"กรมขุนเดชเล่าท่านก็เป็นคนพระกรรณเบา ใครจะพูดอะไรท่านก็เชื่อง่าย ๆ จะเป็นใหญ่โตไปไม่ได้ กรมขุนพิพิธเล่าก็ไม่รู้จักการงาน ปัญญาก็ไม่สอดส่องไปได้ ท่านฟ้าน้อยเล่าก็มีสติปัญญารู้วิชชาการช่างและการทหารต่าง ๆ อยู่ แต่ไม่พอใจทำราชการ เกียจคร้านรักแต่การเล่นสนุกเท่านั้น ที่สติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่คนเดียว แต่รังเกียจอยู่ว่าท่านฟ้าใหญ่ถืออย่างมอญ ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้นก็จะให้พระสงฆ์ห่มผ้าอย่างมอญเสียหมดทั้งแผ่นดินดอกกระมัง กลัวเจ้านายข้าราชการเขาจะไม่ชอบใจ จึงได้อนุญาตให้ ตามใจคนทั้งปวงสุดแท้แต่จะเห็นพร้อมเพรียงกัน "[/i]
เจ้านาย ๔ องค์ที่รัชกาลที่ ๓ ออกพระนามมาล้วนแต่เป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่ยังมีพระชนม์อยู่ในตอนนั้น และอยู่ในข่ายที่จะสืบราชสมบัติได้
นอกจากท่านฟ้าน้อยซึ่งคือเจ้าฟ้ามงกุฎก็มี
-
กรมขุนเดช คือ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์มั่ง กรมขุนเดชอดิศร (สมัยรัชกาลที่ ๔ ได้เลื่อนกรมเป็นกรมสมเด็จพระเดชาดิศร) เป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไป และได้รับการยกย่องว่า
“ทรงพระปรีชารอบราชการ” กำกับกรมพระอาลักษณ์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ทรงมีผลงานสำคัญคือการชำระโคลงโลกนิติให้มีความไพเราะยิ่งขึ้น
-
กรมขุนพิพิธ คือ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ (สมัยรัชกาลที่ ๔ ได้เลื่อมกรมเป็น กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์) ทรงได้กำกับกรมพระนครบาลและกรมพระคชบาลซึ่งเป็นกรมใหญ่ ทำให้ทรงมีข้าไทในสังกัดจำนวนมาก ทรงโปรดปรานทางการดนตรีและละคร กล่าวกันว่าในสมัยนั้นกระบวนรำของละครของกรมขุนพิพิธนั้นงามที่สุด
ตอนเกิดคดีหม่อมไกรสร หม่อมไกรสรบอกกับตุลาการว่า
"คิดอยู่ว่าถ้าสิ้นแผ่นดินไปแล้ว ก็จะไม่ยอมเป็นข้าของใคร" คือหลังสิ้นแผ่นดินพระนั่งเกล้าฯ ตนจะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และเมื่อตุลาการถามว่าจะยกเจ้านายพระองค์ไหนเป็นวังหน้า หม่อมไกรสรตอบว่า
"คิดอยู่ว่าจะเอากรมขุนพิพิธภูเบนทร์" แม้ว่าจะไม่ปรากฎว่ากรมขุนพิพิธจะร่วมมือกับหม่อมไกรสร แต่น่าจะทรงถูกเพ่งเล็งอยู่ไม่น้อย และนอกจากนี้ยังทรงเป็นเจ้านายกำกับกรมใหญ่ มีข้าในสังกัดจำนวนมาก
ปลายรัชกาลกรมขุนพิพิธภูเบนทร์จึงทรงระแวงขึ้นมาว่าพระองค์จะโดนอย่างหม่อมไกรสร ซึ่งสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ในพระนิพนธ์ความทรงจำว่า
"เมื่อเวลาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรอยู่นั้น มีเรื่องเนื่องกับเหตุที่จะเปลี่ยนรัชกาลที่เกิดขึ้นหลายเรื่อง ด้วยเมื่อตอนปลายรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงตั้งเสนาบดี ปล่อยให้ตำแหน่งว่างอยู่หลายกระทรวง ตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินต่อไปจะได้ตั้งตามพระราชหฤทัย ทางฝ่ายเจ้านายในตอนนี้ ตั้งแต่สำเร็จโทษหม่อมไกรสรแล้ว ก็ไม่มีต่างกรมพระองค์ใดมีกำลังและอำนาจมาก ทั้งพากันหวาดหวั่นเกรงจะต้องหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงอยู่แทบทั้งนั้น อำนาจในราชการบ้านเมืองตอนปลายรัชกาลที่ ๓ จึงตกอยู่ในเจ้าพระยาพระคลัง(๒๙) ซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงพระคลังคน ๑ กับพระยาศรีพิพัฒนฯ(๓๐)
เมื่อตอนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแรกประชวร แม้รู้กันอยู่ว่าจะไม่กลับคืนดีได้ ท่านทั้ง ๒ ก็ยังไม่ปรารภถึงกรณีที่จะเปลี่ยนรัชกาลเพราะเกรงพระราชอาญา ด้วยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังว่าราชการแผ่นดินอยู่ แต่การที่ท่านผู้ใหญ่ทั้ง ๒ นิ่งเฉยอยู่นั้น ต่อมาเป็นเหตุให้เกิดระแวงหวาดหวั่นกันไปต่างๆ ถึงกรมขุนพิพิธภูเบนทร์เรียกระดมพวกข้าในกรมเข้ามารักษาพระองค์ ด้วยเกรงจะถูกจับเหมือนหม่อมไกรสร เจ้าพระยาพระคลังทราบความจึงปรึกษากับพระยาศรีสุริยวงศ์(๓๑) ซึ่งเป็นบุตรคนใหญ่และเป็นผู้เฉียบแหลมในราชการยิ่งกว่าผู้อื่นในเวลานั้น พระยาศรีสุริยวงศ์รับจัดการแก้ไข ให้ไปเอาทหารบรรทุกเรือขึ้นมาจากปากน้ำ แล้วไปทูลกรมขุนพิพิธภูเบนทร์ให้ปล่อยข้าในกรมไปเสียให้หมด กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ก็ต้องทำตาม"ข้าไทของกรมขุนพิพิธภูเบนทร์นั้นมีมากจนวังของพระองค์ในเชิงสะพานหัวจระเข้ไม่พอให้อยู่ ต้องให้ออกไปอาศัยที่ตามศาลาวัดพระเชตุพนด้วย พระยาศรีสุริยวงศ์ไปเฝ้ากรมขุนพิพิธภูเบนทร์ ทูลว่าบิดาให้มาทูลถามว่าที่ระดมผู้คนเข้ามาไว้มากมายเช่นนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ตรัสตอบว่า ด้วยเกรงอันตราย จึงเรียกคนมาไว้ป้องกันพระองค์ พระยาศรีสุริยวงศ์จึงทูลว่า บิดาของท่านกับเสนาบดีช่วยกันรักษาราชการบ้านเมืองให้เป็นปกติอยู่ ไม่มีเหตุอันสมควรจะทรงหวาดหวั่นเช่นนั้น ขอให้ไล่คนกลับไปเสียให้หมดโดยเร็ว มิฉะนั้นจะให้ทหารมาจับเอาคนเหล่านั้นไปทำโทษ กรมขุนพิพิธภูเบนทร์ก็จนพระหฤทัยต้องปล่อยให้คนกลับไป
-
ท่านฟ้าน้อย คือ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้บังคับบัญชากรมทหารแม่ปืนหน้า ปืนหลัง และญวนอาสารบ แขกอาสาจาม ทรงสนพระทัยในวิทยาการชาติตะวันตกหลายแขนงโดยเฉพาะเรื่องการทหาร และทรงอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดี แต่พระอัธยาศัยเป็นไปตามที่รัชกาลที่ ๓ ทรงกล่าวคือพอพระทัยแต่จะเล่น ไม่ค่อยโปรดทำราชการ ไม่ทรงถือพิธีรีตอง แม้ว่าจะทรงมีศักดิ์เป็นพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๔ ก็ตาม