จากท่านผู้เขียนที่คุณเพ็ญกล่าวถึง
ในสมัยนั้น จอมพล ป. คิดว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว(ท่านคิดอย่างนั้น) ท่านเห็นว่าคนควรจะมีฐานะเท่าเทียมกัน ท่านจึงให้ยกเลิกราชทินนาม คือ ขุน หลวง พระ พระยา ฯลฯ โดยให้ใช้ชื่อเดิม นามสกุลเดิม เช่น พ่อของผมเป็นอัยการและได้รับพระราชทินนามว่า พระอรรถวสิทธิ์สุธี ก็ต้องเปลี่ยนเป็น นายเชย อิศรภักดี ฟังดูมันเชยๆชอบกล
ท่านมีอายุยืนอยู่จนสิ้นสงคราม(๒๔๘๙)ทีเดียว
รู้สึกแปลกๆ อ่านประวัติแล้วราวกับว่าคุณพ่อของคุณหมอสม เป็นคนละคนกับพระสรรพการฯเจ้าของสามเสนป๊าก แต่ดูชื่อเดิม ชื่อบิดา และประวัติการขอพระราชทานนามสกุลก็คนเดียวกันนี่นา
เป็นอันว่าการได้เลื่อนจากพระสรรพการหิรัญกิจเป็นพระอรรถวสิทธิ์สุธีเกิดขึ้นในระยะหลัง อาจจะในรัชกาลที่ ๗ ที่รู้ๆคือท่านได้บรรดาศักดิ์นี้ก่อนปี ๒๔๗๕ หรือช้าสุดก็ต้นปี เพราะพอเปลี่ยนการปกครองแล้วเขายกเลิกการเลื่อนบรรดาศักดิ์กัน
จากนายแบงค์ ท่านคงไปเรียนเนติบัณฑิต ถึงสามารถเข้ารับราชการเป็นอัยการได้ ประวัติตรงนี้น่าสนใจมาก ว่าข้าราชการคนหนึ่งที่จบอนาคตการงานในสาขาหนึ่งแล้ว ยังสามารถไปเริ่มต้นอนาคตในอีกสาขาหนึ่งได้ และไม่ต้องไต่ระดับจากขุนหรือหลวง แต่ต่อยอดเป็นคุณพระได้เลย
จากประวัติของคุณหมอสม แสดงว่าครอบครัวของท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกิจการธนาคาร ไม่ว่าแห่งไหนทั้งสิ้น แต่คุณย่าน่าจะมีฐานะดี คนที่มีนอกชานเรือนขนาดเท่าสนามเทนนิส ต้องเป็นเศรษฐีถึงจะมีได้ แล้วยังเป็นบ้านเก่าแก่ของคุณย่า แสดงว่าฐานะท่านมิได้ซวดเซลงเลยตั้งแต่สาวๆจนชรา