รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว

[เทาชมพู]

ขอรวม "ดาวเสียง" ที่มิได้ใช้เสียงร้องของตัวเอง แต่ก็เป็นผู้บันดาลให้เกิดเสียงสวรรค์   ขับกล่อมคนฟังได้ไพเราะจับใจ   ไม่แพ้นักร้องเหมือนกัน    นั่นคือหัวหน้าวงดนตรีที่โด่งดังในอดีต
ไม่รู้ว่าคุณ SILA เกิดทันได้ดูรายการของช่อง 4 วิกบางขุนพรหม ที่มีรายการดนตรีของ "มานโทวานี" หรือเปล่านะคะ    

ดนตรีของ มานโทวานี ได้ชื่อตามหัวหน้าวง Annunzio Paolo Mantovani นักดนตรีชาวอิตาเลียนผู้ใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษ และมาโด่งดังในอเมริกายุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2  เรื่อยมาจนถึงยุคหลังสงครามโลก ในช่วงทศวรรษ 1950s     เขาเป็นเจ้าของเพลงประเภท light orchestra   หรือเรียกอีกอย่างว่า easy listening   เป็นคอนดัคเตอร์ของวงออเคสตราที่เลือกเล่นเพลงคลาสสิคแบบเบาๆ  ไปจนเพลงรุ่นใหม่  ที่ฟังง่ายๆสบายๆ  เป็นที่ชื่นชอบของคนฟังทั้งอังกฤษและอเมริกาอย่างมาก
เพลงแรกของมานโทวานีที่จำหน่ายแผ่นได้เกิน 1 ล้านแผ่น คือ Charmaine



คลิปไม่ขึ้นค่ะ ต้องเข้าไปฟังตามลิ้งค์

[เทาชมพู]

ยกมาจากอีกกระทู้หนึ่ง ของคุณเพ็ญชมพู

^
^

[เทาชมพู]

ยกของคุณ SILA มาจากอีกกระทู้หนึ่ง

คิดว่าไม่เคยดูรายการนี้ ครับ

          ดาวดวงนี้น่าจะไปประดับกระทู้ "รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว" นะครับ

ขอเชิญรับฟัง รับชม Once Upon A Time - Frank Sinatra, Tony Bennett, Kevin Spacey, Mantovani & His Orchestra อย่างจุใจ ครับ

         

 

[เทาชมพู]

ขอแนะนำอีก ๒-๓ เพลงค่ะ  เพลงนี้จากหนังอมตะ Wizard of Oz  และเป็นเพลงลายเซ็นของจูดี้ การ์แลนด์



ส่วนเพลงนี้   นักแต่งเพลงไทยนำมาใส่เนื้อร้องไทย ชื่อว่า เวนิสพิศวาส

[เทาชมพู]

ลองค้นในยูทูบโดยไม่ได้หวังว่าจะเจอ เวนิสพิศวาส เพราะไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงมานมนานแล้ว     ปรากฏว่าเจอแจ๊คพ็อทเข้าจริงๆ  เป็นเสียงของคุณชวลี ช่วงวิทย์

[เทาชมพู]

ยุค 1950s-1960s เป็นยุคทองของมานโทวานี    เพลงบรรเลงจากวงออเคสตราของเขาติดอันดับยอดนิยมมากกว่า  40 เพลง   มี 11 เพลงที่ติดอันดับท็อปเท็น  หนึ่งในจำนวนนั้นที่พุ่งสูงถึงอันดับ 2 ในค.ศ.  1961 คือ The Exodus  ขายได้ว่าล้านแผ่น  และติดอันดับยาวนานเกือบหนึ่งปี



เพลง Exodus นี้เองที่กลายมาเป็นเพลงปลุกใจที่คนไทยน่าจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาหลายครั้ง   จากเสียงของสันติ ลุนเผ่

[เทาชมพู]

   กาลเวลาย่อมเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่ง รวมทั้งรสนิยมคนฟังเพลงด้วย    พอพ้นจากช่วงทศวรรษ 1960s  กระแสเพลงร็อคแนวใหม่  เพลงใหม่ๆ เกิดขึ้น   เพลงบรรเลงอย่างของมานโทวานีก็ถูกมองว่าตกยุคตกสมัย    แผ่นเสียงเขาเริ่มลดอันดับลงเรื่อยๆ จนไม่ติดอันดับเลยหลังปี 1972 
   เมื่อบริษัทแผ่นเสียง Decca ที่มานโทวานีอัดแผ่นอยู่เลิกกิจการไป   ยุคของมานโทวานีก็จบลง  ทิ้งไว้แต่ตำนานเพลงมากกว่า 50 อัลบั้ม  ให้กลายเป็นเพลงคลาสสิคในยูทูบ สำหรับแฟนเพลงเก่าแก่และคนรุ่นใหม่ที่สนใจเพลงเก่าได้ติดตามกันต่อไป
   มานโทวานีเองถึงแก่กรรมเมื่อปี 1980  รวมอายุ 75 ปี
   ทุกวันนี้นักฟังเพลงรุ่นใหม่ๆอาจเคยได้ยินเพลงบรรเลงของมานโทวานีอยู่บ้าง เป็นเพลงแบคกราวน์ในคลิปวิดีโอในยูทูป   เป็นเพลงในละคร ในหนังรักหวานๆ  โดยไม่รู้ว่าเป็นเพลงจากวงออเคสตราของใคร

   

   

 

[เทาชมพู]

เพลง Long Ago and Far Away บรรเลงโดยวงมานโทวานี  ขับร้องโดยจอห์นนี่ แม็ทธิส   ร้องเสียงกำมะหยี่ได้ชวนฝันมาก ดนตรีก็เข้ากับบรรยากาศของเพลง

[SILA]

          ดาวระดับ "นายวง" อีกดวงที่ล่วงลับเนิ่นนาน

            Percy Faith (April 7, 1908 – February 9, 1976)

        ฝากผลงานเพลงบรรเลงที่เรียบเรียงเสียงประสานโดดเด่นด้วยเสียงจากเครื่องสายไว้ในยุค
1950s จนถึง 1960s

        ปู่เกิดในแคนาดา เป็นนักดนตรีเล่นไวโอลินและเพียโนในโรงละคร แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุ
ไฟไหม้มือทั้งสอง ปู่จึงหันเหมาเป็นวาทยากรกำกับวง
         ปู่ย้ายมาอเมริกาในปี 1945 แล้วได้รับสัญชาติอเมริกันชน

ผลงานเพลงของปู่ที่โด่งดัง

          "The Song from Moulin Rouge" (1953)

        

[SILA]

           และเวอร์ชั่นคุ้นเคยทางวิทยุที่มีเสียงร้องตามมา

      "The Song from Moulin Rouge" Percy Faith and Felicia Sanders

       

[SILA]

         ผลงานโด่งดังชนะรางวัล Grammy สาขา Record of the Year 

           "Theme from A Summer Place" (1960)

เพลงฮิทติดชาร์ทขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ดนานถึง 9 สัปดาห์ติดต่อกัน สร้างสถิติเพลงบรรเลงที่
ติดชาร์ทอันดับหนึ่งนานที่สุด

           

[SILA]

            ได้ Grammy อีกครั้งในปี 1969 จากอัลบั้ม Love Theme from 'Romeo and Juliet'
ปู่เรียบเรียงโดยเพิ่มเสียงคอรัสคลอ

             

[SILA]

           ย่างเข้ายุค  1970s กระแสดนตรีร็อคมาแรง ความนิยมในดนตรีแนวของปู่ก็เริ่มลดลง
ปู่จากไปด้วยโรคมะเร็งในปี 1976

           ปีนี้ปู่ได้ฝากผลงานเก่าเรียบเรียงใหม่ในแบบดิสโก้(ที่แปลกแปร่งหู)

               Summer Place '76 (Disco Version of "Theme From A Summer Place")

           

[เทาชมพู]

ชอบเพลง Theme from A Summer Place" (1960)  ยังได้ยินอยู่หลายครั้งแม้ในยุคนี้   บรรเลงได้หวานซึ้งตรึงใจ     แต่พอเปลี่ยนทำนองเป็นดิสโก้ ฟังแล้วขนลุก
มันไม่เข้ากับเนื้อร้องและ Theme ของหนัง ซึ่ง summer place ที่ว่าคือสถานที่ลอบเร้นพบกันระหว่างหนุ่มใหญ่สาวใหญ่ อดีตคู่รักเก่าซึ่งถ่านไฟเก่าคุขึ้นมาอีกครั้ง     กับความสัมพันธ์ชิงสุกก่อนห่ามของลูกชายลูกสาววัยรุ่นของทั้งสองคน

ขอแถมเนื้อร้องจากเสียงกำมะหยี่ของแอนดี้ วิลเลียมส์ ผู้ล่วงลับ

[เทาชมพู]

ถ้าหากว่าคุณ SILA เป็นแฟนเพลงสุนทราภรณ์    และสามารถเดินทางย้อนกาลเวลากลับไปอเมริกาในค.ศ. 1951  จนถึงปี 1982   เปิดทีวีดูติดๆกันเข้าสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์  คุณมีสิทธิ์จะเจอรายการเพลงรายการหนึ่ง ที่ต้องอุทานออกมาว่า

"เอ๊ะ! อเมริกาเขามีสุนทราภรณ์ด้วยหรือนี่"

มีค่ะ   ชื่อว่า Lawrence Welk Show  เป็นขวัญใจชาวบ้านมาห้าหกทศวรรษ  จนทุกวันนี้นักร้องของสุนทราภรณ์อเมริกันก็ยังรวมตัวกันร้องเพลงในเทศกาลต่างๆ และตระเวนโชว์ตามรัฐกันอยู่  

ฝาแฝดชาวอเมริกันของคุณครูเอื้อ สุนทรสนาน คนนี้ชื่อ Lawrence Welk  เกิดเมื่อ 1903  และล่วงลับขึ้นไปบรรเลงเพลงต่อบนสวรรค์เมื่อค.ศ. 1992   สิริรวมอายุ 89 ปี
คุณปู่เป็นนักดนตรีมาก่อนเป็นเจ้าของวง   แต่เล่นแอคคอเดียน  ไม่ใช่ไวโอลินอย่างครูเอื้อของเรา       แต่สู้ครูเอื้อไม่ได้เพราะปู่ลอเรนซ์แต่งเพลงไม่เป็น    แต่แกก็เป็นนักบริหารที่เก่งคล้ายๆท่าน คือสามารถรวบรวมวงดนตรีบิ๊กแบนด์ได้อย่างมั่นคง สร้างนักร้องประจำวงฝีมือเยี่ยม  จำนวนหลายโหล    ร้องเพลงกันได้ไพเราะมากทุกคน
ปู่พารายการเพลงที่ปู่เรียกเองว่า Champagne music   ยืนหยัดท้ากระแสวงการเพลง  ที่เปลี่ยนรูปแบบสารพัดแบบตั้งแต่ร็อค ไปจนฮาร์ดร็อค ดิสโก้ และอะไรอีกหลายอย่าง     โดยยึดท่วงทำนองเพลงฟังสบาย (easy listening)  กล่อมแฟนเพลงมาหลายทศวรรษด้วยกัน  ด้วยเรตติ้งที่รายการยอดนิยมยุคใหม่อายไปหลายรายการ