เรือนไทย

General Category => ระเบียงกวี => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 11, 10:36



กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 11, 10:36
บทกวีที่นำลงในกระทู้นี้  ส่วนหนึ่งนำมาจากหนังสือ "ปานมณีรุ้ง" ซึ่งเป็นหนังสือรวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)  คัดเลือกมาเฉพาะบางบท
บางบทก็นำมาจากหนังสืออื่น  แต่เป็นผลงานของศิลปินแห่งชาติเช่นกัน

ขอเชิญผู้ที่ชอบบทกวี เลือกบทกวีของศิลปินแห่งชาติที่ท่านถูกใจ มาลงเพิ่มเติมในกระทู้นี้ด้วยค่ะ

ท่านแรก คือม.ล.ปิ่น มาลากุล ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2530  ขอนำกลอนที่ชื่อว่า "อันอำนาจใดใดในโลกนี้" มาลงประเดิม

อันอำนาจใดใดในโลกนี้
ไม่เห็นมีเปรียบปานการศึกษา
สร้างคนหาค่ามิได้ในโลกา
ขึ้นจากผู้ที่หาค่าไม่มี

 


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ย. 11, 11:01
ใต้โค้งสะพาน  ของ อุชเชนี (อาจารย์ประคิน ชุมสาย ณ อยุธยา) ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2536  เขียนเมื่อพ.ศ. 2493

ดวงใจ...
หยุดไห้เสียทีเถิดหนา
ดูจันทร์รูปเคียวเกี่ยวฟ้า
โลมหล้าด้วยแสงเงินเย็น

เรามีแต่โค้งสะพาน
ต่างบ้านคุ้มหัวไม่เห็น
แต่เช้าถึงค่ำลำเค็ญ
หลบเร้นฝนร้าวหนาวกาย

ละเมอว่านั่นสายรุ้ง
ผุดพุ่งรุ่งเร้าเฝ้าหมาย
โยงสุขสู่กันบั้นปลาย
ฝันร้ายรุ่งเฝือเหลือเงา

เพียงโค้งสะพานอันเดิม
ช่วยเสริมความหวังช่างเขลา
แต่คนยากเข็ญเช่นเรา
มีมากมิเบาเจ้าเอย

ถูกเขาขับไล่ไสส่ง
คงแต่ใจตรงเปิดเผย
เราซื่อเราโง่ทรามเชย
แต่มีหรือเคยคดใคร?

พราวเดือนเลื่อนลับอับแฝง
หิ่งห้อยยังแจงแสงใส
ความหวังแม้พลาดคลาดไป
อาจฟื้นคืนใหม่นานา

ด้วยใจแนบเรียงเคียงสนิท
มิ่งมิตรจงพิงอกข้า
หยัดอยู่สู้โลกพาลา
จนกว่าอรุณรุ่งราง




กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: chupong ที่ 02 พ.ย. 11, 11:59
ผมขออนุญาตท่านอาจารย์เทาชมพูเข้าร่วมกระทู้นี้ด้วยคนหนึ่งครับ

   ท่านอาจารย์อุชเชนี เป็นกวีอีกท่านหนึ่งที่ผมบูชาครับ และหนังสือ “ขอบฟ้าขลิบทอง” ของท่าน ก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสือดีหนึ่งในหนึ่งร้อยเล่มที่คนไทยควรอ่าน เสียดายครับอาจารย์ ผมเสียดายตรงที่หนังสือกวีนิพนธ์อีกเล่มหนึ่งของท่าน คือ “ดาวผ่องนภาดิน” กลายเป็นหนังสือหายากไปเสียแล้ว ผมเองก็หมดสิทธิ์ครอบครองครับ เพราะตามแสวงไม่พบเลย

   มีข้อสังเกตประการหนึ่ง นั่นคือ ท่านอุชเชนีนั้น นอกจากจะเป็นมือกลอนแล้ว ท่านยังเป็นมือฉันท์ชั้นครูอีกด้วย ใน “ขอบฟ้าขลิบทอง” แม้งานกวีนิพนธ์ส่วนใหญ่เป็นกลอน แต่ก็พบฉันท์จำนวนหนึ่ง ขณะนี้ผมอยู่ที่ทำงานครับ เลยมิได้นำหนังสือเสียงเรื่องขอบฟ้าขลิบทองติดตัวมา ถึงกระนั้น ก็ขออนุญาตเขียนถึงบทกวีชื่อ “พลังรัก” ที่ผมชื่นชอบสักนิดหนึ่งครับ

   ท่านอุชเชนีรจนาบทกวี “พลังรัก” ด้วยภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ ลีลาฉันท์เป็นไปตามขนบคัมภีร์วุโตทัยอย่างเคร่งครัด แต่เสน่ห์ซึ่งท่านสอดซ้อนเข้าไป นั่นคือ สัมผัสใน (สัมผัสสระ) ครับ ภุชงคประยาตฉันท์ บทหนึ่งแบ่งเป็นสองบาท บาทละ ๒ วรรค แต่ละวรรคกำหนดให้เขียน ๖ พยางค์ตายตัว โดยพยางค์ลหุ อยู่ตรงพยางค์ที่ ๑ กับ ๔ ถ้าจะสอดซ้อนเสน่ห์ด้วยสัมผัสใน (สัมผัสสระ) กวีท่านจะกำหนดให้พยางค์ที่ ๓ กับ ๕ ซึ่งเป็นพยางค์ครุสัมผัสกัน ทำให้อ่านแล้วไหวพลิ้ว ท่านอุชเชนีดำเนินลีลาของ “พลังรัก” ในครรลองนี้ชนิดเอตทัคคะทางฉันท์ ภุชงคประยาตของท่าน มีสัมผัสในปรากฏในวรรคที่หนึ่งของบาทแรก และวรรคที่ ๑ กับ ๒ ของบาทที่สอง ตั้งแต่ต้นจนจบบท ผมจึงถือเอา “พลังรัก” เป็นตัวอย่างภุชงคประยาตฉันท์ชั้นเซียนเหยียบเมฆอีกบทหนึ่งครับ
 


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 11, 09:54
ขอเอากลอนของศิลปินแห่งชาติอีกท่านหนึ่งมาลง  คือกลอนชื่อ อู่ข้าว อดข้าว ของ คุณ "ทวีปวร" หรือทวีป วรดิลก  ศิลปินแห่งชาติพ.ศ.2538   ท่านถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ.  2548
กลอนบทนี้แต่งเมื่อพ.ศ. 2489

อู่ข้าว-อดข้าว

อู่ข้าวอดข้าวคราวนี้
เคยมีคิดมั่นขันหมาย
เริดร้างห่างมอดวอดวาย
ปรากฏอดตายใกล้มา

เมืองข้าวอดข้าวข่าวใหญ่
นาไร่แลโรยโหยหา
เปลี่ยนคนเป็นควายไถนา
กินหญ้าแทนข้าวข่าวดี

ไชโยโห่ร้องก้องกึก
อึกทึกอู่เปล่าข้าวหนี
นังนุงยุ่งยิ่งสิงคลี
คนมีข้าวหมดอดตาย

อู่ข้าวอดข้าวคราวยาก
ชอกช้ำลำบากเหลือหลาย
ในน้ำมีปลาน่าสบาย
อับอายข้าวไร้ในนา

ชาตินี้เกิดมาอาภัพ
รอกลับเกิดใหม่ชาติหน้า
ตื่นเช้าทำไร่ไถนา
โลกบ้าหน้ามืดฝืดคอ

อู่ข้าวอดข้าวคราวยาก
ทรกรรมลำบากลูกพ่อ
ข้าวหมดอดตายใจคอ
จักรอชาติหน้าบ้าแล้ว!


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 03 พ.ย. 11, 19:39
บทกวี อำนาจ ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2536

      
       @ นี่ไม่ใช่เวทีที่แจ้งเกิด
       ไม่ใช่ที่ที่จะเชิดละครหุ่น
       ไม่ใช่ทั้งที่ประกาศเกียรติ์สกุล
       เทิดความเถื่อนอธรรมสถุลชีพเป็นธรรม
      
       @ ไม่ใช่ที่หลบภัยของคนร้าย
       ไม่ใช่ที่ค้าขายความรวยร่ำ
       ไม่ใช่ที่ฟอกถ่านอันเปื้อนดำ
       ไม่ใช่ที่ล้างกรรมปฏิกูล
      
       @ อำนาจนี้มอบไว้แด่ปวงชน
       ไม่ให้คนผูกขาดเข้ารวมศูนย์
       เข้าตั้งคอกพอกผลประโยชน์พูน
       ปล่อยประชาอาดูรอยู่ดักดาน
      
       @ อำนาจนี้มอบไว้แด่ปวงชน
       ไม่ใช่เพื่อรวมพลคนหน้าด้าน
       เข้าตั้งกลุ่มตั้งแก๊งค์อันธพาล
       เผด็จการเผด็จโกงเผด็จกิน
      
       @ รวมพลังมวลมหาประชาชน
       ร่วมโค่นคนทรยศให้หมดสิ้น
       ปลดม่านลวงปวงประชาทั่วธานิน
       ปลดแผ่นดินถิ่นไทยให้เป็นไท!
      
      
       เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       พฤ.๒๖/๕/๕๔


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: :D :D ที่ 03 พ.ย. 11, 20:02
อังคาร กัลยาณพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์ ) พ.ศ. 2532

     เสียเจ้า

@เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า
ซบหน้าติดดินกินทราย
 
@จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤๅรอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ

@หากเจ้าอุบัติบนสรวงสวรรค์
ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟเราเป็นไม้
ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ

@แม้แต่ธุลีมิอาลัย
ลืมเจ้าไซร้ชั่วกาลปาวสาน
แม้นชาติไหนเกิดไปพบพาน
จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา

@ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า
ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา
ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอย


    วักทะเล

@วักทะเลเทใส่จาน   
รับประทานกับข้าวขาว
เอื้อมเก็บบางดวงดาว   
ไว้คลุกข้าวซาวเกลือกิน

@ดูปูหอยเริงระบำ   
เต้นรำทำเพลงวังเวงสิ้น
กิ้งก่ากิ้งกือบิน   
ไปกินตะวันและจันทร์

@คางคกขึ้นวอทอง     
ลอยล่องท่องเที่ยวสวรรค์
อึ่งอ่างไปด้วยกัน   
เทวดานั้นหนีเข้ากะลา

@ไส้เดือนเที่ยวเกี้ยวสาว
อัปสรหนาวสั่นชั้นฟ้า
ทุกจุลินทรีย์อมิบ้า   
เชิดหน้าได้ดิบได้ดี
 
@เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน   
ทะยานลงดินมากินขี้
ชมอาจมว่ามี   
รสวิเศษสุดที่กล่าวคำ


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 พ.ย. 11, 20:50
บทกวี  "ทบทวนเส้นทางก่อนย่างก้าวใหม่" ของราตรี ประดับดาว  หรือ ประยอม ซองทอง

(หนึ่ง)-เดินโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่กลางแจ้ง
แสบด้วยแสงแห่งตาวันอันเจิดจ้า
ฉานแสงโชนวับวิบขลิบขอบฟ้า
หวั่นเหว่ว้าหวิววับทับฤทัย

เหมือนดอกจานบานสล้างเกลื่อนกลางทุ่ง
ปรับแต่งปรุงทุ่งแวววามงามสดใส
ผลิดอกบานสานความหวังพลังใจ
ดุจดั่งไฟโชนแสงหน้าแล้งร้อน

จากรังสีคลี่คิมหันต์อันแผดผิว
พลันพลิกพลิ้วริ้วร้อนคลายค่อยถ่ายถอน
ชวนเชิดโชนปนปรุงรุ้งทองปอนด์
ดุจดั่งพรดับแล้งแห่งร้อนร้าว

คืนและวันผันพรูฤดูเปลี่ยน
ลมหวานเวียนสานผสมผ่านลมหนาว
เหมือนสายทิพย์พริบฝันอันเพริศพราว
พรจากดาวเด่นเดือนเตือนอารมณ์

(สอง)-ครั้นแรกก้าวเข้ามหาอาณาจักร
รื่นสำลักหวังหวานซ่านความขม
แทนสรรเสริญเพลินพะนอคลอคำชม
อาจระบมบ่มท้อทรมาน

แต่ทุกถ้อยคำคมคารมปราชญ์
"อย่าเขลาขลาดคล้อยตามลมชมความหวาน
ต้องทะนงคงความฝันอันตระการ
กว่าผลผลิกลีบเบ่งบานเกลื่อนก้านใบ

ทุกชีวิตจักมีค่าต้องกล้าอยู่
หันหน้าสู้แสงตะวันอันโชนใส
ชีพมิสิ้นดิ้นสุดแรงชีพแกว่งไกว
จึ่งจักได้ฝันสีทองอันผ่องเพรา"

(สาม)-เธอเดินทางห่างไกลมากจากวันก่อน
ต้องไม่ย้อนไปกล้ำกลืนคลื่นความเศร้า
หันหน้าสู้แสงตาวันอันแรงเร้า
เพื่อครรลองปองเรา...คว้าดาวทอง !!!


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 11, 09:47
กลอน "นักเดินเรือ" ของสถาพร ศรีสัจจัง  ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2548

มีตำนานเก่าเก่า   เล่าว่า
ณ เวิ้งน้ำเวิ้งฟ้า-คุ้งน้ำเขียว
มีนกขาวว่ายฟ้าฟ้อนปีกเรียว
โฉบท่องบินเที่ยว อย่างเป็นไท

ลิบลิบแหล่งนั้น - ที่ไกลโน้น
คลื่นฟาดตัวโยนเป็นเกล็ดใส
ผู้กล้าก่อนเก่าเคยบุกไป
บอกว่า-คลื่นใหญ่นั่นเหมือนยักษ์

เหมือนดังปราการ-เหมือนด่านน้ำ
เหมือนด่านลม  ที่คร้ามเมื่อประจักษ์
แต่งามนกฟ้านั้นก็งามนัก
คือเสน่ห์ดึงชักให้ไปชม

จึงผู้กล้าก่อนเก่าเมื่อปรากฏ
ด่านคลื่นลมทั้งหมดก็เกินข่ม
เพียงกางใบสำเภา  ผูกช่อปม
ท่านก็ฝ่าคลื่นลม  ออกทะเล

วันนั้น ใครนั่น-ประมงน้อย
แต่งเรือไว้คอยไปแรมเร่
แรงใจแรงตัวล้วนทุ่มเท
ศึกษาหลากเล่ห์คลื่นลมลวง

ศึกษาดวงดาวคืนเดือนดับ
ว่าอย่างไรจึงจะขับให้เรือล่วง
ว่าอย่างไรจึงจะฝ่าให้ภัยปวง
เพื่อลุห้วงน้ำตามตำนานนั้น

วันนี้  เรือเทียบอยู่ถ้วนท่า
ประมงน้อยดาษดา  เห็นอยู่นั่น
เตรียมพร้อมคึกคักอยู่ครามครัน
รอคอยคืนวัน - จะยาตรา

นักเดินเรือต้องมุ่งทะเลหลวง
เกียรติภูมิทั้งปวงจึงเจิดจ้า
เมื่อผ่านลมคลื่นผ่านกาลเวลา
ต้องพบเห็นนกฟ้า-อย่างแน่นอน


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ย. 11, 18:43
บทกวี   ลงโทษ  ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ  ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕

 ๏ โฉมสำอางนางนาคนิมิตเอ๋ย
กำหนดน้ำอย่าให้หลากท่วมมากเลย
คนเดือดร้อนไม่เคยละเมิดใคร

ยังไม่เคยละเมิดหมิ่นทั้งดินน้ำ
ธรรมชาติก็หาเคยละเมิดไม่
น้อมรับกรรมทำมาหากินไป
ตามวิสัยธรรมดาสามัญชน

แต่ฝูงคนชั้นนำลุอำนาจ
นั่นต่างหากพิฆาตทุกแห่งหน
ธรรมชาติต้องพินาศนองสกล
ผลาญผู้คนผลาญทรัพยากร

ต้องลงทัณฑ์คนชั้นนำลุอำนาจ
กวนน้ำเชี่ยวเกรี้ยวกราดสาดสังหร
นาคนิมิตพิชิตพาลนิรันดร
ดับทุกข์ร้อนรากหญ้านะเจ้าเอย

บ้านช่างหล่อ กรุงธนบุรี
2 สิงหาคม 2554
08.50 น.


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 พ.ย. 11, 13:05
บทกวี  กังวานชีวิต  ของ ทวีป วรดิลก   ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ.2538   

๏ มาลัยรักสลักเสลาเราแนบหมอน
ในยามนอนมนัสนันท์ด้วยฝันหวาน
มาลัยพจน์บทกวีมีวิญญาณ
คือกังวานชีวิตสถิตทรวง

ถ่ายทอดสุขทุกข์โศกในโลกนี้
เสียงดีดสีธารเสนาะเซาะผาหลวง
เมฆกล่อมดาวพราววิภาแต้มฟ้าปวง
ซึ้งแดดวงสมุทรพร่ำรำพันรัก

บัลลังก์ม่วงช่วงโชติโรจน์ลิบฟ้า
สุริยายิ่งยงสูงส่งศักดิ์
ชีวิตใหม่ไขแสงแจ่มแจ้งพักตร์
สมานสมัครเสมอจิตเถิดมิตรมวล

สืบสายธารกาลสมัยห่างไกลพ้น
ชีพผจญเศิกสรรพ์สุดผันผวน
คำกังวานขานกวีที่ขับครวญ
คงอบอวลอมรรตัยไปนิรันดร์

ยามมืดมนพ้นเนตรสังเกตเห็น
แสงงามเด่นสว่างแดนแสนเฉิดฉัน
คือดวงไฟใสสว่างดังกลางวัน
เป็นมิ่งขวัญฉัตรชัยให้ชีวิต

ยามภพงามอร่ามตาประชาชื่น
กังวานรื่นลำนำคำลิขิต
ดุจบัณเฑาะว์เสนาะโสตปราโมทย์มิตร
ภาพโสภิตความฝันอันเป็นจริง

มาลัยร้อยรอยช้ำย้ำให้ซึ้ง
บุปผาพึงเผือดเฉาเศร้าโศกสิง
มาลัยพจน์บทกวีที่อ้างอิง
ยืนยงยิ่งยิ่งมาลัยใดจะปาน

ขอให้เป็นเช่นอุษาฟ้ารุ่งสาง
ลบเลือนรางผืนไผทผ่องไพศาล
ขอให้เป็นเช่นพิณรินกังวาน
ยามชีพผ่านมหันตภัยใดใดเทอญ

ทวีปวร , ๒๕๐๖


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: chupong ที่ 05 พ.ย. 11, 14:46
เรียนท่านอาจารย์เทาชมพู และท่านสมาชิกเรือนไทยทุกท่านครับ

   ก่อนน้ำจะมาถึงบ้านผม และพัดพาความกลัดกลุ้มมาสุมจนสมองตีบตันมึนตื้อไปชั่วขณะ ผมขอนำบทกวีของท่านอาจารย์สถาพร ศรีสัจจัง ซึ่งรจนาโดยใช้นามปากกา “พนม นันทพฤกษ์” มาลงไว้ ณ กระทู้นี้ครับ บทกวีทุกวรรคที่ท่านจะได้อ่าน คัดจากความทรงจำของผมทั้งสิ้น หากมีส่วนใดวิปลาสคลาดเคลื่อน ขอท่านโปรดเมตตาให้อภัย แหละแก้ไขข้อความนั้นๆให้ผมผู้โฉดเขลาด้วยเถิดครับ

ฝั่งทะเลตะวันตก
โดย ท่านพนม นันทพฤกษ์

   เมื่อวิบวิบแสงแวมเริ่มแต้มฟ้า
ม่านความมืดที่ทาก็ถดถอย
เมื่อหมอกน้ำล่วงลาสลายรอย
เขียวม่วงครามก็ค่อยคลี่ม่านคลุม

   เหนือคุ้งฟ้าคุ้งโค้งเป็นวงฟ้า
ขาวเมฆฝอยจับฝ้าเป็นกลุ่มกลุ่ม
เรี่ยเรี่ยรายรายระบายรุม
แต่งแต้มสุมทุมขึ้นทาบทา

   หัวคลื่นนั้นเคลื่อนอยู่คึกคึก
แรงหวนลมดึก ลมเดือนห้า
กำหนดท่วงทีแห่งลีลา
ให้น้ำให้ฟ้าให้ทะเล

   ยาวสี่วาเรือกลสำเภาเก่า
กำลังลอยทอดเงาให้ลมเห่
เหมือนมีมือแกว่งเหมือนไกวเปล
ต่อเรือที่เร่มาแรมไกล

   หนึ่งนั้นประมงชรามาก
หน้ากร้านมือสากเสื้อเก่าใส่
เบ็ดราวสาวโยนเป็นสายใย
โยนพร้อมคลื่นใหญ่คลี่ตัวโยน

   หัวเดิ่งโด่งตัวขึ้นเหมือนตึก
พายุคึกคึกขึ้นเผ่นโผน
เกิดหุบม้วนตัวเป็นน้ำโตน
กลืนเรือทั้งโกลนเข้าสู่เกลียว

   สางสายพรายน้ำกะพริบพริบ
โล่งตลอดวิบวิบคือน้ำเขียว
นกขาวว่ายฟ้าฟ้อนปีกเรียว
บินล่องน้ำเชี่ยวที่ราลง

   ทะเลเรียบน้ำเชี่ยวสอดเกลียวแทรก
กระดานเรือลอยแตกเหมือนเศษผง
ม่านแดดแวมแวมเป็นแว่นวง
ไล้อาบทาบตรงกระดานเรือ

   ม่านแดดแสดสดนั้นสาดน้ำ
เกิดเกล็ดเม็ดงามเรืองระเรื่อ
เขียวขาวม่วงครามน้ำเงินเจือ
เหมือนเกล็ดเม็ดเหงื่อประมงนั้น

   เหนือคุ้งฟ้าคุ้งโค้งเป็นวงฟ้า
ดำความมืดเริ่มทาเป็นขั้นขั้น
เมื่อสิ้นสูญพรายแสงแห่งตาวัน
ทะเลอันดามันก็มืดมน






กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: chupong ที่ 06 พ.ย. 11, 09:36
อีกบทหนึ่งจากความทรงจำเช่นกันครับ ปรากฏอยู่ในหนังสือ “เขียนแผ่นดิน” นิพนธ์โดย ท่านอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ อันถือได้ว่าเป็นงานกวีนิพนธ์เล่มสำคัญเล่มหนึ่งของทั้งท่านกวีผู้รจนาเอง และของผืนแผ่นดินไทย ผมนำบทกวีชื่อ “ราชดำเนิน” มาลงครับ ความพิเศษของกาพย์ฉบัง ๑๖ ชิ้นนี้ อยู่ตรงสัมผัสอักษรแพรวพราวทั้งในวรรคเดียวกันและข้ามวรรค รวมถึงการสรรคำอย่างประณีตยิ่ง ยังผลให้กาพย์ฉบังดังกล่าวกลายเป็นฉบังอลังการโดยแท้ ลองสัมผัสกันเถิดครับ

ราชดำเนิน
รจนาโดย ท่านอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

   ผันพักตร์ฟากด้าวอัสดง
อัสดรดำรง
ดำเลิงรณชัยในที

   ผ่าเผยแผ่นพระธรณี
สู่อารยะศรี
สากลประกาศโลกา

   จัดวังจังหวัดวัดวา
วางขอบมรรคา
คือราชดำเนินนอกใน

   ถนนแห่งประชาธิปไตย
ประชาชุมชัย
ประเชิญประชันผันผาย

   ผ่านพิภพลีลาเรียงราย
ผ่านฟ้าคล่ำคลาย
มาข้ามมัฆวานรังสรรค์

   สามช่วงสามชนยลยรร-
ยงอยู่กัปกัลป์
ก่อแก้วกลางใจกลางเมือง

   จงเจตจำนงจงเนือง
จงจารึกเรือง
ราชเดินนำราชดำเนิน

   หมายเหตุ:
ในหนังสือ “เขียนแผ่นดิน” ท่านอาจารย์เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ระบุวันที่เขียนบทกวีนี้ไว้ ตรงกับวันอังคารที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ครับผม



   




กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ย. 11, 09:33
บทกวี  วรรณกรรมคร่าวร่ำ 700 ปี เมืองเชียงใหม่  ของมณี พยอมยงค์ ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2549

    มังรายสวรรคตเศร้า          ทั้งเมือง
ใจไพร่ใจขุนเปลือง               หม่นไหม้
พฤกษาหุบเหี่ยวเหลือง          ไปทั่ว
เสียงคร่ำครวญโหยไห้           ทั่วท้องเวียงพิงค์ร่าย
๑๒๗. อำมาตย์ทั้งหลายใจร้าว ปกป่าวกันทั่วเมือง   ทูลแจ้งเรื่องข่าวสวรรคต แด่ทรงยศไชยสงคราม  ดังไฟลามใจท้าว สั่นระร้าววรกาย
      เชียง คำกล่าวนี้            คือเมือง
ใหม่ มุ่งความรุ่งเรือง             ยิ่งแล้ว
เมือง เอกศิลป์ประเทือง         ใจชื่น
งาม ภูมิภาคแผ้ว                เด่นด้วยคนงาม
     เชียง เมืองแต่ก่อนกี้       เบาราณ
ใหม่ มากจิตรการ               รุ่งหล้า
ถา ปนาสถาน                   ท่องเที่ยว
วร ลักษณ์เด่นฟ้า               ยิ่งล้นธรณี
    เชียง นัคเรศนี้              ไพศาล
ใหม่ ด้วยศิลป์ตระการ          ยิ่งล้น
เมือง คนใฝ่พบพาน            มาแอ่ว
หลวง ใหญ่เป็นเมืองต้น        แห่งล้านนาไทย


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ย. 11, 11:07
@ขมาแม่คงคา@ โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       
       @ แม่พระคงคา
       ลูกขอขมา
       แม่อย่าขึ้งแค้น
       ลูกผิดลูกพลาด
       ดูคลาดดูแคลน
       แม่อย่าขึ้งแค้น
       กระหน่ำซ้ำซัด
       
       @ เหมือนมดแตกรัง
       ผึ้งแตกรวงพัง
       ละส่ำละสัตว์
       แตกบ้านแตกเรือน
       ละเพื่อนละพลัด
       ละส่ำละสัตว์
       แม่ลงโทษแล้ว
       
       @ ได้ทุกข์ได้ภัย
       จึ่งได้คิดใหม่
       ดั่งได้ดวงแก้ว
       หลุดหายหลุดห่วง
       หลุดบ่วงหลุดแร้ว
       ดั่งได้ดวงแก้ว
       ได้ตนพึ่งตน
       
       @ แม่มาสั่งสอน
       แม่มาให้พร
       ให้ผลักให้พ้น
       เสือสิงห์ปลิงเปรต
       ทุเรศทุรน
       ให้ผลักให้พ้น
       แม่พระคงคา
       
       @ รู้ทบรู้ทวน
       คำนึงคำนวณ
       น้ำหนักน้ำตา
       น้ำนักหนักนัก
       หนักน้ำหนักหนา
       น้ำหนักน้ำตา
       เหน็บหนาวธรณิน !
       
       
       เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       พ.๒/๑๑/๕๔


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ย. 11, 19:36
สินค้ากาย บทกวีของอดุล จันทรศักดิ์ ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2551

๑)  “ นมของหนู ขาอ่อนหนู รู้ใช่ไหม
เรือนร่างใช่ยืมใครจะได้อ้าง
หนูเป็นสาวสะพรั่งสวยสำอาง
จะเปลือยร่างถ่างขา ก็น่ามอง

ถ่ายรูปครั้งเดียวดัง เงินตั้งล้าน
ใครหน้าไหนไม่ต้องการเงินคล่องคล่อง
หนูแก้ผ้าทาสี เป็นเงินเป็นทอง
ผู้ชายจ้องน้ำลายไหลไม่วางตา

“ หนูเอ๋ย  “ ดัง ” นั้นไม่ไกลจาก “ ด้าน ”
จบหนึ่งงาน ดังก็หายไร้คุณค่า
ความด้านล่อให้เพลินกับเงินตรา
หนูกลายเป็นสินค้าราคาดี

กระตุ้นอารมณ์หื่น และกระหาย
เหล่าชายตัณหาแรงทุกแหล่งที่
เป็นวัตถุทางเพศให้ย่ำยี
เหมือนมิใช่สตรีเพศมารดา

ดูความรู้ หนูก็ชั้นปัญญาชน
ไม่น่าจะอับจนจนมืดหน้า
เสียแรงเรียนจนได้ใบปริญญา
ไยไม่สร้างคุณค่าแก่สังคม

เอาความรู้ที่ครูให้ มาใช้คิด
หายางอายสักนิดมาผสม
เพื่อไม่สร้างราคาค่านิยม
ว่ามีนมแทนสมอง เป็นของดี”
               “ แฟนคอลัมน์เจ้าเก่า ”

๒) นางคณิกายังเปลือยกายแค่ในห้อง
ใช่หน้ากล้องก็เปลือยกายระบายสี
ให้เขาแตะตรงนั้น  แต้มตรงนี้
เหมือนอย่างที่หนูเห็นเป็นธรรมดา

หนูปรึกษาพ่อแม่บ้างหรือไม่?
โคตรตระกูลหนูภูมิใจ? หรือขายหน้า?
ภาพหนูบนปฏิทินคือสินค้า
อย่าอ้างว่าเป็นงานศิลป์ชิ้นสำคัญ

หนูคือวัตถุทางเพศ เมื่อเปลื้องผ้า
หนูคิดถึงวันข้างหน้าบ้างไหมนั่น
หนูถ่ายภาพชุดนี้ไม่กี่วัน
แต่ภาพมันจะติดตัวหนูจนตาย

ทั้งเนื้อนมหนูขายได้ราคา
เขากล้าซื้อ  หนูก็กล้าแก้ผ้าขาย
เขาขอเพียงแค่หนูอย่ารู้อาย
เมื่อหนูยืนโพสต์ถ่ายให้เต็มตา

วันนี้หนูอาจยังภูมิใจอยู่
แต่ถ้าหนูรู้อายในวันหน้า
หนูจะถูกทำร้ายด้วยกาลเวลา
ซึ่งหนูอย่าให้ลูกหนูรู้เห็นเลย

อัคนี หฤทัย
จาก "เหนือกาลเวลา" ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 พ.ย. 11, 08:52
^
^

นึกถึงบทโคลงของ "ขวัญนรา" (จิตร ภูมิศักดิ์)

สองสตันโฉมช้อยง่าน            งอนงาย
อัดอวบเอิบอาบกามฉาย         เฉิดท้า
ตาวาววะวาบประกาย             ไกวกวาด
ยิ้มยิ่งยิ้มเยาะฟ้า                  ยั่วฟ้ายอเยิน

ดำเนินทวยระทดแท้              เทียวหนอ
ผายสะโพกสองเพลาคลอ        คลั่งเคล้น
ขดานดือเพล็ดแพล็มรอ          รัดรูป โอยแม่
ทวยระทึกสะท้านเต้น             ตุบเต้นติวตัว

เขาหัวหรรษ์หื่นห้า                 โหเห
จุบปากบ้างเล็งคะเน               แน่งเนื้อ
แสนหนาวสั่นโผเผ                 ผาดเหือด หายพ่อ
ร้อนระอุอบอาบเชื้อ               โชติเชื้อกามเกลียว

 ;D


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 พ.ย. 11, 11:01
จิตรน่าจะหมายถึงนางงามเดินประกวด    เป็นภาพเมื่อ 50 ปีก่อนที่สาวไทยยังสวมชุดว่ายน้ำค่อนข้างมิดชิด    ถ้ามาเห็นชุดประกวดนางงามทุกวันนี้   จิตรจะเขียนถึงขั้นไหนกันนะ

ธารทอง  ของ  ประยอม ซองทอง

ฟ้าที่นี่แผ้วผ่องก่องประภาส
ริ้วทองลาดแรรอบขอบคิ้วหาว
น้ำในธารสะท้อนแพรวดั่งแววดาว
กระพริบพราวเพียงภาพทาบเปลวทอง

แด่ผู้ที่เจ็บช้ำระกำรัก
ที่ทุกข์หนักพักตร์พริ้มมาปริ่มหมอง
ผู้สูญสิ้นดินฟ้าจะคว้าครอง
น้ำเนตรนองท่วมหทัยไร้ญาติมิตร

เพื่อพำนักพักนอนรอนความเศร้า
ที่รุมเร้าเรือนกายเป็นนายจิต
เพื่อวันใหม่ทางใหม่ในชีวิต
เลิกครุ่นคิดคร่ำโศกกับโลกลวง

เพื่อพักผ่อนนอนหลับในทับทิพย์
ชมดาววิบแวมวอมในอ้อมสรวง
รื่นรสรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
ลิ้มผึ้งรวงหวานลิ้นด้วยยินดี

เพื่ออาบน้ำชำระกายในธารทอง
ฟังไผ่พร้องเสียงสังคีตขับดีดสี
ฟังลำนำนกร้อยถ้อยพาที
ระเรื่อยรี่จักจั่นกังวานไพร

เพราะถิ่นนี้มีฟ้ากว้างกว่ากว้าง
มีความมืดที่เวิ้งว้างสว่างไสว
เป็นป่าเถื่อนแต่เป็นที่ไม่มีภัย
อยู่ห่างไกลแต่ก็ใกล้ในคุณธรรม


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 พ.ย. 11, 11:01
ชีวิตเราถ้าเหมือนเรือ  ของ ประยอม ซองทอง  แต่งเมื่อพ.ศ 2502

ชีวิตเรา ถ้าเหมือนเรือ เมื่อออกท่า
ไม่รู้ว่า ค่ำนี้ นอนที่ไหน
จะลอยล่ม จมน้ำ คว่ำลำไป
หรือสมใจ จอดฝั่ง ..ก็ยังแคลง

ได้แต่ดื่ม น้ำตา เมื่อฟ้าร่ำ
ยิ่งยามย่ำ สายัณห์ ยิ่งกรรแสง
ถูกลมหวน หอบข่ม ระดมแรง
จึงรู้แล้ง หมดแล้ว น้ำแก้วตา

เพราะหากมัว มาร่ำ กำสรวลอยู่
ไหนจะรู้ ทรงเรือ บ่ายเมื่อหน้า
ต้องตักพาย หมายขืน ฝืนลมฟ้า
ไร้เวลา อาดูร พอกพูนใจ


สติตรง ตาแน่ว ดูแนวน้ำ
ไม่ลอยลำ ขวางเรือ เมื่อน้ำไหล
ถ้าไม่ล่อง ก็ท่องทวน สวนทันใด
เรือจึ่งได้ แนวดิ่ง ไม่ทิ้งทาง

ในโลกนี้ มีสิ่ง ต้องวิ่งแข่ง
ถ้าหย่อนแรง ราข้อ ต่อเข้าบ้าง
ก็จะแพ้ แย่ยับ ถึงอัปปาง
อย่าหมายร่าง เราจะอยู่ สู้หน้าใคร

ชีวิตเรา ถ้าเหมือนเรือ เมื่อออกท่า
ต้องรู้ว่า ค่ำนี้ นอนที่ไหน
ต่อรุ่งเช้า ก้าวอีกขั้น มรรคาลัย
กว่าวันชัย สมประสงค์ ถือธงชู..


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 พ.ย. 11, 15:21
@กระทง กทม.@ โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       
       @ จีบเจียนประจง
       เป็นกระทงใบตอง
       จุดธูปเทียนทอง
       ขมาแม่คงคา
       ลอยลำน้ำไหล
       ลอยไร่ลอยนา
       นครสวรรค์อยุธยา
       ลอย กทม.
       
       @ นาคให้น้ำร้าย
       คนให้น้ำล้น
       ทุกข์ท่วมมณฑล
       จับเจ่าจนจ่อ
       เมืองหลวงมาล่ม
       จ่อมจมลอยคอ
       ใครบ้างเล่าหนอ
       จักเคยคิดเห็น
       
       @ จะให้อพยพ
       หลบน้ำไปไหน
       จะเป็นจะไป
       ก็ไปไม่เป็น
       บ้านเอยเคยอยู่
       อู่เหย้าร่มเย็น
       หมดแล้วมืดเร้น
       จะให้ไปไหน
       
       @ พ่อขุนผีน้ำ
       หมื่นถ้ำหมื่นผา
       แม่พระคงคา
       ลูกขอขมาไหว้
       ได้เรียนได้รู้
       ได้สู้ทุกข์ภัย
       ได้รู้จักใช้
       เอาตนพึ่งตน
       
       @ กระทง กทม.
       ย่อบ้านย่อเมือง
       กระทงน้อยลอยเรื่อง
       บ้านเมืองผู้คน
       จุดธูปจุดเทียน
       อย่าเวียนอย่าวน
       จงประชาชน
       สร้างบ้านสร้างเมือง ฯ
       
       
       เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       พ.๙/๑๑/๕๔


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 11, 09:59
 น้ำล้างแผ่นดิน  ของ ประยอม ซองทอง
(ไทยโพสต์ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)

(หนึ่ง)-“น้ำท่วมคืออุทกภัยธรรมชาติ”
อดีตอาจสอนให้ได้รู้เห็น
แต่โลกใหม่สมัยนี้มีและเป็น
มิใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างเป็นมา

เพราะเกิดเหตุอาเพศภัยไปทั่วโลก
แต่ทุกข์โศกที่แดนอื่นฟื้นรักษา
เขามีข้อปฏิบัติเป็นอัตรา
ทุกองคาพยพพร้อมครบครัน

โดยองค์กรเป็นกลางวางหน้าที่
โดยไม่มีวงการเมืองมาผกผัน
ผิดชาติด้อยพัฒนาประพฤติกัน
เยี่ยงเผ่าพันธุ์อันธพาลมันครอบครอง

(สอง)-อุทกภัยทั่วประเทศอาเพศหนัก
ยังประจักษ์ยักษ์เปรตเดชผยอง
เดนใจดำซ้ำกักขฬะเขื่องคะนอง
เหมือนมิใช่ญาติพี่น้องพ้องเผ่าพันธุ์

ไม่สำนึกในพระคุณแม่คงคา
ไม่จงรักพิทักษาพนาสัณฑ์
โลภตัดไม้ทำลายป่าวนาวัน
ไม่สำนึกคุณอนันต์นิรันดรธาร

ไม่สำนึกเส้นทางน้ำโดยธรรมชาติ
ซึ่งพิลาสเลิศครรลองล่องละหาน
พึงลัดเลาะกระแสสินธุ์โดยวิญญาณ
ไม่ระรานเยี่ยงครรลองธารครองธรรม

(สาม)-แต่มนุษย์สุดกิเลสเหตุตัณหา
นึกมุ่งหน้ากอบโกยหิวโหยระห่ำ
ก่นกระสันเสกมหาอุตสาหกรรม
เยี่ยงระยำย่ำปัญญาบรรพชน

ไม่สำนึกบุญคุณคลองร่องสายน้ำ
ระยำย่ำกลับกลบคลองเป็นท้องถนน
ไม่สำนึกพระบุญญาพระจอมคน
สืบนุสนธิ์รังสรรค์คลองล่องธารา

   (สี่)-โอ้พระแม่คงคามีพระเดช
โปรดชะล้างเหล่าอาเพศเปรตผีป่า
ล้างเหล่า “สามัคคีเภท”เศษอาณา
อ้าง “ประชาธิปไตย”ด้วยใจคด

ล้างมนุษย์ “กังฉิน”โกงกินชาติ
ให้วิปริตวิปลาศวินาศหมด
พลิกแผ่นดินเป็นถิ่นทองผ่องภาพพจน์
เกริกเกียรติยศ “รัตนโกสินทร์”ถิ่น “เทพ” / ”ไท”

ปรง เจ้าพระยา





กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 11, 10:01
กวีอภิวัฒน์ : คือโมเดลที่แท้   ของ ประยอม ซองทอง

(แนวหน้า ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)

ยินเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ปากเกร็ด
บอกเผด็จศึกน้ำร้องคำหวาน
สร้างเกราะป้องกันน้ำทนรำบาญ
แต่มิได้ระรานเพื่อนบ้านกัน

เมื่อคนดีมีฝีมือคือ “ผู้นำ”
“ผู้ตาม”ทำด้วยจริงใจได้คงมั่น
พร้อมมือยกขึ้นบังแสงแห่งตาวัน
ก็กางกั้นแดดสวยด้วยพร้อมมือ

ทุกคนมีสองมือคือมนุษย์
ใช่เทพผุดจากนภางค์สรรค์สร้างหรือ
ใช่สำนึกแห่งหทัยไร้ฝึกปรือ
ที่แท้คือความสำนึก “ผนึกพลัง”

ใช่ปากกล้าแต่ขาสั่นยัน “เอาอยู่”
แต่แบ่ง”มึง”แบ่ง “กู”สู้แทงหลัง
แฝง “ประโยชน์ทับซ้อน”ซ่อนเกรอะกรัง
โลกรุงรังเพราะโลภซ้อนซ่อนกอบโกย

มองข้ามหัวพี่น้องผองคนยาก
ที่ลำบากท้องกิ่วเพราะหิวโหย
ต่อให้ร้องฟ้องโจทย์ถึงโอดโอย
ปล่อยอิดโรยเจ็บช้ำโดยลำพัง

แต่น้ำใจไมตรีมีมาปลอบ
ก็ระยอบบอบช้ำน้ำตาหลั่ง
กว่าน้ำตาจะปลาบปลื้มลืมพะวัง
เพราะได้หยั่งน้ำใสจากใจจริง

เห็นพี่น้องปากเกร็ดเผด็จศึก
ชวนสำนึกส่งดอกไม้ไม่อาจนิ่ง
ขอยกนิ้วปรบมือให้ไม่ประวิง
เพราะคือสิ่งยิ่งคุณค่าว่า “โมเดล”

มิใช่แค่โฆษณาไม่กระดาก
ส่งสคริปต์ยัดใส่ปากอย่างลิงเสน
ก็ส่งเสียงเจี๊ยกตามบทไร้กฎเกณฑ์
ประดุจเดนไร้คุณค่าน่าเสียดาย

เชิญพี่น้องผองคนดีศรีประเทศ
สร้างขอบเขตเช่น “ปากเกร็ด”เสร็จสมหมาย
เพราะทุกมือถือไม้ด้นคนละพาย
คือความหมาย “โมเดล”แท้...ใช่แค่คุย  !!!

ราตรี  ประดับดาว




กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ย. 11, 09:50
จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย       ของ ทวีปวร  (ทวีป วรดิลก)

จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย        
เกรียงไกรในพลังสร้างสรรค์
เพื่อความดีงามร่วมกัน        
แห่งชั้นชาวชนคนงาน

เข้ารวมพลังบังเกิด
แจ่มเจิดภพใสไพศาล
ชีพมืดชืดมาช้านาน
ฤาจักทานแสงทองส่องฟ้า

จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย
พลังใหม่เข้มแข็งแรงกล้า
พากเพียรเรียนรู้โลกา
เปลี่ยนแปลงสู่อารยยุค

แรงอรุณหนุนเนื่องเรืองล้ำ
แรงดรุณจักนำสันติสุข
มืดมนอนธกาลทานทุกข์
มือสองจักปลุกประกายพลัน


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 พ.ย. 11, 11:02
เพลงนี้คงได้แรงบันดาลใจจากบทกวีของทวีปวร

http://www.youtube.com/watch?v=ZPCSLY4MLRw

เธอคือความหวัง

เนื้อร้อง เณศวร วรรณโชติและนันทนา เดชะบุญประทาน

เธอเป็นความหวัง
เป็นพลังของประชา
เป็นดาราชี้ทางสดใส
เป็นอาทิตย์ส่องแสงทั่วแดนไทย
เป็นดวงใจประจำคู่ผู้ทุกข์ทน

จากแดนเมือง สู่แดนแคว้นพนา
ด้วยศรัทธาก้าวไปในทุกหน
ขออุทิศชีวิตเพื่อมวลชน
จะยอมทนลำบากอย่างอาจอง

เธอจากไปด้วยดวงใจที่กล้าหาญ
ร่วมประสานกับผองชนบนทางใหม่
เพื่อสร้างสรรค์สังคมอันวิไล
ให้มวลไทยได้เป็นสุขทุกวันคืน

เธออยู่ไกล แต่ใจขอรวมกัน
ร่วมฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
ขอติดตามร่วมสู้หยัดยืนยง
เพื่อนำธงชัยมาสู่ผองไทย

 ;D


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 11, 08:52
เจ้าพระยาพาที : กายอาสา (ไทยโพสต์ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)

     (หนึ่ง)- เขาบอกว่าเขาเคยมาอยู่อาศัย
ไม่มีใครมาบังคับหรือร้องขอ
แต่ลงมือทำทันใดไม่รั้งรอ
และไม่คิดที่จะท้อทำต่อไป
      ด้วยสงสารผู้ทุกข์ยากบากมานี่
ที่ต่าง “หนีน้ำท่วมมาหลบอาศัย”
โดยเฉพาะผู้แก่เฒ่า-ผู้เยาว์วัย
ที่ลำบากหากต้องไปที่ไกลกาย
      ทั้งที่ให้บริการก็มีน้อย
บางคนคอยด้วยร้าวรวดถึงปวดหาย
บ้างเหลือทนจนราดไม่อาจอาย
ทุกคนก็อยากคลี่คลายทุกข์ใกล้ตัว
      พวกเขาจึงอาสามาทำงาน
ไม่มีใครไหว้วานรู้กันทั่ว
แล้วทุกคนก็เข้าใจไม่เกลียดกลัว
ไม่เมามัว..ไม่ย่อท้อ..ไม่รอรา
      พวกเขาคือคนอาสามาทำงาน
ไม่มีใครไหว้วาน..ก็อาสา
สู้สร้างสรรค์ผลงานกันเรื่อยมา
แม้เคยถูกต่อว่า  ก่อนจะเข้าใจ
   
      (สอง)-“เราเริ่มต้นด้วยเข้าเคลียร์ขยะเขลอะ
ทั้งทิชชูเปียกเปรอะเลอะเทอะได้
ทั้งเศษผมปมผ้าอนามัย
ขจัดไปได้ไร้เศษผ้าสารพัด
       จากนั้นใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค
ราดให้โชกก่อนใช้แปรงลงมือขัด
จนเห็นว่าสะอาดได้พอใช้ชัด
แล้วใช้น้ำสะอาดซัดราดลงไป
     แล้วใช้ไม้ “ม็อบ”ชุบยาทาทั่วพื้น
ถูพอยืนเดินไปมาน่าใช้ได้
แล้วฉีดยากลิ่นกรุ่นละมุนละไม
จบขั้นตอนสุดท้ายให้ได้กลิ่นดี
     ปิดประตูรอพื้นห้องแห้งสักพัก
ก่อนที่จักเปิดให้ใช้ได้เต็มที่
แล้วรีบไปที่ส้วมใหม่ไม่รอรี
เพราะยังมีส้วมอีกมากที่ยังคอย”
   
     (สาม)-นี่คือเหล่าคนช่างคิดจิตอาสา
ที่ไม่หวังเอาหน้า..ค่าใช้สอย
คนที่ถูกคนมองข้ามจำนวนไม่น้อย
คนนับร้อยหมื่นแสนไม่แหงนมอง
     แต่เขาคือเหล่าผู้ใช้กายอาสา
ทำสะอาดทุกเคหา..ส้วมทุกห้อง
ที่สำคัญ..ทำด้วยใจ..ใช่เงินทอง
ยินคำร้อง “ขอบใจนะ” น้ำตารื้น !!!
 
    (ขอขอบคุณข้อมูลจาก “ไทยโพสต์”
12 พฤศจิกายน 2554)
                            ปรง  เจ้าพระยา


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 พ.ย. 11, 18:29
@กลอน อ.เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เรื่อง  เป็นมนุษย์@
       

       @ ก่อนจะเป็นอะไรในโลกนี้
       ทั้งเลวทรามต่ำดีถึงที่สุด
       ก่อนจะสวมหัวโขนละครชุด
       คุณต้องเป็นมนุษย์ก่อนอื่นใด
       
       @ คุณจะต้องรู้จักการเป็นมนุษย์
       ไม่ใช่ชุดเครื่องแบบที่สวมใส่
       ไม่ใช่ยศตำแหน่งแกร่งฉไกร
       หากแต่เป็นหัวใจของคุณเอง
       
       @ ใจที่มีมโนธรรมสำนึก
       ใจที่รับรู้สึกตรึกตรงเผง
       ใจที่ไม่ประมาทไม่ขลาดเกรง
       ใจที่ไม่วังเวงการเป็นคน
       
       @ เมื่อนั้นคุณจะเป็นอะไรก็ได้
       เป็นผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ทุกหน
       มโนธรรมสำนึกรู้สึกตน
       ต้องตั้งตนให้เป็น คือ เป็นมนุษย์!
       
       เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       พฤ ๑๓/๑๑/๕๑

http://www.kaweeclub.com/b28/t414/


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 พ.ย. 11, 18:30
@พิราบกับอสรพิษ@
       
       @ งูพิษคืออสรพิษ
       ย่อมฤทธิ์มากย่อมร้ายมาก
       จัดฉากและหลบฉาก
       ขย้ำกลืน ขยอกกลืน
       
       @ ฝูงนกและลูกนก
       ก็ตกตื่น ก็แตกตื่น
       ขัดขืนก็สุดขืน
       กับเขี้ยวงู และพิษงู
       
       @ นกพิราบกับฝูงพิราบ
       รวมกลุ่มสู้ เข้าต่อสู้
       บินพรูกันพร้อมพรู
       ร่วมส่งเสียง ประสานเสียง
       
       @ พันธุ์งูกับพวกงู
       ก็กรูเคียงเข้าข้างเคียง
       แลนเรียงตะกวดเรียง
       เข้าล้อมนก เข้าล่านก
       
       @ เค้าแมวคือเค้าแมว
       ค่อยผงกหัวผงก
       ร้องนรกนี่คือนรก
       อย่ารุนแรง หยุดรุนแรง
       
       @ นิทานคือนิทาน
       ย่อมแสดงสิ่งไม่แสดง
       เชิญแถลงสิเชิญแถลง
       ว่าเรื่องจริงนี้ ไม่จริง!
       
       
       เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
       พฤ ๖/๑๑/๕๑

http://www.kaweeclub.com/b28/t414/


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ย. 11, 10:59
เจ้าพระยาพาที : เสียงกระซิบแห่งเวนิส ของ ปรง เจ้าพระยา  (ประยอม ซองทอง)
 (ไทยโพสต์ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)
        มีคำถามถึง “เวนิสตะวันออก”
ที่ก้อนน้ำกระฉอก ระลอกใหญ่
ท่วมทั้งกรุงและกวาดทั่วประเทศไทย
จนน้ำใจและน้ำตาบ่าท่วมตาม
        โอ้กรุงเทพเมืองฟ้าอมรพิมาน
แว่วเพลงหวานสุนทราภรณ์ขจรสยาม
ถูกน้ำเน่าเคล้าคลุ้งเหม็นทุ่งงาม
สมญานามแห่งเวนิสหมองจิตตรม
        นอกกรุงเทพฯเมืองหลวงไทยหัวใจประเทศ
เกิดอาเพศเพราะเหตุใดใจเมืองล่ม
บริหารกันอย่างไรให้เมืองจม
ดื่นระดมปุจฉาดังสื่อทั้งมวล
       (หนึ่ง)-ประสิทธิภาพบริหารจัดการน้ำ
ของผู้นำ “รุ้เรื่องดี ?และถี่ถ้วน?
-โดยผู้รู้เรื่อน้ำดี,ที่สมควร
หรือแล้วล้วนพวกเอาหน้า..สมองกลวง” ?
       (สอง)-ผู้ที่เชี่ยวชาญจัดการน้ำ
ประเทศนี้มีคราคร่ำ..ไม่น่าห่วง
แต่เป็นที่กังขาประชาปวง
ถุกกลลวงหรือใจน้อยต้องถอยไกล
      (สาม)-คนรู้ดีมีพระราชดำรัส
แนวทางจัดการน้ำเคยพร่ำไข
มีขั้นตอนชัดเจนควรเป็นไป
และควรได้ดำเนินไปหลายสิบปี
      (สี่) ที่เขาลือว่าการเมือง”ประสานงา”
รัฐบาลกับ “ผู้ว่าฯ”ต่างหน้าที่
ปล่อยชาวบ้านตกเป็นเหยื่อ...เลวเหลือดี
ความทั้งนี้ปิดกัน “แซ่ด”ทุกแวดวง...ฯลฯ
   แต่กระนั้นก็ยังมีความดีเลิศ
“จิตอาสา”แสนประเสริฐและสูงส่ง
พระเมตตาพระบรมวงศานุวงศ์
เลิศยิ่งยงคือน้ำใจไทยด้วยกัน
      ทั้งน้ำมือน้ำจิตมิตรประเทศ
แสนวิเศษหลั่งตรงดำรงมั่น
และที่ชนต่างซาบซึ้งตรึงสัมพันธ์
“รั้วของชาติ”ผู้สร้างสรรค์ไม่พรั่นใด
      ยกเว้นแต่พฤติกรรมนักการเมือง
หลายร้อยเรื่องหลากประเด็นชนเห็นไส้
แม้สัมภเวสีที่แสนไกล
ยังถูก ”ไม้กันหมา”เอามาหากิน
       โอ้พระคุณแม่คงคาสูงค่าเอ๋ย
“เหนือหัว”เคยแนะแนวทางวางไว้สิ้น
“ทุนสามานย์”ทันสมัยไม่ยลยิน
ทุกข์แผ่นดินคงตกสู่อนุชน !!!!

                   ปรง เจ้าพระยา



กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ย. 11, 11:01
กวีอภิวัฒน์ : อยู่กับธรรมชาติ (แนวหน้า ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ของ ราตรี  ประดับดาว (ประยอม ซองทอง)

           ฉันกำเนิดเกิดเป็นลูกชาวนา
ชินกับ “น้ำท่วม”มาจนเติบใหญ่
เกิดน้ำท่วมทุ่งนามาคราใด
ฉันเลิกลง “เบ็ดคัน “เป็น ”เบ็ดราว”
         สายน้ำฝนที่หล่นมาจากฟ้านั้น
กลิ่นเย้ายวนชวนฝันถึงห้วงหาว
ต่อให้น้ำท่วมฟ้าปลากินดาว
รอถึงคราวน้ำลดหมดกังวล
   ที่มันเป็นเช่นนั้นฉันได้เห็น
ดื่นประเด็นชื่นฉ่ำจากน้ำฝน
น้ำจากฟ้ากแสนสะอาดปราศฝุ่นปน
ไม่มัวมลปนมลพิษติดโรคภัย
        แม้บางคราวน้ำคลั่งลงพังป่า
หากหมู่ไม้ยังแน่นหนาประทังได้
หรือน้ำห้วยอาจกระแสเปลี่ยนแปรไป
ก็เพราะขาดต้นไม้ใหญ่ไว้ปะทะ
       เห็นห้วยหนองท้องธารในกาลก่อน
อาจไหลเจาะเซาะซอนสะเปะสะปะ
แต่เส้นทางน้ำหลั่งไหลไปชำระ
อาจน้ำเซาะชะริมตลิ่งห้วยภินท์พัง
      แต่แสนแปลกฝูงหญ้าแฝกแทรกริมห้วย
มันกลับช่วยยึดดินติดริมฝั่ง
ต่อแฝก-ปรง-เฟิร์น-กูด-เกินฉุดรั้ง
เหมือนพนังกั้นมิให้ทะลายลง
     นอกจากนั้นฉันยังเห็นหลายหมู่บ้าน
มีบึงหนองท้องละหานปานสระสรง
เป็นแหล่งใหญ่ใช้กักน้ำตามจำนง
ให้น้ำคงรอฝนฟ้าผ่านหน้าแล้ง
      ฉันรำลึกถึง “แก้มลิง”พระเจ้าอยู่หัว
นั่นแหละตัวการเก็บน้ำทำเป็นแอ่ง
ใช้รดผักเลี้ยงปูปลาพาพลิกแพลง
ซึ้งสำแดงพระมหาปรีชาญาณ
      ทรงรอบรู้ทั้งดิน-ฟ้า-น้ำ-อากาศ
จนประสาทเป็น “เกษตรผสมผสาน”
หรือ “เกษตรแผนใหม่”ไว้ตำนาน
หลายหมู่บ้านหันตามรอยบาทยุคล
      หากกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ
ตามถ้อยคำพระดำรัสจักเกิดผล
หลากโครงการพัฒนาเกษตรฃล
คุณค่าล้นกลายเป็นกลุ่ม “ชุมชนพอเพียง”
   โอ้ว่าภูมิปัญญาบรรพชน
เลี้ยงประเทศเกษตรพ้นความสุ่มเสี่ยง
เลี้ยงเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ใกล้เคียง
และหลีกเลี่ยงหายนะ..เพราะพระคุณ  !!!


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 16, 13:15
กลอนของกวี
ไพวรินทร์ ขาวงาม ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2558


เราอ่านกลอนของกวีที่ทุ่งหญ้า
นวลน้ำคำและน้ำตามาค้างแผ่ว
ดวงแดดเช้าเหมือนแกล้งจะแต่งแวว
วาดน้ำค้างหยาดแก้วมิอันตรธาน

เราอ่านกลอนของกวีที่ทุ่งข้าว
หนาวลมหนาว ยิ่งหนาวยิ่งเฝ้าอ่าน
หอมวรรคทองของทุ่งลมสะท้าน
หอมข้าวสุกจากบ้านของชาวนา

เราอ่านกลอนของกวีที่ฝั่งน้ำ
หยอกห้วยหนองคลองร่ำระบำไผ่ป่า
แหพ่อเหวี่ยงเป็นวงใต้โค้งฟ้า
ค่ำนี้หนอ, จะป่นปลาให้ลูกกิน

เราอ่านกลอนของกวีที่ริมทาง
ย่างเหยาะย่างเราจะย่างไปตามถิ่น
ย่ำเหยาะย่ำเราจะย่ำจะย้ำยิน
เสียงแผ่นดินเสนาะดังกังวานใจ

เราอ่านกลอนของกวีที่ขอบฟ้า
เวี่ยวรรคเก่าของดาริกาจากฟ้าใหม่
ละลายเป็นวรรคทองของฟ้าใด
ล่องวิญญาณฝากไว้ให้สุกสกาว

เราอ่านกลอนของกวีที่ห้องเช่า
มุมแสนเงียบแสนเหงาและแสนหนาว
รูฝาห้อง, แดดส่องเป็นลำยาว
ไต่แสงดาวสีขาวถึงดวงตะวัน

เราอ่านกลอนของกวีที่มุมโลก
สุดชายแดนแสนโศกนรกสวรรค์
มุมหนึ่งใดจะอาจไถ่ซึ่งโทษทัณฑ์
ขอมุมนั้นวรรคทองช่วยส่องทาง

เราอ่านกลอนของกวีที่ใจกวี
หวามร้อยวันพันปีไม่มีสร่าง
โอ วรรคทองของใจที่ไหวว้าง
โถ อ้างว้าง, จะอ้างว้างอีกอย่างไร!


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 16, 13:27
ไพวรินทร์ ขาวงาม ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พ.ศ. 2558

คิดไม่ถึงจะคิดถึงถึงเพียงนี้
คิดไม่ถึงใจจะมีที่คิดถึง
เพียงแค่คิดไม่คิดว่าจะตราตรึง
คิดที่นี่อีกทีหนึ่งคิดถึงกัน

รักเพียงรักวูบเดียวประเดี๋ยวประด๋าว
ฝันเพียงฝันวับวาวประด๋าวประเดี๋ยว
ทุกข์เพียงทุกข์ชั่วคราวประด๋าวเดียว
สุขเพียงสุขประด๋าวเทียวประเดี๋ยวทุกข์

บางดาบสาดซัดประหัตประหาร
บางดาบประดับบ้านอยู่ข้างฝา
บางดาบต้านอริที่รุกมา
บางดาบนิทราอยู่กลางใจ

คนสวนพรวนดินปลูกดอกไม้
ยามหัวใจแห้งแล้งกระนั้นหรือ
ดูซินี่! ดอกไม้อยู่ในมือ
จะหาญถือให้ใครยามไร้รัก

ผีเสื้อใด? ยิ่งบินไปไร้แก่นสาร
เพียงโฉบผ่านปวงบุปผาน่าเหน็ดหน่าย
ปรารถนากระโจนผาฆ่าตัวตาย
หุบปีกฝันพลันพลิ้วว่ายเวิ้งทะเล

ปล่อยไปก็ปวดเปลี่ยว
เหนี่ยวรั้งก็ปวดร้าว
ห่างนักก็เหน็บหนาว
เบียดผ่าวก็แผดร้อน

โลกคือโรงแรมอันเรืองรองของชีวิต
ตื่นสนุกหลับสนิทคิดสืบก้าว
เดินทางมุ่งทุ่งลำพังฝั่งธารดาว
จะชั่วคราวหรือค้างคืนจงตื่นใจ

เราได้ยิน เราได้ยิน หินร้องไห้
เราจึงไป เราจึงไป ใกล้ใกล้หิน
หินก้อนนั้น ณ บัดนั้น ก็พลันบิน
ไปจากดิน ไกลจากดิน เป็นดวงดาว

เพียงแค่คิดก็ถึงคือคิดถึง
เพียงแค่ซึ้งก็สื่อคือห่วงหา
เพียงแค่ดินคิดถึงก็ถึงฟ้า
ถึงลับตาคิดถึงก็ถึงใจ


กระทู้: รวมบทกวีของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์)
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 มิ.ย. 18, 22:01
ขุนน้ำนางนอน

ลูกชายแม่มุ่งหน้ามาหาแม่
มืดเหลือเกิน…มืดแท้…แม่อยู่ไหน
ลืมตา หลับตา ไม่เห็นใด
โอ้กระไร มีตา เหมือนไม่มี

ไม่รู้ทิศ รู้ทาง ให้ย่างเท้า
ไม่รู้เช้า รู้ค่ำ ย่ำอยู่ที่
ยะเยือกเยียบเฉียบฉ่ำร่ำวารี
ไยแม่ไม่ปรานี ลูกบ้างเลย

โอ้ ขุนน้ำนางนอน แม่นอนนิ่ง
มาทอดทิ้งอาทวา นิจจาเอ๋ย
ถิ่นถ้ำทึบอึบอับประกับเกย
ฟ้าดินเอย ช่างกระไร ไม่ดูแล

ล้วนลูกชายวัยใส หัวใจซื่อ
ร่วมใจถือใจมั่น อันแน่วแน่
หาญผจญด้นดั้น ไม่ผันแปร
หัวใจแม่จะขาดแล้ว อยู่รอนรอน

รินน้ำใจไหลต้าน เถื่อนธารถ้ำ
เถิดขุนน้ำ อย่าซ้ำกระหน่ำต้อน
ไหว้ผีปู่ ผีย่า ป่าดงดอน
อ้อนวอนแล้วอ้อนวอน…ขอลูกคืน !

 เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์