หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง กัมพูชาเริ่มเข้าสู่ระบอบการปกครองสมัยใหม่ คล้ายๆประชาธิปไตย คือปี ค.ศ. 1947 มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ที่ว่าคล้ายก็คือพระเจ้าสีหนุก็ยังเป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมรต่อไป พร้อมกับรวบอำนาจในการบริหารมาไว้ในกำมือได้อีกด้วย
ด้วยวิธีเหยียบเรือสองแคม คือเหยียบทั้งระบบรัฐสภา และระบบราชาธิปไตย ทำให้ในปีค.ศ. 1950 พระเจ้าสีหนุ ก็ทรงได้อำนาจสูงสุดทั้งสองแบบ คือนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของประเทศควบไปกับนั่งบัลลังก์กษัตริย์
อย่างไรก็ตาม การปกครองแบบนี้อาจเป็นที่ไม่ถูกใจนักการเมืองเขมรนัก จึงปรากฏผลว่าเมื่อมีเลือกตั้ง ในปี ค.ศ. 1951 เกิดผิดคาด พรรคประชาธิปไตยของเขมรได้รับคะแนนเสียงข้างมาก กลายเป็นรัฐบาล อำนาจไปอยู่ในมือนักการเมือง แทนที่จะอยู่กับพระเจ้าสีหนุ
พระเจ้าสีหนุหันไปขอความร่วมมือจากมิตรเก่าคือฝรั่งเศส ปีต่อมาคือ 1952 พระองค์ก็ประกาศยุบสมัชชาแห่งชาติในพนมเปญซึ่งอยู่ภายใต้พรรคประชาธิปไตยลง เท่านั้นยังไม่พอ ทรงประกาศใช้กฎอัยการศึก และยึดอำนาจกลับมาไว้ในมือโดยตรง นักการเมืองเขมรก็ตกงานไปตามๆกัน
อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกแล้วว่า ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทั้งๆฝรั่งเศสหนุนหลังพระองค์ให้กลับมามีอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้ง พระเจ้าสีหนุก็มองเห็นการเมืองระหว่างประเทศว่าฝรั่งเศสกำลังสะบักสะบอมจากทำสงครามกู้ชาติกับเวียตนาม ที่เดียนเบียนฟู
ถือว่าเป็นการสิ้นสุดของยุคอาณานิคม ฝรั่งไม่สามารถครอบงำอินโดจีนได้อีกต่อไปอย่างเมื่อก่อน
สิ่งที่พระเจ้าสีหนุใฝ่ฝันคือพาประเทศให้รอดพ้นจากการอยู่ใต้อำนาจของประเทศอื่น ก็ฉายแววขึ้นมาว่าจะเป็นจริง พระองค์ก็ทรงรุกหนักขึ้นมาทันที เรียกร้องเอกราชให้กัมพูชา ด้วยวิธีการต่างๆ ได้ผลไม่ได้ผลก็ทรงเรียกร้องอย่างหนัก ไม่มีการย่อท้อ
ในที่สุด ก็ได้ผล กัมพูชาได้รับอิสรภาพเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 พระองค์จึงทรงได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนอย่างสูงสุดในฐานะวีรบุรุษผู้ประกาศเอกราชให้กัมพูชา