คัดเอาพระญาคางคากของล้านนา มาให้ครับผม ดังนี้
เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า พระโพธิสัตว์ได้ไปประสูติใต้เศวตฉัตรแห่งเมืองมิถิลานคร เป็นโอรสของท้าวราชบุญเรือง และพระนางสรีจันทา เสียแต่ว่า เกิดมาเป็นคางคกเท่านั้นเอง กระนั้นพระบิดามารดา ก็รักอย่างยิ่ง เหล่าปุโรหิตจึงถวายพระนามว่า “คันธฆาฏกกุมาร”
เมื่อคันธฆาฏกกุมารเจริญพระชันษาได้ ๑๖ ชันษา พบว่ามีความเฉลียวฉลาดเป็นอันมาก สามารถให้คำปรึกษาในราชกิจแก่พระบิดาได้อย่างมาก แต่เมื่อพระบิดาจะมอบราชสมบัติให้ คันธฆาฏกกุมาร ก็ยังไม่ยอมรับและได้ขอไปศึกษาวิชาความรู้เพิ่นเติมยังเมืองตักกศิลา จวบจนสำเร็จการศึกษา จึงกลับคืนสู่พระนคร
เมื่อคันธฆาฏกกุมารมีพระชันษา ๑๗ ชันษาแล้ว พระอินทร์ก็มีเทวบัญชาให้วิสสุกัมมเทวบุตรไปเนรมิตรปราสาทแก้วให้ ส่วนพระอินทร์ก็ไปนำเอานางแก้วจากอุตรกุรุทวีปมาให้เป็นชายา
จากนั้นคันธฆาฏกกุมารจึงกลับเพศจากคางคาก มาเป็นชายหนุ่มรูปงาม จึงอภิเษกกับนางแก้วจากอุตรกุรุทวีปและปกครองเมืองมิถิลาต่อจากพระบิดา
คันธฆาฏกกุมารปกครองบ้านเมืองด้วยความเที่ยงธรรมและเมตตาไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกันถ้วนหน้า ทำให้บ้านเมืองก้านกุ่งรุ่งเรืองทุกด้าน เป็นที่เลื่องลือไปไกล จนทำให้กษัตริย์น้อยใหญ่ ตลอดถึงนาคา เทวดา พระญาครุฑ ท้าวจตุโลกบาล ต่างก็นำเครื่องปัณณาการมาถวายไม่ขาด แม้กระทั้งเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ก็นำของมาถวายเช่นกัน แล้วพระอินทร์ ก็ได้นำธนูทิพย์ ดาบสรีกัญไชย และเกิบตีนทิพย์มาถวายคันธฆาฏกกุมาร เพราะได้แลเล็งเห็นการณ์ในภายภาคหน้าว่าจักเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
เป็นเหตุให้พญาแถนผู้มีหน้าที่ทำให้เกิดฝนตกลงลงมา ที่พำนักอยู่เมืองฟ้าแดนเขายุคันธรโกรธกริ้วเป็นอย่างมาก ที่เหล่านาค ครุฑ เทวดาทั้งหลายหันไปนิยมแลส่งเครื่องปัณณาการแก่คันธฆาฏกกุมาร แทนที่จะมานอบน้อมต่อพญาแถน พญาแถนจึงปิดกั้นก่อคันขอบสระโบกขรณีไม่ให้น้ำในสระ ตกลงมาเป็นฝนแก่เมืองคนแลบาดาลได้
สระโบกขรณีของพญาแถนนี้ กว้างได้หมื่นโยชน์ เวลาลมพัดผิวน้ำให้เป็นระรอกคลื่น หรือยามที่นาคทั้งหลายลงตีฟองคะนองเล่น ก็จะเกิดเป็นฝนหลดหยาดลงมาสู่โลกมนุษย์ นาคพิภพ และป่าหิมพานต์
เมื่อปิดกั้นสระโบกขรณีแล้ว ระลอกคลื่นฟองน้ำก็ไม่ได้กระเซ็นสาดหยาดลงมาเป็นฝนได้ ทำให้โลกมนุษย์แลบาดาลเกิดภาวะฝนแล้งติดต่อกันยาวนานถึง ๗ ปี
เหล่าไพร่ไทยทั้งหลายต่างเดือดร้อนกันอย่างหนักหน่วงพืชผลเสียหายเหลือคณานับ จึงพากันมาขอความช่วยเหลือจากคันธฆาฏกกุมาร เมื่อคันธฆาฏกกุมารสอบถามถึงสาเหตุจากบรรดานาคาทั้งหลายแล้ว จึงคิดจะไปขอร้องต่อพญาแถน หากไม่ยินยอมต่อข้อเสนอ หากถึงขั้นทำสงครามก็ต้องยอมทำสงครามกันล่ะ
บรรดานาค รี้พลคนเมืองชมพูทวีปทั้งหลาย ตลอดถึงสัตว์น้อยใหญ่ ต่างพร้อมใจช่วยกันสร้างทางไปเมืองแถน เมื่อถนนเสร็จสิ้น คันธฆาฏกกุมาร ก็นำพาริพลคนศึกทั้งหลายมุ่งหน้าสู่เมืองแถนทันที
คันธฆาฏกกุมารคืนเพศมาอยู่ในร่างของคากคาก หรือคางคกอีกครั้ง เดินทางเป็นเวลาเจ็ดเดือนก็จรดจอดรอดถึงเมืองแถน จึงได้ส่งสาส์นไปถึงพญาแถนให้ปล่อยน้ำเป็นฝนลงสู่โลกมนุษย์และบาดาล แต่แล้วก็เงียบหาย ไม่มีการติดต่อกลับมา จึงยิงปืนใหญ่เตือน พร้อมกันนั้นคันธฆาฏกกุมารจึงแผลงศรธนูทิพย์ตกยังสระโบกขรณี เกิดเป็นละอองหยดน้ำกระจายกลายเป็นฝนลงสู่โลกมนุษย์ติดต่อกันถึง ๗ วัน
เมื่อพญาแถนเห็นดังนั้นจึงยกไพร่พลโยธาออกมาประจัญศึก
การรบพุ่งระหว่างสองกองทัพกินเวลาถึง เจ็ดวันเจ็ดคืน
คันธฆาฏกกุมารจึงแผลงศรอีกครั้ง ครานี้กลายเป็นบ่วงบาศคาดรัดพญาแถน จนตกจากหลังช้าง จนพ่ายแพ้ในที่สุด
เมื่อจัดการกับพญาแถนแล้ว จึงนำพญาแถนเข้าเมือง แล้วสั่งให้ท้าวธตรฐะที่เป็นท้าวทั้งสี่อันรักษาด้านทิศตะวันออก ควบคุมเชื้อเครือวงศาพญาแถนไว้ทั้งหมด
ต่อมาบรรดาท้าวเสนาอามาตย์เมืองแถนขอสมมาคารวะต่อคันธฆาฏกกุมารแล้ว คันธฆาฏกกุมารจึงตรัสว่า
“ที่ตัวข้ามายังที่นี้ หาได้มีความต้องการครุบชิงเมืองหรือต้องการประหัสประหารด้วยความพอใจของเราไม่ หากแต่พญาแถนไม่ปล่อยน้ำฝนให้ตกลงสู่โลกมนุษย์แลบาดาลตามรีตคลองครรลองธรรม ทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทุกข์ยากสาหัสนัก เพื่อชาวเมืองผู้ทุกข์ยากเหล่านั้น ทำให้เราต้องมาร้องขอต่อท่าน แต่เมื่อท่านไม่สำนึกถึงสิ่งที่ท่านทำ เราถึงต้องใช้กำลังให้ท่านได้สำนึก” พญาแถนได้ยินดังนั้นจึงสำนึกผิดและได้ขอสมมาแก่คันธฆาฏกกุมาร
เมื่อคันธฆาฏกกุมารเห็นพญาแถนสำนึกผิดแล้วดังนั้นจึงกล่าวว่า “เมื่อท่านสำนึกแล้ว เราก็ยินดี และสัญญาว่าจะไม่กระทำดังที่ผ่านมาอีก ให้น้ำฝนหลั่งฟ้าชโลมดินสู่เมืองคนตามปกติวิสัย แล้วเราก็ขอให้ท่านกลับคืนสู่บัลลังก์ของท่านเถิด”
จากนั้นคันธฆาฏกกุมารก็ตรัสสั่งสอนพญาแถนและชาวเมืองแถนในข้อธรรมต่าง ๆ เป็นที่สาธุการแก่พญาแถนและประชากรทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง และน้อมถวายเครื่องสักการะปูชาอันวิเศษต่าง ๆ แด่คันธฆาฏกกุมารอย่างพร้อมมวล
รุ่งขึ้น คันธฆาฏกกุมารจึงพาริพลโยธากลับสู่พระนครมิถิลา พร้อมพรักเฉกเช่นเดียวกับตอนเดินทางสู่เมืองแถน ด้วยพระญาเวสสุวัณณ์ หนึ่งในท้าวทั้งสี่ผู้รักษาทิศเหนือ ได้ร่ายมนต์ชุบชีวิตผู้ที่เสียชีวิตจากการรบให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง
(( จาก
วัสสะพราวฟ้า สู่หล้าเมืองคน (๔) : การต่อสู้ของโพธิสัตว์แต่มีเรื่องที่ต่ออีกหน่อย หลังจากที่พระญาแถนแพ้และยอมแก่พระญาคางคากแล้วนั้น ก็บอกว่า หากยามใดต้องการน้ำฟ้าสายฝน ก็จุดบั้งไฟส่งสัญญาณขึ้นมา เลยทำกันมาเป็นประเพณีสืบเนื่องกันมา
...................
และประเพณีนี้ ก็ทำให้เกิดตำนานท้าวผาแดง - นางไอ่ ตามมาอีก