋ยแมวเหมียว ตุ๊ดเอ๋ยตุ๊ดตู่
ซักเอ๋ยซักซ่าว มดเอ๋ยมดแดง จิงเอ๋ยจิงโจ้
และคงมีที่จำไม่ได้อีกโข


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 29 พ.ค. 06, 00:36
 ........ไมตรีดีที่ให้ ........ ใจตรง
รับเพื่ออานิสงฆ์ ........... ผ่ายหน้า
จักถนอมมิ่งมิตรคง ...... ตรึงแน่น
จักบ่ลวงอกช้ำ .............. เชื่อได้ลูกเอย    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 29 พ.ค. 06, 00:49
 โคลง ของ อ.นิรันดร์ในความเห็นที่144 หน้า กับ ช้ำควรสัมผัสกันลองตรวจทานดูอีกครั้งครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 29 พ.ค. 06, 00:58
 ผิดสัมผัส ขาดไปหน่อย ขอแก้ไขบรรทัดสุดท้ายนะครับ


........ไมตรีดีที่ให้ ........ ใจตรง
รับเพื่ออานิสงฆ์ ........... ผ่ายหน้า
จักถนอมมิ่งมิตรคง ...... ตรึงแน่น
จักบ่ลวงอกอ้า .............. เปิดให้ลูกเห็น


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 29 พ.ค. 06, 11:05
 ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่ออีกแล้วครับอาจารย์

ผิดซ้ำผิดซาก

ต้องขอสงบสติอารมณ์สักพักครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 30 พ.ค. 06, 05:10
 มาส่งโคลงจ้า  เนื่องจากลิตเติ้ลผิดสัญญากับพี่
ว่าจะไม่แต่งกลอนรักๆ ผิดกฏเลยกลายเป็นเสียสัตย์เลย


ยลพุงามแตกปั้ง  ..................พริบตา
อาจเปรียบดังชีวา................มอดไหม้
อย่าประมาทเชียวนา.........มืตรมื่ง
กอปแค่กรรมดีไว้.................ช่วยค้ำ นำบุญ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 30 พ.ค. 06, 05:11
 มืตรมื่ง---->มิตรมิ่ง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 31 พ.ค. 06, 10:21
 ........มวลกวีมักแต่งด้วย........... อารมณ์ รักเฮย
มัวกริ่งเกรงฤาสม.................... ปราถน์ได้
เพียรเขียนเร่งคำคม ................ มาเถิด ซันนา
รักจึ่งจรรโลงให้ ..................... โลกล้วนสีสรรพ์


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 31 พ.ค. 06, 10:23
 ปราถน์ --> ปรารถน์    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 31 พ.ค. 06, 10:25
 CrazyHOrse ครับ
ไก่ของผมหรือเปล่า  
อย่างไรก็ช่วยตามให้ด้วย นะครับ    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 31 พ.ค. 06, 12:20
 กลับไปอ่านอีกที ผมเขียนกำกวมไม่ได้ความอีกแล้ว

ผมหมายถึง(ผม)ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มอีกแล้วน่ะครับอาจารย์นิรันดร์

ละไว้คำเดียวความหมายสุดสายป่านเลยครับ

เพียงคำเดียวหนึ่งนั้น ลืมลง
อาจเปลี่ยนเจตน์จำนง หมดไซร้
กลับมาอ่านยังงง ความอยู่
ดีชั่วกลับกลายได้ แน่แท้ คำเดียว


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 31 พ.ค. 06, 16:09
 ..... ถึงเราจะปล่อยให้ ..... ไก่หาย
ใจมั่นยังมิคลาย .............. คิดสู้
ผจญสรรพอันตราย ......... ตามไก่ กลับเฮย
สมานมิตรคิดช่วยกู้ ......... กอบหน้ามาคืน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 02 มิ.ย. 06, 05:12
 อาจารย์นิรันดร์และคุณ CrazyHOrse  คะ
ขอแซวเล่นนิดนึง ...แบบว่า สงสัยจัง

.....เผลอไผลพลาดไพล่พลั้ง ... ภาษา
สองท่านแจงวาจา .................. เปรียบปั้น
คำพูด, ไก่, พักตรา ................ ยกเทียบ กันแฮ
สามสิ่งเปรยมานั้น .................. เกี่ยวข้องกันไฉน

จากเรื่องของคำ มาถึงปล่อยไก่ แล้วก็มาถึงการกู้หน้า
นัยยะของภาษามีเสน่ห์อย่างนี้เองนะคะ
   


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 03 มิ.ย. 06, 04:15
 คุณชื่นใจแต่งได้เพราะนะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 05 มิ.ย. 06, 10:34
 . . เรายอเกียรติท่านด้วย . . . . . . เกียรติเรา

ท่าน ปัด บอก บ่ เอา . . . . . . . . . หักหน้า

เมื่อมองว่า เรา เขลา . . . . . . . . . ต้อยต่ำ นักแล

เรา จึ่ง ประกาศ ท้า . . . . . . . . . . ตัดเยื้อ ไมตรี ฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 05 มิ.ย. 06, 12:38
 หมูฯท่านน้อย......ใจผู้ ใดฤา
อันเกียรติ นั้นระบือ..เมื่อให้
ใช่ว่า จะลือชื่อ.....เพียงผู้ รับนา
ไมตรี มีค่าไซร้.....อย่ารอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 05 มิ.ย. 06, 16:13
 โคลงสุภาพจึ่งขู้ คนสุภาพ
มิใช่ชนคนหยาบ ดั่งข้าฯ
ดวงจิตบ่กำซาบ สูงส่ง
เพียงมุ่งหวังทายท้า สิ่งกั้น วิญญาณกวี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 06 มิ.ย. 06, 00:30
 พระลอตามไก่ได้ แม่ไก่
บริษัทซีพีขายไป ทรัพย์พร้อม
อาหารคู่คนไทย      ไก่ย่าง
ปล่อยไปรีบจับล้อม  ใส่เล้า เร็วไว


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ภูมิ ที่ 06 มิ.ย. 06, 00:37
 มือไวไปนิดขอแก้หน่อย

พระลอตามไก่ได้ แม่ไก่
บริษัทซีพีขายไป ทรัพย์พร้อม
อาหารคู่คนไทย ไก่ย่าง
ปละปล่อยรีบจับล้อม ใส่เล้า เร็วไว


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 06 มิ.ย. 06, 13:35
 พระลอตามไก่ได้ นารี
เราปล่อยไก่ใส่ V ได้มิตร
เรื่องเสียหน้าบมี เคยห่วง
เชิญล้อมวงมาชิด ไก่ย่าง วางเลยท่านภูมิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 06 มิ.ย. 06, 20:21
 แหมๆ แต่งกลอนทำเอาคนอ่านหิว
ขึ้นมาทันใด

ท่านหมูน้อยใจใครนะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชื่นใจ ที่ 08 มิ.ย. 06, 04:06
 ...กอเอ๋ยกอไก่กุ๊ก........ถูกจับ
กลายร่างเป็นไก่สับ.......เสียบไม้
หอมหอมไก่ย่างกับ.......ข้าวสุก ร้อนร้อน
ชวนเพื่อนเรือนไทยให้...นั่งล้อม กันกิน

ป.ล. ท่านหมูฯ น้อยใจใคร พักยกไว้มากินไก่กันเถอะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 08 มิ.ย. 06, 13:35
 ไก่ย่างหนังกรอบหอมกรุ่น แกงส้มอุ่นๆ มีข้าวสักจานก็เรี่ยม
ถ้ามีหมูทอดกระเทียม หรือย่างพอเกรียม ข้าวเหนียวจิ้มแจ่วก็แจ๋ว
เขียนไปน้ำลายออกแล้ว ท้องร้องตะแง้วๆ ขอแจวไปกินข้าวเที่ยงก่อนนะคร้าบบบบ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 08 มิ.ย. 06, 13:42
 ผมจะไม่ไปร่วมวงกินข้าวด้วยก็เพราะว่ามีหมูทอดกระเทียมนี่แหละ !!    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 08 มิ.ย. 06, 14:41
 ไม่เอาหมูก็ได้ครับ(ฮิฮิ) ถ้าท่านจะรับ ผัดวอกแกงคั่วงูสิงห์
หรือจะลองเปิบสมองลิง กิ้งก่าผัดขิง มันคงแซบหลายแท้เน้อ
ขอเชิญอีกทีเพื่อนเกลอ รีบเชียวนะเธอ ถ้าเผลอจะหมดเร็วไว
อ้าว...นั่นจะรีบไปไหน ไม่ต้องเกรงใจ ทำไว้เยอะแยะเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 10 มิ.ย. 06, 20:36
 
 
  เรา น้อมรับท่านให้                  ไมตรี
มีมิตรเพิ่มก็ดี                             ไม่น้อย
ใจเรากับถ้อยวจี                         ตรงแน่ว
มิตรสนิทถึงมีน้อย                       แต่ซึ้ง นิรันดร์ ฯ



(จดหมายน้อย)
                                     เขียนที่ เล้าเลขที่  7/11
                                     ฟาร์มสุกร เจริญฮวบ
                                     ตำบล ตำล่าง
                                     อำเภอ ใจ
                                     จังหวัด จัดวัง


                                   ท่าน CrazyHOrse ครับ
ท่านชอบกลบทไหม
                                   หากท่านชอบและเข้าใจ
รีบเร็วไว คุยกันหลังกระดาน

                                      จาก

                                   ..MadPig..

ปล.ขอบคุณและยินดีในไมตรีจิตครับคุณม้าคลั่ง




กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 10 มิ.ย. 06, 20:42
 โอ๊ย....ตาย

"น้อย" ซ้ำกัน 2 คำ 2 วรรคเลย โพสไปได้ยังไงนี่มือไวใจไวไปหน่อย เสียชื่อหมด
(แต่ช่างมันเถอะ ขี้เกียจแก้แล้ว......ว ก็เรามัน MadPig  นี่หน่า)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 11 มิ.ย. 06, 14:54
 กลอนเก่าสมัยปะอยู่ห้องกลาง ตึกอักษรศาสตร์ ปี๒๕๑๔

ดอกหางนกยูงเริ่มบาน..
เหนือลานชงโคอันโอ่อ่า
ละอองฝนทาบกลีบใบต้องนัยน์ตา
ละอองฟ้าทาบฟ้าเทวาลัย

ประจงเก็บกลีบแดงแฝงเหลืองเรื่อ
พลิ้วหล่นเมื่อยูงอ่อนสะท้อนไหว
ขึ้นมามองให้ซึ้งถึงหัวใจ
เปรียบเป็นใครคนหนึ่งที่ซึ้งนัก

ทุกวันนี้เรานั้นไกลกันมาก
วันเราจากหัวใจเป็นไข้หนัก
บอกตัวเองจนเข้าใจว่าไม่รัก
แต่ก็มักเก็บวันเก่า..เอาไปซึ้ง

มันเป็นความคิดถึงซึ่งไม่มาก...
แต่ก็ยาก..จะหักใจไม่คิดถึง
ใจสับสนภาพฝันอันอื้ออึง
เราดื้อดึง โกรธกันไป ทำไมนะ

ต้องหากินกับของเก่าไปก่อนค่ะจนกว่าจะมีอารมณ์


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มิ.ย. 06, 21:41
 กรุณาส่ง หมูน้อย
เลขที่  7/11
                                    ฟาร์มสุกร เจริญฮวบ
                                     ตำบล ตำล่าง
                                     อำเภอ ใจ
                                     จังหวัด จัดวัง


(กลบทวิติมาลินี)
หมู หวานหมูแผ่นตั้ง    ลออตา
น้อย ที่จักได้มา        มอบให้
กลอย จิตเจตนา          มิตรมิ่ง
ใจ ห่วงหมูไกลใกล้       บ่รู้หมูหาย

หวังว่าคงไม่กลายเป็นเบคอนไปแล้วนะคะ  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 12 มิ.ย. 06, 04:35
 กลบทบทซับซ้อน กลอนกล
ซ้อนซับแทรกสายสน ซ่อนซ้อน
สนสายดั่งร่ายมนตร์ จนจิต สับสน
มนตร์ร่ายกลายกลับย้อน ยอกแย้ง แทงมน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 12 มิ.ย. 06, 05:45
 ละอองฝนหล่นจากฟ้ามาสู่เจ้า
ก็สู่เราสู่หล้าสุราศัย
วิษณุสถานเคียงข้างเทวาลัย
ใจเจ้าไยล่องลอยไปไกลนัก


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 12 มิ.ย. 06, 20:52
 ชอบกลอนเก่าคุณกุ้งแห้งจังค่ะ เพราะโดนใจค่ะ อิอิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 13 มิ.ย. 06, 04:02

ตอบคุณcrazyhorse

ปราสาทแดงใกล้ใกล้แต่ใจห่าง
เพราะเราต่างเล่นตัวมัวเรียนหนัก
แว่นตาหนาหน้าตี๋ตี๋เชยดีนัก
ก็เลยรักแบบเพื่อนจริง..ไม่ปิ๊งเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 13 มิ.ย. 06, 04:10
 ว้า..สัมผัสซ้ำกับคุณค่ะ
ขอแก้ใหม่

ปราสาทแดงใกล้ใกล้แต่ใจห่าง
เพราะเราต่างเล่นตัวมัวเรียนหนัก
แว่นตาหนาหน้าซื่อซื่อ..บื้อดีนัก
แต่น่ารักแม้ไม่ปิ๊งก็จริงใจ

เฮ้อ...ค่อยไร้สนิมหน่อย
แต่อาจบาดใจใครบางคนค่ะ
ขออย่าให้เป็นคุณนะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 13 มิ.ย. 06, 04:21

ตอบคุณLittle Sun

เดี๋ยวนี้ ถ้าจะให้โดนใจ
ดิฉันอาจต้องเปลี่ยนดอกหางนกยูงเป็นลูกจันแทนค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 13 มิ.ย. 06, 04:51

ดิฉันเป็นอะไรไปนี่ คุณcrazyhorse
เขียนสัมผัสซ้ำอีกตามเคย
สงสัยจะสนิมเขรอะเลอะๆเลือนๆค่ะ

ปราสาทแดงใกล้ใกล้แต่ใจห่าง
เพราะเราต่างเล่นตัวมัวเรียนหนัก
ทั้งเช้าสายบ่ายเย็นไม่เว้นวรรค
แล้วจะพักจีบกันได้ตอนไหนดี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 13 มิ.ย. 06, 14:57
 ในยามเช้าระหว่างตอนก่อนเข้าชั้น
ยามกลางวันยามพบกันบนวิถี
ในยามบ่ายพักใต้ร่มจามจุรี
ผิเพียงนี้ยังมิพอมิรู้แล้ว


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 13 มิ.ย. 06, 16:36
 ผมเป็นหนุ่มช่างศิลป์กินไก่วัด
จิตปฏิพัทธ์(สาว)นาฎศิลป์กันเป็นแถว
แต่พวก(หนุ่ม)มันกันท่าจีบต้องแจว
จึงไม่แคล้วลงเอยคนกันเอง

เขียนไปเซ็งไป


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 12:30
 
       แม้นว่าจะเข้ามาไต่ถามหรือตอบกระทู้ไม่มากเท่าใด  แต่ก็นับได้ว่าผมเข้ามาพักในเรือนไทยเป็นระยะเวลานาน
พอที่จะรู้จักแทบทุกท่านที่เป็นสมาชิกเรือนนี้ทั้งใหม่และเก่า   เท่าที่จำได้ว่านับแต่เข้ามาอยู่เคยเห็นเจ้าของบ้านยก
ตัวอย่าง โคลงกลอนของราชกวีและกวี ต่างๆ มาโพส เสนอประกอบความเห็นก็มากหลายอยู่  แต่ก็ไม่เคยสักทีที่จะเห็น
ท่านแต่งเข้ามาร่วมสนุกด้วยกับกระทู้ใดกระทู้หนึ่ง
จึงคิดเอาเองว่าท่านคงจะถนัดสารพัดในด้านอื่นเสียมากกว่า   จึงไม่กล้าลองชวนสักที

ที่ไหนได้ วันก่อนท่านเกิดนึกครึ้มใจถอดดาบจากฝัก มาโชว์ความ คมขาววาววับ เสียแล้ว

โคลงที่อาจารย์เทาชมพูแต่งเข้ามาร่วมใน คหพต.ข้างบนนั้นเป็นโคลงสี่สุภาพ ใช้กลบท ชื่อ วิติมาลินี
ถือเป็นเกียรติของผมครับอาจารย์ ที่ได้รับโคลงบทนี้จากอาจารย์  ขอบพระคุณครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 06, 12:55
 พวกที่เอกหรือโทภาษาไทยมักถูกอาจารย์จับแต่งโคลงกลอนกันพอได้ค่ะ    แต่ของดิฉันหนักไปทางกลอนประตูหน้าต่างเสียมากกว่า ก็เลยไม่ค่อยโชว์ใคร
เคยแอบๆไว้ท้ายกระทู้ที่หัวข้อไม่เกี่ยวกับกลอนมาบ้าง  โต้เพลงยาวกับคุณ UP แกครั้งหนึ่ง

เคยเปิดอัลบั้มเก่าที่เก็บกลอนสมัยเรียนไว้เหมือนกัน  ประเภท"มองเห็นจามจุรีร่วงสู่ดวงใจ"  หรือ " ร่างสูงเด่นเป็นสง่าหน้าคมเข้ม"  อะไรทำนองนี้
ว่าจะเอามาลงให้อ่านกัน แต่ทำใจไม่ไหวค่ะ   หัวเราะตัวเองจนตกเก้าอี้เสียก่อนหลายทีแล้ว  ยังเคล็ดยอกอยู่เลยว่าแต่งเข้าไปได้ยังไง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 13:17
 
    
                      โคลงสี่สุภาพ
                          กลบท   พยัคฆฉันทลรรโลง + สีหติกำกาม + โตเล่นหาง(แบบที่๑)  


           น้ำค้าง พรางพร่างหญ้า                ยามสาง
       น้ำคำ พร่ำมิ จาง      จืดนั้น
       น้ำฝน หล่นโปรยบาง      บนภพ
       น้ำทิพย์ สิบสรวงชั้น      ใช่แม้น  น้ำใจ ฯ



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 19:41
 
   กลบท  
    พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ.๒๕๒๕  ให้ความหมาย ไว้ดังนี้
   
       กลบท (กน-ละ-บด)  น.คำประพันธ์ที่บัญญัติให้ใช้คำหรือสัมผัสเป็นชั้นเชิงยิ่งกว่าธรรมดา เช่น
  อมรแมนแม่นแม้นเจ้างามโฉม(กลบทตรีประดับ)

            กลบท  คือบทกวีนิพนธ์ที่กวีได้บัญญัติลักษณะบังคับเพิ่มเตอมลงไปเป็นพิเศษกว่าลักษณะ
บังคับเดิมที่มีอยู่ หรือเป็นการยักย้ายวิธีร้อยกรองโดยมีการจัดเรียนรูปคำพลิกแพลงเป็นกระบวน
ต่าง ๆ ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากบทร้อยกรองปรกติ เป็นการเล่นถ้อยคำสัมผัส และอักษรให้เกิดรส
ไพเราะเป็นพิเศษแล้วตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ตามวิธีนิยมของผู้ที่คิดค้นแบบนั้น ๆ ขึ้น   จึงเกิดมีชื่อมากมาย
หลายชนิดไม่รู้จบ บางอย่างก็มีลักษณะคล้ายกับคำทายที่ตั้งเป็นปริศนาไว้ให้ผู้อ่านต้องใช้ความคิด
พินิจพิจารณาจึงจะอ่านได้ถูกต้อง

แต่ถึงแม้จะยักเยื้องไปอย่างไรก็ตาม วิธีการประพันธ์ก็ยังคงเป็น  โคลง  ร่าย  กลอน   กาพย์   ฉันท์
ในคำประพันธ์ร้อยกรองแต่โบราณของไทยเรานั้น   เรามีกลบททั้งที่เป็นกลอนกล  ร่ายกล  โคลงกล
กาพย์กล  และฉันท์กล แต่ในที่นี้จะกล่าวถึง โคลงกล


       โคลงกล ก็คือโคลงสุภาพนั่นเอง แต่มีการแต่งเพิ่มลักษณะบังคับให้วิจิตรพิสดารมากยิ่งขึ้น
เช่นบังคับให้มีสัมผัสสระ สัมผัสอักษร คำเป็น คำตาย คำซ้ำ และรูปวรรณยุกต์ เป็นต้น ว่าจะต้องมี
อยู่ในตำแหน่งคำใดของโคลง     แล้วตั้งชื่อเรียกการกำหนดข้อบังคับนั้นว่าเป็นกลบทชื่ออะไรต่างๆ
ออกไป

กลบทที่อาจารย์เทาชมพูใช้นั้นชื่อ    วิติมาลินี

                                                                                โคลง: วิติมาลินี
                                                             บังคับกระทู้ ๑ คำ ต้นบาท โดยให้เป็นคำคล้องจอง

                                   X  O O O O                O O

               พี่   กำพร้าหน้าต่ำ                  ออมอด
            น้อง เป็นดีมียศ                      ก่อเกื้อ      
                                                                                    ซ้อง  
ฦๅชาปรากฏ                 โฉมแม่ เดียวแม่
            แซม ซุมซนต้นเนื้อ                บ่ให้ เห็นองค์

                      (จินดามณี)


จากเว็บไซด์ http://www.geocities.com/bot_kawee/kolbot.htm  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 19:59
 
       โคลง: ชลาสังวาลย์ 
   บังคับกระทู้ ๑ คำ ต้นบาท ทุกบาท
X   O O O O                 O O
หมู หลง เลยล่วงล้ำ                        หลุดคอก
น้อย จิต หากคิดบอก                      แบ่งชั้น
ใน กาย แผกภายนอก                     เพียงร่าง  หมูนา
 กะลา ครอบตัวนั้น                         ห่อนกั้น  ไมตรี ฯ  

กลบนชนิดนี้บังคับตรงต้นกระทู้เช่นกัน แต่อาจไม่ต้องให้เป็นคำคล้องจองเหมือน โคลง: วิติมาลินี ก็ได้
(ขออนุญาต ยกตัวอย่างโคลงของที่ตัวเองแต่งนี่แหละนะครับ ง่ายดี ไม่ต้องระแวงลิขสิทธิ์)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 20:20
 
       โคลง: สกัดแคร่ 
ซ้ำคำแรก กับ คำ ท้าย ทุกวรรค
X  O O O O                O X
ฉลาด  จริงจึงมิอ้าง                   อวด ฉลาด
รู้  มัก มิ บังอาจ                         อวด รู้
โง่  กลับบอกเป็นปราชญ์            ปิด โง่
คำ  โอ่ ฤ จะ สู้                            สงบถ้อย เสงี่ยม คำ
   
เห็นไหมพอนำกลบทมาแทรกใส่ไว้ในโคลง ก็ทำให้ดูมีศิลปะในการใช้ถ้อยคำมากขึ้น


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 20:27
 ขออภัยครับ โคลงกลบทสกัดแคร่ ในความเห็นที่ผ่านมา มีชื่อว่า

สกัดแคร่ : ทวาตรึงประดับ

ขอโทษด้วยครับ ผมเติมไปไม่ครบ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 20:38
 
       โคลง: สกัดแคร่ ทวารประดับ  
บังคับซ้ำคำถอยหลัง ๒ คำต้นบาท   กับ ๒คำท้ายบาท ของทุกวรรค
X X O O O                 X X
ชัยชาญ หาญศึกกล้า     ชาญชัย
ป้องปก แผ่นดินไทย    ปกป้อง
หวั่นฤ เลือดรินไหล     ฤหวั่น
สยามถิ่น ประกาศก้อง   แซ่ซ้อง ถิ่นสยาม
   
กลบทนี้คล้ายกับกลบท สกัดแคร่ ทวาตรึงประดับ แต่บังคับมากกว่า


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 มิ.ย. 06, 20:48
 
       โคลง: โตเล่นหาง   

บังคับให้ซ้ำเสียงพยัญชนะในคำที่ ๕-๖ ทุกบาท
O O O OX                 X O
เทพสรรค์ สรวงแห่ง พื้น             พิ ภพ
แดนแห่ง ดินบรรจบ             จูบ ฟ้า
ปางอุ๋ง อาบสงบ             งาม ผ่อง
หมอกลูบ ละโลม หล้า             เร่ง เร้า วิญญาณ์ ฯ

กลบทนี้ ผมว่าค่อยแต่งง่ายขึ้นหน่อย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 มิ.ย. 06, 18:52
 เชิญคุณหมูน้อยเข้าไปอ่านกลโคลงในกระทู้นี้ค่ะ
คุณอาชาผยองหาเจอจนสำเร็จ   ขอขอบคุณไว้อีกครั้ง
กลโคลงเป็นเรื่องอ่านสนุกมาก

 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=19&Pid=4997  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 22 ก.ค. 06, 13:29
 หยาดสายฝนหล่นมาพรมหล้าโลก
เพื่อคลายโศกวิโยคครวญกำสรวลไห้
ความปรานีจากแดนฟ้าสุรารัย
หลอมดวงใจไทยน้อมรักภักดีบดินทร์


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชายองค์ ที่ 26 ก.ค. 06, 13:14
 ขอร่วมแต่งนะครับ

๐ เรืองเรืองพิลาสล้ำ......................เมืองดิน
เพี้ยงเทพลงหล่อริน.......................เสกปั้น
หอมกลิ่นกรุ่นจับจินต์...................ธรรมวิเศษ
วิเทศเทิดเทียบชั้น..........................เฉกห้อง ทิพย์อมร ฯ

๐ เรืองเรืองสุริยไล้.........................เจ้าพระยา
ระยับวาบวับวามตา.......................ตื่นเต้น
รองรองส่องสุวรรณา....................ลอยเลื่อน
ปวงราษฎร์บ่หว่างเว้น...................สักห้วง ฝั่งชล ฯ

๐ เรืองเรืองวิโรจน์ล้วน.................หลากสวรรค์
วิเศษวิศิษฏ์แต่เพรงบรรพ์..............สืบสร้าง
พิภพพิพัฒน์พิโดรคันธ์..................คามเขต
ประเทศทั่วลือเล่าอ้าง....................สุขล้น เมืองสยาม ฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 31 ก.ค. 06, 18:29
 ชอบบทกลอนกาพย์โคลงเป็นที่สุด
ไม่สะดุดพริ้วสวยระรื่นไหล
ทั้งนิราศปราดเปรื่องชื่นมื่นใจ
ระเรื่อยไปเลี้ยวลดอย่างงดงาม
    อันตัวฉันแสนภูมิใจเป็นไทยแท้
ให้เผื่อแผ่มีน้ำใจยิ้มสยาม
ชอบท่องเที่ยวทั่วไทยทุกเขตคาม
แล้วติดตามขีดเขียนเรียงบทกลอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 31 ก.ค. 06, 18:50
 สวัสดี คุณ คุณชายองค์ และคุณอ้อค่ะ

คุณชายองค์แต่งโคลงได้เพราะจริงๆนะคะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 01 ส.ค. 06, 07:26
 สวัสดีค่ะคุณ Little  Sun
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 01 ส.ค. 06, 20:37
 ยินดีที่ได้รู้จักคุณ อ้อเช่นกันค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 07 ส.ค. 06, 22:25

หากชอบกลอนวอนช่วยเขียนเพียรสร้างสรรค์
สื่อถึงกันด้วยเพลงกลอนอักษรศิลป์
ถึงจะห่างแสนไกลโปรดได้ยิน
ให้คลายสิ้นโมโหที่โกรธา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 08 ส.ค. 06, 13:56
 ลมยามโชยแผ่วผ่านใจพลันชื่น
ระรมย์รื่นอาบใจให้หรรษา
ลมเดียวกันยามพัดกระโชกมา
ที่หรรษาก็พลอยหายกับสายลม

ลมธรรมชาติหรือมนุษย์ก็ไม่ต่าง
อาจแผ่วพร่างโชลมใจให้สุขสม
หรืออาจซัดตวัดกรีดเหมือนมีดคม
ลมหนอลมวาจานี้มีฤทธิ์นัก


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 08 ส.ค. 06, 14:45
 แก้ไขครับ ชโลม ไม่ใช่ โชลม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 08 ส.ค. 06, 19:14
 
   หวนกลับมา  ชายคาบ้าน  สราญจิต
สหายมิตร  ทั้งศิษย์ครู  อยู่พร้อมพรั่ง
ให้ใจชื่น   ระรื่นเลิศ   เกิดพลัง
ประดุจดั่ง  ลมทิพย์โชย  มิโรยแรง ฯ
 




เห็นคุณเครซี่ฯเอ่ยเกี่ยวกับลม จึงขอเกี่ยวกระหวัดนำลมมาเกี่ยวกลอนด้วยคนครับ.


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 09 ส.ค. 06, 08:56
 Very good kha Crazyhorse and Little pig    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 09 ส.ค. 06, 10:14
 คุณชายองค์ คือท่านเดียวกับคุณ buaravong ที่เคยอ่านเจอในเว็บอื่นหรือเปล่าครับ ?

ถ้าใช่ก็เยี่ยมเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 09 ส.ค. 06, 14:05
 ถึงลมกาฬพาลพัดกระพือโหม
พายตะโบมโถมใส่ทั้งซ้ายขวา
ยังมีผ่อนรอนลงบางเวลา
แต่ลมรักไม่ล้าสักนาที
ขอนางปรายชายเนตรมาเพียงนิด
เปรียบสะกิดกลางใจหทัยพี่
ทุกค่ำคืนครวญหาทั้งราตรี
หวังเพียงยินวจีจากโอษนาง

AIS Truemove หรือD-tac
ที่เขาแจกเบอร์ฟรีที่ตามห้าง
โปรโมชั่นที่กระหน่ำมาอำพราง
ทรัพย์ก็จางเกรดตกนรกจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 09 ส.ค. 06, 14:26
 "ถึงลมกาฬพาลพัดกระพือโหม
พายตะโบมโถมใส่ทั้งซ้ายขวา
ยังมีผ่อนรอนลงบางเวลา
แต่ลมรักไม่ล้าสักนาที
ขอนางปรายชายเนตรมาเพียงนิด
เปรียบสะกิดกลางใจหทัยพี่
ทุกค่ำคืนครวญหาทั้งราตรี
หวังเพียงยินวจีจากโอษนาง" - อ.นิรันดร์

ก็ลมกาฬนี้ราญได้แรงนัก
เร่งไฟรักรัดรึงถึงฟ้าสาง
ดื่นดึกเข้าก็เฝ้าแต่ฝันถึงนาง
จิตไม่ว่างภาพเจ้าจับหลับไม่ลง - CH


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 09 ส.ค. 06, 19:03
 "ถึงลมกาฬพาลพัดกระพือโหม
พายตะโบมโถมใส่ทั้งซ้ายขวา
ยังมีผ่อนรอนลงบางเวลา
แต่ลมรักไม่ล้าสักนาที
ขอนางปรายชายเนตรมาเพียงนิด
เปรียบสะกิดกลางใจหทัยพี่
ทุกค่ำคืนครวญหาทั้งราตรี
หวังเพียงยินวจีจากโอษนาง" - อ.นิรันดร์

. อยากอิงแอบ แนบชิด สนิทเนื้อ
คงสุขเหลือ เมื่อตื่นมา ยามฟ้าสาง
ได้พบพักตร์ ลักขณา  ใบหน้านาง
นอนแนบข้าง ยิ้มละไม ซบไหล่เรา - LP


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 10 ส.ค. 06, 13:04
 ......... อะไรอาชาชาย นายหมูน้อย
ถูกลมพลอยเพ้อฝันกันไปใหญ่
ไม่มีรักอยู่เย็นหาเป็นไร
พอเริ่มรักสักเท่าไรไม่กินนอน
จงมีรักราวศอศิวะเจ้า
มิต้องเฝ้าครวญหาพาจิตหลอน
มิต้องเฝ้าพะเน้าพะนอหรือง้องอน
มิต้องหวังให้หล่อนมาชายตา
จงยินดีเมื่อเทวีมีความสุข
กลืนความทุกข์เทวศร์ไว้ไม่โหยหา
แม้ศอไหม้มืดสนิทพิษนาคา
ทั้งเทวาอสูรย์ไม่ต้องตายลง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชายองค์ ที่ 12 ส.ค. 06, 00:32
 คุณหมูน้อยคงเข้าใจอะไรผิด
คิดว่าเราเป็นบัวอย่าได้คิด
เราใช่ชิดจะรู้ซึ้งถึงข้างใน

คำว่าเยี่ยมมีอะไรให้มาเยี่ยม
มีแต่เกรียมกรมจิตคิดสงสัย
คิดถึงน้องคนหนึ่งซึ่งถูกใจ
แต่มิรู้เป็นใครโง่จริงเรา

น้ำค้างห่มเดือนร้างไม่เห็นเดือน
ไม่มีเพื่อนข้างกายกอดคลายเหงา
มีแต่เราอยู่เดียวกับตัวเรา
มีแต่เงาตัวตนอยู่ข้างกาย...


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 ส.ค. 06, 10:42
 หลงเข้าใจ เพราะมิใช่ อะไรดอก
ก็คุณบอก ขอแต่งด้วย ช่วยเสนอ
แต่กลับลอก ยักยอกโคลง ที่คุณเจอ
นำเสนอ ว่าแต่งเอง ไม่เกรงใจ ฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 14 ส.ค. 06, 10:45
 ที่ผมถามก็เพราะเห็นคุณชายองค์ยกโคลงเพียงบางบทที่แต่งโดยคุณbuaravong มาแสดงแล้วบอกว่า " ขอร่วมแต่งนะครับ " ผมเพียงนึกสงสัยว่าทำไมไม่ยกมาทั้งหมด ทั้งดุ้น (จำไม่ได้ว่ามี กี่บท แต่มากกว่า 3 บทที่ยกมาแน่นอน) ผิดวิสัยเจ้าของผลงาน

ปรากฎว่าคุณชายฯกลับบอกว่า ไม่ใช่คุณบัวฯ อย่างนี้ก็แสดงว่าลอกของเขามานะสิครับ !?
ทั้งที่มิใช่เจ้าของผลงาน กลับเอาผลงานของคุณบัวฯมาลงและบอกว่าขอร่วมแต่งด้วย แสดงว่าคุณแต่งเอง??
มันไม่น่าเกลียดไปหน่อยเหรอครับ

ไม่เอาน่า..ลูกผู้ชาย มาแต่งกันเล่นสนุกน่า อย่าไปเอาของเขามาอย่างนั้นแล้วไม่บอกที่มา คุณเองก็แต่งได้ไพเราะ  เรามาแต่งกันเองร่วมสนุกเป็นกันเองในวง ในชมรมฯดีกว่า  ฝีมือเรา เราควรภูมิใจนะครับ

มาเถอะครับ มาลองแต่งกันใหม่  
     



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชายองค์ ที่ 17 ส.ค. 06, 14:01
 จะยกเครื่องทั้งชุดคิดว่ายาวไปครับเลยตัดบางส่วนเอามา...
ไม่ทราบว่าไปอ่านบทเห่ มาจากไหนครับ ?

โคลงแบบนี้ได้หรือไม่ครับ หรือแรงไป ?

ทัก   ษิณยังเร่าร้อน   เหมือนเดิม
ผิด   ถูกใครส่งเสริม   ช่วยบ้าง
คิด   หรือคิดแต่งเติม   ให้ชั่ว
พลาด   บ่อาจช่วยล้าง   ชั่วสิ้น หายสูญ ฯ

สดำแทง   ผิดแล้ว      เปลี่ยนใจ
ปาหมาก     โดนหูใคร                   โกรธร้อน
นกยา   มั่วกันไป      ร้อนยิ่ง
คอนกรีต    หล่อปลิ้นปล้อน   รสลิ้น คำลวง ฯ

แสดงธรรม ผิดแล้ว      เปลี่ยนใจ
ปาหมาก    โดนหูใคร                   โกรธร้อน
นกยา   มั่วกันไป      ร้อนยิ่ง
ขีดกลอน   หล่อปลิ้นปล้อน   รสลิ้น คำลวง ฯ

หากโคลงใช้คำรุนแรงไป ก็ขอโทษด้วยนะครับ...

ปล. ทักษิณแปลว่า ภาคใต้ เด้อ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 18 ส.ค. 06, 21:33
 ฮ่าๆๆ



ถ้าคุณชายองค์ไม่รังเกียจ
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ชมรมนักกวีสมัครเล่นแห่งเรือนไทยครับ
มาถึงขั้นนี้คงไม่ต้องสนแล้วว่าจะเป็นคุณบัวหรือใคร ว่าไป
แล้วตัวตนที่แท้หาได้มีความหมายต่อบทโคลงกลอนไม่
แม้ว่าสุนทรภู่หากท่านปลอมมาเป็นคนอื่นแต่งกลอนโชว์
ถ้ามันจะมีคุณค่าก็เพราะว่ามันไพเราะ ไม่ใช่ว่าใครเป็นคน
แต่ง

อาจมีเหมือนกันที่บางครั้ง ลูกผู้ชายเราอาจต้องตะบันปาก
ให้เลือดกบก่อนจะมาซี้กัน แต่สำหรับเราคงไม่ต้องกระมัง
เพียงวาดเชิงชั้นปัญญาตะบันโถมเข้าหากันคงเพียงพอหาก
ไม่พอก็คงต้องไปแข่งกันตะบันหมากในกระทู้ วัฒนธรรม
หมากข้างๆกระทู้นี้ให้น้ำหมากสาดกระเซ็นเป็นเส้นสายกบ
ปากแทน

จะว่าไปแล้วหากคุณมาร่วมสนุกสมาชิกท่านอื่นของกลุ่มกลอน
คงยินดี ตอนนี้สมาชิกยิ่งเหลืออยู่น้อยๆอยู่ด้วย  หากเจ้าหมูบ๊อง
แปลงเป็นหมาบ้าไปขยำขย้ำเขาอีก เห็นทีต่อไปชมรมกลอนคง
ต้องสูญพันธุ์ไปจากเรือนไทย

   

ทว่าตอนนี้ชาวชมรมเราไปเสวนาเฮฮากันอยู่อีกกระทู้หนึ่ง
คุณชายฯจะแวะไปแนะนำตัวและฝีมือหน่อยเป็นไร?ครับ

หากเห็นดีด้วยก็เชิญตามลิ้งค์ข้างล่างมาเลยครับ

"ขอเชิญผองมิตร"

อ้อ...หากจะให้รู้ถึงความเป็นมาของสมาชิกแต่ละท่านละก็ อาจ
อ่านตั้งแต่ความเห็นเพิ่มเติมแรกๆ ไล่มาก่อนก็ได้นะครับ


เอ๊า..เชิญครับ !!


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 18 ส.ค. 06, 22:55

ขอเชิญชวนชายองค์ผู้ทรงศักดิ
หากรู้รักในศักดิ์ศรีเป็นที่หมาย
ชายที่แท้แน่ในใจของชาย
เชิญวาดลายกวีกานท์สืบสานกลอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 29 ส.ค. 06, 16:50
 แสงตะวันแจ่มจ้าเจิดจรัส
ให้ผองสัตว์พืชพันธุ์สร้างอาหาร
ให้ชีวิตสืบต่อมายาวนาน
ให้พลังงานหลากหลายมากอนันต์
หากวันนี้นึกท้อขอให้สู้
จงตรองดูดวงตะวันยังเฉิดฉันท์
ส่องแสงทั่วถึงกันและกัน
เชิญตะวันลงมาให้แรงใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 30 ส.ค. 06, 09:46
 อ้างตะวันเชิญตะวันเพื่อมีแรง
จิตเข้มแข็งไม่ท้อสู้ต่อได้
มองตะวันแล้วไม่ครวญหวนอาลัย
ขอมีชัยในสิ่งหวังดั่งใจปอง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 30 ส.ค. 06, 11:29
 ขอขอบคุณนะคุณNickyNick
พูดสะกิดพลังใจใฝ่สนอง
ประพฤติตนปล่อยวางและครอบครอง
โอ้นวลน้องไม่ครวญหวนอาลัย
หากมีเพื่อนร่วมส่งไมตรีนี้
น้องยินดีนักหนาพาสดใส
แม้อยู่ไหนไม่รู้ว่าเป็นใคร
กำลังใจให้ได้กับทุกคน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 30 ส.ค. 06, 12:20
 ยามตะวัน  ลาลับ  กับเหลี่ยมโลก
มิครวญโศก  เศร้าสร้อย  พลอยหมองหม่น
มีดวงจันทร์  เป็นเพื่อน  คอยเยือนยล
ทดแทนตน  หากตะวัน  พลันลาลง

พี่อยู่นี่  นะจ๊ะ  ต่อหน้าน้อง
คอยเมียงมอง  น้องเป็น  เช่นดุจหงส์
อยากพูดคุย  อยากนับถือ  อย่างซื่อตรง
มิตรจิตคง  พัฒนา  ก้าวหน้าดี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 30 ส.ค. 06, 15:42
 ดวงจันทราราตรีนี้ดีนัก
เห็นประจักษ์ชัดเจนให้สุขศรี
อีกดวงดาวเกลื่อนกลาดฟ้ามากทวี
เต็มพื้นที่คราคร่ำย่ำบันเทิง

ขอขอบคุณที่เปรียบดุจดังหงส์
อย่าบรรจงชมเลยเดี๋ยวน้องเหลิง
เป็นแค่เพียงนกน้อยเที่ยวระเริง
ทั้งเปลวเพลิงน้ำแข็งล้วนพบพา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 30 ส.ค. 06, 16:05
 งามสง่า  โดดเด่น  เช่นดังหงส์
ทระนง  เหนือล้วน  มวลปักษา
ระเริงสุข  ทั่วราตรี  แลทิวา
เป็นเพื่อนยา  พี่นี้  มิหมางเมิน

เที่ยวชมแดน  หนาวเย็น  เป็นหิมะ
พานพบปะ  หนาวอก  ยามหกเหิร
ล่องลงเจอ  อัคคีเล่า  เศร้าเหลือเกิน
ใยเผชิญ  แต่โศก  วิโยคนาน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 31 ส.ค. 06, 15:34
 เมื่อริเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
ไฉนเล่ามีเพียงเรานั้นสืบสาน
คุณจิตแผ้วชายองค์หายไปนาน
ร่วมขับขานด้วยกันประชันกลอน

คุณหมูน้อยในกะลานั้นเก่งนัก
ได้ประจักษ์ชัดแจ้งไม่หลอกหลอน
อาจารย์นิรันดร์นั้นชอบทุกบทตอน
โปรดสั่งสอนโคลงกลอนขอขอบคุณ

อีกทั้งคุณCrazy HOrse ที่คิดถึง
ยังคำนึงถึงกลอนเฝ้ารอลุ้น
คุณ Little Sun ส่องแสงให้ไออุ่น
นุ่มละมุนกุ้งแห้งเยอรมัน

ทั้งนักกลอนท่านอื่นอีกหลายท่าน
ร่วมขับขานบทกลอนให้สุขสันต์
แต่งคนเดียวเกรงใจมากมายครัน
ความสุขนั้นอยู่ใกล้ตรงนี้เอง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 31 ส.ค. 06, 15:50
 เรียกเรียนเชิญ  ทุกคน  มาด้นกลอน
ด้วยอาทร  คณานับ  กระฉับกระเฉง
เพื่อสุขสันต์  คืนวัน  ร่วมบรรเลง
แต่ก็เกร็ง   เพียง นิค-อ้อ  คลอสองคน

คงมีงาน  รัดตัว  ทั่วทุกท่าน
จึงมีอัน  หมดเวลา  มิมาสน
เราเพียงสอง  ครองคู่  ดูซุกซน
กลัวถูกบ่น  เบื่อว่า  น่ารำคาญ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 31 ส.ค. 06, 15:56
 หากหมายว่าเปลวเพลิงนั้นนำทุกข์
ก็นำสุขมาได้ให้หรรษา
แต่ละสิ่งมีหลายด้านให้นำพา
อย่าจากลาเพียงเห็นแค่ด้านเดียว

ความหนาวเย็นนั้นเล่าให้เจ้าคิด
เพียงสะกิดซาบซ่านน่าหวาดเสียว
จึงรู้ค่าความร้อนแน่นอนเชียว
แม้ลดเลี้ยวแตกต่างแต่เชื่อมกัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 31 ส.ค. 06, 16:02
 อย่ากังวล  ถึงคนอื่น  นะคุณอ้อ
พี่ขอพ้อ  บ่นไป  ดั่งใจฝัน
สองเท่านี้  พอเพียง  เคียงคู่กัน
เกินกว่านั้น  โลกไม่ยล  เพราะคนเกิน

ที่เอ่ยมา  มีแต่ชาย  ทั้งหลายแหล่
พี่คงแย่  ด้วยใจ  ให้ขวยเขิน
พาลทะเลาะ  ชกกันไป  ไม่เพลิดเพลิน
อย่าเชื้อเชิญ  เลยคนดี  พี่ขอนา ... นะ.... นา .... นะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 31 ส.ค. 06, 16:53
 โบราณว่าถ้าเห็นหมูเขาจะหาม
อย่าได้คิดเอาคานเข้าสอดดาม
ผมซุมซ่ามโผล่มาน่ากลัวตาย

ได้แต่ยืนซุ่มดูประสาแขก
ทำลอกแลกกลัวคุณนิคยันหน้าหงาย
เป็นกติกามารยาทของชาติชาย
ท่านทั้งหลายรอดูก็แล้วกัน

 


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 31 ส.ค. 06, 18:30
 

คิดเป็นก้าง ขวางทางคอ พ่อขุนแผน
หรือว่าแม้น คิดทิ่มไซร้ ให้อาสัญ
ก็กลัวดาบ ฟ้าฟื้นมา ไล่ฆ่าฟัน
เพราะฉะนั้น ขอฉันดู อยู่ห่างพอ ฯ

   


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 31 ส.ค. 06, 21:28
 ริจะเป็นนักกลอนขอนอนพัก
กรำงานหนักมิได้ดูกระทู้ไหน
เข้ามาดูอีกที.... อ๊ะอะไร
มีสาวน้อยหนุ่มใหญ่มาจีบกัน

ว่าจะอ่านก็ตาลายไม่หายง่วง
แต่ก็ห่วง 2 หนุ่มสาวคู่นั้น
โปรดระวังพวกถ้ำมองชอบของมันส์
แอบอยู่นั่น เห็นไหม "ในกะลา"

ริจะเป็นนักกลอนขอนอนต่อ
นอนไม่พอตาช้ำคล้ำทั้งหน้า
ริจะเป็นนักกลอนขอนอนลา
ไว้ครั้งหน้าหายง่วงจะมาเยือน



บ๊ายบายครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 01 ก.ย. 06, 00:11
 เป็นนักกลอนเก่าแก่ ..ของแท้ค่ะ
แต่เพิ่งจะขัดสนิมจึงยิ้มเฝื่อน
สักสิบครั้งเลือดกวี..ที่ลางเลือน
คงคืนเรือนกลับมาคม..ได้สมใจ..


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 01 ก.ย. 06, 08:34
 มิแอบกลัว  ชายชำ-  นาญถ้ำมอง
ที่จดจ้อง  ในกะลา  หรือในไห
เพียงเผื่อแผ่  บุญบ้าง  มิเป็นไร
ชาติหน้าได้  ดูมั่ง  อย่างพวกเธอ

มีสาวใหญ่  อีกหนึ่ง  แวะมาเยือน
เข้าพักเรือน  หลังนี้  ตอนทีเผลอ
เชิญหนุ่มใหญ่  กลัดมัน  ฝันละเมอ
สามสี่เกลอ  โรมรัน  สู้กันเอง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 01 ก.ย. 06, 10:17
 ดีใจนักหลายท่านมาร่วมด้วย
ได้มาช่วยบทกลอนดังโฉงเฉง
คุณ Crazy HOrse แต่งต่อได้ครื้นเครง
เป็นกันเองคุณหมูน้อยในกะลา

คุณติบอแวะมายินดีนัก
แม้นอนพักก็ตื่นได้ให้หรรษา
คุณกุ้งแห้งเยอรมันนั้นแวะมา
รู้เลยว่าเธอเก่งคมได้สมใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 01 ก.ย. 06, 10:57
 ขอขอบคุณนะคุณ NickyNick
ให้ดวงจิตไมตรีกว่าที่ไหน
ให้มิตรภาพเป็นเพื่อนคอยห่วงใย
ไม่ว่าใครได้รับจักยินดี

หากจะขอว่ามีเพียงเราสอง
เป็นคู่ปองสมใจให้สุขขี
คงไม่ได้อย่างนั้นนะคนดี
มิตรภาพนี้มีให้กับทุกคน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 01 ก.ย. 06, 11:16
 โชคดีที่  นวลน้อง  ขอร้องมา
ให้พี่ยา  ระงับใจ  คลายหมองหม่น
ละวางความ  วุ่นวาย  อลวน
ทุกตัวตน  เมียงมองมา  หาคนดี

จะว่าหึง  ก็ไม่  ใช่ว่าหึง
เพียงดื้อดึง  เพราะรัก  ในศักดิ์ศรี
ชายใดมา  เกาะก่าย  ให้ทุบตี
หรือเดินหนี  อย่ามองเขา  เฝ้าระวัง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 01 ก.ย. 06, 20:10
 ฝีมือกลอนอาจคืนกลับ ส่ง-รับสนุก
กุ้งแห้งฯต้องย่องตามมุข พวกมือฉมัง
หนุ่มนิคกี้พี่อ้อติบอซัง
คุณม้าคลั่งคุณหมู..ดูสักที


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 01 ก.ย. 06, 21:01
 ย่องตามหมูฯ ดูท่าแล้ว ไม่แคล้วเฉา
คนอื่นเขา ล้วนว่องไว ในวิถี
หมูฯนั้นหนา ช้าอุ้ยอ้าย หน่ายเต็มที
อย่ารอรี มัวอาวรณ์ เชิญก่อนเลยฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 01 ก.ย. 06, 23:13

เห็นเพื่อนพ้องน้องมิตรของจิตแผ้ว
มาเจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงหวาน
แสนเกษมเปรมปรีดาอุราบาน
เชิญขับขานต่อไปในบทกลอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 02 ก.ย. 06, 09:02
 กรำงานหนักอยากพักเหนื่อยด้วยเมื่อยล้า
หากเพราะหน้าที่ต้องอยู่สู้ไม่ถอย
แววตาใสซื่อตรงเด็กดงดอย
คือเครื่องคอยเสริมสร้างกำลังใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 02 ก.ย. 06, 10:34
 ครูใหญ่ของ  ห้องนี้  เข้ามาแล้ว
นามจิตแผ้ว  คือยิ้มย่อง  และผ่องใส
เหน็ดเหนื่อยหนัก  นี้หนา  ด้วยเรื่องใด
น้องนี้ไซร้  ช่วยผ่อนเพลา  บรรเทาลง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 02 ก.ย. 06, 18:56
 สาวกุ้งแห้ง  เยอรมัน  มาขับขาน
เกิดอาการ  วุ่นใจ  ด้วยใหลหลง
อยากพานพบ  สบหน้า  นวลอนงค์
ชีวิตคง  สุขสันต์  ปันเปรมปรีดิ์

หันรีขวาง  ไม่เห็น  กะลาคว่ำ
ต้องรีบดำ-  เนินการ  ให้เร็วรี่
อยู่ห่างไห  ห่างกะลา  บ้างก็ดี
ชีวิตนี้  อิสระ  จะเป็นไท

แล้วเกี่ยวเกาะ  นิ้วก้อย  ของน้องกุ้งฯ
พลางลากจูง  พลางคุยบ้าง  ให้ห่างไห
เชื่อมสัมพันธ์  ไมตรี  พร้อมพลีใจ
อยากมีชัย  ในคนงาม  เพราะความดี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 03 ก.ย. 06, 12:04
 คุณหมูน้อยในกะลาช้าต้วมเตี้ยม
กุ้งแห้งฯสาวสงบเสงี่ยมกลับวิ่งจี๋
เครื่องติดแล้วหยุดยากค่ะ..ตอบวจี
แบตเตอรี่ชาร์จแรงขอแซงนำ

คุณจิตแผ้วงานยุ่งพักไม่ได้
หนุ่มนิคกี้..ชักอ่อนไหว ใจระส่ำ
รินน้ำเย็น เตรียมน้ำแข็ง ฝึกน้ำคำ
จะยกรัมไปให้ดื่มปลื้มสักวัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 03 ก.ย. 06, 19:07
 อยากลองใจแทบขาดแล้วน้องเอ๋ย
พี่ไม่เคยดื่มรัมอย่างสุขสันต์
หากเคียงข้างน้องนี้ยินดีพลัน
โลกเรานั้นชุ่มฉ่ำด่ำฤทัย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 03 ก.ย. 06, 19:57
 แม้นไม่เมา เราก็ขอ ล้วงคออ๊วก
อยากหูหนวก ตาบอดเช่น มิเห็นไหน
แม้นเมาเหล้า เช้าสาย ยังหายไป
แต่ไม่ไหว เมาน้ำคำ ทำเราเอียน ฯ    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 03 ก.ย. 06, 23:29
 น้ำคำพร่ำพลอดเหมือนน้ำลอดใต้ทราย
น้ำคำกินตายทรายลอดใต้น้ำ
คำหวานผ่านเก็บเจ็บแล้วไม่จำ
หวานนักน้ำคำน้ำลอดใต้ทราย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 04 ก.ย. 06, 10:21
 มีคนคลื่นเหียนอาเจียนแล้ว
สงสัยคงต้องส่งแห้วกินให้หาย
สาวที่ไหนได้ยินน้ำคำชาย
แล้วเชื่อง่ายคงช้ำตามตามกัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 04 ก.ย. 06, 11:39
 .... เป็นมนุษย์สุดดีที่สติ
จะดำริตริตรองประคองขันธ์
เมื่อผัสสะกับสัญญามาเจอกัน
สติพลันเผลอไผลตามไม่เจอ

เติมน้ำเมาเข้าไปอีกหลายจอก
จึงกระฉอกเป็นกลอนปล้อนเสนอ
แต่ความฝันเฟื่องไปใจละเมอ
พลอดพร่ำเพ้อวาจาคล้ายน่าฟัง

ดึงสติกลับมาหาจิตบ้าง
อย่าปล่อยค้างอ้างจินต์ถวิลหวัง
ถามใจตัวตรงนี้ดีหรือยัง
หรือว่าพลั้งเผลอไปกับสายลม

ประดิษฐ์กลอนสอนไทยให้เป็นเอก
อย่าโยกเยกเยิ่นเย้อเผลอผสม
แล้วเลยละผละใจใฝ่อาจม
ฟื้นอุดมการณ์กลอนแต่ก่อนมา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 04 ก.ย. 06, 12:11
 เหนื่อยเพราะสอนนักเรียนเพียรสร้างสม
ฝึกอบรมสอนสั่งต่างมุ่งหมาย
ให้รุ้รักทูนเทอดเกิดเป็นไทย
งามน้ำใจกิริยาวาจางาม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 04 ก.ย. 06, 13:00
 ... คนโบราณ ขานคำ นำเสนอ
ว่าหากเจอ จิ้งจกร้อง ต้องเกรงขาม
เรายังนึก ตรึกตรองอยู่ ดูฤกษ์ยาม
เมื่อคนปราม คนห้ามไซร้ ใยมิฟัง ฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 04 ก.ย. 06, 22:18
 ดูนกคู่ชู้ชื่นระรื่นสุข
เหมือนร้างทุกข์เคล้าคู่ทำจู่จี๋
แนบคอซบนบบ่าซ่อนพาที
ต่อวจีบนคบไม้สุขสำราญ
นู่นน่ะนกแนบคู่น่าดูนัก
เพราะรสรักของนกน้อยขับถ้อยหวาน
แต่นกคู่คู่แต่คู่อยู่ช้านาน
มิร้าวรานร้างห่างเพราะสร่างใจ
ริษยาปักษีที่ครองคู่
มิเริงชู้สวาทชื่นนกอื่นไหน
ถ้าเป็นคนคงโปรยรักอยู่ร่ำไป
มิเยื่อใยแม้ลูกเมียที่มีมา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 05 ก.ย. 06, 08:59
 รักอาจเป็นเพียงแค่แรงดลใจ
นักกลอนใช้เป็นกลมนต์ภาษา
เรือนไทยเป็นเวทีร่ายมนตรา
กลอนอาจพาไปเสมออย่าเผลอเพลิน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 05 ก.ย. 06, 09:56
 น้อยหรือวาจาช่างน่ารัก
เสนาะนักน้ำคำร่ำเสียดสี
วาบหวานปานจะปลื้มลืมวาที
เพราะรสเหล้าเข้าสีเข้าเสียดแซง

กลอนจะพากล้าจะพูดก็พูดผ่าน
เป็นน้ำตาลหวานจินต์จนลิ้นแห้ง
ปากเอ๋ยปากปากกระดิกช่างพลิกแพลง
จะว่าแกล้งแจงไว้ก็เจ็บคอตาย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 05 ก.ย. 06, 11:49
 อันความรักนั้นหนาพาโลกสุข
ไม่มีทุกข์หากรักเป็นเช่นสหาย
มีความรักให้กับสิ่งรอบกาย
ไม่มีสายกำลังใจเพิ่มพลัง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 05 ก.ย. 06, 11:53
 ความเป็นครูรู้แน่อยู่แก่จิต
เนรมิตสอนสั่งตั้งความหวัง
ให้ความรักศรัทธาให้พลัง
ศิษย์พลาดพลั้งครูให้กำลังใจ

ด้วยลูกศิษย์ทุกคนล้วนแตกต่าง
พ่อแม่สร้างกันมาจากแบบไหน
แต่เป็นครูเป็นศิษย์ด้วยหัวใจ
ความห่วงใยมีให้กับทุกคน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 05 ก.ย. 06, 11:55
 คนโบราณนั้นหนาเขาว่ากล่าว
อย่ากระเซ้าแหย่เล่นไม่เห็นสน
จิ้งจกทักตุ๊กแกนั้นกินตับตน
โปรดมองจนแจ่มแจ้งจะเข้าใจ

คนโบราณว่ากล่าวมีความหมาย
ไม่มีสายใช้ได้ทุกสมัย
จิ้งจกทักหยุดนิดสะกิดใจ
ทบทวนไปให้ดีก่อนก้าวเดิน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ชายองค์ ที่ 05 ก.ย. 06, 15:48
 เขียนขีดรัก ทรงสารส่ง ลักขีดเขียน
เพียรพี่มอง เมิลอย่าเมิน มองพี่เพียร
ใจขาดเจียน ทุกวันทุกข์ เจียนขาดใจ

คิดถึงตัว กรายผ่านกาย ตัวถึงคิด
ไฉนผิด เกิดมาเกิด ผิดไฉน
ไร้สิ่งทรัพย์ สินหมดสิ้น ทรัพย์สิ่งไร
เดี่ยวดวงใน รักน้องรัก ในดวงเดียว

ประจักษ์แจ้ง หวานคำหว่าน แจ้งประจักษ์
เลี้ยวมารัก หน่อยอย่าน้อย รักมาเหลียว
เทียวมามอง น้องรักน้อง มองมาเทียว
ใจถูกเหนี่ยว เนตรต้องเนตร เหนี่ยวถูกใจ ฯ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 05 ก.ย. 06, 17:30
 ขอเชิญร่วมวงเขียนบทกวีโดยใช้แรงบันดาลใจจากภาพถ่ายครับ

 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Cid=19&Pid=59082


"กลอนดีกับกลอนไพเราะนั้นต่างกัน ความไพเราะเปนคุณค่าหรือความดีของกลอนเพียงส่วนเดียวเท่านั้น กลอนที่มีลักษณะสมบรูณ์ ควรจะเปนกลอนที่ดีพร้อม กล่าวคือ ดีในทางความมุ่งหมาย ดีในทางความงาม และดีในทางฉันทาการ ซึ่งเปนพิธีการพิเศษเฉพาะของการสร้างกาพย์กลอน"

จาก เคล็ดกลอนนายผี "อัศนี พลจันทร์"


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 06 ก.ย. 06, 10:11
 ลูกผู้ชายล้วนใฝ่ในชื่เสียง
ดื่มเหล้าเพียงหวังเมาเท่านั้นหรือ
เอ่ยวาจาหลังเมามายให้เขาลือ
ว่าเราคือชายชาติอาชาไนย


ถึงเมามายก็อย่าได้เสียสัจจะ
จงลดละความบาดหมางทางเสียหาย
มนต์การเมืองเรื่องศาสนาอย่าใกล้กราย
ทุ่มเถียงไปอาจเจ็บตัวหัวแตกพัง


สนทนาปราศรัยในเรื่องเก่า
เที่ยววอนเว้าเล่าขานกาลก่อนหลัง
สะกิดแผลหัวใจให้ระวัง
ตราชูชั่งชราชนคนเกิดนาน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 06 ก.ย. 06, 10:24
 (๑)

น้ำใจครู  จิตแผ้ว  ผู้เปรียบปราชญ์
เหล่าทายาท  แห่งดงดอย  คอยความหวัง
พูนชีวิต  ที่ดี  มีพลัง
เป็นขุมคลัง  สมองไทย  ในอนาคต

ผมร่วมมา  ศึกษา  ในตัวท่าน
เพียงแค่ผ่าน  งานกลอน  อันสวยสด
มิเห็นตัว  ตนจริง  อิงเครื่องยศ
ที่ชูชด  ใช้เบื้องยุ-  คลบาทา

ผมมีส่วน  ร่วมใน  กระทู้นี้
เพื่อเพิ่มพูน   ความเปรมปรีดิ์  แค่นี้หนา
สร้างเสริมนำ  ชีวี  เติมชีวา
อาศัยค่า  แค่คำ  กลอนนำไป

ตอนนี้มี  ผู้มา  ร่วมกันมาก
ผมจึงอยาก  ลาไป  ในแนวใหม่
ไม่ขออยู่  ให้เนิ่นนาน  รำคาญใจ
เพราะคนใน  ที่นี้  มีอยู่เกิน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 06 ก.ย. 06, 10:33
 (๒)

ขอโอกาส  ระบาย  ให้ท่านทราบ
ผมร่วมปลาบ  ปลื้มใจ  และสรรเสริญ
ในสองสาว  ที่เพียรแวะ  และนำเชิญ
ท่านเจริญ  ในน้ำใจ  กว้างไกลดี

มีทั้งอา-  รมณ์ขัน  อารมณ์สุข
ใครคุยด้วย  พลันปลอดทุกข์  มีสุขศรี
ได้ดื่มด่ำ  ดูดดื่ม  ปลื้มอารี
ชีวิตนี้  ดีใจ  ที่ได้เจอ

บางคนคุย  อาจเบ่ง  แกมเคร่งขรึม
ผมแค่กรึ่ม  มิกล้า  นำเสนอ
ทั้งมิกล้า  สนทนาอยู่  เป็นคู่เกลอ
เดี๋ยวจะเผลอ  ต่อกลอนผิด  มิตรอาจพัง

ลักษณะ  สื่อสารใน  อินเตอร์เน็ต
เป็นพิเศษ  กว่าคุยเช่น  เห็นหน้าหลัง
พูดน่ารัก  กลายเป็น  เช่นน่าชัง
อยากบ่นดัง  แต่กลายเป็น  เช่นเลอะเลือน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 06 ก.ย. 06, 10:37
 (๓)

แย้บเข้ามา  ในแวดวง  วิชาการ
เพื่อเพิ่มความ  เชี่ยวชาญ  ชำนาญเหมือน-
-ชื่อของเวป  แห่งนี้  ที่คอยเตือน
ดุจดั่งเรือน  มนุษย์เก่ง  เคร่งเกินใคร

อยู่อยู่มา  เรื่อยเรื่อย  เหนื่อยดวงจิต
ด้วยชีวิต  กลับเหี่ยวแห้ง  ฤาไฉน
รีเฟลชอ่าน  ขึ้นมา  เพลาใด
คนฝักใฝ่  วิชาดี  มีน้อยจัง

อยากมีใจ  ร่วมด้วย  ช่วยพัฒนา
แต่กำลัง  วังชา  ไม่เด่นขลัง
มิกล้าเสนอ  แนวคิดใด  ให้พลัง
กลัวเป็นดัง  จับจระเข้ให้  ว่ายน้ำเป็น

อยากหวังดี  เกรงกลายเป็น  ประสงค์ร้าย
ช่วยคัดท้าย  แหวกพงอ้อ  เพียงพอเห็น
นำนาวา  พายไป  ไกลโคลนเลน
พลันโดดเด่น  อยู่กลาง  มหานที


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 06 ก.ย. 06, 10:39
 (๔ จบ)

และแล้วความ  คิดกลับมี  เป็นที่สุด
ช่วยเร่งรุด  ช่วยเร่งชวน  อย่างด่วนจี๋
คนคัดท้าย  เพียงหนึ่งเดียว  เปลี่ยวฤดี
ขอลาที  คัดไม่ไหว  นายท้ายเพลีย

ขอจบเพียง  เท่านี้  พี่น้องเวป
ผมร่วมเสพย์  วิชาไป  ใจละเหี่ย
อยากรู้ความ  ใดใด  ไม่มีเคลียร์
ขอไปเชียร์  เรือนแห่งใหม่  ให้ดังดัง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 06 ก.ย. 06, 11:01
 ......... ทำน้อยใจไปไยสหายนิก
นิ้วกกระดิกกดแป้นเป็นสักขี
ว่าเราคือคนรักกันชั้นกวี
ต่างก็มีที่กระเซ้าเย้ากันไป

ถ้าเป็นชายกระเซ้าชายว้ายน่ารัก
คงอึกอักประดักประเดิดเกิดบัดสี
จึงอาจเย้าแกมแยบแบบท้าตี
ฝีปากดีคารมกล้าท้าประชัน

จะถูกบ้างผิดบ้างเอาข้างถู
ผิดเป็นครูรู้แล้วรีบขยัน
สร้างสำนวนประมวลมาอ่านกัน
อย่าปิดกั้นเร้นคารมชมรมกลอน    


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 06 ก.ย. 06, 11:19
 โลกนี้มีสองด้านต้องหารสอง
คนเคร่งมอง คนขี้เล่น เป็นขึงขัง
ไม่เห็นด้วยก็เพียงแต่แค่ระวัง
เมื่อเราฟังแต่แน่วแน่ท้อแท้ไย
หนุ่มนิคกี้ที่น่ารัก..ช่างซักถาม
หากตีความ วิชาการ ว่ายิ่งใหญ่
เว็บนี้คงลดความน่าสนใจ
คนใหม่ใหม่ที่เข้ามาเลิกกล้าแสดง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 06 ก.ย. 06, 12:00
 จะว่าวานขานกลอนวอนคุณนิก
อันน้ำพริกสดสดรสต้องจัด
ทั้งผักปลาหญ้าจิ้มสารพัด
บรรจงคัดจัดจนอร่อยลิ้น


ขาดคุณนิกสักคนบนเรือนไทย
คงอาลัยเจ็บแสบจนแทบดิ้น
เหมือนกับผักหากไม่จ้ำน้ำพริกกิน
....................


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 06 ก.ย. 06, 12:18
 ...
คงจืดลิ้นสิ้นรสหมดราคา

ก็เรามีวาสนามาพานพบ
พี่จะจบจะจากแบบถากผา
...


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 06 ก.ย. 06, 13:24
 จะเกรงกริ่งสิ่งใดชายอาชา
ใครแหลมมาตอบกลับลับคารม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 06 ก.ย. 06, 13:31
 ...
หวนรำลึก นึกถึงกาล ที่ผ่านมา
วันเวลา พามาพบ คบหากัน ฯ

อย่าเพิ่งลี้ หนีหาย พี่ชายเอ๋ย
ใครมิเคย พลาดเลยบ้าง ทางสร้างสรรค์
...


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 06 ก.ย. 06, 13:34
 กะจะโพสต่อจากคุณม้าฯ แต่โพสช้าไปนิดหนึ่งครับ
เอ๊าใครจะต่อให้หมูฯมั่ง...  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 06 ก.ย. 06, 13:36
 เห็นกาลศึกคึกคักฮึกฮักสู้
ว่านี่กูทั้งกล้าบ้าผสม
ทั้งอ้อยอิ่งเอิบอาบทราบอารมณ์
มาเกลียวกลมบ่มสบัดเจนจัดกลอน

หากถูกตีทีเดียวแล้วเลี้ยวหนี
รู้ไม่ชี้ชวนท้าหน้าสลอน
ปลีกวิเวกเอกองค์คงง่วงนอน
ฤๅต้องวอนงอนง้อขอคืนดี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 06 ก.ย. 06, 13:55
 ดูลำตัดจ้านจัดตระบัดด่า
ราวกับว่าเป็นศัตรูกู่สักขี
ร่ายลำนำซ้ำเติมบนเวที
ทั้งนิ้วชี้ทั้งตะบึงขมึงกัน
นอกเวทีกลับมีคารมหวาน
อย่างน้ำตาลปานมิตรสมานฉัน
ตะกี้ว่าถ้าอย่างนี้คนดูมัน
คราวหน้ามามุ่งตะบันหนักขึ้นไป


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 06 ก.ย. 06, 14:33
 มหาสมุทรสุดตาชลาล้ำ
มือจุ่มน้ำแหวกนทีที่เอื่อยไหล
หรือซัดโถมโหมคลื่นแรงอย่างไร
มือก็อาจแทรกได้ทุกนาที
หากจะฉุดยุดยื้อมือจากน้ำ
ก็อาจทำตามใจได้ทุกที่
ไม่มีรอยพร่องไปในวารี
รูปร่างมือหามีที่ไหนเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 06 ก.ย. 06, 16:25
 ต่อจากคุณหมูน้อย 263

คุณนิกกี้แต่งกลอนโหมตะบัน
เพิ่มสีสันงานกลอนเร่าร้อนใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 06 ก.ย. 06, 16:51
 มอบให้คุณ NickyNick

ทำน้อยใจไปใยเล่าคุณพี่
ความหวังมีเริ่มได้ให้สดใส
มาแต่งกลอนกันเถอะอย่าร้างไกล
ชาวเรือนไทยดีใจที่มีคุณ  

หากวันนี้นึกท้อขอให้สู้
จงตรองดูดวงตะวันนั้นยังหมุน
ยังมีเพื่อนผองมิตรจิตการุณย์
คอยเกื้อหนุนดูแลกันและกัน

เชิญตะวันลงมาให้ส่องแสง
ให้มีแรงก้าวเดินอย่างสุขสันต์
พลังใจในตนส่งผลพลัน
จงมุ่งมั่นบทกลอนแล้วส่งมา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: elvisbhu ที่ 06 ก.ย. 06, 18:07
 ผมอ่านกลอนสบายสบายคมคายที่นี่
โธ่นิคกี้ต่อเรื่องดื่ม ปลื้มนักหนา
ผมก็ชอบชื่นชมนิยมสุรา
เพราะสุขที่เจรจาเวลาริน
ไม่ได้หมายความว่าขาดสติ
...
ช่วยตอให้ผมบ้างครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 07 ก.ย. 06, 00:36

เหล้ายังผลิดอกใบให้สมอง
ดื่มนิดหน่อยปลดปล่อยทุกข์สุขสมปอง
เชิญพี่น้องผองเพื่อนยามากรึ๊บกัน

หากแม้นเมามายแล้วอาจแกล้วกล้า
ฤทธิ์สุราพาไปไม่สร้างสรรค์
มิตรที่ดีพี่ที่แท้แน่นอนนั้น
ต้องปลุกปลอบห้ามปรามกันนั่นรักจริง

นิกกี้เป็นดั่งกับแกล้มโอชารส
ดุจผักสดเคียงลาบหลู้คู่ตราสิงห์
น้องยกพี่เป็นครูใหญ่หรือไม่จริง
ควรหรือทิ้งพี่ไปให้จาบัลย์

พิเคราะห์ดูบทกลอนสุนทรแสดง
ที่หลายท่านได้เล่าแจ้งแถลงขาน
ล้วนไมตรีมีให้กันและกัน
ใยด่วนตัดสัมพันธืหันหนีไป


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 07 ก.ย. 06, 10:08
 ..... เป็นชาวพุทธ์สุดดีที่ศีลห้า
หนึ่งเว้นฆ่าเว้นขโมยนั้นทำได้
สตรีอื่นเปรียบมารดรระลึกใจ
โกหกไม่ออกจากปากไม่ยากเย็น
แต่พอมีสุราเข้ามาปั๊บ
ศีลก็ยับเยินไปหาไม่เห็น
สุขภาพเสื่อมศรีสิลำเค็ญ
เปรียบดังเช่นทีวีโชว์โอ้เครียดจัง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 08 ก.ย. 06, 16:40
 ลำเต่ากินผักบุ้ง

โอ้ว่ายามย่ำสนธยา      
ทินกรจรลาเวหาหาว
งามแสงจันทร์ผ่อง
ส่องสกาวแสงดาวพราวสว่างกระจ่างไป   
ดอกเอยเจ้าดอกชบา   
เจ้าคู่เสน่หาของตัวข้าเอย
เจ้าดวงพวงผกา         
หอมนาสายิ่งนัก
มาโรยร้างห่างรัก         
สุดจะหักใจเอย
         
ยามค่ำน้ำค้างพร่างพรม      
ต้องลมเหน็บหนาวราวไข้
ยินเพียงเสียงหรีดเรไร         
แก้วใจหายเหอยู่เอกา
ดอกเอยเจ้าดอกบัวสาย
ชาติหน้าชาติไหนอย่าได้พบกันเอย      
เจ้าสายสวาทเอย         
มาตัดขาดแล้วหรือไร
อนิจจาสุดอาลัย         
แสนเสียดายนักเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 08 ก.ย. 06, 16:42

ลำเต่ากินผักบุ้ง

โอ้ว่ายามย่ำสนธยา
ทินกรจรลาเวหาหาว
งามแสงจันทร์ผ่องส่องสกาว
แสงดาวพราวสว่างกระจ่างไป
ดอกเอยเจ้าดอกชบา
เจ้าคู่เสน่หาของตัวข้าเอย
เจ้าดวงพวงผกา
หอมนาสายิ่งนัก
มาโรยร้างห่างรัก
สุดจะหักใจเอย

ยามค่ำน้ำค้างพร่างพรม
ต้องลมเหน็บหนาวราวไข้
ยินเพียงเสียงหรีดเรไร
แก้วใจหายเหอยู่เอกา
ดอกเอยเจ้าดอกบัวสาย
ชาติหน้าชาติไหนอย่าได้พบกันเอย
เจ้าสายสวาทเอย
มาตัดขาดแล้วหรือไร
อนิจจาสุดอาลัย
แสนเสียดายนักเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 08 ก.ย. 06, 22:59
 นิกกี้เห็นที่ลุ่มต่ำน้ำท่วมปาก
พูดลำบากยากไปจึงไคลเคลื่อน
หาที่ดอนน้ำน้อยหน่อยค่อยสร้างเรือน
หากคิดถึงให้เยือนที่ห้องครู...


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 09 ก.ย. 06, 07:43
 การต่อกลอนวอนเว้าให้เข้าเรื่อง
อาจขุ่นเคืองหัวใจใครใครเขา
กลอนพาไปอาจมิใช่ตัวของเรา
คนโง่เขลาอาจเป็นเช่นเมธา

คนบอกดื่มอาจมิใช่คนชอบดื่ม
ปรีดิ์เปรมปลื้มอาจมิใช่สุขหรรษา
ถึงอย่างไรไม่ควรชวนกันพา
ร่ำสุราจนเสียการพาลชีพพัง

ต่อนี้ไปอย่าได้ชวนต่อกลอน
พาจิตหลอนจรไปในมนต์ขลัง
ของอบายหากกรายใกล้ให้ระวัง
คำสอนสั่งพุทธองค์จงรับเอา
                        สาธุ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 10 ก.ย. 06, 11:29
 อ้าว
ไม่ต่อกลอนจิตหลอนไม่ผ่องแผ้ว
เลิกเหล้าแล้วเลิกจนเลิกคนเขลา
แต่ต่อกลอนสอนปัญญาค่าไม่เบา
ชีวิตเศร้าไม่ต่อกลอนนอนไม่ลง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 10 ก.ย. 06, 16:56
 ถ้าเช่นนั้นเชิญพี่ท่านร่วมต่อกลอน
ช่วยพร่ำสอนเวไนยผู้ใหลหลง
ในน้ำเมาเคล้าอบายให้ลดลง
อานิสงฆ์สู่แดนฟ้าดาวดึงส์


ขอบพระคุณที่หนุนในไมตรีจิต
ชี้ถูกผิดนำจิตใจให้นึกถึง
ในศีล5ค่าอนันต์หมั่นรำพึง
ปฏิบัติเพื่อหวังพึ่งซึ่งนิพพาน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 10 ก.ย. 06, 23:51
 ...... มิอาจนับว่าสอนเพียงวอนบอก
เป็นเพื่อนดอกดึงเดินเชิญผสาน
หุบห้วยเหวระหกระเหินเดินไม่นาน
จะรำคาญครวญคิดพิชิตมัน
ใช้ปัญญาหาทางสว่างเรียบ
สงบเงียบบริสุทธิ์วิมุติขันธ์
ห่างอบายไร้ทุกข์สุขนิรันดร์
จิตก็พลันผ่องแผ้วแก้วมณี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 15:14
 มิอาจสอนหากจะแนะแวะมาทัก
ก็เพราะรักจึงบอกใช่หยอกหนา
เข้าพรรษาลดละเลิกเถิดสุรา
มันจะพาดิ่งไปในอาจม

ดื่มนิดหน่อยค่อยๆมิว่าดอก
เหล้าสักจอกเข้าสังคมคนว่าเก่ง
ดื่มมากไปเขาไล่จะลำเค็ญ
ไม่เป็นคนเป็นผู้ดูน่าอาย

อันศีล5ว่าไปใครก็รู้
แต่แค่ดูไม่ทำจำเอาหรือ
ท่องได้แม่นไม่กระทำจำพร่ำพรือ
ท่องหนังสือยังดีกว่าว่าไหมคุณ

อันข้อแรกห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
อย่าถือสิทธิ์คิดละเมิดสุขใครเขา
ต่อข้อสองของใครใช่ของเรา
อย่าถือเอาว่าเจ้าข้าวเจ้าของมัน

อันข้อสามกามเป็นเหตุเพศทั้งสอง
อยู่ปรองดองอย่านึกคิดผิดวิสัย
เมียของเขาใช่ของเราแย่งทำไม
ผิดวินัยศีลข้อ3ห้ามกระทำ

ต่อข้อสามคือข้อสี่อย่าพูดปด
ทั้งประชดเสียดสีมีที่ไหน
ทั้งคำพูดที่บั่นทอนปรองดองไป
อย่าได้ใช้มันเสียดจิตระอิดระอา

ข้อสุดท้ายไม่อยากกล่าวรู้สึกผิด
ความนึกคิดมันขัดกันไปหมดหนา
อย่าดื่มเหล้าแต่เราดื่มเฮ้อ..ขัดตา
ห้ามดื่มยา(ดอง)เขาสวนว่าคุณดื่มเอง

อันสุราเมรัยใช่เป็นระยะ
อุตสาหะพลิกผันเป็นคำขัน
มีแต่พวกขี้เหล้ายาที่มันฟัง
แสนน่าชังหนึ่งในนั้นกระผมเอง

บรรทัดนี้ขอบอกว่าล้อเล่น
ไม่ได้ดื่มเอาเช้าเย็นเป็นนิสัย
หากดื่มเพื่อเข้าสังคมเป็นไรไป
กระนั้นไซร้ก็ยังผิดศีลสุรา


เลยอยากบอกอยากกล่าวเว้าวอนก่อน
อย่าได้ค่อนรังเกียจผมเพราะผิดศีล
อันศีล5ข้อนั้นนับถือจริง
แต่งซิงๆสดๆเพราะศรัทธา

อันกลอนนี้มอบถึงคุณจิตแผ้ว
ตั้งใจแล้วที่แต่งใช่ขำขัน
อันศีล5ผมยังถือไม่ครบครัน
จะแนะกันบอกใครนั้นอย่าหวังเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 16:04

ขอเอารูปประกอบด้วยนะครับ

จาก www.skn.ac.th/skl/project/wanakade/s18.gif

ระยิบยับวะวับเนตรวิเศษแสน
ฤ จะเป็นเทพจำแลงมาแต่ไหน
งามทรวดงามทรงงามวิไล
กมลใสหยาดฟ้ามาแดนดิน

ผิวขาวผ่องแผ้วจรัสจิต
ยิ่งพินิจพิศโฉมจรรโลงยิ่ง
ริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูปจริง
ดูไร้สิ่งตำหนิใดมาแผ้วพาน


เนตรนวลงามสะท้านจิตพิศแล้วหลง
งามตรงแม้เยื้องข้างมิสร่างโฉม
บุรุษพบชายพานหวังประโลม
พุ่งกระโจนเข้าหาเพราะโลกีย์


เกิดเป็นหญิงทำสิ่งที่ชอบถูก
อย่าได้ปลูกรับไมตรีวจีหวาน
รับมาแล้วร้างรักเศร้าซมซาน
รักไม่นานเลิกร้างรักไม่จริง

อันคำชายเชื่อได้ใครบอกหรือ
คนเล่าลือโบราณท่านขานไข
พูดคำหวานปานน้ำผึ้งเพราะพึงใจ
หมดความใคร่น้ำตาลไม่หวานเลย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 11 ก.ย. 06, 16:17
 คุณ OBORO ครับ

คุณแต่งได้ไหลลื่นและน่าจะรวดเร็วมากนะครับ

แต่ลองปรับสักนิดนึง

ปกติกลอนสุภาพจะส่งสัมผัสระหว่างบทจากคำท้ายบทไปยังคำท้ายวรรคสองครับ

ความเชื่อมโยงระหว่างบทจะดีขึ้นครับ

เช่น บทแรกจบด้วย

กมลใสหยาดฟ้ามาแดนดิน

บทถัดมา

ผิวขาวผ่องแผ้วจรัสจิต
ยิ่งพินิจพิศโฉมจรรโลงยิ่ง

ตรงคำว่า ยิ่ง ต้องสัมผัสกับ ดิน ครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 16:29
 ขอบคุณมากครับ ตอนแรกแต่งๆไปไม่ได้คิดอะไร แต่ต่อพอคุณทักมาทำให้นึกถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากการละเลยฉันทลักษณ์  ขออภัยอย่างมากครับ จะนำรีบนำไปปรับปรุงแก้ไขครับ  ขอบคุณที่ท้วงติงมา  มือใหม่ขออภัยอีกครั้ง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 16:52
 ขออภัยมือใหม่พึ่งหัดแต่ง
มิรู้แจ้งหลักเกณฑ์ที่กำหนด
มัวแต่แต่งเพลินไปให้แต่รส
จึงผิดกฎน่าอายขายหน้าจริง

อาจเนื่องด้วยร้างรามานานเนิ่น
แต่งพาเพลินระรื่นจิตพิศ(รูป)โฉมหญิง
เห็นรูปแล้วหทัยสั่นปั่นระวิง
เผลอจริงๆลืมสัมผัสอุธรรจ์อาย

ต่อไปนี้จะแก้ไขใช้ให้ถูก
แก้หลังผูกเสร็จสมอารมณ์หมาย
ทำผิดแล้วขอแก้ผิดที่วุ่นวาย
ผิดสุดท้ายหวังปราชญ์ท่านไม่ว่ากัน


ขออภัยมาด้วยกลอนนี้

สำหรับคำว่า อุธรรจ์(อับอาย) ไม่ทราบว่า สะกดถูกหรือไม่ผิดถูกอย่างไรช่วยบอกกล่าวด้วย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 16:54
 เอ๋ ความรู้สึกลอยๆมาคล้ายๆว่าผมจะสะกดผิด รู้สึก "อุธรรจ์" ที่พิมไปมันผิด  จะต้องเป็น "อุธัจ" ใช่หรือไม่


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 11 ก.ย. 06, 17:36
 จะฝึกฝนกลกลอนอย่าร้อนใจ
วาดอักษรถอนใส่ให้ระวัง
อีกคำนึงถึงความอย่าวามจิต
เรื่องจะผิดติดตายไปภายหลัง
ที่เคยรักจักคลายกลายเป็นชัง
…………….


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 11 ก.ย. 06, 18:59

.

คุณ OBORO แต่งได้ไวและลื่นไหลดีครับ
เห็นคุณเครซี่ฯกรุณาแนะนำน้องๆเรื่องฉันทลักษณ์ ผมจึงขอเอา ความเห็นเก่าๆ ในกระทู้"เรียนเชิญคุณจิตแผ้วฯ" มาแปะไว้ประกอบการบรรยายด้วยครับ

ปล.ว่ายังไงคุณกุรุฯ? พ่อไกด์หนุ่มของเราก็แต่งผิดเหมือนกันนะนี่

*********
ความเห็นเพิ่มเติมที่ 48


นำแผนผังโครงสร้างมาให้ดูกันครับ เผื่อไว้สำหรับ ผองมิตร อีกหลายๆคน ที่อยากแต่งเข้ามาแต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี
จะได้แต่ง ได้รื่นและสนุกกันยิ่งขึ้นครับ
..เอ๊า ..ล้อมวงกันข้ามาครับ.

แผนผังกลอนแปด
๑) แสดงผังโครงสร้างกลอนแปด ความยาว ๒ บท
๒) กลอน ๑ บท มี ๒ บาท คือ บาทเอกและบาทโท
๓) กลอน ๑ บาท มี ๒ วรรคคือบาทเอกประกอบด้วย วรรค สดับ และวรรค รับ
บาทโทประกอบด้วย วรรค รอง และวรรค ส่ง
๔) กลอน ๑ วรรค มี ๘ คำ จึงเรียกว่ากลอน ๘
๕) เส้นโยงภายในวรรค เรียกว่าสัมผัสใน มีหรือไม่มีก็ได้ ส่วนเส้นโยงคำท้ายวรรค เรียกว่า สัมผัสนอก เป็นกฎบังคับต้องมี
๖) กลอนยาว ๒ บทขึ้นไป ต้องเชื่อมสัมผัส ท้ายวรรค ส่ง ไปยังคำท้ายวรรค รับ ของบท
ถัดไปเสมอ  


โดย: หมูน้อยในกะลา  [IP: 125.24.74.144,,]  
วันที่ 18 เม.ย. 2549 - 11:29:55
ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ แล้ว 485 ครั้ง - พาหนะคู่กาย: เครื่องบินปีก 2 ชั้นแรงคนถีบ - เพดานบินยอดเขา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 11 ก.ย. 06, 19:01
 ความเห็นเพิ่มเติมที่ 49

ขออนุญาตหยิบยกกลอนของอาจารย์นิรันดร์มาให้ชมเป็นตัวอย่างสัก2 บทครับ


"อันบางกอก บอกว่า เวลาเก่า
เรียกขานเล่า ว่าเวนิส น่าอิจฉา
จะไปไหน ไปได้ ด้วยเภตรา
ไม่มีรถ มีรา มากวนใจ

อนิจจา มากรุงฯ กันตอนนี้
เวนิสลี้ คลองหนี ไปที่ไหน
พอฝนมา ฟ้ากระหน่ำ ลงคราวใด
คลองค่อยผุด โผล่ให้ มาเห็นกัน"



ใครคิดจะแข่งกลอนกับอาจารย์ ล่ะก็คงเห็นทีต้องปาดเหงื่อเลยล่ะครับ
ตรงนี้จะเห็นว่า นอกจากจะได้ใจความที่กระชับ ได้ความหมายของเนื้อหาที่เจตนาจะสื่อชัดเจนแล้ว ยังมีสัมผัสนอกครบถ้วน เพิ่มความไพเราะด้วยสัมผัสใน ไม่สัมผัสสระ ก็สัมผัสอักษร

สัมผัสในด้วยสระก็เช่น ในบาทเอกวรรคสดับของบทที่1
"อันบางกอก บอกว่า เวลาเก่า" ก็มี
กอก-บอก, ว่า-ลา

สัมผัสในด้วยอักษรหรือพยัญชนะก็เช่น ในบาทโทวรรคส่งบทที่2
"คลองค่อยผุด โผล่ให้ มาเห็นกัน" ก็มี
ผุด-โผล่,ให้-เห็น

เป็นต้น

ส่วนสัมผัสนอกไม่ต้องพูดถึง
บอกได้ว่าครบถ้วน กระบวนยุทธ

อ๋อ อีกส่วนหนึ่งที่จะสร้างความไพเราะขึ้นอีกระดับหนึ่งก็คือ
ตรงตัวสุดท้ายของวรรค รับ ของทุกบท ควรใช้เสียง สูง หรือเสียงจัตวา จะทำให้ไพเราะขึ้นมากเลยครับในตัวอย่างของ อ.ก็เป็น (..ฉา) กับ (ไหน)

โดย: หมูน้อยในกะลา  [IP: 125.24.74.144,,]  
วันที่ 18 เม.ย. 2549 - 12:10:30
ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ แล้ว 485 ครั้ง - พาหนะคู่กาย: เครื่องบินปีก 2 ชั้นแรงคนถีบ - เพดานบินยอดเขา

ความเห็นเพิ่มเติมที่ 50

ขออนุญาตต่ออีกนิดเถอะครับ

พอดีแลไปเห็นบาทโทของทั้งสองบทอาจารย์
บทแรก

"..จะไปไหน ไปได้ ด้วยเภตรา
ไม่มีรถ มีรา มากวนใจ"

อาจเห็นว่าสัมผัสวรรค3 ที่ต้องสัมผัสกับวรรค4 ทำไมไม่สัมผัสเหมือนผังตัวอย่าง
คือคำว่า "เภตรา" ไม่ได้สัมผัสกับคำว่า "รถ"
ตรงนี้เข้าใจว่าเป็นการอนุโลม ให้ไปสัมผัสกับตัวอักษรที่5ของวรรคถัดไปได้ ได้เสียงไพเราะเช่นกัน
"เภตรา" สัมผัสกับคำว่า " รา" แทน

บทที่2ก็เช่นกัน
"..พอฝนมา ฟ้ากระหน่ำ ลงคราวใด
คลองค่อยผุด โผล่ให้ มาเห็นกัน"

ตรงนี้หากเราจะใช้การสำผัสดังกล่าว ก็ควรจะทำให้เพราะยิ่งขึ้น
ด้วยการใส่สัมผัสใน ในวรรคที่เราเว้นสัมผัสไปนั้นไม่ให้มันดู ทื่อๆเกินไป เช่น ของอ.ก็มี
"มีรถ- มีรา "
และ
"ผุด-โผล่"

ซึ่งเป็นสัมผัสอักษรหรือพยัญชนะ

เป็นต้น

เอาล่ะที่นี้ เรามาเริ่มแต่งและเข้ามาร่วมสนุกกันดีกว่าครับ..  

โดย: หมูน้อยในกะลา  [IP: 125.24.74.144,,]  
วันที่ 18 เม.ย. 2549 - 12:29:28
ร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ แล้ว 485 ครั้ง - พาหนะคู่กาย: เครื่องบินปีก 2 ชั้นแรงคนถีบ - เพดานบินยอดเขา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 19:30
 ชอบกลอนบทนี้มากครับหวังว่าทุกคนยังจำได้  ผมฟังทีไรแล้วซึ้งในพระคุณของพ่อแม่จริงๆ  ขอยกมาลงไว้ที่นี่ด้วยคงไม่ว่านะครับ

พ่อไม่มีเงินทองจะกองให้
จงตั้งใจพากเพียรเรียนหนังสือ
หาวิชาความรู้เป็นคู่มือ
เพื่อยึดถือเอาไว้เลี้ยงกายา
พ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่า
จะเลี้ยงเจ้าเรื่อยไปนั้นอย่าหมาย
ใช้วิชาเลี้ยงตนไปจนตาย
ลูกสบายแม่กับพ่อก็ชื่นใจ.......

*************************
ตอบ+ถาม คุณกุรุกุลา



ต่อไปนี้จักระวังดั่งคำสอน
อันว่ากลอนนี้จากไหนที่ใดหนา
แม้ว่าเคยแม้ว่าคุ้นดูเจนตา
สุดระอานึกไม่ออกช่วยบอกที

*********************


เกิดอารมณ์อยากแต่งขึ้นมาตะแหง่วๆอีกแล้วครับ

*****************
อันตัวเราดีชั่วก็รู้อยู่
คอยแต่ดูรู้แต่ชั่วคนอื่นเขา
พอทำผิดคิดปกปิดเฮ้อ..คนเรา
ดูแล้วเศร้าโทษแต่เขาเราไม่ตรอง

*****************

แม่จ๋าแม่ดูแลลูกจนแก่เฒ่า
แม่รักเจ้าเฝ้าอุ้มชูดูเสมอ
แม่รักษาเลี้ยงดูมิเผลอเรอ
แม่มิเจอลูกอยู่ไหนใจแม่หาย

ห่วงแสนห่วงลูกไปไกลใจแม่สั่น
ห่วงและหวั่นรักลูกมิรู้หาย
ห่วงมากมายกลัวดวงใจไปอันตราย
ห่วงเคราะห์ร้ายมีแก่เจ้าเศร้าอุรา

ลูกไปไกลใช่ว่าแม่ไม่คิดถึง
แม่คำนึงคิดถึงเจ้าเฝ้ารอหา
ลูกอยู่ไกลลำบากไหมบอกแม่มา
แม่จะมาปัดเป่าเจ้าให้เบาภัย

ลูกลำบากแม่เหนื่อยยากกว่าแสนเท่า
ลูกจะเอาแม่ไม่มีรีบหาให้
ลูกกลับใช้ไม่รู้ค่าว่าจากใจ
แม่นั้นไซร้ลำบากแสนแม้นเกินตัว

ถามเจ้าว่าเหนื่อยไหมไปพักก่อน
เคยบอกสอนบอกเตือนเจ้าว่ายั่ว
เจ้าเถียงมาแม่กลับเงียบก็เพราะกลัว
ใจระรัวกลัวลูกโกรธไม่โอดไป

จากวันนั้นจนวันนี้เคยหรือเปล่า
เข้าไปเล่าคุยกับแม่ดูแลไหม
เข้าไปเถิดให้ท่านซึ้งตรึงหัวใจ
เดินเข้าไปยิ้มให้ (ผมรักแม่)/(หนูรักแม่)

แม่จะยิ้มพิมพ์ใจเป็นคำตอบ
แม่น่ะชอบใคร่ชิดใกล้ใจลูกแน่
แม่จะมีความสุขที่ได้แล
แม่แท้ๆรักลูกมากจากใจจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 20:28
 ขออภัยแต่งไวไม่ดีนัก
ดูเร่งรัดไม่ละเมียดละเอียดหนา
อันกลอนแม่ที่แต่งไปเร่งเวลา
กระผมว่าไม่ค่อยดีมีบกพร่อง

ดูกลอนแม่ที่ลงไปไม่ดีนัก
บ้างสัมผัสความหมายไม่เข้าช่อง
แต่ต่อไปจะค่อยนึกตรึกไตร่ตรอง
ขอปราญช์กลอนพี่ๆอย่าตีเลย
*********************
ดาวระยับเดือนจรัสวับวิบแสง
ดุจคนแย่งยศฐามาแต่ไหน
แย่งกันจริงอำนาจชาติบรรลัย
แย่งทำไมไม่นานก็เสื่อมลง

อันอำนาจยศฐาบรรดาศักดิ์
เจิดจรัสเพริศแพร้วดั่งแก้วหงส์  (คำว่าแก้ว-หงส์แยกกันนะครับ)
อยู่บนแท่นทระนงตนไม่ยอมลง
หมดลาภส่งตกอัพอาภัพจริง

*****************

ใบไม้ไหวใจก็ไหวไร้ที่มั่น
ใบมันสั่นใจก็สั่นพลันเร็วรี่
ใบไม้เอนใจก็เอนไปพอดี
คนแบบนี้อย่าพานพบบรรจบกัน

เพราะไม่มีดวงฤทัยที่ตั้งนิ่ง
เพราะมัวหยิ่งตัดสินใจไม่ย่อสั้น
เพราะมัวเอนมัวอ่อนนอนใจนั่น
คนแบบนั้นเหล่ามิตรหลีกลี้ไกล

******************

เกิดเปนคนพาทีให้มีน้ำ
อย่าครั่นคร้ามจงพูดดีศรีสมัย
พูดไม่ดีกลายเป็นชั่วอัปราชัย
พูดดีไว้ศรีมงคลคนร่มเย็น

*********************
จะรักใครโบราณว่าให้ดูแม่
ให้แน่แท้ดูยายที่ภายหลัง
หากมิใช่ดั่งว่าสาวน่าชัง
โบราณขลังเล่ากันมาพาเจริญ

บางอย่างเชื่อกลับดีเป็นศรียิ่ง
ดูเป็นมิ่งขวัญศรัทธาพาสรรเสริญ
หากบางอย่างอย่าพึ่งเชื่อลองทำเมิน
อย่าเชื่อเพลินใช้ดวงจิตพินิจดู

********************


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ก.ย. 06, 20:43
 ใครว่างๆลองไปเขียนกลอนประกอบภาพในกระทู้ เขียนกลอนประกอบภาพนะครับเป้นรูปภาพของในหลวงที่อัญเชิญมาลงในกระทู้กับเด็กตัวเล็กๆที่เข้าไปแสดงความรักและเคารพพ่อหลวงแทบเท้า ซึ่งผมเองยังคิดกลอนประกอบไม่ออก สมองดันไม่สั่งการกระทันหันรึอาจเป็นเพราะแต่งกลอนสรรเสริญไม่ค่อยเก่งก็เป็นได้ ขอเชิญร่วมแต่งกลอนเพราะๆมากล่อมกันครับนะครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 11 ก.ย. 06, 21:54
 คุณหมูน้อยกลอยใจในกะลา
ไม่พบพามานานนักชักคิดถึง
ขอบพระคุณรุนช่องน้องคะนึง
ช่วยแนะกลอนสอนซึ้งสะบัดใจ

ตอบคุณโอโบโรโต้เป็นกลอน
ใช่อวดดีตีสอนให้หมั่นไส้
รักจะแต่งแกล้งจะว่ากลอนพาไป
ขออย่าได้ถือสาคนบ้ากลอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 12 ก.ย. 06, 18:35
 อันตัวผมนิยมชมชื่นจิต
ชอบพินิจคิดผันผวนป่วนอักษร
พอมือว่างหัวว่างก็แต่งกลอน
อย่าให้พร(ด่า)ว่ามือบอนวอนเอ็นดู

คนบ้ากลอนต้องรีบจรเพราะกลอนบ้า
ไม่ประสาแต่งตามใจให้อดสู
ผมไม่รู้เแต่งไปพอใครดู
พวกครูๆเขาติกลับซะยับเลย

คุณกุรุกุลามาเตือนจิต
ค่อยแต่งคิดพินิจความไม่วางเฉย
ให้เลือกคำตรงความหมายใช้ถูกเอย
ถ้าละเลยส่งผลเสียจะเพลียใจ

*************
อันคำชายฟังได้แต่อย่าหลง
สตรีจงตรองหนักระงับหนา
ฟังคำชายระรื่นจิตระริกมา
พอชายลาจรไปใจระทม

****************


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 12 ก.ย. 06, 19:59
 อ้างถึง 291 ของคุณ OBORO
ภาพไหนครับ หรือนำลิ้งค์มาวาง
หรือเอาภาพมาแปะที่นี่ก็ได้
เดี๋ยวก็จะมีคนมาร่วมแต่งเองครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 12 ก.ย. 06, 20:50

ภาพนี้กระมังครับ  


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 13 ก.ย. 06, 21:18
 เห็นฝีไม้ลายมือของอ.นิรันดร์แล้วทึ่งๆจริงๆครับทั้งวิชาการและภาษาขอแต่งร่วมด้วยแล้วกันครับ  ประกอบภาพข้างบนครับ
***********************
เด็กตัวน้อยจ้อยร่อยคล้อยลงกราบ
เห็นแล้วซาบซึ้งฤดีศรีสยาม
เกริกเกียรติไกลทั่วฟ้าระบือนาม
ก้องเขตคามภูมิพลล้นหทัย

เดือนดาราว่าสูงนกยูงหมอง
จรัสทองก้องฟ้ามาแต่ไหน
ให้ดูเด่นระบือฟ้ามาแต่ใด
มิอาจไซร้ยืนอยู่คู่พ่อเรา

จรัสแสงแรงฤทธิ์พิศสมัย
ภูวนัยใครร้อนจิตคิดช่วยเขา
จะเดือดร้อนเร่าจิตพ่อผ่อนเบา
พ่อปัดเป่าความสุขไร้ทุกข์เอย

ดุจจะเป็นดั่งฉัตรแก้วกั้นเกศ
ภูวเนศเมตตาจิตมิคิดเฉย
ดั่งควันธูปลอยละลิ่วลมรำเพย
มิเคยเลยที่จะหวั่นครั่นคร้ามภัย

60ปีนี้ดั่งฟ้าไร้หมอก
ไร้ละลอกคลื่นซ้ำธรรมพ่อให้
จะใครเล่าก็เพราะพ่อในหลวงเรา
พ่อบรรเทาทุกข์เจ้าเบากายา

คำพ่อสอนวอนเว้าให้เข้าจิต
ทำเป็นคิดรักพ่อมิพอหนา
ปากรักพ่อแต่รอรีใช่ศรัทธา
เปล่งวาจาแต่ไม่ทำช้ำฤดี

ทุกวันนี้มีแต่คนรักพ่อ
กำมะลอว่าภักดิ์รักมิ่งศรี
หากไม่มีที่รักจริงลวงวจี
สร้างราคีแก่ประเทศวิเศษจริง

**********************
ที่วาดกลอนเว้าวอนให้รักพ่อ
ที่เขียนต่อว่าใครก็ใช่ที่
ที่เรียนมาอ่านหนังสือคงรู้ดี
ว่าพ่อนี้รักเราปัดเป่าภัย

หากที่อดมิได้เพราะป่วนจิต
ดูพินิจคิดเกลียดคิดผลักไส
อยากให้ชาติดำรงอยู่คู่คนไทย
อยากให้ภัยหายพลันนิรันดร

**********************
จันทร์เจ้าขา............



จันทร์ดาราเจ้าขาช่วยปลอบหน่อย
ใจน้อยๆกลอยจิตคิดสับสัน
อยากขอพรจากฟ้ามิใช่ซน
อยากเป็นทำดีมีศรัทธา

อยากให้โลกสดใสด้วยใบไม้
อยากให้ใจคนหนักแน่นแท่นภูผา
อยากให้รักละลิ่วไปทั่วนภา
อยากให้ฟ้าไร้หม่นคนปรองดอง

อยาก  ให้ชนคนเราเข้าใจเถิด
เพราะ  ได้เกิดร่วมฟ้าอย่าผยอง
รัก      กันเถิดเกิดร่วมโลกโปรดมาลอง
ทุกคน  มองด้วยรักฟูมฟักมัน

*****************************
ยาวไปหน่อยเพราะคันมือมาก เอ๋...เก็บกดหว่า  อิอิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 13 ก.ย. 06, 21:22
 ขอแก้นิดนึงครับ

จรัสแสงแรงฤทธิ์พิศสมัย
ภูวนัยใครร้อนจิตคิดช่วยเขา
จะเดือดร้อนเร่าจิตพ่อผ่อนเบา
พ่อปัดเป่าให้สุขไร้ทุกข์เอย


แก้คำว่า  ความสุข=ให้สุข

เพราะมันดูผิดความหมาย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 13 ก.ย. 06, 21:28
 ขออภัยแก้อีกที่นึง  
แก้เป็น

จันทร์ดาราเจ้าขาช่วยปลอบหน่อย
ใจน้อยๆกลอยจิตคิดสับสัน
อยากขอพรจากฟ้าหาใช่ซน
อยากเป็นคนทำดีมีศรัทธา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: นิรันดร์ ที่ 13 ก.ย. 06, 22:21
 ผมว่า ที่ผมเรียนหนังสือรู้เรื่องได้ดี โดยเฉพาะฟิสิกส์
เพราะภาษาไทยผมดี ฟังครูพูดรู้เรื่อง
คำนิยามของปริมาณต่าง ๆ ถ้าเราไม่เข้าใจภาษาไทยที่ใช้นิยาม
ความหมายของธรรมชาติ(ฟิสิกส์แปลว่าธรรมชาติ)แล้ว บทเรียนก็ไม่ยากครับ

ในความเห็นของผม
ภาษาเป็นศาสตร์แรกที่คน นักเรียน ต้องเรียนให้รู้เรื่อง
เอาเป็นว่า ถ้าผมกำหนดหลักสูตรได้ ผมจะต้องให้ทุกคน
มีภาษาไทยเป็นวิชาบังคับ
ไม่ผ่าน ไม่ให้เรียนวิชาอื่น
โดยเฉพาะวิชาอ่านเอาเรื่อง(อ่านให้รู้เรื่อง ไม่ใช่อ่านแล้วไปยกพวกตีกันนะ   )
ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้มีให้เด็กเรียนหรือเปล่า
อีกวิชาก็คือการฟัง ฟังจับใจความ ฟังเขียนตามคำบอก มรรยาทในการฟัง

ฟังเป็น อ่านเป็น เรียนหนังสือโลดแน่ทุกวิชา(ในความเห็นของผม)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุ้งแห้งเยอรมัน ที่ 14 ก.ย. 06, 10:28
 สนับสนุนอาจารย์นิรันดร์ค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 14 ก.ย. 06, 13:23
 วันนี้เร่งตื่นนอนแต่ตอนเช้า
เสียงกระเซ้านกคู่ดูสุขสันต์
คลอเคลียกันชื่นชมแสงตะวัน
ก่อนพากันบินคู่สู่ฟ้าไกล

อากาศแจ่มยามเช้าได้สดชื่น
ลมระรื่นรวยรินแสนสดใส
ใครตื่นนอนตอนเช้าได้กำไร
ทั้งกายใจแช่มชื่นยืนเบิกบาน

กลิ่นละมุนหอมนุ่มลอยลมผ่าน
ไม้ดอกบานหลากสีที่ผสาน
ม่วงชมพูสีขาวหอมยาวนาน
ดอกละลานพุทธชาดสะอาดตา

รีบอาบน้ำแต่งตัวมาขึ้นรถ
พบของสดคาวหวานให้สรรหา
ตลาดเช้าครึกครื้นดังเป็นมา
โอ้แม่ค้าตื่นเช้ายิ่งกว่าเรา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 14 ก.ย. 06, 13:45
 ถักรสทดร้อยถ้อยคำ
หวานหวาบปลาบปล่ำพร่ำพร้อม
ปลุกปลื้มดื่มพ้นกมลตรอม
ขับกล่อมย้อมย้ำฉ่ำชม


เพลินพลอดถอดวจีกวีพจน์
เลิศรสหมดขื่นอื่นขม
ราเรื่อยเหนื่อยล้าอารมณ์
พักพิงทิ้งจมในคมกลอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 14 ก.ย. 06, 16:08
 เดินทางถึงที่หมายไม่สายมาก
เตรียมของยากให้ง่ายไม่อายเขา
เร่งรีบทำข้อมูลดูหนักเบา
อันตัวเรายิ้มได้แม้ภัยมา

ตั้งใจแน่แกล้วกล้าให้มาดมั่น
ร่วมฝ่าฟันขวากหนามตามหน้าผา
จงอดทนใจเย็นอย่าโกรธา
แม้น้ำตาไม่ลอดให้ไหลริน

หากตัวฉันไปถึงซึ่งตรงนั้น
ขอบากบั่นเพื่อศิษย์เป็นนิจสิน
ให้ความรักเมตตาเป็นอาจิณ
แม้เพียงดินหรือดาวค่าเท่ากัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 14 ก.ย. 06, 16:14
 แม้บางคนสูงด้วยคุณวุฒิ
แต่สะดุดคุณธรรมไม่สร้างสรรค์
เมื่ออยู่สูงอย่าดูถูกกันและกัน
ด้อยกว่านั้นก็สูงได้ไม่แน่นอน

อย่าเป็นครูเป็นได้แค่เพียงชื่อ
ครูต้องสื่อคติธรรมคำสั่งสอน
ความยุติธรรมนั้นหนาอย่าแคลนคลอน
อย่าบั่นทอนความมั่นใจให้มลาย

แม้อุปสรรคมากมายให้พานพบ
ขอสยบให้อยู่ดังใจหมาย
แม้ร้องไห้เสียน้ำตาไปมากมาย
ทำใจไว้เข้มแข็งได้ให้อภัย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 14 ก.ย. 06, 18:06

*******************
งามวาดงามทรงงามงด
งามสดงามใสงามศรี
งามนอกงามในงามดี
งามวจีงามมณีงามตา

จับจิตจับจดจับเนตร
หญิงเพศหญิงงามอิตถี
ระยับระยิบรวี
ยอมพลียอมแล้วยอมใจ

ยิ่งพิศยิ่งคิดยิ่งรัก
หลงนักหลงสนิทหลงใหล
นานแล้วนานเกินนานไป
กลัวใจกลัวคลาดกลัวลา

*******************

ทิ้งท้ายให้ลองทายกันครับว่านางในวรรณดีในรูปคือใคร
คิดว่าคงรู้กันครับผู้ชายในภาพมีส่วนใบ้อย่างมาก

ที่เอารูปมาประกอบเพราะมันเป็นรูปวาดครับจะเอาไปแปะในสัมผัสจินต์ก็ไม่เหมาะ
เลยขออนุญาติคุณจิตแผ้วมาแปะในกระทู้นี้แทนนะครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 14 ก.ย. 06, 18:14
 ขอแก้ อนุญาติ เป็น อนุญาต ครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 14 ก.ย. 06, 19:42
 คิดอะไรตกใจไปเปล่าเปล่า
วันทองนั่งเศร้าเหงาหงอย
ขุนแผนพาน้องประคองคอย
เดินดงเดินดอยระดะดัน
อนิจจาครานี้นะตัวกู
เขาจู่ลู่เข้าห้องถึงช่องชั้น
ฟันม่านผ่านกลอนสะกดยันตร์
ร้องเรียกขุนช้างท่านท่านไม่รู้
ความแค้นแน่นอกตกประหม่า
ลักเมียขึ้นม้าทำข่มขู่
ลำดวนเอ๋ยเคยดมเคยชมชู
ปลาทองคู่เคลียคลอจะขอลา
จากนี้จะชมแต่ไม้ใหญ่
เอาหมอนขอนนอนไพรอยู่ในป่า
เหลือบริ้นบินรี่คอยบีฑา
ทั้งงูเงี้ยวเขี้ยวงาสารพัน
พี่จะลาไปแล้วเจ้าแก้วเอ๋ย
ช่วยเอ็นดูชูเชยพ่อผัวขวัญ
ถึงหัวค่ำร่ำแป้งกระแจะจันทน์
ถึงกลางวันข้าวปลาช่วยหาแทน
ปรนนิบัติพัดพร้อมจอมกระหม่อม
ปัดยุงริ้นบินตอมตามขาแขน
สารพันสรรจัดอย่าขาดแคลน
พี่จะขัดขุนแผนเขาก็ยุด
แค้นคั่งประดังใจเหมือนไฟเลีย
มันลากมือยื้อเมียกระชากฉุด
กระโดดดั้นชานเรือนเหมือนจะทรุด
ไล่รุดลงบันไดไปขึ้นม้า
จะทุบถองประการใดมันไม่ยอม
ร้องเรียกทูนกระหม่อมเหมือนคนบ้า
เงียบสงัดทั้งเรือนเหมือนป่าช้า
ชลเนตรคลอตาเทวศช้ำ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 18 ก.ย. 06, 10:46
 นักเรียนที่สมัครสอบชิงทุน AFS ถ้าไม่ผ่าน60%ของภาไทยในรายวิชาอื่นๆจะไม่ได้รับการตรวจให้คะแนน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 19 ก.ย. 06, 02:58
 ภาไทย คือ ภาษาไทย จะวัดผลประเมินผลเด็กนักเรียนแล้ว ขอเวลาทำหน้ที่ตรงนี้ก่อน
รอสักครู่นะครับ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 20 ก.ย. 06, 12:15

.


เจ้าวันทองนองน้ำตาหามีสุข
ต้องมาทุกข์จากเรือนคืนเดือนคว่ำ
นิจจากูชาติก่อนคงทำกรรม
แสนสุดช้ำระกำฝืนสะอื้นไป

เจ้าขุนแผนพลางจูงสีหมอกมา
นางกลัวสีหมอกม้าไม่เข้าไกล้
ขุนแผนขู่อยู่หลังต้องจำใจ
ขึ้นพาชีหนีไกลไปไพรวัลย์

เจ้าขุนแผนหานางมากลางป่า
ปลื้มอุราสมใจสุดผายผัน
ประคองเจ้าวันทองวิไลวัลย์
งามดั่งนางสวรรค์ชั้นฟ้า

บัดเดี๋ยวนี้มาอยู่ในอกพี่
อย่างหวังที่จะหนีไปฤาหายหน้า
ว่าพลางทางช่วยเช็ดน้ำตา
จูบซ้ายย้ายขวาสุดาดวง

อย่าที่อ้ายขุนช้างจะตามพบ
จงสงบใจเถิดเจ้าพี่เป็นห่วง
พี่นี้รักยุพินสิ้นคำลวง
นี่ก็ไกล้ล่วงเวลาราตรีกาล

จงนอนเถิดพี่นี้จะกล่อมให้
ขวัญใจแก้วตาน่าสงสาร
ตัวพี่มิใช่ชายใจพาล
ที่หักหาญพามาก็ด้วยรัก

เจ้าก็เป็นเมียพี่มาแต่ก่อน
แต่จำจรเพราะพระองค์ผู้ทรงศักดิ์
ฝืนไกลไปสงครามด้วยความภักดิ์
นงลักษณ์จงแจ้งกระจ่างใจ

บัดนี้พี่กลับมาทวงคืน
เจ้าอย่าฝืนเบือดบิดคิดผลักไส
ตระโบมลูบจูบชมสมฤทัย
กอดก่ายกายายุพาพิน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 20 ก.ย. 06, 15:09
 แก้ไข วรรคที่ 2 (พิมพ์ผิด)

เจ้าขุนแผนพานางมากลางป่า
ปลื้มอุราสมใจสุดผายผัน
ประคองเจ้าวันทองวิไลวัลย์
งามดั่งนางสวรรค์ชั้นฟ้า


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 20 ก.ย. 06, 16:28
 เมื่อนั้น
ขุนช้างน้ำเนตรร่ำช้ำถวิล
ทอดอาลัยห่วงเมียมิรู้สิ้น
คงเลอะดินเปื้อนตมให้โทรมกาย

ป่านนี้แม่อยู่ไหนกระไรแล้ว
พ่อพลายแก้วก็ช่างเหลือร้าย
ใช้อาคมลักเมียเขามิรู้อาย
เจ็บเจียนตายใจช้ำระกำกรอม

แม่พิมเอ๋ยเจ้าเคยอยู่เป็นเมียยาก
จะลำบากตรากตรำช้ำเนื้อหอม
อยู่เรือนพี่ริ้นมิไต่ไรมิตอม
คงผ่ายผอมด้วยข้าวเข็ดรสเผ็ดคาว

เจ้าอยู่อยู่ป่าเก็บผักหักบัว
นอนกลัวน้ำค้างพรมซมกายหนาว
ห่มผ้าดิบแทนแพรให้เนื้อร้าว
ใช้ดาวต่างแสงตะเกียงไฟ

ยิ่งนึกพ่อช้างยิ่งช้ำจิต
หักจริตห้ามใจลงมิได้
กอดอุยกขึ้นดวดทั้งไห
ทอดอาลัยลงร่ำร่ำกลางชานเรือน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 20 ก.ย. 06, 20:38
 แล้วนั่งเศร้าเมาหายเสียดายเมีย
ลุกขึ้นปลกเปลี้ยร้องเลื่อนเปื้อน
โอ้อาลัยเจ้าประคุณแม่อุ่นเรือน
เมียใหม่ไหนจะเหมือนแม่วันทอง

แล้วรีบเรียกเร่งไล่พวกไพร่บ่าว
อีช้องลาวมึงเร่งเข้าไปห้อง
ในหีบกูมีผูกปืนลูกซอง
เอามากูจะส่องให้สะใจ

อีช้องร้องตัวสั่นท่านขุนศรี
ปืนลูกซองสมัยนี้มีที่ไหน
ถึงแค้นเคืองเมืองท่านก็เมืองไทย
เอานกสับได้ไหมท่านขุนช้าง

ขัดใจไล่บ่าวเข้าห้องหับ
มณฑกนกสับเออก็ช่าง
ลูบหัวดึงเคราแล้วเกาคาง
ไอ้โห้งไปผูกช้างมาให้กู


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 20 ก.ย. 06, 21:51
 จะกล่าวถึงกุมารทองของขุนแผน
รีบแล่นเหาะไปไม่ยั้งอยู่
จะต้องรีบบอกพ่อกูให้รู้
กระซิบกระซาบข้างหูให้รู้ความ

ขุนแผนได้ฟังความคำรามโกรธ
อ้ายช้างโฉดคิดลองดีมิเกรงขาม
ขุนช้างมันบังอาจคิดจักติดตาม
แล้วล้วงย่ามหยิบว่านกำบังตา

โอมอ่านมาตรามหาเวทย์
แสนวิเศษสะท้านทั่วทุกทิศา
นิมิตเป็นเรือนทองผ่องโสภา
ให้วันทองกัลยาอยู่ข้างใน

ร่ายมนตร์แลลับกำกับเรือน
เรียกผีพรายไพรเถื่อนทั้งน้อยใหญ่
จงรายล้อมเรือนทองผ่องอำไพ
กำบังไว้อย่าให้ใครแลพบ

ขุนแผนตั้งพิธีบัตรพลีใหญ่
เรียกจอมไพรฤทธิรอนขจรจบ
จงมาช่วยข้ารณรงค์รบ
และปลุกศพภูตป่าพนาวัน

ให้โหงพรายร้ายกาจเป็นทัพหน้า
ผีปอบอยู่ทัพขวาทำลายขวัญ
ผีดิบเป็นทัพซ้ายได้ประจัน
นอกนั้นอยู่ทัพใหญ่ไม่เกรงกลัว

ขุนแผนขึ้นสีหมอกออกขี่
เร็วรี่ถึงเรือนอ้ายช้างชั่ว
โกลาหลเกิดหมอกขึ้นเมามัว
อื้ออึงไปทั่วทั้งตัวเรือน

ผีบ้านผีเรือนรีบเบือนหนี
ทิ้งที่อันเคยอยู่ไปสู่เถื่อน
เหล่าทาสหวีดร้องก้องสะเทือน
ขุนศรีรีบเตือนเจ้านายมัน

ขุนช้างเห็นขุนแผนแสนสงคราม
ให้ครั่นครามเกรงกลัวจนตัวสั่น
ทำทีไสคชามาประชัน
ช้างตกมันไล่บี้บีฑา

ขุนแผนเห็นดังนั้นก็ยั้งหยุด
หยิบอาวุธกระชับมั่นหวังเข่นฆ่า
โจนเยียบขึ้นที่คอคชา
แล้วฟันผ่าลงที่อุรามัน

เลือดขุนช้างล้างเท้าเจ้าขุนแผน
สมแค้นแล้วจากไปสุดผายผัน
เผาเรือนอ้ายขุนช้างเป็นจุณพลัน
แล้วกลับไปรับขวัญเจ้าวันทอง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 20 ก.ย. 06, 22:18
 วันทองฟังข่าวให้ตัวสั่น
คิดกระสันถึงพ่อช้างให้หม่นหมอง
มีหรือ พ่อช้างของน้อง
เคยครองคู่ชื่นชู้อยู่กันมา

ยามนอนพ่อก็ร่วมหนุนหมอนใบ
ยามทุกข์ใจก็พ่อคอยปรึกษา
ยามจะกินก็พ่อป้อนทั้งข้าวปลา
ยามจะลากลับจะร้างเพราะขุนแผน

วันทองยิ่งคิดยิ่งช้ำอก
สะท้านสะทกเจ็บจิตให้คิดแค้น
เรือนพ่อช้างยิ่งอย่างวิมานแมน
มาอยู่แดนกันดารป่าดงดอย

พ่อช้างเอ๋ยเคยรักชูรู้ถนอม
จะดมดอมดั่งลมอ่อนโชยเฉื่อยค่อย
รักพ่อแผนยิ่งพายุนับร้อย
ทั้งริ้วรอยเนื้อชอกยอกเอวนัก

กลิ่นพ่อช้างปนน้ำปรุงฉันจำได้
แสนอาลัยในกอดพ่อให้ทุกข์หนัก
พ่อพุงกลมแม้จะกลมก็น่ารัก
ขุนแผนช่างหาญหักเกินไปแล้ว

มีหรือไปลักรักเขาเอามา
ทั้งฉุดคร่าเมียเขานะออแก้ว
ขอลาโลกตามขุนช้างเสียแล้ว
ปิดกระทู้คุณจิตแผ้วเสียที





ปล. ขึ้นกระทู้ใหม่มั้ยครับ อิอิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 20 ก.ย. 06, 22:19
 อ้าว ผมใช้สัมผัสซ้ำเหรอเนี่ยะ  กรึ๋ยๆๆ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ลำดวนเอ๋ยพี่จะด่วนไปก่อนแล้ว ที่ 21 ก.ย. 06, 11:15

.

ฝ่ายวันทองนองน้ำตาอุราช้ำ
โอ้เวรกรรมผลวิบากยากจักหนี
เห็นชีวิตอนิจจาก็ครานี้
ขอบวชชีหนีโลกที่โศกตรม

แล้วเดินลัดตัดป่าถึงอาวาส
พึ่งพระศาสน์ถือศีลแสนสุขสม
ปลงผมตัดสละละอารมณ์
ชื่นชมศีลรักษาบารมี

ขออุทิศบุญกุศลผลที่สร้าง
ให้ขุนช้างผู้สิ้นลายตายเป็นผี
อีกขุนแผนแสนพหลพลโยธี
ให้สิ้นกรรมแต่ชาตินี้อย่ามีเวร

จบแล้วเด้อ...


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 21 ก.ย. 06, 14:27
 อิอิ ตั้งกระทู้แฟนพันธุ์แท้ขุนช้างชุนแผนเลยดีไหมครับ สนับสนุนคุณติบอ 555


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 21 ก.ย. 06, 20:26
 จะกล่าวถึงขุนแผนแมนอีหลี
ฆ่าขุนช้างแล้วหนีไปบวชเถร
อยู่แถวบางพลัดวัดเชิงเลน
เอาสีหมอกออกเล่นเป็นจำอวด

เจ็บเอยเจ็บท้องแสนข้องขัด
วันทองหนีเข้าวัดตัดใจบวช
ยามตัวพี่เมื่อยไหล่ใครจะนวด
แล้วลุกพรวดตรองตรึกจะสึกชี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: tuka007 ที่ 22 ก.ย. 06, 19:49
 โห.....สุดยอดทุกคนเลยเนี่ยะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 04 ต.ค. 06, 07:08
 ถึงเจ็บปวดปานใดใครอย่ารู้
ยืนหยัดสู้เดียวดายยากใครเห็น
คำปลอบโยนกำลังใจไม่จำเป็น
ยากลำเค็ญปานใดใจรู้เอง


ในเมื่อไร้เมตตาอย่าบังอาจ
เที่ยวเกรี้ยวกราดบีฑาข้าจอมเก่ง
เด็กอมมือที่ไหนใครเขาเกรง
คนข่มเหงน้ำใจใครก็ชัง


ฝนสั่งฟ้าลาทีมีวันกลับ
คนลาลับจากไกลไม่คืนหลัง
ฝนย่อมหวนคืนมาเมื่อฟ้ายัง
นกจากรังยากนักจักคืนคอน


แสนเสียดายคืนวันที่ผ่านมา
มิตรภาพถูกเผาพร่าฆ่าเสียก่อน
ความหมางเมินเผาใจดุจไฟฟอน
ตามหลอกหลอนทุกครั้งครา"ตุลาคม"


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 09 ต.ค. 06, 17:53
 เชิญเพื่อนพ้องน้องมิตรเคยชิดใกล้
รักษาไว้เพลงกลอนอักษรสาร
บรรพบุรุษมีมาแต่ช้านาน
ให้ลูกหลานสานต่อก่อสายใย


แต่งจากจินตนาการอันล้ำเลิศ
แสนบรรเจิดเพริศพริ้งกว่าสิ่งไหน
แต่งจากจิตวิญญาณลูกหลานไทย
ใครอย่าได้ติฉินแอบนินทา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 18:25
 พร่ำรำพึงถึงเธอเพ้อแต่รัก
เพิ่งประจักษ์ว่ารักมันล้นยิ่ง
พรรณนาบอกว่ารักจากใจจริง
รักจริงๆใช่หยอกอยากบอกเธอ

ยิ่งนานวันผันเปลี่ยนเพ้อเจียนคลั่ง
คอยระวังระแวงจิตคิดเสมอ
หลายวันนี้ไม่พบหน้าไม่ได้เจอ
หลงละเมอเพ้อว่ารักมันปักใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 18:37
 ค่ำคืนนี้มองไปในท้องฟ้า
หมู่ดาราวับวิบพริบพริบแสง
ทอดกายลงพื้นหญ้าล้าเหนื่อยแรง
อยากจะแปลงร่างเป็นนกวิหคนั้น

อยากจะบินบินไปดั่งใจคิด
อยากผูกจิตคิดเพ้อเธอกับฉัน
อยากให้เธอเป็นนกเคียงคู่กัน
อยากให้มีเธอกับฉันเท่านั้นพอ

เราจะบินโบยไปไกลโพ้นฟ้า
เหินนภาสง่าสูงดุจฝูงหงส์
ทิ้งห่วงหวงบ่วงใดๆทิ้งมันลง
อย่าได้จงยึดติดคิดคำนึง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 18:38
 กรรมจริง ลืมสัมผัสระหว่างบท เพลินไปหน่อยครับ ขออภัย
เป็นอย่างสูง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 19:02
 อันความรักคืออะไรสิ่งใดเล่า
ใช่มัวเมาเคล้าหลงพะวงไม่
ฤ จะเป็นความใคร่เพราะพึงใจ
คืออะไรประหลาดนักรักพิกล

ไม่เจอหน้าพร่ำเพ้ออยากเจอนัก
ไม่ยอมทักปักจิตคิดฉงน
ไม่พูดจาอุราช้ำทำทำไม
ไม่เข้าใจทิษฐิไปทำไมกัน

เพราะความรักเรียกอีกอย่างว่าความทุกข์
มีทั้งสุขเคล้ากันไปให้สุขสรรค์
ถ้ารักกันจงให้ใจแก่กัน
เธอกับฉันรักกันตลอดไป

โกรธสิ่งใดบอกไปดั่งใจคิด
อย่าผูกจิตเก็บไว้ให้สงสัย
ใครจะรู้ถ้าไม่เอ่ยเผยออกไป
จะเดาใจเธอได้อย่างไรกัน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 19:14
 โอ้ความรักเปรียบประดุจดั่งหุบเหว
ดุจเพลิงเปลวแผดเผามัวเมาหนา
ทุกข์เพราะรักรักแล้วทุกข์ในอุรา
ปริ่มน้ำตาลาแล้วแก้วตาใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 19:19
 เฮ้อ ลืมสัมผัสหลายแห่งขออภัยด้วยครับ -*-


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 19:28
 น้ำตานองหมองหน้าอุราเศร้า
โอ้ตัวเราเขามิเหลียวเปลี่ยวจริงหนอ
ดั่งคืนวันรักมั่นพะเน้าพะนอ
คอยเฝ้ารอหวนวันผันคืนมา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 20:50
 รัตติกาลนานเนิ่นข้าเพลินจิต
ระลึกคิดถึงเจ้าพริ้มเพราเอ๋ย
ตั้งแต่จากกันวันนั้นไม่มีเลย
คิดจะเชยหญิงใดในโลกา

ใต้แสงจันทร์ฝันหวานสะท้านจิต
พะวงคิดอยากชิดใกล้ใจบุหงา
แนบเนื้อน้องหนุนตักเจ้าแก้วตา
ดวงยุพาอยู่หนใดใจรำพัน

หนาวสะท้านเยือกสั่นให้ขวัญหาย
อาจมลายสลายวับด้วยจอมขวัญ
เพียงเจ้ามาสบพบพักตร์แม้สักวัน
มาปลอบขวัญใจดวงน้อยหน่อยกานดา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 21:14
 สุริยะอัสดง ณ พงพี
ปฐวีเหนื่อยล้าแทบอาสัญ
ธาราเหือดแห้งยิ่งนานวัน
ไม้เถาวัลย์ตายซากวินาศไป

พอน้ำมาคงคาเชี่ยวม้วนเกลียวกวาด
พัดพินาศลากลอยตามแรงไหล
พอหมดแรงก็จางหายสร่างไป
ถึงวันใหม่ตะวันมาน้ำตาคลอ

บทน้ำมาพาสูญแทบอาสัญ
หมดน้ำพลันก็แห้งเหือดมิเหลือหรอ
อาทิตย์ส่องร้อนวาบสาดไม่พอ
พาต้นตอแหล่งน้ำวินาศไป

ดั่งเคราะห์ซ้ำกรรมซัดวิบัติทั่ว
มิเลือกตัวทั่วไปคอยผลักไส
ทุกข์ใจทุกข์กายแทบวายไป
คือผองไทยหมู่อีสานบ้านเมืองนอน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 21:32
 งามสง่าดุจฟ้านภามาส
นวยนาดกรีดกรายละม้ายเหมือน
เทพธิดานภาลัยแม่ดวงเดือน
อย่าแชเชือนเลือนหายมลายเลย

หยาดฟ้ามาสู่ดินถิ่นสมัย
โฉมใจพิสมัยวิไลเอ๋ย
ศศิธรไหนๆไม่มีเลย
จะเปรียบเปรยดั่งเจ้าพริ้มเพราได้

อรชรอ้อนแอ้นแฉล้มหนอ
ดวงละอออ่อนหวานน้ำตาลไหน
หวานยิ่งยิ่งดอกไม้ที่กลางใจ
พี่มอบให้ยอมแล้วแก้วกมล

อันต้นรักปลูกแล้วแก้วตาเอ๋ย
ไฉนเลยเมินไปไม่เก็บผล
เจ้าเมินหนีหน้าพี่ไยรสสุคนธ์
เกิดเป็นคนรักกันเถิดเบิกอุรา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 09 ต.ค. 06, 21:36
 ไม่ได้ลงกลอนเสียนาน ลงทีชุดใหญ่คงไม่ว่ากันใช่ไหมครับ อิอิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Little Sun ที่ 10 ต.ค. 06, 23:34
 ไม่ว่าค่ะ ลิตเติ้ลว่าคุณOBORO แต่งได้ดีนะคะ

รักแล้วไม่แคล้วทำใจให้เป็นทุกข์
แม้จะสุขแต่ก็ทุกข์มหาศาล
เฝ้าคำนึงถึงเธอทุกรัตติกาล
ช่างทรมานใจยิ่งนักไม่ได้เจอ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ต.ค. 06, 14:44
 ขอบคุณครับสำหรับคำถาม เอ้ย! ชม(ไม่ใช่นางงามนี่นะ)

หมู่นี้กระทู้นี้เงียบๆไปนะครับ ผมจะพยายามมาปั้มบ่อยๆ ฝึกปรือฝีมือไปในตัวอิอิ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ต.ค. 06, 15:03
 รักเจ้าเอยโปรดเผยเฉลยเถิด
เจ้าบังเกิดแต่ไรด้วยใครหนา
มาแต่ไหนเกิดที่ใดในอุรา
โชคชะตาหรือเปล่าหนอท้อหัวใจ

เมื่อแรกพบสบตาพาใจสั่น
ระริกหวั่นสะท้านทรวงลวงใช่ไหม
เกิดตรงกลางระหว่างเราเขาหรือไม่
เกิดตรงไหนไยยากลำบากจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ต.ค. 06, 15:09
 เงียบงันงกสงบวิเวกแว่ว
ไม่มีแล้วเหล่าประชันหันหน้าหนี
โอ้ตัวเราเปลี่ยวเปล่าเหงาชีวี
หลายวันนี้หนีไปหมดรันทดจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 11 ต.ค. 06, 15:12
 พูดคนเดียวก็ได้เรานี่หนอ
ดูบ้าบอสติเสียเพลียหนักหนา
ใครมาอ่านคงคิดสะกิดอุรา
ว่าเราบ้าพูดเออเองเซ็งหัวใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 11 ต.ค. 06, 22:48
 ถึงจะบ้าก็บ้ากลอนอักษรศรี
บ้าความดีบ้าเถิดจะเกิดผล
ถึงบ้าใบ้ชนะในใจของตน
มีค่าล้นกว่าคนดีที่บ้ากาม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 12 ต.ค. 06, 15:31
 โอ้..  มิตรแท้มาแต่ไหนเมื่อใดหนา
รจนาพาชื่นระรื่นแสน
ฉะนั้นไซร้มาสถิตย์ ใน ดินแดน
ร่วมอยู่ในแว่นแคว้นแดนถิ่นนี้

มาร่วมสร้างเสกสรรพลันบังเกิด
ร่ายรสบทเพริศบรรเจิดศรี
มาแต่ไหนอย่าหลีกไซร้ท่านกวี
กระทู้นี้มีแต่เราจับเจ่าเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: กุรุกุลา ที่ 13 ต.ค. 06, 01:53
 แม้หยดน้ำลำพังขังเพียงหยด
ยังบอกรสสดชุ่มชอุ่มชื่น
อันหวานกานท์หวานว่างค้างเพียงคืน
หรือจะชืดรสชื่นในพื้นกานท์

รอสักหน่อยปล่อยกาลให้ผ่านพ้น
คงมีคนเห็นค่าว่ารสหวาน
เหมือนหยดน้ำลำพังขังไม่นาน
ก็ยังพืชยืดผ่านเจริญพรรณ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 13 ต.ค. 06, 12:05
 ความอยากได้อยากมีและอยากเป็น
คอยเคี่ยาเข็ญคุกคามคนจนป่นปี้
แรกกำเนิดเกิดคนล้วนคนดี
ไม่กี่ปีคนกลับกลายร้ายเหลือคน


กามกิเลสตัณหาพาใจบอด
ไม่ทันจอดเรือก็คว้างคว่ำกลางหน
คุณธรรมไม่น้อมนำพร่ำสอนตน
วุ่นวกวนเวียนว่ายตายทั้งเป็น


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 14 ต.ค. 06, 17:32
 อันคนเราย่อมมีทั้งสองด้าน
ความเกียจคร้านขยันหมั่นมองเห็น
มีความสุขความทุกข์ให้ลำเค็ญ
มีร้อนเย็นเลือกได้ให้เหมาะเรา

มีความฝันดั้นด้นให้ไปถึง
หวังให้ซึ้งให้ไกลไม่อับเฉา
ทะยานไปให้ไกลดั่งใจเรา
อย่าอายเขามั่นใจไม่ลดลา

ความอยากได้อยากมีและอยากเป็น
อย่างที่เห็นมีได้ให้หรรษา
อย่าให้ใครเดือดร้อนอย่าโกรธา
อย่าริษยาแก่งแย่งอย่างชิงดี

หากอยากได้สิ่งใดตั้งใจมั่น
จงบากบั่นด้วยตัวมีศีกดิ์ศรี
จงอดทนขยันทำสิ่งดี
ชีวิตนี้ทำฝันได้ให้สุขใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 25 ต.ค. 06, 12:01
 ลมหนาวโบยโบกมาอีกคราแล้ว
พัดผ่านแนวภูดอยให้หงอยเหงา
คร่ำใจครวญหวลถวิลถิ่นเคยเนา
เสียงแคนเป่าเคล้าน้ำตาคราจากเรือน



น้ำค้างพรมลมกระหน่ำช้ำในอก
วูบดาวตกอกไหวใจถูกเฉือน
ก่อนอำลาสัญญาใจใครลืมเลือน
ไม่หวนกลับมาเยี่ยมเยือนเหมือนวาจา


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: NickyNick ที่ 25 ต.ค. 06, 14:11
 สายลมโบกโบยไปไม่คืนกลับ
พัดเลยลับดั่งไม่สนคนแลหา
เดี๋ยวเก่าเลยล่องไปใหม่ลอยมา
ดุจเพียงว่าเป็นทางผ่านร้าวรานใจ

อยู่คนเดียวเปลี่ยวเศร้าเหงาดวงจิต
กระหวัดคิดพาใจคลอนให้อ่อนไหว
สายลมเอ๋ยเจ้าไม่เห็นใจใคร
ดูช่างไร้ความปรานีอารีเรา

ต้องวิโยคโศกอาลัยหัวใจหม่น
เฝ้าเวียนวนคิดเช่นเป็นคนเขลา
ยิ่งคิดยิ่งพาให้ใจซึมเซา
โอ้ถึงคราวแร้นแค้นแสนอาดูร

....
....


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 26 ต.ค. 06, 13:48
 โอ้ลมหนาวผ่านพัดสะบัดพริ้ว
ใจละลิ่วคิดคะนึงถึงน้องเจ้า
สัญญาใจใช่สาบานหรือพริ้มเพรา
พี่มัวเมาเฝ้าฝันรำพรรณครวญ

ดูต้นหญ้าทั่วไปแล้งแห้งนัก
ต่างประจักษ์แล้วใจนางพี่ไห้หวน
ทั้งใจพี่ใจหญ้ามันคร่ำครวญ
พากันชวนหม่นไหม้หทัยระกำ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: โพธิ์ประทับช้าง ที่ 26 ต.ค. 06, 14:17
 พระเสด็จโดยเดียวในดงดอน
มีวานรเป็นเพื่อนในแรมทาง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: โพธิ์ประทับช้าง ที่ 26 ต.ค. 06, 14:34
 พระเสด็จโดยเดียว ในดงดอน
มีวานรเป็นเพื่อน ในไพรสัณฑ์

ดั้นด้นล่วงแดน แสนกันดาร
ภูบาลหิวโหย โรยแรง

พระเหลียวซ้ายแลขวา อุราสะท้อน
ทินกรจะด่วนดับ ลงลับแสง

ทั่วไพรพฤกษ์ปฐพี สาดสีแดง
วาดระแวงหวั่นองค์ ทรงโศกี... นะเจ้าเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 26 ต.ค. 06, 14:57
 

โทสะโมหะล้าง      สติหาย
สวรรค์ล่มวิมานทลาย  ทบท่าว
สติคืนอาจจะสาย     เกินกลับ แล้วนา
ประหนึ่งกระจกร้าว    จักแก้ฉันใด

มองผ่านกระจกร้าว    ภาพมัว
เห็นภาพเพียงสลัวสลัว  บ่แจ้ง
ไม่แย่เท่ากับตัว      ตนบ่ เห็นนา
เป็นเหยื่อความขัดแย้ง  ช่างน่าใจหาย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: หมูน้อยในกะลา ที่ 27 ต.ค. 06, 15:21
 โคลง๔
  หากอยากชิมลิ้มรส           บทเรียน โลกแล
สุขโศกประหนึ่งเหรียญ        เปลี่ยนด้าน
ผันทุกข์และสุขเวียน            หมุนกลับ  สลับกัน
เรียนโลกนั้นต้องกร้าน         แกร่งด้วยแรงใจ ฯ


กลอน๘

    หากอยากชิม  ลิ้มรส  บทเรียนโลก
แลสุขโศก  ประหนึ่งเหรียญ  เปลี่ยนด้านผัน
ทุกข์และสุข  เวียนหมุนกลับ  สลับกัน
เรียนโลกนั้น  ต้องกร้าน แกร่ง  ด้วยแรงใจ ฯ




กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 29 ต.ค. 06, 15:25
 ถึงทุกข์ตรมบ่มเศร้าเหงาวิโยค
ถึงอับโชคโศรกหมองต้องจำฝืน
ด้วยวารวันผันไปไม่กลับคืน
กลั้นสะอื้นกลืนน้ำตาแสนจาบัลย์



คำคนคดโป้ปดคอยมดเท็จ
อาจคือเหตุการณ์รวนเรให้เหหัน
เคยรักใคร่ใจมั่นคงตรงต่อกัน
ขาดสะบั้นลงด้วยลิ้นปลิ้นสอพลอ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: OBORO ที่ 28 พ.ย. 06, 20:18
อยากจะตอบบอกว่ารักต้องหักจิต
ได้แต่คิดได้แต่เพ้อละเมอหวัง
เก็บงำไว้คอยระแวดคอยระวัง
กลัวจะพลั้งเอ่ยออกไปตามใจคิด

กลัวว่าเธอรู้แล้วจะแคล้วหน่าย
กลัวเธอหายมลายไปเพราะพูดผิด
อยากให้รู้ว่าหลงรักนะดวงพิศ
แทบถูกปลิดชีพไปเมื่อไกลเธอ



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: อ้อ ที่ 29 พ.ย. 06, 16:15
หากว่ารักต้องบอกรักอย่าหนักจิต
อย่ามัวคิดละเมอเฝ้าเพ้อหวัง
โอ้ชีวิตของเราไม่จีรัง
แม้พลาดพลั้งก็คุ้มค่าน่าลองดู

ไม่มีผิดถ้าพูดไปดังใจนึก
ให้รู้สึกจริงใจไม่อดสู
ให้เธอรู้ว่าเรารักเฝ้ามองดู
อยากเคียงคู่แนบชิดสนิทนาง

แม้บอกไปเธอหน่ายเร้นกายหนี
แม้วจีไม่เอื้อนเอ่ยให้สะสาง
แต่รักเรายังคงอยู่ไม่แคลงคลาง
เปิดหน้าต่างให้เขารู้ดูสักที






กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: ศรา_อีปราส ที่ 04 ธ.ค. 06, 11:29
 เมื่อครั้งหนึ่งซึ่งฉันนั้นยังเล็ก
ในครั้งที่ยังเด็กเล็กหนักหนา
เคยแหงนมองลองดูหมู่ดารา
และจันทราหวังจะคว้ามาครอบครอง

แต่ครั้งนั้นฉันเองยังเล็กนัก
ก็อยากจักเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง
ก็อยากจักรักใครดังใจปอง
ด้วยสมองของเด็กเล็กเล็กนั้น

ในวันนี้ตัวฉันนั้นทราบแล้ว
สิ่งที่คิดไม่แคล้วเป็นแค่ฝัน
ทั้งหมู่ดวงดาราจันทรานั้น
ตัวของฉันนั้นเพียงแค่ฝันไป


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: jumo ที่ 14 เม.ย. 07, 09:39
ขอบอกว่าคุณจิตแผ้วแต่งกลอนเก่งมาก  8)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: natch ที่ 07 มิ.ย. 07, 09:17
^-^ เอาด้วยๆ

ริจะเป็น นักกลอน อย่านอนเปล่า
นอนกินข้าว นอนตีพุง เล่นเฉยเฉย
นอนร้องเพลง ขับเสภา ชะเอิงเอย
 :-X....ถ้าไม่เคย นอนกินหนม ก็เพลินดี

ริจะเป็น นักกลอน อย่านอนนิ่ง
นอนสวิง ผ้าผ่อนหลุด ไม่อายผี
ตีลังกา เท้าก่ายหน้า เพลินฤดี
นอนทั้งที ให้ได้ใจ นอนกายกรรม

ริจะเป็น นักกลอน อย่านอนมั่ว
นอนบ้านตัว ไม่นอนบ้าน ใครขำขำ
นอนข้างคน น่านอน ออดอ้อนคำ
นอนเพรื่อพรำ อันตราย ตายบ่ดี

ริจะเป็น นักกลอน อย่านอนแซ่ว
ออกกำลัง กายแล้ว ขมันขมี
ตืนแต่เช้า ไก่ร้องลุก ปลุกอินทรีย์
เร่งเร็วรี่ ก็ต้องไป ไปทำงาน...

ว่าแล้วก็จรลีไปทำงาน.... แหม่ อยากอยู่จริงๆว่าพวกระเด่นลันได มันแต่งยากแบบนี้ไหม ตอนเด็กๆมีกลอนระเด่นลันไดขาย เล่มบางๆ ราคาประมาณยี่สิบบาท อ่านสนุกจะตาย ปัจจุบันก็ยังมีอยู่นะคะ ที่โอเดียนสโตร์ สยามฯ





กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: maengwao ที่ 07 มิ.ย. 07, 23:31
ในที่สุด ผม ก็เข้ามาใช้งานในเรือนไทยได้แล้ว
           พึงพิจารณาตนเองอยู่อย่างนี้
           เป็นคนที่เห็นเขาได้ดีแล้วทนไม่ได้
           และเป็นคนไม่อยากให้สิ่งของใคร
           โดยง่ายดายด้วยใจรักและเมตตา
               

            หากพิจารณาดูแล้วว่าเป็นจริง
            จงละทิ้งอกุศลธรรมนี้เถิดหนา
            เพราะเป็นสิ่งชั่วช้าเหลือคณา
            จงหันมาเป็นผู้ให้ใจเบิกบาน


            แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริง
            ปีติยิ่งปราโมทย์แท้เกินคำขาน
            หมั่นศึกษาทั้งกลางคืนและกลางวัน
            กุศลธรรม์อันเที่ยงแท้แน่ "นิพพาน"


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: maengwao ที่ 07 มิ.ย. 07, 23:45
เนื่องจากว่า ผม เข้า เรือนไทยโดยใช้ชื่อเดิมคือ จิตแผ้ว ไม่ได้ จึงลองเปลี่ยนเป็น maengwao ทำอย่างไร จึงจะกลับไปใช้ ชื่อเดิมได้ ขอความกรุณาแนะนำด้วยครับ
                       จิตแผ้ว


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 08 มิ.ย. 07, 10:47
รบกวนคุณจิตแผ้วตรวจสอบกล่องข้อความด้วยครับ  ;D


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 10 มิ.ย. 07, 12:33
ขอบคุณมากครับ  :-[


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 12 มิ.ย. 07, 02:55
....ขอบคุณมากอยากบอกว่าขอบคุณ
ที่การุณให้เข้าเรือนไทยได้
เมื่อก่อนนั้นบอกว่าแบนแสนตกใจ
กลัวไม่ได้เข้าชมขมอุรา
....ขออาศัยเรือนนี้เป็นที่พัก
ได้พำนักดวงใจที่เหนื่อยล้า
จากตรากตรำทำศึกในโลกา
เพียงเพื่อหาเลี้ยงชีวีวิถีชน
....ผิดหรือถูกประการใดอภัยด้วย
หรืออยากช่วยแนะวิชาผลาผล
ปวารณาพี่น้องทุกผองชน
ถือเป็นบุญกุศลขอบคุณครับ.......... :D


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 24 มิ.ย. 07, 06:52

อุปสรรคขวากหนามตามประชิด
เพื่อทดสอบดวงจิตอันแข็งแกร่ง
ก้าวต่อไปด้วยไฟใจร้อนแรง
เพื่อแสดงให้โลกรู้ลูกผู้ชาย


สู้เพื่อความชอบธรรมของชีวิต
เพื่อให้ความถูกผิดทรงความหมาย
คุณธรรมล้ำเด่นเป็นประกาย
ช่วยเชิดชายชูชื่อระบือนาม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 24 มิ.ย. 07, 22:35
อุปสรรคขวากหนามตามประชิด
เพื่อทดสอบดวงจิตอันแข็งแกร่ง
ก้าวต่อไปด้วยไฟใจร้อนแรง
เพื่อแสดงให้โลกรู้ลูกผู้ชาย

สู้เพื่อความชอบธรรมของชีวิต
เพื่อให้ความถูกผิดทรงความหมาย
คุณธรรมล้ำเด่นเป็นประกาย
ช่วยเชิดชายชูชื่อระบือนาม

คุณธรรมนำใจให้กล้าแกร่ง
แม้ขันแข่งกับกิเลสสักเพียงไหน
เพียงขอให้ธรรมอยู่คู่กับใจ
ยังยืนหยัดอยู่ได้แม้ภัยมา

ถึงผิดบ้างพลั้งเผลอไปสักนิด
ขอให้จิตยึดมั่นไม่หวั่นไหว
มีสติรู้เหตุรู้ปัจจัย
เพียงอภัยให้กันสันติธรรม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 25 มิ.ย. 07, 22:50
ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ
คนแท้ย่อมอยู่ในธรรม
ดีชั่วนั่นแหละคือกรรม
ย่างก้าวย่อมไม่กลัวภัย

คนแท้ต้องใสสะอาด
ปีศาจยังต้องหวั่นไหว
ชวนชั่วยั่วยุเพียงใด
ไม่อาจรุกล้ำกล้ำกราย

วาจาต้องบริสุทธิ์
ต้องหยุดส่อเสียดใส่ร้าย
ดีงามคือความมุ่งหมาย
ทำได้นั่นแหละคนจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 26 ก.ค. 07, 15:39
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เคยได้ยินมาก่อนกาลนานสมัย
แผ่นดินนี้นี่นะหรือคือของใคร
จึงยิ่งใหญ่เกินหน้าประชาชน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 27 ก.ค. 07, 00:44
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เคยได้ยินมาก่อนกาลนานสมัย
แผ่นดินนี้นี่นะหรือคือของใคร
จึงยิ่งใหญ่เกินหน้าประชาชน

ถ้าใหญ่ด้วยความดีนี่ควรกราบ
ศิโรราบยอมแพ้ทุกแห่งหน
ทำหน้าที่เพื่อปกป้องเหล่าผองชน
เราทุกคนรุ่นหลังล้วนสดุดี........ ;)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 27 ก.ค. 07, 14:01
ประชาชนคือคนส่วนใหญ่
ที่ทำไร่ไถนาทำหน้าที่
ทำราชการงานส่วนตนเป็นคนดี
ใช่คนที่เป็นผีบ้า"ประชาธิปไตย"

เที่ยวกวนบ้าน กวนเมือง กวนแผ่นดิน
เที่ยวติฉิน นินทา ว่าผู้ใหญ่
ยิ่งกว่าเด็กอมมือ พาล จัญไร
ลูกหลานไทยไยอวดดื้อทั้งถือดี

เที่ยวจ้วงจาบหยาบหยามเจ้าแผ่นดิน
รอยราคินเปื้อนบาทพระทรงศรี
อยู่ใต้ร่มโพธิสมภารรัชกาลนี้
ต้องภักดีเทอดพ่อหลวงของปวงไทย

การสิ่งใดระคายเคืองเบื้องยุคลบาท
อย่าบังอาจรวนเรทำเฉไฉ
ปากบอกรัก"ในหลวง"แสร้งห่วงใย
ลึกข้างในใจทรยศคิดคดคน

เกิดเป็นคนต้องรู้จักรักหน้าที่
กฎเกณฑ์มีดำรงไว้ในเหตุผล
รู้เคารพกติกา ภาระ ตน
ควรคู่คนทรงคุณค่าราคางาม



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 27 ก.ค. 07, 14:38
อย่าพิพากษาตัดสินใครให้ถูกผิด
ในพินิจความเห็นของเราเท่านั้น
นิ่งกับที่มีหรือเห็นทุกมุมกัน
ของทุกอันย่อมทรงค่าถ้าสรรดี
ของไร้ค่าในที่ราบทราบหรือไม่
ค่ายิ่งใหญ่บนขุนคีรีศรี
ของบนบกประโยชน์ล้นพ้นทวี
อาจจะมีอันตรายในธารา

เมื่อมีจิตเมตตาจะรู้จัก
แทนคุณผู้ฟูมฟักแน่นักหนา
มองโลกกว้างช่วยเสริมสร้างญาณปัญญา
ให้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าเทียบธานินทร์
มหาบุรุษผู้มีปัญญามาก
มองโลกจากจิตกรุณามาทั้งสิ้น
ผู้ใจสูงเว้นเบียดเบียนเป็นอาจิณ
ก่อแดนดินสันติภาพคนกราบกราน
สันติภาพมาจาก อโหสิ และ อภัย
อย่าฆ่าใครเพื่อระงับดับสังหาร
จะโลกนี้หรือโลกใหนในกลกาล
เบียดเบียนกันเพื่อระงับดับไม่มี


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 02 ส.ค. 07, 01:35
เห็นด้วยครับท่านกวีนามจิตแผ้ว
ถูกต้องแล้วสัตย์จริงไม่กังขา
เป็นบทกลอนที่สุดอหังการ์
เป็นปรัชญาปุถุชนคนควรตรอง

จะไขว้คว้าหาอำนาจทำบาตรใหญ่
ทำอะไรระวังกรรมจะสนอง
พุทธองค์ทรงชี้เห็นเป็นครรลอง
สันติธรรมครองสุขทุกแผ่นดิน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 08 ส.ค. 07, 08:10
คนปกติย่อมต้องกลืนน้ำลาย
เพราะไม่ได้โม้คุยถุยรดฟ้า
คนหน้าด้านขากถ่มจมพสุธา
นำกลับมากลืนกินสิ้นยางอาย :-X


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: big-lor ที่ 08 ส.ค. 07, 15:43
กายกำเนิดเกิดมาค่าเทียมเท่า
มีตัวเปลือยร่างเปล่าไร้เครื่องห่ม
สามสิบสองอาการกายหมายผสม
ให้เกลียวกลมบ่มเป็นคนบนโลกงาม

รวยหรือจนมั่งหรือมีมิอาจเทียบ
จะเอาทรัพย์มาเปรียบเพื่อเหยียบหยาม
การศึกษาใช่บ่งค่าว่าคนงาม
ตระกูลใหญ่จิตใจทรามก็หลามไป

คนจะงามงามที่ใจใสสะอาด
ผ่องพิลาสปราศเรื่องร้อนซ่อนซุกใส่
สั่งและสมสรรค์และสร้างสิ่งดีไว้
ประดับใจและเรือนกายให้พรายงาม

คนจะสวยสวยจรรยามารยาท
จะพูดจาองอาจไม่ขลาดขาม
กิริยาอ่อนหวานไม่วู่วาม
เปี่ยมด้วยความอ่อนน้อมรู้ถ่อมตน

คนจะแก่แก่ความรู้คู่กายติด
คุณธรรมนำชีวิตเจริญผล
ใช่มากด้วยอายุอยู่ยืนชนม์
เกิดเป็นคนจนความรู้ดูไม่ควร

คนจะรวยรวยสุนทานการแจกจ่าย
ใช่มากมายสินทรัพย์ไม่นับถ้วน
รู้แบ่งปันสิ่งงามตามจำนวน
นั่นจึงควรเรียกว่ารวยด้วยใจจริง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 12 ส.ค. 07, 16:46
กราบแทบตักอบอุ่นของคุณแม่
ผู้รักแท้แน่จจริงยิ่งสิ่งไหน
รักบริสุทธิ์ผ่องผุดจากดวงใจ
แม่มีให้แก่ลูกทุกทุกคน :)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: big-lor ที่ 20 ส.ค. 07, 16:18
นภาพร่างเด่นดาวพราวระยับ
วะวาบวับนับแสน ณ แดนทรวง
ไม่เทียมเท่าล้านรักกลั่นจากทรวง
ความห่วงหวงจากดวงใจแม่ให้มา

สัมผัสรักด้วยความรักที่ก่อเกื้อ
สัมผัสเนื้อด้วยแนบเนื้อด้วยห่วงหา
สัมผัสอุ่นด้วยไออุ่นกรุ่นกายา
สัมผัสตาด้วยแววตาเอื้ออาทร

ทุกสัมผัสส่งสัมผัสรัดใจรัก
ค่อยฟูมฟักปักจิตหมายไม่ถ่ายถอน
เป็นรักแท้แม้ชีพวายไม่คลายคลอน
ไม่จากจรไปจากใจคลายจากจินต์

เฝ้าถนอมกล่มอเกลี้ยงไม่เลี่ยงหลบ
ข้าวปลาครบแม่จัดหามาทั้งสิ้น
แม้นเหนื่อยยากลำบากเนื้อหยาดเหงื่อริน
ลูกมีกินสุขกายสบายพอ

ลูกร้อนกายแม่พายพัดสลัดร้อน
ลูกง่วงนอนแม่เอียงตักให้พักต่อ
ลูกหนาวหนักแม่หาผ้ามาห่มคอ
ลูกแงงอออดอ้อนแม่ผ่อนคลาย

ลูกหกล้มแม่ประคองคอยป้องปัด
ลูกเป็นหวัดแม่หายารักษาหาย
เพื่อลูกสุขแม่ยอมยากลำบากกาย
ลูกสบายแม่ลำบากทนตรากตรำ

จะหารักจากหัวใจจากใครอื่น
สักแสนหมื่นค้นหามาพรอดพร่ำ
ไม่เทียมเท่าคำว่ารักเพียงหนึ่งคำ
ที่แม่ย้ำทำให้เห็นมิเว้นวาร


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 22 ส.ค. 07, 16:15
ลูกขอกราบอกอุ่นของคุณแม่
รักลูกแท้หาไหนไม่มีเหมือน
คอยพร่ำสอนวอนว่าเมตตาเตือน
คอยเป็นเพื่อนคราลูกช้ำระกำใจ

คอยหวงห่วงทวงถามความทุกข์สุข
คอยปลอบปลุกชี้ทางสว่างไสว
ให้ก้าวเดินอย่างสง่าอ่าอำไพ
สู่หลักชัยในอนาคตอันงดงาม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 22 ส.ค. 07, 18:30
คุณจิตแผ้วแต่งกลอนเก่งจัง  ;D


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 24 ส.ค. 07, 23:15
เพียงแค่คิดถึงเธอเสมอมั่น
ทุกครั้งฉันขอสลักปักอักษร
ชื่อของเธอเพ้อพร่ำคำเว้าวอน
บนดอกไม้บานสลอนทั่วพฤกษ์ไพร

บนแผ่นน้ำในห้วงมหาสมุทร
ใสพิสุทธิ์ดุจดาวพราวไสว
บนก้อนเมฆวับวาวพราวพิไล
สุกสดใสบนแดนสรวงห้วงนภา

ชื่อของเธออยู่บนทรายทุกอณู
พื้นพสุธาปรากฎอยู่ทุกทิศา
อีกไม่นานนามนุชนารถดื่นดาษดา
เต็มไปทั่วโลกาค่าอนันต์

      ขอบคุณวลีเท่ห์ เท่ห์  แห่ง บ้านจอมยุทธ อันเป็นแรงบันดาลใจ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 25 ส.ค. 07, 01:16
ฟ้าดับลับโลกฤๅดอกฟ้า
หรือดวงดาราริบหรี่เลือนแสง
โลกหนาว.. ช่างหนาวเสียดแทง
แก้วตายังอยู่ข้างพี่หรือไร


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 25 ส.ค. 07, 02:58
ฟ้าดับลับโลกฤๅดอกฟ้า
หรือดวงดาราริบหรี่เลือนแสง
โลกหนาว.. ช่างหนาวเสียดแทง
แก้วตายังอยู่ข้างพี่หรือไร

หรือเวลาทำเจ้าเมินหมาง
หรือนภางค์ทำเจ้าหวั่นไหว
หรือดวงเดือนทำเจ้าเปลี่ยนใจ
หรือดวงใจแกล้งพี่ให้ร้าวรอน

จะคอยเผ้าถามดาวบนฟ้า
จะคอยเฝ้าถามน้ำตาบนหมอน
จะคอยเฝ้าถามปลาในสาคร
จะคอยเฝ้ารอบังอรเจ้ากลับมา......... ฮือ ๆๆๆๆ.... :'(


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 26 ส.ค. 07, 14:11
ใจเรานี้เป็นผู้นำทุกสิ่งอย่าง
อะไรบ้างจะยิ่งใหญ่เท่าใจนี้
การทุกอย่างสำเร็จลงถูกตรงดี
ด้วยใจนี้ที่เป็นเ่ช่่นประธาน

หากผู้ใดมีใจอันโฉดชั่ว
พูดก็ชั่วทำก็ชั่วเกินไขขาน
เพราะพูดชั่วกระทำชั่วดลบันดาล
ทุกข์ชั่วกาลปานล้อหมุนหนุนรอยโค


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 26 ส.ค. 07, 14:21
ใจเรานี้เป็นผู้นำทุกสิ่งอย่าง
อะไรบ้างจะยิ่งใหญ่เท่าใจนี้
การทุกอย่างสำเร็จลงถูกตรงดี
ด้วยใจนี้ที่เป็นเช่นประธาน

หากผู้ใดมีใจบริสุทธิ์
ทำกับพูดงามล้ำเหลือคำขาน
เพราะพูดดีกระทำดีดลบันดาล
ความสุขสานติ์สนองเขาดั่งเงาตน


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 26 ส.ค. 07, 14:27
กลอนนี้ยากไหม
ไฉนคนมาก
หาว่าลำบาก
มันยากจริงไหม

------------------------------

 8)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 26 ส.ค. 07, 14:30
สามัญชนมักนึกไม่ถึงว่า
ตัวของข้าฯมุ่งสู่ผู้ฉิบหาย
เพราะทะเลาะวิวาทกันไม่เว้นวาย
คราตกตายลงนรกอเวจี

ส่วนผู้รู้ข้อเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์
ย่อมพากันหลบหลีกล้วนปลีกหนี
การทะเลาะวิวาทขาดไมตรี
กระทำดีต่อกันมั่นในธรรม  :o


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 26 ส.ค. 07, 14:37
ยศย่อมเจริญแก่ผู้ที่ขยัน
มีสติมั่นการงานสะอาดเหลือ
ทำงานด้วยรอบคอบไม่คลุมเคลือ
ระมัดระวังเพื่อเป็นอยู่โดยชอบธรรม

ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
เป็นจอมปราชญ์ใจสูงใช่ใฝ่ต่ำ
คบคนดีหนีห่วงบ่วงบาศ กรรม
เทอดคุณธรรมล้ำค่าสง่างาม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 26 ส.ค. 07, 14:42
ริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
มัวกินข้าวนั่งอยู่ไฉนหนา
ฉันได้ตอบกล่าวไปทางวาจา
นี่เวลากินข้าวจงรู้ไว้

-------------------------------------------------------------

รู้สึกแต่งไม่ค่อยเพราะเลย ใครเห็นเป็นการไม่สมควรก็ลบได้นะครับ  :-\


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 27 ส.ค. 07, 17:26
มวลกลิ่นหอมของบุปผามาลาชาติ
ก็มิอาจย้อนหวนทวนลมได้
แม้นกลิ่นจันทน์ กฤษณา มะลิไซร้
หอมทวนลมมาได้อย่างไรกัน

กลิ่นสัตบุรุษต่างหากหอมทวนลม
ใช่อุ้มสมหรือบัญชาจากสวรรค์
สัตบุรุษหอมฟุ้งขจรชั่วนิรันดร์
เพราะสร้างสรรค์ความดีที่หมั่นทำ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 28 ส.ค. 07, 02:51
กลิ่นความดีหอมซึ้งตรึงใจแน่
กลิ่นที่แย่คือกลิ่นชั่วมัวราศี
กลิ่นวิสุทธิ์คือกลิ่นธรรมนำความดี
กลิ่นอัปรีย์คือกลิ่นพาลโกงบ้านเมือง......... :-X


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 28 ส.ค. 07, 16:39
คบคนพาลพาลพาไปหาผิด
คบบัณทิตบัณฑิตพาไปหาผล
เป็นคนพาลพาลย่อมได้ทุกข์ทน
ถึงจะจนคบบัณฑิตไม่ผิดทาง  
;)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 09 ก.ย. 07, 15:38
ถึงครวญคร่ำร่ำไห้ละห้อยหา
กาลเวลาจักหวนกลับคืนไม่
มีแต่หมุนวกเวียนเปลี่ยนไป
เหลือทิ้งไว้เศษซากความทรงจำ

รอยอดีตกรีดเลือดหัวใจปริ่ม
เยาะหยันยิ้มไยไพให้หนำ
บ่มเพาะเมล็ดพืชพันธุ์ระกำ
เติมปุ๋ยช้ำชอกเชือดเลือดตากระเด็น


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 19 ก.ย. 07, 21:01
                 
                       รับน้อง
มีเป้าหมายหรือไม่ในชีวิต
ขอถามหน่อยพวกนิสิต-นักศึกษา
มีความรู้อยู่แค่เพียงในตำรา
ใครสอนบ้างวิชาความเป็นคน

อีกสักกี่ชีวิตต้องปลิดชีพ
เซ่นความห่าม เถื่อน ดิบ ไร้เหตุผล
ประเพณี ค่านิยม สัปดน
นี่หรือคือปัญญาชนของเมืองไทย

รับน้องใหม่ผู้ใดใครคนก่อ
เกิดท้องพ่อ-แม่เดียวฤาไฉน
จึงสาระแนแห่ต้อนรับญาติของใคร
ความเสียใจอกแม่กูแต่ผู้เดียว

อพิโธ่ เจ้าวิทยาลัย
ศิษย์ของใครใยเล่าไม่แลเหลียว
หากคนตายช่างพูดง่ายเสียจริงเจียว
แค่คำเดียวอาจเพียงว่า "ข้าเสียใจ"


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 01 ต.ค. 07, 13:09
ริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
มาร่วมกันบอกเล่าจนเฉาให้
บอกด้วยกลอนสอนจิตให้คิดไว้
จนใครใครชื่นชอบให้ตอบแทน



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 02 ต.ค. 07, 18:35
เมื่อทำการสิ่งใดด้วยใจรัก
ถึงงานหนักก็เบาลงแล้วครึ่งหนึ่ง
ด้วยใจรักเป็นแรงที่เร้ารึง
ให้มุ่งมั่นฝันถึงซึ่งปลายทาง

เมื่อทำการสิ่งใดใจบากบั่น
ไม่ไหวหวั่นอุปสรรคเป็นขวากขวาง
ถึงเหนื่อยยากพากเพียรไม่ละวาง
งานทุกอย่างเสร็จเพราะกล้าพยายาม

...


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 29 พ.ย. 07, 07:42
แสนสุดดีที่กำเนิดเกิดเป็นคน
จงทำดีเพื่อผองชนคนส่วนใหญ่
ศักดิ์ศรีตนใช่เป็นคนของใครใคร
เทอดทูนไท้ กษัตริย์ ศาสน์ ราษฎร์ นาคร


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 30 พ.ย. 07, 14:46
แสนสุดดีที่กำเนิดเกิดเป็นคน
จงทำดีเพื่อผองชนคนส่วนใหญ่
ศักดิ์ศรีตนใช่เป็นคนของใครใคร
เทอดทูนไท้ กษัตริย์ ศาสน์ ราษฎร์ นาคร

สัจธรรมที่แท้ของชีวิต
อันกำเนิดโดยจิตปภัสสร
ทุกรูปธรรมนามธรรมพึงสังวร
ขอไหว้วอนให้ประดับกับใจตน........


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 01 ธ.ค. 07, 14:20
แสนสุดดีที่กำเนิดเกิดเป็นคน
จงทำดีเพื่อผองชนคนส่วนใหญ่
ศักดิ์ศรีตนใช่เป็นคนของใครใคร
เทอดทูนไท้ กษัตริย์ ศาสน์ ราษฎร์ นาคร

สัจธรรมที่แท้ของชีวิต
อันกำเนิดโดยจิตปภัสสร
ทุกรูปธรรมนามธรรมพึงสังวร
ขอไหว้วอนให้ประดับกับใจตน

แสนสุดดีที่กำเนิดเกิดเป็นคน
แต่ไม่พ้นกรรมที่โปรยดั่งสายฝน
ด้วยการดับใจให้ไม่ร้อนรน
แล้วจะพ้นพาลในใจคิดดี....


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 04 ธ.ค. 07, 07:17
ถึง​ดาวเดือนเลื่อนลับดับ​จาก​โลก

​ทิ้งเงา​โศกฝากฝัง​ไว้​ใน​ใจฉัน

​แม้นพรุ่งนี้​ไร้​แรงแสงตะวัน

​เธอ​เท่า​นั้น​คือโคมทองของชีวี



​ฟ้าส่งรักเพียงเพื่อรักสมัครมั่น

​เพียงสัมพันธ์มั่น​ไว้​ใน​วิถี

​แห่ง​ความ​รัก​ใช่​ให้​อยู่​คู่ชีวี

​เพียง​เท่า​นี้สุดสุข​แล้ว​แก้วดวงใจ



​จิตของตนเฝ้าฝึกฝน​ให้​ผ่องผุด

​ใสพิสุทธิ์ดุจแก้วเก้าพราวไสว

​คุณธรรมล้ำ​้​เลิศเกิดกลางใจ

​หวั่นเกรงใยคนติฉินเที่ยวนินทา



​อันนินทากา​เลเหมือนเทข้าว

​กินค่ำ​เช้า​สุขภาพดี​ไม่​มีปัญหา

​อิ่มข้าว​แล้ว​ไม่​เพ้อพร่ำ​ร่ำ​สุรา

​ศรีภรรยาจงเพียรนึกเฝ้าตรึกตรอง



​เมื่อท้องอิ่มใจก็อิ่มหัวยิ้ม​ได้

​ไม่​คิด​ไกล​เรือนชานบ้านหอห้อง

​นับนาทีคืนนี้ที่หมายปอง

​เนา​แนบน้องสุดสุขสันต์ที่บ้านเรา​


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 05 ธ.ค. 07, 04:13
                 แม้นเผลอไผลถลำใจไปสักนิด
                     ขอมิ่งมิตรอย่าขุ่นไปให้ใจเหงา
                     ตราบทุกคืนหอห้องมีสองเรา
                     ขอให้เจ้าวางใจไม่เปลี่ยนแปลง

                     อันคำคนที่เป่าเข้าสองหู
                     ให้โฉมตรูคิดหนักรักหน่ายแหนง
                     ยิ่งนานวันยิ่งป่วยใจให้ระแวง
                     พาลลงแดงเพราะคนบ้านินทากัน

                    อันว่าชายแม้จะหมายว่าหลายรัก
                    เผลอเพียงพักไม่ปักใจคล้ายดังฝัน
                    แต่ถ้าเป็นคู่คิดนิจนิรันดร์
                    จะรักมั่นชั่วชีวันฉันรักเธอ..... ;)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 05 ธ.ค. 07, 09:14
นภากว้างกว้างใหญ่สุดไพศาล
อยู่มานานนานแล้วหาแคล้วไม่
ขอให้น้องของพี่มีจิตใจ
มุ่งรักใคร่ใฝ่รักเปรียบเช่นดาว

เพราะว่าดวงดารานี้อยู่คู่ฟ้า
ไม่เคลื่อนพา ลาฟ้า ทำฟ้าฉาว
ถ้าไม่กล่อมกล่อมน้องยาเหมือนดวงดาว
นภานั้นมันจะพราวได้อย่างไร

ถ้าใจน้องของพี่มีรักอื่น
ช่างขมขื่นมันชื่นจิตคิดสุขไหม
เพราะใจพี่มีน้องนุชมุดหทัย
จะมีใครอีกเล่าจงเข้าใจ

จะรักพี่พี่นี้พี่รักตอบ
พี่จะปลอบประโลมเจ้าไม่ให้ไหล
พี่จะรักรักอยู่คู่ยาใจ
ไม่ให้ใครใจรักน้องพี่เลย

พี่จะทำเพื่อยาใจมิให้ทุกข์
แม้น้องทุกข์สุขไม่พี่ไม่เฉย
จะเป็นบ่วงห่วงดูแลไม่เมยเลย
พี่ไม่เคยเฉยจากนุชสุดฤดี

เจ้าไม่กลับลับหายจากใจพี่
พี่รอรีนุชกลับไม่ลับหนี
เพราะพี่รักสุดดวงใจใฝ่ปราณี
จะมามีสตรีอื่นมิได้เลย

เมื่อน้องนุชกลับมาในอ้อมอก
ใจพี่ที่เร้ารกสะอาดเอ๋ย
แล้วโผผินบินทะยานหาทรามเชย
อกพี่เอ๋ยเคยสุขไม่ใจไม่ดี

น้องพบปะพยัคฆ์ร้ายเข้ากรายหา
พี่จะมาปกป้องน้องพี่พี่ไม่หนี
แม้นตัวน้องร้องเรียกพี่เปรมปรีดิ์
อยู่เป็นศรีสุขสันต์ทันเวลา

พี่ยังรักรักเจ้าอยู่คู่นานนัก
พี่ยังรักรักเจ้าอยู่คู่กาลหนา
พี่ยังรักรักเจ้าอยู่คู่กันมา
พี่ยังรักรักเจ้ามาทุกคราไป

พี่ยังคอยคอยเจ้าอยู่อยู่นานนัก
พี่ยังรักคอยดูแลแท้ไฉน
พี่ยังดูดูแลเป็นแท้ไป
พี่ยังแลแน่ใจไว้ใจรักเอย

โดยคุณ agree 8)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: IMjai ที่ 05 ธ.ค. 07, 09:53
อยากจะเป็น นักกลอน ไม่นอนเฉย
สมัครเลย เข้ามา ร่วมพาสอน
มีกลอนรัก ห่วงหา และอาทร
ขอเว้าวอน ฝากใจ ไว้ด้วยคน :-[


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 08 ธ.ค. 07, 10:50
เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนนิ่ง
ทุกสรรพสิ่งเว้าวอนเป็นกลอนสิ้น
คำทำนองคล้องจองดั่งใจจินต์
ดุจฝนรินหยาดฟ้ามาพร่างพรม

ทนห่มฟ้าคราหนาวร้าวในอก
น้ำตาตกข้างในใจขื่นขม
มีรักซ้อนซ่อนไว้พาให้ตรม
ทนหวานอมขมกลืนสะอื้นทรวง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 10 ธ.ค. 07, 17:29
เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเฉย
อย่ามัวเมยให้กลอนอักษรศิลป์
จงรีบเร่งเร็วไวดั่งใจจินต์
คอยเคยชินคำประพันธ์อันงามตา

ทั้งความรักปักอกตลกจิต
ได้แฝงชิดชมแนบแอบอกหนา
ทั้งโมโหโมหันต์ด้วยกันมา
ช่างงามตาภาษาศิลป์ทั้งอินทรีย์


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: BLUECOLOR ที่ 11 ธ.ค. 07, 17:54
ไม่อยากเป็นนักกลอน ผู้นอนเปล่า
ในหน้าหนาว   ฤดูกาล  งานเลือกตั้ง
พรรคการเมือง   ชื่อแปลกใหม่   หลายพรรคจัง
อ่านหลายครั้ง   ยังสับสน    จนงงงัน

ชื่อจำยาก   หากจุดขาย    จำง่ายกว่า
ด้วยเหตุว่า   มาแนวเดียว   กันทั้งนั้น
หลักประชานิยม   กลมเกลียวกัน
หลอกขายฝัน   รายวัน   กันทุกราย   

   


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: BLUECOLOR ที่ 15 ธ.ค. 07, 08:57
ไม่ขอเป็น  นักกลอน  นอนกินเปล่า
ขอหุงข้าว   หาปลา   และอาหาร
เริ่มต้นด้วย  ข้าวที่คัด  จัดใส่จาน
รับประทาน  เป็นข้าวกล้อง   ของคู่ไทย

ผัดคะน้า  และแครอท  จากดอยคำ
อาจเพิ่มยำ  สลัดผัก   ด้วยก็ได้
โอเมก้า สาม  ยำปลาทู   นั่นยังไง
ไม่ต้องไป  ง้อ แซลมอน  จรเข้ามา  (=นำเข้าค่ะ)



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 15 ธ.ค. 07, 20:55
เกิดเป็นชายชาติเชื้อเนื้อทองแท้
เกิดเป็นชายชาติแน่เป็นแท้ยิ่ง
เกิดเป็นชายชาติเปี่ยมความเยี่ยมจริง
เกิดเป็นชายชาติสิงห์ไล่ลิงกวาง

พอจะบอกได้ไหมครับ ว่านี่คือกลบทอะไรเอ่ย  ???


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 17 ธ.ค. 07, 20:39
เกิดเป็นชาย
เกิดเป็นชายชาติเชื้อเนื้อทองแท้
เกิดเป็นชายชาติแน่เป็นแท้ยิ่ง
เกิดเป็นชายชาติเปี่ยมความเยี่ยมจริง
เกิดเป็นชายชาติสิงห์ไล่ลิงกวาง

เกิดเป็นชายเหนือชายแล้วอย่าหยิ่ง
เกิดเป็ยชายได้หญิงอย่าทิ้งขว้าง
เกิดเป็นชายไม่แปลกนักรักสำอาง
เกิดเป็นชายอย่าแปลงร่างตอนเจอชาย.........นะฮ้า... ;)


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: BLUECOLOR ที่ 18 ธ.ค. 07, 08:51
เจอกลกลอน   ต้องถอนใจ  ด้วยไม่รู้
มิเคยดู  จากตำรา  ฉบับไหน
ที่คลับคล้าย   พอใกล้เคียง   เรียบเรียงไว้
เคยพบใน   " อดีตา "    มาอ้างอิง

" เกิดเป็นชาย ชาติสิงห์ หยิ่งผยอง
คนทั้งผอง ตรองรู้ อยู่อย่างสิงห์
เกิดเป็นชาย ไร้ศักดิ์ หนีความจริง
หมดลายสิงห์ ชาติเสือ เหลืออะไร "

อดีตา   เป็นนิยาย  นักเขียนดัง
เธอ...ผู้สั่งสมประสพการณ์  งานใหญ่
นามปากกา  ทมยันตี   นั่นอย่างไร
ผู้สร้างให้  คู่ธรรม  นามระบือ

ส่วนกลบท  สะกดใจ  ชายเหนือชาย
เคยอ่านใน  งานกวี  ที่เลี่ยงชื่อ
เดชคัมภีร์  เทวดา   อันเลื่องลือ
ตัวเอกคือ  เล่งฮุ้ชง  คนตรงจริง 



กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 20 ธ.ค. 07, 18:50
ชายเหนือชายต้องเชิดชายให้มีชื่อ
นามระบือลือชายไปทุกสิ่ง
อบรมชายให้ สมชาย ในความจริง
ชายชาติสิงห์ต้องสัตย์ซื่อถือคุณธรรม

ชายกลับกลอกหลอกเจ้าเขานับหรือ
ใครเขาถือคือชายให้น่าขำ
ประพฤติตนดิ่งลงเหวเลวระยำ
การกระทำชั่วช้าสาระพัน

เกิดเป็นชายไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน
น้องต้องเตือนดูแลใจใช่ห้ำหั่น
รู้กติกา หน้าที่ นี่สำคัญ
เคารพมั่นในศักดิ์ศรี นี่คือ ชาย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: agree ที่ 22 ธ.ค. 07, 16:19
ได้ยินคำกล่าวเล่ามาเนานาน
คือคำชาญบทกลอนอักษรศิลป์
เป็นคติให้คนคิดไม่โกงกิน
จะกล่าวสิ้นต่อไปด้วยจุนเจือ

"เกิดเป็นชายอย่าหยามชายให้ขายหน้า
ต้องรักษาศักดิ์ชายไว้ลายเสือ
ต้องชัดเจนโปร่งใสใช่คลุมเครือ
ชายชาติเสือต้องรู้รักศักดิืศรีชาย

เป็นยอดชายต้องใฝ่ในความสัตย์
ต้องเคร่งครัดในวจีเป็นที่หมาย
ต้องรักษาวาจาของยอดชาย
พูดคำไหนเป็นคำนั้นนั่นแหละชาย

เกิดเป็นชายใช่ตะแบงแทงด้วยลิ้น
เที่ยวหยามหมิ่นเหยียดชายให้เสียหาย
ชาติไหนไหนไม่ควรเกิดเป็นชาย
ถึงคราตายตกนรกอเวจี

ชายเหนือชายต้องเชิดชายให้มีชื่อ
ให้ระบือชื่อชายไว้ศักดิ์ศรี
ชายต้องอุดหนุนชายให้ได้ดี
ชายเช่นนี้ที่เห็นกันนั่นแหละชาย"


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 29 ธ.ค. 07, 00:14
สุขขี สุขขี  สุขสวัสดีปีใหม่
สุขขี สุขขี สุขใจ  สุขสดใสตลอดปี

มอบให้ชาวเรือนไทยทุกคนค่ะ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 01 ม.ค. 08, 10:35
เริ่มดิถีปีใหม่ใจผ่องแผ้ว
ให้คลาดแคล้วจากภัยพาลมารทั้งหลาย
สบสิ่งดีหนีห่างทางอบาย
ลูกผู้ชายต้องสัตย์ซื่อถือคุณธรรม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 03 ม.ค. 08, 00:01
เริ่มดิถีปีใหม่ใจผ่องแผ้ว
ให้คลาดแคล้วจากภัยพาลมารทั้งหลาย
สบสิ่งดีหนีห่างทางอบาย
ลูกผู้ชายต้องสัตย์ซื่อถือคุณธรรม

ลูกผู้หญิงก็ต้องหยิ่งในศักดิ์ศรี
สิ่งไม่ดีล้วนมายาอย่าถลำ
ทั้งเรือนสามน้ำสี่นี้ต้องจำ
กุศลนำให้สุขีปีใหม่เอย....... ;D


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 03 ม.ค. 08, 06:50
พระเสด็จสู่แดนฟ้าเวหาหาว
ชนม์ถึงคราวสวรรคาลัยในดิถี
พระฝังฝากคุณงามพร้อมความดี
จารึกในหล้านี้นิจนิรันดร์

พี่นางแก้วบรมราชจักรีวงศ์
ขอพระองค์เกษมสุข ณ.สรวงสวรรค์
กี่ชาติภพขอน้อมนบอภิวันท์
เทอดทรงธรรม์ภักดีไท้ไปชั่วกาล


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Tithonus ที่ 05 ม.ค. 08, 17:01
    เจ็ดวันเว้นว่างซ้อม ดนตรี
ย่อมหย่อนฝีมือมี    ก่อนกล้า
สามวันจากนารี      หนีหน่าย  แหนงเฮย
ห่อนเทียบเปรียบชายช้า   ต่อหน้ายังกลาย
 
     เจ็ดวันทิวาเว้น  บ่ละเล่นและร้องร่าย
พิณพาทย์ก็อาจคลาย    เสนาะคล้ายจะด้อยลง
     หญิงงามอะเคื้อคร้าว     ดุจะน้าวฤดีหลง
ยามยาตรนิราศนง-      นุชะคงจะรวนเร
สามวันมิทันเนิ่น     ผิวะเพลินฤห่างเห
ถอดถ่ายหทัยเท      กละเมฆะต้องลม
     แต่ชายมิได้ช้า   เฉพาะหน้าก็เปลี่ยนถม
ใครเชื่อก็เหลือตรม      วจิคมระคายจินต์
 
     สามอย่างสิอ้างเอ่ย   ดนุเคยประสบสิ้น
มุ่งหวังและพังภินฑ์       ชละรินถะถั่งนัยน์
     เคยเล่นและเรียนทาง  ดุริยางค์เพราะรักใคร่
เพลงมอญฤเพลงไทย   ก็มิได้จะเชี่ยวชาญ
     ขวัญชู้ดนูภักดิ์    ฤก็รักมหาศาล
เมามัวและกลัวลาน      บ่สะท้านวจีคน
เพียรเผยภิเปรยพจน์  บ่ละลดฤเบื่อบ่น
ว่ารักและรักจน       นฤมลมิใคร่ฟัง
กิจใดจะใช้ข้า     ฤก็สารพัดสั่ง
มีไหมมิได้ดัง      อระตั้งอุรารอ
ผ้าผ่อนจะวอนวาน   ฤก็ขานพจีพอ
เรียมซักเพราะรักก่อ    จิตะจ่อ ณ จินต์จำ
ยามเช้าก็เฝ้าปลุก    อระลุกและทุกค่ำ
เอ่ยออดฉะอ้อนซ้ำ   ดนุพร่ำมิขาดเลย
เมื่อยปวดก็นวดเฟ้น    อระเล่นกบาลเฉย
บาทเจ้าก็เอาเกย     บ่มิเคยจะขึ้งเคือง
ยามไกลก็ใช้มา-      รุตะพาพจีเปลื้อง
คิดถึงคนึงเนือง       ระยะเมืองบ่กั้นไกล
รักเจ้าสิเท่าชี-     วิตะพี่ผิบรรลัย
วิญญาณก็ฝันใฝ่      และวิไลก็รู้ดี
 
   แต่เจ้าสิเชื่อคน    ทุรชนและหม่นศรี
ห่อนเคืองเพราะเรื่องนี้      รติพี่มิเปลี่ยนไป
แต่เจ้าสิเปลี่ยนแปลง   กละแกล้งกบฎใจ
เรียมคอยประคองไว้    บ่มิให้ทลายลง
เจ้าหยามและเหยียดพี่      บ่มิมีเสน่ห์หลง-
เหลือในฤทัยคง      และอนงค์ก็จากจร
เชิดชูสิชู้เจ้า       ดนุเล่าประดุจขอน
ไม้พังผุกัดกร่อน     ฤจะวอนพธูคืน
 
   คิดไปก็สมควร     และก็ล้วนดนูฝืน
ผลกรรมกระทำฟื้น       สิก็ยื่นดนูเอง
รักเก่าดนูทิ้ง      รติยิ่งจะข่มเหง
กรรมเก่ามิกริ่งเกรง     ดนุเร่งจะรับเอย


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 24 ม.ค. 08, 10:37
น้ำเนตรท่วมถึงพรหมบ่มอกเศร้า
อุระร้าววิปโยคโศกหวั่นไหว
พี่นางแก้วกัลยาสวรรคาลัย
ใจผองไทยเจืยนขาดดิ้นแทบสิ้นลม


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 28 ม.ค. 08, 17:41
เพียงชั่วเหยี่ยวขยับปีกฉีกใจวิ่น
พี่นางสิ้นชีวังปลงสังขาร
หกสิบล้านผองไทยกราบไหว้วาน
ขอพระผ่านสู่แดนฟ้าดาวดึงส์


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 27 เม.ย. 08, 09:37
ไว้อาลัยแด่ ผอ.พงษ์พัฒน์ ธีรประเทืองกุล อดีต ผอ.โรงเรียนปัว อ.ปัว จ.น่าน อดีต สส.น่าน

"รู้เคารพกติกาและหน้าที่"
คาถานี้จารึกไปในทุกหน
มั่นสถิต"ศิษย์ม่วงขาว"เราทุกคน
ตราบวายชนม์น้อมรับคำจำใส่ใจ

"ไม่เคารพกฏหมายเหมือนควายไม่มีคอก"
ท่านพร่ำบอกเพื่อรักษ์ธรรม์อันยิ่งใหญ่
"ดื่มนมแทนน้ำ"วัฒนธรรม"ศิวิไลซ์"
เพื่อศิษย์ได้สุขภาพดีมีปัญญา


"เยาวชนรักกีฬาแก้ปัญหาสังคม"
ปักติดร่มคันนี้ศรีสง่า
เพื่อป้องศิษย์โง่เขลาเบาปํญญา
เลิกเสพย์์ยากีฬาช่วยด้วยตนเอง

"มือเหล็กมือสะอาดชาติต้องการ"
แม้นผีมารเลวร้ายไล่ข่มเหง
ผู้บริสุทธฺ์สุกใสใยต้องเกรง
ฟ้าดินเองจักปกป้องคุ้มผองภัย

ชีพดับสูญเมื่อ 18 เมษายน
ปี 51สิ้นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่
"นามสิงห์เหนือ"เหลือความดีพลีมอบไว้
ตราตรึงในแผ่นดินตราบสิ้นกาล

หากเมื่อใดไร้แสงแห่งปํญญา
ทั่วโลกหล้ามืดมัวชั่วกัลปาวสาน
มีแสงหนึ่งซึ่งเลอค่าเหลือประมาณ
"คบไฟน่าน"ยังสว่างกลางผองชน
จิตแผ้ว เก็บเข้า Contact List ส่ง vSMS


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: Bana ที่ 27 เม.ย. 08, 23:13
ร่วมอาลัยแด่พ่อใหญ่นามพงษ์พัฒน์
ปฏิบัติงานแผ่นดินถิ่นอาศัย
เป็นผ.อ. กกต. ส.ส.ไทย
เป็นผู้ใหญ่เป็นคนดีศรีเมืองปัว


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: pakun2k1d ที่ 29 เม.ย. 08, 07:09
แข่งทักษะ วิชาการ ท่านเริ่มต้น
สร้างเยาวชน มีความรู้ มาตรฐาน
กระตุ้นให้ ครูไทย ใส่ใจงาน
สร้างมาตรฐาน ให้ความรู้ เท่าเทียมกัน

ขอคารวะ และอาลัย อาจารย์พงษ์พัฒน์เช่นกันค่ะ
ขอคุณงามความดีต่าง ๆ ที่ท่านได้ให้ไว้แก่เยาวชนเมืองน่านได้นำท่านสู่สุขคติเทอญ


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 10 พ.ค. 08, 07:44
ภูแวยอดแหลมแซมเมฆขาว
ภูพยัคฆ์ทอดยาวฮึกหาญกล้า
น้ำน่านพุ่งพล่านสีแดงทา
น้ำว้าซัดสาดซ่าอยู่กลางไพร


นิ่งสงบซบอกธรณินร์
รักษ์แดนดินถิ่นน่านอันยิ่งใหญ่
คุณความดีที่หมั่นทำนำธงชัย
เทอดมั่นไว้ในความเชื่อ "เสือจอมดอย"


ข้างบนเป็นของกวีนิรนามจารจารึกไว้บนอนุสรณ์สถานเพื่อมิให้ลืมเลือน
เนิน 708 ส่วนท่อนล่าง เป็นของ ข้าพเจ้าเอง


กระทู้: เมื่อริจะเป็นนักกลอนอย่านอนเปล่า
เริ่มกระทู้โดย: จิตแผ้ว ที่ 11 พ.ค. 08, 06:34
  -เมืองปัว แดนงามเมื่อครั้งก่อนเก่า มีองค์พระเจ้า ผานองสถาปนา ครอบครองถิ่นนี้เป็นเมืองสวยเด่นงามตา องค์หลวงปัวครอบครอง พารา นำพา นครนั้น
 

  -เมืองปัว แดนงามสุดแสนสวยยิ่ง มีทุกๆสิ่งเปรียบปานดั่งแดนสวรรค์ โอ้ศิลาเพชร ใสเย็นเคยนั่งเคียงกัน ฟังสำเนียงเ้สียงเพลงรำพัน สุขสันต์เมื่ออยู่เมืองปัว


   
  0 ลาก่อนจำลาอาลัยถวิล เมืองปัวที่เคยอยู่กินดินแดน แสนงามลาก่อน จอมแจ้งเจดีย์กราบกราน ดวงใจทอดถอน วันหนึ่งข้าฯคงหวนย้อน วรนครถิ่นนี้เหมือนเก่า


  - เมืองปัว ขอพรที่แสนศักดิ์สิทธิ์ ช่วยดลลิขิตเจริญ รุ่งเรืองเฉิดฉัน เมืองปัวคู่ฟ้า คู่ดิน สูงส่งลาวัลย์ ขอเทพไท้ในแดนวิมานสร้างสรรค์คุ้มครองเมืองปัว
                         
                                                          (ซ้ำ 0 จนจบ)
                                                                 
                                       ตรงท่อน สูงส่งลาวัลย์ นั้น ต้นฉบับเดิม เมื่อตอน เรียนชั้น มศ.5 ที่โรงเรียนปัว ประมาณปี 22 ผมแต่งเป็น จนสิ้นโลกันต์
โดยเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่า โลกันต์แปลว่าโลก ต่อมาเมื่อรู้ความหมายที่แท้จริง จึงเปลี่ยน เป็นสูงส่งลาวัลย์ คนจรหมอนหมิ่นเหมือนนกจากรังพลัดที่นาคาที่อยู่เมื่อมาพบร่มไม้ใบบังได้มีโอกาสเข้าพักอาศัยใต้ชายคาเรือน
ที่แสนอบอุ่นของท่าน ผอ.พงษ์พัฒน์ ธีรประเทืองกุล ทำให้มีแรงบันดาลใจแต่งเพลงฝากไว้ก่อนอำลาสถาบัน ขอคารวะ ดวงวิญญาณของท่านด้วยบทเพลงจากใจ
ของศิษย์ในบ้าน ลูกปัวเลือดม่วงขาว รู้ เคารพ กติกา และหน้าที่ ครับ