เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: naitang ที่ 05 มิ.ย. 12, 19:41



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 มิ.ย. 12, 19:41
กระทู้นี้ คงจะเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่ได้พบเห็นมาในช่วงของชีวิตการทำงานที่ได้มีโอกาสเดินทางไปในที่ต่างๆ  และก็ขอเชิญสมาชิกทุกท่านร่วมวงเล่าประสบการณ์และความรู้ต่างๆที่ได้พบเห็นมาด้วยครับ

เคยได้ยินคำเปรียบเปรยเกี่ยวกับคณะนักท่องเที่ยวไทยว่า  “ขึ้นเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แยกเป็นหลง ลงเป็นซื้อ”  และอีกวลีหนึ่งว่า  “ชะโงกทัวร์”
ผมชอบคำเปรียบเปรยข้างต้นนี้มาก เพราะตรงกับความจริงที่ปรากฎ   

เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้ไป ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน

เมื่อเราจะเริ่มเดินทางกัน จึงจะขอเริ่มที่เรื่องของ หนังสือเดินทาง หรือ Passport

หนังสือเดินทางนั้น คือเอกสารที่ทางราชการของประเทศต่างๆออกให้กับบุคคลใดๆ (เสมือนหนึ่งเป็นบัตรประจำตนของบุคคลนั้นๆ) เพื่อใช้ในการเดินทางไปมาระหว่างประเทศต่างๆ โดยมีข้อมูลสำคัญ คือ ชื่อ รูปร่าง หน้าตา วันเดือนปีเกิด เพศ และสถานที่เกิด
หนังสือเดินทางของประเทศใดๆที่ออกให้กับบุคคลใดๆนี้ มิได้แสดงว่าผู้ถือหนังสือเดินทางนั้นจะต้องมีถิ่นพำนักอยู่ในประเทศที่ออกหนังสือเดินทางให้ และก็มิได้หมายความว่าผู้ถือหนังสือเดินทางนั้นๆ จะสามารถเดินทางเข้าประเทศที่ออกหนังสือเดินทางนั้นให้ได้อีกด้วย

หนังสือเดินทางมีหลายรูปแบบและมีได้หลายสี เช่น ของไทยใช้สีน้ำตาลสำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไป  (Ordinary Passport) ใช้สีน้ำเงินสำหรับข้าราชการที่เดินทางไปในภารกิจหรือทำหน้าที่ทางราชการ (Official Passport ) และสีแดงสำหรับเจ้าหน้าที่ทางการทูตหรือบุคคลระดับรัฐมนตรีขึ้นไป (Diplomatic Passport) 
รูปแบบอื่นๆของหนังสือเดินทาง มีอาทิ หนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport ) ใช้สำหรับกรณีตัวจริงหายในระหว่างการเดินทาง  หนังสือเดินทางสำหรับครอบครัว (พ่อ แม่ ลูก) ซึ่งผู้ถืออาจจะใช้เดินทางผู้เดียวได้ แต่คนในครอบครัวไม่สามารถใช้ได้ จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ถือร่วมเดินทางไปด้วย (Family Passport)  และหนังสือเดินทางสำหรับกลุ่มคน (Group หรือ Collective Passport) ใช้ในกรณีเช่นคณะนักเรียนนักศึกษาเดินทางเป็นกลุ่มไปยังประเทศใดประเทศหนึ่ง
สำหรับข้าราชการที่ลาไปเรียนนั้นอาจจะได้รับหนังสือเดินทางแบบบุคคลธรรมดา แต่จะมีการประทับคำว่า Gratis  เพื่อให้ทราบว่าเป็นคนของภาครัฐ แต่มิได้เดินทางในลักษณะการปฎิบัติหน้าที่ของรัฐ

เมื่อหนังสือเดินทางหายในระหว่างการเดินทาง สิ่งแรกที่ต้องกระทำคือ แจ้งสถานกงสุล หรือสถานทูต ซึ่งจะออกหนังสือเดินทางชั่วคราวให้ ซึ่งสำหรับของไทยนั้นมักจะออกหนังสือสำคัญที่เรียกว่า CI (Certificate of Identity) เพื่อให้สามารถเดินทางกลับบ้านได้     หนังสือเดินทางชั่วคราวและ CI นี้ไม่สามารถจะใช้เดินทางต่อเนื่องไปประเทศอื่นๆได้ เนื่องจากจะไม่ปรากฎตราประทับวีซ่าของประเทศที่จะเดินทางต่อไป  (จะยกเว้นก็กรณีการเดินทางในยุโรปที่ป็นเขต Schengen)  โดยหลักก็คือ เพื่อเดินทางตรงกลับบ้านสถานเดียว ซึ่งโดยนัยก็คือ จะได้ไม่ไปลอยเคว้งเป็นบุคคลไร้สัญชาติ ไร้ที่อยู่ กลับเข้าประเทศบ้านเกิดของตนเองก็มีปัญหายุ่งยาก

เรื่องหนังสือเดินทางหายนี้ เป็นกรณีที่เกิดเป็นประจำ  ฝ่ายนักท่องเที่ยวก็คงจะต้องบ่นว่าทำไมฝ่ายรัฐจึงยุ่งยากวุ่นวายมาก คล้ายกับไม่ให้บริการ   
ข้อเท็จจริงบางประการก็คือ การแจ้งหายนั้นไม่เป็นความจริงในหลายๆกรณี   มีตั้งแต่ขายหนังสือเดินทางให้คนต่างชาติ   แอบหลบทำงานแล้วถูกนายจ้างยึดหนังสือเดินทางเป็นประกัน (ต้องการกลับบ้าน เพื่อไปทำหนังสือเดินทางใหม่ แล้วก็กลับมาใหม่)  ฯลฯ
เคยต้องช่วยกรณีหนังสือเดินทางของคนของฝ่ายรัฐหาย  ดูก็เป็นเรื่องปรกติ  แต่ที่ไม่ปรกติก็คือ ในประวัติ (ข้อมูล) ได้หายมาหลายครั้งแล้ว  สุดท้ายเมื่อได้รับเล่มใหม่แล้ว ก็แจ้งว่าหาเจอแล้ว  ผมคิดว่าคนในระดับผู้บริหารที่เดินทางบ่อยเช่นนี้คงจะต้องหน่อมแน้มเอาการทีเดียว  เฮ้อ...ได้แต่ปลง
ก็คงจะต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่บ้างในเรื่องเช่นนี้ มิฉะนั้นเราก็จะมีคนไทยเถื่อนเต็มไปหมด ถือหนังสือเดินทางไทยอยู่ในประเทศไทยยังพูดไทยไม่ได้สักคำก็มีมากมายอยู่มิใช่หรือ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 มิ.ย. 12, 20:54
ต่อเรื่องหนังสือเดินทางอีกเล็กน้อย  เพื่อจะได้มีความเข้าใจครับ
ด้วยความมีจริยธรรม ข้าราชการที่เดินทางไปท่องเที่ยวส่วนตัวก็ควรจะต้องไม่ใช้หนังสือเดินทางราชการ (Official Passport) และหากมิใช่นักการทูตไปในราชการทางการทูตก็มิควรจะใช้หนังสือเดินทางทางการทูต (Diplomatic Passport) ใช่ใหมครับ

ในโลกของความเป็นจริงนั้น  อาจจะไม่ต้องของวีซ่าเข้าในหลายประเทศหากใช้หนังสือเดินทางของบุคคลธรรมดา แต่อาจจะต้องขอวีซ่าหากใช้หนังสือเดินทางราชการและหนังสือเดินทางเจ้าหน้าที่ทางการทูต และก็เป็นไปในทำนองกลับกัน

ความต่างก็มีอยู่บ้างเมื่อเดินทางถึงประเทศนั้นๆ คือ จะมีการจัดช่องเฉพาะสำหรับหนังสือเดินทางทางการทูตแยกออกไป แต่สำหรับหนังสือเดินทางอื่นๆนั้นจะใช้ช่องเดียวกัน ความสะดวกสะบายก็ต่างกันตรงที่ไม่ต้องรอนานเท่านั้น และก็อาจจะไม่ถูกซักถามมากหรือไม่มีการซักถามจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง

หนังสือเดินทางการทูตหรือที่เราเรียกกันว่า Passport แดงนั้น มิได้หมายความว่าบุคคลนั้นๆจะได้รับสิทธิ์หรือการยกเว้นใดๆ ผู้ได้รับเอกสิทธิ์ทางการทูต (Immune) นั้น มิใช่ฝ่ายรัฐผู้ออกหนังสือเดินทางเป็นผู้ให้ ผู้ให้เอกสิทธิ์คือรัฐฝ่ายรัฐที่เราเดินทางเข้าไป ซึ่งเขาจะพิจารณาให้เป็นคนๆไป ซึ่งในแต่ละปีจะมีรายชื่อประกาศและปรากฎอยู่ในหนังสือ Diplomatic List ของแต่ละประเทศ ซึ่งบุคคลในรายชื่อเหล่านั้นก็จะต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของเขา เพียงแต่ว่าอยู่นอกอำนาจศาลของเขาเท่านั้น  เอาเป็นว่าจอดรถในที่ห้ามก็ถูกใบสั่งได้เหมือนกัน ทำผิดมากๆ วุ่นวายกับเขามากๆ เขาก็ขอให้เอากลับไป เขาถอนเอกสิทธิ์ได้
 
การใช้หนังสือเดินทางราชการและทางการทูตจึงต้องใช้ด้วยความรู้สึกและด้วยการปฏิบัติที่รักในเกียรติภูมิ เกียรติศักดิ์ รักในศักดิ์ศรีของประเทศชาติ และมีความภูมิใจในประเทศของตน 


 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 มิ.ย. 12, 21:15
ถัดมาจากเรื่องหนังสือเดินทาง ก็มาถึงเรื่องของวีซ่า (VISA)

วีซ่า ก็คือ การอนุญาตให้บุคคลใดๆเข้ามาในเขตอาณาของตนได้ 
วีซ่าเป็นเรื่องของงานทางมหาดไทย (Interior affairs) ที่ไปฝากไว้กับงานกงสุลของสถานทูต เป็นเรื่องของการอนุญาตเบื้องต้นให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเดินทางเข้าประเทศของตนได้ ซึ่งเมื่อบุคคลนั้นๆเดินทางมาในเขตอาณาแล้ว ก็อาจจะถูกปฏิเสธโดยฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) ไม่อนุญาตให้เข้าเมือง (แม้จะได้รับวีซ่ามาแล้วก็ตาม)

วีซ่าจึงเป็นอีกเรื่องที่ควรทราบ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 มิ.ย. 12, 01:58
จำได้ว่าหนังสือเดินทางสมัยไปเรียนหนังสือในต่างแดน เป็นเล่มสีน้ำเงิน
ต่อมาเมื่อไปต่างประเทศอีกหลายครั้ง  แต่ไม่ได้ไปเรียน   หนังสือเดินทางเปลี่ยนเป็นชนิดสีน้ำตาล   ก็ยังใช้มาจนทุกวันนี้  

ทำหนังสือเดินทางที่กรุงเทพไม่ยากเลย  ขอชมแผนกหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศว่าอำนวยความสะดวกได้ดี   แม้ว่ามีคนไปขอหนังสือเดินทางกันแน่นขนัดก็ตาม  ก็ทำได้รวดเร็วลื่นไหลพอใช้  ไม่รู้สึกว่านานจนอึดอัด

ส่วนวีซ่า  ถ้าไปทัวร์ก็ไม่มีปัญหา บริษัททำให้เสร็จ  ไม่ต้องยุ่งยากก  ถ้าไปเองเป็นส่วนตัวถึงต้องไปขอวีซ่าเอง   การไปอังกฤษตอนนี้มีบริการรับทำวีซ่า ทำให้สะดวกขึ้นมาก  แค่ไปยื่นหลักฐานที่บริษัทเขาให้เขารับเรื่อง  จากนั้นเขาก็ติดต่อสถานทูตเอง   เราไม่ต้องไปยืนเข้าคิวอยู่หน้าและในสถานทูตอย่างเมื่อก่อน  
นัดวันเสร็จ  พอได้วีซ่าเรียบร้อยก็ไปรับจากบริษัทมาได้เลย  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 มิ.ย. 12, 08:20
ประเทศไปยากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา  จำได้ว่าต้องไปเข้าคิวแต่เช้าตรู่อยู่หน้าสถานทูต    ครั้งแรกไปขอแบบฟอร์มที่ต้องกรอกละเอียดยิบ กรอกยากกรอกเย็นอะไรยังงั้นก็ไม่รู้   พร้อมหลักฐานสำคัญอีกเพียบ   จากนั้นก็ต้องไปเข้าคิวอีกครั้งเพื่อไปยื่นเรื่อง  หลักฐานที่เรามีจะทำให้ทางสถานทูตมั่นใจว่า ยังไงเข้าประเทศเขาแล้วก็กลับออกมาแน่   ไม่หลบหนีหายเข้าไปเป็นโรบินฮู้ดอยู่ในประเทศเขา

เรื่องนี้จะโทษพี่กันก็ไม่ได้  เห็นใจเขาอยู่เหมือนกันว่าคนไทยจำนวนหนึ่งทำเสียชื่อประเทศไทย ด้วยการขอวีซ่าเข้าไปได้แล้วก็หลบหนีไปทำงานที่นั่น   เครดิตของเราจึงเสียไป ทำให้คนไทยที่ตั้งใจไปเรียน หรือไปธุระต่างๆอย่างตรงไปตรงมาพลอยลำบากถูกเพ่งเล็งไปด้วย

เรื่องหลบหนีเข้าเมืองด้วยวิธีต่างๆ  ยังมีอยู่จนทุกวันนี้   2-3 ปีก่อนระหว่างแวะนั่งกินกาแฟสตาร์บั๊คอยู่ในร้านเล็กๆ เจอสาวไทยที่แต่งงานกับคนอเมริกันเข้ามาทักทายว่าเป็นคนไทยด้วยกันใช่ไหม    คุยกันไปมาตามประสา  เธอก็เล่าว่า ไม่นานมานี้มีคนไทยที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอเมริกานานแล้ว ถึงแก่กรรม   ญาติพี่น้องทางประเทศไทยก็ทำวีซ่าขอมาร่วมงานศพ เป็นการแสดงความอาลัยครั้งสุดท้ายต่อผู้ตาย   ทางสถานทูตสหรัฐก็เห็นใจ  ตกลงประทับตราให้เข้ามา
พอเข้ามาได้  ญาติพวกนั้นถือโอกาสไม่กลับบ้านเลย   กลายเป็นหลบหนีเข้าเมืองมาหางานทำที่นี่ ทิ้งหนังสือเดินทางไปดื้อๆ   เอาเป็นว่าทางการเขาจับได้เมื่อไร ส่งตัวกลับ ก็ค่อยกลับกันตอนนั้น

ส่วนบางประเทศเช่นญี่ปุ่น ได้ข่าวว่าไม่ต้องทำวีซ่า    ชาวญี่ปุ่นไปไหนมาไหนได้ทั่วโลกตามสบาย
ไต้หวัน ก็ได้ข่าวว่าปีหน้า ชาวไต้หวันจะเข้าอเมริกาได้โดยไม่ต้องทำวีซ่าแล้ว   แสดงว่าเครดิตเขาดีมาก
ส่วนของเรา  เห็นจะต้องรออีกนาน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 มิ.ย. 12, 08:23
หนังสือเดินทางไทย แบบต่างๆ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 มิ.ย. 12, 08:24
รูปถ่าย และรายละเอียดของผู้ถือหนังสือเดินทาง    ขึ้นเครื่องบินเมื่อไร  ก็ต้องเปิดกรอกแบบฟอร์มกันทั้งขาไปขากลับ   ที่ต้องกรอกแน่ๆคือ เลขที่หนังสือเดินทาง  ออกที่ไหน  ประเทศอะไร  วันเดือนปีเกิดฯลฯ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 มิ.ย. 12, 20:40
ขอบพระคุณครับ สำหรับรูปประกอบของคุณเทาชมพู

วีซ่ามีอยู่มากมายหลายประเภท (หลาย Category)  ที่เรารู้จักคุ้นๆกัน คือ วีซ่าประเภทนักท่องเที่ยว (Tourist Visa) ประเภทนักธุรกิจ (Business Visa) และประเภทนักเรียน (Student Visa) และที่ไม่ค่อยจะได้ยินกัน มีอาทิ วีซ่าออกนอกประเทศ (Exit Visa) (ในบางประเทศจะต้องมีการขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศ) วีซ่าสำหรับการเดินทางที่ต้องผ่านบางประเทศเพื่อไปยังอีกประเทศ (Transit Visa) วีซ่านักการทูต (Diplomatic Visa)  และ Visa on arrival ซึ่งมาขอที่สนามบินเมื่อเดินทางมาถึงแล้ว และอื่นๆอีกมากมาย

ดังที่ได้เล่าแล้วว่า ได้วีซ่าแล้วก็มิได้หมายความว่าเมื่อเดินทางไปถึงประเทศนั้นแล้ว ตม.จะอนุญาตให้เข้าประเทศนั้นได้ วีซ่าที่ได้มาจากสถานทูตของประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น เป็นเพียงการกรองบุคคลขั้นต้น ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงปลายทาง ตม.อาจพิจารณาไม่ให้เข้าหรือให้เข้าด้วยข้อจำกัดบางอย่างด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องไปต่อเถียงกับเขาเลย   ในภาพรวมง่ายๆก็คือ เมื่อเขารู้สึกว่าบุคคลนั้นๆมีบุคลิกลักษณะท่าทางและอะไรก็ตามที่ส่อถึงการปิดบังอำพรางเจตนารมภ์ที่แท้จริงในการเดินทางเข้าประเทศของเขา
จึงมีมากมายหลายคนที่มีวีซ่าแต่ก็ไม่คิดที่จะเดินทางไปจริงๆยังประเทศเหล่านั้น
ด้วยเหตุผลหลายประการ หลายประเทศจึงมีความเข้มงวดมากในการออกวีซ่าให้กับบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแหล่งขุดทองทำมาหากิน เป็นแหล่งลี้ภัยหรือหนีความยากจน หรือการให้ได้มาซึ่งวีซ่าของประเทศเขาเพื่อเหตุผลทางการเมือง ฯลฯ  จึงไม่ต้องแปลกใจที่เพราะเหตุใด ในใบแบบฟอร์มขอวีซานั้นจึงมีรายละเอียดหยุมหยิมไปหมด    inter alia : เรื่องที่อยู่ เรื่องญาติสนิทที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เรื่องการเรียกร้องค่าใช้จ่ายในกรณีต่างๆ ผู้รับประกันหรือหนังสือรับรอง เรื่องวัตถุประสงค์ในการเดินทาง เรื่องหนังสือเชิญ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องติดยา เรื่องคดีความ เรื่องเคยไปมาแล้วหรือไม่ เรื่องที่พัก เรื่องกำหนดวันเดินทางไปและกลับ เรื่องจะไปทำอะไรจะไปทีใหนบ้าง  ฯลฯ สารพัดเรื่องจริงๆ แถมยังไม่พอ ต้องขอพบตัวเพื่อสัมภาษณ์ก็มี 
การยื่นขอวีซ่าด้วยตนเองเพื่อเดินทางแบบอิสระนั้น จึงจัดได้ว่าเป็นเรื่องยากกว่าการให้บริษัททัวร์ยื่นขอ เนื่องจากโปรแกรมของการทัวร์นั้นมีความชัดเจน มีผู้รับผิดชอบแทบจะในทุกกรณี  อย่างไรก็ตามบางครั้งคนในคณะทัวร์ไม่ได้รับวีซ่าก็มี   

วีซ่าที่ได้มานั้น ทั้งหมดจะมีการกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลา เช่น มีผลจากวันใหนถึงวันใหน เป็นการอนุญาตให้ใช้เพื่อการเข้าได้เพียงครั้งเดียว (single entry) หรือเข้าได้หลายครั้ง (multiple entry) และภายในช่วงระยะเวลาใด เหล่านี้เป็นต้น   ที่เราไม่ค่อยจะได้อ่านในรายละเอียดกันในวีซ่าแต่ละประเภทนั้น ก็คือเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ห้ามทำงานในระหว่างอยู่ในประเทศของเขา ฯลฯ เป็นต้น

เมื่อถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ตม.ก็จะเป็นผู้พิจารณาอนุญาตอีกว่าจะให้อยู่ในประเทศเขาได้กี่วัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 01:42
ต.ม.ในแต่ละประเทศเป็นหน่วยงานที่คนจำนวนมากไม่อยากเจอ  ต่อให้รู้ว่าตัวเองไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเลยในการเข้าประเทศนั้นๆก็ตาม    เพราะพวกนี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างคุณตั้งว่า คือสามารถสั่งให้เราหมดสิทธิ์เข้าประเทศเขาได้ทันทีโดยไม่ต้องฟังคำอธิบาย 

หลานของเพื่อนเป็นนักเรียนไทย   กลับไปเยี่ยมบ้าน  แต่ลืมดูไปว่าวีซ่านักเรียนเกือบจะหมดอายุแล้ว   พอเดินทางกลับมา ต.ม.เห็นวีซ่าจวนขาดอายุ ก็สั่งห้ามเข้าประเทศ   ลงจากเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงต้องหาทางนั่งเครื่องบินกลับไทย

ตม.ดุที่สุดที่เคยเจอคือตม.ของแอล.เอ   ส่วนใหญ่ที่ดุมากๆคือคนอเมริกันเชื้อสายเมกซิกัน   พวกนี้มักจะเข้มงวดกับคนต่างชาติโดยเฉพาะคนไทย   ตวาดเอ็ดตะโรอย่างไม่เกรงใจก็เรื่องหนึ่ง   ซักไซ้ไล่เลียงจับผิดถี่ยิบก็อีกเรื่อง     ถ้าเลือกได้ดิฉันจะไปลงที่ซีแอตเติ้ลมากกว่า เพราะเจ้าหน้าที่ตม.ที่นั่นสุภาพ  ซักถามอะไรก็พูดกันดีๆ   บริการเป็นมิตรอีกด้วย    แถมคิวก็ยังไม่แน่น  ไม่กี่นาทีก็ผ่านแล้ว     แต่ที่จำต้องไปแอล.เอ. ก็เพราะนั่งเครื่องไปซีแอตเติ้ลเป็นทางอ้อม กินเวลาเดินทางนานกว่าหลายชั่วโมง   ก็เลยต้องผจญกับตม.แอล.เอ.ต่อไป

ตม. ไทยสมัยก่อนก็ไม่ใช่ย่อย  เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน    เคยเจอทั้งชายและหญิงที่กร่างมาก   ตวาดคนไทยราวกับเป็นขี้ข้า   เหมือนผู้ที่ไปต่างประเทศเป็นผู้ทำผิดคิดร้ายอะไรมา    แต่เดี๋ยวนี้ชุดนั้นคงล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว  ตม.ปัจจุบันตรวจหนังสือเดินทางด้วยมารยาทดี   ไม่มีปัญหาอะไร


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: tidlek ที่ 07 มิ.ย. 12, 02:54
จากเมนูอาหารป่า มาเป็นเก็บตกมาจากการเดินทาง
ตามมาอ่านอยู่นะครับ

ได้เคยมีโอกาสเดินทางโดยเครื่องบินไปประชุมที่ประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องไปทำหนังสือเดินทางซึ่งก็เป็นไปตามปกติ
เมื่อถึงวันเดินทางก็ต้องผ่าน ต.ม.ความที่เป็นครั้งแรกในชีวิตก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ด้วยไม่รู้ว่าตามขั้นตอนต้องทำอะไรบ้าง เมื่อคนข้างหน้าซึ่งอยู่ในคณะเดียวกันเข้าไปที่เคาเตอร์ของ ต.ม.จึงเดินตามเข้าไปและยื่นหน้าเข้าไปดู เจ้าหน้าที่ ต.ม.ต้องบอกให้ถอยกลับไปยืนรอตรงจุดยืนรอที่ทาสีดำเป็นรูปพื้นรองเท้าไว้ เพราะว่าจะต้องบันทึกภาพทีละคนด้วย นึกถึงทีไรก็ขำตัวเองตื่นเต้นจนไม่ได้มองอะไรให้ถี่ถ้วน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 มิ.ย. 12, 06:27
เพื่อนผมคนหนึ่งภรรยาเป็นคนเยอรมันมีลูกชายด้วยกันอยู่ที่โน่น ครั้งหนึ่งพ่อมาเมืองไทยลูกชายอายุสิบขวบสั่งให้เอาลูกงูเหลือมกลับไปฝาก เขาก็หาได้ตัวนึงยาวสักสองศอก เอาใส่ถุงผ้ามัดปากให้มันขดอยู่ในกระเป๋าเดินทางโหลดขึ้นเครื่องไป ถึงโน่นผ่านต.ม. มาที่ศุลกากร เมื่อก่อนโน้น แม้ยังไม่มีเครื่องเอกซเรย์ ปกติทางยุโรปก็ไม่ค่อยจุกจิกเรื่องตรวจรื้อกระเป๋านักเดินทางทุกใบเหมือนทางเอเซีย แต่เขาก็ใช้วิธีสุ่ม ชี้เอากระเป๋าใบนั้นของเพื่อนให้ยกขึ้นมาบนแท่นแล้วเปิดให้ดู เอามือล้วงควานไปใต้เสื้อผ้าเจอถุงดังกล่าวเข้าก็เอามือบีบๆ ถามเพื่อนผมว่าเอาอะไรมา เพื่อนบรรยายให้ฟังว่าอากาศบนเครื่องบินในห้องเก็บกระเป๋าคงหนาวมาก งูมันขดตัวแข็งทื่อไม่กระดุกกระดิก ก็จึงรีบตอบไปว่าไส้กรอก เขาก็พยักหน้าแล้วส่งสัญญาณมือให้ปิดกระเป๋า รอดฉากหวาดเสียวไปอย่างฉิวเฉียด

เขาเล่าเรื่องงูตัวนี้ต่อไปอย่างสนุกสนาน มันกลายเป็นสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน อยู่มาจนฤดูหนาววันหนึ่งมันหายไป ช่วยกันหาทั่วห้องก็ไม่เจอ บังเอิญมองไปเห็นหน้าต่างบานหนึ่งแง้มอยู่ เลยเปิดออกมองลงไปข้างล่าง พบว่ามันนอนเด่นไม่ไหวติงอยู่บนหิมะที่ขาวโพลน ทุกคนรีบวิ่งลงไปดู เข้าใจว่ามันตายแล้ว เพราะแข็งโป๊กไปหมดทั้งตัว ลูกชายร้องห่มร้องไห้ใหญ่โต เพื่อนบอกว่าเขาหยิบมันขึ้นมาเป็นท่อนเหมือนหยิบไม้เท้าคดๆของพระฤาษี แต่สังเกตุตามันดูเหมือนยังมีชีวิต เลยเอาไปวางอังไออุ่นไว้เหนือเตาผิงห้องนั่งเล่น  สักพักใหญ่ๆ มันจึงค่อยๆขยับตัวได้แล้วเลื้อยลงมาเอง

เอ...นี่ไม่รู้ว่าผมเขียนลงผิดกระทู้หรือเปล่า หรือว่าควรจะไปลงไว้ที่กระทู้ว่าด้วยอาหารป่า


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 08:29
เอ...นี่ไม่รู้ว่าผมเขียนลงผิดกระทู้หรือเปล่า หรือว่าควรจะไปลงไว้ที่กระทู้ว่าด้วยอาหารป่า

กระทู้ "สัตว์ประหลาด" (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3296.msg90206#msg90206) ก็คงพอได้

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 08:52
ถ้าอนาคตของเจ้างูเหลือมตัวนั้นกลายเป็นงูเหลือมผัดเผ็ด  ก็คงจะย้ายไปลงกระทู้อาหารป่าได้ค่ะ  :)

กระทู้นี้เป็นการคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน แบบเบาๆ อย่างที่คุณตั้งบอกไว้ในค.ห.แรก   เพราะฉะนั้นจะเลี้ยวไปทางไหนก็ถือว่าไม่ออกนอกทาง  ขอให้เกี่ยวกับการเดินทางก็พอ
เรื่องที่จะเล่าตอนนี้  ขอเหมาว่าอยู่ในหัวข้อก็แล้วกัน   เพราะไม่รู้จะเอาไปลงกระทู้ไหนอีก  ยังไงก็ถือว่ามันเกิดขึ้นตอนเดินทางมาที่นี่( แก๊งค์ลูกน้ำยังไม่ออกมาทายกันสักคน ว่าที่ไหน)
 
วันนี้ออกไปเก็บภาพดอกไม้สวยๆจะมาฝากชาวเรือนไทย     ตอนออกไปฟ้าใส แดดดี    สักพัก  มองไปทางภูเขาเห็นทิวเมฆชักก่อตัวเหนือยอดเขา  ยังปรารภว่านั่นคงเป็นฝนตกบนภูเขาแน่ๆ   ดีที่เราไม่ได้ขึ้นไปเที่ยวกัน
สักพัก   เมฆฝนเคลื่อนตัวมาเหนือท้องทุ่ง   อย่างในภาพนี้ละค่ะ

ถ้าเป็นฟ้าของประเทศไทย  มืดคลุ้มฝนแบบนี้ไม่แปลกเพราะไทยอยู่ในเขตมรสุม  แต่ที่นี่นับว่าไม่ปกติธรรมดา    เมฆหนาหนักจนฟ้ามืดไปหมดแบบนี้ ไม่ใช่อากาศประจำของที่นี่



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 08:56
ขากลับ   ฟ้ากว้างถูกคลุมด้วยเมฆมืด ที่ไม่ใช่เมฆฝนธรรมดา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 09:07
กลับมาถึงบ้าน จึงรู้ว่าพายุทอร์นาโด(หรือที่นี่ออกเสียงว่าทอร์เนโด) กำลังมุ่งหน้ามาทางตะวันออก เข้ามาเยี่ยมเยียนในเขตนี้ละค่ะ
ทีวีประกาศเตือนให้หลบอยู่แต่ในบ้าน  ในห้องที่มีผนังกั้นมิดชิด  อย่าอยู่ข้างหน้าต่าง(กระจก) หรือถ้าอยู่นอกบ้านให้รีบหลบเข้าที่กำบัง)
แต่ในเมื่อยังห่างเมืองอยู่อีกหลายสิบไมล์   ก็เลยทำใจกล้าเปิดประตูออกไปถ่ายรูปท้องฟ้าใกล้บ้านมาให้ดู   ข้างนอกลมนิ่ง อากาศชวนอึดอัด  ชาวบ้านร้านถิ่นหลบเข้าบ้านกัน ไม่มีใครออกมาเดินตามถนน

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอพายุทอร์นาโด      ประมาณ ๓ ปีก่อน มันลงเมืองใกล้ๆห่างไปประมาณ ๑๐ ไมล์   ตอนทอร์นาโดพัดผ่าน   ต้นไม้ใหญ่น้อยเขย่าเหมือนถูกมือพญายักษ์จับถอนรากถอนโคน    เสียงอื้ออึงไปหมด      แต่ว่าครู่เดียวมันก็ผ่านไป  แล้วไปถอนรากถอนโคนเมืองใกล้ๆแทน  จนเหลือแต่ซาก   
เคราะห์ดีมันเกิดตอนกลางวัน  ผู้คนออกจากบ้านไปทำงานหรือเรียนหนังสือกันหมด  เลยไม่มีใครตาย (หรือตายแค่คนสองคน)  ถ้าเกิดตอนกลางคืนที่คนอยู่บ้าน  น่ากลัวจะตายกันมากกว่านี้แยะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 09:11
ตอนนี้เข้าหน้าร้อน จึงมี thunder storm หรือพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นประจำ    เป็นผลจากอากาศโลกปรวนแปรมาสิบกว่าปีแล้ว     ผลจากพายุฤดูร้อน ที่เจอกันคือ ลูกเห็บ (hail) ตก    ฟ้าผ่า  ฝนหนัก  และถ้าแรงมากๆมันก็กลายเป็นพายุหมุนทอร์นาโด 
นับว่าแปลกมาก   เพราะตามตำราและตามที่เคยเจอๆกันมา  ทอร์นาโดจะเกิดบนพื้นราบเป็นส่วนใหญ่   ไม่เกิดบนพื้นที่ภูเขา   บ้านช่องที่นี่จึงไม่เคยสร้างเอาไว้เพื่อป้องกันพายุทอร์นาโด  (เพราะไม่เคยมี)   แต่หลังๆนี้ ทอร์นาโดแวะมาเยือนทุกปี   มากบ้างน้อยบ้าง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 09:20
เรื่องที่จะเล่าตอนนี้  ขอเหมาว่าอยู่ในหัวข้อก็แล้วกัน   เพราะไม่รู้จะเอาไปลงกระทู้ไหนอีก  ยังไงก็ถือว่ามันเกิดขึ้นตอนเดินทางมาที่นี่( แก๊งค์ลูกน้ำยังไม่ออกมาทายกันสักคน ว่าที่ไหน)
 

ถ้าเข้าใจไม่ผิด "ที่นี่" ของคุณเทาชมพูคงอยู่ซึกโลกฝั่งตรงกันข้ามกับ "ที่นี่" ของชาวเรือนไทย

เวลาก็น่าจะช้ากว่าอย่างน้อย ๑๒ ชั่วโมง  ตัวเลข วัน เดือน ปี ๐๗ ๐๖ ๒๐๑๒ ที่มุมล่างขวาของรูปถ่าย น่าจะไม่ตรงกับเวลาจริงของ "ที่นี่" ของคุณเทาชมพู

ลืมเปลี่ยนตัวเลขในกล้องถ่ายรูปหรือเปล่าหนอ

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 09:21
ถ้าอยู่ในทุ่งกว้าง จะเห็นทอร์นาโดชัดเจนว่าหน้าตาเป็นอย่างนี้
แต่ไม่เห็นเสียดีกว่า   เพราะถ้าเห็น จะเคราะห์ร้ายเกินกว่าจะรดน้ำมนต์ทัน    พายุหมุนพวกนี้มันวิ่งเร็วกว่ารถ     ป่วยการจะไปเหยียบคันเร่งหนีมันค่ะ  ต้องหาที่กำบังที่แข็งแรงอย่างเดียว  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 09:23
จริงๆด้วย  ไม่ได้สนใจเรื่องวันเดือนปีในกล้องถ่ายรูป  เพราะเปลี่ยนสักพักก็ต้องเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมอีก
เวลาที่นี่ช้ากว่าประเทศไทย 13 ชั่วโมง ค่ะ

ป.ล. เปลี่ยนตามคำท้วงแล้วนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 12:06
ฟังข่าวจากทีวีทุกระยะ   พายุผ่านไปแล้ว ไม่มีทอร์นาโดมาลงแถวนี้
แต่ในเมืองเชิงเขา  ฝนตกหนักจนต้องประกาศภาวะน้ำท่วมฉุกเฉิน      เหตุการณ์ทันยุคไม่แพ้บ้านเราตอนนี้เลยทีเดียวค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 มิ.ย. 12, 17:35
....เอ...นี่ไม่รู้ว่าผมเขียนลงผิดกระทู้หรือเปล่า หรือว่าควรจะไปลงไว้ที่กระทู้ว่าด้วยอาหารป่า


กระทู้นี้เป็นการคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน แบบเบาๆ อย่างที่คุณตั้งบอกไว้ในค.ห.แรก   เพราะฉะนั้นจะเลี้ยวไปทางไหนก็ถือว่าไม่ออกนอกทาง  ขอให้เกี่ยวกับการเดินทางก็พอ.....

ไม่ผิดกระทู้หรอกครับ ขอเรียนเชิญด้วยความยินดียิ่ง
ใช่ครับ เป็นเรื่องสัพเพเหระที่เกี่ยวกับการเดินทาง

ผมเลือกที่จะเริ่มต้นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทาง ตั้งแต่ด่านแรก คือ เรื่องหนังสือเดินทาง ต่อไปด้วยเรื่องวีซ่า แล้วจะต่อไปเรื่องตั๋วเครื่องบิน  เรื่องการเดินทางบนเครื่องบิน เรื่องสนามบิน เรื่อง ตม. แล้วก็เรื่องศุลกากร จากนั้นก็แยกสาย  ผมคิดว่าแต่ละคนก็จะมีประสบการณ์หลากหลายมากๆมาเล่าสู่กันฟัง
นึกอะไรออกก่อนจะแยกซอยก็ไม่ว่ากัน ผมเพียงตั้งแนวเพื่อกรุยทางไปเพื่อสะกิดความทรงจำและรื้อฟื้นเรื่องราวต่างๆของท่านทั้งหลายที่ประสบพบเห็นและรู้เรื่องต่างๆมาเท่านั้นแหละครับ
เช่น คุณนวรัตน์เล่าเรื่องงูมา ก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องปลาร้า หรือคุณเทาชมพูเล่าเรื่องภูมิอากาศและทอร์นาโด ก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่องพายุหิมะ เป็นต้น
(จะขอขยักไว้ก่อนนะครับ)



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 มิ.ย. 12, 18:09
เรื่องของวีซ่านี้ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง
 
ข้าราชการผู้หนึ่งจะเดินทางไปโตรอนโต แคนาดา  ขอวีซ่าเข้าแคนาดาได้เรียบร้อย ได้ตั๋วเครื่องบินการบินไทย (ตามระเบียบต้องใช้การบินไทยเท่านั้น) ก็ออกเดินทาง สมัยนั้นเครื่องการบินไทยบินไปถึงโตรอนโตโน่นเลย แต่ต้องแวะที่ซีแอตเติล เพื่อส่งผู้โดยสารและเติมน้ำมันก่อนที่จะบินต่อไปอีกประมาณ 4 ชม.ถึงโตรอนโต

ที่สนามบินซีแอตเติล เขาก็ให้ผู้โดยสารลงหมด เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุจากการเติมเชื้อเพลิง  เราคงจะทราบโดยความรู้สึกว่าลักษณะนี้เป็นเรื่องของการเดินทางผ่าน (Transit) ซึ่งหมายความว่าไม่มีการเข้าเมือง ไม่ต้องผ่านกระบวนการ ตม.และศุลกากร   ผิดถนัดเลยครับ อเมริกันถือว่าเป็นการเดินทางเข้าเมือง ซึ่งต้องผ่านพิธีการดังกล่าว ข้าราชการผู้นั้นถูกซักอยู่นานยังกับกระทำผิดร้ายแรง แต่ด้วยสารพัดเอกสารที่หอบไปเพื่อปฏิบัติราชการ ก็เป็นหลักฐานที่เพียงพอที่ ตม.อเมริกาจะเชื่อ จึงรอดตัวเดินทางต่อไปได้   ใครจะไปรู้ครับว่า ที่สนามบินซีแอตเติลไม่มีส่วนของพื้นที่สำหรับ Transit หรือมีก็ไม่รู้เหมือนกัน และก็จะต้องของวีซ่าอีกด้วย   อย่างว่าแหละครับ ฉันจะทำแบบนี้  ทำยังกับแคนาดาเป็นพื้นที่ในเขตอาณาของสหรัฐ  แม้จะเดินทางไปจุดหมายปลายทางในแคนาดา เพียงเครื่องบินต้องแวะลงในเขตอาณาของสหรัฐก็ต้องขอวีซ่าเข้าเมืองสหรัฐ
บางทีก็อาจจะดีนะครับ ทำเรื่องหนึ่งแต่ก็อาจจะได้อีกเรื่องหนึ่งที่ได้ยากเย็นกว่า เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจว่าหากไปขอวีซ่าที่สถานทูตสหรัฐจริงๆจะได้วีซ่าประเภทใด
ผมจำเรื่องไม่ได้ว่าตอนขากลับเป็นอย่างไร
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 มิ.ย. 12, 19:07
ตัวผมเองก็เคยเจอเหมือนกัน แต่ในอีกลักษณะหนึ่ง
 
ในช่วงที่ไปคุมงานที่แคนาดา ช่วงนั้นพอจะแก่วัดแล้วก็ใช้วิธีเดินทางโดย TG (การบินไทย) ไปต่ออีกสายการบินหนึ่งบินตรงเข้า Toronto เลย แล้วค่อยต่อสายการบินภายในไป Ottawa เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากกับวีซ่า 
เมื่อมีโอกาสก็นัดเจอเกลอเก่าชาวอเมริกันช่วงคริสมาส    ต้องบินจาก Ottawa แคนาดาไป Toronto แล้วต่อไป Chicago เพื่อต่อเครื่องไป Dallas-Fort Worth จะไปนอนกินปูกินกุ้งกันที่ Corpus Christi แวะผ่าน San Antonio เพื่อกิน steak และซี่โครง Long Horn ย่างกัน 
ต้องไปขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯที่สถานทูตสหรัฐฯในแคนาดา อันนี้ง่ายมากและเร็วมากด้วย (คงจะเป็นด้วยหลายๆเหตุผล) ที่แปลกก็คือ ต้องผ่านกระบวนการเข้าเมืองของสหรัฐฯที่ Toronto  ก็อดนึกไม่ได้ว่า อเมริกานี้หนอ ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ขนาดยกเอาที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองมาอยู่ในเขตของแคนนาดาได้  และที่แปลกอีกก็คือ ขาออกจากสหรัฐฯไม่ต้องผ่านกระบวนการ ตม.เลย ไม่มีการประทับตราใดๆทั้งสิ้น ผมเข้าใจว่าข้อมูลการเดินทางขาออกคงจะเชื่อมโยงอยู่กับข้อมูลเมื่อเราได้ Boarding Pass สำหรับขึ้นเครื่องบินเที่ยวบินที่บินออกนอกประเทศ (Outbound flight) 

นึกย้อนไปไกลอีกนิดหนึ่ง ช่วงที่ยังเรียนอยู่ก็มีโอกาสท่องไปในรัฐทางตะวันออกกับเพื่อนอเมริกันคนที่กล่าวมานี้ ด้วยรถและรถแค้มป์แบบพ่วงลากไป ข้ามไปแคนาดาทาง Illinois ไป Toronto แล้วไปดูน้ำตก Niagara เพื่อข้ามสะพานที่เชื่อมระหว่างสองประเทศกลับเข้าสหรัฐฯ     เป็นเรื่องเลยครับ ขาออกจากเขตสหรัฐฯ แคนาดาก็ไม่คิดอะไรมาก ไม่มีวีซ่า ก็ประทับตราให้ พอขาเข้า ตม.สหรัฐฯจะไม่ยอม เพราะเป็นวีซ่านักเรียนแถมเป็น Single entry อีกด้วย ต้องอธิบายกันอยู่นาน ต้องควักบัตรสารพัดออกแสดง ทั้งใบขับขี่รถยนต์ บัตร Social security  พอดีที่เพื่อนอเมริกันคนนี้เป็นนายทหารอากาศของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องเป็นผู้รับรองจึงรอดมาได้ มิฉะนั้นก็คงจะต้องเคว้งและต้องทำเรื่องอีกมากมาย

เล่ามาเพื่อจะสะกิดว่า วีซ่ากับการเดินทางนี้ เป็นเรื่องที่ต้องระวังกันให้มากพอสมควรทีเดียว   



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 มิ.ย. 12, 19:31
นึกย้อนไปไกลอีกนิดหนึ่ง ช่วงที่ยังเรียนอยู่ก็มีโอกาสท่องไปในรัฐทางตะวันออกกับเพื่อนอเมริกันคนที่กล่าวมานี้ ด้วยรถและรถแค้มป์แบบพ่วงลากไป ข้ามไปแคนาดาทาง Illinois ไป Toronto แล้วไปดูน้ำตก Niagara เพื่อข้ามสะพานที่เชื่อมระหว่างสองประเทศกลับเข้าสหรัฐฯ  

เผอิญมีรูปสะพานที่คุณตั้งพูดถึง ถ่ายไว้ปีที่แล้ว

จากระเบียงร้านอาหารบนโรงแรมเชอราตัน

เอามาประกอบเรื่อง

 ;D



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 มิ.ย. 12, 22:22
เข้ามาสลับฉาก

เหตุการณ์ที่ผมคงจะจำไปตลอดไม่ลืมเลยเกิดขึ้นเมื่อประมาณสักสามสิบปีมาแล้ว จำเป็นต้องบินAeroflot(สายการบินของโซเวียตรัสเซีย)ไปลงมอสโควเพื่อจะต่อเครื่องไปมิลาน เวลานั้นระบอบคอมมิวนิสต์ของโซเวียตยังไม่ล่มสลาย ทว่าใกล้เต็มทีแล้ว

เครื่องที่ผมไปไม่ได้จอดเทียบที่งวง แต่จอดบนลานบินต้องเดินลงบันไดจากเครื่องแล้วเดินมาที่อาคารสักร้อยเมตรมั้ง ขณะนั้นฟ้ายังมืดอยู่ อากาศของเดือนธันวาคมหนาวเข้ากระดูกดำ ได้ยินเสียงฝรั่งคุยภาษาอังกฤษกันตอนนั้นว่าอุณหภูมิน่าจะติดลบใต้ศูนย์องศาเซลเซียส
ทุกคนต่างรีบจ้ำเดินเพื่อจะให้ถึงตัวอาคารโดยเร็ว แต่พอถึงประตูทางเข้ากลับผ่านเข้าไปไม่ได้ ทหารดาวแดงสะพายอาก้าหมู่หนึ่งสั่งให้ผู้โดยสารทุกคนหยุดตรงนั้นแล้วเข้าแถวเรียงสอง  ใครเงอะงะชักช้าก็โดนขึ้นเสียง กว่าจะเป็นแถวก็เสียเวลาพอสมควร แล้วทหารก็สั่งให้คนที่ถือพาสปอร์ตของโซเวียตไปอยู่ข้างหน้า ค่อยๆให้ผ่านเข้าไปในประตูที่ละคู่สองคู่ ช้ามาก อากาศที่หนาวอย่างทารุณกระทั่งคนยุโรปเองยังทนไม่ได้และเริ่มโวย ผมเตรียมการไปทั้งโอเวอร์โค๊ตทั้งหมวกขนสัตว์ แต่ลืมคิดถึงรองเท้า ใส่คู่ประจำที่ใส่ในเมืองไทยนั่นแหละมา ขณะนั้นรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนก้อนน้ำแข็งโดยมีเพียงกระดาษแผ่นบางๆรองรับ
 
ฝรั่งบางคนเริ่มวิ่งอยู่กับที่ผมก็วิ่งมั่ง แต่ไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งปวดฉี่หนักเข้าไปอีก ถึงตอนนี้คนเป็นร้อยเริ่มหมดความอดทนแล้ว ต่างพากันตะโกนให้ทหารยอมปล่อยให้เข้าไปข้างใน ผมก็อยากช่วยเขาตะโกนเหมือนกันแต่ร้องไม่ออก คางสั่นจนฟันกระทบกันกั่กๆๆๆ สักพักจึงมีนายทหารออกมา แล้วตะโกนสั่งลูกน้องให้ปล่อยแถวแขกบ้านแขกเมืองให้เดินเข้าไปในอาคารได้ ผมจึงรอดจากถูกแช่แข็งทั้งเป็นกลางลานบิน เข้าไปได้แล้วจึงทราบว่า เค้ากำลังซ่อมแซมปรับปรุงส่วนตรวจคนเข้าเมืองนี้อยู่ อะไรต่อมิอะไรวางเละเทะเกะกะไปหมด  คล้ายกับคนที่นี่ไม่มีชีวิตจิตใจที่จะทำงานทำการให้มันดีกันแล้ว อีกนาน กว่าจะผ่านเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองชั่วคราวนี้ไปได้  แต่ยังดีที่ฮีตเตอร์กับห้องน้ำสาธารณะยังพอทน คนก็เลยไม่โวย พอขึ้นไปชั้นบนแล้ว สภาพอาคารสนามบินจึงค่อยดูศิวิไลยขึ้นมานิด

คนโซเวียตยุคนั้นแต่ละคนเหมือนผู้ร้ายในหนังฮอลิวู๊ด หน้าตาบอกบุญไม่รับ พูดจามะนาวไม่มีน้ำ แม้พนักงานขายในDuty Free ผมเข้าไปเดินเล่น เห็นของMade in USSRน่าซื้อหลายอย่าง เลยจะซื้อไปเป็นของฝากคนที่มิลาน ระหว่างรอจ่ายเงินกับRobotตัวเมียที่มีชีวิต ฝรั่งก่อนหน้าที่ซื้อเหล้าไปแล้วได้หันกลับมาขอถุงพลาสติกเพื่มอีกใบหนึ่ง นางรำพึงเบาๆว่า No ฝรั่งคงคิดว่านางเข้าใจอะไรผิดสักอย่าง กะอีขอถุงห่วยๆเพิ่มอีกใบเดียวนางบอกว่าโน เลยเอื้อมมือไปชี้ที่ถุง นางก็ทำเป็นไม่มอง แกเลยขยับมือไปดึงออกเสียเองมา เท่านั้น แม่ก็แผดเสียงก้องไปทั้งร้าน NOOOโน ผมอยู่ตรงนั้นยังตลึงพลึงเพริด ฝรั่งตกใจตัวแข็ง นางก็กระชากเอาถุงคืนไป   โอ่ย…อะไรจะขนาดนั้น ทุกคนในร้านเลยทะยอยวางของแล้วเดินออกไปหมดอย่างตัวลีบๆ ผมจ่ายเงินไปแล้ว จำเป็นต้องอยู่รับของกับเงินทอน ก่อนจะเดินตามออกไป
ลูกค้าหายไปหมด คนทั้งร้านก็ไม่ยี่หระ ดีซะอีก ไม่มีงานต้องทำ

ผมเลยได้บทเรียนสองอย่าง

อย่างแรกคือไม่ไปเหยียบมันอีกแล้ว ประเทศนี้
อย่างที่สอง ถ้าจะไปเหยียบยุโรปหน้าหนาว ให้เอารองเท้าพื้นหนามากๆถึงหนาที่สุดไป ไม่เท่ก็ช่างมัน ขอไม่ตายก็แล้วกัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มิ.ย. 12, 00:00
ขอต่อความยาวเรื่อง transit อย่างที่คุณตั้งเล่าไว้อีกหน่อยค่ะ  เผื่อใครเจอเข้าบ้าง
เมื่อก่อนนี้นั่งสายการบิน UA  ต้องไป transit คือแวะที่ญี่ปุ่นเพื่อเปลี่ยนเครื่องเป็นลำใหญ่ บินไปอเมริกา     ไปที่นี่ไม่มีปัญหา  ถึงเวลา   เขาก็ต้อนให้เดินไปนั่งๆนอนๆ อยู่ในห้องพักแบบห้อง premier  มีอาหารการกินและที่นั่งให้สัปหงก  จนกว่าเครื่องบินลำของเราจะมาถึง   ห้องก็อยู่ที่สนามบินนั่นเอง
แต่ต่อมาขี้เกียจจะเสียเวลาทรานสิท   ก็เลยเลือกสายการบินไทย ที่บินตรงจากกรุงเทพไปแอลเอเลยทีเดียว  ขาไปประมาณ ๑๘-๑๙ ช.ม. ขึ้่นกับลมต้านและลมส่งท้าย

ต่อมาอีก  เที่ยวบินสายตรงนี้ถูกยกเลิก พูดง่ายๆว่าเจ๊ง    มีการบินไทยบินไปแอลเอแต่ต้องแวะเติมน้ำมันที่เกาหลี     คือเที่ยวล่าสุดนี้เอง
นึกว่าเขาจะทำแบบง่ายๆ  คือต้อนไปนั่งรอ แล้วก็ต้อนออกอีกเกทหนึ่งไปขึ้นเครื่องใหม่   เปล๊า  เกาหลีทำแบบตรวจคนเข้าเมือง  คือตรวจตราสัมภาระที่เราต้องหอบหิ้วลงจากเครื่องอย่างละเอียด    ตรวจเนื้อตัวด้วยว่ามีอะไรซุกซ่อนรึเปล่า  ก่อนจะปล่อยออกไปได้
เป็นขั้นตอนที่น่าหงุดหงิดมาก    เพราะตรวจไปมันก็เท่านั้น   เราไม่ได้เหยียบแผ่นดินเกาหลีแม้แต่หนึ่งก้าว    เหยียบอยู่แค่ห้องในสนามบิน   แต่ขั้นตอนนี้เสียเวลา ทำให้ใจหายใจคว่ำด้วยว่าจะวิ่งขึ้นเครื่องไม่ทัน เพราะคิวยาวมาก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 มิ.ย. 12, 00:33
เล่าต่อเรื่องหงุดหงิดมั่ง

อีกหนึ่งความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนคือ เดกกา บังคลาเทศ

ไปธุรกิจ อยากจะใช้เวลาให้น้อยที่สุด ถ้าบินการบินไทย มีสัปดาห์ละสองวัน ไม่ลงตัว ไปสายการบินแห่งชาติของเขาดีกว่า “บังคลาเดสพิมาน” มีสัปดาห์ละสามวัน  ไปเช้าถึงเที่ยงๆ บ่ายคุยกับบริษัทลูกค้า นอนคืนนึง อีกวันไปติดต่อกับราชการ๒กรม นอนอีกคืนนึง เช้าวันรุ่งขึ้นก็กลับได้ จึงติดต่อนัดหมายกันเสร็จสรรพตามนั้น

เช้าวันเดินทางที่ดอนเมือง ถึงเวลาแล้ว เครื่องไม่ออก ขอเลื่อน๑ชั่วโมง พอหมดชั่วโมง ขอเลื่อนอีก๑ชั่วโมง ทำอย่างนี้๔ครั้งกว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็เลยเที่ยง แต่เครื่องวิ่งแทกซี่จะบินขึ้นอยู่แล้วแอร์ยังไม่เย็น ถามพนักงานบริการบนเครื่องเธอก็บอกว่าเดี๋ยวคงจะเย็น แต่เครื่องขึ้นไปตั้งนานจนกัปตันสั่งให้ปลดเข็มขัดได้ แอร์ก็มีแต่ลมโชยไม่มีความเย็น ผู้โดยสารต่างกระสับกระส่าย ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว สักพักพนักงานก็เข็นรถเครื่องดื่มออกมารินให้คนละแก้ว ผมยิ่งใจแป้วหนักขึ้น รถที่เข็นออกมานั้นช่างเก่าเต็มที โยกหน้าโยกหลังจะพับฐานเสียให้ได้ เคยทำให้คิดไกลไปว่า แค่เงินจะเปลี่ยนรถเครื่องดื่มมันยังไม่มี แล้วมันจะมีเงินซ่อมเครื่องบินเร๊อะ น้ำที่เสริฟก็มีแต่น้ำมะม่วงกับน้ำอัดลมสีดำ นี่International Flightนะเพ่

กว่าจะได้กินอาหารกลางวันมื้อนั้น ก็ลมออกหู ฝรั่งที่นั่งข้างๆกันบ่นกับผมว่า ไอ้นี่มันMickey Mouse Airways เทียบกับThai International ไม่ได้เลยTravel Agentของไอหลอกกันชัดๆว่าเป็นสายการบินระดับเดียวกัน บ่นกันไปสักชั่วโมงกว่ามั้ง อยู่ดีๆระบบแอร์เย็นก็ทำงาน ผู้โดยสารก็เลยเปลี่ยนอิริยาบท จากท่าบ่นไปพัดแย๊กๆไป  มาเป็นท่าหุบปากนอนหลับตา  เฮ้อ เห็นทีจะรอดตาย

บินมาสี่ชั่วโมงกว่า ถึงจุดหมายก็เย็นแล้ว เป็นอันว่าวันนี้ผิดแผน งานทั้งหมดต้องรวบยอดไปทำวันรุ่งขึ้นวันเดียว พนักงานบนเครื่องบินแจ้งให้ทราบว่า การที่เครื่องดีเลย์นานทำให้ผู้โดยสารอาจจะพลาดConnecting Flight บังคลาเดสพิมานยินดีจะชดเชยให้ ใครอยากพักโรงแรมในดักกา สายการบินจะนำไปอยู่ยังโรงแรมของบริษัท โดยจะให้อยู่ฟรี๑คืน ผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน ผมยังไม่ได้จองโรงแรมมา กะจะให้ลูกค้าชาวบังคลาเทศที่จะมารับผมที่สนามบินแนะนำโรงแรมให้  ภายหลังจึงรู้ว่าเขาไม่ได้มารับ โดยอ้างว่าเขานึกว่าเที่ยวบินเที่ยวนี้ยกเลิกไปเลย

การตรวจคนเข้าเมืองช้ามาก ที่เคาน์เตอร์มีเจ้าพนักงานมุงๆกันหลายคนแต่ที่ทำงานมีคนเดียว กว่าจะผ่านไปเอากระเป๋าเดินทางเสร็จเจ้าหน้าที่ของบังคลาเดสพิมานก็บอกให้นั่งรอก่อน เดี๋ยวจะมีคนของอีกฝ่ายหนึ่งจะมารับไปโรงแรม แล้วตนเองก็ขึ้นรถบริษัทเข้าเมืองไป  
ตอนนั้นมีผู้โดยสารต่างชาติที่ต้องการจะไปโรงแรมที่ว่านั้นเพียงสิบกว่าคน ที่เหลือเป็นคนท้องถิ่นเขากลับบ้านกันหมดแล้ว  เครื่องที่ผมมาเป็นเที่ยวบินสุดท้ายของวันนั้น  พอคนทะยอยออกไปกันหมดไม่นาน สนามบินที่หน้าตาเหมือนสถานีรถทัวร์เก่าๆในเมืองไทยก็เริ่มปิดไฟ  ในห้องโถงเหลือแขกยามคนหนึ่งลากเตียงถักเชือกไปหลังเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง ผมชักใจไม่ดี มันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า ถามฝรั่งที่นั่งคอยกันอยู่ก็ไม่ได้เรื่องว่าเขาจะมารับเมื่อไหร่ จึงเกร่ไปจะไปถามแขกยาม เผื่อจะพูดภาษาอังกฤษได้ในฐานะที่ประเทศเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน  พอเข้าไปใกล้ๆ เห็นหน้าแล้วจึงพบว่า ที่นึกว่าเป็นแขกยามนั้น ที่แท้คือเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเมื่อกี้ แกเปลี่ยนชุดข้าราชการออกไป แล้วนุ่งโสร่ง ใส่เสื้อกล้ามขาดตรงพุงรูเบ้อเร่อ ผมถามว่ายูเองหรือนี่ แกบอกว่าใช่ เมื่อกี้ไอนั่งตรวจพาสปอร์ต  คืนนี้ไออยู่เวรนอนเฝ้าที่ทำงาน ยูมีปัญหาอะไร ผมบอกว่าสนามบินไม่มีเจ้าหน้าที่สายการบินอยู่เลยหรือ แกบอกว่าไม่มี นอกจากยาม(จริงๆ)แล้วมีไอคนเดียว แต่พวกยูไม่ต้องวิตกหรอก เขากำลังเอารถจากในเมืองมารับพวกยู   โฮ้ย..เป็นงี้บ่อย ไม่มีปัญหาหรอก เดี๋ยวก็มา ว่าแล้วก็เดินออกไปอธิบายให้พวกต่างชาติที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่ด้วย เห็นพยักหน้ากันหงึกๆ แล้วแกก็กลับมานอนปัดยุงของแกต่อ

รถที่มาสภาพดีกว่ารถสองแถวหน่อยนึง คลานบ้างวิ่งบ้าง บีบแตรไปทุกๆ๑๐วินาที(รถทุกคันในดักกาทำเช่นนี้) กว่าจะไปถึงโรงแรม ซึ่งผมวาดภาพไว้หรูเกินความจริงมาก มันก็สี่ทุ่มแล้ว หิวจนแทบหน้ามืด ทานอาหารที่โรงแรมที่บังคลาเดสพิมานจัดให้แบบกินกันตายไปมื้อนึง ก็มีปัญหาเรื่องห้องอีก เพราะเขาจะให้อยู่ห้องละสองคน เห็นแขกอินตระเดียที่เขาจะให้อยู่ห้องเดียวกับผมแล้ว  เฮ๋..อีนี่..ผมขอจ่ายเพิ่มเพื่ออยู่คนเดียวดีกว่าน่ะนายจ๋า

พอแค่นี้ละกันนะครับ ขืนยาวกว่านี้เดี๋ยวต้องถามว่าผิดกระทู้หรือเปล่าอีก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มิ.ย. 12, 08:16
เล่าถูกกระทู้ แต่เล่าไว้ครึ่งเดียว มันก็น่าหงุดหงิดสำหรับคนฟังนะคะ ท่าน

อยากฟังการผจญภัยต่อไปในเดคคา จนถึงวันกลับ ว่าจะมีรสชาติเผ็ดเค็มประการใดบ้าง    จากนั้นจะเล่าประสบการณ์อันหาได้ยากของการผจญห้องน้ำเมืองจีน  รวมแล้ว 5 ทริปให้ฟังกัน   
เรื่องห้องน้ำเมืองจีนเป็นเรื่อง thriller ของนักท่องเที่ยวไทย   จะเป็นรองก็แต่อินเดียเท่านั้นค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มิ.ย. 12, 11:56
กลับมาเล่าต่อเรื่องทอร์นาโด
พายุเมื่อวานผ่านไปแล้ว   ไม่มีความเสียหาย   กำลังโล่งใจก็พอดีมีประกาศฉุกเฉินทางทีวีในตอนค่ำ   ว่าพายุฤดูร้อนลูกใหม่ที่มีท่าทีว่ากลายจะเป็นทอร์นาโดได้  ผ่านมาอีกลูกหนึ่งแล้ว    อยู่เลยเมืองออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ

เมื่อกี้ออกไปดูที่ลานจอดรถ    เมฆฝนทะมึน  ฟ้าแลบฟ้าร้องเปรี้ยงปร้างราวกับอยู่ในเขตมรสุม ซึ่งไม่น่าเกิดในเขตหนาว    ครู่เดียวลูกเห็บก็ร่วงกราวลงบนพื้นดิน    เสียดายว่าถ่ายรูปไม่ทัน มันละลายไปเร็วมาก
เลยเอารูปในกูเกิ้ลมาให้ดูพลางๆค่ะ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 มิ.ย. 12, 20:05
ตามไปเรื่องทอร์นาโดของคุนเทาชมพูก่อนที่จะตามไปเรื่องลงไปยืนอยู่บนลานบินของคุณนวรัตน์

ก่อนอื่น ไปเรื่องบ่นก่อน คำภาษาไทยที่เขียนทับศัพท์นี้ อย่าไปออกเสียงตามคำที่เขียนนะครับ ฝรั่งเขาฟังไม่ออกไม่รู้เรื่องหรอก ไปออกเสียงว่า ทอร์นาโด ฝรั่งเขาออกเสียงว่า ทอร์เน้โด้ หรือ ทอร์เนโด (ตามที่คุณเทาชมพูว่าไว้) ไปออกเสียงว่าเมืองแมสซาชูเสด เขาก็ไม่รู้เพราะเขาก็ออกเสียงว่า แมสเซิดชู้เสท หรือเมืองออตตาวา เขาก็ออกเสียงว่า อ๊อดตะว่า  แล้วจะไปเมือง Sioux ไม่ทราบว่าภาษาไทยจะเขียนทัพศัพท์ว่าอย่างไร ซีอุก ???     ออกเสียงว่า ซู ใช่ใหมครับ

ผมไปออสเตรเลีย บอกให้เจ้าหน้าที่ทางการออสเตรเลียช่วยยืนยันการเดินทางที่จะต่อไปเมืองหลวง แคนเบอร่า (Canberra)  เขายังอุตส่าห์จะช่วยให้ไปเมือง Cairns  อยู่กันคนละทิศ ห่างกันหลายพัน กม. เพียงเพื่อนผมออกเสียงชัดไปหน่อยว่า แคนเบอร่า แทนที่จะเป็น แค้นบะร่า ก็เลยจะได้อีกเมืองหนึ่ง
 ซึ่งก็พอจะทราบเหตุผลและเข้าใจอยู่บ้างหรอกสำหรับหลักของภาษไทย  แต่ผมเห็นว่ามันมีผลตามมาเยอะ มันทำให้เด็กไทยไปพูดกับฝรั่งกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เขาฟังไม่ออก มีวรรณยุกต์แล้วก็ไม่ใช้ จะบอกว่าภาษาอังกฤษไม่มีวรรณยุกต์ก็จริง แต่เขาก็มีโทนเสียงเหมือนกัน   คนไม่เคยได้ยินจะไปรู้ได้อย่างไรว่า เขียนแบบไทยดังกล่าวนี้ แต่ต้องออกเสียงไปอีกอย่างหนึ่ง   (ขออภัยท่านอาจารย์ทั้งหลายด้วยนะครับ ที่บ่นมาอย่างนี้ มิได้มีเจตนาอื่นใด)
 
แยกซอยไปนิดนึง เพื่อนผมคนหนึ่งเดินทางครั้งแรกไปเรียนหนังสือ ขึ้นเครื่องบิน ขอน้ำกิน "เม ไอ แฮฟ อะ คับ อ๊อฟ วอเต้อ พลีส"  พนังงานการบินก็ฟังไม่ออก ขนาดขอน้ำกินก็ยังไม่ได้  พูดซ้ำอยู่หลายครั้งจนเธอนึกขึ้นได้จึงพูดออกมาว่า โอ้ ว้อเท่อร์  เพื่อนผมคนนี้รู้สึกปลงตนเองในบัดดลว่า นี่เราจะอยู่รอดหรือ

กลับมาเรื่องทอร์นาโดดีกว่า ในระหว่างที่เรียน ได้ท่องเที่ยวไป ก็ได้เห็นสภาพของความพินาศ อำนาจของการทำลายล้างของพายุนี้หลายครั้งใหลายพื้นที่ คือราบเป็นหน้ากลอง เป็นช่อง เป็นแถบไป  แต่ที่เคยประสบมาเองด้วยความกลัวนั้น ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง
เช่าห้องอยู่ชั้นล่างของบ้านชั้นเดียวที่เล่นระดับอยู่บนเนิน กำลังเขียนวิทยานิพนธ์อย่างขมักเขม่น ใกล้จะจบแล้ว ไม่มีใครอยู่เลย อยู่คนเดียว ก็ทราบจากข่าวตอนบ่ายแก่ๆว่า เมืองที่อยู่นั้นอยู่ในเส้นทางที่ทอร์นาโดจะผ่าน นึกอะไรไม่ออกจริงๆครับว่าจะต้องทำอย่างไร คิดแต่ว่าห้องที่เราอยู่นี้อยู่ต่ำกว่าพื้นบ้าน มีผนังดินอยู่ด้านหนึ่ง ก็น่าจะพอรอดตัวได้ พอใกล้จะมืด ก็มีลมโชยมาเรื่อยๆอย่างกับเปิดพัดลมอ่อนๆเป่า ใบไม้ก็ค่อยๆร่อนปลิวไป วังเวงพิลึกเลยครับ แล้วลมก็เงียบ ตามฟังทีวี เขาก็รายงานเป็นระยะว่ามันจะเกิดที่ใหน สุดท้ายก็บอกว่ามันเกิดขึ้นและผ่านไปแล้ว เฉียดจากที่ผมอยู่ไปไม่ไกลมากนัก น่ากลัวทีเดียว  คิดอยู่ว่าหากผ่านมาทางที่อยู่ของเราแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะไปหลบที่ใหน ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร รู้แต่ว่าหากได้ยินเสียงมา ดีที่สุดก็ต้องหลบอยู่ตรงผนังที่เป็นกำแพงดินเท่านั้น ใจหายหมดจริงๆ รู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยวจริงๆในขณะนั้น

เคยสังเกตใหมครับว่า ทอร์นาโดนั้นมักจะไม่ผ่านเมืองที่เป็นเมืองใหญ่ มักจะผ่านพื้นที่ๆเป็นเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รอบตัวเปิดโล่ง หรือเป็นพื้นที่แหล่งอาศัยของพวกบ้านรถพ่วง     
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 มิ.ย. 12, 21:08
อ้างถึง
อยากฟังการผจญภัยต่อไปในเดคคา จนถึงวันกลับ ว่าจะมีรสชาติเผ็ดเค็มประการใดบ้าง    จากนั้นจะเล่าประสบการณ์อันหาได้ยากของการผจญห้องน้ำเมืองจีน  รวมแล้ว 5 ทริปให้ฟังกัน   
เรื่องห้องน้ำเมืองจีนเป็นเรื่อง thriller ของนักท่องเที่ยวไทย   จะเป็นรองก็แต่อินเดียเท่านั้นค่ะ

เชิญก่อนเลยครับ

ท่านผู้อ่านแหว่ะกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจะเล่าห้องน้ำที่สนามบินเมืองมะริดของพม่าให้แหว่ะต่อ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 มิ.ย. 12, 21:19
แล้วผมจะขอตามต่อไปเวียดนามและเขมรครับ

คุณนวรัตน์ จะไม่ต่อบันเทิงสาระที่ไปผจญมาในเมืองเดกกา ไปอีกสักหน่อยเหรอครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 มิ.ย. 12, 21:38
มีเหตุจะสัญจรไปต่างเมือง 2 วัน      กลับมาเมื่อไรจะเล่าเรื่องห้องน้ำต่อ
เชิญคุณตั้งและคุณนวรัตน เล่าประสบการณ์การเดินทางไปก่อนนะคะ

ใช่  เรื่องออกเสียง stress ของภาษาฝรั่งเป็นเรื่องปวดหัวของคนไทย เพราะเราไม่มีระบบเน้นเสียงหนักเบาแบบเขา    เราใช้ stress ที่ตัวหลัง   water =  วอเต้อ   แทนที่จะเป็น ว้อเถ่อะ   
เรื่องนี้พูดกันได้อีกยาว  จึงขอข้ามไปก่อนค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 มิ.ย. 12, 07:16
มาต่อตามคำสั่ง

ก่อนอื่น ผมขออธิบายหน่อยนะครับ ก็มันนานมาแล้วจนผมไม่แม่นชื่อเมืองหลวงของบังคลาเทศ ตอนที่แล้วไปเขียนว่าเดกกาบ้าง ดักกาบ้าง มาเห็นอีกทีก็สายเกินแก้ เดี๋ยวนี้ เขาให้เรียกว่า ธากา ภาษาอังกฤษเขียนว่า Dhaka เดิมเขียนว่าDacca คนบังคลาเทศพูดออกเสียงว่าดั๊กก้า เรื่องนี้ก็ทำนองเดียวกับที่คุณตั้งบ่นอยู่ข้างต้น เอาเถอะ มันจะเรียกอย่างไรก็ช่าง เพราะผมคงไม่ไปอีกแล้วเมืองนี้

คืนนั้น ผมหลับเป็นตาย โรงแรมที่บังคลาเดสพิมานผูกปิ่นโตไว้สำหรับผู้โดยสารที่ตกเครื่องบินจากความผิดพลาดของเขานั้น ไม่ใช่โรงแรมห้าดาวตามมาตรฐานสากล แต่เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของเขาลอยหน้าลอยตาบอกผมว่า Best hotel in Dacca เมื่อผมถามที่สนามบินว่า โรงแรมที่จะจัดให้น่ะ ดีไหม แต่ก็ช่างมัน ผมเหนื่อยเต็มทีที่จะวิจารณ์ ขอบ่นนิดเดียวว่าไม่คุ้มราคาห้องที่ผมต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง ห้องมันเล็ก และอับๆทึบๆ ไม่เหมือนโฮเต็ลในญี่ปุ่นที่ห้องแม้จะเล็กแต่มีDesignที่ลงตัว ที่สำคัญคือความสะอาด  นี่..เขายังจะให้ผู้โดยสารคนละเชื้อชาติที่ไม่รู้จักกัน  นอนร่วมห้องเล็กๆขนาดเดินหลีกกันแทบจะไม่พ้น …เฮ้อ

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ตื่นตามเวลาของผมแต่ที่โน่นยังเช้าอยู่มาก ทานขนมปังไข่ดาวของโรงแรมแล้ว เลยออกไปเดินเล่นดูชีวิตตามถนนหนทางภายนอกเพื่อฆ่าเวลา ผมต้องรอให้บริษัทเปิดตามเวลาทำการก่อน จึงจะติดต่อลูกค้าผมได้เพราะเวลานั้น โลกยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ย่านที่โรงแรมตั้งอยู่จอแจมาก แต่ไม่มีอะไรน่าดูเลย ก้าวพ้นโรงแรมไปก็เจอขอทานตั้งแถวรอต้อนรับอยู่ ต้องทำไม่รู้ไม่ชี้รีบเดินไปก่อนโดนสะกิด ชีวิตบนถนนของเมืองดักก้าไม่มีอะไรน่าดู สกปรก มีอย่างเดียวที่ทำให้ผมตื่นตะลึงได้ก็คือ ขนมปังที่วางขายแบกะดินเต็มไปหมด แต่มันขึ้นราเป็นดวงเขียวๆมากบ้างน้อยบ้างเห็นชัด ก็ยังมีคนยากจนซื้อเพราะมันถูก ไม่รู้เหมือนกันว่าคนขายไปเอามาจากไหนมากมาย  ต้องเป็นของที่กิจการใดกิจการหนึ่งทิ้งออกมาแน่ๆ

ผมเดินไปเดินมา พยายามหนีขอทาน  เห็นท่าจะไม่รุ่ง เลยกลับโรงแรมดีกว่า

กว่าลูกค้าจะมารับผมที่โรงแรมก็สายโด่ง ผมถามเขาว่านี่เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดของที่นี่หรือ เขาบอกว่าใช่แล้ว แต่มีโรงแรมเชอราตันที่กำลังจะเปิด ดีกว่านี้  มื้อกลางวันๆนั้นเขาพาผมไปทานอาหารในภัตตาคารที่นั่น ซึ่งโรงแรมเปิดขายเป็นการPre-opening  อาหารก็รสชาดงั้นๆ แต่ที่นั่นน่ะเป็นที่แรกและที่เดียวที่พอจะหาความสำราญตาได้บ้างในเมืองนั้น

ตอนออกจากโรงแรม เขาพาผมไปกระทรวงเกษตร คือลูกค้าคนนี้เขาต้องการเข้าประมูลขายของ(ท่อน้ำบาดาลขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง๑๒นิ้ว ทำด้วยไฟเบอร์กลาสซึ่งผลิตในโรงงานที่ผมทำงานอยู่) ให้กับกรมน้ำบาดาล เลยต้องการให้ผมนำชิ้นตัวอย่างของท่อไปให้วิศวกรใหญ่ที่นั่นทดสอบความแข็งแรง และเพื่อตอบคำถามด้วยตัวผมเอง ระหว่างการเดินทางที่เขาขับรถพาผมไปตามถนน เขาก็จะบีบแตรปิ้นๆไล่สามล้อไปตลอดทาง ซึ่งก็ไม่ได้ผลอะไร เพราะคนขี่รถสามล้อไม่เคยสนใจรถยนต์ จะปิ้นๆก็ปิ้นๆไป  รถทุกคันก็บีบแตรปิ้นๆไปตลอดทาง
ผมแทบจะบ้าตาย ไม่รู้มันจะปิ้นๆกันไปถึงไหน แต่เห็นอย่างนี้ละนะ เขาไม่ได้หงุดหงดใส่กันหรอก ยิ้มให้กันด้วยซ้ำ ลองเป็นเมืองไทยซี คงจะได้ชกกันกลางถนนหลายคู่

เมื่อไปถึง ผมก็ได้เห็นวัฒนธรรมบังคลาเทศอย่างหนึ่ง ก่อนลงจากรถ ลูกค้าของผมทวงบุหรี่อเมริกันที่เขาย้ำนักย้ำหนาให้ผมซื้อมาให้ด้วยสองห่อตามโควต้า แล้วแกก็แกะออกมาซองหนึ่งใส่กระเป๋าเสื้อ ที่เหลือใส่กระเจมส์บอนด์ไว้ก่อน  พอไปถึงที่ทำงานของกรมน้ำบาดาล ก็จะทักทายคนนั้นคนนี้ แล้วควักกระเป๋า เคาะซองเอาบุหรี่ออกมาให้คนละตัว ผู้ที่ได้รับจะแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า รีบดับบุหรี่ตัวเดิมเอาเก็บไว้ดูดต่อแล้วก็รีบคาบตัวที่ได้มาใหม่ ลูกค้าของผมจะยื่นไฟแช๊กยี่ห้อดูปองต์กาไหล่ทอง ที่เวลาเปิดฝาจะมีเสียงดัง ปิ๊ง ยื่นไปจ่อแล้วจุดไฟให้ แต่บางคนก็เอาไปสูดดมทำท่าหอมชื่นใจแล้วยกมือห้ามจุดไฟแซ๊ก เก็บบุหรี่ตัวนั้นใส่กระเป๋าเสื้อไว้ก่อน  ลูกค้าของผมให้วิธีนี้เบิกทางไปเรื่อยๆ สิ้นบุหรี่ไปสองสามซองกว่าจะถึงนายช่างใหญ่ แล้วทำพิธีกรรมยื่นบุหรี่เช่นเดียวกันนั้นก่อนการเจรจาเป็นเรื่องเป็นราวจะเริ่มต้น

อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าก็คือ คนบังคลาเทศยังติดหมากเหมือนคนไทยสมัยก่อน ส่วนใหญ่ปากจะเคี้ยวหมากแย๊บๆ และบ้วนน้ำหมากแดงๆเหมือนสีเลือดไปทั่ว ตึกที่ทำงานที่ผมไปนี้สูงสามสี่ชั้น ไม่มีลิฟท์ ต้องเดินขึ้นกระไดไป ทุกชานพัก จะมีกระป๋องใหญ่ๆขนาด๒๐ลิตร ตั้งไว้ที่มุม๒กระป๋อง แต่ละกระป๋องน้ำหมากจะล้นออกมานองอยู่กับพื้นแดงเถือกไปหมด เพราะใครผ่านไปผ่านมาก็บ้วนปรี๊ด ผมเห็นกับตา ถังมันเต็มแล้วก็บ้วนไปที่ฝาผนัง เวลาจะเดินผ่านแต่ละชั้นต้องเขย่งก้าวกระโดด ไม่ให้รองเท้าย่ำลงไปบนน้ำหมาก แต่ก็โดดกันพ้นบ้างไม่พ้นบ้าง พาเอาน้ำหมากแดงๆเลอะบันไดต่อไปอีกหลายขั้น ผมก็อยากจะทำเลอะเหมือนกัน แต่ไม่ใช่น้ำหมากเหมือนเขา  หากเป็นอาหารเมื่อเช้าที่ยังย่อยไม่หมดอยู่ในกระเพาะ

นายช่างใหญ่นั่งอยู่ในคอกเล็กๆประจำตำแหน่งมุมหนึ่งของห้องที่มีลักษณะคล้ายกับห้องเรียน  พวกที่ไม่มีคอกก็นั่งโต๊ะเรียงกันอย่างแออัด หลังจุดบุหรี่แล้ว เขาก็คุยกันด้วยภาษาของเขาที่ผมฟังไม่รู้เรื่อง นานๆจะถามให้ผมตอบสักที มีตอนหนึ่งลูกค้าหันมาบอกผมว่า เขายินดีรับชิ้นตัวอย่างไปทดสอบ ถ้าได้ผลอย่างไรจะแจ้ง และถ้าผมมาคราวหน้า หัวหน้าจะพาออกไปชนบท ดูที่หน่วยงานเขากำลังเจาะน้ำบาดาล  ผมได้ฟัง ใจก็เตลิดเปิดเปิง เมืองหลวงยังขนาดนี้ บ้านนอกจะขนาดไหน
 
ตอนบ่าย ตามโปรแกรมลูกค้าจะพาไปกระทรวงสาธารณะสุข เพื่อขายสินค้าอีกตัวหนึ่ง แต่หลังอาหาร เขาโทรศัพท์ไปยืนยันการนัดหมายแล้วบอกผมว่า คนที่จะไปหาไม่เข้าออฟฟิศแล้ว ให้ผมเลื่อนวันเดินทางกลับ รุ่งขึ้นไปพบตอนช่วงเช้าจะได้ไหม ผมบอกว่าเสียใจนะครับ ผมเลื่อนไม่ได้  เขาบอกว่างั้นไม่เป็นไร ไว้มาคราวหน้าก็แล้วกัน

แต่จนถึงวันนี้ ก็ไม่มีวันนั้น เพราะตอนเปิดซองราคาแม้จะได้อยู่ในShortlist แต่ผมไม่ได้ไปต่อรองราคา แจ้งไปทางลูกค้าให้ดำเนินการแทน ปรากฏว่าเจ้าเดิมที่ผูกขาดขายอยู่ เป็นของทำในอินเดียค่าขนส่งถูกกว่าไปจากเมืองไทยมากอยู่แล้ว ยังฟันราคาลงมาแบบต้องการขจัดคู่แข่ง  แต่ผมก็ไม่ได้เสียดายเลยที่ไม่สามารถขายของให้บังคลาเทศ

ขากลับผมไม่มีอะไรจะเล่า เครื่องบินคนละลำกับขามา ถึงบ้านเรียบร้อยดีครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 มิ.ย. 12, 11:33
อ้างถึง
มาต่อตามคำสั่ง

พลอยได้อานิสงส์จากคุณตั้ง. ฟังเรื่งเดคคาจนจบ.   :)

อยู่ระหว่างเดินทางตรงกับชื่ิอกระทู้.    ที่โรงแรมมี wifi.เลยแวะเข้ามาได้ค่ะ
เกริ่นเรื่ิองห้องน้ำก่อน
อเมริกาถือเรื่องสุขาเป็นสิ่งสำคัญ.    เท่าที่เห็นมาจากท่องเที่ยว. เจอห้องน้ำสาธารณะมาหลายสิบแห่ง.  ไม่เคยเห็นที่ไหนถูกละเลยตามบุญตามกรรม
ทุกแห่งมีคนทำความสะอาดทุกวัน. สุขภัณฑ์อยู่ในสภาพดีเยี่ยม กระดาษพร้อม.  น้ำไหลแรง
ผิดกับจีน ซึ่งดูเหมือนจะไม่สนใจไยดี. สุขาจีนจึงกลายเป็นทุกขาของคนไทยที่จำต้องใช้เวลาไปจีน
ถ้าเป็นศูนย์การค้าใหญ่ๆก็พอจะทันสมัย.   แต่ถ้าเป็นในเมือง แม้แต่ในภัตตาคารใหญ่ๆ. ทุกขาเหล่านี้สำแดงตัวในระยะไกลด้วยกลิ่นอบอวล. ชนิดเดินหลับตาใช้จมูกอย่างเดียวก็รู้ว่าอยู่ตรงไหน
มีบ่อยมากที่ทุกขาในจีนเสีย กดน้ำไม่ลงแต่น้ำแฉะเจิ่งนองพื้น.    ยังไม่รวมทุกขาที่ไม่มีประตู. หรือมีแต่ไม่มีกลอน
เด็ดกว่านี้คือทุกขาชนิดส้วมคู่.   คือเขาทำส้วมซึมสองอันคู่ในห้องเดียว ให้ใช้ได้สองคนพร้อมกัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 มิ.ย. 12, 18:42
ระหว่างรอเรื่องไปปลดทุกข์กายในห้องสุขาด้วยความทุกข์ใจ  จะขอย้อนไปถึงความหงุดหงิดของคุณนวรัตน์เรื่องคำสะกดภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ ซึ่งผมก็มีความหงุดหงิดในอีกมุมหนึ่งด้วย

แต่เดิมนั้น เรามีตัวอักษรที่ใช้แทนหรือเทียบเคียงกับอักษรภาษาอังกฤษอย่างหนึ่ง รวมทั้งวิธีการแปลเสียงภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ที่ใช้ต่างไปจากปัจจุบัน
เมื่อสมัยก่อนนั้น ผมก็เห็นว่ามันแปลกและดูไม่สอดคล้องกับการออกเสียงที่เราได้เรียนรู้มาเลย ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ในปัจจุบันนี้ (เริ่มตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ) จึงได้เปลี่ยนไปหมด ได้เห็นที่เขาเขียนในปัจจุบันแล้วก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิด เช่น สถานีรถไฟหาดใหญ่นั้น สมัยก่อนเขียนว่า Haad Yai แต่ในปัจจุบันนี้เขียนว่า Hat Yai นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็เลยต้องอ่านว่า แฮดใหญ่ ไม่ใช่หาดใหญ่   และยังมีอีกมากเกี่ยวกับชื่อสถานที่นี้ ตามป้ายใน กทม. ก็เยอะโขทีเดียว มันก็เป็นปัญหาสำหรับแท็กซี่และสามล้อเครื่องต่างๆ รวมทั้งคนอื่นๆและผมด้วย นักท่องเที่ยวบอกสถานที่ๆจะไปอย่างไรก็ไม่มีใครเข้าใจ ต้องควักเอาแผนที่ออกมาแสดงกัน แล้วก็มีเสียง อ้อ ด้วยกันทั้งคู่ แล้วก็ใช่ว่าคนที่ถูกถามนั้นจะอ่านภาษาอังกฤษในแผนที่ออก ยังต้องเสียเวลาพยายามอธิบายกันข้างทางอีกนานกว่าจะถึงบางอ้อกัน จราจรก็ติดขัดไป

ในเรื่องของตัวอักษรภาษาไทยแทนเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษนั้น ผมว่าในเรื่องอื่นๆก็พอทน แต่ในเรื่องหนังสือเดินทางนี่ซิ มันก็สร้างปัญหาพอสมควรเลยทีเดียว ตั้งแต่ไปขอวีซ่า จนตรวจคนเข้าเมือง   สมัยก่อน ตัว ภ สะกดด้วย bh สมัยใหม่สะกดด้วย ph หรือตัว ว ที่สะกดด้วย w ก็มี v ก็มี  หรือคำว่า ดี ที่สะกดด้วย di หรือ dee  หรือ เสียงของสระ อู แทนที่จะแทนด้วย oo ก็ใช้ u       ครอบครัวหนึ่งจะเดินทางด้วยกัน แต่ละคนไปทำหนังสือเดินทาง พ่อเคยเดินทางมาก่อนก็สะกดนามสกุลอย่างหนึ่ง สำหรับลูกเจ้าหน้าที่เขาก็สะกดให้อีกอย่างหนึ่ง  ไปขอวีซ่าก็ยุ่งพอแล้ว แทนที่จะง่ายก็กลายเป็นว่าสับสนต้องเอาตัวไปยืนยันกัน พอต้องผ่าน ตม.ขาเข้า ก็ยุ่งต่อไปอีก   ไอ้ที่แย่กว่านั้นก็คือ ประกาศในสนามบินหรือที่อื่นๆ คนประกาศเขาก็อ่านตามที่เขาเห็นว่่าภาษาอังกฤษต้องอ่านออกเสียงอย่างไร คนฟังก็ไม่รู้ว่าการประกาศนั่นกำลังเรียกตนเอง ซึ่งเรื่องนี้มิใช่เกิดเฉพาะกับคนไืทย คนชาติอื่นๆก็เยอะเหมือนกัน

คิดให้หงุดหงิดก็หงุดหงิด คิดให้เป็นเรื่องอื่นก็สบายใจ เช่น เมื่อต้องผ่าน ตม.เขาก็จะตรวจสอบในคอมพิวเตอร์ หากเคยเกิดปัญหาเข้าเมืองมาก่อน เปลี่ยนวิธีสะกดชื่อในหนังสือเดินทางให้ประหลาดไปเลยก็อาจรอดได้เหมือนกัน (ไม่ยกตัวอย่างละครับ)

ทำให้นึกถึงเรื่องป้ายชื่อร้านค้าจีนที่แปลชื่อเป็นภาษาอังกฤษติดหราอยู่หน้าที่ทำการ (เรื่องจริงในฮ่องกง) หจก.ฟุคหยู เขียนด้วยภาษาจีนบรรทัดบนแล้วมีภาษาอังกฤษในบรรทัดถัดลงมา คำแรกแทนที่จะแทนเสียงด้วย oo กลับไปใช้ u คำหลังแทนที่จะแทนเสียงด้วย u กลับไปใช้ oo  ก็นึกถึงผลกันเอาเองนะครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 มิ.ย. 12, 19:12
อันนี้ ขออย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องโฆษณานะครับ
ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์อย่างมากสำหรับทุกๆคน เพื่อการศึกษา เพื่อการตรวจสอบตนเอง และเพื่อการประเมินตนเองว่า เราเข้าใจอะไรดีพอหรือยัง หรือจะต้องพัฒนาตนเองไปอีกมากน้อยเพียงใด
ผมเดินทางและใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศมาพอควร ก็ยังเห็นว่าตนเองก็ยังไม่พ้นไปจากสภาพดังกล่าวนี้  จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดอะไร

http://www.engrish.com/ (http://www.engrish.com/)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 09 มิ.ย. 12, 21:04
ขอมาร่วมแจมกระทู้นี้อีกคนนะคะ เนื่องด้วยเป็นคนที่เดินทางมากมายเช่นกัน มีเรื่องเล่ามาแบ่งปันกันค่ะ

เห็นคุณเทาชมพูเล่าเรื่อง ตม. ที่อเมริกา แล้วก็นึกถึงปีก่อนไปซานฟราน รอๆๆๆ แถว ตม. ยาวเหยียดจนขาแข็งตามปกติ พอผ่านตรวจเอกสารไปได้ โดนเรียกไปตรวจกระเป๋า เจ้าหน้าที่ชายชาวอเมริกันตาสีฟ้าหันมาหายิ้มให้แล้วพูดว่า

เจ้าหน้าที่: "คนไท้?"
ตัวเอง: "Yes" (แบบงงๆ)
เจ้าหน้าที่: "มี หมูย๊อง ฝ่อยท้อง มั๊ย" (พูดไปเอามือจับๆ ของในกระเป๋าเป็นพิธี)
ตัวเอง: "No ไม่มี" (ชักสับสนไม่รู้จะตอบภาษาอะไรดี)
เจ้าหน้าที่: "ขอบคุ๊ณขับ" (พร้อมยิ้มให้อย่างหวานหยด)

เลยสอบถามเจ้าหน้าที่ต่อ ทราบว่ามีภรรยาเป็นคนไทย ชอบเรียกคนไทยที่สนามบินเพราะอยากคุยด้วย คนไทยน่ารัก ชอบสอนภาษาไทยให้ด้วย เลยชมไปว่าพูดไทยเก่งนะ แม้จะไม่ชัดแบบคนไทยแต่ก็ฟังออกนะว่าพูดอะไร เจ้าหน้าที่มีแอบเขินหนึ่งที ก่อนปล่อยจากจุดตรวจกระเป๋าไปแบบแฮปปี้ทั้งคนตรวจและคนถูกตรวจ  :D :D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 มิ.ย. 12, 21:08
http://www.engrish.com/ (http://www.engrish.com/)

เอ็นไก่ทอด = N letter fried chicken

หนังไก่      =  chicken movie

รายการบนสุด ให้ทายว่าเป็นอาหารอะไร

chicken praises

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 09 มิ.ย. 12, 21:26
ต่อด้วยบังคลาเทศจากเรื่องเล่าของคุณนวรัตน์

เมืองหลวงของบังคลาเทศ ออกเสียงอย่างภาษาอังกฤษคือ ดั๊กก้า ส่วนคนท้องถิ่นออกเสียงว่า ฮั๊กก้า ... ต่ายมีเหตุให้ต้องไปทำงานเข้าๆ ออกๆ บังคลาเทศมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ ก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศมากพอสมควร ... ล่าสุดก็เพิ่งกลับมาเมื่อประมาณสองสัปดาห์นี้เองค่ะ ... ตอนนี้โรงแรมที่ดั๊กก้าที่พอจะอยู่สบายหน่อยคือเรดิสัน (อยู่ใกล้ๆ สนามบิน) และเวสทิน (ในตัวเมือง) ค่ะ สองโรงแรมนี้เต็มตลอด

ส่วนโรงแรมที่เคยดีในอดีตอย่างเชอราตัน (ซึ่งตอนนี้ถูกซื้อไปแล้วและเปลี่ยนชื่อเป็น Ruposhi Bangla) กับแพนแปซิฟิก ก็มีปัญหารถติดอย่างมหาศาลเพราะทำเล และเรื่องความปลอดภัย (เชอราตันเคยโดนระเบิดไปหนึ่งครั้ง)

ฝากภาพตลกน่าทึ่งอันนึงให้ดูค่ะ ถ่ายเมื่อปีที่แล้ว ระหว่างเดินทางจากตัวเมืองดั๊กก้าไปอีกเขตหนึ่งชื่ออุททาร่าซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรม ถนนหลักระหว่างเขตนี้เป็นถนนแคบๆ สองเลน ซึ่งปกติรถติดอยู่แล้ว แต่วันนั้นมันผิดปกติมาก รถแทบไม่ขยับเลย ผ่านไปชั่วโมงกว่า กระดื๊บไปได้สักสามสิบเมตรก็เห็นสาเหตุว่า มีรถตู้คอนเทนเนอร์จอดเสียอยู่เลนตรงข้าม รถจึงติดสนั่นเพราะรถสองเลนมาเบียดเหลือเลนเดียว เข้าใจว่ารถจะดับ ก็นั่งกลุ้มอยู่ว่าจะไปได้ยังไง ทันใดนั้นชาวบังคาเทศที่ทนรถติดไม่ไหวก็พากันเฮโลไปเข็นรถประมาณยี่สิบกว่าคน ตอนแรกก็นึกปรามาสอยู่ในใจว่า คนยี่สิบกับรถคอนเทนเนอร์ จะไหวหรือ แต่ผ่านไปห้านาที ความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น รถเคลื่อนจากผิวถนนไปยังไหล่ทางได้จริงๆ น่าทึ่งสุดๆ เลยค่ะ  8) 8) 8)

(https://fbcdn-sphotos-a.akamaihd.net/hphotos-ak-snc6/34821_185526244791544_1786028_n.jpg)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 09 มิ.ย. 12, 21:27
http://www.engrish.com/ (http://www.engrish.com/)

เอ็นไก่ทอด = N letter fried chicken

หนังไก่      =  chicken movie

รายการบนสุด ให้ทายว่าเป็นอาหารอะไร

chicken praises

 ;D

ขอทายว่า "ยำไก่ยอ" ค่ะ  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 มิ.ย. 12, 21:57
ข้อความโดย: กระต่ายหมายจันทร์
อ้างถึง
... ต่ายมีเหตุให้ต้องไปทำงานเข้าๆ ออกๆ บังคลาเทศมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ ก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศมากพอสมควร ... ล่าสุดก็เพิ่งกลับมาเมื่อประมาณสองสัปดาห์นี้เองค่ะ

เดี๋ยวนี้เขาเลิกกินหมากกันหรือยังครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 มิ.ย. 12, 22:14
เดาว่าคงยังกินกันอยู่

เห็นที่พม่าก็ยังกินกันอยู่เป็นล่ำเป็นสัน

แผงขายหมากพลู ของสำคัญของชาวพม่า

มีทั่วไปทุกมุมถนน

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4676.0;attach=29039;image)

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 09 มิ.ย. 12, 22:16
ข้อความโดย: กระต่ายหมายจันทร์
อ้างถึง
... ต่ายมีเหตุให้ต้องไปทำงานเข้าๆ ออกๆ บังคลาเทศมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ ก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศมากพอสมควร ... ล่าสุดก็เพิ่งกลับมาเมื่อประมาณสองสัปดาห์นี้เองค่ะ

เดี๋ยวนี้เขาเลิกกินหมากกันหรือยังครับ

ไม่ค่อยเห็นแล้วค่ะ เปลี่ยนมาสูบบุหรี่แทน  :'( :'(


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 มิ.ย. 12, 23:16
อ้างถึง
เห็นที่พม่าก็ยังกินกันอยู่เป็นล่ำเป็นสัน

อ้างจาก: เพ็ญชมพู
อ้างถึง
แผงขายหมากพลู ของสำคัญของชาวพม่า

มีทั่วไปทุกมุมถนน

จากรูป แสดงว่ายังไม่พัฒนา

รูปนี้ก็ จากประเทศที่ยังไม่พัฒนาเหมือนกัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 มิ.ย. 12, 23:19
ส่วนนี่ ที่ไทเป ไต้หวัน
ประเทศที่พัฒนาแล้ว

ผมเห็นครั้งแรกยังงงว่า นี่เธอเล่นขายอะไรกันโจ้งๆข้างถนนอย่างนี้
เพื่อนคนจีนที่นั่นบอกว่า ขายหมาก

ผมยิ่งงงใหญ่


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 มิ.ย. 12, 06:35
วัฒนธรรมการกินหมากของไทยเป็นเรื่องของคนแก่ กำลังจะเลือนหายไป

แต่ไปรุ่งเรืองและเป็นเรื่องของวัยรุ่นในดินแดนใหม่ที่ชื่อคล้ายกัน
Taiwan

http://www.youtube.com/watch?v=b9-UNOJcmUM&feature=related

http://www.youtube.com/watch?v=pINhS6W2qL0&feature=player_embedded#at=539

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 มิ.ย. 12, 18:32
เห็นที่พม่าก็ยังกินกันอยู่เป็นล่ำเป็นสัน

เรื่องการกินหมากของพม่านี้ ผมมีข้อสังเกตอยู่บางประการ คือ
  -คนที่มีหมากเคี้ยวอยู่ในปากตลอดเวลา เกือบทั้งหมดจะเป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ซึ่งส่วนมากหรือแทบจะทั้งหมดจะเป็นคนเชื้อสายอื่นที่มีสายสัมพันธ์ทางกรรมพันธุ์กับชาติพันธุ์ที่อยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศ    คนเชื้อสายพม่า (ม่าน) จริงๆ รวมทั้งคนมอญ กะเหรี่ยง ดูจะกินหมากอย่างค่อนข้างจะเป็นกิจลักษณะ คือ เมื่อขึ้นบ้านเขา รับรองแขก และในเวลาพักผ่อน พักกาย ซึ่งสำหรับพวกไทยใหญ่นั้นเืกือบจะไม่เห็นเลย       
  -ภาพของน้ำหมากเต็มไปหมดบริเวณรอยต่อของผนังกับพื้นและโดยเฉพาะบริเวณโคนเสาอาคารนี้ จะพบมากในเมืองย่างกุ้ง และจะพบน้อยลงไปเรื่อยๆในเมืองตามเส้นทางขึ้นเหนือ ตองอู พิมมะนา (เมืองหลวงในปัจจุบัน) พุกาม จนพบน้อยในมัณฑะเลย์ และเกือบจะไม่เห็นคนกินหมากเลยเหนือมัณฑะเลย์ขึ้นไป   ภาพนี้มิไช่จะเห็นเฉพาะในเขตประเทศพม่า ยังเห็นได้ตามแนวชายแดนไทย-พม่าอีกด้วย 

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มิ.ย. 12, 21:27
กลายเป็นเรื่องหมาก เป็นล่ำเป็นสันเสียแล้ว    เรื่องนี้ยอมแพ้  ไม่มีความรู้ค่ะ

กลับมาเรื่องจีน 
จากประสบการณ์  น้ำเปล่าในเมืองจีนและน้ำแข็งที่ใส่เหยือกมาให้เวลากินอาหารในภัตตาคาร  ใช่ว่าจะไว้ใจได้     เพราะเคยเลือกกินน้ำเปล่าแทนจะกินโค้กมาแล้ว    ปรากฏว่าท้องเสีย   แต่ข้อนี้ขอกล่าวโทษน้ำเพียง ๕๐%   อีก ๕๐%  โทษที่ผักสดงามๆที่เขาเอามาผัดให้กิน เพราะมีข่าวเล่าลือตามมาทีหลัง   ว่ายังใช้ปุ๋ยธรรมชาติอยู่   ไม่รู้ว่าล้างสะอาดหรือเปล่า
ผลจากอาหารและน้ำดื่มก็เลยทำให้ต้องไปใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างไม่มีทางเลี่ยง     จึงพบว่า เทศบาลจีนสร้างสวนสาธารณะได้สวยงามเป็นระเบียบ  สนามหญ้าเรียบ แปลงดอกไม้ทะนุบำรุงจนงามตา      ไม่มีตรงไหนเกะกะรุงรังในสวนกว้างใหญ่    ยกเว้นอย่างเดียวคือทุกขาของเขายังคงสภาพทุกขาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง   
ห้องส้วมของจีน เป็นยกพื้นเทปูนเก่ากระดำกระด่าง  ที่มีรางด้านล่างแล่นผ่านในแต่ละห้องต่อเนื่องกัน     ในรางมีสิ่งปฏิกูลตกค้างอยู่มากมาย  นานๆจึงจะเปิดน้ำล้างรางนี้เสียที     ระหว่างยังไม่เปิด  สภาพสยองขวัญก็จะคงอยู่อย่างนั้น   ก็ไม่เห็นคนจีนเขาสะดุ้งสะเทือนอะไร
รางแบบนี้มีแม้แต่ในภัตตาคาร   อุตส่าห์ปูกระเบื้องก็จริง แต่สภาพก็พอๆกัน

ถ่ายรูปเอาไว้เหมือนกันค่ะ  แต่ดูแล้วไม่เอาลงในกระทู้ดีกว่า   ใครอยากเห็นไปหาดูในกูเกิ้ลเอง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มิ.ย. 12, 21:33
ขอจบเรื่องจีนเพียงแค่นี้ เพื่อจะไม่ทำลายการเจริญอาหารของชาวเรือนไทย
มาต่อเรื่องการเดินทางดีกว่า

ที่นี่ (ซึ่งแก๊งค์ลูกน้ำและไม่ใช่ลูกน้ำคงรู้แล้วว่าที่ไหน) มีที่พักคนเดินทางเรียกว่า Rest Area  ให้แวะจอดรถพักกินอาหารกัน เป็นระยะตามนอกเมืองของเมืองต่างๆ   
จุดแวะพักไม่มีร้านอาหาร   มีแต่ตัวอาคาร ข้างในเป็นห้องน้ำสาธารณะกว้างใหญ่ ที่สะอาด   ไม่รู้ว่าคนงานอยู่ตรงไหนเพราะไม่เคยเห็น แต่เขาก็ดูแลดี    ยกเว้นบางรัฐที่ออกจะไกลปืนเที่ยง  มี rest area บ้านนอกจริงๆคือเป็นชักโครกที่ข้างล่างเป็นส้วมหลุมลึกลงไป   แต่ตัวห้องน้ำและสุขภัณฑ์ขาวสะอาดไม่แพ้เมืองใหญ่

ส่วนในรูปที่ถ่ายมาให้ดู   เป็นเรสต์แอเรียที่เทศบาลเนรมิตหญ้าเขียวและต้นไม้ร่มรื่นขึ้นมาจากบริเวณที่เป็นดินปนทรายแห้งแล้งของแถบภูเขา    กลายเป็นโอเอซิสอยู่จุดเดียว  ให้รถต่างๆแวะมาพักผ่อน กินอาหารที่หอบใส่รถกันมาเอง และเข้าห้องน้ำ ก่อนเดินทางต่อไป
ลงจากรถไปนั่งใต้ร่มไม้  เกือบจะนึกว่าอยู่ในบ้านเรา 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 มิ.ย. 12, 21:36
ส่วนภูมิประเทศรอบๆ    หน้าตามันเป็นแบบนี้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มิ.ย. 12, 05:40
ขอคั่นโปรแกรมด้วยข่าวล่าสุด  ค่ะ

ความจริงก็มาที่นี่ทุกปี(เพียงแต่บอกบ้างไม่บอกบ้าง กับชาวเรือนไทย) แต่ไม่เคยเจอปีไหนดุเท่าปีนี้เลย
เจอประกาศเตือนพายุหมุนทอร์นาโดมาหยกๆ  ต้องนั่งถ่างตาเฝ้าหน้าจอช่องพยากรณ์อากาศ   จนกระทั่งเขาประกาศว่าปลอดภัย    ข่าวบอกว่าปีนี้มี ๕ ลูกนัดกันมาติดๆ    จากนั้นพายุลูกเห็บมาถึง   น้ำแข็งร่วงกราวทำเอารถที่จอดในลานหลังบ้าน กระจกหน้าร้าวไปคันหนึ่ง

วันนี้ ทีวีออกข่าวว่าเกิดไฟป่าบนภูเขา  ในเมืองใกล้ๆห่างจากเมืองนีัไป ๓๐ ไมล์    ทางการกำลังระดมกำลังดับกันจ้าละหวั่น  กะกันว่าเนื้อที่ครอบคลุมประมาณ ๑๔,๐๐๐ เอเคอร์บนภูเขา  ตอนนี้ไฟเขมือบไปเรียบร้อยแล้วประมาณ ๘๐๐๐ เอเคอร์   อาคารหมดไปแล้ว ๑๕ หลัง
น่ากลัวมาก  สามารถมองเห็นได้จากเมืองใกล้ๆ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มิ.ย. 12, 05:48
ตอนนี้ผู้คนกำลังอพยพกันอยู่ค่ะ   ไฟยังไม่มีท่าทีว่าจะสงบ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มิ.ย. 12, 11:55
กลิ่นควันไฟจางๆลอยมาถึงเมืองที่อยู่แล้ว   แต่อีกเมืองหนึ่งที่อยู่ใกล้กว่า ชาวบ้านต้องเข้าบ้านปิดประตูหน้าต่างให้สนิท แล้วเปิดแอร์เอา   ไม่งั้นจะแสบตาแสบจมูก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 มิ.ย. 12, 20:12
คุณเทาชมพูจะขอหลบไปจากเรื่องสุขาในจีน แต่ผมจะขออนุญาตเล่าต่อในอีกมุมหนึ่ง

ดังที่คุณเทาชมพูได้เกริ่นไว้ว่า สุขาในจีนนั้น มีสารพัดแบบทั้งแบบแยกห้อง (แต่ประตูใช้การไม่ได้) ซึ่งจะพบเห็นในอาคาร ห้างสรรพสินค้า และแบบนั่งรวมในโรงสุขา (นั่งเห็นหน้ากัน) ซึ่งจะพบเห็นในแหล่งท่องเที่ยวหรือ rest area (ถึงแม้ผมจะไม่กล้าที่จะใช้ในจีน แต่ก็เคยใช้เมื่อสมัยเป็นนักเรียนทั้งสองแบบ)
   
ผมคิดว่าเรื่องนี้ในจีนนั้น มันมีทั้งที่เป็นวัฒนธรรมแต่เดิมและที่ถูกบังคับโดยระบบในยุคหลังๆ
สำหรับเรื่องที่เป็นในเชิงของวัฒนธรรมนั้น ผมไม่รู้ถ่องแท้ในจีน แต่ได้รู้จากสิ่งที่ถ่ายทอดมาอยู่ในเกาหลีและญี่ปุ่น (ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากจีน)
ที่เกาหลีนั้น นักท่องเที่ยวมักจะต้องถูกพาไปที่เมืองหนึ่ง ซึ่งมีสถานที่จำลองสภาพของหมู่บ้านและบ้านเรือนของคนเกาหลีในอดีต ผมจำไม่ได้ว่าชื่อเมืองอะไร (อยู่ห่างจากเมืองหลวงไกลโขอยู่) เป็นสถานที่ๆใช้ถ่ายภาพยนต์สมัยเก่า หากสังเกตดีๆจะเห็นภาชนะไม้รูปทรงคล้ายๆกลองแขก ยาวประมาณ 50 ซม. มีกรวยปากแตรอยู่ที่ด้านข้างของท่อนไม้ ภาชนะนี้คือที่ใส่มูลและปัสสาวะครับ เพื่อเอาไปทำปุ๋ยสำหรับแปลงผักแปลงนา เป็นสิ่งที่ขายได้และก็เป็นธุรกิจที่ดี   ในญี่ปุ่น ก็เช่นกัน เป็นธุรกิจหลักรายได้ดีอย่างหนึ่งในสมัยเอโดะ
สำหรับในเชิงของระบบในยุคหลังๆที่ถ่ายทอดต่อๆมานั้น เนื่องจากแต่ละคอมมูนจะต้องเป็นแหล่งผลิตที่ค่อนข้างจะพึ่งพาตนเองได้ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะต้องเอามาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด (ประมวลเอามาจากภาพของคอมมูนหลังม่านเหล็ก) ดังนั้น จึงไม่ค่อยจะแปลกใจที่จะเห็นสุขารวม

ผมเคยเห็นภาพในจีนที่คนหนึ่งนั่งถ่ายหนัก อีกคนหนึ่งยืนคุยด้วย จะไม่มีเวลาอื่นใดอีกหรือไงก็ไม่ทราบ   ทำให้ผมพาลนึกไปถึงว่า บางทีโรงสุขาอาจจะเป็นสถานที่ๆใช้สำหรับแอบคุยหรือแอบทำอะไรลับๆกันก็ได้ เหมือนอย่างที่เคยทำกันเมื่อสมัยเป็นเด็กนักเรียน  ซึ่งก็อาจจะด้วยเหตุนี้อีกด้วย จึงนิยมใช้สุขารวมในจีน



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 มิ.ย. 12, 20:45
อ้างถึง
บางทีโรงสุขาอาจจะเป็นสถานที่ๆใช้สำหรับแอบคุยหรือแอบทำอะไรลับๆกันก็ได้ เหมือนอย่างที่เคยทำกันเมื่อสมัยเป็นเด็กนักเรียน

ฮ้า ! ทำอะไรหรือครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 มิ.ย. 12, 21:09
ความสุขในห้องสุขาที่ปนไปด้วยความทุกข์ใจอย่างมากของผมครั้งหนึ่ง เกิดในเขมรครับ

วันหนึ่งต้องเดินทางจากพนมเปญไปเมืองชื่ออะไรจำไม่ได้ อยู่ริมทะเลสาปใหญ่ เพื่อไปดูแข่งเรือ  วันนั้นท้องไม่ค่อยดี ต้องทนนั่งในรถตู้โขยกเขยกไปตามทางลาดยางที่ผิวจราจรเหลือสัก 50% กระมัง ตอนรถรอข้ามน้ำด้วยเท้ง (แพขนานยนต์) ได้จังหวะก็ถามหาที่ปลดทุกข์ เพราะไม่ใหวจริงๆแล้ว  เจ๋งเลยครับ ต้องเดินบนสะพานไม้สองแผ่นประมาณ 15 เมตร ข้ามแอ่งน้ำ ไปยังกล่องไม้ที่สร้างอยู่บนเสาสี่เสาอยู่สูงเหนือน้ำสักประมาณ 2 เมตรกว่าๆ ผมใช้คำว่ากล่อง เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดี เป็นทรงสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 1.5 เมตร พื้นไม้เป็นร่องให้ถ่าย ฝาด้านข้างรอบด้านใช้ไม้กระดานประมาณ 4 แผ่นตีบังเอาไว้ ก็สูงประมาณ 1 เมตรเห็นจะได้ เอาละต้องสู้ สุดทนแล้วนี่ เรื่องยุ่งยากก็เริ่มจากปลดกางเกงลงมา ที่ก็แคบ ยืนปลดคนก็เห็นหมด แถมร่องยังบังคับอีกด้วยให้หันหน้าได้สองทิศเท่านั้น ก็พยายามปลดกางเกงลงมาจนนั่งได้ แต่ฝาที่บังนี้ซี มันบังได้เพียงประมาณใหล่เท่านั้น นั่งมองเขาได้ทั่ว เขาก็มองเห็นเราได้ทั่ว นึกสภาพแล้วก็เหมือนเป็ดลอยน้ำหัวโผล่อยู่ เด่นเป็นเป้าสายตา

มีความสุขที่ปนไปด้วยความทุกข์อย่างแท้จริงเลยทีเดียว

ส้วมในลักษณะนี้ พบเห็นได้ทั่วไปตลอดเส้นทางนอกเมืองฮานอย (เวียดนาม) เช่นกัน ซึ่งจะตั้งอยู่กลางคูน้ำข้างทาง คูน้ำนี้ใช้เลี้ยงปลา และน้ำก็ใช้รดสวนผัก  เจ้าหน้าที่ของเวียดนามเองยังบอกเมื่อตอนต้องแวะกินอาหารเที่ยงที่ต้องแนมด้วยผักสดว่า ผักสดนี้ล้างสะอาดมาก แต่หากไม่มั่นใจและจะไม่กินก็ไม่เป็นไร  ผมเชื่อนะครับว่าคนเวียดนามเป็นคนสะอาดมาก เห็นเขาล้างผักกันและการเตรียมอาหารกันแล้ว ต้องยอมรับว่าดูจะสะอาดมากกว่าร้านอาหารในบ้านเราเสียอีก แต่ อืม์ ก็ยังอดตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่ได้อีกนั่นแหละ    



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 มิ.ย. 12, 21:17
อ้างถึง
บางทีโรงสุขาอาจจะเป็นสถานที่ๆใช้สำหรับแอบคุยหรือแอบทำอะไรลับๆกันก็ได้ เหมือนอย่างที่เคยทำกันเมื่อสมัยเป็นเด็กนักเรียน

ฮ้า ! ทำอะไรหรือครับ

 :D  โดนเบรคซะแล้ว  สมัยเด็กก็แอบสูบบุหรี่เป็นหลัก อย่างอื่นๆนั้นก็สุดแท้แต่ผู้ใดจะคิดใช้สถานที่นี้แอบทำอะไร


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 มิ.ย. 12, 21:29
ถามเฉยๆ ไม่ได้เจตนาเบรคท่าน  8)

ก็เพียงอยากทราบว่าบรรยากาศเช่นนั้น ท่านไปแอบทำอะไรที่ว่าลับๆ นึกว่าไปหาหนูอ้วนๆมาทำอาหารป่าซะอีก

ว่าแต่ว่า เวลาสูดควันเข้าปอด กลิ่นอื่นมันตามเข้าไปด้วยหรือเปล่าละครับนั่น


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 มิ.ย. 12, 22:23
เพื่อสร้างความหลากหลายขอบ่นเรื่องห้องน้ำในอังกฤษหน่อยครับ

ที่ประเทศอื่นเป็นอย่างไรไม่ทราบ ผมเองก็มีประสบการณ์แค่ในไทยกับอังกฤษ ห้องน้ำในอังกฤษนั้น ก๊อกน้ำมักจะแยกก๊อกน้ำร้อน เย็นเอาไว้
เข้าใจว่าในวัฒนธรรมแบบโบราณ เค้าคงต้องการจะผสมน้ำร้อนน้ำเย็นจากคนละก๊อกไว้ให้เป็นน้ำอุ่นในอ่างล้างหน้า แล้วใช้วักล้างเอา
ทีนี้ยุคสมัยปัจจุบัน ก๊อกแบบที่ผสมน้ำร้อนเย็นออกมาจากก๊อกเดียวก็มีขายมานานแล้ว ห้องน้ำจำนวนมากในอังกฤษรวมทั้งห้องน้ำสาธารณะยังเลือกที่จะแยกก๊อกน้ำร้อนและน้ำเย็นอยู่อีก
ทั้งที่ห้องน้ำสาธารณะเหล่านี้ คงไม่มีใครกล้าผสมน้ำในอ่าง เพราะมั่นใจความสะอาดของอ่างไม่ได้
ปัญหาคือไอ้เจ้าน้ำร้อนก็ร้อนจี๋แทบเดือด น้ำเย็นก็เย็นเจี๊ยบจนมือชา  จะล้างหน้าล้างมือแต่ละทีนี่ลำบากมาก  หาจุดสมดุลไม่ได้
ก๊อกที่รวมน้ำร้อนเย็นไว้ก๊อกเดียวกัน มักจะเป็นก๊อกน้ำในครัว  แต่ในห้องน้ำก็ยังแยกก๊อกไว้ แม้แต่ในบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ๆ ก็ตาม
ถามคนอังกฤษว่าทำไมแยกแบบนี้ เค้าบอกไม่รู้  มันสุดจะไม่สะดวกเสียนี่กระไร  จนวันนี้ผมยังหาเหตุผลดีๆ ที่ฝรั่งยังต้องแยกก๊อกไม่ได้เลย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 11 มิ.ย. 12, 22:50
เห็นด้วยกับคุณประกอบค่ะ ก๊อกแยกร้อนจัดเย็นจัดของอังกฤษมันช่าง ... ถ้าอยู่ในบ้านเราเองก็ทำใจได้ว่าสะอาดพอจะผสมน้ำในอ่างเพื่อล้างมือ แต่ถ้าเป็นห้องน้ำนอกบ้าน ต้องกัดฟันล้างมือในน้ำเย็นจัด ล้างเสร็จมือชาไปเลยทีเดียว ส่วนตัวเป็นคนชอบล้างมือบ่อยๆ ตลอดวัน มือชากันทั้งวัน นิ้วแข็งแทบจะกดคีย์บอร์ดไม่ได้ :-\ :-\ :-\


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 มิ.ย. 12, 01:58
ดิฉันเปิดก๊อกน้ำร้อน  แล้วล้างอย่างรวดเร็วก่อนน้ำจะทันร้อนค่ะ   บางทีน้ำเกิดร้อนเร็ว  ลวกมือไม้แทบพอง   แต่ก็ยังดีกว่าน้ำเย็นเจี๊ยบ  มันหนาวไปทั้งตัว
***************
ขอต่อเรื่องไฟป่าอีกนะคะ   จนบัดนี้ยังดับไม่ได้   ไฟป่าลามไปประมาณ 37,000 เอเคอร์แล้ว  มากกว่าที่ประเมินไว้แต่แรกแค่ 14,000 เอเคอร์
ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องคน  เพราะทางการสามารถเตือนผู้คนบนภูเขาให้อพยพลงมาทัน    แต่เป็นข่าวที่คุณเพ็ญชมพูคงจะใจไม่ดีไปด้วย คือสัตว์ป่าบนภูเขาหนีไฟไม่ทัน     ข้างบนเทือกเขาเป็นวนอุทยานแห่งชาติหลายแห่งด้วยกัน   และมีสัตว์ป่าสงวนอยู่มากมาย
เข้าใจว่าจะเกิดการสูญเสียชีวิตสัตว์ป่ากันอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=JMIgsqivTHw

ยังไม่รวมควันไฟที่จะมารมชาวเมืองอีกหลายเมืองด้วยกัน บนที่ราบเชิงเขาข้างล่าง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 มิ.ย. 12, 02:07

ต้องเดินบนสะพานไม้สองแผ่นประมาณ 15 เมตร ข้ามแอ่งน้ำ ไปยังกล่องไม้ที่สร้างอยู่บนเสาสี่เสาอยู่สูงเหนือน้ำสักประมาณ 2 เมตรกว่าๆ ผมใช้คำว่ากล่อง เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรดี เป็นทรงสี่เหลี่ยม กว้างยาวประมาณ 1.5 เมตร พื้นไม้เป็นร่องให้ถ่าย ฝาด้านข้างรอบด้านใช้ไม้กระดานประมาณ 4 แผ่นตีบังเอาไว้ ก็สูงประมาณ 1 เมตรเห็นจะได้ เอาละต้องสู้ สุดทนแล้วนี่ เรื่องยุ่งยากก็เริ่มจากปลดกางเกงลงมา ที่ก็แคบ ยืนปลดคนก็เห็นหมด แถมร่องยังบังคับอีกด้วยให้หันหน้าได้สองทิศเท่านั้น ก็พยายามปลดกางเกงลงมาจนนั่งได้ แต่ฝาที่บังนี้ซี มันบังได้เพียงประมาณใหล่เท่านั้น นั่งมองเขาได้ทั่ว เขาก็มองเห็นเราได้ทั่ว นึกสภาพแล้วก็เหมือนเป็ดลอยน้ำหัวโผล่อยู่ เด่นเป็นเป้าสายตา

ส้วมแบบที่ว่า ดิฉันเข้าใจว่าสมัย 100 ปีก่อน ไทยเราก็มีเหมือนกัน  สร้างไว้ริมคลอง     แต่ผนังน่าจะสูงกว่า 1 เมตร ถึงขั้นสูงเลยหัว   สามารถบังผู้ใช้ได้หมด   
นึกถึงพระนิพนธ์ "แม่เล่าให้ฟัง"  ในสมเด็จฯกรมหลวงนราธิวาสฯ  ทรงเล่าถึงบ้านเดิมของสมเด็จพระศรีนครินทราฯ ว่ามีส้วมแบบนี้ตั้งอยู่ริมคลอง   เป็นส้วมที่สะอาดและไม่มีกลิ่น     จะเห็นได้ว่าพื้นล่างโปร่งมีอากาศถ่ายเทได้   ถ่ายลงน้ำก็เท่ากับน้ำพัดพาไปไม่ขังอยู่ในส้วม

ในยุคที่บ้านเมืองยังมีคนอยู่น้อยมาก   ส้วมแบบนี้จัดเข้าประเภทสุขา ไม่ใช่ทุกขาอย่างในเมืองจีน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 มิ.ย. 12, 02:55
ส่วนนี่ ที่ไทเป ไต้หวัน
ประเทศที่พัฒนาแล้ว

ผมเห็นครั้งแรกยังงงว่า นี่เธอเล่นขายอะไรกันโจ้งๆข้างถนนอย่างนี้
เพื่อนคนจีนที่นั่นบอกว่า ขายหมาก

ผมยิ่งงงใหญ่

ถ้าเด็กขายพวงมาลัยในบ้านเราแต่งแบบนี้มาขายพวงมาลัย    วันแรก  รถราคงชนกันวินาศแถวสี่แยก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 มิ.ย. 12, 05:13
ไฟป่า (ต่อ)
ที่นี่เป็นเวลาสี่โมงเย็นของวันจันทร์   ตรงกับตีห้าของวันอังคารในประเทศไทย
ติดตามฟังข่าวไฟป่าบนเทือกเขา   พบว่าจนป่านนี้ก็ยังสะกัดไม่อยู่  ไฟยังคงลุกลามไม่รู้จบ    อาคารบนภูเขาหมดไป 100 กว่าหลังแล้วค่ะ  เพราะที่นั่นเป็นแหล่งท่องเที่ยว   มีโรงแรมและรีสอร์ตอยู่หลายแห่ง
ควันเริ่มรมเมือง Fort Collins ที่อยู่ห่างเชิงเขาไปเพียง 15 ไมล์  กลายเป็นหมอกมุงเมือง   ถ้าหนากว่านี้ชาวเมืองเห็นจะแย่   ควันไฟจะทำให้หายใจไม่ออก

Fort Collins เป็นเมืองที่ตั้งของ State University    มีนักเรียนไทยเรียนอยู่แยะเหมือนกัน    สมัยก่อนโน้น  เมืองนี้เป็นแหล่งของพวกวิศวฯ จุฬา มาเรียน หรืออบรม หรือดูงานต่อ  โดยเฉพาะพวกเข้าทำงานในรัฐวิสาหกิจอย่างไฟฟ้า   เดินๆไปเจอหน้าก็จะคุ้นๆ เอ๊ะ  ฉันว่าฉันเคยเห็นแถวสามแยกปากหมา หรือระเบียงคณะอักษรฯ นี่นา

หาแผนที่จากเน็ต เพื่อดูว่ามันจะมาถึงเมืองที่อยู่หรือเปล่า     ไฟคงมาไม่ถึง เพราะข้างล่างเป็นทุ่งราบ  ไม่มีป่าเป็นเชื้อไฟ     แต่ถ้ายังลุกไหม้ลามไปเรื่อยๆบนภูเขา  ควันจะต้องมาถึงแน่นอน
ถ้าหายหน้าไปจากเรือนไทย  แปลว่าอพยพไปแล้วนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 มิ.ย. 12, 11:11
แยกกระทู้ไปแล้ว  กระทู้นี้เลยหล่นฮวบลงมา ต้องตามมาดึงขึ้นไป

เรื่องไฟป่า เมื่อตอนบ่ายยังมีกลิ่นควันไฟจางๆให้แสบตาเมื่อเดินในเมือง   แต่ตอนค่ำ กลิ่นหายไปแล้ว 
แสดงว่าควันลดน้อยลงแล้ว  ทางการควบคุมพื้นที่ได้อยู่ แม้ว่ายังดับไฟไม่ได้   ก็ถือว่าเมืองแถวนี้ปลอดภัย หมดห่วงไปที
เชิญคุณตั้งกลับมาเก็บตกเรื่องการเดินทางต่อไปค่ะ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 มิ.ย. 12, 20:33
ครับผม  ออกมาจากสุขาแล้ว เลยเก้ๆกังๆ ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางใหนดี

ต่อเรื่อง ในระหว่างช่วงที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปใหนนั้น มักจะเริ่มต้นที่ไปจองตั๋วเครื่องบิน เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้เดินทางด้วยสายการบินที่ต้องการ ตามเส้นทางที่ต้องการ และในราคาที่รับได้ 
เนื่องจากการชำระค่าตั๋วเครื่องบินนั้น มักจะกระทำก่อนวันเดินทางจริงระหว่าง 7 - 15 วัน ดังนั้น ในช่วงก่อนหรือระหว่างเวลานี้จึงไปขอวีซ่ากัน 
เมื่อได้วีซ่าแล้ว เป็นอันว่าทุกอย่างลงตัว เดินทางได้แน่ๆ เข้าประเทสที่ต้องการได้แน่ๆ

การซื้อตั๋วเครื่องบินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีเทคนิคอยู่พอสมควรทีเดียว  โดยปรกติเราก็ต้องคิดว่าไปจองไปซื้อที่บริษัทการบิน  แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซื้อกับบริษัททัวร์หรือตัวแทนที่ทำธุรกิจท่องเที่ยวจะง่ายและยืดหยุ่นกว่ามาก ด้วยเหตุผลหลายประการ  ซึ่งมีอยู่สองสามประการที่เป็นสาระสำคัญ คือ เรื่องแรก สำนักงานของสายการบินนั้นๆจะมีสำนักงานสาขากระจายอยู่ไม่มากและไม่ทุกท้องที่ จึงต้องมีการตั้งตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายโอกาสที่จะได้ผู้โดยสารมากขึ้น    เรื่องที่สอง บริษัทการบินจะขายที่นั่งให้กับบริษัททัวร์เป็นล๊อต หรือในอีกนัย บริษัททัวร์จะขอซื้อเป็นล๊อตจำนวนใดจำนวนหนึ่งขึ้นอยู่กับโปรโมชั่น ซึ่งหมายถึงมีการลดและแถม เช่น หากซื้อถึง 15 ที่นั่งก็จะได้แถมฟรีหนึ่งที่นั่ง ซึ่งจะเป็นส่วนกำไรให้กับบริษัททัวร์   เรื่องที่สาม เกี่ยวกับเงื่อนไขในการใช้ตั๋วกับราคาค่าตั๋ว
ทั้งสามเรื่องนี้เกี่ยวพันกันอย่างแยกไม่ออก ซึ่งคงจะไม่เล่าความเกี่ยวพันกันเหล่านี้

เอาเป็นว่า ตั๋วเครื่องบินของสายการบินใดๆที่ราคาถูกที่สุด คือ ประเภทกำหนดเที่ยวบินและวันที่จะบินทั้งไปและกลับ เรียกว่าเปลี่ยนหรือเลื่อนอะไรไม่ได้เลย จากนั้นก็เพิ่มราคาขึ้นไปเรื่อยๆตามเงื่อนไขของการอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงการเดินทางได้ เช่น เที่ยวบิน วันที่จะไป วันที่จะกลับ การแวะลงระหว่างทาง สายการบิน เส้นทางการบิน และรวมถึงช่วงระยะเวลาของปี ระยะเวลาการซื้อล่วงหน้า ตลอดจนอายุของตั๋วอีกด้วย เป็นต้น   การซื้อตั๋วเครื่องบินจากบริษัททัวร์จึงถูกมากกว่าการซื้อจากที่ทำการสายการบิน

ซื้อตั๋วเครื่องบินนั้น มีเรื่องที่จะต้องตรวจทานก่อนรับตั๋วเสมอ คือ การสะกดชื่อในตั๋วจะต้องตรงกับที่สะกดในหนังสือเดินทาง ดังนั้นเมื่อไปชำระเงินและรับตั๋วนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ขายจึงมักจะต้องขอให้เอาหนังสือเดินทางไปเพื่อตรวจสอบความถูกต้องด้วย   และในหลายๆครั้งที่เจ้าหน้าที่จะพลิกดูวีซ่าในหนังสือเดินทางด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่า หากสายการบินนั้นนำผู้โดยสารที่ไม่มีวีซ่าเข้าประเทศปลายทาง สายการบินจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบนำผู้โดยสารคนนั้นกลับมายังประเทศต้นทางด้วย
   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 12, 06:58
ถ้าซื้อจากประเทศไทย  ให้ตัวแทนของทัวร์เป็นคนจัดการให้   จะสะดวกและประหยัดอย่างที่คุณตั้งบอกไว้ค่ะ   

แต่ถ้าซื้อตั๋วเดินทางภายในประเทศ ของสหรัฐอเมริกา  ตอนนี้สะดวกมากคือสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ต   คีย์ข้อมูลเข้าไป ก็เรียบร้อย   
จากนั้นเขาก็ส่งหลักฐานมาทางอีเมล์ ให้พริ้นท์ออกมายื่นให้เจ้าหน้าที่ตอนเช็คอิน   หรือว่าจะเช็คอินเอง  กับเครื่องที่เคานเตอร์ด้วยตัวเองก็ได้ค่ะ

ในประเทศ มีสายการบินราคาต่ำ (low cost)  ที่ตั๋วถูกกว่าปกติ     พวกนี้มักจะเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก   ไม่เสิฟอาหาร อย่างดีก็มีเครื่องดื่มให้คนละถ้วยกระดาษ   
ที่เจออีกอย่างคือเขาคิดเงินค่ากระเป๋าเดินทางด้วย    ไม่ฟรีอย่างเวลาบินระหว่างประเทศ  และจำกัดจำนวนไม่เกิน 2 ใบ รวมใบที่ติดตัว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: samun007 ที่ 14 มิ.ย. 12, 11:07
อ้างจาก: naitang

เรื่องการกินหมากของพม่านี้ ผมมีข้อสังเกตอยู่บางประการ คือ
  -คนที่มีหมากเคี้ยวอยู่ในปากตลอดเวลา เกือบทั้งหมดจะเป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ซึ่งส่วนมากหรือแทบจะทั้งหมดจะเป็นคนเชื้อสายอื่นที่มีสายสัมพันธ์ทางกรรมพันธุ์กับชาติพันธุ์ที่อยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศ    คนเชื้อสายพม่า (ม่าน) จริงๆ รวมทั้งคนมอญ กะเหรี่ยง ดูจะกินหมากอย่างค่อนข้างจะเป็นกิจลักษณะ คือ เมื่อขึ้นบ้านเขา รับรองแขก และในเวลาพักผ่อน พักกาย ซึ่งสำหรับพวกไทยใหญ่นั้นเืกือบจะไม่เห็นเลย      
  -ภาพของน้ำหมากเต็มไปหมดบริเวณรอยต่อของผนังกับพื้นและโดยเฉพาะบริเวณโคนเสาอาคารนี้ จะพบมากในเมืองย่างกุ้ง และจะพบน้อยลงไปเรื่อยๆในเมืองตามเส้นทางขึ้นเหนือ ตองอู พิมมะนา (เมืองหลวงในปัจจุบัน) พุกาม จนพบน้อยในมัณฑะเลย์ และเกือบจะไม่เห็นคนกินหมากเลยเหนือมัณฑะเลย์ขึ้นไป   ภาพนี้มิไช่จะเห็นเฉพาะในเขตประเทศพม่า ยังเห็นได้ตามแนวชายแดนไทย-พม่าอีกด้วย  

ถ้าเป็นในประเทศไทย ผมแนะนำให้ไปดูที่ตลาดขายส่งผักและผลไม้ย่านรังสิต , คลองหลวง หรือแม้แต่โรงงนแถว ๆ พระราม ๒ ครับ รับรองว่าเจอน้ำหมากเยอะแน่ ๆ ไม่ได้มีเฉพาะที่ชายแดนหรอกครับ ถ้ารู้แหล่งแรงงานพม่า ก็จะหาไม่ยากครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 มิ.ย. 12, 11:11
เก็บตกข่าวไฟป่าที่ "ที่นี่" ของคุณเทาชมพู

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายนว่า เหตุไฟป่าในมลรัฐโคโลราโดและนิวเม็กซิโกของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ลุกลามกินพื้นที่ ๘๐ ตารางกิโลเมตร และ ๑๐๓ ตารางกิโลเมตร ตามลำดับ หลังจากเกิดลมแรงทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ทำให้ประชาชนหลายร้อยหลังคาเรือนต้องอพยพจากที่อยู่อาศัย

ข่าวจาก ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/oversea/267462)

คุณเทาชมพูเคยนั่งรถผ่านบ้านแถวนี้บ้างหรือเปล่า

 ;)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 12, 11:31
ตอนนี้ไฟป่ากินเนื้อที่เข้าไปกว่า 46,000 เอเคอร์แล้ว  ยังไม่ดับค่ะ  ถ้ามองจากทุ่งราบ  ยังมองเห็นควันสีขาวม้วนตัวขึ้นมาไม่ขาดสาย เป็นกลุ่มกระจายในวงกว้างมาก  
เครื่องบินทั้งโปรยสารเคมี และฉีดน้ำลงในป่า   ควบคุมไม่ให้ขยายออกไปได้ แต่ยังดับไม่ได้

เคยไปแถวไฟไหม้   ส่วนหนึ่งของป่าแถวนี้เป็นภูเขาชื่อ Horsetooth Reservoir   อยู่ไม่ห่างจาก Fort Collins มากนัก เป็นที่ชาวบ้านนิยมกันไปปิคนิค  เพราะมีทะเลสาบสวยมาก  โดยเฉพาะในเวลาเย็น ตะวันใกล้ลับเหลี่ยมเขา  
เอารูปจากอินทรเนตรมาให้ดู    


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 12, 11:34
อ้างจาก: naitang

เรื่องการกินหมากของพม่านี้ ผมมีข้อสังเกตอยู่บางประการ คือ
  -คนที่มีหมากเคี้ยวอยู่ในปากตลอดเวลา เกือบทั้งหมดจะเป็นชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ซึ่งส่วนมากหรือแทบจะทั้งหมดจะเป็นคนเชื้อสายอื่นที่มีสายสัมพันธ์ทางกรรมพันธุ์กับชาติพันธุ์ที่อยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศ    คนเชื้อสายพม่า (ม่าน) จริงๆ รวมทั้งคนมอญ กะเหรี่ยง ดูจะกินหมากอย่างค่อนข้างจะเป็นกิจลักษณะ คือ เมื่อขึ้นบ้านเขา รับรองแขก และในเวลาพักผ่อน พักกาย ซึ่งสำหรับพวกไทยใหญ่นั้นเืกือบจะไม่เห็นเลย      
  -ภาพของน้ำหมากเต็มไปหมดบริเวณรอยต่อของผนังกับพื้นและโดยเฉพาะบริเวณโคนเสาอาคารนี้ จะพบมากในเมืองย่างกุ้ง และจะพบน้อยลงไปเรื่อยๆในเมืองตามเส้นทางขึ้นเหนือ ตองอู พิมมะนา (เมืองหลวงในปัจจุบัน) พุกาม จนพบน้อยในมัณฑะเลย์ และเกือบจะไม่เห็นคนกินหมากเลยเหนือมัณฑะเลย์ขึ้นไป   ภาพนี้มิไช่จะเห็นเฉพาะในเขตประเทศพม่า ยังเห็นได้ตามแนวชายแดนไทย-พม่าอีกด้วย  

ถ้าเป็นในประเทศไทย ผมแนะนำให้ไปดูที่ตลาดขายส่งผักและผลไม้ย่านรังสิต , คลองหลวง หรือแม้แต่โรงงนแถว ๆ พระราม ๒ ครับ รับรองว่าเจอน้ำหมากเยอะแน่ ๆ ไม่ได้มีเฉพาะที่ชายแดนหรอกครับ ถ้ารู้แหล่งแรงงานพม่า ก็จะหาไม่ยากครับ

พม่ากินหมาก
http://www.oknation.net/blog/Tip2/2010/09/22/entry-1


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 มิ.ย. 12, 11:46
ข่าวไฟป่า (ต่อ)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ว่า เหตุไฟป่าที่รัฐโคโลราโด ของสหรัฐอเมริกายังคงทวีความรุนแรง โดยไฟได้ลุกลามกินพื้นที่ป่ามากกว่า ๑๗๖ ตารางกิโลเมตร นับเป็นเหตุไฟป่าที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ ๑๐ ปีของรัฐ ทั้งยังมีรายงานว่าพบผู้เสียชีวิตแล้ว ๑ คน ขณะที่สถานการณ์ไฟป่าในรัฐนิวเม็กซิโก เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้ราว ๔๐ เปอร์เซนต์แล้ว

ข่าวจาก ไทยรัฐ (http://www.thairath.co.th/content/oversea/267998)

 :o


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 12, 11:53
ตอบคุณเพ็ญชมพู
วันนี้ไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องที่สนามบิน    ขากลับ ยังมองเห็นควันสีขาวพลุ่งขึ้นมาเหนือเทือกเขาอยู่เลยค่ะ
ป.ล. เวลาในรูปเป็นเวลาในประเทศไทย   ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นเวลาท้องถิ่น


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 มิ.ย. 12, 19:47
ไม่เคยอยู่ในพื้นที่ๆไฟกำลังใหม้ป่าในต่างประเทศ ฟังแต่ข่าวและเห็นภาพในทีวี มันใหม้น่ากลัวดีเหมือนกัน และที่น่ากลัวขึ้นไปอีกก็ตอนที่มันเริ่มลามต่อเนิ่องและไม่มีทิศทางแน่นอน ขึ้นอยู่กับทิศทางของลมพัด ไฟให้ป่าที่คุณเทาชมพูเล่ามาในครั้งนี้ ข่าวว่าต้นตอมาจากฟ้าผ่าใช่ใหมครับ

ฟ้าผ่านี้ มักจะเกิดในบริเวณที่มวลอากาศร้อนกับอากาศเย็นมาเจอกัน สร้างให้เกิดเมฆทรงกระถางต้นไม้ (Cumulonimbus cloud) และเกิดพายุ และก็มักจะเกิดร่วมกับการพ่นเถ้าถ่านของภูเขาไฟ และรวมทั้งพายุฝุ่นอีกด้วย   เมื่อมีไฟใหม้ป่า เิกิดละอองขี้เถ้าฟุ้งลอยขึ้นไป ก็จะไปช่วยทำให้เกิดฟ้าผ่าตามมามากขึ้น

ฟ้าผ่าก็มีประโยชน์เหมือนกัน คือไปช่วยทำให้เกิดสารประกอบไนโตรเจนที่เรียกว่า nitric oxide ซึ่งเมื่อผนวกกับน้ำก็จะได้กรดไนตริก กลายเป็นประโยชน์ต่อพืช

เล่าแล้วว่าไม่เคยอยู่ในพื้นที่ที่กำลังมีไฟใหม้ป่าในต่างประเทศ แต่เคยอยู่ในบริเวณที่กำลังมีไฟใหม้ป่าในไทย ต้องหาทางหนี   ซึ่งเนื่องจากลักษณะของพืชพันธุ์มีความแตกต่างกันระหว่างบ้านเขาซึ่งเป็นพวกไม้มียาง (ต้นสนต่างๆ ฯลฯ) ส่วนบ้านเรามักจะเป็นป่าไผ่หรือป่าเต็งรัง (ต้นเหียง ต้นพลวง) ความรุนแรงของการใหม้จึงต่างกัน จึงไม่ยากนักที่จะใช้สติหาหนทางเพื่อหนีรอดได้ เพียงแต่ต้องตั้งสติให้ดีอย่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก  พ้นออกมา เสื้อผ้า หน้าตาแขนขาก็สกปรกมอมดำไปเท่านั้นเอง 

ไฟป่าในไทยนั้น จะบอกว่าทั้งหมดเกิดจากคนจุดก็ได้ และอยู่ในสภาพที่รู้ว่าขอบเขตจะไปถึงใหน จะเรียกว่าจุดให้ใหม้แบบควบคุมมันได้ก็คงจะไม่ผิดนัก เท่าที่ได้สัมผัสมา มีอยู่เพียงสองเหตุผล คือ จุดเผากองไม้ที่แผ้วถางที่ทำไร่ไว้ และเผาหญ้าแห้งเพื่อในหญ้าระบัดขึ้นเพื่อใ้ห้สัตว์มาหากิน ซึ่งจะเผาในบริเวณที่เป็นป่าเต็งรัง ต้นไม้พวกนี้ไม่ตายเพราะมีเปลือกหนา   ในเชิงของวิทยาศาสตร์ ป่าพวกนี้อยู่ในพื้นที่ดินที่เป็นกรด ขี้เถ้าจากหญ้าเป็นด่าง เมื่อฝนตกลงมาก็จะช่วยปรับดินให้มีสภาพดินเป็นกลาง หญ้าก็จะขึ้นงอกงามได้ง่าย ส่งผลให้เป็นระบบนิเวศน์ที่กลับสมดุลย์อีกครั้งหนึ่ง 

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 มิ.ย. 12, 23:27
ใช่ค่ะ ข่าวออกว่า สันนิษฐานว่าต้นตอไฟป่าเกิดจากฟ้าผ่า เพราะมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในช่วงนั้นพอดี    เคยเล่าไว้แล้วว่าดิฉันเดินออกมาดูนอกบ้าน เห็นเมฆกลางคืนดำทะมึน ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฟ้าร้องครืนๆ ราวกับอยู่ในเขตมรสุมบ้านเรา   ปกติอากาศในรัฐนี้แห้งและเย็น ฟ้าโปร่ง  ฝนตกเป็นละออง แทบจะนับครั้งได้   ตกเดี๋ยวเดียวก็หยุด

ไฟป่าที่นี่น่ากลัว เขาบอกว่ามันมาเร็วมาก    แต่สูญเสียชีวิตคนน้อยมากเพราะทางการแจ้งเตือนได้รวดเร็วทันการ ใช้วิธีโทรศัพท์ต่อไปถึงทุกบ้านบนภูเขาด้านที่เกิดไฟ     ชาวบ้านก็เลยขึ้นรถขับหนีลงมาได้ทัน  เส้นทางรถของเขาก็รวดเร็วและสะดวก   ผู้เสียชีวิตมีคนเดียว เป็นหญิงชราอยู่ตามลำพังในล็อคเคบิน   เธอนอนหลับหรือมัวทำอะไรอยู่ไม่ทราบ   ไม่รับโทรศัพท์ เลยไม่รู้ว่าเกิดไฟไหม้  จึงถูกไฟคลอกเสียชีวิต

พูดถึงชีวิตคนอเมริกันที่นี่ก็แปลกไปจากบ้านเรา     คนที่นี่พอแก่ตัวเขาไม่ชอบอยู่กับลูกหลาน อย่างที่คนไทยเห็นเป็นความอบอุ่น   ส่วนใหญ่พอลูกจบไฮสกูล ก็บินออกจากรังไป  เหลือพ่อแม่อยู่กันสองคนด้วยความสุขว่าหมดภาระแล้ว   ลูกไม่ออกจากบ้านเสียอีกพ่อแม่กลุ้มใจว่าไม่รู้จักโต
หลังจากนั้น อีกสิบยี่สิบปี  เมื่อคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจากไป  คนที่เหลือก็อยู่คนเดียว   บางคนแต่งงานใหม่ในตอนแก่ๆเพื่อหาเพื่อน  แต่ก็มีจำนวนมากที่พอใจกับอิสรภาพที่ได้อยู่ตามลำพัง  อยากทำอะไรทำ  ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำ     ไม่ขึ้นกับใครนอกจากตัวเอง

คุณยายคนที่ขึ้นไปอยู่ในล็อคเคบินบนภูเขาเพียงลำพังก็คงเป็นแบบนี้ละค่ะ    


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มิ.ย. 12, 09:10
วันนี้ ออกไปนอกเมือง ก็ยังเห็นควันไฟสีขาวม้วนตัวขึ้นจากเทือกเขา   ๒ แห่งด้วยกัน     ควันน้อยกว่าวันก่อนๆ แต่ยังไม่หมด   พลุ่งขึ้นมาไม่ขาดสาย แสดงว่าไฟยังไหม้ High Park อยู่ค่ะ

อ่านข่าวในเน็ตพบว่า ตอนนี้บ้านบนภูเขาสังเวยไฟไปแล้ว ๑๑๒ หลัง   เนื้อที่ไฟไหม้อยู่ในบริเวณ ๕๒,๐๐๐ เอเคอร์ของ High Park    ไฟเริ่มตั้งแต่คืนวันเสาร์เมื่อฟ้าผ่าลงมา  จนบัดนี้พนักงานดับเพลิงที่ระดมกันมา  ๑๔๐๐ คนก็ยังสู้ไฟอยู้ไม่ลดละ

http://www.youtube.com/watch?v=V6IDdZSYWKs


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มิ.ย. 12, 09:12
http://www.youtube.com/watch?v=HXuxpryrX_s&feature=related


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 มิ.ย. 12, 18:44
ดูภาพไฟป่าของคุณเทาชมพูแล้วก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ

ไฟไหม้ไปแล้วหลายหมื่นเอเคอร์ ไหม้มาหลายวันแล้ว ใช้พนักงานดับเพลิง 1400 คน ระดมแรงช่วยกัน เดาได้เลยครับว่าจะเหนื่อยสาหัสเพียงใด และก็แสดงว่าการสนับสนุนและการส่งกำลังบำรุงจะต้องดีด้วย ผมเห็นภาพเจ้าหน้าที่แบกน้ำคนละประมาณ 20 ลิตร และไม้ตีแมลงวัน (เครื่องมือสำหรับดับไฟอย่างหนึ่ง) เดินตบไฟใ้ห้ดับบ้าง เอาน้ำฉีดบ้าง เอาเครื่องพ่นไฟไปจุดไฟให้ติดเพื่อไล่ไฟบ้าง (กำจัดเชื้อเพลิงให้หมดไป) เมื่อน้ำหมดก็ต้องเดินไปยังแอ่งน้ำหรือเดินมาเติมน้ำที่รถแท้งค์น้ำที่จอดรออยู่ แล้วก็คงจะต้องมีรถดับเพลิงไปจอดรออยู่ในบางบริเวณ อาจจะมีรถแืทร็กเตอร์กำลังกรุยพื้นดินเอาใบไม้ใบหญ้าแห้งออกไป เพื่อทำแนวกันไฟ

ภาพเหล่านี้ ในต่างประเทศเคยเห็นจากภาพข่าวทางทีวีหรือจากสารคดี ซึ่งก็เป็นภาพเดียวกันกับที่ตนเองได้ประสบและเข้าร่วมกับชาวบ้านเมื่อไฟป่าลามเข้ามาใกล้สวนหรือที่พักอาศัยที่อยู่บริเวณชายขอบของพื้นที่เขตหมู่บ้าน  ภาพที่แตกต่างออกไปนั้นเห็นจะมีเพียง ของเราใช้เครื่องพ่นยาที่ใช้พ่นปุ๋ยพ่นยาฆ่าแมลงตามเรือกสวนไร่นา เท่าที่มีตามมีตามเกิด เท่าที่พอจะมีกัน แล้วก็มีท่อนไม้บ้าง กิ่งไม้ที่ตัดมาแบบให้มีใบไม้ติดปลายอยู่บ้าง รถน้ำก็เป็นรถกระบะที่ใช้ประจำวัน บรรทุกกระป๋องกระแป๋งเท่าที่จะหาได้ เอาใส่น้ำบรรทุกมา เราจะช่วยกันคนละไม้ละมือด้วยความสมัครใจ ไม่ไปดับทั้งป่าหรอกครับ เอาเพียงไม่ให้ไฟมันลามเข้ามาในพื้นที่สวนหรือบ้านเรือนก็พอแล้ว พอไฟราแล้วก็นั่งเฝ้าอีกสักหนึ่งถึงสองชั่วโมง ระหว่างนี้ก็อาจมีหน่วยสนับสนุนไปหาเหล้าหาน้ำเอามาดื่มกินกัน เป็นทั้งการพักเหนื่อย เฝ้าระวัง และแสดงความขอบคุณซึ่งกันและกัน ภาพดังกล่าวนี้ คนที่อยู่ในเมืองคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นกัน สำหรับตัวผมเองนั้น ได้ร่วมอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็กลางวัน บางครั้งก็ตอนหัวค่ำเมื่อฟ้ามืดสนิทแล้ว ครั้งหลังสุดก็เมื่อปีที่แล้ว   สวนของผมอยู่ติดกับเขตป่าสงวนฯครับ  ต้องทำแนวกันไฟทุกปี พยายามกำจัดเชื้อไฟใ้ห้เหลือน้อยที่สุดทุกปี เฝ้าระวังกันทุกปี อุปกรณ์ดับไฟก็ดังที่เล่ามา ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ปีๆหนึ่งก็หมดเหล้าไปหลายขวด  หน่วยดับไฟป่าของทางราชการเขาไม่มายุ่งด้วยหรอกครับ ไฟก็ใหม้มาจากเขตป่านั่นแหละ เราก็ต้องช่วยเหลือกันเอง     

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 มิ.ย. 12, 18:59
เคยสังเกตใหมครับว่า เครื่องบินที่บรรทุกน้ำมาดับไฟป่านั้น มักจะเป็นเครื่องบินสะเทินน้ำสะเทินบกเก่า รุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองโน่น ซึ่งยังมีใช้อยู่ในแคนาดา เนื่องจากในแคนาดานั้นมีทะเลสาบมากมาย (lake ที่เกิดมาจากการกัดเซาะและการละลายของธารน้ำแข็ง_Glacier)  ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากที่มีขนาดกว้างยาวพอที่จะให้เครื่องบินเหล่านี้ร่อนลงสูบเอาน้ำเข้าท้องเครื่องอุ้มเอาไปปล่อยดับไฟ   สำหรับในพื้นที่ป่าของสหรัฐฯนั้น มีข้อจำกัดในเรื่องขนาดของแหล่งน้ำที่กว้างใหญ๋นี้ จึงใช้เฮลิคอปเตอร์แทน



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 มิ.ย. 12, 19:04
ภาพเหล่านี้ ในต่างประเทศเคยเห็นจากภาพข่าวทางทีวีหรือจากสารคดี ซึ่งก็เป็นภาพเดียวกันกับที่ตนเองได้ประสบและเข้าร่วมกับชาวบ้านเมื่อไฟป่าลามเข้ามาใกล้สวนหรือที่พักอาศัยที่อยู่บริเวณชายขอบของพื้นที่เขตหมู่บ้าน  ภาพที่แตกต่างออกไปนั้นเห็นจะมีเพียง ของเราใช้เครื่องพ่นยาที่ใช้พ่นปุ๋ยพ่นยาฆ่าแมลงตามเรือกสวนไร่นา เท่าที่มีตามมีตามเกิด เท่าที่พอจะมีกัน แล้วก็มีท่อนไม้บ้าง กิ่งไม้ที่ตัดมาแบบให้มีใบไม้ติดปลายอยู่บ้าง รถน้ำก็เป็นรถกระบะที่ใช้ประจำวัน บรรทุกกระป๋องกระแป๋งเท่าที่จะหาได้ เอาใส่น้ำบรรทุกมา เราจะช่วยกันคนละไม้ละมือด้วยความสมัครใจ ไม่ไปดับทั้งป่าหรอกครับ เอาเพียงไม่ให้ไฟมันลามเข้ามาในพื้นที่สวนหรือบ้านเรือนก็พอแล้ว  

ที่พม่า เท่าที่สังเกตระหว่างเดินทางในย่างกุ้ง หน้าหน่วยราชการต่าง ๆ จะมีอุปกรณ์ดับไฟไว้ประจำ

ลักษณะคล้าย ๆ กันดังภาพ

 ;D
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 มิ.ย. 12, 19:32
ในออสเตรเลียก็มีปัญหาไปอีกแบบหนึ่ง  

เมื่อพ้นเขตชายฝั่งทะเล ต้นไม้ที่ขึ้นเป็นป่านั้น จะมีอยู่สองพวกใหญ่ คือ พวกต้นยูคาลิบตัส และที่เขาเรียกกันว่า Gum tree ป่าพวกนี้จะหายไปในพื้นที่ลึกเข้าไปในแผ่นดินเมื่อความชื้นลดลง และเมื่อระดับน้ำใต้ดินอยู่ลึกลงไปเรื่อยๆ    หากเกิดไฟไหม้ป่าเมื่อใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะดับ เนื่องจากต้นไม้เองก็มีน้ำมันหอมและมียางไม้ที่ติดไฟได้ง่าย แล้วก็ขาดแหล่งน้ำที่จะใช้ในการดับไฟ    แต่ด้วยที่เป็นพื้นที่ราบ เขาจึงใช้วิธีกรุยพื้นดินให้เป็นทางเป็นแนวกันไฟเป็นบล็อกๆ แต่ละบล็อกจะกว้างยาวเพียงไดไม่ทราบ  การกรุยดินเป็นทางนี้ยังใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการใช้เป็นถนนสำหรับเจ้าหน้าที่ และในอีกลักษณะหนึ่ง คือ กันโรคพืช (เชื้อรา) เพื่อมิให้ข้ามจากป่าบล็อกหนึ่งไปยังป่าอีกบล็อกหนึ่ง ที่รู้ก็เพราะ เมื่อครั้งไปอบรมดูงานนั้น เขาห้ามมิให้เราเดินข้ามจากบล็อกที่เราเข้าไปเหยียบย่ำไปยังอีกบ็อกหนึ่ง

จากกระทู้นี้ ก็ได้แยกไปเรื่องสุขานานาชาติเรื่องหนึ่งแล้ว สงสัยว่า กำลังใกล้ๆจะแยกออกไปเป็นเรื่องไฟป่าอีก  ;D ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 มิ.ย. 12, 19:45
ที่พม่า เท่าที่สังเกตระหว่างเดินทางในย่างกุ้ง หน้าหน่วยราชการต่าง ๆ จะมีอุปกรณ์ดับไฟไว้ประจำ
ลักษณะคล้าย ๆ กันดังภาพ
;D

ภาพนี้เคยเห็นในเมืองไทยมาเหมือนกัน เมื่อสักสี่ห้าสิบปีก่อน  ;D
 
แต่ของเราด้ามของอุปกรณ์จะไม่ยาวเท่านี้ พม่าท่าทางจะกลัวไฟมาก ;D

แต่ก่อนนั้น ของเราจะพบเห็นได้ตามหน้าที่ว่าการอำเภอเป็นหลัก มีเป็นส่วนน้อยที่พบในบริเวณหมู่บ้าน  ด้ามของอุปกรณ์ดับไฟของเราสั้นมาก เพียงประมาณสองเมตรเห็นจะได้ แถมยังมีถังน้ำแขวนไว้อีกสามสี่ใบ แล้ว (ถ้าจำไม่ผิด) ก็จะมีถังน้ำขนาดประมาณ 150-200 ลิตร อีกหนึ่งใบ แล้วก็มีกองทรายกองเล็กๆอยู่ด้วย
ครังสุดท้ายที่ได้เห็น หากจำไม่ผิดนะครับ ก็ที่หน้า อ.แม่ระมาดน้อย จ.ตาก คิดว่าประมาณ 20 ปีมาแล้ว
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 มิ.ย. 12, 22:07
รัฐนี้มีสถานที่เดินทางท่องเที่ยวหลักใหญ่คือเทือกเขาร็อคกี้   หน้าร้อนเที่ยววนอุทยานแห่งชาติซึ่งมีมากมายหลายแห่ง  ไปดูกวาง ดูหมี    หน้าหนาวไปเล่นสกีซึ่งก็มีมากมายเหมือนกัน     ถ้าจะไปเที่ยวรัฐใกล้เคียง ก็ขับรถข้ามภูเขาไป 
แต่ไฟป่าทำให้การท่องเที่ยวชะงักไปหลายจุดเหมือนกัน 

ฝนที่มีเค้าว่าจะตกลงมาวันสองวันนี้อาจจะช่วยดับไฟป่าได้ค่ะ  เขาหวังกันอย่างนั้น

มาติดตามคุณตั้งเดินทางท่องเที่ยวต่อไป


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 มิ.ย. 12, 18:39
...
ฝนที่มีเค้าว่าจะตกลงมาวันสองวันนี้อาจจะช่วยดับไฟป่าได้ค่ะ  เขาหวังกันอย่างนั้น...

สงสัยจะเป็นหวังลมๆ (ก็ได้ลม) แล้งๆ (ก็ได้แล้งมากขึ้น) เสียแล้ว อิๆ 
ข่าวว่าเมื่อวานนี้มีลมแรง ความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. เฮลิคอปเตอร์ที่ช่วยดับไฟต้องจอด ขึ้นบินไม่ได้  มีการอพยพคนมากขึ้น    เมื่อพื้นที่ไฟใหม้ขยายตัวเป็นวงกว้าง ความร้อนสะสมในพื้นที่นั้นก็จะมากขึ้น กลายเป็นลักษณะของ Heat island อยู่กลางป่า อากาศร้อนลอยตัวสูงขึ้น อากาศที่เย็นกว่าพัดเข้ามาแทนที่ กลายเป็นลมแรง ลมตามช่องเขาหุบเขา (Wind gap) จากเดิมที่อาจจะพัดขึ้น (Upward wind) หรือพัดลง (Downward wind) ตามใหล่เขาตามลักษณะของพื้นที่และช่วงเวลา ก็จะแปรปรวน จับทางไม่ได้ ผลก็คือไฟขยายไปในทิศทางที่คาดได้ยาก เริ่มเป็นเรื่องน่ากลัว กำลังก้าวย่างจากระดับภัย (Hazard) เข้าไปสู่ความหายนะ (Disaster) แล้วนะครับ
อย่างไรก็คงไม่มาถึงเขตชุมชนเมืองที่คุณเทาชมพูไปพัก เข้าใจครับว่าต้องติดตามข่าวตลอดเวลา  เอ แต่ว่าได้ยินคำพูดจากเจ้าหน้าที่บ้างหรือยังว่า able to confine 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 มิ.ย. 12, 19:36
ต่อเรื่องเก็บตก

ว่าจะกล่าวถึง Schengen Visa แต่ก็ลืมไป จึงจะขอถอยหลังกลับเล็กน้อย

เมื่อจะเดินทางไปยุโรป ก็ควรจะมีความเข้าใจพื้นฐานบางประการ

สหภาพยุโรป คือ EU (European Union) เป็นองค์กรระหว่างประเทศ เป็นเรื่องของการรวมตัวของประเทศต่างๆในยุโรปเป็นหนึ่งเดียวกัน ในปัจจุบันมีทั้งหมด 27 ประเทศ
ประชาคมยุโรป คือ EC (European Community) หรือ EEC (European Economic Community) เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดก่อน EU
Schengen คือ กลุ่มประเทศของ EU (21 ประเทศ) ที่ปฏิบัติต่อกันเหมือนไร้พรมแดน ซึ่งมีประเทศที่มิใช่เป็นสมาชิกของ EU อีก 4 ประเทศเข้าร่วมด้วย และก็มีประเทศที่เป็นสมาชิกของ EU ยังไม่เข้าร่วมอีก 4 ประเทศ
Euro Zone คือ ประเทศใน EU ที่ใช้เงินสกุลเดียวกัน (เงิน Euro) มีอยู่ 17 ประเทศ
ประเทศ (สถานทูต) ที่สามารถไปขอ Schengen Visa ได้ มีอยู่ 15 ประเทศ 
พื้นที่ในเขตอาณา (โพ้นทะเล) ก็ต่างกันไป ต้องศึกษาเอาเองนะครับ

สรุปดังตารางนี้

EURO Zone    Schengen  (25)   Member States (27)    Apply for Visa  (15)
Austria,             Austria                 Austria                    Austria
Belgium             Belgium                 Belgium                    Belgium
                                                  Bulgaria
Cyprus                                         Cyprus
                        Czech                  Czech
                        Denmark               Denmark                   Denmark                           
Estonia              Estonia                 Estonia
Finland,              Finland                 Finland                     Finland
France               France                  France                     France
Germany            Germany                Germany                   Germany
Greece              Greece                   Greece                     Greece
                        Hungary                 Hungary
                        Iceland                                                Iceland
Ireland                                           Ireland                                                                     
Italy                   Italy                     Italy                        Italy
                         Latvia                   Latvia
                         Liechtenstein
                         Lithuania               Lithuania
Luxembourg         Luxembourg            Luxembourg              Luxembourg
Malta                 Malta                     Malta
Netherlands         Netherlands            Netherlands              Netherlands
                         Norway                                               Norway
                         Poland                   Poland
Portugal              Portugal                 Portugal                   Portugal
                                                     Romania
Slovakia               Slovakia                Slovakia
Slovenia               Slovenia                Slovenia
Spain                   Spain                    Spain                       Spain
                                                     Sweden                    Sweden
                          Switzerland
                                                      UK



   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 18 มิ.ย. 12, 19:49
^
^

หวังว่ากรีซจะไม่ออกจาก EU นะคะ เดี๋ยว Schengen จะหายไปหนึ่งประเทศ

ลุ้นสถานการณ์ยุโรปมากค่ะ กลัวโดมิโนตลาดเงินและตลาดทุน  :-\ :-\


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 18 มิ.ย. 12, 21:12
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการเดินทางในปัจจุบันคือเรื่องการรักษาความปลอดภัยในสนามบินครับ

หลายปีที่แล้วผมเดินทางไปกัษมีร (Kashmir) ซึ่งมีปัญหาเรื่องการแบ่งแยกดินแดนอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนา สนามบินของเขามีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมาก นอกจากของเหลวแล้ว ห้ามนำแบ็ตเตอรี่และถ่านไฟฉายขึ้นเครื่องครับ ต้องโหลดอย่างเดียว ขาออกจากสนามบินที่กัษมีรยังเห็นไม่ชัด สังเกตได้แต่ว่ามีทหารถือปืนกลมืออยู่ทั่วไป แต่เมื่อจะขึ้นเครื่องออกจากกัษมีรสิครับ แค่ผ่านเข้ารั้วสนามบิน ผู้โยสารทุกคนต้องลงจากรถ หิ้วกระเป๋าเดินทางของตัวเองผ่านเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ แล้วยกกลับขึ้นไปบนรถ รถวิ่งไปสักพัก ลงมาทำอย่างเดิมซ้ำอีกหนึ่งครั้ง จนเมื่อถึงอาคารสนามบิน ก็เข้าเครื่องเอ็กซเรย์อีกเป็นครั้งที่สามจึงครบกรรมวิธี เรื่องที่แอนตี้ไคลแม็กซ์มาที่สุดคือ ในสนามบินที่มีการป้องการเข้มงวดขนาดนี้มีครอบครัวแมววิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในห้องพักรอขึ้นเครื่องด้วยครับ  : )

อีกหนหนึ่งผมขึ้นเครื่องจากเมืองอุทัยปุระจะกลับมายัง Delhi (ที่เข้าใจว่าควรจะต้องเขียนว่า ทิลลี)

ความที่รีบมาก ผมลืมเก็บกวาดเอาสิ่งของต้องห้ามออกจากเป้หลัง เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินเจอขวดน้ำในเป้ เธอผู้นั้นบอกกับผมว่า "Drink!" เธอคงเห็นใบหน้ากึ่งหัวร่อกึ่งร่ำไห้ของผมจึงหระหนาบซ้ำว่า "Drink... please!"
ผมได้แต่เปิดขวด ดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก วางลง แล้วหัวเราะกับตัวเองในขณะเธอผู้นั้นพูดว่า "more!"
สิ่งที่ต่อจากนั้นคือน้ำผลไม้อีกกล่องหนึ่ง ตั้งแต่เดินทางมา ก็มีหนนี้หนเดียวนี่แหละครับที่เจอแบบนี้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 18 มิ.ย. 12, 22:30
สนามบินอินเดียนั้นขึ้นชื่อเรื่องความไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ... รอนานเป็นที่สุดโดยไร้สาเหตุอันควร ... ควรทำใจเย็นๆ  :( :(

อีกสนามบินที่ดีเลย์เป็นเรื่องธรรมชาติคือศรีลังกา ... ถ้าไฟลท์ออกตรงเวลาควรจัดปาร์ตี้ฉลอง ... ส่วนความปลอดภัยก็เป็นที่น่ากังขา ครั้งหนึ่งเดินทางจากโคลอมโบกลับมาถึงกรุงเทพ เปิดกระเป๋าถือหยิบของเมื่อถึงสุวรรณภูมิ พบว่ามีขวดน้ำเปล่าที่ยังไม่ได้เปิดและมีน้ำอยู่เต็มขวดที่ผ่านการสแกนจากสนามบินโคลอมโบมาสองรอบอย่างปลอดภัย  :-\ :-\

อีกสนามบินที่น่าจดจำยิ่งคือปากีสถาน ... เช่นเดียวกับประเทศมุสลิมหลายแห่ง เมื่อถึงจุดตรวจความปลอดภัยจะมีแถวแยกหญิงชาย และมีเจ้าหน้าที่หญิงคอยตรวจผู้โดยสารหญิงในตู้ตรวจปิดรอบด้าน การตรวจของเหล่าการ์ดหญิงชาวปากีสถานนั้นช่างโหดร้ายเหลือเกิน จนมีความรู้สึกว่าถูกล่วงเกินเลยทีเดียว ... ครั้งหนึ่งต้องเดินทางกับเพื่อนร่วมงานหญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเคยไปปากีสถานครั้งแรก ก่อนโดนตรวจได้บอกเพื่อนที่เดินตามมาว่า ให้ทำใจนะ การตรวจที่นี่ถึงเนื้อถึงตัวมาก เพื่อนยังยิ้มสู้ ... จนกระทั่งเพื่อถูกตรวจแล้วปล่อยออกมา หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ... ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้ ท้าพิสูจน์ได้ที่สนามบินลาฮอร์ ปากีสถานค่ะ  :-\ :-\


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มิ.ย. 12, 00:07
เมื่อวานนี้ อากาศในเมืองร้อนมาก ขึ้นถึง 97 องศา F  วันนี้จะขึ้นถึง 99   แดดเปรี้ยงเหมือนเดินแถวทุ่งกุลาร้องไห้   แต่ที่นี่ร้อนแบบแห้งๆ ไม่มีเหงื่อเหนียวเหนอะตัวอย่างบ้านเรา    ความแห้งทำให้คอแห้ง ผิวแห้ง   ตามบ้านต้องมีเครื่องพ่นไอน้ำให้ความชุ่มชื้นในห้องค่ะ   
ชาวบ้านร้านถิ่นฝรั่งอายุตั้งแต่ 6 ขวบถึง 60  เหลือแต่เสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้น  ลากรองเท้าแตะไปจ่ายของกันเป็นแถว

เปิดประตูออกไป  พบว่ามีกลิ่นควันลอยมาอีกแล้ว  กระแสลมจากภูเขาพัดมาถึงที่นี่   ตอนค่ำๆมองดูขอบฟ้ารอบเมือง  เหมือนมีหมอกบางๆคลุมอยู่   
ไฟยังไม่ดับ   นับเป็นข่าวที่ควรแก่ความไม่ยินดีอย่างยิ่งค่ะ
อีกสองสามวัน ดิฉันจะหนีไปเที่ยวรัฐอื่นแล้วค่ะ   คงจะเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากกันตามเคย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 19 มิ.ย. 12, 01:53
เมื่อวานนี้ อากาศในเมืองร้อนมาก ขึ้นถึง 97 องศา F  วันนี้จะขึ้นถึง 99   แดดเปรี้ยงเหมือนเดินแถวทุ่งกุลาร้องไห้   แต่ที่นี่ร้อนแบบแห้งๆ ไม่มีเหงื่อเหนียวเหนอะตัวอย่างบ้านเรา    ความแห้งทำให้คอแห้ง ผิวแห้ง   ตามบ้านต้องมีเครื่องพ่นไอน้ำให้ความชุ่มชื้นในห้องค่ะ   
ชาวบ้านร้านถิ่นฝรั่งอายุตั้งแต่ 6 ขวบถึง 60  เหลือแต่เสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้น  ลากรองเท้าแตะไปจ่ายของกันเป็นแถว

เปิดประตูออกไป  พบว่ามีกลิ่นควันลอยมาอีกแล้ว  กระแสลมจากภูเขาพัดมาถึงที่นี่   ตอนค่ำๆมองดูขอบฟ้ารอบเมือง  เหมือนมีหมอกบางๆคลุมอยู่   
ไฟยังไม่ดับ   นับเป็นข่าวที่ควรแก่ความไม่ยินดีอย่างยิ่งค่ะ
อีกสองสามวัน ดิฉันจะหนีไปเที่ยวรัฐอื่นแล้วค่ะ   คงจะเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากกันตามเคย

เที่ยวให้สนุกนะคะอาจารย์ ห่างไกลจากควันไฟก็ดีค่ะ เพื่อสุขภาพ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 มิ.ย. 12, 02:12
ข่าวล่าสุดวันจันทร์คือไฟป่ากินเนื้อที่เข้าไปแล้ว 58,046 เอเคอร์  พนักงานดับเพลิงระดมกำลังขึ้นเป็น 1700 คน  ใช้เฮลีคอปเตอร์ตอนนี้ 17 เครื่อง ก็ยังดับไฟไม่ได้ 
ป.ล. ดิฉันก็เกรงใจคุณตั้ง อยากจะแยกกระทู้ไฟป่าออกไปเหมือนกันค่ะ   แต่ยังแยกความเห็นไม่ถูก เพราะมันสลับกับค.ห.เรื่องเดินทาง
เลยขอแหมะเอาไว้อย่างนี้แล้วกน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 มิ.ย. 12, 19:37
...  ป.ล. ดิฉันก็เกรงใจคุณตั้ง อยากจะแยกกระทู้ไฟป่าออกไปเหมือนกันค่ะ   แต่ยังแยกความเห็นไม่ถูก เพราะมันสลับกับค.ห.เรื่องเดินทาง
เลยขอแหมะเอาไว้อย่างนี้แล้วกน

กรุณาอย่าได้คิดอะไรเลยครับ กลับรู้สึกว่าดี สมกับที่ได้ตั้งใจไว้แต่แรกว่า จะให้เป็นกระทู้ในเรื่องหลากหลายที่ได้พบเห็นมาจากการเดินทางของเพื่อนสมาชิกที่ได้มีโอกาสเดินทางไปในที่ต่างๆกัน ช่วยกันแง้มหน้าต่างโลกให้เปิดกว้างเพื่อที่จะได้รู้จักสถานที่ เรื่องราว ประเพณี วัฒนธรรม ในต่างประเทศ ตามที่คุณพวงแก้วได้เคยแนะนำมา   ซึ่งก็ได้หวังไว้แต่แรกอยู่แล้วว่ากระทู้นี้น่าจะไปกระตุ้นให้เกิดกระทู้ใหม่ๆแยกออกไปอีกหลายๆกระทู้     
แท้จริงแล้ว เมื่อคราวพูดถึงเรื่องการกินหมากในกระทู้นี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของ (การนุ่ง) โสร่งขึ้นมา ซึ่งก็คิดว่า โสร่ง ก็เป็นเรื่องน่าสนใจที่มีประเด็นสามารถแยกออกไปได้อีกกระทู้หนึ่ง รวมทั้งกระทู้เรื่องของการกินหมากด้วย  (และคงจะมีเรื่องอื่นตามมาเรื่อยๆเมื่อเรื่องได้ดำเนินต่อไป)

ด้วยความยินดีอย่างยิ่งครับ  หากท่านผู้ใดที่พอมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องเหล่านี้ จะเป็นผู้นำตั้งเป็นกระทู้ใหม่และเป็นผู้ดำเนินเรื่อง ผมเองมีความรู้ไม่มากพอ เพียงแต่มีโอกาสได้เห็น ได้คิด และสนใจหาความรู้เพิ่มเติมบ้างเล็กๆน้อยๆในเรื่องราวของมันเท่านั้นครับ

ลึกๆแล้ว ผมหวังให้กระทู้นี้เป็นเครื่องมือสำหรับการปรับความนึกคิดต่างๆ เพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวเข้าไปสู่ความเป็นนานาชาติเมื่อเราจะต้องเข้าไปอยู่ในสังคม AEC ในอีกไม่นานนี้  ผมเองเป็นบุคคลหนึ่งที่มีโอกาสได้รู้จักและได้สัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน EU ด้วยตนเอง โดยเฉพาะในช่วงการเตรียมขยาย EU5 และในช่วงการเปลี่ยนสกุลเงินเป็น EUR     ด้วยความเป็นห่วงจริงๆกับเรื่องราวและผลในระดับจุลภาคที่มิค่่อยจะบอกเล่ากันครับ 
   
   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 มิ.ย. 12, 21:16
ขอกลับไปต่อให้จบเรื่อง Schengen Visa ให้จบครับ

ผมไม่ทราบว่าในปัจจุบันเป็นอยางไรนะ แต่เมื่อก่อนนี้ เมื่อไปขอวีซ่าเข้าประเทศในยุโรป  หากขอวีซ่าที่สถานทูตใดๆ และระบุว่าเพื่อเข้าประเทศนั้นๆ โดยไม่ระบุว่าขอวีซ่า Schengen ก็จะได้วีซ่าเข้าประเทศนั้นๆ จะไปประเทศอื่นๆมิได้  จึงเป็นเรื่องที่พึงต้องระวังเหมือนกัน   

ดังที่เล่ามาแล้วว่าเขต Schengen นั้น เป็นเรื่องที่เสมือนหนึ่งไม่มีเขตประเทศ จึงไม่มีการตรวจคนเข้าเมืองใดๆในระหว่างที่เดินทางอยู่ในเขต   แท้จริงแล้วแต่ละประเทศยังคงมีด่านต่างๆตามชายแดนอยู่ เพียงแต่ไม่ตรวจตราตลอดเวลา  เป็นการสุ่มตรวจเป็นบางวัน บางครั้ง   ด่านที่อยู่บนถนนเชื่อมเขตแดน จะมีป้ายที่เขียนว่า Zoll ซึ่งก็คือด่านศุลกากรนั่นเอง  ที่ Zoll นี้มิใช่มีแต่เฉพาะเจ้าหน้าที่ศุลกากรเท่านั้น มี ตม.อยู่ด้วย  แล้วเขาตรวจตราจการเข้าเมืองอย่างไรในระหว่างเดินทางอยู่ในเขต Schengen    หากเป็นการเดินทางโดยเครื่องบิน การตรวจตราต่างๆเรียกได้ว่าเกือบจะไม่มีเลย  แต่หากเป็นการเดินทางโดยทางรถยนต์ เมื่อผ่านด่านจะถูกบังคับให้ต้องขับรถช้าลงหรือชะลอความเร็วลงด้วยระบบถนน หากเขาสงสัยก็จะขอตรวจ ซึ่งตามปรกติก็จะไม่มีการตรวจใดๆ   การตรวจที่เห็นบ่อยที่สุด คือ เมื่อพ้นเขตด่านไปแล้วไกลๆหลายกิโลเมตรอยู่ เป็นการเรียกตรวจโดยตำรวจ ซึ่งเป็นเรื่องของด้านยวดยานพาหนะ (ซึ่งจะได้เล่าต่อไป) ซึ่งมันจะพ่วงไปด้วยการของดู ID หรือ Passport    ดังนั้น โดยความจริงแล้วจะบอกว่าไม่มีการตรวจเลยก็ไม่ได้ ซึ่งลักษณะขอความผิดมันต่างกัน ความผิดเมื่อก่อนจะเข้าเมือง ก็คือให้เดินทางกลับออกไป แต่ความผิดที่จับได้บนท้องถนนนี้ คือ การลักลอบเข้าเมือง

บนรถไฟที่วิ่งข้ามระหว่างประเทศ มีการตรวจมากกว่าท้องถนน  เรื่องจะเริ่มต้นที่เจ้าหน้าที่ประจำตู้รถไฟ เมื่อเขาเห็นเราเป็นคนแปลหน้าแปลกถิ่น เขาจะขอดู ID หรือ Passport ในรูปแบบแรก เมื่อรถเริ่มออกจากสถานีไปไม่ไกล เหมือนกับว่าดูแล้วก็ไม่มีอะไรต่อไป  แต่ในขณะที่รถไฟกำลังวิ่งและเริ่มจะเข้าเขตแดนของอีกประเทศ ก็จะมีเจ้าหน้าที่เดินตรงมาหาเพื่อขอตรวจตรา Passport   ในรูปแบบที่สอง เจ้าหน้าทีประจำตู้รถไฟจะขอ Passport แล้วเอาไปเก็บไว้ จะคืนให้เราก็เมื่อรถไฟกำลังจะเข้าสถานีปลายทางที่เราจะลง    เจ้าหน้าที่ประจำตู้รถไฟพวกนี้พูดได้หลายภาษาอย่างค่อนข้างจะคล่องทีเดียว       


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มิ.ย. 12, 00:11
ขอเล่าถึงกุญแจไขสู่ประตูโลกท่องเที่ยวอีกดอกหนึ่ง   นอกเหนือจากการทำวีซ่า
นั่นคือ กุญแจออนไลน์ ค่ะ

ถ้ามาเที่ยวอเมริกาแบบไม่ใช่กรุ๊ปทัวร์     วิธีที่คุณจะท่องเที่ยวได้สะดวกที่สุดคือต้องหัดใช้อินทรเนตรให้คล่อง   ไม่ใช่เอาไว้ chat กับเพื่อนฝูง    แต่ว่าต้องหัดใช้กูเกิ้ลในการค้นหา และติดต่อเชื่อมโยงการคมนาคมให้เป็น
เพราะทุกอย่างตอนนี้ออนไลน์ทั้งสิ้นค่ะ

ถ้าจะนั่งเครื่องบินจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่ง   ไม่ต้องออกจากบ้านไปติดต่อเคานเตอร์บริษัท  แต่ว่าออนไลน์เข้าไปจองตั๋ว กำหนดวัน เวลา และราคา ตลอดจนเลือกสายการบินได้เลย   จองให้ตัวเองก็ได้   จองให้พ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็ได้   งานเสร็จเรียบร้อยอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นั่นเอง
ถึงเวลาก็ลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปเช็คอิน   กดคีย์บอร์ด  ชื่อของเราก็ปรากฏอยู่ในรายการจองเรียบร้อยแล้ว   ไม่ต้องพกตั๋วเครื่องบินเป็นปึกๆเหมือนสมัยก่อน    แค่ควักพาสปอร์ตขึ้นมายืนยันว่าเราเป็นเจ้าของชื่อในจอตัวจริงก็พอ
สมัยก่อนนั้นเผลอทำตั๋วเครื่องบินหล่นหายไปสักใบ ก็แทบจะต้องนอนกันถาวรอยู่ที่สนามบินเชียวละค่ะ

เดินทางโดยรถไฟ หรือรถประจำทางก็เหมือนกันค่ะ  ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก

จะเดินทางไปรัฐไหน แม้ไม่เคยไปมาก่อนก็ไม่มีปัญหา  เปิดกูเกิ้ลดูแผนที่ของรัฐนั้นได้เลย    อยากรู้ว่าจุดท่องเที่ยวมีที่ไหนบ้าง ก็ให้กูเกิ้ลเป็นเลขาฯช่วยหาให้    พริบตาเดียว แหล่งท่องเที่ยวโผล่ขึ้นมาเรียงรายเป็นแถว   ไม่ต้องเดินทางไปหาแผ่นพับมาให้เสียเวลา

โรงแรมตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนโมเต็ลขนาดเล็ก มีให้เลือกทางกูเกิ้ลได้ทุกแห่ง ทุกเมือง   บอกแผนที่ทางไปโรงแรม ราคาห้อง หน้าตาของห้องเป็นยังไงแบบไหน หาในเว็บได้ไหม    จากนั้นก็คีย์เข้าไปจองห้องล่วงหน้าได้เลย   

การจ่ายเงินก็แน่นอนอยู่แล้วว่าจ่ายเงินพลาสติค คือใช้บัตรเครดิต  ไม่ต้องพกเงินสด    แม้แต่ซื้อของตามซูเปอร์ก็รูดการ์ดอย่างเดียว    เคยจ่ายเป็นเงินสด  คนขายเขาต้องยกส่องแล้วส่องอีกว่าธนบัตรปลอมรึเปล่า


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มิ.ย. 12, 11:37
จนชั่วโมงนี้ ไฟป่าก็ยังไม่ดับ   ตอนนี้ลุกลามกินเนื้อที่ไปแล้ว 59,845 เอเคอร์  บ้านวอดวายไปแล้ว 189 หลัง   สถานการณ์มีแนวโน้มว่าจะถึงขั้นวิกฤต  เพราะตอนนี้ควบคุมพื้นที่ได้แค่ 55% เท่านั้นค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 มิ.ย. 12, 11:39

ลึกๆแล้ว ผมหวังให้กระทู้นี้เป็นเครื่องมือสำหรับการปรับความนึกคิดต่างๆ เพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวเข้าไปสู่ความเป็นนานาชาติเมื่อเราจะต้องเข้าไปอยู่ในสังคม AEC ในอีกไม่นานนี้  ผมเองเป็นบุคคลหนึ่งที่มีโอกาสได้รู้จักและได้สัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน EU ด้วยตนเอง โดยเฉพาะในช่วงการเตรียมขยาย EU5 และในช่วงการเปลี่ยนสกุลเงินเป็น EUR     ด้วยความเป็นห่วงจริงๆกับเรื่องราวและผลในระดับจุลภาคที่มิค่่อยจะบอกเล่ากันครับ 
       

คุณ puyum  และคุณ samun007 ออกความเห็นไว้ในกระทู้คนไทยกับ AEC   ดิฉันยังไม่มีพื้นความรู้ทางด้านนี้เพียงพอจะคาดคะเนได้ว่าจะเป็นผลดีผลเสียกับไทยมากกว่ากัน
ก็อยากจะฟังความเห็นของคุณตั้งด้วยค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 20 มิ.ย. 12, 15:45
เข้ามาส่งข่าวคะว่า ติดตามอ่านอยู่แต่ที่ไม่ได้เข้ามาคุยเพราะ คอมโดนไวรัส

มันเลยรวนอยู่เรื่อย ....เสียความรู้สึก...อีกสักพักคงต้องไปจัดการกับมันให้เรียบร้อย

คงจะเข้ามาคุยด้วยคะ

วันนี้คอมอารมณ์ดีเลยยอมให้โพสข้อความนานหน่อย....

เรื่องที่ไทยกำลังจะเข้าสู่ "วาระใหม่" ในอีก 3 ปีข้างหน้า หลายคนบอกว่าเรายังไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรเลย

มาเลเซีย สิงค์โปร์ เขาเตรียมความพร้อมให้ประชาชนไปมากแล้วโยเฉพาะทางด้านการศึกษา

แล้วเรา จะทำอะไรได้ทันบ้างสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ นี้


อีกเรื่องคะ "โสร่ง" คุณตั้งจะใช่เส้นทางโสร่ง นำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคน ที่ไหนบ้าง

มานึกดู พม่า  มาเลเซีย  อินเดีย ยังมีโสร่งนุ่งอยู่ทุกวันนี้

สำหรับคนไทย ทางใต้ใกล้มาเล  คนอิสานชายเขตแดน ก็ยังนุ่งโสร่ง โดยเฉพาะคนมุสลิมยังเห็นอยู่โดยทั่วไป

ถ้ามีโอกาสลองเล่าสู่กันฟังนะคะ  อาจมีสิ่งที่เรามองข้ามไปมากมายก็ได้


ส่วนประสบการณ์ในต่างแดน หลังจากจบเรื่องวีซ่า คุณตั้งจะเริ่มที่ประเทศไหนก่อนดีคะ อยากให้เป็นยุโรป

โดยเฉพาะ ชนบท คงน่าสนใจมากเพราะมีวัฒนธรรมที่หลากหลายและชัดเจน คะ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 20 มิ.ย. 12, 16:53
หลังจากฉีดยาฆ่าไวรัสไปบางตัว ทำให้คอมทำงานดีขึ้นในวันนี้...

ขอถือโอกาสว่า "...ตอนนี้บรรยากาศโดยรวมยังดีอยู่แต่เมฆฝนก็ตั้งเค้าทะมึนมาไกลๆ..."

ไม่รู้ว่าจะมีพายุเข้ามาในบ้านเมืองหรือไม่  ...มาชวนคุยเรื่องเบ็ดเตล็ด  สั้นๆที่ทำให้ปลอดโปร่งโล่งใจ

ไว้เป็นความชุ่มชื่นในการ.... ชมบ้านชมเมือง... ทั้งเมืองเรา เมืองเขา ...

เชื่อว่า ในการเดินทางของชีวิต เราคงจะพบมุมที่น่าประทับใจ ในรูปแบบต่างๆกัน

ที่ให้ทั้งความรู้ ความคิด และน่าทึ่ง เอามาเล่าสู่กันฟังดีไหมคะ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 20 มิ.ย. 12, 17:29
ขอเริ่มที่มุมแห่งความอบอุ่นคะ

ด้านหลังของโรงแรมแห่งหนึ่งบนทิวเขา ในเมืองเซ็นได เขาทำมุมนี้ที่สวนเล็กๆ

มองดูทีแรกก็คิดว่า เป็นที่นั่งพักดื่มชา กาแฟเฉยๆ แต่เอ....นั่งแล้ววางเท้าในกระบะไม้...ทำไม


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 20 มิ.ย. 12, 17:32
คอมทำหน้าแตกอีกแล้ว...ต้องการโพสแค่ 2 ภาพข้างบน (ทำไงจะลบ สองภาพล่างได้คะ )


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 20 มิ.ย. 12, 17:51
นี่เป็นอีกมุมหนึ่งที่เห็นระหว่างทาง อยู่ริมถนน ห่างจากเส้นขอบถนนก็ไม่เกิน 5 เมตร เห็นทีแรกก็งงๆ

อะไรนี่...


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 มิ.ย. 12, 19:44
ขอเล่าถึงกุญแจไขสู่ประตูโลกท่องเที่ยวอีกดอกหนึ่ง   นอกเหนือจากการทำวีซ่า
นั่นคือ กุญแจออนไลน์ ค่ะ....

เรื่องที่คุณเทาชมพูเล่ามานี้ แรกเกิดอยู่ในสหรัฐฯ เมื่อระบบ Broad band เริ่มมีกระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วทุกแห่งหน   ในยุโรปนั้นเพิ่งจะมีตามมาเมื่อสักประมาณ 15  ปีมานี้เอง และถ้าจำไม่ผิด จำได้ว่าเมื่อครั้งไปดูงานเกี่ยวกับ GIS ที่ประเทศไอร์แลนด์นั้น Hub ใหญ่ก็อยู่ในประเทศนี้    สำหรับในญี่ปุ่นนั้น แม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ดีมาก แต่ระบบนี้กลับเกิดขึ้นและมีการใช้กันอย่างกว้างขวางเมื่อประมาณ 10 ปีมานี้เอง จำได้ว่าเมื่อแรกไปประจำการนั้น ยังต้อง Print เอากระดาษไปแสดงที่เคาเตอร์เพื่อขึ้นตั๋ว แล้วก็ต้องไปที่ตู้อีเล็กทรอนิกส์เพื่อทำรายการโดยมีเจ้าหน้าที่คอยบอกขั้นตอน  สามหรือสี่ปีต่อมาจึงสามารถไปทำการเช็คอินได้ที่ตู้อีเล็กทรอนิิกส์ตั้งแต่ต้นจนจบ   

ระบบการจองตั๋วและเช็คอินแบบอิเล็กทรอนิกส์นี้  มีการใช้ทั่วไปสำหรับสายการบินภายในประเทศ (และในเขต Schengen แต่ก็ไม่เสมอไป) แต่สำหรับการบินข้ามทวีปและข้ามประเทศ (ผมอาจจะเชยไปแล้วนะครับ) ก็ยังหนีไม่พ้นที่จะต้องไปเช็คอินที่เคาเตอร์ ด้วยเหตุผลทาง Security คือ ต้องปรากฎตัวบุคคล ต้องดู Passport ฯลฯ
   
ยังมีอีกเหตุผลที่สำคัญ คือ การเดินทางภายในประเทศในระว่างวันทำงานนั้น ส่วนมากจะเป็นการเดินทางในงานทางธุรกิจ อย่างมากก็นอนค้างหนึ่งหรือสองคืน ส่วนใหญ่ก็อยู่ในลักษณะไปเช้าเย็นกลับ ดังนั้น สัมภาระติดตัวจึงเรียกได้ว่าแทบจะไม่มี แล้วจะต้องไปเสียเวลาทำไมกับการไปยืนเข้าแถวต่อคิวเพื่อเช็คอิน การซื้อตั๋วและการเช็คอินด้วยระบบอีเล็กทรอนิกส์จึงเหมาะสมกว่ามาก   ซึ่งในกรณีที่มีสัมภาระที่ไม่สามารถจะเอาไปใว้ใน Cabin เหนือที่นั่ง ก็ต้องเอาลงท้องเครื่อง กรณีนี้ก็ต้องไปเช็คอินที่เคาเตอร์อยู่ดี

เมื่อครั้งไปควบคุมงานที่แคนาดา จะต้องเดินทางไปมาระหว่างอ็อตตาวากับโตรอนโตหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงหนาวจัด ติดลบประมาณ 10 องศา  เราก็ขึ้นเครื่องแล้ว (เครื่องบินเล็กขนาดประมาณ 40 ที่นั่ง) มีผู้โดยสารประมาณครึ่งลำได้ นั่งรออยู่ในเครื่องประมาณ 15 นาที แล้วก็ถูกขอให้ลงจากเครื่องเพื่อไปยืนชี้กระเป๋าของตนเองที่ขนออกมาจากใต้ท้องเครื่องก่อนที่จะขนเข้าไปบรรทุกใหม่ เนื่องจากว่ามีผู้โดยสารคนหนึ่งไม่ปรากฎตัวแสดง Boarding Pass ขึ้นเครื่อง
ก็ด้วยสาเหตุนี้ประการหนึ่ง การจองการซื้อตั๋วเครื่องบินผ่านทางระบบอีเล็กทรอนิกส์นั้น แม้จะกระทำได้จนถึงขั้นสามารถได้รับ Boarding Pass จากตู้ก็จริง แต่ก็ต้องแยกออกเป็นสองส่วน คือ การจองตั๋วการซื้อตั๋ว กับการเช็คอินเพื่อขอ Boarding Pass  สนามบินในบางเมืองอาจจะใช้ระบบผสมผสานระหว่างระบบกระดาษ (Hard copy) กับระบบอีเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุผลทาง Security ในช่วงระยะเวลานั้นๆในพื้นที่นั้นๆ

คุณเนาวรัตน์เล่าไว้ตั้งแต่ตอนต้นกระทู้ว่าต้องลงจากเครื่องเดินผ่านความหนาวไปยืนเรียงคิวเพื่อเข้าอาคาร  ผมก็เจอะเจอสภาพดังกล่าวดังที่เล่ามา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 มิ.ย. 12, 20:57
ููู^
ข้อพึงทราบบางประการ คือ
การเดินทางที่อยู่ในช่วงวันหยุดทางธุรกิจหรือทางราชการ (ของต่างประเทศ) ค่าโดยสารต่างๆ (โดยเฉพาะเครื่องบิน) จะถูกมากกว่าช่วงในวันทำงาน ในบางกรณ๊แทบจะครึ่งต่อครึ่งกับเลยทีเดียว    เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ  เป็นแนวนโยบายของรัฐ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวภายใน เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้คนได้กลับไปพบครอบครัวอัันเป็นพื้นฐานของแหล่งพลังในการเพิ่มผลผลิต    สำหรับในวันทำงานนั้น การเดินทางส่วนมากจะเป็นเรื่องทางธุรกิจ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆก็จะเป็นค่าใช้จ่ายด้านรายจ่ายหรือด้านการลงทุนของธุรกิจนั้นๆ

ยังไม่เห็นแนวนโยบายของรัฐของไทยเช่นนี้เลย   

นอกจากนั้นแล้วยังมี Low season และ High season ของธุรกิจต่างๆอีกด้วย ค่าเดินทางของทั้งสองฤดูนี้จะต่างกันมากพอสมควรเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นฤดูโกยทำกำไรของธุรกิจเลยทีเดียว เช่น หน้าหนาวของประเทศด้านทิศเหนือของโลก เป็น High season ของสายการบินที่บินเข้าสู่ประเทศแถบร้อนทางใต้ เป็นต้น   จะเห็นได้ว่าทัวร์ต่างๆของเราก็จะจัดให้ไปดูความหนาวและหิมะในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็น Low season ของเขา  ค่าใช้จ่ายต่างๆจึงไม่สูงมาก

แนวคิดเรื่อง High - Low เช่นนี้  ญี่ปุ่นเขาเอาไปทำในระดับประจำวันเลยทีเดียว  เมนูเดียวกันของร้านอาหาร ตอนอาหารเที่ยงราคาอาจจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งของราคาอาหารเย็น เช่น ร้านเนื้อย่าง ยากินิคขุ หรือ ชาบูชาบู ผมมักจะเปรียบว่า กลางวัน พันห้า (ร้อยเยน) กลางคืน ห้าพัน (เยน) ได้ใจได้ลูกค้าทุกระดับ

ได้เห็นกระทู้ของคุณ puyum เรื่อง คนไทยกับ AEC แล้ว ก็ว่าจะเข้าไปเล่าเรื่องเหล่านี้ครับ เดิมก็กะว่าจะยกกระทู้เรื่องในลักษณะนี้อยู่แล้ว ก็พอดีไม่ต้องไปดำเนินเรื่องเอง 



     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 มิ.ย. 12, 21:14
ขอเริ่มที่มุมแห่งความอบอุ่นคะ
ด้านหลังของโรงแรมแห่งหนึ่งบนทิวเขา ในเมืองเซ็นได เขาทำมุมนี้ที่สวนเล็กๆ
มองดูทีแรกก็คิดว่า เป็นที่นั่งพักดื่มชา กาแฟเฉยๆ แต่เอ....นั่งแล้ววางเท้าในกระบะไม้...ทำไม

เมืองเซ็นได ผมไม่เคยไป ตั้งใจว่าจะ ก็ไม่มีโอกาสสักทีจนกลับ

หลายท่านอาจจะไม่เคยทราบเลยว่าเรา (ไทย) เป็นผู้เปิดประตูทำให้เมืองนี้ให้ก้าวออกมาสู่ความเป็นนานาชาติ

แล้วจะเล่าให้ฟังครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 21 มิ.ย. 12, 22:15
มาขยายความค.ห.ที่ 99 คะ

สิ่งที่ทำให้มุมนั่งเล่นมุมนี้ ไม่หายไปจากความทรงจำคือ ที่วางเท้านั้น จะมีน้ำอุ่นจากท่อออกมาอยู่ในกะบะไม้

ที่วางเท้านั่นแหละคะ  ทำให้อยากจินตนาการว่าในหน้าหนาว ภูเขาสูงแถบนี้คงหนาวจับใจ ถ้าออกมานั่งทานกาแฟร้อนๆ

และแช่เท้าในน้ำอุ่นๆ จะมีความสุขสักแค่ไหน ....

สิ่งเล็กๆน้อยๆแบบนี้ เขาเอาใจใส่เพื่อให้บริการที่ประทับใจแก่ลูกค้า ...ดีจัง


ส่วนภาพข้างล่างเป็นสุสานของบรรพบุรุษ...

สิ่งที่สะดุดใจคือแนวคิดที่แตกต่าง (โดยมีขนบประเพณี แนวคิดที่แตกต่างรองรับ)

เราคนไทยชินกับที่สุสานที่อยู่ห่างไกลผู้คน ด้านหลังของวัด (ไม่นับรวมที่อยู่ตามช่องกำแพง...เดี๋ยวนี้)

แต่ภาพที่เห็นนี้ กลับอยู่ไม่ไกลจากถนน ดูสะอาดเป็นระเบียบ ง่ายแก่การมาเคารพ

เพราะอยู่ใกล้บ้านผู้คน  ลานจอดรถ ...คุณตั้งเคยเห็นไหมคะ และพอจะทราบแนวคิดของชาวญี่ปุ่นไหมคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 22 มิ.ย. 12, 18:31
มาร่วมคุยกับคุณพวงแก้วค่ะ ... รูปนี้เป็นสุสานในย่าน Pok Fu Lam ของฮ่องกงค่ะ มีทั้งตึกที่พักอาศัย โรงเรียน และสำนักงานล้อมรอบเลย



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 มิ.ย. 12, 19:53
แวะเข้ามาส่งข่าวว่าตอนนี้ไปเที่ยวรัฐอื่นๆอยู่นะ.    กลับไปรัฐเดิมเมื่อไรจะเข้ามาร่วมวงค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 มิ.ย. 12, 21:26
^
เป็นพื้นที่ตามหลักความเชื่อเลยนะครับ ด้านหลังเนินภูผา ด้านหน้ามหานที  
ความเชื่อนี้เป็นอิทธิพลจากจีนและอยู่ในปรัชญาความเชื่อตามปรัชญาขงจื้อ ซึ่งถ่ายทอดออกมาในอีกมุมและรูปแแบหนึ่ง (ฮวงจุ้ยและหยินหยาง)

ผมเห็นว่า ความเชื่อเรื่อง หลังภูผาหน้านที นี้ ยึดมั่นถือมั่นเน้นกันในสองรูปแบบ   ในเกาหลีจะเน้นเรื่องด้านหลัง ในขณะญี่ปุ่นจะเน้นในเรื่องด้านหน้า
ชื่อในเกาหลีมากมายจึงลงท้ายด้วย San ซึ่งแปล (อย่างหลวมๆ) ว่าภูเขา ในขณะที่ชื่อในญี่ปุ่นมากมายจะลงท้ายด้วย gawa ซึ่งแปลว่า (อย่างหลวมๆ) ว่าแม่น้ำ   ในเกาหลีนั้นยังมีอีกคำหนึ่ง คือ mun หรือ moon ซึ่งแปล (อย่างหลวมๆ) ว่าประตู
หากภาพที่ได้เห็นมา (ในเชิงของตำแหน่งที่ตั้ง) นั้นถูกต้องนะครับ สถานที่ราชการสำคัญๆของเกาหลีรวมทั้งทำเนียบของประธานาธิบดีจึงบนอยู่เชิงเนิน (หรือเชิงเขา) มีด้านหน้าหันสู่พื้นที่ๆเป็นด่านทางเดิน (Pass)  ในขณะที่ของญี่ปุ่นนั้น ปราสาทต่างๆตั้งอยู่ในที่ราบ หรือในแอ่งระหว่างหุบเขา และมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 22 มิ.ย. 12, 23:26
รูปที่คุณกระต่ายหมายจันทร์นำมาลง น่าสนใจมากคะ ถ้าเราไปใช้ชีวิตอยู่บริเวณนั้นคงหวั่นๆใจพิกล

แต่คนที่อยู่นานๆก็คงจะชินไปเอง พื้นที่สุสานที่ญี่ปุ่นดูเล็กไปเลย แต่ถ้านึกอีกทีว่าการจัดวางสุสานไว้ในที่

ไม่เปลี่ยว ลูกหลานจะไปคารวะก็สะดวกและไม่น่ากลัว...ก็ดีไปอย่างนะคะ

ส่วนความเชื่อแบบขงจื้อ ด้านหลังภูผา ด้านหน้ามหานที ในเมืองไทยก็รับแนวคิดนี้มาโดยเฉพาะคนจีน

ต่อไปเป็นรูป ปลาปิ้ง ที่แหล่งท่องเที่ยวเล็กๆ คนมาดูน้ำตกสูงกัน แต่ก็มีตลาดนัดเล็กๆบริเวณนั้น

มีร้านหนึ่งขายเฉพาะปลาปิ้ง...ตัวประมาณคืบ เนื้อคงมีไม่เท่าไหร่ทำไมถึงขายได้ แล้วเขาเสียบ

ไว้อย่างนี้ เพื่อรักษาความอุ่นไว้แต่ไม่ให้แห้ง ยังสงสัยว่าเขาซื้อไปทานกันอย่างไร...คุณตั้งเคยเห็นไหมคะ

มองดูรอบๆก็ไม่เห็นใครซื้อไปทาน และไม่มีองค์ประกอบอะไร ให้เดาเลย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 23 มิ.ย. 12, 14:17
รูปที่คุณกระต่ายหมายจันทร์นำมาลง น่าสนใจมากคะ ถ้าเราไปใช้ชีวิตอยู่บริเวณนั้นคงหวั่นๆใจพิกล

แต่คนที่อยู่นานๆก็คงจะชินไปเอง พื้นที่สุสานที่ญี่ปุ่นดูเล็กไปเลย แต่ถ้านึกอีกทีว่าการจัดวางสุสานไว้ในที่

ไม่เปลี่ยว ลูกหลานจะไปคารวะก็สะดวกและไม่น่ากลัว...ก็ดีไปอย่างนะคะ

ส่วนความเชื่อแบบขงจื้อ ด้านหลังภูผา ด้านหน้ามหานที ในเมืองไทยก็รับแนวคิดนี้มาโดยเฉพาะคนจีน


เขต Pok Fu Lam นี่เป็นย่านเก่าแก่ในเขต Southern ของฮ่องกงค่ะ เป็นแหล่งที่นึกถึงสองอย่างคือ สุสาน กับ ชาวต่างชาติ ... ที่นี่นอกจากจะมีสุสานมากมายอย่างที่เห็นในรูป (ในวันไหว้บรรพบุรุษ ใครไม่จำเป็นไม่ควรผ่านไปแถวนั้นเด็ดขาดเพราะรถจะติดแหง่ก เหมือนทางไปชลบุรีในวันไหว้บรรพบุรุษของบ้านเราทีเดียว) ... ส่วนชาวต่างชาติมาทีหลังค่ะ เนื่องจากอยู่ใกล้สุสาน ชาวจีนไม่ค่อยนิยมอยู่เท่าไหร่ แต่ด้วยความที่วิวสวยทั้งต้นไม้ภูเขาทะเล และระยะทางที่ไม่ไกลมากนักจากตัวเมือง ชาวต่างชาติจึงพากันมาอยู่ที่นี่เยอะมากค่ะ มากขนาดที่โรงเรียนนานาชาติตามมาเปิดในย่านนี้เลย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 23 มิ.ย. 12, 15:01
(http://i934.photobucket.com/albums/ad189/krataikha/boat.jpg)

วันนี้ไปดูงานแข่งเรือมาค่ะ Dragon Boat Festival เป็นเทศกาลที่จัดเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของกวีและขุนนางชื่อ Qu Yuan ซึ่งเป็นรองเจ้าเมืองแห่งเมือง Chu (ปัจจุบันอยู่ระหว่างจังหวัด Hunan และ Hubei) อันเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และเป็นที่รักของประชาชน (ขออนุญาติไม่พยายามสะกดภาษาไทยว่าชื่อคน เมือง หรือสิ่งของควรจะออกเสียงว่ายังไงนะคะ รอผู้เชี่ยวชาญภาษาจีนตัวจริงมาเฉลย)

ตำนานว่าไว้ว่า Qu Yuan ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายจากผู้มีอำนาจในขณะนั้น จนถูกปลดจากตำแหน่งและเนรเทศ Qu Yuan ต้องเห็นเมืองที่ตัวเองรักถูกกัดกินจากผู้ปกครองที่ฉ้อฉลจนเริ่มเสื่อมลง ก็เกิดความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสจนนำไปสู่การตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงในแม่น้ำ Milo ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็พยายามกรูกันพายเรือไปช่วยเหลืออดีตขุนนางที่พวกเค้ารัก ความพยายามในการกู้ชีวิตก็เปลี่ยนเป็นความพยายามในการกู้ร่างขึ้นมาจากน้ำแทน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ... ชาวบ้านกลัวปลาจะมากินร่างของ Qu Yuan จึงพากันโปรยข้าวลงในแม่น้ำ เพื่อให้ปลาและมังกรในแม่น้ำมากินข้าวแทน

วิญญาณของ Qu Yuan ปรากฏขึ้นที่แม่น้ำเพื่อบอกชาวบ้านว่า สัตว์ใหญ่ในน้ำ (อาจจะหมายถึงมังกร) มาแย่งข้าวที่ชาวบ้านโปรยไปหมด และแนะนำให้ชาวบ้านห่อข้าวด้วยใบไม้ มัดด้วยเส้นไหม และโยนลงในแม่น้ำแทน ... พอตกกลางคืนชาวบ้านก็จะจุดไฟใส่ลงในกระทงเอาไปลอยน้ำ เพื่อบอก Qu Yuan ว่าแสงสว่างจะมาถึงเสมอ และอย่าได้หวาดกลัว

ทุกวันนี้ก็เลยมีการรำลึกถึงวีรบุรุษคนนี้ด้วยการจัดการแข่งเรือเหมือนกับการที่ชาวบ้านพยายามกันพายเรือกรูกันไปช่วย Qu Yuan และรับประทานบ๊ะจ่าง (Zong zi) กัน ซึ่งก็เป็นอาหารที่ได้รับการพัฒนามาจากข้าวที่ชาวบ้านมัดแล้วโยนลงในแม่น้ำนั่นเอง

(http://i934.photobucket.com/albums/ad189/krataikha/Zongzi.jpg)

ที่ฮ่องกง การแข่งพายเรือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมาก มีการประมาณว่ามีคนเล่นกีฬาพายเรือที่นี่กว่า 30,000 คนเลยทีเดียว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 23 มิ.ย. 12, 15:06
กราบขออภัยหากรูปเรือใหญ่ไป พยายามย่อและแก้ไขรูปแล้วแต่ก็ยังไม่ได้อย่างใจสักทีค่ะ  :'(


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 มิ.ย. 12, 18:12
มาขยายความค.ห.ที่ 99 คะ
สิ่งที่ทำให้มุมนั่งเล่นมุมนี้ ไม่หายไปจากความทรงจำคือ ที่วางเท้านั้น จะมีน้ำอุ่นจากท่อออกมาอยู่ในกะบะไม้
ที่วางเท้านั่นแหละคะ  ทำให้อยากจินตนาการว่าในหน้าหนาว ภูเขาสูงแถบนี้คงหนาวจับใจ ถ้าออกมานั่งทานกาแฟร้อนๆ
และแช่เท้าในน้ำอุ่นๆ จะมีความสุขสักแค่ไหน ....
สิ่งเล็กๆน้อยๆแบบนี้ เขาเอาใจใส่เพื่อให้บริการที่ประทับใจแก่ลูกค้า ...ดีจัง

ภาพแรก สถานที่นั่งพักแล้วเอาเท้าแช่น้ำอุ่นนั้น ผมคิดว่าน้ำอุ่นที่เอาเท้าลงไปแช่นั้น เป็นน้ำมาจากแหล่งน้ำพุร้อนที่คนญี่ปุ่นนิยมลงไปแช่ไปอาบกันที่เรียกว่า ออนเซน 
ในพื้นที่ๆเป็นแหล่งออนเซนหลายแห่ง จะมีการทำร่องน้ำให้น้ำร้อนไหลผ่านและจัดสถานที่ให้เป็นที่นั่งเล่นพักผ่อน หรือเพื่อให้คนที่เดินทางผ่านมา หรือเพื่อให้ผู้ที่ยังไม่พร้อมหรือไม่ได้มีการเตรียมตัวจะมาแช่น้ำแบบอนเซนได้ถอดรองเท้าลงไปเดินแช่เล่น เพื่อความผ่อนคลายและสำราญใจ
 
น้ำร้อนที่เกิดมาจากใต้ดินนี้ ในภาษาไทยเรียกกันว่า น้ำพุร้อน หรือ พุน้ำร้อน เป็นคำที่ใช้เรียกรวมทั้งลักษณะที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวดินแบบน้ำพุจริงๆ (Geyser) และแบบที่ไหลรินออกมา (Hot spring) บางทีก็ใช้คำว่าน้ำแร่ร้อน ซึ่งไปตรงกับคำว่า Hydrothermal บางทีก็ใช้คำว่าแหล่งน้ำพุร้อนใต้ดิน ซึ่งไปตรงกับคำว่า Geothermal 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 มิ.ย. 12, 19:17
^
การให้บริการออนเซนนั้นมีหลาย ทั้งแบบเป็นห้องพักพร้อมอ่างแช่ส่วนตัว แบบเป็นห้องน้ำใช้ร่วมกันมีล็อกประตูมีอ่างแช่ แบบอ่างรวมแยกหญิงแยกชาย แบบอ่างรวมไม่แยกหญิงชาย และแบบแ่อ่งน้ำในธรรมชาติจริงๆ (ซึ่งไม่ค่อยจะมี)

ก่อนจะลงไปแช่ เป็นกติกาว่าทุกคนจะต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเสียก่อน มีม้านั่งเล็กๆเตี้ยๆให้ทำการขัดสีฉวีวรรณให้เรียบร้อย แล้วจึงลงไปแช่
ระยะเวลาที่แต่ละคนลงแช่ก็อยู่ระหว่าง 20-30 นาที ญี่ปุ่นเขาว่าหากแช่นานเกินไปก็ไม่ดี และยังขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนที่จะทนทานต่อเข้มข้นของปริมาณธาตุและสารประกอบทางเคมีที่ละลายอยู่ในน้ำ     
การไปออนเซนของคนญี่ปุ่นนั้น มิใช่ว่าจะไปที่ใหนก็ได้ เขาจะมีการศึกษาว่าที่ใดทีความเข้มข้นของปริมาณแร่ธาตุในน้ำน้อยหรือมากเพียงใด และอุณหภูมิความร้อนของน้ำมากน้อยเพียงใด  คนญี่ปุ่นจึงมีการฝึกให้ร่างกายเคยชิน เริ่มตั้งแต่แบบที่น้ำมีความเจือจางและอุณหภูมิไม่สูง ไต่ระดับไปจนน้ำที่มีความเข้มข้นสูงและร้อน ทั้งนี้เพื่อหาลักษณะน้ำและความร้อนที่เหมาะที่สุดสำหรับตน ซึ่งสำหรับพวกเซียนจริๆแล้วจึงจะสามารถไปอาบออนเซนในแหล่งที่น้ำมีความเข้ามข้นสูงและร้อนจัดได้

ได้มาจากการสนทนา เขาว่าลงแช่ในน้ำร้อนจากธรรมชาตินี้ จะทำให้รูขุมขนขยายตัว ขับสิ่งที่ไม่พึงปราถนาออกจากผิวหนังและรับเอาแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์เข้าไป แล้วเมื่อขึ้นมาจากอ่างแล้วก็ยังต้องทาครีมเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นอีกด้วย

การอาบออนเซนจึงเป็นความสุนทรีย์อีกอย่างหนึ่งที่ผสมผสานไปกับความเชื่อและความเป็นวิทยาศาสตร์ที่แฝงอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ การคุยเรื่องออนเซนจึงมิใช่จะจบอยู่เพียงว่าได้อาบแล้วหรือเคยแล้ว
 
คิดว่ามีผู้คนมากมายที่เคยไปลงออนเซน แต่ไม่ทราบหรอกว่า ที่จริงแล้ว ณ สถานที่นั้นๆ (เป็นจำนวนมากในปัจจุบัน) เอาน้ำห้วยมาต้มให้ร้อน แล้วใส่หัวเชื้อลงไปให้ได้กลิ่นเหมือนธรรมชาติ

ไอ้ที่แย่ คือ พวกชอบไม้ป่าเดียวกัน ที่ขอให้ได้ไปออนเซน จะเป็นที่ใหนก็ได้ ขอให้เป็นอ่างรวมแบบแยกเพศ เพียงลงทุนแก้ผ้าเท่านั้น ก็ได้เห็นของคนอื่นอีกเพียบ

ก่อนจะจบเรื่อง ในญี่ปุ่นยังคงมีห้องอาบน้ำสาธารณะครับ แยกหญิงชาย มีคนเฝ้าคอยดูมิให้ปะปนกัน (นั่งอยู่สูง มองเห็นทั้งสองฝั่ง) เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ก็คล้ายกับธุรกิจห้องสุขาในย่านการค้าที่แออัดของเรา
และอีกเรื่องหนึ่ง  เป็นเรื่องที่มักจะถามกัน  การเข้าออนเซนนั้น เขาให้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆผืนหนึ่ง จะใช้แก้อายได้อย่างไร ผู้ชายทำอย่างไรและผู้หญิงทำอย่างไร
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 มิ.ย. 12, 19:55
.....ต่อไปเป็นรูป ปลาปิ้ง ที่แหล่งท่องเที่ยวเล็กๆ คนมาดูน้ำตกสูงกัน แต่ก็มีตลาดนัดเล็กๆบริเวณนั้น
มีร้านหนึ่งขายเฉพาะปลาปิ้ง...ตัวประมาณคืบ เนื้อคงมีไม่เท่าไหร่ทำไมถึงขายได้ แล้วเขาเสียบไว้อย่างนี้ เพื่อรักษาความอุ่นไว้แต่ไม่ให้แห้ง ยังสงสัยว่าเขาซื้อไปทานกันอย่างไร...คุณตั้งเคยเห็นไหมคะ
มองดูรอบๆก็ไม่เห็นใครซื้อไปทาน และไม่มีองค์ประกอบอะไร ให้เดาเลย

ปลาปิ้งตามภาพนี้ ผมเห็นที่ใหนเป็นต้องซื้อมากิน

เ่ท่าที่สัมผัสมา ปลาเสียบไม้ปิ้งในลักษณะนี้ มีปลาอยู่สองชนิด คือ ปลาอาหยุ กับ ปลาอิวาหนะ ทั้งสองชนิดเป็นปลาน้ำจืด
ปลาอาหยุ พบมากในแม่น้ำในพื้นที่ราบ  ที่เห็นขายกันในเมืองส่วนมากจะเป็นปลาชนิดนี้ 
ส่วนปลาอิวาหนะ พบอยู่ในห้วยในพื้นที่ป่าเขา ในเมืองไม่ค่อยจะพบเห็นว่านำมาขายกัน ท่านใดที่มีโอกาสไปเที่ยวในพื้นที่ๆเรียกว่า Minato Alps ของญี่ปุุ่น ในช่วงฤดูกาลที่เหมาะ หากเห็นก็ลองซื้อกินเลย
 
ปลาทั้งสองชนิดนี้ เป็นสุดยอดของความอร่อยจริงๆ เป็นทั้งของแทะกินเล่นและกินกับข้าว    ที่เห็นเขาปิ้งขายแล้วไม่เห็นมีคนมาซื้อนั้น ผมคิดว่ายังไม่ถึงเวลา เมื่อถึงเวลาจริงๆ จะต้องเข้าคิวรอกันเลยทีเดียวนะครับ     
สำหรับปลาอาหยุนั้น ถึงขนาดมีภัตตาคารเฉพาะเลยทีเดียว อย่างน้อยก็แห่งหนึ่งในจังหวัด Tochiki ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแป้งโซบะที่เอามาทำเป็นเส้น (หมี่) โซบะ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 23 มิ.ย. 12, 20:43
คนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะถูกชักชวนให้ลองไป ออนเซ็นด้วยเหตุผลเพื่อสุขภาพ...แต่พอฟังคำอธิบายถึงขั้นตอนต่างๆแล้ว

สาวไทยมักจะส่ายหน้า...ด้วยความต่างทางวัฒนธรรม...อิอิ แต่คนที่ไปมากกว่า 1 ครั้งมักจะใจอ่อนและอยากรู้อยากเห็น

ว่า อะไรนักหนา....ได้ยินสาวจากเมืองไทยถามไถ่กันกัน  แล้วก็มักจะมีวิธีแก้ความเขินที่เข้าท่า...เช่น จะเลือกไปในเวลาที่คำนวนแล้ว

ว่าปลอดคนมากที่สุด โดยเฉพาะคนไทยด้วยกัน 

แต่สาวสมัยใหม่...เธอก็พูดด้วยความเชื่อมั่นว่า ...ก็ทำเฉยๆซะ  อะไรทำนองนี้คะ

วิธีการ "ทำธุรกิจท่องเที่ยว"โดยใช้ออนเซ็นเป็นจุดขาย ก็นับว่าเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย นักท่องเที่ยวก็มีสุขภาพดีขึ้น

โรงแรมก็มีรายได้ดีขึ้นและประเทศญี่ปุ่นก็นำเสนอเอกลักษณ์นี้ได้อย่างน่าเร้าใจ

เมื่อต้นปีนี้ได้ไปแช่น้ำแร่ร้อนที่จ.ว.กระบี่ ที่โรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่ง ...คุณภาพใกล้เคียงกับที่ญี่ปุ่นทั้งกลิ่นไม่ฉุน และอุณหภูมิ

แต่วิธีแช่ต่างกันเพราะ ที่กระบี่เขาแจกผ้าถุงลายดอกเหมือนตอนเล่นน้ำสงกรานต์ แล้วติดยางยืดรัดอกสำหรับผู้หญิง

ส่วนผู้ชายก็เป็นกางเกงลายดอก ส่วนน้ำอยู่ในสระวงกลมขนาดกลางๆไม่ใหญ่เกินไปมีเกาะเล็กๆปลูกต้นไม้ให้บรรยากาศนิดหน่อย

หญิงชายลงสระเดียวกันแต่ยึดมุมใครมุมมัน

วิธีนำเสนอที่แตกต่างกัน ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...แต่คนชาติไหนก็คงเหมาะกับวัฒนธรรมของชาตินั้น

ไม่ประดักประเดิด...แอบเห็นโรงแรมที่กระบี่เขาทำอ่างน้ำแร่ในห้องพักด้วย ลูกค้าที่มาพักคงมาเพื่อการแช่น้ำแร่โดยเฉพาะ

ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่น..ในอนาคตคงมีรูปแบบการนำเสนอที่ดีขึ้นเรื่อยๆ..ก็ได้คะ




กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 23 มิ.ย. 12, 20:48
ถ้าเช่นนั้นปลาที่เห็นนี้น่าจะเป็นปลาอิวาหนะ เพราะที่ที่ๆเห็นนี้ อยู่ในเขตภูเขาสูง

คุณตั้งชอบทาน ก็คงพอจะบอกได้ว่ารสชาติเหมือนปลาอะไรของเราคะ แล้วเขาทานอย่างไร

มีเครื่องจิ้มไหม ถ้ารู้อย่างนี้...วันนั้นจะลองซื้อมาทานสักตัว...พลาดไปแล้วเรา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 มิ.ย. 12, 21:16
^
เหมือนปลาดุกอุยของไทยแต่ก่อน ตัวก็ขนาดพอๆกัน เพียงแต่สีเนื้อไม่เหลืองเหมือนปลาดุกอุย

กินเปล่าๆเลย ไม่ต้องมีอะไรจิ้ม เพราะเขาทาเกลือแล้วย่างครับ   นึกถึงรสชาติเวลากินปลาดุกอุยย่างจิ้มน้ำปลาบีบมะนาวใส่หอมซอยและพริกขี้หนูสวยซอยละเอียดได้เลยครับ

น่าเสียดายปลาดุกอุยพื้นบ้านของเรานะครับ หายไปเลย มีแต่ปลาดุกเลี้ยงพันธุ์อะไรก็ไม่รู้ที่บอกว่าดุกอุย แถมบางกรณียังเอาขมิ้นทาใ้ห้มีสีเหลืองอีกด้วย
กลิ่นปลาดุกอุยพื้นบ้านของเราแต่ก่อนที่เอามาย่างนั้น มันหอมน่าดูทีเดียวจากน้ำมันในเนื้อที่ถูกไฟ มีเนื้อละเอียด ฟู ต่างกับปลาดุกด้านที่เนื้อมีสีขาวและมักจะมีกลิ่นโคลน     เมื่อคิดแต่จะเอาน้ำหนัก เอารายได้และความคุ้มทุนจากการเลี้ยง ก็เลยเอาพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาที่เลี้ยงง่ายและโตเร็ว  อาจจะลืมนึกไปว่าจะต้องพยายามรักษาและเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ท้องถิ่นเดิมควบคู่กันไปด้วย  ยังไๆผมก็คิดว่าคนที่ทำอาหารกินเองก็จะเลือกซื้อปลาดุกอุยพื้นบ้านหากมี (แม้จะมีราคาที่สูงกว่า) มากกว่าปลาดุกเลี้ยงพันธุ์อื่นๆ   ก็คงจะมีเฉพาะแม่ค้าที่ทำอาหารขายเท่านั้นที่จะเลือกซื้อปลาดุกตัวโตๆพันธุ์อื่นๆ   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 มิ.ย. 12, 21:44
ที่เล่าแล้วว่า ปลาอาหยุนี้อยู่ในแม่น้ำในพื้นที่ราบ  โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นหัวแก่ง น้ำตื้นและไหลเร็ว (น้ำลึกประมาณเข่าถึงแก้มก้น)
ในญี่ปุ่นยังคงมีการรักษาประเพณีการจับปลาอาหยุด้วยนกกาน้ำ (นก Cormorant) ซึ่งชาวบ้านไม่ทำกันแล้ว แต่ราชสำนักของญี่ปุ่นยังพยายามรักษากระบวนวิธีการนี้อยู่ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังๆได้เรียนรู้

เคยมีโอกาสได้ไปชม จัดโดยสำนักพระราชวัง ตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงนก การคัดเลือกนก การฝึก การตัดขนนก วิธีการผูกเชือกที่คอนกเพื่อมิให้นกสามารถกลืนปลาลงไปในกระเพาะได้และเพื่อการกระตุ้นให้นกขยอกปลาออกจากปาก   รวมทั้งการเอาปลาที่นกจับมาได้นั้นมาย่างกินกัน
เป็นการจับปลาตอนหัวค่ำ ใช้เรือหลายลำ (4-5 ลำ) ล่องลงมาตามกระแสน้ำในลักษณะแผ่เป็นหน้ากระดานแต่เรียงลำดับลดหรั่นกันไป  มีเรืออยู่สองลำจุดคบเพลิงด้วยเยื่อไม้ไผ่ แขวนอยู่ในตะกร้าห้อยอยู่หัวเรือ  นกกาน้ำจะกระโดดลงน้ำลงไปงับปลามา แล้วก็จะกระโดดกลับขึ้นมาบนเรือเพื่อจะพยายามกลืนลงคง แต่ด้วยเชือกที่ทำเป็นบ่วงรอบคอ ทำให้มันต้องขยอกออกมา มันก็จะรีบกระโจนลงไปจับใหม่ เร็วมากเลยครับ แพร็บเดียวได้ปลามามากมายพอสมควร ปลาที่ได้มานั้น ไม่สวยมากหรอกครับ มีรอยแผลจากปากนกและอื่นๆ

ทราบว่า ในปัจจุบันนี้มีการเลี้ยงปลาอาหยุในเชิงพาณิชย์ แต่ก็อีกแหละครับ คนญี่ปุ่นจะเลือกฤดูกินปลาที่มันมันที่สุด ปลาชนิดนี้จึงไม่มีขายในท้องตลาดตลอดปี ซึ่งที่จริงแล้ว ก็ไม่เคยเห็นมีขายในท้องตลาดเลยด้วยซ้ำไป ยกเว้นที่เสียบไม้ปักย่างอยู่รอบเตาถ่านตามภาพที่คุณพวงแก้วนำมาแสดง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 มิ.ย. 12, 10:54
ขออนุญาตชักใบให้ปลาเสียค่ะ.  ;)
มื้อเย็นนี้ไปกินอาหารที่ร้าน Applebees. ตรงข้ามโรงแรม.   มีรายการอาหารปลาชื่อ Grilled. Tilapia.  เสิฟพร้อมผักคือมันฝรั่ง บร็อคโคลี และแครอท. 
เลยสั่งมากิน
เนื้ิอปลาหวาน ไม่มีกลิ่นคาว ถ้าได้กินกับข้าวสวยร้อนๆ. บวกน้ำปลาพริก. คงอร่อยกว่านี้มาก
กลับมาถามกูเกิ้ลดูว่ามันคืออะไร.    บางเว็บบอกว่าปลาหมอเทศ.  กูเกิ้ลบอกว่าปลานิล
เลยแวะกระทู้นี้.   คุณตั้งกับคุณพวงแก้วคงเคยกินมาแล้ว. คงตอบได้ว่ามันปลาอะไรนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 มิ.ย. 12, 19:37
^
แสดงว่าคุณเทาชมพูโชคดีที่ได้กินปลา Tilapia พันธุ์ดีจากแหล่งเพาะเลี้ยงที่ดี  และภัตตาคารนั้นก็คงได้ทดลองทำอาหารจากเนื้อปลาที่นำเข้ามาจากหลายๆประเทศจนสามารถเลือกยี่ห้อและคุณภาพที่ดีเพื่อบริการลูกค้า

ตัวผมเองมิได้มีความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ ได้รู้จักปลาที่ชื่อ Tilapia ในช่วงงานพิธีการหนึ่งในญี่ปุ่น ก็เลยต้องมาศึกษาหาอ่านเพิ่มเติม ก็พอจะมีความรู้งูๆปลาๆว่า ปลาชนิดนี้เป็นปลาเกล็ดประเภทพบอยู่ทั่วไปในโลก เลี้ยงง่าย ตายยาก โตเร็ว มีหลายเผ่าพันธุ์และหลายลูกผสม

Tilapia ของไทย คือ ปลานิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่พระราชทานให้ ที่มีการผสมผสานอย่างเหมาะสมมากทั้งในเชิงของสีตัวปลาและชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ในภาษาอังกฤษ (Nile Tialpia)

ปัจจุบันปลาในตะกูลนี้เป็นปลาเศรษฐกิจที่มีการเลี้ยงเพื่อการส่งออกจากหลายทวีป จีนนั้นจัดได้ว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่และรายสำคัญของโลก

ปลาทับทิมก็คือปลา Tilapia เหมือนกัน เช่นเดียวกับ ปลาหมอเทศ หมอตาล เสือตอ เหล่านี้ก็ใช่   Tilapia ที่มีขายและกินกันในโลกนี้ เกือบทั้งหมดเป็นพันธุ์ผสม ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไป ตามแหล่งผลิตบ้าง ตามสีของลำตัวบ้าง และทั้งหลายนี้ก็จะมี texture ของเนื้อต่างกันมากพอที่จะรับรู้ได้

ที่คุณเทาชมพูได้ลิ้มลองรสนั้น คงจะเป็นปลาพันธุ์ผสมจากแหล่งผลิตที่ใดที่หนึ่ง   สำหรับผมนั้นชอบปลานิลไทย เนื่องจากยังมีกลิ่นของธรรมชาติ (กลิ่นโคลน) ติดอยู่ครับ  ;D   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 มิ.ย. 12, 19:46
ตัวผมเองมิได้มีความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ ได้รู้จักปลาที่ชื่อ Tilapia ในช่วงงานพิธีการหนึ่งในญี่ปุ่น ก็เลยต้องมาศึกษาหาอ่านเพิ่มเติม ก็พอจะมีความรู้งูๆปลาๆว่า ปลาชนิดนี้เป็นปลาเกล็ดประเภทพบอยู่ทั่วไปในโลก เลี้ยงง่าย ตายยาก โตเร็ว มีหลายเผ่าพันธุ์และหลายลูกผสม

Tilapia ของไทย คือ ปลานิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่พระราชทานให้ ที่มีการผสมผสานอย่างเหมาะสมมากทั้งในเชิงของสีตัวปลาและชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ในภาษาอังกฤษ (Nile Tialpia)

ปลาทิลาเพียของไทยก็ได้มาจากญี่ปุ่น

ปลานิล Oreochromis niloticus สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทรงจัดส่งเข้ามาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ จำนวน ๕๐ ตัว ปัจจุบันแพร่พันธุ์เป็นล้าน ๆ ตัวแล้วกระมัง เป็นวัตถุดิบทำอาหารสำคัญของคนไทยทีเดียว  

(http://www4.pantown.com/data/2888/board5/295-20090901150027.jpg)

จาก ปลานิล ก็พัฒนาเป็น ปลาทับทิม (สีค่อยเข้ากับชื่อกระทู้หน่อย  ;D)

(http://mitrungruengfarm.igetweb.com/article/art_262800.jpg)


เอเลี่ยนสปีชี่ส์ ถ้าจะเลี้ยงต้องคิดให้ดี มีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน

 ;D



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 มิ.ย. 12, 21:05
ก่อนจะไปต่อ ขอย้อนกลับไปอีกสักหน่อยครับ

แว๊บไปต่อเรื่องการเลือกสายการบินและที่นั่ง หากมีโอกาสที่จะเลือกได้

จากประสบการณ์ ผมเห็นว่า ในกรณ๊ที่เป็นการบินระยะไกลและเป็นการบินตรงจากประเทศใดก็ตามไปยังเมืองปลายทางที่เป็น Hub ของประเทศปลายทางนั้นๆ เราก็ควรจะเลือกบินสายการบินของประเทศปลายทางนั้นๆ โดยเฉพาะหากประเทศนั้นๆเป็นประเทศที่มีประชาชนออกไปท่องเที่ยวมากๆ  เส้นทางการบินนี้เรียกว่า Inbound flight  บินในเที่ยวบินแบบนี้สนุกครับ ทั้งผู้โดยสารและพนักงานต้อนรับ ทุกคนจะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร เสมือนหนึ่งได้กลับบ้่านเสียที การให้บริการต่างๆจะเป็นแบบเต็มที่ ขออะไรก็ได้ มากเพียงใดก็ได้ พอจะเรียกได้ว่าเป็นสภาพของการโล๊ะของที่มีอยู่บนเครื่องให้หมดๆไป ทั้งเครื่องดื่ม เบียร์ เหล้า ของแจก ของแถม ฯลฯ (ผู้ที่บินในชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่งอาจจะไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้เลย)




กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 มิ.ย. 12, 21:24
....ปลาทิลาเพียของไทยก็ได้มาจากญี่ปุ่น
 ;D

ในงานพิธีการนั้น  องค์จักรพรรดิ์ได้ทรงเล่าอีกด้วยว่า ทรงเป็นผู้คัดเลือกปลาจำนวน 50 ตัวนั้นด้วยตัวพระองค์เอง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 24 มิ.ย. 12, 21:59
ดิฉันไม่ค่อยชอบปลานิล แต่เป็นแฟนปลาทับทิม รู้สึกว่าเนื้อหวานกว่าและไม่มีกลิ่น...

แทบทุกสัปดาห์จะสั่งพ่อค้าปลาเจ้าประจำให้เขาแล่เนื้อปลาทับทิมตัวขนาด 1 ก.ก.

แล้วตัดเอากระดูกกลางลำตัวเป็น 3 ท่อน (นอกนั้นทิ้งหมด) เพื่อเอามาทำข้าวต้มปลาและน้ำซุป

คิดแล้วถูกกว่าไปซื้อข้าวต้มปลาเจ้าที่มีชื่อ ซึ่งมีปลาชิ้นบางๆ 3-4 ชิ้นเท่านั้น ...ทานแล้วหงุดหงิด

ข้าวต้มปลาที่ทำเองจะละลายเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นลงไปเล็กน้อย ทำให้น้ำซุปข้นขึ้นและมีรสหวานชื่นใจ

(เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นกับเต้าเจี้ยวจีน คนละรสเลย ของญี่ปุ่นรสดีจนติดใจเลยคะ )

ดีใจที่ปลาที่อาจารย์เทาชมพู ชมว่าอร่อยหาซื้อได้ในเมืองไทย ...กลับมาจะได้ทำทานเองได้ไงคะ


ยิ่งฟังคุณตั้งเล่าเรื่องวิธีการจับปลาอาหยุ ...ที่แสนยากเย็นแล้วรสเหมือนปลาดุกอุยพื้นบ้านของเรา...

ยิ่งเสียดายที่ไม่ได้ชิม...ใครไปญี่ปุ่นได้เจอปลาแบบนี้ก็อย่าพลาดนะคะ


เรื่องบริการของสายการบินเป็นอีกเรื่องที่น่าคุย ยิ่งคนที่เดินทางบ่อยๆคงมีเรื่องเล่าอีกเยอะเลย...ใช่ไหมคะ น่าสนุก



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 24 มิ.ย. 12, 22:10
ยังไปไม่พ้นญี่ปุ่น มีเรื่องอยากถามคะ ว่าการพันเสื่อผืนสั้นๆที่ต้นไม้ (เห็นในวัด ) อย่างบรรจง

เช่นนี้ทำเพื่ออะไรและมีความหมายเกี่ยวข้องกับความเชื่อไหมคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 มิ.ย. 12, 23:11
วิธีนี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โคะโมะมากิ こも巻き  เป็นการห่อต้นสนด้วยเสื่อฟาง จะเริ่มทำประมาณปลายเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนเริ่มต้นฤดูหนาวของญี่ปุ่น

จุดประสงค์เพื่อล่อให้หนอนของผีเสื้อกลางคืน Dendrolimus spectabilis เข้าไปหลบอากาศหนาว

(http://www.ffpri-hkd.affrc.go.jp/group/konchu/Zukan/ImageL/063.jpg)

พอต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะเอาเสื่อฟางที่มีเจ้าตัวหนอนนี้ไปเผาทำลายเสีย

เป็นการกำจัดศัตรูต้นสนอันแสนชาญฉลาด

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 มิ.ย. 12, 11:39
ขอกลับไปที่ปลานิลเมืองฝรั่งอีกครั้งค่ะ
รูปนี้ไม่เหมือนเป๊ะ แต่คล้ายมาก  เขาหั่นเป็นชิ้นมาให้  ไม่ได้ย่างมาทั้งตัว
ได้ความว่ามีขายตามซูเปอร์ด้วยค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 มิ.ย. 12, 12:14
เดินทางท่องเที่ยวคราวนี้ เก็บตกมาได้เรื่องหนึ่งค่ะ    คืออาหารอเมริกันช่างเป็นอาหารน่ากลัวต่อสุขภาพเสียนี่กระไร
เช้าๆ พอตื่นก็ลงลิฟต์มาที่ห้องอาหาร  ทางโรงแรมบวกอาหารเช้าฟรีให้ด้วย   ทุกวันต้องเดินวนอยู่หลายรอบเพราะไม่รู้จะกินอะไรดี   ไม่ว่ามองทางไหน ก็อุดมไปด้วยแป้งหนาๆรสหวานจัด สารพัดชนิด เช่นวอฟเฟิล และโดนัท   ไข่คน เบคอน ไส้กรอก  กินกับกาแฟ น้ำผลไม้กระป๋องเติมน้ำตาลล้นปรี่   น้ำเชื่อม   ทุกอย่าง ถ้าไม่มัน ก็หวานจัด  หรือไม่ก็เค็มไปเลย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 มิ.ย. 12, 12:18
กลางวัน ขับรถไปตามเส้นทางไกลระหว่างรัฐ  ร้านอาหารข้างทางที่ออกตาม exit ต่างๆ ไม่พ้นฟาสต์ฟู้ด    หน้านี้เป็นฤดูร้อน หน้าท่องเที่ยว ครอบครัวพ่อแม่ลูกขับรถเที่ยวกันมากมาย     แวะกินแฮมเบอร์เกอร์เหมือนเราแวะร้านไก่ย่างส้มตำกัน    เด็กตัวเล็กตัวน้อยโตขึ้นมากับอาหารประเภทแป้ง เนื้อสัตว์ และน้ำตาล   ผักมีน้อยมาก
ที่นี่น้ำอัดลมใส่ถ้วยชนิดน่าจะเรียกว่าถังมากกว่าถ้วย  ซื้อถ้วยเดียว ให้เติมฟรีไม่อั้นเสียด้วย
จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่้เห็นหนุ่มสาว  คนวัยกลางคน ไปจนชรา หุ่นอย่างรูปข้างล่างนี้ เดินกันมากมายเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ

เคยสวนทางกับครอบครัวหนึ่งที่หน้าลิฟต์  มีลูกเล็กๆสามคน ตัวผอมๆ  แสดงว่าเป็นเด็กกินยาก   แต่พอพ่อกับแม่เดินมาสมทบ  แทบจะร้องโอ้โฮออกมาต่อหน้าพวกเขานั่นเอง  เคราะห์ดีกลั้นเอาไว้ทัน
พ่อแม่ หนักเฉียดๆ 200 กิโล  ย้ำ  กิโลนะคะไม่ใช่ปอนด์  ยิ่งคุณแม่ซึ่งก็อายุประมาณ 30  ยังนึกไม่ออกเลยว่าเธอแบกน้ำหนักขนาดนั้นเคลื่อนไหวทำงานประจำวันได้อย่างไร

ทั้งหมดนี้มาจากอาหารอเมริกันโดยแท้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 25 มิ.ย. 12, 12:50
ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูมากคะ  เป็นการแก้ปัญหาที่ยุ่งยากให้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องวิ่งไล่จับแมลง

ก้สร้างบ้านให้มันซะ แล้วก็รวบทั้งบ้านไปจัดการทีเดียว ไม่ต้องเหนื่อยมาก เป็นภูมิปัญญาที่

เรียบง่ายแต่ล้ำลึก...

ส่วนอาหารอเมริกันกับคนอเมริกับที่อ.จ.โพสให้ดู...ทำให้นึกย้อนไปเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว

สมัยนั้นจำได้ว่าแม่บ้านไทยที่มีอายุในวัยกลางคนขึ้นไปส่วนใหญ่ ก็หุ่นคล้ายๆแบบนี้

แต่เรามีส่วนสูงน้อยกว่า ก็เลยดูอ้วน เตี้ย ไปเลย นั่นเพราะอาหารที่รับประทานตามบ้าน

จะอุดมด้วยกะทิ  ของทอดชุ่มน้ำมันหมู และขนมหวานแบบไทยที่นั้งหวานทั้งมัน ทานล้างปากกันทุกวัน

แถวระแวกบ้านจะมีบ้านที่ทำขนมพวกนี้ออกไปขายกันทุกเย็น  เรียกว่าขายดิบขายดี

ต่อมา  เมื่อสื่อทีวีเจริญขึ้น ความนิยมคนผอมก็เข้ามาแทนที่ ตามกลุ่มไฮโซ ที่จบจากเมืองนอกมา

แต่ตัวสวยโก้  และตามมาด้วยกระแสรักสุขภาพ ....เดี๋ยวนี้สาวไทยมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป ขายาว เล็ก เรียว

จนแต่งตัวตามแฟชั่นได้สบาย ไม่ว่าจะขาสั้น สักแค่ไหนเธอก็สู้...โดยไม่หวั่นเกรงสายตาใคร

 และถ้าสังเกตก็จะเห็นว่ากระแสนี้แรง และครอบคลุมทุกระดับสังคม...

แต่ในอนาคตถ้ากระแสฟาสท์ฟูดยังแรงแบบนี้ก้ไม่แน่ว่าสาวไทยจะย้อนกลับไปเหมือนอดีตอีกหรือเปล่านะคะ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 มิ.ย. 12, 00:00
สาวๆ ในเมืองคงคุมน้ำหนักตัวเองได้  แต่ว่าเด็กๆนี่ซีคะ โตขึ้นมากับฟาสต์ฟู้ด ในศูนย์การค้าตจว.ก็มีให้นั่งกินได้ตามสบาย  จะอ้วนกันไปหมดตั้งแต่ก่อนวัยรุ่น
เมื่อค่ำวานนี้(ตรงกับเช้าของวันจันทร์ในไทย) พายุฝนฟ้าคะนองมาอีก   เปิดประตูออกไปเจอลมร้อนพัดปะทะหน้า  แยกออกระหว่างอากาศเย็นตามปกติของที่นี่ กับลมร้อนที่แปลกปลอมเข้ามา    เชื่อว่าลมจากภูเขาพัดพาไอร้อนจากไฟป่ามาถึงเมือง   ตอนนี้รัฐเหมือนเจอยุทธการ "(ไฟ)ป่าล้อมเมือง"กันแล้ว    เครื่องบินที่พาน้ำไปดับไฟก็เลยลมแรงพัดแปรปรวน หอบน้ำไปตกที่อื่น  กำหนดทิศทางลมไม่ได้   ไฟคงจะเผาไหม้ภูเขาอีกเป็นเดือน   แต่ว่ามันยังไม่ลงมาถึงพื้นราบ   ตามหมู่บ้านบนภูเขา ผู้คนต้องอพยพนับเป็นพันๆคน
ล่าสุดพนักงานดับเพลิงเสียชีวิตไปแล้ว 1 คน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 มิ.ย. 12, 13:06
http://www.youtube.com/watch?v=eIPpmv9btRE

ไฟป่าที่เกิดขึ้นใหม่ทางตอนใต้ของโคโลราโด  ที่โคโลราโดสปริงส์ซึ่งเป็นที่ตั้งของร.ร.นายเรืออากาศของสหรัฐ ทำให้ทางการต้องอพยพชาวบ้าน  32,000 คน หนีไฟป่าที่ลุกลามเข้ามาถึงตัวเมืองแล้วค่ะ
ชาวโคโลราโดกำลังช็อคกับภัยธรรมชาติที่ไม่เคยเจอมาก่อน   มันถึงขั้น disaster (หายนะ) กันแล้ว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 มิ.ย. 12, 19:38
หายไปต่างจังหวัด 2 วันครับ

เดินทางท่องเที่ยวคราวนี้ เก็บตกมาได้เรื่องหนึ่งค่ะ    คืออาหารอเมริกันช่างเป็นอาหารน่ากลัวต่อสุขภาพเสียนี่กระไร
เช้าๆ พอตื่นก็ลงลิฟต์มาที่ห้องอาหาร  ทางโรงแรมบวกอาหารเช้าฟรีให้ด้วย   ทุกวันต้องเดินวนอยู่หลายรอบเพราะไม่รู้จะกินอะไรดี   ไม่ว่ามองทางไหน ก็อุดมไปด้วยแป้งหนาๆรสหวานจัด สารพัดชนิด เช่นวอฟเฟิล และโดนัท   ไข่คน เบคอน ไส้กรอก  กินกับกาแฟ น้ำผลไม้กระป๋องเติมน้ำตาลล้นปรี่   น้ำเชื่อม   ทุกอย่าง ถ้าไม่มัน ก็หวานจัด  หรือไม่ก็เค็มไปเลย

ภาพในความทรงจำของผมเมื่อช่วง 30 กว่าปีก่อนกับอีกช่วงช่วงประมาณ 20 ปีก่อน ผมก็ยังได้เห็นวิถีการกินของคนอเมริกันเปลี่ยนแปลงไปมาก
ทางด้านตะวันออกดูจะเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก ค่อนข้างจะยังอยู่ในแนวคิดกินแบบยั้งคิด คือทุกวันและแทบจะทุกมื้อกินอาหารค่อนข้างเบา และปริมาณไม่มาก จะมีเพียงวันเดียวในหนึ่งอาทิตย์ที่กินแบบหนักเป็นเนื้อเป็นหนังกันเลยทีเดียว และก็เป็นอาหารเย็นอีกด้วย แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ทราบ ไม่ได้ไปนานแล้ว
ส่วนทางด้านตะวันตกนั้น ผมไ้ด้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในภาพที่เหมือนกับที่คุณเทาชมพูได้เล่ามา อาหารในหนึ่ง portion ที่เสิร์ฟมานั้นมีปริมาณมากขนาดแบ่งกินได้สองมื้อเลยทีเดียว ไล่ตั้งแต่อาหารเช้าไปเลย และทุกมื้อทุกวันเสียด้วย ขนาดผมเป็นคนกินอาหารเช้าหนักมากกว่าอาหารเย็นยังกินอาหารเช้าในปริมาณที่เสิร์ฟมาได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งหนึ่ง

หากสังเกตจากข่าวต่างๆที่ออกมาทางสื่อต่างๆ ผมเห็นว่า คนอเมริกันทางตะวันตกนิยมที่จะเสริมสร้างร่างกายให้ใหญ่โตแต่มีความแข็งแรง โดยการกินมากแล้วออกกำลังมาก ขนาดนั้นก็ยังไม่พอ ตามสถานที่ออกกำลังที่เรียกว่ายิมนั้นยังมีการลักลอบขาย Steroid เพื่อเสริมสร้างความใหญ่โตของร่างกายเข้าไปอีก
 
นึกขึ้นได้ว่าที่จริงแล้วข่าวทางด้านฝั่งตะวันออกของอเมริกาไม่ค่อยจะมีปรากฎตามสื่อต่างๆ

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 มิ.ย. 12, 19:56
....เดี๋ยวนี้สาวไทยมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป ขายาว เล็ก เรียว จนแต่งตัวตามแฟชั่นได้สบาย ไม่ว่าจะขาสั้น สักแค่ไหนเธอก็สู้...โดยไม่หวั่นเกรงสายตาใคร
และถ้าสังเกตก็จะเห็นว่ากระแสนี้แรง และครอบคลุมทุกระดับสังคม...

เรื่องนี้ผมกลับเห็นต่างครับ  หนุ่มสาวทรงผอมนี้ จะเห็นเป็นส่วนมากก็ในหมู่คนในระดับอุดมศึกษา แต่ทรงเจ้าเนื้อนั้นจะพบได้ทั่วไปอย่างมากมายเลยทีเดียว ก็ยังดีที่ยังไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยได้อย่างเต็มปาก

คนหนุ่มสาวของไทยสมัยนี้เกือบจะไม่กินอาหาร (แกง ผัด) แบบผักใส่เนื้อ แต่จะเป็นลักษณะของเนื้อใส่ผักมากกว่า เรียกได้ว่าแทบจะไม่รู่้จักผักอื่นใดมากไปกว่าที่มีขายอยู่ในซุบเปอร์มาเก็ต แถมยังไม่ค่อยจะชอบกินผักสดอีกด้วย



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 มิ.ย. 12, 21:33
ขอเพิ่มเติมจากข้อสังเกตของคุณตั้งว่า ในรัฐทางตะวันตก (เท่าที่เห็นผ่านๆแบบขี่ม้าชมดอกไม้)    หนุ่มสาวในเมืองใหญ่อย่างตามเมืองหลวงของรัฐ มักรักษาหุ่นได้เพรียวสวยงามกว่าในเมืองเล็กๆ    เรียกว่าหนุ่มสาวทันสมัยจะพิถีพิถันเรื่องเนื้อตัวมากกว่า    แต่ถ้าเป็นเมืองเล็กแบบบ้านนอกเท่าไร  หุ่นคนในเมืองจะเป็นปฎิภาคกับเมืองมากเท่านั้น  คืออ้วนเผละเชียวละค่ะ

สาเหตุหนึ่งก็คืออาหารแป้งและเนื้อราคาถูก   ส่วนผักผลไม้กลับแพง 

คนที่อยู่เมืองเล็ก รายได้น้อยกว่าเมืองใหญ่    อาหารที่หากินได้ง่าย ราคาถูก เหมาะกับพ่อแม่ลูกไปนั่งโจ้กันจนอิ่มคือฟาสต์ฟู้ด  ขนมปังชิ้นมหึมา  ไส้เนื้อบดแผ่นใหญ่ มีผักประกอบเล็กน้อย   ไก่ชุบแป้งทอดหนาเตอะ  มีไอศกรีมและน้ำอัดลมแก้วเบ้อเริ่ม  เด็กๆชอบ   กินมื้อหนึ่งจนเต็มอิ่มก็ไม่กี่เหรียญ   แต่ถ้าเข้าซูเปอร์ซื้อผักผลไม้กินนี่แพงกว่า    ถ้าไม่กินของสด แต่ไปกินเครื่องกระป๋องแทนก็หล่อน้ำเชื่อมกันเสียส่วนใหญ่  เพิ่มน้ำหนักทันตาเห็น

เด็กสาวๆเรียนไฮสกูลในเมืองที่ดิฉันอยู่  มีทั้งหุ่นเพรียวสวยดูแข็งแรงแบบคนสุขภาพดี  กับสาวหุ่นเหมือนโอ่งที่ดูออกว่าพัฒนามาจากเด็กอ้วน แล้วลดไม่ลง    แต่พวกหุ่นดีนี้เมื่ออายุมากขึ้น หลัง ๒๐ กว่าๆ แต่งงานแต่งการไปแล้วกระเตงลูกมาจ่ายของ  เกือบจะร้อยละร้อย กลายเป็นสาวตัวใหญ่  หนักมากบ้างน้อยบ้าง   แต่ไม่เพรียวเลยสักคน

พออายุมากขึ้นสัก ๕๐ กว่าๆมะเร็งก็เริ่มมาเยือน  ถ้ารอดจากนี้ไปได้โรคหัวใจก็มาเยี่ยมแล้วอยู่ด้วยถาวร  ๖๐ ก็มักเรียบร้อยโรงเรียนฝรั่งไปแยะแล้วค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 มิ.ย. 12, 19:48
เท่าที่พอจะรู้ ผู้หญิงในอาชีพแอร์โฮสเตรส จะเป็นพวกที่รักษาน้ำหนักและหุ่นได้อย่างคงที่ได้นานมากๆ คงจะเนื่องมาจากว่าบริษัทการบินเขาตัดชุดให้และมีเงื่อนไขว่าจะต้องรักษาหุ่นทรงนี้ไปกี่ปี  (แต่ก็เคยเจอประเภทยักษ์และมีอายุเหมือนกัน) ซึ่งเท่าที่สังเกตมา จะเป็นของสายการบินในเอเซียและสายการบินตะวันตกที่บินเข้าออกเอเซียเท่านั้น
เรื่องนี้คงจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกฝรั่งชอบที่จะเดินทางโดยใช้สายการบินของเอเซีย เนื่องจากเจริญหูเจริญตามากกว่า แถมยังได้รับการบริการที่ดีและอ่อนโยนแบบ ready & prompt to render a service ซึ่งกลับทางกันที่คนเอเซียซึ่งดูจะไม่นิยมเดินทางด้วยสายการบินของประเทศของตน (นอกจากจะถูกบังคับด้วยกฎระเบียบ) ทั้งหมดมาจากฐานของเรื่อง look down  เขาเหล่านั้นถูกจัดให้เป็นบุคคลชั้นสองเกือบจะในทุกแง่มุม

เรื่องคนในประเทศของตนถูกจัดให้เป็นบุคคลชั้นสองนี้ ไม่ต้องไปดูอื่นไกล ในไทยนี้แหละครับ นักเดินทางทั้งหลายคงได้เห็นภาพที่คนต่างชาติสามารถขนของพะรุงพะรังน้ำหนักเกินได้ ในขณะที่เราเองถูกเข้มงวด คนของบางประเทศได้รับสิทธิสามารถขนสัมภาระได้เกินมากกว่าเราไปอีกครึ่งหนึ่งของน้ำหนักที่อนุญาต
 
นี่ก็คงจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นักเดินทางจะนิยมเดินทางด้วยสายการบินอื่นที่มิใช่ของประเทศของตน ก็พอเข้าใจได้ว่ามันเป็นเรื่องของการตลาด แต่หากเอาแต่รายได้และเงินเป็นที่ตั้งโดยขาดการคำนึงถึงในมุมของ Dignity ของชนชาติของตน ผมก็ว่ามันแย่มากๆ




กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 มิ.ย. 12, 21:26
เคยเดินทางด้วยสายการบินฝรั่งบางสาย    พบว่าแอร์และสจ๊วตของเขานอกจากวัยลุงกับป้ากันทุกคน (บางคนน่าจะตากับยาย) น้ำหนักยังเกินมาตรฐานไม่ต่ำกว่า ๒๐ กิโล จนสงสัยว่าทางสายการบินเขาไม่กลัวหนักเครื่องบ้างหรือ  ไม่รวมความอุ้ยอ้ายในการเคลื่อนไหวให้บริการ    ผิดกับของเราและสายการบินเอเชียที่ล้วนหนุ่มหล่อสาวสวย หุ่นเพรียวกระฉับกระเฉง

การบริการของฝรั่งที่เคยเจอก็ใช่ย่อย  คือมองคนเอเชียอย่างค่อนข้างดูถูก และบริการอย่างเสียไม่ได้     ผิดกับเวลาพูดหรือบริการกับฝรั่งด้วยกันจะสุภาพเป็นมิตรมากกว่า   เขาอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ ยกประโยชน์ให้จำเลยไว้ก่อนค่ะ แต่ก็ทำให้หลีกเลี่ยงเลิกใช้สายการบินพวกนี้ เว้นแต่จะไม่มีทางเลือก เช่นบินภายในประเทศ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 29 มิ.ย. 12, 20:53
เดี๋ยวนี้สายการบินหลายสายดีขึ้นนะคะ หลายแห่งมีลูกเรือที่พูดภาษาท้องถิ่นของประเทศปลายทางร่วมในกลุ่มลูกเรือด้วย

จำไม่ได้แล้วว่าสายการบินไหนแล้วค่ะ จากกรุงเทพไปที่ไหนซักที่ บนเครื่องนอกจากลูกเรือฝรั่งแล้ว มีสาวน้อยชาวไทยอยู่หนึ่งคน เดินผ่านไปมาได้แอบคุยกัน อบอุ่นทั้งพนักงานทั้งผู้โดยสาร  :) :)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 มิ.ย. 12, 21:28
^
มีเกือบจะทุกสายการบินครับ โดยเฉพาะสายการบินที่วิ่งเข้าวิ่งออกเอเซีย สายการบินเหล่านี้จะจัดให้มีพนักงานอย่างน้อยหนึ่งคนที่พูดภาษาท้องถิ่นในเครื่อง และก็จะประจำอยู่ในที่นั่งส่วนที่นักท่องเที่ยวใช้กัน

สำหรับในยุโรปนั้น ส่วนมากก็จะพูดได้ 3-4 ภาษากันอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ฟังออก เนื่องจากเรียนมาตั้งแต่เด็ก  ในสหรัฐฯนั้นก็มักจะสามารถพูดหรือฟังภาษาสเปนได้

ที่จัดว่าแย่ก็คือของญี่ปุ่น พนักงานจะฟังและเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี แต่ไม่ค่อยจะพูด อาการเหมือนกระดากปาก    ครั้งหนึ่งเคยเจอสายการบินภายในของญี่ปุ่น ตั้งแต่เช็คอิน ขึ้นเครื่อง อธิบายความปลอดภัยบนเครื่อง จนเครื่องลงที่หมายปลายทาง เข้าอาคารสนามบิน จนออกจากสนามบิน ไม่ได้ยินภาษาอังกฤษสักคำเดียวเลยครับ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 29 มิ.ย. 12, 21:31
^

สายการบินญี่ปุ่นที่เคยนั่ง ประทับใจในความสนุกค่ะ คงเพราะจุดหมายในการเดินทางเป็นประเทศแหล่งพักผ่อน เล่นเกมกันทั้งเครื่องบิน บิงโกบ้าง ตอบคำถามบ้าง สนุกสนานเฮฮาปาจิงโกะ  ;D ;D ;D ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 มิ.ย. 12, 21:55
^
ที่จริงแล้ว คนญี่ปุ่นวัยหนุ่มสาวจะฟังภาษาอังกฤษออกและเข้าใจในระดับดี สำหรับผู้สูงอายุเท่าที่เคยพบมา พวกที่มีอายุเกิน 75 นั้นมีเป็นจำนวนน้อยมากที่ฟังภาษาอังกฤษออก  สำหรับพวกที่ต่ำกว่า 75 ปี พวกนี้หากเป็นคนที่ทำงานด้านบริหารของธุรกิจที่มีสินค้าขายอยู่ในต่างประเทศ มักจะฟังภาษาอังกฤษออกแต่จะพูดได้ดีในระดับต่างๆกัน

ระบบการเรียนภาษาอังกฤษของญี่ปุ่นนั้น เน้นด้านการอ่านการเขียนมากกว่าด้านการพูด คนญี่ปุ่นในเมืองใหญ่ในปัจจุบันจึงฟังภาษาอังกฤษออก แต่พูดไม่ค่อยจะได้ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่เขารู้สึกอายที่ไม่สามารถจะออกเสียงได้อย่างถูกต้องและชัดเจนเสียมากกว่า อันเป็นลักษณะเฉพาะของคนญี่ปุ่นที่จะทำอะไรก็จะต้องถูกต้องและแม่นยำ พวกนี้เขียนภาษาอังกฤษได้อย่างน่าทึ่งเลยทีเดียว ดีกว่าเราที่พูดได้เป็นต่อยหอยเสียอีก ดีจนในบางครั้งผมคิดว่าฝรั่งเป็นคนเขียนเสียอีก

ดังนั้น หากไปญี่ปุ่นแล้วถามอะไรแล้วไม่ได้คำตอบ ลองเริ่มจากการลดความสมบูรณ์ของประโยคภาษาอังกฤษนั้นๆดู ลดลงไปเรื่อยๆจากประโยคยาวให้สั้นลง เปลี่ยนไวยากรณ์ จนกลายเป็นคำๆไป จากศัพท์ยากก็ให้เป็นง่ายๆด้วย Synonym   สุดท้ายก็ลองใช้วิธีเขียนดูนะครับ อาจจะได้เรื่องก็ได้
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 มิ.ย. 12, 22:00
สายการบินญี่ปุ่นที่เคยนั่ง ประทับใจในความสนุกค่ะ คงเพราะจุดหมายในการเดินทางเป็นประเทศแหล่งพักผ่อน เล่นเกมกันทั้งเครื่องบิน บิงโกบ้าง ตอบคำถามบ้าง สนุกสนานเฮฮาปาจิงโกะ  ;D ;D ;D ;D

โชคดีกว่าผม ผมเจอแต่นั่งกันเงียบกริบ ตัวใครตัวมัน
 
คุณกระต่ายฯ คงจะพูดญี่ปุ่นได้ เลยสนุกไปด้วย และอาจจะเป็นการเดินทางในช่วงวันหยุดหรือช่วงเทศกาลกระมังครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: กระต่ายหมายจันทร์ ที่ 29 มิ.ย. 12, 22:11
สายการบินญี่ปุ่นที่เคยนั่ง ประทับใจในความสนุกค่ะ คงเพราะจุดหมายในการเดินทางเป็นประเทศแหล่งพักผ่อน เล่นเกมกันทั้งเครื่องบิน บิงโกบ้าง ตอบคำถามบ้าง สนุกสนานเฮฮาปาจิงโกะ  ;D ;D ;D ;D

โชคดีกว่าผม ผมเจอแต่นั่งกันเงียบกริบ ตัวใครตัวมัน
 
คุณกระต่ายฯ คงจะพูดญี่ปุ่นได้ เลยสนุกไปด้วย และอาจจะเป็นการเดินทางในช่วงวันหยุดหรือช่วงเทศกาลกระมังครับ


ต่ายพูดญี่ปุ่นไม่ได้ค่ะ แต่แอร์ก็พยายามเต็มที่ ภาษาอังกฤษแบบญี่ปุ่นๆ แต่เนื่องจากเป็นเกมนานาชาติอย่างบิงโกเลยไม่ยากนักที่จะเข้าใจค่ะ ส่วนตอบคำถามนี่มีโจทย์ขึ้นให้ที่หน้าจอเป็นภาษาอังกฤษด้วยค่ะ สนุกที่ต้องแข่งกันยกมือตอบ เฮฮาจริงๆ เที่ยวบินนั้น ยังประทับใจไม่หาย  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 มิ.ย. 12, 22:22
ต่อครับ

ภาษาอังกฤษของผมเข้าสู่ขั้นโคม่าอย่างสมบูรณ์ ก็จากเหตุเหล่านี้แหละครับ

กลเม็ดเล็กๆน้อยๆที่อยากจะเล่า คือ เมื่อไปซื้อของตามห้างร้านต่างๆ ถามคนขายในสิ่งที่อยากจะได้ก็พอนะครับ ได้ของแล้วหากไม่มีเวลามากพอก็อย่าได้ไปพูดอะไรต่อไป หากคนขายฟังไม่ออกเมื่อไรก็จะเป็นเรื่องเลยทีเดียว แทนที่จะเสียเวลาไม่กี่นาที จะกลายเป็นสิบนาที่ขึ่นไปเอาทีเดียว เขาจะพยายามฟัง เราก็จะพยายามพูดซ้ำ พอเขาเห็นว่าไม่ได้การแน่ๆ ก็จะไปเรียกพรรคพวกที่ใช้ภาษาได้ดีกว่าเขามาช่วย คราวนี้ก็จะต่อกันเป็นทอดๆไป จากเรื่องที่จะจบแล้ว ก็ด้วยปากของเราพาไปทำให้เสียเวลาไปโดยไม่จำเป็น ไม่มีอะำไรมากหรอกครับ ต่างคนต่างก็พยายามจะ nice (แปลว่าอะไรดีครับ) ต่อกัน ของเราคือแสดงความพอใจที่ได้ของถูกใจ แต่ของเขามันเป็น mindset ที่ฝังรากมาทั้งจากวัฒนธรรมประเพณีและ Productivity movement ที่เริ่มมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองโน่น  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 มิ.ย. 12, 07:39
ภาษาอังกฤษของดิฉันก็กลับบ้านเก่าไปแล้วค่ะ

ตั้งแต่เรียนจบมา มีโอกาสพูดกับฝรั่งน้อยมาก  เพื่อไม่ให้ลืมภาษาอังกฤษก็เลยอ่านอย่างเดียว  ในอินทรเนตรมีให้อ่านเยอะแยะ ทั้งข่าวและคอลัมน์ต่างๆ   ก็อ่านกันเพลินไป   
เพิ่งมารู้ตัวว่าภาษาเรากลับบ้านเก่า  ก็ในการเดินทางครั้งนี้ เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องไปหาหมอที่คลีนิค 

ขอเล่าเกร็ดให้ท่านที่ยังไม่เคยเห็นว่า คลีนิคที่นี่  คนตรวจอาการปวดหัวตัวร้อนไม่ใช่นายแพทย์ พ.บ. อย่างบ้านเรา  แต่เป็นพยาบาลหรือ nurse  สวมเสื้อกาวน์อย่างหมอ  ไม่ได้แต่งขาวอย่างพยาบาล  มีป้ายชื่อและตัวย่อปริญญาแขวนให้เห็นอยู่หน้าห้องตรวจ    พยาบาลที่ไปหาเป็นคุณป้าท่าทางใจดี   ก็อธิบายอาการให้เธอฟัง   มีลูกสาวไปนั่งฟังอยู่ด้วย
พูดกันพอรู้เรื่อง  คุณพยาบาลสั่งยาให้เรียบร้อยแล้ว  ลูกสาวพาแม่กลับบ้าน ขำภาษาของแม่มาก   เขาบอกว่าไม่มีใครเขาใช้ภาษาอย่างแม่หรอก   มันเป็นภาษาทางการมากๆเลย
เช่นแม่ใช้คำว่า painful  ที่นี่เขาพูดว่า hurt สั้นๆ แค่นี้แหละ

แม่ก็บอกว่า อ้าว ไม่รู้นี่  แม่ไม่ได้ใช้ภาษาในชีวิตประจำวันมานานนมกาเลแล้ว   ต้องคนที่มีโอกาสพูดกับฝรั่งอยู่ทุกวัน ถึงจะรู้ว่าเขาพูดกันยังไง
สองสามวันก่อนไปกินข้าวกับคณบดีมหาวิทยาลัยและภรรยา ที่เป็นอาจารย์เหมือนกัน    เผลออีกแล้ว ไปชมว่าละแวกบ้านที่เขาอยู่นั้น peaceful neighborhood  เขาก็ตอบง่ายๆว่า yes, it's quiet.
ต่อไปนี้เห็นจะพูดอะไรลำบากเสียแล้ว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: han_bing ที่ 30 มิ.ย. 12, 23:28
ผมเองเป็นคนที่ภาษาอังกฤษคืนอาจารย์ไปเยอะมาก จนอาจารย์ที่เคยสอนครั้งกระโน้นบ่นว่าเสียแรงเคยนั่งเรียนวรรณคดีอังกฤษมา ทำไมภาษาสื่อสารใช้ประหลาดเหลือแสน

คนจีนใช้ภาษาอังกฤษยอดเยี่ยมเลยก็มี แต่ที่ร้ายคือนิยมใช้เสียงภาษาจีนทับศัพท์ภาษาอังกฤษ และเวลาพูดภาษาอังกฤษ เขาก็บางครั้ง หรือหลายครั้งเอามาใช้ หรือเอาสำเนียงจีนมาปน

อาทิ โคคาโคล่า ที่เมืองจีนเรียกว่า "เค่อโคว่เค่อเล่อ" (可口可乐:ke kou ke le) แม๊คโดนัล เรียกว่า "ม่ายตังเหลา" (麦当劳:mai dang lao)

นี้แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆเท่านั้น  8)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ก.ค. 12, 13:35
^
แม็คโดนัล ญี่ปุ่นเรียกว่า มักกะโดนาหลึ ครับ   
เคยสั่งน้ำอัดลม ขอโค๊ก ขวดหนึ่ง ญี่ปุ่นงง ผมก็งง พูดซ้ำอยู่สองสามครั้ง  ลองใหม่ใช้ชื่อเต็มเลย  อ๊ะ๊ ได้ผลแฮะ ก็เพิ่งรู้ว่าเขาเรียกชื่อเต็มกัน โคคาโคล่า

คนจีนและคนญี่ปุ่น อาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการออกเสียงคำในภาษาอื่นๆในกรณีที่ไม่มีพยัญชนะในภาษาของเขาแทนเสียงนั้นๆ  ผมคิดว่า ในอนาคต คนไทยก็อาจจะเป็นคนที่ออกเสียงภาษาอังกฤษแล้วคนอื่นฟังไม่ออกได้เหมือนกัน
 
ภาษาไทยของเราในปัจจุบันเกือบจะขาดเสียง ร ไปแล้ว แถมยังขาดเสียงควบกล้ำ ล อีกด้วย และที่ค่อนข้างจะสาหัส ก็คือ บรรดาพิธีกรของรายการต่างๆ และผู้อ่านข่าวออกทางสื่อต่างๆนั้น ขาดทั้ง ร และ ล  ออกเสียง ร เป็ร ล ไม่มีเสียงควบกล้ำ ปลา เป็น ปา เกลียด เป็น เกียด และยังอ่านชื่อสถานในประเทศไทยผิดๆก็มี  เคยสนทนากับคนที่แนะนำตนเองว่า ชื่อ ดร. นำหน้า พูดกันถึงการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆของทุเรียน เขาก็บอกว่า ฟิตดาย ก็น่าจะเป็นสินค้าที่ดี ผมต้องชะงักไป ไถลไปพูดเรื่องอื่นๆขั้นกลาง ในสมองก็พยายามนึกและทำความเข้าใจกับคำว่า ฟิตดาย มันคืออะไร จนนึกออกได้ว่า อ้อ คือ ฟรีซดราย (freeze dry) นั่นเอง 

อันนี้นอกเรื่อง เคยได้ยินพ่อสอนลูกตอนนั่งอยู่บนรถเมล์ผ่านสวนสัตว์เขาดิน ว่า เขาเรียกว่า เขาลิง ทั้งๆที่พูดภาษาไทยอื่นๆอย่างชัดเจน 

   



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ก.ค. 12, 14:23
ภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ในปัจุบันทั่วโลกเป็น American English และเราคุ้นกับมันมาก  ภาษาอเมริกันนี้มีความต่างจากภาษาอังกฤษแบบ English English อยู่พอควรเลยทีเดียว ซึ่งมากพอที่อาจจะทำให้ต้องอ่านซ้ำหรือฟังซ้ำภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ  ทั้งสองภาษามีวิธีการเรียงเนื้อเรื่องที่มีเอกลักษณ์อยู่พอสมควร

ตัวผมเองต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนกว่าจะสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจและอย่างถ่องแท้กับคนแคนาดา ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์กับคนออสเตรเลีย   ต้องตั้งใจฟังอย่างจริงจังกับคนอังกฤษโดยทั่วไปจึงจะรู้เรื่อง แต่กับคนชาวสก็อตแลนด์นั้นฟังอย่างไรก็ออกและเข้าใจชัดเจนดี   กับคนอินเดียต้องมีการเดาประกอบอยู่มาก อยู่ร่วมกันมาเป็นเดือนก็ยังลำบากฟังอยู่ดี    กับพวกอัฟริกาฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง คงเป็นเพราะใช้ภาษาอังกฤษอังกฤษด้วยเสียงแบบอัฟริกา แถมใน S.Africa ยังใช้ภาษา Afrikaans ผสมด้วย    อังกฤษแบบปากีสถาน ผมจอดสนิทเลย   แม้ในภาษาอังกฤษสหรัฐเองก็ยังแยกเป็นเหนือ-ใต้-ออก-ตก  ที่ตลกก็คือภาษานิวยอร์คเป็นภาษาที่ทุกชาติทุกภาษาฟังออกและสื่อสารกันได้

ที่กล่าวมานี้ก็เป็นตัวอย่างที่จะบอกว่า จริงๆแล้วอย่าไปกลัวว่าภาษาของเราไม่ดี พูดไปเถอะครับ ตราบใดที่ใช้สื่อสารกันได้อย่างรู้เรื่องกัน ครูสอนภาษาของเราเองก็มีทั้งคนไทยและฝรั่งจากชาติต่างๆ จึงไม่มีใครที่จะบอกได้ว่ามาตรฐานของภาษาอังกฤษต้องเป็นอย่างไร

แม้กระทั่งการใช้คำศัพท์หลายๆคำ ก็ต่างกัน แถมสะกดต่างกันอีกด้วย ใช้ปนกันก็มี

generator ของอเมริกัน = dynamo ของอังกฤษ,  elevator ของอเมริกัน = lift ของอังกฤษ  tire ของอเมริกัน = tyre ของอังกฤษ  ฯลฯ

program กับ programme  ใช้ทั้งสองคำมั่วกันไปมา   นอกตึก UN อเมริกันใช้ program เป็นหลัก แต่ในตึก UN ใช้ programme เป็นหลัก แถมยังแยกอีกด้วยว่า program ใช้กับเรื่องของคอมพิวเตอร์เท่านั้น   
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ก.ค. 12, 11:06
         เพิ่งกลับจากประเทศหมู่เกาะ(atoll)ที่เป็น planet's lowest country ซึ่งมี
lowest natural highest point in the world, at 2.4 metres (7 ft 10 in) ครับ

          ผู้คนผิวคล้ำมีน้ำใจ เห็นนักท่องเที่ยวมองหาจนท.จากที่พักที่จองไว้ก็เข้ามาถามไถ่
และบอกทางให้
          ที่ท่าอากาศยาน ตอนเดินเข้าประตูไปรอเครื่องบินกลับบ้าน พนักงานที่นั่งพักอยู่แถวนั้น
ก็เอ่ยคำอำลา goodbye ให้ด้วย

Maldives


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 03 ก.ค. 12, 19:30
น้ำใสราวกับกระจกเลยนะคะ หมู่เกาะนี้อยู่ที่ไหนคะคุณศิรา



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 ก.ค. 12, 19:31
^
สวยมากนะครับ

Atoll คือ เกาะกลางมหาสมุทรหรือทะเล ที่มีลักษณะเป็นวงแหวนที่เชื่อมต่อกันเกือบสนิท แอ่งของน้ำภายในวงแหวนเรียกว่า Lagoon พื้นที่น้ำตื้นรอบวงแหวนด้านนอกมักจะเรียกกันว่า Shoal area ซึ่งคือพื้นที่ๆยอดคลื่นยกตัวสูงขึ้นและตกลงมากระเส็นกระสายเป็นฟอง ดูสวยงามดี

Atoll ทั้งหมดเป็นเกาะปะการัง และเกือบจะทั้งหมดพบในพื้นที่ในบริเวณของเขตละติจูดเหนือ-ใต้ที่เรียกว่า Tropical Zone คือ ประมาณระหว่าง 20+/- องศาเหนือและใต้ จะพบในมหาสมุทรห่างไกลจากแผ่นดิน และจะพบมากในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย

การเกิดเกาะ Atoll นี้ อธิบายในทางธรณีวิทยาได้  เกาะเหล่านี้มีฐานด้านล่างเป็นปากปล่องภูเขาไฟ (Crater) เหมือนกับสภาพบนบกที่เรียกว่า Crater lake ซึ่งจะมีขอบรอบๆสูงกว่าพื้นที่ตรงกลาง    ภูเขาไฟที่เป็นฐานของ Atoll เหล่านี้ เป็นภูเขาไฟที่เกิดอยู่เป็นทิวตามแนวรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกที่สร้างขึ้นมาใหม่จากหินละลาย (Magma)ที่อยู่ใต้ชั้นเปลือกโลก ซึ่งแนวนี้จะอยู่แถวๆกลางมหาสมุทร จึงเรียกทิวเขาใต้น้ำเหล่านี้ว่า Mid oceanic ridge    พื้นที่ตามแนวทิวเขาใต้น้ำนี้จะมีระดับน้ำตื้นกว่าตามแนวชายขอบทวีป  อันนี้เป็นความจริงที่ค่อนข้างจะขัดกับความรู้สึกของเราโดยทั่วไปที่คิดว่ายิ่งห่างออกจากฝั่งไปในมหาสมุทรมากเท่าใด น้ำก็จะยิ่งลึก   ซึ่งแท้จริงแล้วที่บริเวณรอยต่อของชายขอบทวีปกับมหาสมุทรจะเป็นบริเวณที่มีน้ำลึกที่สุด (ภาพง่ายคือยิ่งห่างฝั่งน้ำยิ่งตื้น_จากลึกหลายกิโลเมตรเป็นลึกสองสามกิโลเมตร)

แผ่นเปลือกโลกที่เกิดมาจากหินละลายดันขึ้นมาและที่บ้างก็ปะทุเป็นภูเขาไฟในพื้นที่กลางมหาสมุทรนี้ ทั้งหมดจะค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหาฝั่ง ซึ่งจะไปมุดกลับลงไปสู่ใต้ชั้นผิวโลกใหม่อีกครั้งก็ที่ตะเข็บรอยต่อกับทวีปที่เป็นแผ่นดิน ซึ่งทำให้เกิดร่องลึกที่เรียกว่า Deep sea trench เช่น Mariana trench (ซึ่งลึกที่สุดในโลก ประมาณ 8 กม.)    ที่เกิดแผ่นดินไหวและซึนามิถล่มทลายเป็นหายนะที่น่าสะพึงกลัวของญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ก็มาจากสาเหตุเรื่องของการการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกที่สะดุดอยู่ช่วงช่วงเวลาหนึ่งนี้เอง

ในมหาสมุทรก็มีกระแสน้ำไหลหมุนเวียน ทั้งในทางราบและทางดิ่ง และมีกระแสน้ำที่อุ่นและน้ำที่เย็น ซึ่งเกิดมาจากกระแสลมที่พัดผ่านผิวน้ำ ความต่างของความหนาแน่นของน้ำ (เนื่องมาจากความเย็นในเขตละติจูดเหนือและใต้และความอบอุ่นในเขตศูนย์สูตร) และการหมุนตัวของโลก    ณ บริเวณที่เหมาะสม มีน้ำไหลหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิพอเหมาะ ประกอบกับปล่องภูเขาไฟที่เคลื่อนตัวเข้าหาฝั่งตามการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกก็จะจมลงไปเรื่อยๆ (หรีอจากการผุพังถูกทำลายไปก็ตามแต่) จะเป็นบริเวณเหมาะกับการเกิดของปะการัง มันก็จะสร้างตัวขึ้นมาเรื่อยๆ รักษาระดับใกล้เคียงกับระดับน้ำทะเลและน้ำขึ้นน้ำลง  ยังผลให้เกิดเป็นเกาะปะการังสูงเรี่ยระดับน้ำขึ้นมา

เมื่อประมาณ 6000 ปีที่ผ่านมา น้ำทะเลทั่วโลกลดระดับลงนับเป็นสิบเมตร (ในไทยนั้น จากประมาณ 2300 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลก็ลดลงไปหลายเมตรจนทำให้เราเห็นสุสานหอยนางรมที่ปทุมธานี) ปะการังที่เกาะอยู่รอบปล่องภูเขาไฟจึงโผล่พ้นน้ำ มีฝนตกเก็บน้ำจืดได้ มีต้นไม้ขึ้น จึงกลายเป็นเกาะ atoll ที่มีทิวทัศน์สวยงามดังในปัจจุบัน  เมื่อมีการสร้างภาพของความ Romantic ให้เกิดขึ้นในใจขึ้นมา เกาะเหล่านี้จึงเหมือนกับพื้นที่สวรรค์ของโลก



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ค. 12, 09:59
          ^  มัลดิฟส์ ครับ

              ขอบคุณ ข้อมูลและคำอธิบายจากคุณตั้ง ครับ

              ที่พักชื่อ Meeru Island Resort อยู่ทางตอนเหนือของเมืองหลวง Male
ระยะทางนั่งเรือเร็วหนึ่งชั่วโมง ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ค. 12, 10:12
            ภาพแนวฟองคลื่นสีขาวซัดเข้าหาฝั่งอยู่ลิบๆ  น่าจะเป็นดังที่คุณตั้งว่า

           
อ้างถึง
พื้นที่น้ำตื้นรอบวงแหวนด้านนอกมักจะเรียกกันว่า Shoal area ซึ่งคือพื้นที่ๆยอดคลื่นยกตัวสูงขึ้น
และตกลงมากระเส็นกระสายเป็นฟอง ดูสวยงามดี


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ค. 12, 10:18
            ทรายนุ่มละเอียดสะอาด ปราศจากขยะ สามารถเดินเท้าเปล่าได้ทั่วเกาะ
ที่ท่าเรือมีลูกฉลาม และปลากระเบนวนว่ายทักทาย ครับ
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 04 ก.ค. 12, 10:26
          ภาพวงแหวนหมู่เกาะ(atoll) เมื่อมองจากเบื้องบน ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 04 ก.ค. 12, 21:11
^
ภาพเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงการเลือกที่นั่งในเครื่องบิน

เครื่องบินโดยสารระหว่างประเทศที่บินระยะไกลจะเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ และมักจะแบ่งออกเป็นสามชั้น คือชั้นหนึ่ง ชั้นธุกิจ และชั้นธรรมดา เรานักเดินทางส่วนมากคงจะมีโอกาสได้นั่งเฉพาะชั้นธรรมดา
การจัดที่นั่งของชั้นธรรมดานี้ มีรูปแบบไม่มาก คือ แถวที่เรียงกันติดฝั่งหน้าต่างด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งมักจะมีอยู่ด้านละสามเก้าอี้เรียงกัน เครื่องบินบางรุ่นอาจจะมีด้านหนึ่งสามเก้าอี้และอีกด้านหนึ่งสองเก้าอี้  และแถวกลาง ซึ่งมักจะเป็นสี่เก้าอี้เรียงกัน หรือสามเก้าอี้ก็มีเหมือนกัน
แล้วก็มีกลุ่มเก้าอี้ที่เว้นวรรคทางเดินกับห้องเตรียมอาหารและประตูทากงออก สองสามแถวหลังสุดของเครื่องด้านหน้าต่างทั้งสองฝั่งอาจจะมีเก้าอี้เพียงสองตัวเรียงกัน

แต่ก่อนนั้น ผู้โดยสารจะมีโอกาสได้เลือกที่นั่งบ้างเล็กๆน้อยๆ และก็มักจะเป็นการขอนั่งริมหน้าต่าง หรือที่นั่งตัวริมทางเดิน บางคนก็จะขอนั่งแถวหน้าๆซึ่งจะอยู่ค่อนไปทางกลางลำตัวเครื่องบิน นัยว่าเพื่อลดอาการเมาเครื่อง

สำหรับผม จะพิจารณาดังนี้ หากใช้เวลาเดินทางมากกว่า 6 ชม. จะขอเลือกตามลำดับดังนี้ ที่นั่งแถวหน้าสุดด้านประตูทางออกและเป็นด้านชิดกับลำตัวเครื่อง จะด้านซ้ายหรือขวาก็ได้ บางครั้งก็จะเจาะจงลงไปว่าด้านซ้ายหรือขวา เพราะต้องการเห็นภูมิประเทศด้านที่เครื่องบินผ่านตามเส้นทาง (ปรกติก็ด้านที่มองเห็นชายฝั่งทะเล) หากไม่ได้ก็จะเป็นที่นั่งที่ติดกับทางเดิน ต่อไปก็ที่นั่งระหว่างสองที่นั่งนี้ก็ได้ และสุดท้าย คือ แถวหน้าสุดตรงกลางตัวเครื่องซึ่งจะติดอยู่ถัดมากับผนังห้องเตรียมอาหาร ซึ่งแถวนี้เขามักจะเก็บไว้ให้พ่อแม่ที่มีเด็กเล็กเดินทางร่วมมาด้วย   เหตุผลที่สำคัญ คือ สามารถลุกยืนเปลี่ยนอริยาบทหรือลุกเดินไปใหนมาใหนได้ง่าย ยื่นเหยียดเท้าออกไปได้ไกลอย่างไม่จำกัด    หากเป็นไปไม่ได้ดังที่กล่าวมา ก็จะขอเลือกที่นั่งแถวหลังสุดฝั่งด้านชิดตัวเครื่อง ซึ่งจะมีโอกาสได้นอนยาวเหยียดบนเก้าอี้แถวกลางสองสามแถวท้ายเครื่อง

หากเครื่องเกิดอุบัติเหตุ ส่วนมากผู้โดยสารที่นั้งส่วนท้ายของเครื่องมักจะรอด ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่นั่งอยู่ส่วนหัวของเครื่อง สำหรับที่นั่งที่อยู่ส่วนกลางเครื่องจะอยู่ในบริเวณที่เป็นโครงสร้างแข็งแรงที่สุดของเครื่อบิน แต่ก็เป็นบริเวณที่เป็นถังน้ำมัน  ดวงใครดวงมันครับ

นั่งท้ายเครื่องและหัวเครื่องรู้สึกกับแรง G ได้เหมือนๆกัน มีโอกาสเมาได้เหมือนๆกัน ต่างกันที่ความเงียบขณะบิน ด้านหัวเครื่องจะเงียบมากแต่ก็ได้ยินเสียงอากาศที่ผ่านตัวเครื่อง ด้านท้ายเครื่องเสียงจะดังมาจากไอพ่นของเครื่องยนต์และอาจจะรู้สึกเหมือนนั่งบนเปลกว่งไปมาซ้่ายทีขวาที

สำหรับกรณีที่ต้องไปต่อเครื่องอีกเครื่องหนึ่ง ผมจะเลือกนั่งแถวหน้าหรือไม่ก็ที่นั่งติดทางเดิน เพื่อจะได้เดินออกจากเครื่องไปได้เร็วๆเพื่อจะได้มีเวลามากพอที่จะเดินไปต่ออีกเครื่องหนึ่งโดยไม่ต้องวิ่งครึ่งเดินครึ่ง ระยะทางเดินเพื่อไปต่ออีกเครื่องหนึ่งนั้นยาวโขอยู่ทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อต้องต่อสายการบินภายใน    พบบ่อยมากเหมือนกันแบบไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องไปหยิบกระเป๋าจากสายพานหนึ่งเอาไปหย่อนที่อีกสายพายหนึ่ง   การ check through นั้นบางทีก็ได้ผล บางทีก็ไม่ได้ผล บางทีก็ไม่สมประกอบ ได้กระเป๋าในวันต่อมาก็มี จึงเป็นเรื่องปรกติที่อย่างน้อยควรจะมีอุปกรณ์และเสื้อผ้าจำเป็นจริงๆสำหรับการใช้ใส่ไว้ในกระเป๋าเล็กที่หิวขึ้นไปในห้องโดยสาร ในระหว่างที่รอกระเป๋าที่หลงเดินทางไปท่องเที่ยวมา ผมเคยเจอ 7 วันก็มี

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ค. 12, 04:15
เห็นมัลดิฟสวรรค์บนดินแล้วอิจฉาคุณ SILA   คงจะมีโอกาสไปบ้างสักวันหนึ่ง

เดินทางทีไรลืมทุกทีว่าควรจะจองที่นั่งไว้   กลายเป็นว่าที่ไหนก็ได้แล้วแต่เจ้าหน้าที่เขาจะส่งมาให้  จึงได้นั่งข้างหน้าต่างบ้าง แถวกลางบ้าง
ต้องจำหลักการของคุณตั้งไปใช้บ้างแล้วละค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 ก.ค. 12, 21:09
มัลดีฟ ชื่อเพราะดี เป็นสถานที่พักผ่อนอย่างจริงจัง   มัลดีฟ จึงมีโอกาสแผลงไปเป็น เมาดีพ (drunk) และ เมาดิบ ได้ ;D

สำหรับฝรั่ง ไปพักผ่อน ก็คือ การไปพักผ่อนจริงๆ ละทิ้งงานไว้เบื้องหลังอย่างสิ้นเชิง ผมชอบใช้คำว่าไปนอนแถกเหงือกอย่างจริงจัง (ขออภัยหากไม่สุภาพ) วันๆก็คือ นอน อ่าน กิน ทำชีวิตให้มีอิสระอย่างที่ใจอยากจะให้เป็น  ต่างกับเราค่อนข้างจะมาก คือ ต้องการไปพักในที่หรูชั้นหนึ่ง แต่เที่ยวตะรอนๆ (ที่จริงไป shopping) ตอนกลางวันทั้งวัน แถมยังต้องพกโทรศัพท์คอยโทรถามเรื่องงานหรือถกกันเรื่องงาน 

ก็คงจะถูกแล้วที่เราใช้คำว่าไปเดินทางท่องเที่ยว มากกว่าที่จะใช้คำว่าเดินทางไปพักผ่อน 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 ก.ค. 12, 22:11
การเดินทางของผมทั้งหมดเป็นเรื่องการไปทำงาน ในช่วงวันหยุดที่ไม่ต้องทำงานก็คือการไปท่องเที่ยว ช่วงเวลาพักผ่อนสั้งๆของผมช่วงหนึ่งคือในระหว่านั่งอยู่ในเครื่องบิน เสียบหูฟังๆเพลงที่ชอบ กินเต็มรูปแบบที่เขาให้บริการ แ้ม้อาหารจะไม่อร่อยมากนัก ตักกินยาก แต่ก็ทำให้พอมีความสุขใจได้พอควร

อาหารบนเครื่องบินนั้น แม้จะมาเป็นถาด วางอัดกันมา หากพิจารณาให้ดีก็จะเป็นอาหารเต็มตาม Course ที่เสิร์ฟกันในภัตตาคารหรูๆ
 
เริ่มต้นด้วย Aperitif คืออาหารและเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อย บนเครื่องก็จะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล เช่น เบียร์, gin, whiskey, campari, bloody mary ฯลฯ  ซึ่งจะให้กินกับถั่วหรืออะไรกรอบๆเป็นหลัก ต่างกับตามภัตตาคารที่จะเป็นเนื้อเย็นหรืออะไรชิ้นเล็กๆขนาดสองสามคำเพื่อแกล้ม (Cold plate)
 
ถัดจากนี้ไปก็จะมาเป็นถาดเลย มีอาหารร้อนในถ้วย casserole แครกเกอร์ เนยอ่อน เนยแข็ง ขนมปัง สลัด ผลไม้ ชิ้นเค็ก เกลือพริกไทย มีถ้วยกาแฟ แก้วบรั่นดี ถ้วยไวน์ ช้อนซ่อม    เลือกกินอย่างใดก่อนหลังตามสบายไม่ว่ากัน   ก็เหมือนกับตามภัตตาคารดีๆ ที่จะแยกจานขนมปังและเนย จากนั้นตามมาด้วยซุป หรือสลัด (สลัดนี้บางแห่งก็เป็นจานที่ตามมาพร้อมหรือหลังอาหารจานหลัก) ตามมาด้วยอาหารจานหลัก ไวน์นั้นบนเครื่องบินก็มีทั้งขาวและแดง แต่เรามีโอกาสน้อยที่จะเลือกกินให้ถูกกับชนิดของเนื้อ ซึ่งตามปรกติไวน์ขาวจะกินกับเนื้อขาวๆเช่นปลา อาหารทะเล หรือไก่ ส่วนไวน์แดงก็จะกินกับเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงทั้งหลาย จบอาหารหลักก็จะเป็นเรื่องของหวาน เค็ก ผลไม้ เนยแข็ง  แครกเกอร์นั้นจะกินกับเนยแข็งก็ได้ กินกับผลไม้ก็ได้ หรือจะกินกับซุปก็ได้ ตามแต่ร้านเขาจะจัดมาให้และเขาคิดว่าเหมาะสม ตามด้วยกาแฟ ตบท้ายด้วยบรั่นดีหรือเหล้าหลังอาหาร (Liqueur)   ทั้งนี้หากได้นั่งในชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่ง ก็จะได้รับการเสิร์ฟแยกเป็นทีละอย่างให้คล้ายกับในภัตตาคาร

การกินแบบครบ course นี้ หากเป็นตามภัตตาคารจะใช้เวลามาก บางครั้งประมาณสามชั่วโมงเลยทีเดียว กินบนเครื่องบินนี้แหละ ใช้เวลาไม่ถึงชั่งโมง 

สำหรับอาหารบนเครื่องนี้ ผมพบว่าหากสามารถกินเนื้อวัวได้ก็ขอให้เลือกเถอะครับ คุณภาพและความนุ่มความหวานจะดีกว่าเนื้อไก่ที่มักจะมาแบบแห้งๆมาก สำหรับปลานั้นก็พอใช้ได้ บางครั้งเจอแบบคาวก็มีเหมือนกัน 
สำหรับไวน์นั้น กินบนเครื่อง ไม่ต้องไปสนใจหรอกครับว่าจะต้องเป็นขาวหรือแดง ผมจะดูว่าเป็นไวน์ของที่ใหน ไวน์ขาวบนเครื่องดีกว่าไวน์แดงบ่อยไป โดยเฉพาะที่มาจากแคว้น Alsace ของฝรั่งเศส
ไวน์แดงเป็นไวน์ที่ต้องบ่มนานซึ่งจะทำให้มีราคาแพงตามไปด้วย เขาไม่เอามาให้หรอกครับ ไวน์ขาวไม่ต้องบ่มนานแต่ต้องกินเย็นจึงจะอร่อย ไวน์ขาวกินกับขนมปังทาเนยที่ออกรสเค็มหน่อยจะเข้ากันได้ดีและอร่อยมาก   แล้วหากรู้สึกว่ารสชาติกินไม่ถูกใจเลยก็ให้ขอโซดามาใส่ผสมลงไปเลยรสชาติจะเปลี่ยนไปเป็นกินได้ในทันที   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 ก.ค. 12, 22:20
คุณเทาชมพูไปรัฐทางตะวันตกเที่ยวนี้ ขากลับอาจจะเลือกบินกลับออกจากซานฟรานซิสโก 
คงจะได้เคยแวะ Pier 39  ผมยังนึกถึง Clam chowder ในก้อนขนมปัง sourdough กินกับไวน์ขาวอยู่เลยครับ  แล้วก็ออกมาเดินซื้อช๊อกโกแลตทั้งขาวทั้งดำ เดินกินเล่นไปตามท่าเรือ เพลิดเพลินสำราญใจจังครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ก.ค. 12, 23:57
 น่าเสียดายมากที่ไม่มีโอกาสกลับทางSF.   เพราะซื้อตั๋วไปกลับทาง LA. ไว้ค่ะ.  เนื่องจากจะไปพักกับเพื่อนที่. Ontario. ใกล้ LA.   แล้วเดินทางต่อจากสนามบินออนทาริโอ. เป็นสนามบินเล็กๆที่สวยสะอาด.   มีคนน้อย เดินง่าย ไม่ยุ่งยากสับสนอย่างสนามบินใหญ่  เลยไม่ได้ไปเมืองอื่นสักที
ดวงเป็นคนเดินทางที่ไม่ค่อยมีโอกาสท่องเที่ยว.    ได้แต่พักผ่อนซึ่งหนักๆเข้าก็เบื่อเต็มที  เป็นอย่างคุณตั้งตั้งข้อสังเกตไว้คือคนไทยชอบท่องเที่ยวมากกว่าพักผ่อน

อาหารบนเครื่องนั้นโดยมากกินไม่ค่อยจะลง.    ถ้าเทียบกันแล้วชอบอาหารการบินไทยมากกว่าสายการบินอื่น.  ยิ่งของฝรั่งแล้วกินไม่ลงเลยสักสายเดียว.   ถ้าเป็นอาหารเนื้อ. มันจืดชืดเหมือนกินมัมมี่แช่เย็น
ส่วนเนยแข็ง ดิฉันไม่ชอบกินกับแครกเกอร์.   แต่ไปชอบกินกับผลไม้แทน.  ถ้ากินกับไวน์แดงก็ยิ่งอร่อย.  แต่ไม่มีโอกาสกินเพราะไวน์เป็นสุราเมรัย.  เลยอด
ถูกหัดให้กินเนยแข็งกับกล้วยหอมตั้งแต่เด็ก. มันเข้ากันได้ดีมาก.    ไม่รู้ว่าเด็กๆสมัยนี้เขายังกินกันอยู่รึเปล่านะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ค. 12, 10:41
อ้างถึง
มัลดีฟ ชื่อเพราะดี เป็นสถานที่พักผ่อนอย่างจริงจัง

                ไปพักผ่อน ก็คือ การไปพักผ่อนจริงๆ ละทิ้งงานไว้เบื้องหลังอย่างสิ้นเชิง ผมชอบใช้คำว่าไปนอนแถกเหงือก
อย่างจริงจัง (ขออภัยหากไม่สุภาพ) วันๆก็คือ นอน อ่าน กิน ทำชีวิตให้มีอิสระอย่างที่ใจอยากจะให้เป็น

         เห็นด้วย 100% เต็ม ครับ ไปนั่งๆ นอนๆ ผ่อนคลาย ไม่ต้องทำงาน อยู่ในโลกใหม่ห่างไกล
ลืมโลกเดิมๆ สุขสบายจนแทบไม่อยากกลับ

                ย้อนกลับเรื่องที่นั่งในเครื่อง ครับ

               สำหรับบางคนที่มีอาการเมา motion sickness ซึ่งเป็นผลจาก"ความขัดแย้ง"
ของข้อมูลที่ส่งเข้าสมองระหว่าง ศูนย์การทรงตัว(ซึ่งอยู่ในหูชั้นใน)ที่รับรู้ว่ามีการเคลื่อนไหว
กับ ประสาทตาที่ไม่รู้เห็นการเคลื่อนไหวนั้น ทำให้สมองสับสนแล้วเกิดเป็นอาการมึนเมา คลื่นไส้ อาเจียน

               เขาข้อแนะนำให้นั่งตอนหน้าหรือกลางของเครื่องแถวปีกซึ่งจะเป็นบริเวณที่เสถียรกว่าส่วนอื่น 
ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวมากนัก และหากได้นั่งริมหน้าต่างให้มองที่จุดเส้นขอบฟ้า ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ก.ค. 12, 11:47
การผ่านด่านตรวจ  security   เป็นเรื่องระทึกใจทุกครั้งทั้งๆไม่เคยมีปัญหา   แต่บรรยากาศของสถานที่และสีหน้าเคร่งเครียดของเจ้าหน้าที่ทำให้คิดอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากพลอยเครียดตามไปด้วย
ดังนั้นก่อนเดินทางจึงเตรียมตัวเองให้ผ่านด่านอย่างสะดวกง่ายดายที่สุด   คือ
๑  รองเท้าสวมง่ายถอดง่าย    เพราะต้องถอดใส่ถาดไปให้ตรวจ
๒  อย่าคาดเข็มขัดจะดีกว่า  เพราะต้องถอดเหมือนกัน
๓  เสื้อแจ็กเก็ต  ถ้าจำเป็นเพราะอากาศหนาวก็ต้องชนิดถอดง่าย ไม่ยับ  สวมกลับเข้าไปก็ง่าย      อย่าสวมเชิ้ตชนิดเปิดด้านหน้าทับสายเดี่ยว   หรือเสื้อตัวนอกที่เข้าชุดกับสายเดี่ยวหรือเกาะอก   เพราะต้องถอดตัวนอก  โชว์ตัวในโดยไม่ตั้งใจ   ถ้าอยากโชว์ก็แล้วไป
๔  อย่าเผลอเอาขวดบรรจุของเหลว ใส่กระเป๋าเล็กชนิดลากขึ้นเครื่อง (carry on)   เช่นครีมทามือ สบู่เหลว แชมพู ยาสีฟัน   เพราะคุณจะถูกยึดทันที แถมเจ้าหน้าที่อาจทำหน้าเหมือนคุณเป็นผู้ก่อการร้ายอีกด้วย 
๕    ขวดน้ำก็เหมือน  อย่าเอาผ่านด่านเด็ดขาด
๖    ทำใจว่าเจ้าหน้าที่เขาจะสุ่มเปิดกระเป๋าตรวจให้กระจุยกระจายเมื่อใดก็ได้     ไม่มีสิทธิ์โวยวาย  แม้ว่าของหายไปก็ถือเป็นกรรมของเราเอง

ของมีค่าเช่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ไอแพด  อย่าใส่ในกระเป๋าใบใหญ่โหลดไปใต้ท้องเครื่องบิน   เพราะเสี่ยงกับสูญหายจับมือใครตมไม่ได้    ขอให้ทนสะพายไหล่ลู่ขึ้นเครื่องไปดีกว่า


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 06 ก.ค. 12, 15:02
           ตามกฎของTSA (Transportation Security Administration)     
ของเหลวขึ้นเครื่องอนุญาตให้ได้ตามนี้ ครับ

              liquids, gels and aerosols ต้องอยู่ในขวดบรรจุขนาดไม่เกิน 100 ml.
            ขวดใหญ่เกิน 100 ml. ที่มีของเหลวอยู่ไม่ถึงครึ่ง หรือหลอดยาสีฟันขนาดใหญ่เกิน
ที่บี้แบนม้วนพับแล้วก็ไม่อนุญาต

                       Each container must be 3.4 ounces (100ml) or smaller.

               ของทั้งหมดนี้ต้องบรรจุรวมกันในถุงพลาสติคใสแบบมีซิปด้านบนขนาดหนึ่งควอทซ์
(8" x 7.5" ตามรูป)

                        Each traveler can use only one, quart-size, zip-top, clear plastic bag. 

http://www.tsa.gov/311/311-carry-ons.shtm


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 ก.ค. 12, 19:00
^
ของแหลมของมีคม หรืออะไรก็ตามที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพิจารณาเห็นว่าสามารถใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายคนให้บาดเจ็บได้ เขาจะห้ามเอาขึ้นเครื่อง

ครั้งหนึ่งผมไปทำงาน รีบกลับมาขึ้นเครื่อง มีฆ้อนต่อยหิน (ฆ้อนธรณี) ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้ในการทำงานอยู่ในกระเป้าสะพายข้างพร้อมกับเข็มทิศ สมุดบันทึก แผนที่ ตัวอย่างหินและแร่ ดินสอ ปากกาเคมี ขวดน้ำกรดใบขนาดขวดยาหยอดตาเล็กๆ แว่นขยาย เครื่องวัดความสูง ไม้โปรแทรกเตอร์   เจ้าหน้าที่ตาเขียวเลยครับ ต้องเอาไปฝากไว้ในห้องนักบิน แล้วไปรับเอาเมื่อเครื่องลงแล้ว

เมื่อตรวจของในกระเป๋าหิ้วแล้ว ก็ยังต้องเดินผ่านช่องประตูซึ่งเป็นเครื่องตรวจด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า  ก็ดังที่คุณเทาชมพูได้เล่ามา หากเดินผ่านเครื่องที่ตั้งกำลังไว้แรง โลหะเล็กๆน้อยๆที่อยู่กับตัวก็จะทำให้เกิดเสียงบี๊บ บางสนามบินก็เห็นใจผู้โดยสาร ก็อนุญาตให้มายืนบนกล่องแล้วตรวจด้วยเครื่องที่ใช้มือ บางสนามบินก็เหี้ยม ให้เราเอาของที่คิดว่าเป็นโลหะออกให้หมดแล้วเดินผ่านช่องประตูซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะไม่มีมีเสียงบี๊บ  ผู้โดยสารที่จัดว่าซวย (ขอโทษที่ใช้คำไม่สุภาพครับ) ก็คือคนที่เคยกระดูกหักและต้องใช้โลหะดามกระดูก   

ขาขึ้นเครื่องตรวจของทุกอย่างตามที่เห็นได้ด้วยตา แต่ขาลงเครื่องเขาตรวจทางกลิ่นด้วยจมูกของสุนัขเมื่อแต่ละคนได้หยิบเอากระเป๋าออกจากสายพานลำเลียงแล้ว ก่อนที่จะลากกระเป๋าไปผ่านด่านศุลกากร
   
จริงๆแล้วเมื่อเราเช็คอินเอากระเป๋าเสื้อผ้าลงบรรทุกใต้ท้องเครื่อง ในระหว่างที่กระเป๋าถูกลำเลียงไปกองแยกกันอยู่ใต้ถุนอาคารก่อนจะนำไปบรรทุกใต้ท้องเครื่องนั้น มักจะมีสุนัขดมกลิ่นเิดินตรวจอยู่ทั่ว โดยเฉพาะสำหรับการเดินทางในบางเส้นทาง การตรวจในช่วงนี้เป็นการตรวจหายาเสพติดและการตรวจหาวัตถุระเบิดเป็นพื้นฐาน   สุนัขจะถูกฝึกมาในเรื่องนี้โดยเฉพาะ  ข้อมูลจากการดมกลิ่นของสุนัขจากสถานีต้นทางนี้มักจะเป็นเรื่องของการหาเบาะแสและการติดตามมากกว่าการจับบกุม ยกเว้นจะเป็นกรณีที่อันตรายจึงจะจับกุมกัน

การตรวจดมกลิ่นของสุนัขในขาลงนั้น มักจะเน้นไปที่กระเป๋า carry on  แต่ก็มีที่เน้นไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าที่บรรทุกมาใต้ท้องเครื่องสำหรับบางเที่ยวบิน บางเส้นทางการบิน และบางสายการบิน   การดมกลิ่นของสุนัขขาลงนี้มักจะมุ่งไปในเรื่องของกินต้องห้าม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากสัตว์และผลไม้บางชนิด แต่ก็ไม่ได้ละเว้นเรื่องยาเสพติดด้วย    ในหลายๆครั้งก็เป็นเพียงการทดสอบสุนัขที่ฝึกมา

จะอย่างไรก็ตาม ทุกคนจะรู้สึกตกใจและเป็นกังวลในทันทีที่เห็นสุนัขมาดมกระเป๋าเราแล้วนั่งลงกระดิกหาง เชื่อได้เลยครับว่าในสถานการณ์นี้ ทุกคนต้องคิดว่ามีอะไรที่เรากำลังทำผิดกฎหมาย     

   
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 ก.ค. 12, 20:18
ส่วนเนยแข็ง ดิฉันไม่ชอบกินกับแครกเกอร์.   แต่ไปชอบกินกับผลไม้แทน.  ถ้ากินกับไวน์แดงก็ยิ่งอร่อย.  แต่ไม่มีโอกาสกินเพราะไวน์เป็นสุราเมรัย.  เลยอด
ถูกหัดให้กินเนยแข็งกับกล้วยหอมตั้งแต่เด็ก. มันเข้ากันได้ดีมาก.    ไม่รู้ว่าเด็กๆสมัยนี้เขายังกินกันอยู่รึเปล่านะคะ

ใช่เลยครัีบ เนยแข็งกินกับผลไม้ โดยเฉพาะกับองุ่นนั้นเข้ากันมาก กินกับไวน์แดงก็สุดยอดเช่นกัน    เมื่อครั้งไปอบรมในออสเตรเลียระยะเวลาประมาณ 3 เดือน เดินทางไปเกือบจะทั่วทุกภูมิภาค ตามประสาชาวเหมือง ตกเย็นก็สังสรรแทบจะทุกวันกันด้วยเบียร์แนมด้วยจานสลัดเนยแข็งกับผลไม้ เช้าขึ้นมาออกอาการเมาค้างเล็กน้อย ก็แก้ด้วยอาหารเช้าที่หนักหน่อย คือ Breakfast steak เนื้อ Mutton (เนื้อแกะแก่) ผล คือ น้ำหนักขึ้น  6 กก.   
 
การเลือกเนยแข็งเพื่อเสิร์ฟใน course ของอาหารหรือในการจัดเลี้ยงใดๆนั้น จัดเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเลยทีเดียว  เนยแข็งมีอยู่มากมายหลายชนิดหลายประเภทในโลก และมาจากมากมายหลายแหล่งผลิตทั่วโลก แถมยังมีที่ทำมาจากน้ำนมของสัตว์ต่างๆก้นด้วย บ้านใดหรือในงานเลี้ยงใดหรือในเมนูของร้านอาหารใดที่นำเสนอเนยแข็งนั้น แสดงว่าเขาต้องมีกึ๋น มีความรู้ และต้องการแสดงออกถึงความความสุนทรีย์ของเขาที่ต้องการถ่ายทอดไปให้กับแขกที่มากินอาหาร  แต่ก็ยังไม่วายที่จะแสดงความไม่แน่ใจว่าเนยแข็งที่เขาเลือกนำมาเสิร์ฟนั้นจะทำให้แขกเกิดความพอใจ (ผมเห็นเช่นนี้นะครับ) ในถาดเนยแข็งที่นำมาเสิร์ฟจึงมีเนยแข็งหลายชนิดและหลากหลาย aging ตัดเป็นชิ้นเล็กๆวางอยู่บนถาดไม้

ผมเคยให้ความสนใจศึกษาเรื่องเนยแข็งนี้ แล้วก็ต้องยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง มันมีมากเกินกว่าที่จะมีโอกาสได้เห็นและทดลองซื้อกินครับ   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ก.ค. 12, 19:44
เคยได้ยินว่าเนยแข็งบางชนิดก็ปล่อยให้ขึ้นราแล้วค่อยกิน  ถือว่าอร่อย    ดิฉันเป็นพวกลิ้นจระเข้ คือกินอะไรไม่ค่อยรู้สึกต่างกันนัก   จึงเลือกเนยแข็งที่ไม่ค่อยเค็มเอาไว้ก่อน    ส่วนพวกขึ้นรานี้ไม่กล้าสู้ด้วยค่ะ

ในเมื่อนั่งบนเครื่องบินนานๆหลายชั่วโมง  ความจำเป็นเรื่องเข้าห้องน้ำก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา    ห้องน้ำบนเครื่องบินนั้นผ่านมาหลายสิบปีเห็นว่ารูปทรงยังไม่ค่อยพัฒนาไปกี่มากน้อย  หรือพูดให้ถูกคือกี่ปีๆก็เห็นมันออกแบบเหมือนเก่า    แต่ดิฉันขึ้นสายการบินประจำอยู่ไม่กี่สาย  ไม่มีโอกาสเห็นอย่างหลากหลาย  จึงไม่รู้ว่าห้องน้ำไฮเทคอย่างในกระทู้เรือนไทยมีแล้วหรือยัง

ห้องน้ำบนเครื่องบิน เป็นห้องแคบมาก กระดิกกระเดี้ยแทบไม่ได้  ใครเป็นโรคกลัวที่แคบ claustrophobia  เข้าไปทีคงแทบจะขาดใจ   ในห้องนอกจากตัวชักโครกแล้วก็มีอ่างล้างมือ  มีสัญลักษณ์เป็นรูปขีดๆเขียนๆ  บอกว่ากระดาษอยู่ไหน ผ้าขนหนูอยู่ไหน  ทิ้งขยะตรงไหน   ซึ่งถ้าไม่มีตัวหนังสือบอก จะอ่านยากดูยากเอาการ   คนที่ไม่คุ้นก็งงๆเหมือนกันว่ารูปพวกนี้มันบอกอะไรกันแน่     ต้องค่อยๆเปิดดูกันไปทีละอย่าง จึงจะพอใช้ได้ถูกกะเขาบ้าง

ส่วนความแคบของห้อง   เห็นน้ำหนักเกิน 200 กิโลของคนเมกันแล้ว  ยังสงสัยว่าเข้าห้องน้ำจะหมุนซ้ายหมุนขวาท่าไหน  ในเมื่อหุ่นของพวกนี้ก้าวเข้าไปยังไม่ทันหมดทั้งตัว ก็น่าจะคับพื้นที่แล้ว   
   
อเมริกามีระเบียบการอีกอย่างหนึ่งหลังจากผู้ก่อการร้ายถล่มเวิร์ลเทรด (หรืออาจจะมีระเบียบมาก่อนหน้านี้แล้ว ดิฉันไม่รู้) คือห้ามผู้โดยสารไปยืนออกันอยู่หน้าห้องน้ำ    แปลอีกทีคือห้ามไปยืนรอคิว  ตราบใดที่เครื่องยังบินอยู่เหนือน่านฟ้าอเมริกัน   คงกลัวจะไปซ่องสุมกันละมัง
ถ้าพ้นประเทศนี้แล้วจะไปจับกลุ่มเล่นไพ่กันอยู่หน้าห้องน้ำก็คงจะได้     ถ้าประเทศอื่นที่เครื่องบินอยู่ตอนนั้นไม่ห้าม




กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 07 ก.ค. 12, 22:51
ขอกลับไปเรื่องชีส หน่อยคะ  ไม่ค่อยกล้าทานเหมือนกัน แต่ก็หลวมตัวเป็นบางครั้ง

อยากลองชิมมากว่าคะ ชีสที่ขึ้นรา ที่เรียกว่า บลูชีส( จำชื่อไม่ได้ ) ก็รสชาติไม่เลวนะ ...


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ก.ค. 12, 07:07
 :D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ก.ค. 12, 07:28
ประสบการณ์เดินทางไกลที่ลืมไม่ได้ ตอนเริ่มเดินทางใหม่ๆและยาวนานต่อมาอีกหลายปี คือโรคกลัวอากาศแปรปรวนและหลุมอากาศค่ะ  ความรู้สึกว่าเราถูกแขวนโตงเตงอยู่บนความสูงนับหมื่นฟุตเหนือพื้นดินก็แย่พออยู่แล้ว     แต่เวลาเครื่องบินสั่นสะเทือนวูบขึ้นวูบลงนั้นแย่ยิ่งกว่า     ตอนนั่งเครื่องบินใหม่ๆ เกิดอาการหลอนเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง  รู้สึกเหมือนปีกเครื่องบินมันกระเทือนใกล้จะหลุดออกไป

ครั้งที่แย่ที่สุดเท่าที่จำได้ คือเดินทางไปญี่ปุ่นในเดือนตุลาคม  ตอนนั้นไปประชุมสองอาทิตย์    ขาไปไม่เท่าไหร่  ขากลับเที่ยวบินกลางคืน   เจอพายุฝนฟ้าคะนองหนัก  จำได้ว่ามองออกไปนอกหน้าต่างมองเห็นฟ้าแลบอยู่ในเมฆระดับล่าง ต่ำลงไปลิบๆ   แสดงว่าเครื่องบินบินอยู่สูง  ฝนสาดหน้าต่างไม่ขาดสาย

จู่ๆเครื่องก็ตกหลุมอากาศ !


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ก.ค. 12, 07:29
ตกหลุมอากาศคือเครื่องบินวูบลงไปข้างล่าง  เหมือนจะดิ่งลงทะเล  แต่แล้วก็ทรงตัวไว้ได้บินฝ่าฝนต่อไป  สักพักก็วูบ  ดิ่งลงไปอีก แล้วก็ขึ้นมาอีก   วูบขึ้นวูบลงแบบนี้
เมื่อมันวูบครั้งแรก   กำลังซื้อของปลอดภาษีที่พนักงานบนเครื่องเข็นมาให้ดู   ยืนอยู่ตรงทางเดิน ถึงกับทรุดลงไปนั่ง  คุณสจ๊วตหิ้วปีกขึ้นมาแล้วปลอบว่า "ไม่เป็นไรครับ   ไม่มีอะไร"
จากนั้นก็นั่งรัดเข็มขัด   วูบเหมือนเล่นเรือไวกิ้ง แต่ว่าหนักกว่าหลายเท่า   หลายครั้งคิดว่าคงจะได้ลงก้นทะเลเสียแล้ว

กว่าจะมาถึงดอนเมือง(ตอนนั้นยังไม่มีสุวรรณภูมิ) ก็รู้สึกเหมือนรอดตาย  ตอนเดินมาต.ม.  ได้ยินเสียงผู้ชายไทยที่นั่งมาเที่ยวบินเดียวกัน บ่นมาข้างหลังกับเพื่อนว่า
"กูเข็ดจนตาย  ไม่นั่งเครื่องบินอีกแล้ว"
 
ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนเขา  แต่ด้วยหน้าที่และความจำเป็นหลายอย่างก็เลยยังทำให้เข็ดไม่ได้จนบัดนี้ละค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ก.ค. 12, 18:15
เรื่องตกหลุมอากาศนี้ ทำให้ทุกคนตกใจกลัวเหมือนกันหมด

หากเป็นเครื่องบินไบพัด จะมีโอกาสตกหลุมอากาศมากว่าเครื่องบินเจทหลายเท่ามาก เนื่องจากมีความเร็วบินเดินทางต่ำและบินอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก   ความเร็วส่วนมากจะอยู่ในช่วงประมาณ 300 - 500 กม.ต่อชั่วโมง และบินในระดับความสูงระหว่าง 15,000 - 25,000 ฟุต    ต่างกับเครื่องบินเจทที่บินเดินทางด้วยความเร็วในระดับ 800 -900+ กม.ต่อชั่วโมง และบินในระดับสูงประมาณ 30,000 ฟุตขึ้นไป
โดยหลักการปรกติ อากาศในระดับความสูงที่ยิ่งใกล้พื้นดินมากเพียงใดก็จะยิ่งมีความหนาแน่นสูงและก็ความแปรปรวนสูงตามไปด้วย ในขณะที่ยิ่งระดับสูงขึ้นไปอากาศจะยิ่งบางลงและยิ่งมีความแปรปรวนน้อย   ความเร็วในการเดินทางของเครื่องบินก็มีผลคล้ายกับการขับรถยนต์บนถนนขรุขระ ขับช้าก็รถก็โยกเยกไปมา ขับเร็วจะทำให้รถวิ่งได้ราบเรียบมากขึ้น

ทำยังกะขับเครื่องบินเป็นงั้นแหละ  เคยได้จับคันบังคับบินอยู่สัก 10 นาทีครั้งเดียวเท่านั้นเองครับ ในระหว่างการบินทดสอบและปรับอุปกรณ์สำหรับการสำรวจทางธรณ๊ฟิสิกส์ที่แคนาดา
ที่พอจะรู้เรื่องก็พราะเป็นคนขี้สงสัยและอยากรู้ เลยถามหาความรู้จากนักบินฝรั่งหลายคน (เมื่อมีโอกาส) ในครั้งอยู่ในคณะผู้คุมการบินสำรวจธรณีฟิสิกส์ทางอากาศทั่วประเทศไทย
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ก.ค. 12, 18:52
เลยจะขอเล่าขยายความเื่พื่อเป็นความรู้สำหรับนักเดินทางด้วยเครื่องบินทั้งหลายครับ

ผมเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 10 ปี ด้วยเครื่องบินสองเครื่องยนต์ที่เรียกขานกันว่า ดาโกต้า ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ใช้เหมือนกับรถสิบล้อทางอากาศในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยความเร็วบินที่ต่ำ (ประมาณ 300 กม./ชม.) และบินที่ระดับต่ำไม่เกิน 8,000 ฟุต จำได้ว่ายังกับขี่ม้าพยศในอากาศ ตกหลุมอากาศเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว   ต่อมาก็เดินทางกับเครื่องที่เรียกกันว่า แอฟโร 748 ความเร็วบินเดินทางมากขึ้นหน่อย (ประมาณ 450 กม./ชม.) และบินสูงขึ้นอีกหน่อยในระดับประมาณ 12,000 ฟุต  การตกหลุมอากาศน้อยลงไปอย่างมากเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเกือบจะไม่มี จนกระทั่งเข้ายุคเครื่องบินเจท การตกหลุมอากาศจะเป็นการฟลุ๊คเจอเสียมากกว่า

ความกลัวการเดินทางด้วยเครื่องบินก็ยังคงมีติดอยู่ จนกระทั่งเดินทางไปเรียนหนังสือในสมัยที่เครื่องจัมโบ้เพิ่งจะออกบินข้ามทวีประหว่างสหรัฐกับเอเซีย ขากลับก่อนขึ้นเครื่อง ในห้องพักผู้โดยสาร มีนักบินมาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับเครื่องบินจัมโบ้ เพื่อให้ผู้โดยสารได้คลายกังวลในข้อสงสัยต่างๆที่เขาประมวลมาได้  ผมคิดว่าคงมีคนกลัวกันมากเลยทีเดียว ขนาดที่มีหนังสือเขียนออกมาขายเพื่ออธิบายเรื่องการเดินทางด้วยเครื่องบินขนาดใหญ่ระยะทางไกลๆ  ในเที่ยวกลับของผมนี้ ยังกับราชาเลย จำได้ว่ามีผู้โดยสารประมาณ 50 คนเท่านั้นสำหรับเครื่องบินที่บรรทุกได้ถึง 300+  เดินได้ทั่วเลยครับ อาหารการกินเพียบ การบริการเยี่ยม ก็คงเพราะพนักงานคงเบื่อที่ไม่มีงานทำพอมือ เลยได้คุยด้วย ได้ความรู้อีกมากมายตลอดการเดินทาง

เท่าที่พอจำได้สำหรับเครื่องในสมัยนั้น คือ เครื่องจำโบ้มีน้ำหนักในระดับ 300+ ตัน  ถังน้ำมันบรรจุประมาณ 2 แสน 5 หมื่นลิตร กินน้ำมันวินาทีละประมาณ 2 แกลลอน บินได้ระยะทางมากกว่า 10,000 กม. หรือบินได้นานมากกว่า 12 ชม.  ใช้เครื่องนำร่องสามระบบตรวจสอบกันไปมา จึงไม่มีทางหลงเส้นทาง   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 08 ก.ค. 12, 19:05
โชคดีที่เคยเจอเครื่องตกหลุมอากาศน้อยครั้ง ก็เลยไม่กลัว แต่ตอนที่เจออยู่ครั้งหนึ่ง รู้สึกเหมือนเครื่องถูกมือยักษ์จับเขย่า

กลัวเครื่องจะแยกออกเป็นชิ้นๆ ตกใจเหมือนกัน แต่นอกนั้นก็แค่นิดหน่อย

สิ่งที่ชอบคืออยากนั่งติดหน้าต่าง จะได้ดูภาพนอกหน้าต่างชัดๆ ได้ถ่ายรูปมุมสูง มองลงมาเห้นทะเลกว้างสุดสายตา ก้เสียวๆนิดหน่อยว่ามัน สู๊ง สูง

แต่ตอนเครื่องทะยานขึ้น เหมือนเราเหาะได้ราวซุปเปอร์แมน

พอเครื่องปรับระดับเรียบร้อยแล้วเห็นก้อนเมฆอยู่เบื้องล่าง เหมือนเราอยู่บนก้อนเมฆ ชวนให้จินตนาการถึงสวรรค์...

แต่หงุดหงิดมากถ้าไปการบินไทยเพราะไม่มีอะไรให้เล่นฆ่าเวลาเลย เหมือนนั่งบ.ข.ส. เวลาเป็น 10 ช.ม. มันทรมานมาก

ถามเพื่อน ที่ทำงานการบินไทย เขาก็บอกว่า เป็นเพราะงบประมาณ....

ในขณะที่สายการบินอื่นเขามีบริการเพียบ นั่งดูหนัง ฟังเพลง เพลินไป  ถ้าเลือกได้จะดีใจที่นั่งสายการบินอื่น

(ไม่ใช่ไม่สนับสนุนสายการบินชาติตัวเอง) นอกจากอาหารที่อร่อยแล้ว มันเบื่ออะคะ...


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ก.ค. 12, 19:15
มาเล่าเรื่องกลัวเครื่องบินต่อค่ะ
ความกลัวหลุมอากาศส่งผลต่อมาหลายปี  ทำให้หมดโอกาสเที่ยวไปหลายครั้ง    จนกระทั่งมาถึงยุคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปก็จำต้องกัดฟันนั่งฝ่าอากาศแปรปรวนไปตามเรื่อง    ผ่อนหนักให้เป็นเบาด้วยการเลือกฤดูอื่นที่ไม่ใช่ฤดูฝน   ครั้งไหนขึ้นนั่งกัปตันบอกว่าอากาศดี  clear sky  ก็โล่งอกไปเที่ยวหนึ่งค่ะ
ความกลัวเพิ่งจะหายไปก็เมื่อไปคุยกับเพื่อนเขยที่เป็นทหารอากาศระดับบิ๊ก ขับเครื่องบินมาแล้วทุกชนิด    ได้คำตอบว่าช่วงที่อันตรายที่สุดคือตอนเครื่องบินขึ้นกับเครื่องบินลง     ส่วนเมื่อขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้วไม่ต้องห่วง    อากาศแปรปรวนก็เหมือนกับขับรถไปตามถนนขรุขระ ไม่มีอะไรมาก    ไม่ทำให้เครื่องบินตก    จากนั้นความกลัวก็ลดลงค่ะ ทำให้พอจะทำใจให้หลับไปได้

มาเจอการทดสอบประสาทอีกครั้งก็ปีกว่าๆก่อนหน้านี้   เที่ยวนั้นไปอเมริกาตามเคย   พอลงนั่งคุณสจ๊วตมาช่วยยกกระเป๋าแครี่ออนขึ้นวางบนที่เก็บเหนือศีรษะ แล้วบอกด้วยเสียงธรรมดาๆว่าคืนนี้ตอนตีหนึ่ง เครื่องบินจะเจอไต้ฝุ่นจากทะเลจีนใต้นานราวๆหนึ่งช.ม. ครับ    เขาคงไม่รู้ว่าคนฟังฟังแล้วอยากจะเดินสวนทางออกประตูเครื่อง  กลับไปบ้านเสียเดี๋ยวนั้น
ตีหนึ่งกว่าๆเจอไต้ฝุ่นจริงๆ   ขนาดกัปตันบินเฉียดโดยหางไต้ฝุ่น    เครื่องยังสั่นเหมือนถูกมือยักษ์เขย่าโครมๆ   เหลียวมองฝรั่งอื่นๆใกล้กันเห็นหลับกันอุตุ ไม่มีใครสนใจ   แม้เขย่าแรงจนประตูที่เก็บของเหนือศีรษะหล่นเปิดอ้าลงมา   ปลอบใจตัวเองว่าก็ยังดีที่หน้ากากออกซิเย่นไม่หล่นตามลงมาให้ต้องสวมก็ดีแล้ว  จากนั้นก็แข็งใจข่มใจให้หลับ      ปรากฏว่าหลับได้สำเร็จ
พอเอาชนะความกลัวได้ จากนั้นก็อาการดีขึ้นเข้าขั้นปกติ  นอนหลับรวดเดียวหลายชั่วโมงในเครื่องเหมือนอยู่ในบ้าน   ทำให้การเดินทางไม่ทรมานอีกต่อไป  จะมีก็แต่เบื่อหน่ายที่ต้องนั่งอุดอู้อยู่นานเกือบยี่สิบชั่วโมงเท่านั้นเอง

แต่ปีนี้คงไม่ไปไหนอีกค่ะ   อ่านพบว่าเที่ยวบินต่างๆต้องบินวน เซิ้งกระติ๊บกันอยู่เหนือสนามบินสุวรรณภูมินานนับชั่วโมงกว่าจะหาคิวลงมาจอดได้      
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12322331/E12322331.html
เพิ่งรักษาโรคกลัวหลุมอากาศและอากาศแปรปรวนหายไปหยกๆ   ยังไม่อยากมารักษาโรคกลัวรอคิวรันเวย์อีก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ก.ค. 12, 19:57
ผมมาเลิกกลัวการเดินทางด้วยเครื่องบินก็ที่ออสเตรเลีย

ครั้งนั้นต้องเดินทางพร้อมคณะที่ไปฝึกอบรม โดยใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำขนาดเล็ก 2 ลำ เป็นการเดินทางกลับจากเหมืองแร่ทองคำแห่งหนึ่ง ทุกคนมีเพียงกระเป๋าใบเล็กใส่ชุดแต่งกายและอุปกรณ์ลงเหมือง พอนักบินเห็นก็ร้องจ้ากเลย คะเนก็พอรู้ได้ว่าน้ำหนักเกินแน่ๆ ถึงขนาดต้องชั้งน้ำหนักทั้งคนทั้งของทุกอย่างแล้วบันทึกข้อมูลของคนและสิ่งของแต่ละชิ้น เอามาคำนวนจัดแบ่งว่าใครและของชิ้นใหนจะไปอยู่บนเครื่องบินลำใด เรียกได้ว่าเ็ต็มพิกัดทั้งสองลำ นักบินยังต้องแลกเครื่องกันขับเพราะว่าอีกคนหนึ่งไม่มั่นใจว่าเพื่อนจะเอาลำที่ใหญ่กว่าขึ้นได้หรือไม่  สภาพความกลัวแบบกังวลขนาดหนักของผมแต่เดิมหายไปปลิดทิ้งเลยเมื่อเห็นนักบินปล่อยมือกดปุ่มเป็นบินอัตโนมัติเมื่อเครื่องเริ่มลอยแหงนหน้าขึ้นพ้นรันเวย์ ควักบุหรี่ออกมาสูบแบบสบายใจ ปล่อยให้เครื่องกระดอนไปมาในอากาศที่ไม่ค่อยจะดี   ตั้งแต่นั้นมา เลิกกลัวไปเลยครับ

แล้วก็กลับมากลัวใหม่ตอนมาคุมบินสำรวจ แต่กลัวเฉพาะตอนขึ้นกับลงเท่านั้น  ก็เพราะรู้มากขึ้น

เพราะเครื่องบินสำรวจต้องบินใระดับต่ำ เครื่องปีกแข็งบินในระดับประมาณ 2,000 ฟุต เครื่องเฮลิคอปเตอร์บินระดับ 400 ฟุตเหนือพื้นดินตามภูมิประเทศ
ความรู้ที่ได้รับคือ ระดับ 2000 ฟุตนี้เป็นระดับเส้นยาแดงที่เครื่องมีโอกาสตกหลุมมอากาศลงกระแทกพื้นดิน จึงเป็นระดับที่อันตรายมากสำหรับช่วงเวลาขณะบินขึ้นและร่อนลง  หากสังเกตดีๆจะเห็นว่าในขาขึ้น เครื่องจะเชิดหัวไปให้สูงเลยทีเดียวด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมาประการหนึ่ง ผนวกกับการลดเสียงดังของเครื่องยนต์มิให้รบกวนประชาชนที่อยู่อาศัยรอบๆสนามบิน และในขาลงในพื้นที่ที่เป็นภูมิประเทศป่าเขาที่บางครั้งจะลงแบบลดระดับรวดเร็ว

สำหรับเฮลิคอปเตอร์นั้น การบินไต่ตามยอดเขาและหน้าผา รวมทั้งการลงจอดบนยอดดอยนั้น ไม่สนุกเอาเลยทีเดียว  ผมรู้จักคำว่าเหงื่อกาฬแตกก็เพราะวันหนึ่งต้องไปบินกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ขึ้นๆลงๆตามยอดเขาและหน้าผาแถวเมืองกาญจนบุรีนี้เอง  ไม่ได้เกิดจากความกลัวนะครับแต่เกิดจากอาการเมาเครื่อง ขนาดนั่งเหยียดขาทำตัวพาดเก้าอี้ 45 องศาเพื่อปรับจุดหมุนของร่างกายให้น้ำในหูมันเคลื่อนที่ไปมาได้น้อยลง  เหงื่อเม็ดโตๆเป็นเม็ดๆห่างกันออกมาตามฝ่ามือและแขนเต็มไปหมด
 
รอยอินท่านว่าเป็นเหงื่อของคนใกล้ตาย หรือตกใจกลัว   ผมว่ามาจากอาการเมาอย่างที่ผมเล่ามาก็ได้ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 09 ก.ค. 12, 03:47
ขอเล่ามั่งครับ  วันนี้เพิ่งเดินทางมาถึงที่อิตาลีสดๆ ร้อนๆ   มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ที่อังกฤษเค้าส่งให้มาเรียนหนังสือที่เมืองโมดินา อิตาลี 2 สัปดาห์ มีค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่ากินให้เสร็จ  เราออกเองแค่ค่าอาหารเย็น  ดีขนาดนี้ไม่มาก็เสียโอกาสมากๆ แลล้ว

พอดีผมถือพาสปอร์ตราชการไทย (Officail Passport) เล่มสีน้ำเงิน ตามข้อตกลงไทย-อิตาลี คนที่ถือพาสปอร์ตราชการไทย เข้าอิตาลีไม่เกิน 90 วันได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า แถมเมืองที่อยู่ในอังกฤษก็ไกลลอนดอน ค่าขอวีซ่าก็แพง  ต้องเสียค่ารถค่าราอีก เลยตัดสินใจไม่ขอวีซ่า   ขอแค่หนังสือรับรองว่าเข้าประเทศอิตาลีไม่ต้องมีวีซ่าจากสำนักงานผู้ดูแลนักเรียนไทยในลอนดอน  แล้วก็ print เอกสารอิตาลี โหลดมาจากเว็บกระทรวงต่างประเทศอิตาลีมั๊ง  ที่บอกว่ามีพาสปอร์ตราชการไทย เข้าอิตาลีได้ไม่ต้องมีวีซ่า  พิมพ์ไว้เผื่อเหนียว


ปรากฏว่าต้องไปต่อเครื่องที่ปารีส ฝรั่งเศส แล้วมันต้องผ่าน ตม. ฝรั่งเศสก่อน ทีนี้ก็ป็นเรื่องเลย  ตม. ฝรั่งเศสบอกแต่ว่าไม่มีวีซ่า ให้เข้าไม่ได้ ถึงแม้ปลายทางจะไปอิตาลีก็เถอะ ต้องมีเชงเก้นวีซ่าเท่านั้น ไม่ยอมให้ผ่าน  เอาเอกสารหนังสือรับรองไทยให้ดู  เอกสารที่ print จากกระทรวงต่างประเทศอิตาลีให้ดู มันก็ไม่ดู ไม่รู้ไม่เห็น บอกว่าไม่มีวีซ่าไม่ได้อย่างเดียว จะพาสปอร์ตราชการก็ไม่เกี่ยว ยกเว้นให้แต่ special passport เป็นยังไงก็ไม่รู้  สงสัยที่เค้าเรียกว่าเล่มแดงมั๊ง  คุยกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เจ้าหน้าที่ ตม. ฝรั่งเศสภาษาอังกฤษอ่อนแอกว่าผมอีก หยาบคายอีกต่างหาก


สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ เลยโดนพาไปห้องเย็น  ตม. คนนั้นให้ผมรอในห้องเย็นแล้วเค้าเอาเอกสารต่างๆ ไปคุยกับหัวหน้ามั๊ง แล้วออกมาสัมภาษณ์ผมอีกรอบ ถามหาเอกสารอื่นๆ ก็ไม่มีให้ มีแค่เท่าที่ให้ไป ลุ้นระทึกอยู่ราวสิบกว่านาที  กลัวว่าจะโดนส่งกลับอยู่ จองตั๋งรถไฟ โรงแรมเตรียมไปเที่ยวต่อไว้หมดแล้ว  แถมถ้าโดนส่งกลับ ค่าเครื่องบินก็เอาไปเบิกไม่ได้   :'(  เครียดสุดๆ  แต่ซักพักเค้าก็ออกมาบอกว่าให้ไปได้ ค่อยโล่งอก 


แต่ก็ตกเครื่องเรียบร้อย  ต้องรอเที่ยวบินถัดไป  แต่ก็ดีครับ เพราะตกเครื่อง เลยได้คูปองไปแลกน้ำกับแซนวิชฟรี ไม่ต้องเสียเงินซื้อ  ;D รอไม่นานมากด้วย แค่สองชั่วโมงครึ่งเอง  ชิวๆ  อ้อ สนามบินชาร์ลเดอโกลนี่ ต่อเครื่องลำบากสุดๆ เลย


พอมาถึงอิตาลี กะว่าคงต้องโดนกักตัวอีกรอบ เตรียมตัวเตรียมใจ  ปรากฏว่าพอถึงสนามบินโบโลญญาแล้วไม่ต้องผ่าน ตม. อะไรอีกเลย เดินออกมาจากสนามบินได้โดยไม่มีการตรวจใดๆ งง มากๆ  เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่ ตม แม้แต่คนเดียวด้วยซ้ำ   ไม่เห็นแม้แต่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่สนามบินเลย  ในสนามบินมีเด็กหนุ่มๆ สาวๆ มาตั้งกลุ่มเตะฟุตบอล เล่นกีฬากันด้วย  แปลกมากๆ ต้องไปเดินหาเคาเตอร์ติดต่อสอบถาม มีหลายเคาเตอร์แต่ส่วนใหญ่ปิด เพื่อถามว่ากระผมต้องผ่านด่าน ตม ไหม  กว่าจะจเอที่เค้าเปิดมี จนท. เค้าบอกว่าถ้าผ่านฝรั่งเศสได้ก็ไม่ต้องตรวจอะไรอีกแล้ว    เป็นงั้นไป

ตอนนี้พาสปอร์ตราชการไทยของผมเลยสะอาดเอี่ยม  ไม่มีการปั๊มใดๆ จากทั้งฝรั่งเศส ทั้งอิตาลี  ทั้งวันที่หรืออะไรทั้งนั้น  ไม่มีอะไรอ้างอิงเป็นหลักฐานเลยว่ามาถึงอิตาลีแล้ว นอกจากตัวกับพุงกลมๆ   นี่ยังไม่รู้ขาออกจะกลับอังกฤษจะมีปัญหารึเปล่า อีก 2 สัปดาห์อาจจะได้มีอะไรมาเล่าให้ฟังครับ  8)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 09 ก.ค. 12, 05:00
 ขนาดนั่งเหยียดขาทำตัวพาดเก้าอี้ 45 องศาเพื่อปรับจุดหมุนของร่างกายให้น้ำในหูมันเคลื่อนที่ไปมาได้น้อยลง   

สิ่งที่กลัวกว่าการขึ้นเครื่องบินคือ เรื่องการปวดแก้วหูอย่างแรง จะได้ว่าเคยเดินทางด้วยเครื่องบินเล็กในประเทศ ตอนเครื่องร่อนลง

รู้สึกปวดหูอย่างรุนแรง พยายามหายใจเข้าแล้วกลั้นลมหายใจเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนมีลมออกหู (ทั้งที่ไม่ได้โกรธจัด)

รู้สึกดีขึ้นแป้บหนึ่ง แล้วก็เป็นอีก กว่าเรื่องจะจอด ก็เล่นเอาปวดในหูมาก แต่พอเครื่องนิ่งแล้วอาการก็หายไป ....รู้สึกขยาดกับเครื่องบินในประเทศมากคะ

ขอถามท่านผู้รู้ มีใครเป็นอย่างนี้บ้าง และควรจะแก้ปัญหาแรงกดดันที่แตกต่างนี้อย่างไรคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 12, 05:56
แค่เครื่องบินเปลี่ยนระดับ ยังไม่ทันร่อนลง ดิฉันก็ปวดจี๊ดในหูแล้วค่ะ   แต่ไม่มาก พอทนได้   เขาว่าวิธีแก้คือเคี้ยวหมากฝรั่ง 
ถ้าใครทราบวิธีดีกว่านี้ช่วยบอกคุณพวงแก้วด้วยนะคะ

สิ่งที่คุณประกอบเจอ น่าจะเป็นว่าต.ม.ฝรั่งเศสคือด่านตัวจริงก่อนเข้าอิตาลี    เหมือนดิฉันเจอด่านต.ม.ที่ LA  พอผ่านได้  บินต่อไปรัฐอื่นก็ไม่ต้องประทับตราวีซ่าอีกแล้ว   แต่ว่าต้องไปผ่าน security อยู่นั่นเอง    เข้มงวดมากน้อยขึ้นกับสนามบินว่าใหญ่เล็กแค่ไหน 
สนามบินเล็กๆอย่าง Ontario ในคาลิฟอร์เนีย  ตรวจแป๊บเดียวจบ     คงเป็นเพราะไว้ใจได้ว่าผู้ก่อการร้ายไม่โฉบมาแถวนี้แน่

เครื่องบินในประเทศของอเมริกามีทั้งลำเล็กและลำใหญ่  ราคาต่างกัน   ลำใหญ่อย่างของ United Airlines บินผ่านหลายรัฐ  แวะรับผู้โดยสารเยอะ  ระดับการบินก็สูงหน่อยและกินเวลาเร็วกว่าเครื่องบินเล็ก   บินเรียบกว่า อย่างที่คุณตั้งเล่าเพราะบินในระดับความสูงเกินหมื่นฟุต     นั่งเครื่องมายังไม่ทันจะชมวิวได้ทั่วถึงเลย  กัปตันประกาศว่าอีก 10 นาทีถึงที่หมายแล้ว

เคยนั่งเครื่องบินเล็กของ Frontier มีทั้งดีและเสีย   ส่วนดีคือเขาบินต่ำค่ะ  มองลงไปชมทิวทัศน์บนเทือกเขาร็อคกี้ได้จุใจ  ปีนั้นไปถึงในฤดูใบไม้ร่วง  มองเห็นดงแอสเพนสีทองใกล้ๆ กระจายตัวอยู่ในหุบเขาสวยงามมาก    เลยเหมือนได้ของแถม  นั่งเครื่องชมยอดเขาฟรีไม่เสียเงิน
แต่ส่วนเสียคือ เครื่องบินบินต่ำ  ก็ต้องบินขึ้นๆลงๆ ตามยอดเขา    เปลี่ยนระดับตลอด  นักบินนั้นฟังจากเสียงผ่านลำโพงคงจะหนุ่มมาก พูดจาขี้เล่นกับผู้โดยสาร ซ้ำผาดโผนสมวัยหนุ่ม   
แกดึงเครื่องบินขึ้นบ้าง ลดต่ำแบบโฉบลงสู่หุบเขาบ้าง    ยิ่งเวลาใกล้จะลงสนามบินด้วยแล้วแกก็บอกว่า ท่านผู้โดยสารครับ กระผมจะพาชมวิวของสนามบินให้ทั่วถึงนะขอรับ   ว่าแล้วก็ควงเครื่องบินร่อนเป็นวงกลม เอียงปีกแฉลบลงมา มองเห็นพื้นดินตะแคงขึ้นมาข้างปีกให้เมาเล่น  ก่อนจะลงรันเวย์ล้อกระแทกพื้นดังตึง ผู้โดยสารหัวสั่นหัวคลอนส่งท้าย 
แต่ว่าปลอดภัยดีทุกอย่างค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 12, 05:58
นี่คือรูปถ่ายทางหน้าต่างเครื่องบินจากเครื่อง UA   ระหว่างนั่งเครื่องจาก  Ontario ในคาลิฟอร์เนีย  มุ่งหน้าข้ามเทือกเขา  แต่คงไม่ใช่ร็อคกี้ น่าจะผ่านอริโซน่าหรือเนวาดา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 12, 06:01
รูปซ้ายบนที่เห็นขาวๆคือหิมะบนยอดเขา  ไม่ละลายแม้แต่เข้าฤดูร้อนแล้ว  
รูปที่สองกับสามคือภูเขาหิน น่าจะในอริโซน่าหรือเนวาดา  ยังไม่ได้ไปเปิดแผนที่ดูว่าข้ามรัฐไหนมาบ้าง    เป็นหินอะไรแบบไหนไม่มีความรู้  ต้องยกให้คุณตั้งค่ะ
ส่วนรูปที่สี่คือถนนตัดเข้าไปในหมู่บ้านบนภูเขา   พวกบ้านฟาร์มในชนบท เขาอยู่กันแบบนี้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 12, 06:07
พอพ้นจากเทือกเขาลงสู่ที่ราบ   เมืองก็เริ่มมีให้เห็น หนาตาขึ้นทุกที  จากเมืองเล็กมาเป็นเมืองใหญ่


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 12, 06:09
ภาพสุดท้ายนี้ก่อนถึงสนามบินค่ะ
สนามบินของรัฐนี้ ไม่ได้อยู่ในเมืองอย่างนิวยอร์คหรือแอลเอ   แต่ว่าไปตั้งอยู่ในทุ่งชานเมืองห่างจากตึกรามบ้านช่องไปไกลมาก  เวลาเครื่องจะลง ก็เลยต้องผ่านชนบทชานเมืองไปก่อน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ค. 12, 10:05

สิ่งที่กลัวกว่าการขึ้นเครื่องบินคือ เรื่องการปวดแก้วหูอย่างแรง จะได้ว่าเคยเดินทางด้วยเครื่องบินเล็กในประเทศ ตอนเครื่องร่อนลง

รู้สึกปวดหูอย่างรุนแรง พยายามหายใจเข้าแล้วกลั้นลมหายใจเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนมีลมออกหู (ทั้งที่ไม่ได้โกรธจัด)

รู้สึกดีขึ้นแป้บหนึ่ง แล้วก็เป็นอีก กว่าเรื่องจะจอด ก็เล่นเอาปวดในหูมาก แต่พอเครื่องนิ่งแล้วอาการก็หายไป ....รู้สึกขยาดกับเครื่องบินในประเทศมากคะ

ขอถามท่านผู้รู้ มีใครเป็นอย่างนี้บ้าง และควรจะแก้ปัญหาแรงกดดันที่แตกต่างนี้อย่างไรคะ

          ประสบปัญหานี้เช่นกัน ครับ

                    (ท่อ) Eustachian Tube Dysfunction

http://www.rcot.org/data_detail.php?op=knowledge&id=139

           วิธีแก้ไขที่ได้ผลดีที่ทำอยู่คือ การใช้ยาพ่นจมูกที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือด (topical decongestant
เช่น ephedrine, oxymetazoline) ก่อนการขึ้น-ลงเครื่องบิน เมื่อจมูกไม่คัด ท่อ ET ไม่มีปัญหา
การทำงานบกพร่อง ก็ไม่เกิดอาการปวดหู(รุนแรง) ครับ

            ยาพ่นจมูกให้โล่งนี้ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 5 วัน เพราะจะมี rebound จากโล่งๆ
กลับมีอาการคัดจมูกได้ ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 09 ก.ค. 12, 12:41
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีปัญหาหูอื้อเวลาเครื่องบินเปลี่ยนระดับการบินเหมือนกันครับ

ทางแก้แบบไม่ต้องใช้ยามีอยู่หลายวิธี แต่อาจจะเสียบุคคลิกบ้างนะครับ
1. กลืนน้ำลายบ่อยๆ วิธีนี้ได้ผลไม่ดีมากนัก เพราะกลืนจนไม่รู้จะกลืนอะไร ลืมไปซะงั้น ผลคือหูอื้อเหมือนเดิม
2. เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือลูกอม วิธีนี้จะว่าไปก็เป็นพัฒนาการของวิธีแรกนั่นแหละครับ แต่เท่าที่ลองมา ดูเหมือนหมากฝรั่งจะให้ผลดีกว่าลูกอมครับ เพราะขากรรไกรต้องขับบ่อยๆ ช่วยปรับความดันในตัว แต่ข้อเสียคือกินแล้วปากหวาน ไม่ใช่ว่าพูดเพราะน่าฟังนะครับ แต่บางคน(เช่นผม)รำคาญกับสถานการณ์เช่นนี้ ต้องรีบหาน้ำดื่มมาล้างปาก ทำให้ไม่อยากใช้วิธีนี้เท่าไหร่
3. เคลียร์หู วิธีนี้เป็นวิธีของนักดำน้ำ มีเพื่อนนักดำน้ำมาสอนผม วิธีนี้เสียบุคคลิกอยู๋บ้าง ต้องปิดปากให้สนิท เอามือบีบจมูกไว้แล้ว หายใจออกแรงๆให้ลมไปดันออกหูเพื่อปรับแรงดัน วิธีนี้ต้องทำเป็นระยะๆ อย่าปล่อยให้หูอื้อหนักๆแล้วค่อยทำ เพราะบางทีไม่ได้ผล จะทรมานมากครับ
4. อ้าปากให้กว้างที่สุดค้างเอาไว้ วิธีนี้เสียบุคคลิกอย่างแรง แต่ได้ผลดีมาก โดยมากผมจะใช้เวลาเครื่องขึ้นหรือลง โดยเฉพาะกับสายการบินบางสาย (เช่นพวกโลว์คอสต์) ที่ชอบใช้วิธีดำดิ่งลงจอดประหนึ่งจะดำลงทิ้งระเบิด ช่วงเวลาที่เขาลดระดับแรงๆนี้ ถ้าใช้วิธีเคลียร์หูคงต้องทำทุก 5 วินาทีถึงจะเคลียร์ทัน ดังนั้นวิธีอ้าปากกว้างนี่แหละจะเหมาะที่สุดในสถานการณ์นี้ครับ อ้อ... อย่าลืมเอามือปิดปากเสียด้วยนะครับ

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ก.ค. 12, 12:48
^


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 ก.ค. 12, 15:15
           อ่านที่คุณม้าเขียนแนะนำวิธีปฏิบัติแล้ว เหนื่อยแทน และ ทำแล้วอาจไม่ได้ผลถ้าหากเป็นมาก
           ขอบอกว่า จากประสบการณ์ที่ต้องปวดหูอย่างทรมานยาวนานบนเครื่อง กลืนน้ำลาย
ก็แล้ว เคลียร์หูก็แล้ว ไม่ได้ผล
           การใช้ยาพ่นจมูกคือทางเลือกที่ดีที่สุด สะดวก สบาย ง่ายดาย ได้ผลชะงัดจนติดใจ ครับ  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ก.ค. 12, 22:06
อาการหูอื้อจากการเปลี่ยนความกดดันของอากาศด้วยความรวดเร็วนี้ จะเกิดขึ้นอย่างค่อนข้างจะรุนแรงกับคนที่มีอาการภูมิแพ้ที่แสดงอาการออกมาทางน้ำมูกน้ำตาไหล

ครั้งหนึ่งในช่วงที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ผมเป็นหวัด มีน้ำมูก ปวดหูแทบตายเลยครับ ต่อไปคงจะต้องลองยาพ่นจมูกเพื่อลดการขยายตัวของหลอดเลือดในโพรงจมูกตามที่คุณ SILA แนะนำครับ

ตามปรกติ เครื่องบินที่บินในระดับสูงจะต้องมีการปรับความดันของอากาศภายในห้องโดยสาร ซึ่งส่วนมากก็จะปรับให้เป็นความดันไม่เกินที่ระดับความสูงเหนือพื้นดินประมาณ 8,000 ฟุต หากปรับไปที่ระดับสูงกว่านี้ ปริมาณอากาศก็จะเบาบางเกินไปทำให้ปวดหัว การปรับความดันในห้องผู้โดยสารเป็นระบบอัตโนมัติ และเข้าใจว่านักบินก็สามารถที่จะแทรกเข้าไปทำการปรับแต่งเองได้

การไต่ระดับหรือลดระดับของเครื่องบินด้วยความรวดเร็วย่อมทำให้เกิดอาการหูอื้อเป็นธรรมดา  ดังนั้น การขับเครื่องบินเพื่อให้ผู้โดยสารมีความรู้สึกสะบาย จึงเป็นศิลป (art) อย่างหนึ่ง กัปตันที่มีฝีมือดีๆจะเป็นผู้ที่มีความเข้าใจถึงศิลปต่างๆในการบินเป็นอย่างดี และจะใช้ฝีมือของตนผสมผสานไปกับระบบการบินแบบอัตโนมัติของเครื่อง อย่่างหนึ่งที่ทราบก็คือ การปรับความดันภายในเครื่องนั้นอาศัยเครื่องยนต์ของเครื่องบิน เมื่อใดที่กัปตันเบาเครื่องเพื่อลดระดับร่อนลงโดยไม่มีการเร่งเครื่องเป็นช่วงๆ  แทบจะบอกได้เลยครับว่า ทุกคนจะมีอาการหูอื้อแน่นอน

เท่าที่เคยสนทนากับนักบินมา นักบินหลายคนไม่มีศิลปในการขับเครื่องบิน ทุกอย่างที่กระทำไปเป็นไปตามขั้นตอนในทันที ไม่รู้จังหวะที่จะทำให้นุ่มนวลขึ้น  เหมือนการขับรถยนต์ คนขับบางคนขับรถในบริเวณทางโค้งไปมาโดยที่ผู้โดยสารไม่มีอาการเมา แต่บางคนก็ขับแบบเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรง ทำให้ผู้โดยสารเมาไปตามๆกัน

   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ก.ค. 12, 04:06
เห็นจะต้องเชียร์สายการบินของประเทศเราไว้ตรงนี้โดยไม่มีค่าโฆษณา  ว่ากัปตันแต่ละเที่ยวที่เจอมา ขึ้นลงได้นิ่มนวลมากค่ะ   เวลาร่อนลงก็นิ่ม   ไม่เคยปวดแก้วหูมากมาย แค่จี๊ดๆนิดหน่อย  พอลงมาถึงพื้นดินก็หาย   

เคยนั่งสายการบินของประเทศหนึ่งในเอเชีย (ที่พวกเราไม่ค่อยจะได้นั่งกันนัก  แต่ไม่มีทางเลี่ยงเพราะคราวนั้นไปทัวร์)  พอลงพี่แกพาล้อกระแทกรันเวย์ดังโครมใหญ่  ผู้โดยสารแทบกระดอนจากเก้าอี้  จากนั้นก็วิ่งตามรันเวย์พาพวกเราหัวสั่นหัวคลอนกันไปจนนึกว่าจะพุ่งออกไปทุ่งนาเสียแล้ว
จึงมีโอกาสเปรียบเทียบกันว่า อ้อ ศิลปะการขับเครื่องบินของแต่ละคนไม่เหมือนกันแฮะ   ไม่ใช่ว่ามีเครื่องบินรุ่นเดียวกัน ชนิดเดียวกันแล้วจะทำให้การบินเหมือนกัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 10 ก.ค. 12, 21:41
ดิฉันไม่รู้สึกเจ็บหูมากจนทนไม่ไหว ถ้าใช้เครื่องของการบินไทยที่บินระหว่างประเทศ

คงเป็นเพราะเครื่องมีนาดใหญ่กว่า และการปรับสภาพภายในห้องโดยสารเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป

และการบินก็ดี  เสียแต่ไม่มีอุปกรณ์ให้ผ่อนคลายระหว่างการเดินทาง เลยน่าเบื่อมาก....


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ก.ค. 12, 07:34
เพิ่งมารู้เรื่องยาพ่นจมูกว่าช่วยอาการปวดหูได้จากคุณ SILA นี่แหละค่ะ  คุณพวงแก้วมีทางออกแล้วนะคะ  จะได้บรรเทาความทรมานจากอาการปวดหูได้

ปัญหาหญ้าปากคอกอีกอย่างของการเดินทาง แต่เกิดขึ้นได้ คือพลาดเที่ยวบิน
ควรไปถึงสนามบินก่อนเวลาเดินทาง อย่างน้อย 2 ชั่วโมงค่ะ   อย่าประมาทว่าโอ๊ยแค่นี้เอง    เพราะเราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าสนามบินที่จะไปคิวตรวจหนังสือเดินทาง กับคิวเช็คความปลอดภัยมันยาวเหยียดหรือสั้นนิดเดียว      อย่างสุวรรณภูมินี่ละค่ะ บางทีคิวที่จะผ่านด่านยาวเหยียดเป็นงูกินหาง    สนามบินใหญ่ๆบางแห่งคนแห่กันไปมากในชั่วโมงนั้น  ด่านตรวจ security ก็เข้มงวด  กว่าจะหลุดออกไปได้ก็เหนื่อย  หรือเจ้าหน้าที่เกิดสงสัยเรียกตัวตรวจสอบซ้ำ เสียเวลาไปมากกว่าที่คิด ก็แทบประสาทกินเหมือนกัน

ครั้งหนึ่งเคยไปสัมมนาปฏิบัติการหรือ workshop ที่บาหลี    ไปขึ้นเครื่องช้ามาก (เป็นความผิดของตัวเองที่ออกจากบ้านช้า และรถติดตามเคยของกรุงเทพ)  วิ่งขึ้นเครื่องทันก็จริง  แต่กระเป๋าเดินทางโหลดไม่ทัน     กลายเป็นส่งไปอินเดียแทน    ก็เลยไปถึงบาหลีแต่ตัว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ค. 12, 15:33
         นอกจากเหตุการณ์ เดินทางถึงที่หมาย(บาหลี)แต่ตัวที่อาจารย์เล่าแล้ว

           สิ่งที่น่าวิตกกังวลอีกอย่างหนึ่งก็คือ กระเป๋า หรือเงินทอง ของมีค่าหายไป
ระหว่างการเดินทาง

           เพื่อนเดินทางไปลาวด้วยสายการบินแห่งชาติเรา แล้วกระเป๋าหายได้ค่ารับผิดชอบ
หกพันบาท ซึ่งไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

            ส่วนข่าวนี้ เหตุเกิดเมื่อพ.ค. ปีนี้ ที่สนามบิน Heathrow

            Kim Kardashian  American reality TV star กล่าวหาว่าพนักงานของ
British Airways ขโมยของมีค่าจากกระเป๋าเดินทางของเธอ หนึ่งในนั้นคือแว่นกันแดด
ที่บิดาได้มอบให้เธอก่อนเสียชีวิต

            สนามบินนี้ในอดีตเคยถูกเรียกว่า Thiefrow ในช่วง 1980s มาแล้ว เพราะเกิดเหตุขโมย
ของจากกระเป๋าผดส. หลายครั้ง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ค. 12, 15:41
               นอกจากพนักงานแล้ว ยังมี ผู้โดยสารขโมย อีกด้วย ครับ
เคยอ่านพบจากหนังสือพิมพ์ ไม่นานมากนัก 

            เนื้อหาบอกว่า เป็นสายการบินไทยเที่ยวบินนอกประเทศ พนักงานกระซิบบอกผู้โดยสาร
ที่คุ้นเคยว่ามีผู้ต้องสงสัยในเที่ยวบินนี้ แต่ก็ไม่ได้มีการเฝ้าระวังเป็นพิเศษแต่อย่างใด ยังคงให้บริการ
ผู้โดยสารตามปกติตลอดเส้นทาง
            จนกระทั่งเมื่อถึงจุดหมาย ปรากฏว่า กัปตันให้ผดส.ทุกคนอยู่ในเครื่องต่อไปก่อน
สักครู่จึงมีตำรวจขึ้นมาตรวจค้นและจับตัวขโมยที่แฝงตัวเป็นผดส. ในเที่ยวบินนั้นได้

            ส่วนข่าวนี้ เป็นของฝรั่งเศส เหตุเกิดเมื่อสองปีก่อน ครับ

            โฆษกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สนามบิน ชาร์ล เดอ โกล กล่าวว่าคดีนี้กำลังอยู่ในระหว่างการสืบสวน
หลังจากเว็บไซต์ เลอ ฟิกาโร่ รายงานข่าวที่ผู้โดยสารชั้นบิสซิเนส คลาส 5 ราย ถูกล้วงกระเป๋าขณะหลับ
รวมจำนวนเงินที่สูญหายราว 4,000 ยูโร (191,000 บาท)

          เลอ ฟิกาโร่ อ้างคำพูดของผู้เสียหายรายหนึ่งที่เล่าว่าเที่ยวบินนี้ออกจาก โตเกียว นาริตะ เวลา 22.00 น.
และผู้โดยสารมักจะหลับสนิทก่อนที่จะถึง ปารีส ในเวลา 4.00 น.
          ขณะที่โฆษกหญิงของสายการบินแอร์ ฟรานซ์ บอกว่าการที่ผู้โดยสารหลายรายแจ้งเหตุถูกขโมยพร้อมๆกันนี้
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อย่างไรก็ตาม โฆษกหญิงกล่าวว่า สายการบินมีหน้าที่รับผิดชอบกระเป๋าของผู้โดยสาร
ขณะที่ผู้โดยสารก็ต้องดูแลรับผิดชอบของมีค่าที่ติดตัวในขณะเดินทางเองด้วย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 11 ก.ค. 12, 15:44
และ ข่าวนี้เป็นการบินไทย เที่ยวบินในประเทศ ครับ เหตุเกิดเมื่อเดือนพ.ค.ปีนี้

           ผู้ต้องหาชาวจีนแผ่นดินใหญ่ก่อเหตุขโมยเงินสกุลไต้หวันของผู้เสียหายจากกระเป๋าเดินทาง
ที่วางไว้ในช่องเก็บของบนเครื่องบิน โดยมีผู้โดยสารใช้มือถือไอโฟนบันทึกภาพขณะก่อเหตุเอาไว้ได้
จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้น และพบเงินของผู้เสียหายอยู่ในกระเป๋าสะพายของผู้ต้องหา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ก.ค. 12, 18:30
คำบอกเล่าของคุณ SILA ทำให้ต้องขอบอกเรื่องควรรู้อีกเรื่องในการเดินทาง   คือเมื่อเดินทางเข้าและออกอเมริกา  ต.ม.ของเขาไม่ให้เราใส่กุญแจกระเป๋าเดินทาง    เพื่อเขาจะได้มีสิทธิ์เปิดตรวจได้โดยไม่ต้องขออนุญาต   (และไม่ต้องรับผิดชอบด้วยถ้าของในกระเป๋าเราเกิดล่องหนไป)    แต่เขาอาจติดเครื่องหมายบอกให้รู้ว่ากระเป๋านี้ถูกเขาตรวจแล้ว
กระเป๋าเดินทางของดิฉันก็ถูกตรวจมาหยกๆ  ยังดีที่ไม่มีอะไรหาย   เพราะไม่มีอะไรน่าสนใจพอที่ใครจะอยากโยนทิ้ง หรือหยิบเอาไปใช้เอง

แต่ถ้าเดินทางไปยุโรป อย่างไปออสเตรีย   จะถูกกำชับตั้งแต่ต้นทางให้ใส่กุญแจกระเป๋าเดินทาง  มิฉะนั้นของอาจหายได้   เรื่องนี้คุณตั้งคงจะรู้ดีกว่าค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 ก.ค. 12, 20:03
TG เลิกบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-เวียนนา มานานสิบกว่าปีแล้ว เลิกก่อนที่ผมจะไปประจำการเมื่อปลายปี 2542    ได้ทราบจากฝรั่งใน UN และคนไทยหลายคนว่า ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเลิกบิน ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ   เป็นการเลิกเส้นทางการบินนี้ในขณะที่ Passenger load factor (PLF) อยู่ในระดับที่ดีมาก ขนาดที่สายการบินอื่นต้องอิจฉา (EVA Air และ Lauda Air) พอเลิกบินแล้วสายการบินที่ทำกำไรบนเส้นทางการบินนี้ได้ในระดับที่ดีในทันที คือ Lauda Air และสำหรับ EVA Air ก็ได้รับประโยชน์ด้วย  ฝรั่งนิยมที่จะบิน Lauda เนื่องจากสาเหตุเพียงนิดเดียวคือเรื่องของอาหาร เช่น  EVA เสิร์ฟอาหารเช้าเป็นข้าวต้ม หรือบะหมี่+ตะเกียบด้วย ก็คงพอจะเข้าใจได้นะครับ ข้าวต้มหรือบะหมี่กับกาแฟ ต่างกับไข่+ขนมปัง+กาแฟในอรรถรสของฝรั่งเขา    สำหรับผมเมื่อเดินทางเป็นการส่วนตัว ผมเลือกใช้ EVA และก็เช่นเดียวกับคนเอเซียทั้งหลาย เพราะเขาให้สิทธิเราบางประการด้วยเป็นคนเอเซียด้วยกัน ไม่เรื่องมากและทุกอย่างเป็นไปไม่ได้หากออกนอกแนวเส้นไม้บรรทัดตามกระบวนทัศน์ของฝรั่ง

มีเรื่องที่ยังติดอยู่ในใจของผมอยู่เรื่องหนึ่ง คือ เมื่อต้องย้ายไปประจำการต่อที่ญี่ปุ่น มันก็มีเครื่องที่บินตรงระหว่างเวียนนากับโตเกียว แต่ด้วยระเบียบทางราชการให้การบินไทยผูกขาดในการจัดการบินให้กับข้าราชการ ผมต้องบินจากเวียนนาไปต่อเครื่อง TG ที่ Munich บินกลับมากรุงเทพฯ เพื่อรอต่อเครื่องอีกประมาณครึ่งวันเพื่อบินด้วย TG จากกรุงเทพฯไปยังญี่ปุ่น เล่นเอาแฮกเลยครับ   ก็อย่างที่เคยเล่าเรื่องตั๋วเครื่องบินของ TG ที่่ออกให้กับข้าราชการที่จำกัดไปเสียทุกอย่าง (Non-refundable, non-reroutable, fixed date, fixed flight,) แถมคำนวนค่าโดยสารตามระยะทางที่ไม่ค่อยจะตรงกับคนอื่นเขาและรวมทั้งค่า fee ต่างๆ ก็เรียกว่าจำกัดมากพอที่ทำให้หมดสิทธิที่จะไปคุยและเปลี่ยนไปตามความจำเป็นในเรื่องใดๆ       

สมัยที่ประจำการอยู่ที่ออสเรียนั้น ไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องของมีค่าหายจากกระเป๋าเดินทางครับ  คิดว่าได้ยินแต่เพียงเลาๆว่า (ไม่แม่นในความทรงจำและยืนยันในเรื่องนี้นะครับ) ของที่อันตรธานไปนั้นจะเป็นพวกของต้องห้ามประเภทของกินที่แอบซ่อนมาในกระเป๋า ซึ่งดูเหมือนวาจะเกิดเหตุการณ์นี้อยู่ในหลายประเทศด้วยกัน ก็คงจะเป็นสิทธิของเจ้าหน้าที่ศุลการกรตามที่คุณเทาชมพูได้เล่ามา   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ก.ค. 12, 04:21
TG. เที่ยวบินสายตรง กรุงเทพ แอลเอ ทั้งที่ผู้โดยสารเต็ม ก็ยกเลิกไปแล้วค่ะเพราะขาดทุน. เช่นเดียวกับสายตรงไปนิวยอร์ค ยกเลิกไปก่อนหน้านี้แล้ว
เวลานี้ต้องแวะเติมน้ำมันที่โซล ให้ผู้โดยสารลงมานั่งรอหน้า. Gate. หนึ่งช.ม.  ก่อนจะบินต่อ
อ่านที่คุณตั้งเดินทางวกวนหลายรอบกว่าจะถึงที่หมายแล้วพลอยสงสารข้าราชการอื่นๆที่เจอระเบียบการแบบนี้เข้าไปด้วย

ได้รับการกำชับนักหนาว่าอะไรที่หายได้. อย่าโหลดใต้เครื่อง ให้หิ้วติดตัวไปด้วย.  แต่พอมาเห็นมือกาวในเครื่องบินที่คุณ SILA มาเล่าให้ฟัง   ก็ชักจะต้องปลงเสียแล้วละค่ะ
อ้อ มีอีกเรื่องนึกได้. เพื่อนฝูงที่มีประสบการณ์เตือนว่า กระเป๋าเดินทางที่ของจะหายง่ายที่สุดคือกระเป๋าหน้าตาดีมีสกุล ราคาแพงๆทั้งหลาย.   ยิ่งมีนามบัตรวีไอพีผูกติดว่าเป็นคนดังละก็.  จะถูกเปิดถูกงัดก่อนเพื่อนเพราะแน่ใจว่าต้องมีของแพงอยู่ในนั้น.   ผู้เกี่ยวข้องก็คือคนทำงานในด้านนี้ระดับเล็กๆ ที่กระเป๋าต้องผ่านมือ.   จริงเท็จยังไงไม่มีโอกาสพิสูจน์ค่ะ. แต่เพื่อความไม่ประมาท. กระเป๋าเดินทางของดิฉันเป็นประเภทโนเนมทุกใบ. แถมยังใช้งานจนเลยเกษียณอีกด้วย. ใครเห็นก็คงไม่อยากเสียเวลางัด


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ก.ค. 12, 06:12
พูดถึงกระเป๋าเดินทาง ทำให้นึกได้ว่าควรมีเรื่องเก็บตกมาฝากเล็กน้อย
เวลาไปซื้อกระเป๋าเดินทาง  เรามักจะเล็งไปในแง่ของการใช้สอย  ดูรูปทรงขนาดกระเป๋า  ดูน้ำหนักว่าเบาหรือหนักเกินไปหรือไม่   ดูความคงทนว่าระหว่างกระเป๋าวัสดุแข็งๆกับกระเป๋าผ้าที่ยืดหยุ่นได้อย่างไหนเหมาะกว่ากัน   แล้วก็ไม่ลืมดูราคาด้วยว่าคุ้มกับซื้อหรือไม่ 
ถ้าไปเจอกระเป๋าถูกใจตรงตามสเป็ค แถมทางห้างลดราคาพอดีละก็  ถือเป็นโชคที่มิอาจมองข้ามทีเดียว

เรื่องทั้งหมดนี้เจ้าของกระเป๋าพิถีพิถันกันอยู่แล้ว

แต่มีอีกเรื่องที่เรามักจะมองข้ามกันไป   ดิฉันก็มองข้ามเหมือนกัน  คือลืมไปว่าเวลาไปรับกระเป๋าที่ baggage claim    มันมีกระเป๋าเป็นร้อยๆใบเลื่อนตามกันมาเป็นตับบนสายพาน   ยิ่งถ้าเป็นเครื่องบินใหญ่ผู้โดยสารเยอะละก็   แม่เจ้า  กระเป๋าไม่รู้ว่ากี่ร้อยใบแห่กันมาเป็นขบวนภายในไม่กี่นาที    ผู้โดยสารที่คอยกันใจจดใจจ่อก็เฮโลกันเข้าไปยกกระเป๋าตัวเองออกมาใส่รถเข็น  เบียดเสียดชุลมุนวุ่นวาย
ตรงนี้ละค่ะ   ดิฉันพบว่ากระเป๋าเดินทางที่เราอุตส่าห์เลือกมาอย่างดิบดี หน้าตามันไปคล้ายๆกับกระเป๋าของคนอื่นซะเยอะแยะไม่รู้กี่เจ้าทีเดียว    เพราะกระเป๋าเดินทางที่ไหนๆก็มักเป็นสีน้ำเงินแก่  สีดำ สีน้ำตาลแก่  รูปทรงก็เหมือนๆกัน  ถ้าจะสังเกตยี่ห้อ หรือผูกอะไรไว้ที่หูกระเป๋าพอสังเกต  ยี่ห้อดังมันก็ซ้ำกันเยอะ  บางทีกระเป๋ามันก็คว่ำเค้เก้มาบ้าง ดูไม่ทัน  หรือดูทัน  มันก็ถูกทับด้วยกระดาษป้ายของสายการบิน หรือของบริษัททัวร์จนรุงรัง  เหมือนๆกันอีกหลายใบ  แยกไม่ออก
ไปยกกระเป๋าผิดก็เคยมาแล้ว  ต้องยกกลับขึ้นสายพานไปอีกอย่างทุลักทุเล  ไม่งั้นเจ้าของเขาที่รอรับอยู่จะไม่เห็น
 
ใบที่โดดเด่นเห็นมาแต่ไกลบนสายพาน  มักจะเป็นใบที่ไม่มีใครเขาเลือกกัน  เช่นใบหนึ่งจำได้ติดตาว่าเป็นกระเป๋าเดินทางสีเขียวดอกสีแดง   เห็นในร้านเราก็เมิน  รู้สึกเหมือนกระเป๋าตุ๊กแก ใครจะไปซื้อลง    แต่พอมันอยู่บนสายพาน  รับรองว่าเจ้าของจำไม่ผิดแน่นอนค่ะ  สังเกตเห็นได้ในระยะห้าร้อยเมตร
เพราะฉะนั้นเวลาเลือกกระเป๋าเดินทางใบใหม่    เลือกกระเป๋าที่สีสันไม่ค่อยจะเหมือนใบอื่นๆก็จะช่วยได้มาก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ก.ค. 12, 06:24
ขอพูดถึงกระเป๋าเดินทางอีกเล็กน้อย
บางคนชอบกระเป๋าเดินทางที่เป็นวัสดุแข็ง  เพราะถือว่าป้องกันแรงกระทบกระแทกได้ดี ยิ่งถ้าเจ้าของใส่ข้าวของที่แตกได้ไว้ในกระเป๋า เอาฝาแข็งๆไว้ดีกว่า   เวลาขนกระเป๋าเขาไม่ได้ค่อยๆอุ้มกระเป๋าขึ้นไป แต่เหวี่ยงโยนกันแรงๆ  อยู่ใต้ท้องเครื่องบินก็ซ้อนทับกันไม่รู้กี่ชั้น
แต่บางคนก็บอกว่าเอากระเป๋าผ้าที่ยืดหยุ่นได้ดีกว่า  มันไม่แตก   ส่วนของอะไรในนั้นที่แตกได้ก็เอาเสื้อห่อไว้หลายๆชั้นตรงกลาง  อย่าวางชิดฝาหรือก้นกระเป๋า

จากประสบการณ์ มันดีกันคนละอย่าง   กระเป๋าแข็งของดิฉันใช้งานได้ดีถ้าต้องประคับประคองของเปราะบางใส่กระเป๋ามา โดยใส่กล่องและยัดวัสดุกันกระแทกไว้แน่นหนาอีกชั้นหนึ่ง    เสียแต่ว่าความแข็งของกระเป๋าทำให้ยัดอะไรลงไปเกินรูปทรงกระเป๋าไม่ได้   ไม่เหมาะกับคนที่ขาไปของน้อยขากลับของมากอย่างดิฉัน       กระเป๋าผ้าแก้ปัญหาข้อนี้ได้ดีมาก ขนาดของในกระเป๋าเต็มแล้วยังสามารถยัดของฝากจากคนนั้นคนนี้จนฝากระเป๋าโป่งได้อีก    เสียอย่างเดียว  ถ้าเอาอะไรที่แตกได้ใส่มา  มักจะแตกเรียบร้อยเมื่อถึงปลายทาง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ค. 12, 09:47
เมื่อเดินทางเข้าและออกอเมริกา  ต.ม.ของเขาไม่ให้เราใส่กุญแจกระเป๋าเดินทาง    เพื่อเขาจะได้มีสิทธิ์เปิดตรวจได้โดยไม่ต้องขออนุญาต   (และไม่ต้องรับผิดชอบด้วยถ้าของในกระเป๋าเราเกิดล่องหนไป)    แต่เขาอาจติดเครื่องหมายบอกให้รู้ว่ากระเป๋านี้ถูกเขาตรวจแล้ว

           หากจะล็อค ให้ใช้ล็อคด้วย TSA (Transportation Security Administration of the USA)-recognized locks ครับ

             เพราะ TSA จะมีแม่กุญแจที่สามารถไขเปิดล็อคกุญแจชนิดนี้ของเรา(ที่ล็อคด้วยเลขรหัส)ได้ ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 12 ก.ค. 12, 09:50
           กระเป๋าเดินทางหลายยี่ห้อก็ทำที่ล็อคแบบเลขรหัสและมีช่องสำหรับให้แม่กุญแจ
ของ TSA ไขเปิดได้ ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ก.ค. 12, 20:43
เรื่องของกระเป๋าอีกเรื่องหนึ่งคือ

ในปัจจุบันนี้ เรามักจะนิยมซื้อกระเป๋าที่มีล้อลาก นัยว่าเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายลากไปลากมา

ประเด็นมันไปอยู่ที่ว่า ในกรณีที่ไปเที่ยวเป็นคณะกับทัวร์นั้น เราเกือบจะไม่ได้แตะต้องและเคลื่อนย้ายกระเป๋าด้วยตัวเราเองเลย ผมเห็นว่าท่านที่ไม่ได้เดินทางด้วยตนเอง คงจะไม่ต้องไปซื้อหากระเป๋าเดินทางประเภทมีล้อมาใช้ เอาน้ำหนักและเนื้อที่เก็บก้านและล้อเพื่อการลากกระเป๋าที่ไปเบียดเบียนปริมาณความจุและน้ำหนักของกระเป๋าทั้งใบนั้นไปบรรจุของจะดีกว่า
 
รวมทั้งกระเป๋าแบบที่หิ้วขึ้นเครื่องด้วย เราต้องการกระเป๋าแบบมีล้อไปทำไมให้มันกินน้ำหนักและเนื้อที่ แถมมีความยากเย็นมากขึ้นที่จะหาเนื้อที่ว่างพอที่จะเอามันขึ้นไปเก็บ  จะต้องเดินลากกระเป๋าซื้อหาของกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันกระนั้นหรือ จะขึ้นจะลงสนามบินใหนๆเขาก็มีรถเข็นสำหรับกระเป๋าแบบ Carry on และสัมภาระให้อยู่แล้ว

ผมเห็นว่า แม้จะมีความจำเป็นจริงๆที่จะต้องใช้กระเป๋าแบบมีล้อ ก็อาจจะต้องพิจารณาซื้อหากระเป๋ามีล้อประเภทที่เขาออกแบบมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ มิใช่แบบที่เอาโครงสร้างของล้อเลื่อนตัดแปะประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้มีแต่อะไรต่อมิอะไรยื่นออกมาเกะกะไปหมด   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ก.ค. 12, 21:10
แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง

ดังที่คุณเทาชมพูเล่าเรื่องกระเป๋าเหมือนๆกัน ยี่ห้อเดียวกัน
 
ทางออกอย่างหนึ่ง คือ การผูกโบว์สีที่หูหิ้ว เืพื่อการสังเกตและแยกแยะของเรากับของผู้อื่น

ผมเห็นหลายคนชอบที่จะยังคงป้ายชื่อห้อยกระเป๋าของบริษัททัวร์ที่เคยเดินทาง นัยว่าจะได้ไม่ต้องซื้อหาใหม่และต้องการโชว์ว่าฉันก็เป็นคนเดินทางมากนะ  รวมถึงที่ไม่ชอบจะฉีก Tag ที่สายการบินเขาติดเมื่อเช็คอินเพื่อการจำแนกแยกแยะสายการบินที่จะเดินทางและสติกเกอร์อื่นๆ   เป็นไม่ดีเลยครับ  Tag และสติกเกอร์เหล่านั้นมีบาร์โค๊ต เมื่อกระเป๋าของเราผ่านการเช็คอินและไหลไปตามสายพานลงไปสู่ชั้นล่างของอาคาร ในการแยกแยะว่ากระเป๋าใบนั้นๆจะไปกับเครื่องบินลำใดนั้น เขาใช้ระบบการอ่านบาร์โค๊ตแบบอัตโนมัติ และแยกกระเป๋าไปสำหรับแต่ละเครื่องบินโดยระบบอัตโนมัติเช่นกัน   เมื่อเราไม่แกะของเก่าออกโอกาสเกิดความมั่วของเครื่องก็มีมาก กระเป๋าของเราจึงมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวด้วยตนเองรอบโลกได้ง่ายมาก  ดังนั้น จึงควรยอมเสียเวลาแกะแผ่นอะไรก็ตามที่มีบาร์โค็ตออกให้หมดเมื่อจะต้องเดินทางขึ้นเครื่องครั้งต่อไป 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ก.ค. 12, 21:32
ประสบการณ์สอนผมว่า
ไปสนามบินแต่เนิ่นๆเพื่อการเช็คอินเป็นลำดับต้นๆ เมื่อถึงสนามบินปลายทาง กระเป๋าเราก็จะออกมาก่อน  นอกจากนั้นแล้วเรื่องน้ำหนักเกินก็มักจะไม่เป็นปัญหา แถมยังเลือกที่นั่งได้ตามที่ต้องการพอสมควร ยกเว้นที่นั้งกลางเครื่องแถวหน้าสุดที่สายการบินมักจะเก็บสำรองไว้สำหรับผู้โดยสารที่มีเด็ก การเช็คอินในลำดับหลังๆกระเป๋าก็จะออกมาทีหลัง เลือกที่นั่งไม่ได้และหากมีกรณ๊น้ำหนักเกินเล็กน้อยๆก็อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้  กระเป๋าเดินทางที่หนักและไม่เข้าทรงไม่เข้าขนาดมาตรฐานของผู้อื่นมักจะได้ออกมาทีหลังเสมอ

หากเมื่อมาทำการเช็คอินแล้วเห็นว่ามีผู้โดยสารเข้าคิวยาว สำหรับผม เมื่อเห็นว่าไม่ค่อยจะมีเด็กผมก็จะขอที่นั่งแถวหน้าสุดในทันที ทั้งแถวติดประตูเครื่องหรือแถวกลางเครื่อง  ซึ่งเป็นแถวที่ไม่ค่อยจะมีคนสนใจ แต่แท้จริงแล้วนั่งสบาย ลุกออกเดินได้ง่าย   สำหรับกรณีมีของมากและน้ำหนักเกินในกระเป๋าใบใหญ่ อาจจะลองเอามาใส่ในกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่องก็ได้  ก่อนจะเข้าประตูเครื่องเจ้าหน้าที่เขาจะดูอีกรอบ พอเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะยัดใส่บน overhead lock เขาก็จะขอแยกลงไปเก็บใต้ท้องเครื่อง   ก็สบายเราเลยซิครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 12, 06:29
เคยซื้อกุญแจล็อคด้วยเลขรหัสมาใช้ค่ะ   ปรากฏว่าผ่านไปเป็นปี กว่าจะลากกระเป๋าเดินทางมาปัดฝุ่นเตรียมเดินทางใหม่   ลืมรหัสล็อคเสียสนิท   เลยต้องมาไล่เปลี่ยนตัวเลขไปทีละตัว จนเจอ
ขอเตือนท่านทั้งหลายที่ใช้กุญแจล็อคแบบนี้จดตัวเลขรหัสไว้กันลืมด้วยนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ก.ค. 12, 11:01
ขอคั่นจังหวะเรื่องการเดินทาง ด้วยเรื่องไฟป่าในโคโลราโดอีกครั้ง   ว่าจนบัดนี้ก็ยังดับไม่ได้
ล่าสุด ไฟป่าเกิดขึ้นแล้ว 12 จุดทั่วรัฐนี้    เรียกได้ว่าโคโลราโดกำลังลุกเป็นไฟ    อากาศที่ปกติแล้วเย็นจนหนาวก็วิปริต  กลายเป็นร้อนกว่าประเทศไทยเสียอีก ในตอนบ่ายๆ
ประธานาธิบดีโอบาม่าบินไปเยี่ยมประชาชนที่โคโลราโดสปริงส์แล้ว  เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ทางใต้  มีทั้งพื้นราบเชิงเขาและบนภูเขา ที่ตั้งของร.ร.นายเรืออากาศ  บ้านเรือนแถวนี้มักจะเป็นบ้านของคนฐานะดี   
ตอนนี้ไฟป่าลามไปแล้วกว่า 18,000 เอเคอร์   ผู้คนอพยพไปแล้วกว่า 35,000 คน 

ภาพข้างล่างนี้ราวกับบ้านเมืองถูกถล่มด้วยภัยระเบิดสงคราม     ความจริงคือไฟป่าค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 ก.ค. 12, 21:34
เห็นภาพแล้ว ทำให้นึกถึงคำว่า Inferno  และ engulfed by forest fire  คงจะไม่ผิดความหมายไปใช่ใหมครับ

ผมเข้าใจว่าป่าที่ถูกไฟใหม้ในครั้งนี้ น่าจะเป็นป่าที่มีต้นสนเป็นหลัก ไฟจึงดูจะลุกลามไปรวดเร็วมาก ใบต้นสนที่ร่วงลงมากองที่พื้นดินนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีพอๆกับใบสดที่ต้นของมัน ผมเคยเห็นภาพไฟใหม้ใบสนที่ยังสดติดอยู่กับต้น เหมือนกับการจุดคบเพลิงเลยทีเดียว เกิดเร็ว ลุกโชติช่วงเร็ว แล้วก็มอดเร็ว การลามต่อเนื่องของไฟอย่างรวดเร็วจึงเกิดจากการที่ไฟที่กระจายเชื่อมต่อกันเหนือพื้นดิน ลูกไฟที่ตกลงมาสู่พื้นก็จะช่วยทำหน้าที่กระจายไฟไปตามพื้นดินด้วยความเร็วที่น้อยกว่าตามกิ่งก้านสาขาของต้นไม้  ต้นสนเป็นต้นไม้ที่มียาง (resin) บางพันธุ์ก็มียางมาก บางพันธุ์ก็น้อย  ยางสนนี้เมื่อนานปีเข้าก็จะแข็งตัว หลายร้อยล้านปีเข้าก็กลายเป็น อำพัน (Amber) ที่เอามาทำเป็นเครื่องประดับอันสวยงาม   

ในภาคเหนือของไทยในสมัยก่อน มีการนำยางจากต้นสนมาต้มกลั่น ได้น้ำมันใสๆออกมาที่เรียกว่าน้ำมันสน ส่วนต้นสนที่มียางนี้ เขาเีรียกชื่อว่า สนเกี๊ยะ  ชาวบ้านจะสับไม้ของสนเกี๊ยะนี้เป็นชิ้นเล็กขนาดประมาณครึ่งไม้บรรทัด เรียกว่า ไม้เกี๊ยะ เอามาเป็นเชื้อสำหรับจุดถ่านในเตาไฟ ปัจจุบันก็ยังพอมีการนำมาขายกันอยู่บ้าง มัดเป็นกำๆขนาดของแต่ละกำก็ประมาณขวดน้ำดื่ม จำราคาไม่ได้ครับ แต่ไม่แพง

เอาละครับ resin กับ gum ซึ่งต่างก็เป็นยางไม้ด้วยกันนั้น ต่างกันอย่างไร  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 16 ก.ค. 12, 09:46
ลอกคำตอบจากกระทู้เก่า ครับ

          resin จากวิกกี้ บอกว่า       

          ความหมายที่เฉพาะเจาะจงที่สุด หมายถึง สารคัดหลั่งประเภท hydrocarbon
จากต้นไม้หลายชนิด,โดยเฉพาะพวก coniferous trees

         ในกรณีความหมายอย่างกว้าง เรซิน ยังรวมไปถึงสารสังเคระห์ที่มีคุณสมบัติเหมือนๆ กัน
นั่นคือ เป็นของเหลวที่เมื่อแข็งตัวจะกลายเป็นของแข็งโปร่งใส ซึ่งรวมถึง shellacs ที่ได้จาก
แมลงของ superfamily Coccoidea
 
          ส่วน gum รอคุณเพ็ญมาตอบ ครับ       


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.ค. 12, 10:00
เห็นภาพแล้ว ทำให้นึกถึงคำว่า Inferno  และ engulfed by forest fire  คงจะไม่ผิดความหมายไปใช่ใหมครับ

ผมเข้าใจว่าป่าที่ถูกไฟใหม้ในครั้งนี้ น่าจะเป็นป่าที่มีต้นสนเป็นหลัก ไฟจึงดูจะลุกลามไปรวดเร็วมาก ใบต้นสนที่ร่วงลงมากองที่พื้นดินนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีพอๆกับใบสดที่ต้นของมัน ผมเคยเห็นภาพไฟใหม้ใบสนที่ยังสดติดอยู่กับต้น เหมือนกับการจุดคบเพลิงเลยทีเดียว เกิดเร็ว ลุกโชติช่วงเร็ว แล้วก็มอดเร็ว การลามต่อเนื่องของไฟอย่างรวดเร็วจึงเกิดจากการที่ไฟที่กระจายเชื่อมต่อกันเหนือพื้นดิน ลูกไฟที่ตกลงมาสู่พื้นก็จะช่วยทำหน้าที่กระจายไฟไปตามพื้นดินด้วยความเร็วที่น้อยกว่าตามกิ่งก้านสาขาของต้นไม้  ต้นสนเป็นต้นไม้ที่มียาง (resin) บางพันธุ์ก็มียางมาก บางพันธุ์ก็น้อย  ยางสนนี้เมื่อนานปีเข้าก็จะแข็งตัว หลายร้อยล้านปีเข้าก็กลายเป็น อำพัน (Amber) ที่เอามาทำเป็นเครื่องประดับอันสวยงาม   

ไฟป่าบนภูเขาคราวนี้ คนที่ติดตามข่าวอยู่เขาบอกว่าไฟมันข้ามเหวได้  คือไม่ได้หยุดอยู่แต่เฉพาะในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง   ถึงไม่มีทางเชื่อมต่อกับพื้นดินภายนอก   ไฟก็ไปทางอากาศได้  พอๆกับพื้นดิน
บนภูเขา เห็นแต่สนค่ะ  อาจมีไม้อื่นแต่สนหนาแน่นที่สุด


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ก.ค. 12, 21:52
เว้นวรรคมาช่วงสั้นๆ

ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับการจราจรที่พบมา  เริ่มที่ญี่ปุ่น 

ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์ภายในประเทศมากมาย แต่มียอดการขายในประเทศแต่ละปีไม่ถึงห้าแสนคัน น้อยกว่ายอดการส่งออกมาก แม้จะมีกฏหมายออกมาอย่างไร (บังคับเรื่องอายุการใช้งาน ฯลฯ) ยอดการซื้อภายในก็ไม่ค่อยจะกระเตื้องขึ้นมา
คนญี่ปุ่นนั้น ก่อนที่จะซื้อรถได้ จะต้องแสดงว่าเขามีที่จอดสำหรับรถนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเขตบ้าน หรืออาคารสถานที่เช่าจอดรถ รถที่จอดข้างถนนแบบค้างคืนจึงไม่พบเห็นมากนัก จะพบเห็นมากก็ตามชนบทในที่ทำการเกษตรที่ห่างไกลเมือง  ปัญหาที่จอดรถเป็นเรื่องใหญ่มากในญี่ปุ่นสำหรับทุกคนที่ใช้รถ ค่าจอดรถก็แพงมาก จอดข้างถนนก็มีเวลาจำกัด บางถนนให้จอดได้ไม่เกิน 1 ชม. หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ชม.โดยต้องเสียค่าจอดด้วย  ส่วนมากก็จะให้จอดได้ไม่เกิน 15 นาทีโดยไม่ต้องเสียค่าจอด
ทีผมชอบมาก คือวิธีการตรวจสอบว่ารถคันใดอดเกินกว่า 15 นาที ไม่ยุ่งยากเลยครับ เขาใช้ตำรวจหญิง 2 คน ใช้รถคันเล็กๆ ขับไปเรื่อยๆ พอถึงที่รถจอดก็เอาชอล์คขาวผูกติดที่ปลายไม้ ยื่นแขนไปขีดเส้นบนยางรถลากลงมาที่ผิวถนน แล้วก็ขับต่อไป  อีกประมาณ 15 นาทีก็วนกลับมาใหม่ หากเส้นชอล์คบนยางและถนนยังตรงกันอยู่ ก็ลงมาเขียนใบสั่งเลย แต่หากไม่ตรงก็ขีดใหม่ แสดงว่าเป็นรถคันใหม่มาจอด  ก็รู้กันอยู่ คนที่นำรถมาจอดก็จะขยับรถไปหน่อย ก็รอดตัวแล้ว แต่ก็ทำได้ครั้งสองครั้งเท่านั้น ตำรวจก็รู้
กรณ๊มีมิเตอร์ให้หยอด มิเตอร์จะมีเครื่องตรวจจับ (เป็นแสงอินฟาเรด) ว่ามีรถมาจอดหรือไม่ หากมี มันก็จะเริ่มทำงาน ให้เวลาเราไปหาเหรียญมาหยอดสักประมาณ 5 นาที หากไม่มีการหยอดเหรีญ มันก็จะกระพริบไฟให้ตำรวจรู้ มาเขียนใบสั่ง หากจอดครบเวลาเต็มที่ที่เขาให้จอดแล้ว จะหยอดเหรียญซ้ำอีกมันก็ไม่รับ  แล้วมิเตอร์ก็จะเดินถอยหลังไปอีกประมาณ 10 นาที หากไม่เอารถออกไป มันก็จะกระพริบไฟเรียกตำรวจอีก  หากเอารถออกไปก่อนหมดเวลา มันก็จะไม่ยอมให้รถคันอื่นมาใช้เวลาที่เหลือนั้น มิเตอร์มันจะกลับมาที่ศูนย์เลย  ก็ต้องใช้วิธีขยับรถออกไปแล้วถอยเข้าใหม่จึงจะหยอดเหรียญจอดใหม่ได้

ระบบมิเตอร์แบบนี้ คิดว่าก็มีใช้ในอเมริกาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นในยุโรป


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 ก.ค. 12, 22:08
ดังกล่าวมาแล้วว่า ที่จอดรถในญี่ปุ่นหายากมากและแพงมาก  จึงมีการจอดรถในที่หรือเวลาห้ามจอดมากอยู่พอควร

น่าสนในในความคิดและการวิเคราะห์ของเขาครับ   ปัญหาก็เหมือนๆกันทั่วโลก คือ ใช้การเขียนใบสั่งเหน็บไว้ที่หน้ากระจกรถ บ้างก็ล็อกล้อ บ้างก็ยกรถออกไปเลย บ้างก็ใช้สายรัดป้ายติดไว้ที่กระจกหูช้างข้างรถ   การทำด้วยวิธีเหล่านี้ ได้ผลในระดับหนึ่ง ซึ่งมันก็สร้างปัญหาให้กับตำรวจ เนื่องจากว่าผู้ทำผิดก็จะมีข้ออ้างต่างๆนาๆ มีทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ และคนในสังกัดของผู้มีอำนาจ อิทธิพล และที่มีภูมิคุ้มกัน (จนท.ทางการทูต)   

ญี่ปุ่นเขาได้ความคิดใหม่เมื่อไม่ถึงสิบปีมานี้ คือแทนที่จะต้องให้ตำรวจเผชิญหน้าโดยตรงและตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับผู้กระทำผิด (ซึ่งมักจะจบลงด้วยการอลุ่มอล่วยและลดหย่อน)  เขาใช้หลักการว่า ตำรวจจะจับผู้กระทำผิดได้ (โดยไม่ต้องมีหมาย) ก็ต่อเมื่อเป็นความผิดซึ่งหน้า การเขียนใบสั่งนั้นไม่ได้เป็นการสั่งคนที่กระทำผิด เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ขับรถมากระทำความผิดนั้นๆ
ทางออก คือ ใ้ห้ผู้อื่น (นิติบุคคลอื่น) เป็นผู้ดำเินินการแทน   วิธีดำเนินการก็คือ ใช้ผู้สูงอายุที่เกษียณแล้วเดินตรวจตรา มีหน้าที่เพียงส่งข้อมูลทะเบียน ยี่ห้อรถ สีรถ สถานที่ วัน เวลา และรูปถ่ายประกอบผ่านทางระบบไอที (แบบ real time) ไปยังศูนย์ ซึ่งด้วยระบบอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับระบบข้อมูลทะเบียนรถ ก็จะพิมพ์หนังสือแจ้งไปยังเจ้าของรถที่จดทะเบียนคันนั้น ซึ่งก็คือ การเอาเรื่องกับคนที่เป็นเจ้าของรถคันนั้น แทนที่จะไปเอาเรื่องกับคนที่เป็นผู้ขับขี่รถไปกระทำความผิด (กล่าวง่ายๆว่า ให้ไปไล่เบี้ยกันเอาเอง)  ให้มาชำระค่าปรับภายใน 1 เดือน หากยังไม่มาก็จะเตือนเป็นครั้งที่สอง ให้เวลาอีก 1 เดือน คราวนี้ต้องไปชำระกับตำรวจโดยครง และหากยังไม่มาอีกฝ่ายตำรวจก็จะดำเนินการยกเลิกทะเบียนรถคันนั้น (คือ ไม่สามารถใช้รถคันนั้นบนถนนได้อีกต่อไป)

นุ่มนวลดี เหี้ยมดี ตำรวจไม่ต้องเผชิญหน้าโดยตรง คนแก่ีมีงานทำมีรายได้ เจ้าของรถไม่รู้ว่าจะไปทะเลาะกับใครดี หลักฐานแน่นหนา เหมือนกับข้อมูลจากกล้องรักษาความปลอดภัย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ก.ค. 12, 09:57
คลิปจากยูทูบ ครับ

              สาวญี่ปุ่นจอดรถในที่ห้ามจอด ครั้นโดนคุณน้าแจกใบสั่งก็ร้องห่มร้องไห้โยเย

              http://www.youtube.com/watch?v=NpPTUpjxkqg


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ก.ค. 12, 10:12
^
โอ้ย ทนดูไม่หวาย ใจอ่อน ใจอ่อน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ก.ค. 12, 20:34
เคยโดนปรับมาแล้วเรื่องจอดรถเกินเวลา ที่อังกฤษ  ความจริงก็ไม่ได้ลืมหรอกค่ะ แต่ว่าเดินไกลรถมากไปหน่อย    พอกระหืดกระหอบำกลับมาปรากฏว่าตำรวจกำลังจรดปากกาเขียนใบสั่งพอดี   อ้อนวอนขอความเห็นใจว่ารีบกลับมาฉิวเฉียดไปแค่นาทีสองนาที  พี่แกก็ไม่ยอมลดหย่อน  

เมืองที่อยู่ในอเมริกาเป็นเมืองที่จอดรถฟรี  ศูนย์การค้ามีที่จอดรถเหลือเฟือ   ข้างถนนก็จอดฟรี    เพราะรถน้อยกว่าถนน    แต่ถ้าไปเมืองหลวงก็จะตรงกันข้าม   หยอดเหรียญกันมือเป็นระวิง  
พูดถึงเรื่องศูนย์การค้าแล้วสังเกตอีกอย่างว่าคนในเมืองนี้เขาไม่ค่อยนิยมศูนย์การค้าเท่าไหร่   เข้าแต่ซูเปอร์อย่าง Walmart ซึ่งคล้าย BIG C ของเรา คือมีทั้งซูเปอร์และส่วนขายสินค้าอื่นๆ      ศูนย์การค้ามักตั้งอยู่ห่างเขตในเมือง  บางแห่งก็ออกไปอยู่กลางทุ่งเลยทีเดียว  คนก็ขับรถไปไม่ย่อท้อ      เขาไม่นิยมทุบบ้านในเมืองทิ้งแล้วทำศูนย์การค้าอย่างบ้านเรา  กฎหมายเขาแบ่งสันปันส่วนบ้านและแหล่งธุรกิจออกห่างจากกันเป็นสัดส่วน   
ข้อนี้ฝรั่งที่มาเที่ยวกรุงเทพชอบบรรยากาศกรุงเทพมากกว่า เพราะที่พักกับร้านอาหาร ศูนย์การค้า โรงหนัง อยู่ติดกันหมด  เดินเที่ยวได้ตามสบาย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 21 ก.ค. 12, 00:04
ขอเสริมเรื่องรถๆ ราๆ ในอังกฤษหน่อยครับ

การจะซื้อรถในอังกฤษ จะไม่มีเงื่อนไขว่าต้องมีที่จอดรถเหมือนในญี่ปุ่น  และบ้านโดยส่วนใหญ่มักจะไม่มีที่จอดรถซะด้วย
บ้านของคนชั้นกลางทั่วๆ ไปในอังกฤษ มักเป็นเหมือนทาวน์เฮาส์บ้านเรา ปลูกติดๆ กันขนาดไม่กว้างขวางนัก มี 2 หรือ 3 ห้องนอนเท่านั้น
ด้านหน้าบ้านอาจะมีพื้นที่เล็กๆ ปลูกต้นไม้ได้นิดหน่อย แต่ไม่พอจอดรถ  หรือถ้าพอจอด ก็ไม่ค่อยมีใครใช้ทำที่จอดรถกัน กันเป็นสวนเล็กๆ ซะมากกว่า
หลายๆ บ้านที่เคยเห็นมา มีพื้นที่หลังบ้านเป็นลานกว้างเหลือเฟือไว้ตากผ้า แต่ไม่มีถนนเข้าถึงให้เอารถไปจอดได้ คาดว่าบ้านพวกนี้อาจสร้างตั้งแต่สมัยมากกว่าร้อยปีก่อน คนไม่มีรถใช้กัน

เมื่อบ้านจำนวนมากไม่ได้เตรียมพื้นที่สำหรับจอดรถ ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงจอดรถบนถนนหน้าบ้านกัน
ซึ่งแต่ละถนนที่เป็นย่านพักอาศัย ถ้าเป็นย่านตัวเมืองหน่อย เจ้าของบ้านจะจอดรถก็ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมให้บางเทศบาลก่อนซึ่งก็ไม่แพง
แล้วเค้าจะให้บัตรมาแปะหน้ารถว่าเราสามารถจอดตรงบริวเวณย่านนั้นๆ ได้ แต่ก็ต้องแย่งกันจอดกับคนที่มีบ้านแถวนั้นอีก ไม่มีที่จอดประจำหรือสงวนไว้
ส่วนใครไม่มีบัตรสุ่มสี่สุ่มห้าไปจอด โดนพนักงานเดินตรวจมาเห็นอาจโดนปรับครั้งละ 60 ปอนด์ได้
พนักงานเดินตรวจจะถ่ายรูปรถเรา ลงเวลาไว้ แปะสัญลักษณ์ใบสั่ง แล้วก็เป็นหน้าที่เจ้าของรถต้องไปเสียค่าปรับ ถ้าไม่เสียจะต่อภาษีปีต่อไปไม่ได้

หน้าบ้านผมก็มีใครต่อใครเอารถมาจอดทุกวันเพราะเป็นย่านบ้านนอก ใครก็จอดได้ บ้านผมดีหน่อยมีพื้นที่จอดรถส่วนตัวด้านหลัง เลยไม่ต้องแย่งจอดหน้าบ้านกับใคร
แถมเวลาจอดรถหน้าบ้านกัน คนจำนวนไม่น้อยจะจอดแบบปีนฟุตพาธขึ้นมาค่อนคันกัน เพราะถนนหนทางค่อนข้างแคบ จะได้เหลือพื้นที่ถนนให้รถอื่นๆ ไปมาได้สะดวกขึ้นอีกนิด


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ก.ค. 12, 21:29
ที่จริงแล้วไทยเราก็มีกฎหมายในลักษณะนี้เหมือนกันครับ

ผมก็ไม่เคยรู้เลย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อสักสี่ปีมาแล้ว ผมไปหาซื้อรถเก่าๆเอาไว้ใช้ในสวนที่ต่างจังหวัด  เป็นรถที่เจ้าของมีทะเบียนบ้านอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ตัวผมเองมีทะเบียนบ้านอยู่ กทม.  แต่จะซื้อและโอนทะเบียนมาเป็นชื่อของผมใช้ในอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดเดียวกัน  เ้จ้าหน้าที่เขาขอทราบสถานที่ๆจะนำรถมาจอด ผมก็บอกว่าที่สวน เขาก็ขอเลขทะเบียนบ้านที่อำเภอนั้น สุดท้ายต้องใส่ชื่อผู้ซื้อรถเป็นคนเฝ้าสวนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอที่ผมมีสวนอยู่    ก็เพิ่งรู้สาเหตุว่า จะมีรถก็ต้องมีที่จอดรถประจำ (คือมีถิ่นฐานที่อยู่ของรถด้วย) หากจะโอนรถเป็นชื่อผม รถคันนั้นก็จะต้องมีการโอนทะเบียนมาอยู่ กทม.ตามที่อยู่ของผม

ก็คือมีหลักปฏิบัติเหมือนกันในเรื่องที่จอดรถ เพียงแต่เราอะลุ่มอล่วยกันมากๆๆๆ และอนุโลมว่าการมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านใด ก็หมายความว่าสถานที่นั้นจะต้องเป็นบ้านหรืออาคารสถานที่ๆมีที่จอดรถ มิน่าเล่าจึงเกิดภาพที่เห็นการเอารถมาจอดข้างถนนกันเต็มไปหมด 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ก.ค. 12, 21:52
ภาพที่ผมประทับใจมากที่สุดเกี่ยวกับการจับผู้ปฏิบัติผิดกฏจราจร คือที่ โตเกียว

ตำรวจจราจรใช้รถจักรยานถีบไปจับผู้ขับขี่รถ   ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง รถเข้าเลนผิดจะตรงไปแต่เข้าไปยู่ในเลนเลี้ยวซ้าย  ตำรวจซึ่งยืนอยู่ก็ชี้นิ้วสั่งให้ผู้นั้นเลี้ยวซ้าย ชายผู้นั้นก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ค่อยๆขยับรถไปทางตรง ตำรวจก็คว้าจักรยานขี่ตามเบียดบังคับให้เลี้ยวซ้าย แล้วเบียดให้จอด แล้วเขียนใบสั่ง  ว้าว อะไรจะปานนั้น สุดยอดจริงๆ


เลยทำให้นึกถึงคำว่า "จริงๆ"    คนไทยเราพูดคุยกันแหย่กัน โดยเฉพาะผู้หญิงชอบใช้จนติดปากว่า "อ้าว จริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ"   น่ากลัวครับ ในภาษาญี่ปุ่น เสียงของคำไทยนี้ใกล้เคียงกับคำที่มีความหมายถึงของสำคัญของท่านชาย    คำว่า มะม่วง ก็เช่นกัน ก็มีความหมายไม่ค่อยดี   แต่คำว่า ขี้เหร่ นั้นดีนะครับ แปลว่าสวย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ก.ค. 12, 22:01
สุดยอดของคนไทยที่ไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเรื่องหนึ่ง คือ การข้ามถนน

สงสัยว่าจะสอนกันผิดมา :D  เห็นเป็นประจำเลยครับ   ยืนออกันอยู่ตรงห้วถนนบริเวณสี่แยก พร้อมที่จะข้ามทางม้าลาย พอไปเขียวให้รถไปได้ เท่านั้นแหละครับ พร้อมใจกันก้้าวลงถนน เดินแบบมองระวังรถ จูงมือกัน แถมดันกันด้วย  เสียงบีบแตรลั่นไปหมดเลยแต่ก็บ่ยั่น เิดินต่อไปข้ามถนนจนสำเร็จ  ภาพนี้ก็พอเห็นได้เป็นประจำใน กทม.เหมือนกัน 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.ค. 12, 17:22
เมืองในอเมริกาเป็นเมืองที่รถกลัวคน   ไม่รู้ว่าเมืองใหญ่ๆอย่างแอลเอ และซานฟรานซิสโกจะยกเว้นหรือไม่  แต่ในเมืองที่ไปอยู่  เดินข้ามถนนได้สบายค่ะ เพราะรถน้อย  วิ่งช้า   ถ้าเดินจากลานจอดรถในศูนย์การค้าเข้าไปในอาคาร รถจะหยุดให้ทันทีแค่แหย่เท้าลงไปที่ถนน     
รัฐที่ดิฉันอยู่มีพื้นที่เยอะแต่คนอยู่อาศัยน้อย   จึงไม่แออัดต้องประหยัดเนื้อที่อย่างซานฟรานซิสโกหรือนิวยอร์ค   ลักษณะการออกแบบศูนย์การค้า( เรียกว่า shopping mall) และซูเปอร์มาร์เก็ตที่นั่นเหมือนห้างแมคโครในไทย    คือมีลานจอดรถกว้างขวางอยู่ข้างหน้า   ส่วนตัวอาคารเป็นแบบกว้างชั้นเดียว  แผ่ไปในทางราบ  มีหนึ่งหรือสองชั้นอย่างมาก    ไม่ได้ตั้งสูงขึ้นไปหลายชั้นเหมือนบ้านเรา  เพราะที่ว่างมันยังมีอยู่เหลือเฟือ  ขับรถไม่กี่นาทีก็ออกนอกเมืองเห็นแต่ทุ่งกว้างแล้ว
ชาวเมืองที่นี่ไม่ค่อยจะไปเดินตามศูนย์การค้ากันเท่าไหร่   ในเมือง เรียกได้ว่าเหงาเงียบทีเดียว    ร้านรวงต่างๆทยอยปิดกันไป   ส่วนที่คนไปมากที่สุดคือซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ
คงไม่เหมือนญี่ปุ่น  ในโตเกียวจำได้ว่าทุกอย่างแน่นไปหมด  ศูนย์การค้าต่างๆนอกจากข้าวของเต็มแน่นในพื้นที่แคบแล้ว คนก็มากด้วย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 ก.ค. 12, 21:57
^
ใช่เลยครับ  เรื่องรถกลัวคน เรื่องหนึ่งที่พ่อของเพื่อนสนิทชาวอเมริกันของผมบอกและให้ทดลองเมื่อครั้งไปเรียนหนังสือ เขาให้ลองก้าวลงไปบนทางม้าลาย รถจะต้องตั้งหน้าตั้งตาเบรคเพื่อให้เราเดินข้ามถนนพ้นไป    แต่ในยุโรป ไม่ใช่เรื่องที่จะยึดถือได้เสมอไปครับ วัดดวงเหมือนกัน บีบแตรไล่ก็เคยเห็นครับ

ไปอเมริกา อยู่แต่เมืองใหญ่ ก็จะไม่เห็นอะไรไปมากกว่าถนนและศูนย์การค้า  ต้องออกไปเที่ยวตามเมืองเล็กๆอย่างที่คุณเทาชมพูกระทำ จึงจะได้เห็นและรู้จักอเมริกา  ผมเห็นว่าศูนย์การค้ารวมทั้งร้านค้าต่างๆในเมืองขนาดย่อมๆ ดีกว่าในเมืองหลักหรือตามชานเมืองหลัก น่าเดินมากกว่า และมีของอะไรๆให้ดูให้ต้องแวะพิจารณามากกว่า  แต่หากต้องการซื้อหาของดีมีราคาก็คงต้องเป็นห้่างในเมืองอยู่ดี

อ่านบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ จำไม่ได้ว่าในยุโรปหรือญี่ปุ่นว่า ด้วยความที่คนอเมริกันเป็นนักคิดดัดแปลงสิ่งของเครื่องใช้เพื่อความสะดวกสะบายในการใช้สอย ผนวกกับความสะดวกและรวดเร็วในการสื่อสารด้วยคอมพิวเตอร์ และผนวกกับห้างร้านในจีนรับผลิตสินค้าทุกชนิดด้วยราคาที่ย่อมเยาว์   เป็นผลทำให้มีการสั่งผลิตสินค้าโดยคนเอมริกันมาก (โดยเฉพาะที่เป็นประเภท tools ใช้ในสวน ในครัว ฯลฯ หน้าตาแปลกๆอยู่มากมาย) เพื่อขายหารายได้ให้กับตนเอง สินค้าพวกนี้ มักจะไม่มีขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า  (บางอย่างจีนก็คงจะก๊อปส่งออกมาขายในไทยและที่อื่นๆทั่วโลก)    คุณเทาชมพูเคยสังเกตเห็นว่าเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าครับ


เมืองขนาดย่อมๆนี้ มักเห็นพวก bum ได้ง่ายมากกว่าในตัวเมืองใหญ่ๆ ในเมืองใหญ่มักจะพบในย่านสถานีรถไฟและรถเมล์เป็นหลัก   ผมนานๆไปทีเจอภาษาที่เขาใช้ทำให้งงไปได้สักอึดใจเหมือนกัน  เช่น  buy me หรือ have me a cigarette, change หรือ give me a change     



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 22 ก.ค. 12, 23:27
เรื่องมารยาทในการใช้รถใช้ถนนในเมืองไทยเดี๋ยวนี้ แย่มาก...

ดิฉันมักเจอปัญหาอยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องไปเจรจากันที่โรงพัก

แล้วก็รู้สึกว่าคุณตำรวจ(บางสถานี) มักจะมีวิธีพิจารณาความผิดแปลกๆ ...

 ดิฉันเคยถูกยัดเหยียดให้รับความผิดทั้งที่เป็นฝ่าย (รถ)ถูกชน

ส่วนคู่กรณ๊ขี่มอไซด์แทรกระหว่างเลนวิ่งมาชน ไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียหายอย่างไรเลย

เพราะวิ่งมาชนด้านข้าง รถเขาก็ไม่ล้ม ดิฉันถ่ายรูปในที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตำรวจดูก่อนเคลื่อนรถเข้าข้างทาง

แต่ตำรวจบอกทันทีที่เห็นหน้าดิฉันว่า "อย่างไรรถใหญ่ก็ผิด " โดยไม่สนใจภาพ หรือ ข้อมูลที่เล่าให้ฟัง

สิ่งที่ดิฉันสังเกตคือ ดิฉันไปถึงโต๊ะตำรวจหลังคู่กรณีไปถึง .....

ดิฉันไม่ยอมรับข้อหา และขอให้ศาลจราจรพิจารณา

...ก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่ก็ถูกหนังสือเรียกจากตำรวจเจ้าของคดีให้ไปรับข้อกล่าวหา

ดิฉันไม่ยอมรับ...ขอพึ่งผู้บังคับบัญชาที่สถานีนั้น โโยไม่รู้จักกันมาก่อนเลย ...แต่ในที่สุดก้พบว่า

เจ้าของคดี อ้างหลักฐานที่น่าสงสัย ...ผู้บังคับบัญชาจึงเจรจาไกล่เกลี่ย แค่ว่ากล่าวตักเตือน ไม่ปรับหรืออะไรเลย

(ความจริงมีรายละเอียดมากว่านี้แต่ขอไม่เล่าในที่นี้)

ก่อนหน้านี้ก็มีหลายครั้งก็เรื่องเฉียวชนกันบนถนน....

การขับรถในกรุงเทพ...เป็นความเหน็ดเหนื่องของชีวิตมาก


 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 23 ก.ค. 12, 14:17
ที่จอดรถที่เคยเห็นแถบเยอรมัน-ออสเตรียจะไม่ใช้มิเตอร์แยกคันต่อคันอย่างที่เคยเห็นในอเมริกาครับ แต่จะเป็นตู้หยอดเหรียญ ระบุเวลาที่ต้องการจอด จะได้ตั๋วมาใบหนึ่งเอาไปวางไว้บนคอนโซล นายตรวจนั้นจะมาเมื่อใดก็ไม่ทราบเพราะยังไม่เคยเห็นสักครั้งครับ

ในบางแห่งจะมีที่ป้ายพากย์ภาษาเยอรมัน อ่านไม่ออก แต่เดาได้ว่าจำกัดเวลาจอด ที่น่าสงสัยคือจอดได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตหรือบุคคลทั่วไป อันนี้เดาไม่ถูกครับ เดินไปด้อมๆมองๆรถคันอื่นๆ เห็นได้ว่าแต่ละคันจะมีป้ายกระดาษแข็งมีสัญญลักษณ์แสดงเวลาได้ทุกคัน ผมเดาเอาว่าต้องไปรับป้ายแบบนี้จากที่ไหนสักแห่ง จะเสียเงินหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่เมื่อเดินหาจนตากลับก็ยังหาไม่เจอ ก็ต้องขอความช่วยเหลือคนท้องถิ่นกันล่ะครับ

คุณลุงที่ผมไปถามก็ดีใจหาย พอผมถามว่าไอ้ป้ายจอดรถนี่ผมจะไปขอได้ที่ไหน แกก็ตอบอย่างไวว่า "อยู่ในรถของคุณน่ะสิ น่าจะมีในลิ้นชักนะ" เล่นเอาผมเหวอไปเลยว่าลุงแกมีตาทิพย์หรือเล่นกลเสกของใส่รถที่ผมเช่าเขามาขับได้อย่างไร

สรุปได้ว่า ไอ้เจ้าป้ายอย่างนี้ (parking card) เป็นอุปกรณ์ประจำรถทุกคันครับ เจอป้ายจอดฟรีมีกำหนดเวลาก็หมุนหน้าปัดเวลาให้ตรงกับเวลาปัจจุบัน วางไว้บนคอนโซลเป็นอันเสร็จธุระ ขอให้กลับมาก่อนหมดเวลาเป็นใช้ได้ครับ

(http://image.yaymicro.com/rz_1210x1210/0/2cc/parking-card-2ccd8a.jpg)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 23 ก.ค. 12, 14:38
เรื่องการรอจังหวะไฟข้ามถนน เท่าที่ผมเคยเห็น ผมว่าคนญี่ปุ่นเคร่งครัดที่สุด บางครั้งบนถนนสายเล็ก มองไปสุดสายตาไม่ว่าขวาหรือซ้ายก็ไม่เห็นรถสักคัน แต่ไฟข้ามถนนยังเป็นไฟแดง คนก็ยืนรออยู่อย่างนั้นแหละครับ คนต่างชาติ(บางชาติ)เห็นถนนว่างขนาดนั้นก็เดินข้ามทันที ผมเห็นกับตาว่าคนญี่ปุ่นหลายคนทำหน้าตาเหวอมาก หลังจากอึ้งไป 5 วินาที คนญี่ปุ่นบางคนก็เอาบ้าง ขอข้ามด้วยคน แต่ก็ยังมีบางคนที่อดทนยืนรอต่อไปอย่างมีวินัยน่านับถือเสียจริงๆ ครับ

ราวยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ผมได้คุยกับเพื่อนรุ่นพี่ (หรือรุ่นอา) ท่านหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นอยู่นานจนคนญี่ปุ่นไม่รู้ว่าเป็นคนต่างชาติแม้นั่งคุยอยู่ด้วยกันเป็นชั่วโมง พี่ท่านนี้เล่าให้ฟังว่าภาษีทะเบียนรถยนต์ในญี่ปุ่นนั้นตรงข้ามกับบ้านเรา คือบ้านเรารถยิ่งเก่าภาษียุ่งถูก ในขณะที่ในญี่ปุ่นมีแต่จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับเรื่องที่จอดรถที่ต้องมีเตรียมสำหรับรถทุกคัน และราคารถยนต์ใหม่ที่ไม่สูงนัก คนส่วนใหญ่จึงต้องเปลี่ยนรถบ่อย (เมื่อเทียบกับคนไทย) รถที่จะเลิกใช้นั้นไม่ใช่ว่าจะเอาไปจอดอยู่ริมถนนจนผุพังเกะกะได้แบบบ้านเรานะครับ แล้วจะเอาไปทิ้งที่ไหน? ในเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทานอย่างมาก คนจะทิ้งรถต้องโทรไปตามเซียงกงมาเอารถไป และแทนที่จะได้เงินจากมูลค่ารถที่จะทิ้ง กลับต้องจ่ายค่าลากรถไปให้กับเซียงกงอีกด้วยแน่ะ

หะแรกพวกเซียงกงได้รถมาก็เอาไปแยกส่วนทำลาย แต่ชาติ "กำลังพัฒนา" บางแห่งเห็นว่าอะไหล่จากรถอายุแค่ไม่กี่ปีพวกนี้ยังดีอยู่แท้ๆ ก็ไปขอซื้อกันในราคาถูกๆมาขายเป็นอะไหล่รถยนต์มือสองในไท.. อุ๊ปส์... ขออภัย ในชาติเหล่านั้นครับ พวกอู่แท็กซี่บางแห่งก็ลงทุนไปกว้านซื้ออะไหล่พวกนี้เองถึงที่ด้วยเหตุที่มีความต้องการใช้อะไหล่เพื่อซ่อมรถเป็นจำนวนมาก

ทราบมาว่าธุกิจนี้ (ในเวลานั้น) เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีมากๆ แต่คนที่ทำงานนี้ต้องถึงลูกถึงคน มีความรู้เรื่องอะไหล่และการประเมินสภาพเป็นอย่างดี อีกทั้งต้องทนงานหนักพร้อมจะลุยคุ้ยเขี่ยกองอะไหล่ที่จมอยู่ในน้ำมันเครื่องสูงครึ่งแข้งได้ทุกวัน วันละหลายๆชั่วโมงครับ

ขออภัยที่ออกนอกเรื่องไปเสียไกลครับ  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 12, 17:30

อ่านบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ จำไม่ได้ว่าในยุโรปหรือญี่ปุ่นว่า ด้วยความที่คนอเมริกันเป็นนักคิดดัดแปลงสิ่งของเครื่องใช้เพื่อความสะดวกสะบายในการใช้สอย ผนวกกับความสะดวกและรวดเร็วในการสื่อสารด้วยคอมพิวเตอร์ และผนวกกับห้างร้านในจีนรับผลิตสินค้าทุกชนิดด้วยราคาที่ย่อมเยาว์   เป็นผลทำให้มีการสั่งผลิตสินค้าโดยคนเอมริกันมาก (โดยเฉพาะที่เป็นประเภท tools ใช้ในสวน ในครัว ฯลฯ หน้าตาแปลกๆอยู่มากมาย) เพื่อขายหารายได้ให้กับตนเอง สินค้าพวกนี้ มักจะไม่มีขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า  (บางอย่างจีนก็คงจะก๊อปส่งออกมาขายในไทยและที่อื่นๆทั่วโลก)    คุณเทาชมพูเคยสังเกตเห็นว่าเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าครับ

การหาซื้อสินค้าที่ไม่มีตามร้าน  ทำได้ง่ายมากคือสั่งซื้อออนไลน์สะดวกที่สุดค่ะ   ไปรษณีย์ที่นี่ส่งตามกำหนดได้แม่นยำมาก  ไม่เคยพลัดหลง   ใช้อินทรเนตรกวาดมองหาสินค้าที่ต้องการได้เลย   โดยไม่ต้องรอว่าจะต้องไปเดินหาตามร้านหรือไม่
ที่น่าสังเกตอีกอย่างคือสินค้าทั่วไป   โดยเฉพาะของใช้เล็กๆน้อยๆ  และของที่ระลึก  ล้วนเมดอินไชน่าทั้งนั้น  เหมือนสมัยก่อนเราเจอสินค้าในไทยที่เมดอินโคเรียกันเป็นแถว        ค่าแรงในอเมริกาแพงมากจนผลิตของพวกนี้ไม่คุ้ม     ยังสงสัยเลยว่ามีสินค้าอะไรเหลือให้ผลิตในอเมริกาบ้างนะคะ   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 12, 19:23
(ต่อ)
ของที่ซื้อมาเมื่อ 3  ปีก่อนในรูปข้างล่างนี้    หน้าตาเหมือนขนมเค้ก  เป็นอุปกรณ์ใช้กับคอมพิวเตอร์  คือ thumb drive ขนาด 2 GB    TD ทั่วไปเป็นแท่งเล็กๆแบบๆธรรมดา ขายตามร้านเครื่องเขียนทั่วไป
เดี๋ยวนี้  มีสินค้าออกแบบสวยๆกัน  เป็นพวก fancy thumb drive  ซึ่งไม่มีขายตามร้าน   ดูตัวอย่างได้จาก amazon   จากนั้นก็เมล์ไปสั่ง  เขาก็เอามาส่งให้เร็วทันใจ    เรียกได้ว่าไม่ต้องง้อห้างร้านในเมือง  ซึ่งไม่มีของแบบนี้ขายแน่นอน
แต่ไม่รู้เหมือนกันนะคะ   ว่าวันหนึ่งจะเดินไปเจอวางขายอยู่ที่พันทิพย์พลาซ่าด้วยราคาถูกกว่าที่อเมริกาหลายเท่าตัวหรือเปล่า     เพราะดูออกว่าเมดอินไชน่าแน่นอน

อเมริกาเต็มไปด้วยสินค้าผลิตจากเมืองจีน    เรียกว่าถ้ากวาดสินค้าเมืองจีนออกไปจากชั้นวางของในร้านสรรพสินค้า น่ากลัวทั้งร้านจะเหลือแต่ชั้นวางของ   ไม่ว่าอะไรแม้แต่พวงกุญแจของที่ระลึก เป็นสัญลักษณ์ของรัฐต่างๆก็มีสติกเกอร์แปะเอาไว้ทุกอันว่าทำจากเมืองอาเฮียของเรานี่เอง  ยังสงสัยว่าอเมริกาผลิตอะไรไปชดเชยกับค่าสินค้านำเข้าพวกนี้   อาจจะพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ระดับสูงละมัง    เพราะระดับโน้ตบุ๊คนี่ก็เหลือแต่แอปเปิ้ลยี่ห้อเดียวที่เป็นของอเมริกา แถมชิ้นส่วนอาจผลิตในจีนเสียก็ไม่รู้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 12, 19:36
อีกเรื่องหนึ่งที่เก็บได้จากการเดินทาง  คือดิฉันเป็นคนอยู่ในเมืองเล็ก ทั้งในประเทศไทยและอเมริกา     เมืองเล็กในอเมริกาเท่าที่ดู  คนมีธุรกิจเล็กๆส่วนตัวน้อยมาก  แทบจะนับหัวได้     จนน่าแปลกใจ  เพราะเมื่อเทียบกับครั้งโน้นเมื่อไปเรียน  จำได้ว่าธุรกิจเล็กๆส่วนตัวเช่นร้านซักรีด ร้านขายของที่ระลึก  ร้านขายยา  ยังมีให้เห็นตามถนนใกล้ๆที่พักมากกว่านี้    กลับไปอีกครั้ง หายไปหมดแล้ว

ในศูนย์การค้า  ร้านที่เปิดอยู่ล้วนเป็นแฟรนไชส์ หรือสาขาย่อยของร้านใหญ่ ไม่ว่าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด  ก็เจอ McDonald และ KFC อยู่ทุกหนทุกแห่ง   ร้านหนังสือก็เจอ Barn&Noble  ร้านไอศกรีมเจอ Coldstone  ร้านอาหารตามสั่งก็เจอ Applebee's , Kenny  พวกนี้    แทบจะหาร้านที่เจ้าของเปิดกิจการเล็กๆของตัวเองไม่เจอ    เคยเห็นอยู่ 2 ร้าน ที่ร้านหนึ่งรับทำบัญชี คิดภาษีรายได้   อีกร้านรับซ่อมคอมพิวเตอร์ แต่ร้านแรกปิดกิจการไปแล้ว

ผิดกับในประเทศไทย แม้แต่ในจังหวัดเล็กๆ ก็เจอชาวบ้านจะมีธุรกิจเล็กๆของตัวเองเต็มไปหมดทุกถนน    ถึงไม่มีร้าน ก็ยังมีรถเข็นตามบาทวิถีหรือหัวมุมถนน  รวมพวกตลาดนัดตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์อีกด้วย ตัวเองเป็นเจ้าของไม่ต้องมีนายจ้าง     เจอพิษเศรษฐกิจยังไงก็ตาม  ธุรกิจเล็กๆทำกันคนเดียวหรือสองคน ก็ยังอยู่กันได้
แต่ในเมืองในอเมริกาที่ดิฉันอยู่  เขาอยู่กันไม่ได้     ถ้าถามว่าชาวบ้านทำอะไรกิน  ส่วนใหญ่เข้าใจว่าทำงานกินเงินเดือนกันหมด คือเป็นลูกจ้างกิจการใหญ่ๆ
ในเมื่อเราพัฒนาตามแบบอเมริกามาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2   ก็เลยไม่รู้ว่า นี่คืออนาคตของคนไทยหรือเปล่า ที่วันหนึ่งจะเป็นลูกจ้างกันเท่านั้น


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 12, 22:42
ปีนี้โคโลราโดเป็นรัฐที่เจอเคราะห์หนัก    ถ้าหากว่าเป็นคน ป่านนี้คงจะวิ่งเข้าวัดเจ็ดวัดเจ็ดวาขอรดน้ำมนต์  เพราะนอกจากเกิดไฟป่าเผาไหม้บนเทือกเขาที่สวยงาม เป็นจุดขายของรัฐให้นักท่องเที่ยวมาชม และเศรษฐีมาซื้อบ้านอยู่บนเขาแล้ว   ไม่กี่วันมานี้ ในเมืองออโรร่า ก็มีมือปืนบุกเข้าไปในโรงหนังรอบเที่ยงคืน  ยิงกราดคนดูหนังที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตายไป 12 คนและบาดเจ็บอีก 38 คน  แถมยังวางระเบิดไว้ในอพาตเม้นท์ กะให้คนเปิดเข้าไปโดยไม่รู้เรื่องถูกระเบิดตายอีกด้วย

นายคนนั้น ข่าวบอกว่าเป็นนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยของรัฐ    เท่าที่สอบถามจากคนรู้จัก แกก็เป็นคนเรียบร้อย ตอนเป็นเด็กก็เป็นเด็กหงิมๆ  ไม่เคยเกะกะเกเร  ไม่มีประวัติอาชญากร  แต่กว่าผู้คนจะรู้ว่ามีความผิดปกติทางจิต   คนบริสุทธิ์ก็ต้องมาสังเวยอาการแกเป็นข่าวไปทั่วโลก
อเมริกามีข่าวแบบนี้มาหลายครั้งแล้วค่ะ   อย่างหนึ่งคืออาวุธปืนเป็นสินค้าที่ขายกันง่ายและเปิดเผย    ใครอยากซื้อก็ซื้อได้
อย่างที่สอง  ดิฉันสังเกตเป็นส่วนตัวว่า คนที่ก่อปัญหาแบบนี้มักเป็นพวกเงียบๆ มีโลกส่วนตัวสูง มากกว่าคนนิสัยเฮฮาชอบสมาคม 
อเมริกามีคนแบบนี้เยอะ   ส่วนหนึ่งสังคมของเขาทำให้คนอยู่กับความเปลี่ยวเหงามากเอาการอยู่เหมือนกัน    แต่เหมือนกับถูกกำหนดให้เชื่อว่าความเปลี่ยวเหงานั้นคือความเป็นส่วนตัว ซึ่งคนอเมริกันฝังหัวว่าเป็นค่านิยมที่ดี


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 12, 22:50
     ไม่รู้ว่าทางตะวันออกที่คุณตั้งเคยไปเรียน ชีวิตอยู่กันแบบไหน  แต่ในรัฐที่ดิฉันอยู่  ผู้คนเขาต่างคนต่างอยู่กันมาก    พอค่ำก็เข้าบ้านปิดประตูเงียบอยู่คนเดียว     นักศึกษาที่มีเพื่อนร่วมห้องอยู่ด้วยก็ค่อยยังชั่ว พอเห็นหน้ากันได้บ้าง   แต่ทุกคนก็อยู่แบบตัวใครตัวมัน  เป็นมิตรกันก็จริงตามมารยาทของคนอเมริกัน แต่ไม่คลุกคลีกัน
    นักศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก ยิ่งอยู่โดดเดี่ยวกันเข้าไปใหญ่   บางคนเช่าบ้านทั้งหลังอยู่คนเดียว   บางคนก็เช่าอพาตเม้นท์อยู่คนเดียว   มีหมาเป็นเพื่อน   วันๆไม่ได้พูดกับใครเลยก็มี  ถ้าไม่อยากพูดกับใครสักปีก็ไม่มีใครว่า  เพราะไม่มีใครเอาใจใส่ใคร
    คนที่จิตใจเข้มแข็งก็อยู่กันได้  แต่ถ้าจิตใจอ่อนแอหน่อยมักจะฟุ้งซ่านได้ง่าย    นอกจากนี้ยาเสพติดก็มีส่วนช่วยให้จิตใจอ่อนแอหนักเข้าไปอีก   
   ทางออกของพวกนี้คือมีแฟน อย่างน้อยก็มีใครสักคนเป็นเพื่อน   ยิ่งถ้าเป็นคนในชนบทเขาจะแต่งงานเร็วมาก  อายุยี่สิบต้นๆก็ลูกเข้าไปสองสามคนแล้ว   เพราะพวกนี้ไม่เรียนมหาวิทยาลัย จบไฮสกูลก็ทำงานเลย   เมื่อแต่งงานแล้ว ครอบครัวก็เป็นสังคมอย่างเดียวของพวกเขา  อยู่กันพ่อแม่ลูกจนลูกโตจบโรงเรียนออกจากบ้านไป ก็เหลือพ่อแม่อยู่กันสองคน ในบ้านที่เรียกว่า empty nest 
   จากนั้นก็อยู่กันสองคนจนชรา คนใดคนหนึ่งจากไปก่อน คนที่เหลืออยู่ก็อาจจะแต่งงานใหม่ในวัยทอง  ไม่แปลกอะไรที่จะทำเช่นนั้น เพราะแต่งงานเพื่อต้องการเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในบั้นปลาย   ทำให้ชีวิตมีชีวาขึ้นมาอีกครั้ง   เขาไม่อยู่จับเจ่าเหงาหงอยจนเฉาตายไปเอง
   เดินทางไปอเมริกาหลายครั้งเข้า ก็เก็บตกชีวิตฝรั่งมาได้แค่นี้ละค่ะ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ก.ค. 12, 15:17
   ธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งของคนอเมริกันในเมืองเล็ก  คือเวลาเดินสวนกัน   ถ้าเราไม่ได้สนใจจะมองเขาก็แล้วไป  แต่ถ้ามองหน้าเขาจะด้วยเหตุอะไรก็ตาม   เขาจะไม่ทำหน้าว่า "เอ๊ะ มองหาอะไร"   แต่เขาจะยิ้มให้นิดๆแล้วพูดว่า hello   ตามมารยาทเราก็ต้องยิ้มแล้ว hello ตอบ   
   แต่...
   แต่ก็เท่านั้นนะคะ   ไม่ต้องนึกว่าถ้าเขา hello มาแล้วเราจะต้องทักทายชวนคุยมากไปกว่านี้     และไม่ต้องนึกว่าหมอนี่หรือยัยนี่จะมาตีสนิทรึไง    เขาจะไม่สนใจมากไปกว่านั้น    ฝ่ายเราก็ไม่ต้องสนใจมากไปกว่านั้น     ขนาดเดินสวนกันอยู่ทุกวันเพราะบ้านติดกันก็ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่า hi  หรือ hello     
   แต่คนในเมืองใหญ่อาจจะไม่ค่อยทักทายกัน   เพราะชีวิตเร่งรีบในแต่ละวันทำให้ไม่มีเวลาจะสนใจ   หรือไม่ก็ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคนแปลกหน้า


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 ก.ค. 12, 20:09
ที่จอดรถที่เคยเห็นแถบเยอรมัน-ออสเตรียจะไม่ใช้มิเตอร์แยกคันต่อคันอย่างที่เคยเห็นในอเมริกาครับ แต่จะเป็นตู้หยอดเหรียญ ระบุเวลาที่ต้องการจอด จะได้ตั๋วมาใบหนึ่งเอาไปวางไว้บนคอนโซล นายตรวจนั้นจะมาเมื่อใดก็ไม่ทราบเพราะยังไม่เคยเห็นสักครั้งครับ
ในบางแห่งจะมีที่ป้ายพากย์ภาษาเยอรมัน อ่านไม่ออก แต่เดาได้ว่าจำกัดเวลาจอด ที่น่าสงสัยคือจอดได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตหรือบุคคลทั่วไป อันนี้เดาไม่ถูกครับ เดินไปด้อมๆมองๆรถคันอื่นๆ เห็นได้ว่าแต่ละคันจะมีป้ายกระดาษแข็งมีสัญญลักษณ์แสดงเวลาได้ทุกคัน ผมเดาเอาว่าต้องไปรับป้ายแบบนี้จากที่ไหนสักแห่ง จะเสียเงินหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่เมื่อเดินหาจนตากลับก็ยังหาไม่เจอ ก็ต้องขอความช่วยเหลือคนท้องถิ่นกันล่ะครับ
คุณลุงที่ผมไปถามก็ดีใจหาย พอผมถามว่าไอ้ป้ายจอดรถนี่ผมจะไปขอได้ที่ไหน แกก็ตอบอย่างไวว่า "อยู่ในรถของคุณน่ะสิ น่าจะมีในลิ้นชักนะ" เล่นเอาผมเหวอไปเลยว่าลุงแกมีตาทิพย์หรือเล่นกลเสกของใส่รถที่ผมเช่าเขามาขับได้อย่างไร
สรุปได้ว่า ไอ้เจ้าป้ายอย่างนี้ (parking card) เป็นอุปกรณ์ประจำรถทุกคันครับ เจอป้ายจอดฟรีมีกำหนดเวลาก็หมุนหน้าปัดเวลาให้ตรงกับเวลาปัจจุบัน วางไว้บนคอนโซลเป็นอันเสร็จธุระ ขอให้กลับมาก่อนหมดเวลาเป็นใช้ได้ครับ

ที่เล่ามานั้นถูกต้องแล้วครับ แต่จะขออนุญาตขยายความให้กระจ่างมากขึ้น ดังนี้ครับ

แต่ละเมืองในออสเตรียและเยอรมัน ดูจะมีข้อกำหนดในการจอดรถไม่เหมือนกัน มีทั้งแบบว่าอนุญาตให้เฉพาะคนที่มีถิ่นพำนักหรือมีถิ่นฐานอยู่ในเขต (ตำบล) ของเมืองนั้น หรือในเมืองนั้น สามารถจอดรถข้างถนนเพื่อทำธุระได้ (แบบจำกัดเวลา) พวกนี้จะมีต้องสติกเกอร์ติดหน้ากระจก เจ้าพนักงานที่ๆมีหน้าที่ตรวจตราเห็นแต่เพียงป้ายทะเบียนก็พอจะบอกได้แล้วว่าเป็นรถจากนอกเมืองนอกเขตมาจอดหรือไม่ เนื่องจากที่ป้ายทะเบียนจะมีตัวเลขแรกที่บอกว่าเป็นเมืองอะไร (ลำดับตามขนาดของเมือง)

สำหรับรถนอกเขตหรือแม้จะเป็นรถในเขตนั้นๆ บางที่ก็เป็นเรื่องที่วุ่นวายเหมือนกัน ระหว่างต้องไปซื้อตั๋วสำหรับจอดหรือไม่ต้อง คนต่างถิ่นจะไม่ค่อยรู้ เห็นเขาจอดได้ บางคันก็ไม่มีบางคันก็ตั๋วมีแปะที่กระจกรถ พอไปจอดเข้าละเป็นเรื่องอาจจะโดนใบสั่งเลยทีเดียว

ตั๋วจอดรถก็เหมือนกัน บางถนนก็เห็นตู้หยอดเหรีญที่จะไปซื้อเวลาจอด บางถนนตู้นี้อยู่ที่ใหนก็ไม่รู้ บางทีต้องเดินตั้งไกลกว่าจะพบ อยู่หัวถนนบ้าง ท้ายถนนบ้างก็มี ได้ตั่วแล้วก็ต้องเดินกลับมาที่รถเพื่อเอาตั๋วนั้นแปะไว้ที่กระจกรถ จึงจะไปทำธุระได้   หลายๆแห่งไม่มีตู้หยอดเหรียญขายตั๋วนี้ คนไม่รู้ระบบก็คงจะลำบากอยู่ทีเดียว  ต้องเดินไปซื้อที่ Tabac (บูทหรือร้ายขายของเล็กๆน้อยๆที่ขึ้นป้ายหราว่า Tabac ) ครับ จะซวยหน่อยก็หากมัวแต่ชักช้า เดินอ้อยอิ่งไปกลับ ก็อาจโดนใบสั่งในช่วงเวลานั้นได้

กรณีป้ายบอกเวลาที่เป็นนาฬิกานั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ของมีประจำในรถครับ  เป็นสิ่งของที่เจ้าของรถซื้อหามาเพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาเสียเงินค่าจอดไปจนถึงเวลาใด

ส่วนที่ไม่ค่อยจะเห็นเจ้าหน้าที่นั้น เขามีครับ แต่งนอกเครื่องแบบก็มีมาก อย่างที่เล่าครับว่า มันไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าที่ต้องใช้ตำรวจในเครื่องแบบเสมอไป 
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 26 ก.ค. 12, 21:54
การเดินทางเป็นหมู่คณะของเรามักจะให้บริษัททัวร์เป็นผู้ดำเนินการให้ หรือเราร่วมไปในโปรแกรมทัวร์นั้นๆ 

ผมคิดว่า คงจะพอทราบกันอยู่แล้วว่า บริษัททัวร์ของภายในของเราจะเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ คือเรื่องที่เกิดขึ้นภายในประเทศของเรา จนถึงขึ้นเครื่องบิน พอไปถึงปลายทางก็จะมีคนอื่น (บริษัทอื่น) มารับช่วงต่อ พาเราไปใหนต่อไหนจนถึงส่งเราขึ้นเครื่องบินกลับที่สนามบิน เขาเรียกบริษัทที่รับช่วงนี้ว่า Land operator ซึ่งมักจะมีคนไทยทำงานอยู่ด้วย อันที่จริง Land operator เหล่านี้ บางทีก็เป็นบริษัทของคนไทยที่ไปลงทุนร่วมอยู่กับคนท้องถิ่น ด้วยสภาพนี้จึงมีผู้จัดการคณะทัวร์ของเราที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องและสามารถจัดการอะไรต่อมิอะไรให้เราได้มากนักเมื่อเครื่องบินเหิรฟ้าพ้นแผ่นดินไทย  ก็เพราะที่ปลายทางจะมีผู้รับช่วงอยู่และดำเนินการต่อให้ในทุกๆเรื่อง

ผมพอจะรู้เรื่องบ้างก็เพราะต้องเข้าไปเกี่ยวพันในการจัดโปรแกรมให้คณะดูงานต่างๆบ่อยครั้งมากๆ จนเกือบจะเป็น land operator ตัวจริงไปแล้ว

จะขอต่อพรุ่งนี้ครับ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ก.ค. 12, 22:12
เคยไปทัวร์แบบนี้ค่ะ  พอปลายทางเขาก็มีทัวร์ท้องถิ่นมารับผิดชอบ   แต่ไกด์คนเดิมของเราก็ยังร่วมคณะไปด้วย และมีมัคคุเทสก์ท้องถิ่นพาชมสถานที่ต่างๆ  เรียกว่า local guide
ตอนไปทัวร์โบราณสถานวัดวาอารามต่างๆในอังกฤษก็มีไกด์ท้องถิ่นเป็นคุณป้าชาวอังกฤษ   ซึ่งทำงานอย่างเอาจริงเอาจังมาก   พร้อมจะอธิบายให้ฟังถึงเรื่องหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ต่างๆตามโปรแกรมทัวร์ ที่บรรจุเรื่องเหล่านี้ไว้ยาวเหยียด    เธอไม่รู้ฤทธิ์พี่ไทย  ขนาดมาโปรแกรมที่เขาพาเที่ยวดูวัฒนธรรม    ยังเลี้ยวไปดู Mark & Spencer กันได้หมด  เหลือแต่ไกด์กับหัวหน้าทัวร์เลี้ยวไปหอศิลป์กันสองคน 
วันสุดท้ายเมื่อกลับลอนดอน ไม่เห็นคุณป้าไกด์  พนักงานขับรถบอกว่าเธอเครียดจัด  ไมเกรนกำเริบเลยต้องลากลับบ้าน ไม่กลับมาส่งพวกเราที่ลอนดอน

ตั้งใจฟังว่า land operator เจออะไรบ้าง  ไมเกรนรับประทานบ้างหรือไม่


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 ก.ค. 12, 19:08
^
ใช่เลยครับ รายการหลักของทัวร์ไทย คือ shopping

เคยได้ยินว่า เขามีความตกลงที่มีความผูกพันเชิงกฎหมาย (Legal binding) ระหว่างประเทศต่างๆว่า คณะนักท่องเที่ยวในรูปของทัวร์ที่ไปท่องเที่ยวในแดนของประเทศใดจะต้องใช้ไกด์ของประเทศนั้น ดังนั้น จึงมีบริษัททัวร์ของไทยที่เป็นบริษัทเล็กๆจัด package ทัวร์อยู่มากมาย เหนื่อยเฉพาะการทำเรื่องในประเทศไทย แต่ไม่ต้องเหนื่อยเมื่อเดินทางไปถึงปลายทางแล้ว เมื่อเกิดผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างบริษัทต้นทางกับปลายทาง ฝ่ายหนึ่งได้กำไรจากต้นทาง อีกฝ่ายหนึ่งได้กำไรจากการรับที่ปลายทาง เมื่อเป็นรายได้ของทั้งคู่ธุรกิจ ทุกอย่างก็เกิดขึ้นได้ ส่วนจะผูกพันกันนานไปเพียงใดนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หากสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่า package ทัวร์จะซ้ำๆกันและยืนยงอยู่พอสมควร  โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และร้านอาหารก็จะไม่แตกต่างกันไปเพียงใด    ทั้งหมดนี้มีพื้นฐานมาจากไม่กี่เรื่อง  จะไม่เล่าขยายความนะครับ   

เมื่อเส้นทางและสถานที่ไปท่องเที่ยวซ้ำๆกัน ประกอบกับการสื่อสารด้วยภาษากลาง (ภาษาอังกฤษ) ที่คนในคณะทัวร์ไม่สันทัด หัวหน้าทัวร์ก็ต้องก็เลยต้องเป็นผู้เล่าเรื่องต่างๆแทนไกด์ท้องถิ่น  ไกด์ท้องถิ่นก็เลยสบาย แต่เป็นความสบายที่ผนวกไปด้วยความเซ็งแบบสุดๆ คือ ต้องนั่งร่วมไปกับคณะทัวร์ตามความตกลงที่เล่ามา โดยที่ไม่รู้เรื่องที่หัวหน้าทัวร์เล่าให้ลูกทัวร์ฟังเลย  หน้าที่ของไกด์ท้องถิ่นนั้น นอกจากจะต้องนั่งร่วมไปในรถแล้ว ก็มีหน้าที่เพียงนำพาไปยังสถานที่ท่องเที่ยว จัดการซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ และประสานกับร้านอาหารที่คณะทัวร์จะไปกินมื้อเที่ยงและมื้อเย็น   

กรณีเหตุการณ์ที่คุณเทาชมพูเคยพบนั้น เกิดขึ้นบ่อยเหมือนกัน คิดว่ามาจากหลายสาเหตุ ที่ผมได้ประสบพบมาในระหว่างการทำงานประสานในเรื่องการดูงานของราชการ คือ ประการแรก เนื่องจากเป็นการทัวร์ที่ไม่ใช่เส้นทางและสถานที่ตามปรกติที่บริษัททัวร์ของไทยนั้นๆเคยจัด (ไม่รู้เรื่องดีพอ หรือ ยังไม่สันทัด)   ประการที่สอง เนื่องจากหัวหน้าคณะทัวร์ของไทยเป็นคนใหม่ที่ยังไม่สันทัด หรือ เป็นบริษัททัวร์ที่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ (มักจะเป็นบริษัทของลูกหลานของคนในคณะทัวร์เอง)  ประการที่สาม เนื่องจากไกด์ท้องถิ่นนั้นๆมีความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างจริงจัง ในหลายๆครั้งเขาก็รู้ดีนะครับว่า ทัวร์ไทยนี้มุ่งจะ shopping เป็นหลัก ก็เลยพยายามจะยัดเยียดเรืองราวของประเทศของเขาให้เราได้รับรู้บ้าง

อาการเบื่อหน่ายของไกด์ท้องถิ่นที่ต้องไปกับคณะทัวร์ไทยนั้น ผมเห็นแทบจะทุกครั้งที่ต้องเข้าไปสัมผัสและร่วมไปกับคณะทัวร์ทางราชการต่างๆ   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 28 ก.ค. 12, 21:10
สาเหตุที่ผมต้องเข้าไปสัมผัสและยุ่มย่ามกับเรื่องทัวร์นี้  ก็เนื่องมาจากการดูงานของฝ่ายราชการไทยที่จัดกันในวาระต่างๆในโครงการต่างๆที่จะต้องมีเรื่องของการไปดูงานต่างประเทศ ซึ่งเพื่อความสะดวกเขาก็ให้บริษัททัวร์เป็นผู้ดำเนินการทั้งระบบ ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม อาหาร เรื่องที่อยากจะดูงาน เส้นทางการเดินทางที่อยากจะไป ฯลฯ     ข้อกำหนดในลักษณะนี้ บริษัททัวร์มีเรื่องจนปัญญาอยู่เรื่องเดียว คือ สถานที่ๆจะไปดูงาน     สำหรับกรณีเรื่องที่จะไปดูงานนั้น ก็ดูจะมีไม่กี่เรื่องตามโครงการอบรมที่ลอกกันไปมาและนิยมกันเป็นยุคๆ ซึ่งก็จะง่ายสำหรับบริษัททัวร์ เนื่องจากเคยติดต่อเคยพาไปแล้ว จึงสามารถเสนอให้ผู้ดำเนินการฝึกอบรมทำหนังสือเป็นทางการเพื่อการประสานอย่างเป็นทางการ ส่วนในรายละเอียดบางอย่างก็ให้บริษัททัวร์ประสานต่อไป    สถานที่ดูงานบางแห่งมีคณะจากไทยไปขอดูงานปีละสองสามครั้งก็มี รวมๆกันแล้วมีทุกปีและเป็นเวลาหลายปีต่อเนื่องกัน แถมยังมาจากหน่วยงานเดียวกันอีกด้วย   แรกๆเมื่อผมต้องเข้ามาช่วยประสานงานนั้น (ด้วยหน้าที่และการรับมอบหมาย) ครั้งแรกก็ไม่เจออะไร แต่ต่อมาก็เจอฝ่ายผู้รับพูดเสียดสีเอาจนเรานี้หน้าม้านไปเลย เขาว่ามาดูงานกันหลายรอบแล้ว จากหลายหน่วยงาน ในประเด็นเรื่องเดียวกัน หลายปีมาแล้ว แล้วยังไม่มีการทำอะไรต่อไปกันบ้างหรือ        ผมเคยเจอขนาดที่เขาถามว่า ตกลงจะให้เขารับคณะใดกันแน่ อันใหนจริงอันใหนปลอม หรือจริงทั้งสองเรื่อง เนื่องมาจากมีจดหมายติดต่อขอมาดูงานจากกรมเดียวกัน ในเรื่องเดียวกัน ต่างคณะกัน ลงนามโดยอธิบดีคนเดียวกัน ในช่วงเวลาติดๆกัน 

ด้วยสภาพดังที่เล่ามานี้  บริษัททัวร์ที่เป็น land operator เขาก็คงเซ็งและอยากจะเสนอที่ใหม่ๆบ้าง เพื่อที่บริษัทจะได้รับงานต่างๆอีกต่อๆไป  ผนวกกับที่ผมก็เจอสภาพดังที่เล่ามา ผมก็ประสานกลับผ่านทางระบบราชการบ้างผ่านทางระบบไกด์ท้องถิ่นบ้าง เสนอแหล่งใหม่ๆ  อือ น่าสนใจทั้งฝ่ายผู้จัดดูงานและบริษัททัวร์ทั้งสองฝ่าย ก็เลยมีสถานที่แปลกๆเพิ่มขึ้น ผมก็สนิทสนมกับพวก land operator มากขึ้น หลายครั้งหากเป็นทัวร์ของผู้บริหารระดับสูงและฝ่ายการเมือง ผมก็แนะนำร้านอาหารบ้างและสถานที่ๆพึงไปและจะได้ความรู้บ้าง (จากการเห็น) รวมทั้งแหล่ง shopping ที่มิใช่ห้างบ้าง อย่างน้อยที่สุด ผมก็คิดว่าน่าจะต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้างจากการที่ได้เห็น ผนวกกับเรื่องที่ผมอาสายืนเล่าเรื่องและข้อสังเกตต่างๆอยู่ในรถทัวร์  ผมเสียดายเงินหลวงครับ  ไกด์ท้องถิ่นก็ได้ความรู้ไปฝอยต่อให้ลูกทัวร์คณะอื่นๆ  ก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นบ้าง ดีกว่า shopping เฉยๆ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ก.ค. 12, 21:26
ตั้งใจจะต่อความจากคุณตั้งเรื่องการดูงานของคนไทย  พิมพ์มา 3 ครั้งเกิดเซ็งขึ้นมาทั้ง 3 ครั้งเลยลบทิ้ง  ขอเป็นฝ่ายฟังคุณตั้งเล่าดีกว่าค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ค. 12, 21:29
เล่าเรื่องอื่นสลับฉากบ้างค่ะ
วิธีเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่ได้ใช้บริการทัวร์ คือเช่ารถ(หรือถ้ามีรถของตัวเองก็ยิ่งดี) ขับกันไปเอง  ค่ำไหนนอนนั่น     ถ้าเป็นอเมริกา วิธีนี้สะดวกมาก ถ้าจะท่องเที่ยวกันไปตามรัฐต่างๆ เพราะความสะดวกสบายด้านหาที่พักและที่กินมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง    แต่จะต้องอาศัยคนขับที่ทรหดหน่อย เนื่องจากแต่ละรัฐใหญ่พอๆกับประเทศเล็กๆอย่างไทย 1 ประเทศ    เมืองแต่ละเมืองก็ห่างกันมาก  ที่ท่องเที่ยวก็ยิ่งห่างกันหนักไปอีก  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนขับอาจต้องขับตั้งแต่เช้าถึงดึก กว่าจะเจอที่พัก

ถนนหนทางในอเมริกาเป็นถนนกว้างใหญ่ชั้นดี  ถนนระหว่างรัฐก็ราบเรียบ   และเกือบ 100% เป็นทางวันเวย์    ทางที่สวนกันคือทางเล็กๆในชนบทที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยจะไปกันอยู่แล้ว  เว้นแต่อยากจะดั้นด้นไปเสาะหากันจริงๆ    แต่ทั้งๆที่ราบเรียบแสนสะดวกเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าจะไม่หลงทาง     ดิฉันกับพรรคพวกเคยหลงกันเรียกว่าหลงเป็นเมืองๆไปเลย   ถ้าหากว่ารถวิ่งกันค่ำมืด  ดูป้ายข้างทางไม่ทัน     แล้วถ้าหากว่าเลยไปแล้ว  หาทางวกกลับมายากเพราะมันเป็นทางวันเวย์  จะกลับมาได้ต้องวิ่งไปเจอเส้นทางให้กลับได้เสียก่อน  ส่วนใหญ่กว่าจะเจอตรงนี้ก็มักจะไปถึงอีกเมืองเรียบร้อยแล้ว   

ปัจจุบัน เรามีเครื่องมือบอกระยะทาง GPS  ติดเอาไว้ในรถก็ช่วยได้เกือบเต็มร้อย    แต่ไม่ถึงร้อยเพราะบางทีไปแจ๊กพ็อทเจอมันบอกผิดเข้าก็มีเหมือนกัน   ถึงกระนั้นก็ควรจะมีอย่างยิ่ง   เพราะวิ่งข้ามรัฐกันระยะทางหลายร้อยไมล์  อาศัยแผนที่อย่างเดียวดูไม่ทันแน่นอน
GPS  เป็นสิ่งจำเป็นในการเดินทาง  ส่วนอาหารการกินไปหาเอาข้างทางได้ไม่ยาก   แต่ใครกินอาหารฝรั่งไม่ได้จะเอาข้าว หรือก๋วยเตี๋ยวผัดใส่กล่องติดรถไปก็ไม่ผิดกติกาอันใด     

อีกเรื่องหนึ่งคือโรงแรมที่พัก  ขอแนะนำโรงแรมเล็กๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในเมืองเล็กรายทาง     แวะพักสะดวกกว่าโรงแรมใหญ่     และราคาถูกกว่าด้วย    โรงแรมเล็กได้เปรียบอีกอย่างคือมักเป็นโรงแรมใหม่  ดังนั้นห้องหับจึงใหม่ทันสมัย สีสันสดใสกว่า อุปกรณ์ห้องน้ำก็สะอาดเอี่ยมอ่อง   ทำให้พักได้สบาย     แล้วก็มักจะมีเพียงสองชั้น  จึงไม่ต้องกลัวว่าไฟไหม้แล้วจะวิ่งลงบันได 10 ชั้นไม่ทันอย่างโรงแรมใหญ่     บางแห่งมีสระว่ายน้ำภายในตัวโรงแรมให้ลงว่ายในน้ำอุ่นได้ด้วย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 ก.ค. 12, 18:29
^
ใช่ครับ ขับรถเที่ยวเองสนุกกว่ามาก 
ในอเมริกานั้นมีระบบถนน Interstate สำหรับใช้ในการขับระยะทางไกลๆระหว่างเมืองและระหว่างรัฐ แล้วก็ีระบบถนนเชื่อมระหว่างเมืองภายในรัฐ คิดว่าเรียกว่า Highway ไม่ทราบว่าบนถนนเหล่านี้ยังคงมีการจำกัดความเร็วที่ 55 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือไม่ครับ    ด้วยความเร็วคงที่ ถนนราบเรียบ มีวิวสวยงามข้างถนน หากวิ่งอยู่ในที่ราบกลางประเทศก็จะเห็นพื้นที่ราบเรียบไปจนสุดขอบฟ้าเลยทีเดียว แถมหากใช้ Cruise control ของรถอีกด้วย ก็ต้องระวังอาการเข้าสู่ภวังค์ หลับไนต่อไป  วิธีแก้ที่มักใช้กันก็คือ มีเพื่อนนั่งไปด้วย หรือไม่ก็ต้องเปิดวิทยุฟังเพลงเสียงดังๆ และอย่างหนึ่งก็คือการเล่นเอาเถิดกับตำรวจ เช่น ขับรถด้วยความเร็วมากกว่าที่กำหนดตามกันไปเป็นขบวน หรือขับเร็วตามติดพวกรถ Trailer  รถพ่วงเหล่านี้เขามีวิทยุติดต่อกันตลอดเวลา บอกกันหมดว่าตำรวจอยู่ที่ใหนบ้าง มากกว่านั้นรถพ่วงเหล่านี้ยังมีเครื่องจับสัญญาณคลื่นเรดาร์ของตำรวจที่ใช้จับความเร็วอีกด้วย

เรื่องน่ากลัวที่ผมเคยพบบนถนนเหล่านี้ คือ Minimum speed ในช่วงที่ทัศนวิสัยไม่ดี  เคยขับเข้าในหน้าหนาว หมอกหนาแน่นมองแทบไม่เห็นอะไรเลย นอกจากป้ายสะท้อนแสงกลมๆที่ปักไว้เป็นระยะๆข้างทาง เพื่อช่วยบอกขอบถนน ความเร็วต่ำสุดที่ขอให้ขับคือ 40 ไมล์ต่อชั่วโมง มิฉะนั้นรถคันหลังอาจจะชนท้ายได้ ผมลองไล่ตามพวกรถพ่วง หวกนั้นขับในระดับ 70 ไมล์ต่อชั่วโมงเลยทีดียว ขับตามไม่ไหวครับ เร็วเกินไป     แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง เพื่อนที่ขับรถรู้สึกง่วง ก็จอดข้างทางเพื่อเปลี่ยนคนขับ พอจอดสนิท ตำรวจก็มาจ่อท้ายรถพอดี ไม่รู้ว่าโผล่มาจากใหน เร็วจัง จะลงจากรถก็ไม่ได้ ต้องรอตำรวจเดินมา คนหนึ่งคุมเชิงอยู่ที่รถตำรวจ อีกคนเดินมาที่ประตูด้านคนขับ บอกเหตุผลไปว่าจอดทำไม ตำรวจบอกว่า ให้ขับไปถึง Rest area จึงค่อยเปลี่ยน ยังนึกเลยว่าแล้วมันจะมิอันตรายมากไปหรือที่จะขับต่อไป     แล้วก็อีกเรื่องหนึ่งคือ ถนนที่ใกล้จะเข้าเขตเมืองจะเป็นถนนขนาดใหญ่มากๆตามที่คุณเทาชมพูเล่ามา ยิ่งจะเข้าเมืองก็ยิ่งใหญ่ขึ้น สมัยผมเรียนหนังสือก็ปาเข้าไปตั้ง 10 เลนไป 10 เลนมา แล้ว ป้ายบอกเส้นทางขวางเป็นแผงลอยตะหง่านเต็มจากขอบถนนถึงขอบถนน อ่านไม่ทันเลยครับ แถมเปลี่ยนเลนก็ยากเข้าไปอีก
อันนี้คงต้องใช้คำว่าทารุณสำหรับคนที่ิมิได้อยู่ในพื้นที่นั้นๆ

มาแย่งพื้นที่เรื่องในอเมริกาของคุณเทาชมพูไปเสียแล้ว ขออภัยครับ  ;D ;D  ไปเล่าในเรื่องของยุโรปเปรียบเทียบดีกว่านะครับ  ;D
     
     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 ก.ค. 12, 19:35
ในยุโรปไม่มีระบบถนนแบบ Interstate ของสหรัฐฯ มีแต่แบบ Highway ที่เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย ใช้ในการสัญจรข้ามไปมาระหว่างประเทศต่างๆ  ระบบถนนทั้งสองแบบนี้ให้ความรู้สึกในการขับรถที่ต่างกัน ถนนดีเหมือนกัน ป้ายบอกทางดีเหมือนกัน (แต่ในปรัชญาที่ต่างกัน)

จำกัดความเร็วบนถนนอยู่ทีื่ 120 กม.ต่อ ชม. ขับสบายๆโดยไม่มีปัญหาใดๆคือ 130 กม. ซึ่งก้ำกึ่งระหว่างเร็วเกินหรือไม่ ขีดจำกัดที่แท้จริงอยู่ที่ 140 กม.ต่อ ชม.   เพื่อแก้ความเซ็ง ถนนเหล่านี้ก็จะมีบางช่วงที่ขยายเป็น 8 หรือ 10 เลน (ไปกลับ) ระยะทางคงจะประมาณ 10 -15 กม. สำหรับปล่อยผี ปลดความง่วงเหงาหาวนอน ให้ห้อกันให้เต็มที่แบบไม่จำกัดความเร็ว ไม่มีการตรวจจับ  ผมขับที่ 170+ ยังต้องชิดซ้าย (คือไปอยู่ในเลนที่ถัดมาจากเลนทั้ใช้ความเร็วต่ำสุด) ผมคิดว่าเขาขับกันในระดับ 200++ เลยทีเดียว

ระยะของแต่ละ Rest area อยู่ไม่ห่างไกลมากเท่ากับในอเมริกา ความสะอาดของห้องสุขาก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ที่สุดๆของความสะอาดอยู่ในออสเตรียครับ  rest area หลายๆแห่งตั้งอยู่ในบริเวณที่มีวิวสวยมากๆ มีร้านอาหารดีๆ ซึ่งอร่อยมากพอที่คนจะขับรถไปนั่งชมวิวกินอาหารกันเลยทีเดียว เป็นอาหารแบบกึ่งจานด่วนกึ่งภัตตาคาร 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 12, 20:00
ในอเมริกา ถนน Interstate  หรือแม้แต่ highway บางช่วง อนุญาตให้เหยียบได้ถึง 75 ไมล์  (กรุณาคิดเป็นกิโลเมตรเอง  ดิฉันคิดไม่ถูกค่ะ)  เส้นทางถนนพวกนี้ วิศวกรเขาตัดตรงมาก  อย่างในรัฐแคนซัส มองไปข้างหน้าเห็นถนนเป็นเส้นตรงไปจนสุดขอบฟ้า  บางส่วนเป็นเนินเขา ก็ยังตรงแน่วขึ้นเนินเหมือนเดิม     
ถนนตรงนี้จะว่าดีก็ดีคือมันไม่โค้งไปโค้งมา  ซึ่งทำให้ต้องเดี๋ยวเร่งเดี๋ยวชะลอ   แต่จะว่าเสียก็เสียคือขับไปเรื่อยๆสักพักจะง่วง  เพราะวิ่งไปไกลขนาดไหนก็เหมือนวิ่งอยู่กับที่  เพราะทุกอย่างมันเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง     
นอกจากนี้ มันก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงอยู่แค่ครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง  มันตรงอยู่อย่างนั้นตั้งแต่เช้าถึงเย็น    ถ้าคนนั่งไม่ชวนคุยหรือชวนทะเลาะด้วยแล้ว  คนขับจะหลับในกันไม่รู้ตัว

ขับรถในอเมริกาจึงเหนื่อยมาก ทั้งๆทางแสนดีวิเศษ ราบเรียบราวกับนั่งพรมวิเศษของอาละดินก็ไม่ปาน    แต่มันเหนื่อยเพราะไกลอย่างหนึ่งละ  และความเยี่ยมยอดของถนนที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ทำให้เครียด  หรือสัปหงกได้ง่าย      สรุปว่าหลังจากตะลุยกันสนุกสนาน  กลับมาถึงบ้าน ก็ไม่มีใครชวนใครขับรถทางไกลอีกเลย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 30 ก.ค. 12, 20:15
ในอังกฤษ
ถ้าเป็นในเมืองหรือเขตชุมชน ห้ามเกิน 30 ไมล์/ชม. = 48 กม/ชม.
ถนนระหว่างเมือง จะกำหนดความเร็วสูงสุดไม่เกิน 50 ไมล์/ชม.  = 80 กม/ชม.
ถ้าเป็นถนน motorway อนุญาตให้วิ่งได้สูงสุด 70 ไมล์/ชม. ครับ แปลงเป็น กม ก็ประมาณ 112 กม/ชม.


แต่การจะโดนจับปรับขับเร็วเกิน ที่นี่เค้ามีกฏว่า ความเร็วสูงสุดที่อนุญาต + 10% + 2
เช่น motorway 70 ถ้าขับไม่เกิน 70+7+2 = 79 ก็จะยังไม่โดนจับครับ แต่ 80 เมื่อไหร่ ถ้ามีกล้องหรือมีตำรวจดักก็ไม่รอด
80 นี่ก็แค่ 128 กม/ชม  เท่านั้นครับ

ผมเคยขับเร็ว 36 ไมล์/ชม บนถนนในเมืองตอนห้าทุ่มครึ่ง ที่เค้ากำหนดให้ไม่เกิน 30  ถ้าขับ 35 (30+3+2) ก็ไม่โดนแล้ว
ขับเร็วเกินไปไมล์นึง โดนกล้องถ่ายจับได้ ต้องไปลงเรียนหลักสูตรการขับรถอย่างปลอดภัยครึ่งวัน แลกกับการไม่โดนตัดแต้มในใบขับขี่ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ก.ค. 12, 20:53
ในอเมริกา ขับรถเร็วเกินไปก็โดน  ขับรถช้าเกินไปก็ไม่ได้เหมือนกันนะคะ    เพราะมันจะไปกีดขวางรถคันอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อขับบนทางไฮเวย์
ป้ายจำกัดระยะทางเป็นเรื่องต้องเคร่งครัดกันมาก  อย่างเวลาผ่านโรงเรียน  ถ้าป้ายบอกว่าให้จำกัดความเร็วไม่เกิน 20 ไมล์   ก็ต้องลดความเร็วลงให้งุ่มง่ามไปแค่นั้น   อย่าได้ชะล่าใจว่าเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นเด็กนักเรียนสักคน เพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน ก็สามารถเหยียบได้ตามปกติ   รับรองว่าเสร็จค่ะ   ต่อให้ถนนตรงนั้นว่างไม่มีมนุษย์เลยสักคนก็ต้องลดความเร็วจากกระต่ายเป็นเต่าอยู่ดี   
กฎก็คือกฎ

ในเมืองที่อยู่ ถนนหนทางตอนสร้างเมืองตัดกันเป็นตารางหมากรุก ทำให้เกิดสี่แยกทุกช่วงถนน     ที่นี่มีไฟแดงเฉพาะบางแห่งที่เป็นเส้นทางใหญ่   แต่สี่แยกเล็กๆเขาใช้วิธีปัก stop sign คือป้ายสีแดงเขียนว่า "หยุด" ตรงทางโท   เพื่อให้รถที่มาจากทางเอกได้แล่นผ่านไปได้ก่อน     ไม่งั้นต่างคนต่างไม่หยุดก็จะชนกันยับเยินไปเท่านั้น
ความเคร่งครัดของที่นี่คือต่อให้สี่แยกนั้นไม่มีรถอื่นสักคัน     ขับรถมาเจอ stop sign ก็ต้องหยุดสนิทนิดหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวามองไม่เห็นรถอื่น(รวมทั้งตำรวจ) แล้วจึงพารถเคลื่อนผ่านไปได้     ไม่สามารถจะขับเอ้อระเหยผ่านไปโดยไม่หยุด อย่างที่เราทำกันเป็นปกติในบ้านเรา
อยู่อเมริกานานๆเข้าก็เบื่อเหมือนกัน  เพราะประเทศเสรีที่สุดในโลกอย่างที่นี่เอาเข้าจริงก็มีกฎระเบียบเคร่งครัดไปหมด   เพื่อจะไม่มีใครละเมิดสิทธิ์ใครได้   ไม่ต้องนึกถึงเรื่องอื่น แค่กฎจราจรก็ทำเอาเกร็งไปหมดแล้วค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 31 ก.ค. 12, 18:37
ในแผ่นดินใหญ่ยุโรป (ไม่ทราบในสเปนและปอร์ตุเกต)   กำหนดความเร็วรถบนทาง Highway หรือ Autobahn เหมือนๆกัน คือ ไม่เกิน 120 กม./ชม. และใช้กับถนนที่แยกเป็นข้างละสองหรือสามเลนที่มีร่องคูคั่น หากเป็นถนนสี่เลนสวนกันแบบมีราวกั้นแยกก็จะจำกัดที่ 80 กม./ชม. กรณีเป็นถนนสองเลนเชื่อมระหว่างเมือง หากเป็นนอกเขตเมืองก็จะจำกัดที่ 80 กม./ชม. บ้าง 60 กม./ชม.บ้าง ขึ้นอยู่กับสภาพของถนนหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณนั้นๆ เมื่อผ่านเข้าเขตเมืองจะให้ใช้คามเร็วได้ไม่เกิน 50 กม./ชม. และหากเป็นถนนในตัวเมืองซึ่งมักจะแคบกว่าปรกติก็จะจำกัดที่ไม่เกิน 30 กม./ชม.    เมื่อใดที่มีป้ายจำกัดความเร็ว 80 กม./ชม. รวมทั้ง 50 และ 30 กม./ชม. จะมีการตรวจจับแบบเคร่งครัดมาก แต่ก็จะไม่มีการจับในระหว่างการขับขี่ จะมีหมายส่งมาให้ไปเสียค่าปรับในภายหลัง หากเราจะแย้งเขาก็จะให้รูปถ่ายมาดู  ขับรถในแผ่นดินใหญ่ยุโรปจึงไม่ค่อยจะเห็นตำรวจ จะเห็นตำรวจก็เฉพาะบน Autobahn ที่จะมีการวิ่งไล่กวดจับกัน

ที่ผมชอบก็คือ การใช้ภาพตำรวจยืนยิ้มตะเบะวางตั้งอยู่ชายเขตเมือง (ไม่ใช่เป็นหุ่นเหมือนจ่าเฉยของเรา) ใช้เป็นการเตือนเรื่องการจำกัดความเร็วว่าเข้าเขตบังคับจำกัดแล้วนะ     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 31 ก.ค. 12, 19:17
ในญี่ปุ่นไปอีกแบบหนึ่ง
ความเร็วจำกัดตามกฎหมายบนถนนต่างๆ คือ 80 กม./ชม. แต่อนุญาตให้ใช้ความเร็วได้ถึง 120 กม./ชม. บน Highway   ซึ่งจะเริ่มจับจริงๆเมื่อขับถึงระดับ 140 กม./ชม.  ในวันทำงาน ถนน Highway เชื่อมระหว่างเมืองใหญ่ๆแม้รถจะมากแต่ก็ค่อนข้างจะไหลได้ดี  คนทำงานจะใช้รถไฟเป็นหลัก  แต่พอวันหยุดและเสาร์อาทิตย์ คนจะเอารถออกมาขับออกกำลังทำให้รถติดมากกว่าปรกติ ยิ่งเป็นวันหยุดยาวตามเทศกาลต่างๆ  อย่าใช้รถเลยครับ ติดมหาโหดยาวเป็น 60 กม.ก็มีเป็นประจำ

อันที่จริง การเดินทางไปใหนมาใหนในญี่ปุ่น ใช้รถไฟดีที่สุด     โดยประมาณนะครับ อยู่นอกเมืองไปเป็นหลักร้อยกิโลเมตร หรือหลักครึ่งร้อยกิโลเมตร หรือชานเมือง ต่างก็ใช้เวลาเข้าถึงเมืองไปถึงสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ในเวลาประมาณ 1 ชม.   รถไฟเขาก็มีแบบรถธรรมดา รถด่วน และด่วนพิเศษ  รถไฟ Shinkansen  ก็มีแบบธรรมดา ด่วน และด่วนพิเศษเหมือนกัน ค่าโดยสารก็ต่างกันไม่มาก ระยะเวลาการเดินทางปรกติก็ต่างกันไม่เกิน 30 นาที

สำหรับท่านที่คิดว่าจะใช้ตั๋วแบบ Europass ซึ่งในญี่ปุ่นนั้น คือ JR pass นั้น หากไปโตเกียวแล้วไม่เดินทางไปเที่ยวโอซากา เกียวโต นารา ฟูกูโอกะ หรือไปที่อื่นไกลๆ ก็อย่าซื้อใช้ JR pass เลยครับ ไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปจริงๆ   
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปโอซากาและค้างแรม ถูกกว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย (พักโรงแรมดีๆ กินอาหารอร่อยๆเป็นเวลาสองสามวัน ตามที่ทัวร์จัดให้นั้น) ไม่มากนัก  คนญี่ปุ่นจึงมาเที่ยวไทยกันค่อนข้างมาก ปีหนึ่งๆก็อยู่ในระดับ 1.2-1.4 ล้านคน 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 ก.ค. 12, 19:40
ชอบรถไฟและรถไฟฟ้าของญี่ปุ่นเรื่องตรงเวลาเป๊ะด้วยค่ะ      นอกเหนือไปจากชอบรถความเร็วสูงชิงกันเซ็น ที่นั่งสบายและรวดเร็ว  เพิ่งถูกตัดหน้าไปด้วยจีนเมื่อไม่นานมานี้เอง    ไปนั่งแล้วก็อดหวังไม่ได้ว่ารถไฟของเราจะพัฒนาให้ทันเขาบ้าง  เพราะสยามมีรถไฟมาก่อนหน้าเขา
เคยไปเมืองเล็กๆของญี่ปุ่นนอกโตเกียว จำชื่อไม่ได้แล้ว  จำได้แต่ว่าถนนสายเล็กๆในเมืองนั้นแคบพอๆกับตรอกซอกซอยของเรา แต่รถเขาวิ่งกันได้เร็วมาก      คงเป็นเพราะทางเขาไม่มีแยกเป็นซอยเล็กซอยน้อยให้มอเตอร์ไซค์โผล่พรวดออกมาได้ทุกช่วงอย่างซอยบ้านเรา จึงไม่ต้องระวังต้องลดความเร็ว    ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกหรือเปล่านะคะ  คุณตั้งอยู่ญี่ปุ่นนานคงอธิบายได้ละเอียดกว่า

ในอเมริกาก็มีรถไฟเหมือนกัน  แต่รัฐทางตะวันตกดูเหมือนจะไม่ฮิทกันนัก   ทุกบ้านมีรถยนต์ก็นิยมขับรถไปตามเส้นทางระหว่างรัฐ เพราะสะดวกสบายกว่า   ดิฉันตั้งใจจะนั่งรถไฟเที่ยวมาหลายครั้งแล้ว ไม่มีใครเห็นด้วย    บอกว่าทิวทัศน์สองข้างทางไม่มีอะไรให้ดูเลย น่าเบื่อ     ก็เลยได้แต่ไปนั่งรถไฟย้อนอดีตที่เคยใช้ขนถ่านหินในเหมือง   เขายังเก็บเส้นทางช่วงสั้นๆไว้ให้นักท่องเที่ยวนั่งกัน  ส่วนใหญ่ผู้โดยสารก็คือเด็กที่ครูในโรงเรียนพามาทัศนศึกษา
ถ่ายรูปไว้เหมือนกันแต่เก็บไว้ใน external hard disk  ไม่อยากไปค้น  เอารูปจากอินทรเนตรมาลงให้ดูกันก่อนค่ะ

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 01 ส.ค. 12, 19:05
พูดถึงรถไฟญี่ปุ่น ก็นึกถึงชิงกันเซนและก็อดเศร้าใจกับรถไฟไทยไม่ได้ ความจริงเส้นทางรถไฟในไทยก็สวยงามแต่สิ่งที่แย่คือ โบกี้รถไฟที่ด้อยคุณภาพ

ราวกับไม่เคยได้รับความสนใจในการพัฒนาเลย ทั้งเก่าทั้งโทรม ....ความจริงรถไฟที่ญี่ปุ่นที่เป็นเส้นทางสายสั้นๆหน้าตาเหมือนรถไฟบ้านเราก็ยังมีใช้อยู่

แต่เขาจะดูแล ให้มีสีสันสวยงาม สะอาดตา ไม่น่ากระอักกระอ่วนใจถ้าจะใช้บริการ

ส่วนชิงกันเซนเขามีถึงขนาดเป็นรถไฟ 2 ชั้นแล้ว อีก 100 ปี เราจะตามเขาทันไหม เมื่อหันไปดูเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ที่รถไฟไทยไม่ไปไหนเลย...


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 01 ส.ค. 12, 19:26
รูปรถไฟในณี่ปุ่นที่ไม่ค่อยได้เห็นมาเพิ่มเติมคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 01 ส.ค. 12, 19:29
อยากเห็นรถไฟไทยเหมือน 2 รูปบนก็ดีใจแล้ว ....  :-\


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 01 ส.ค. 12, 19:31
ขอส่งรูปมาให้ดูเล่นอีกสักรูป เดาได้ไหมคะว่าไม้กระบอกยาวๆนี้เขาใช้ทำอะไร


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 01 ส.ค. 12, 19:57
เห็นรูปรถไฟญี่ปุ่น เลยเอารูปรถไฟอิตาลีมาฝากครับ  เพิ่งไปมาเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว เผื่อใครที่ชาตินิยมจัดๆ จะได้ภูมิใจ เพราะแน่นพอๆ กับของไทย แถมโดนพ่นสีเลอะเทอะ ตู้ก็ดูเก่าๆ หน่อย
แต่จริงๆ ภาพที่ถ่ายเป็นแค่ขบวนธรรมดา ไม่ได้ถ่ายรถไฟความเร็วสูงหัวจรวดมา แต่ถึงจะขบวนธรรมดา ก็วิ่งเร็วและตรงเวลามากกว่าของไทยแน่ๆ ครับ คือเสียเวลาแค่เล็กน้อย 5 - 10 นาที แต่ถึงจุดหมายค่อนข้างตรงเวลา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 ส.ค. 12, 19:24
รูปรถไฟในณี่ปุ่นที่ไม่ค่อยได้เห็นมาเพิ่มเติมคะ

ภาพสุดท้ายที่เป็นหัวรถไฟชินกันเซนนั้น เป็นหัวรถไฟรุ่นใหม่    เชื่อใหมครับว่าแผ่นโลหะที่นำมาประกอบเชื่อมต่อกันเป็นทรงรูปหัวนี้ ไม่ใด้มาจากการปั้มขึ้นรูปแผ่นโลหะ แต่มาจากการตีขึ้นรูปด้วยมือโดยบริษัทที่เป็นระดับ SME ขนาดเล็กๆ  ทั้งๆที่บริษัทขนาดใหญ่สามารถจะทำได้ทั้งขบวน แต่เขาก็พยายามรักษาให้ SME ที่มีฝีมือให้ยังคงสามารถประกอบกิจการต่อไปได้ เพื่อธุรกิจที่มีฝีมือในระดับเยี่ยมเหล่านี้จะได้มีโอกาสสร้างสรรค์ชิ้นงานเยี่ยมๆต่อไป คือไม่พยายามโกยเอาทุกอย่างมาไว้เป็นของตนเหมือนกับแนวคิดของนักธุรกิจในหลายประเทศรวมทั้งของไทย 
ผมเคยไปดูโรงงานที่ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ชิ้นสำคัญ คือ ผ้าเบรคของรถไฟชินกันเซนนี้ เป็นโรงงานขนาดเล็กเช่นกัน มิได้เอาแป้นเหล็กของผ้าเบรคเก่ามาแปะผ้าเบรคใหม่นะครับ ของเก่าเอาไป Recycle ไม่เอาไป Reuse แล้วโรงงานเล็กๆนี้ก็พัฒนาวิธีการตัดแผ่นเหล็กมิให้เกิดขอบที่คมทุกด้าน ดังเช่นที่เรามักจะพบในชิ้นงานเหล็กที่มักจะมีขอบด้านหนึ่งเรียบมนแต่อีกขอบด้านหนึ่งคม

รถไฟชินกันเซนนี้ ยังมีเรื่องในรายละเอียดที่น่าสนใจซ่อนอยู่อีกมากพอสมควร เนื่องด้้วยเป็นรถไฟความเร็วสูงมาก  เช่น ระบบรางจะต้องเรียบสนิท จะต้องเป็นระบบปิด คือมีการปิดกั้นมิให้มีสิ่งใดๆเข้ามากีดขวางบนเส้นทางได้  และจะไม่มีประโยชใดๆเลยหากมีสถานีขึ้นลงอยู่ในระยะสั้นๆ จึงเป็นระบบรถไฟระหว่างเมือง ระยะห่างระหว่างเมืองหรือสถานีควรจะอยู่ในระดับมากกว่า 150 กม.ขึ้นไป มิฉะนั้นแล้วความเร็วที่มีก็จะไม่ทำให้เกิดประโยชน์อันใดเลย  ที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งคือ มิใช่จะมีเงินแล้วก็สร้างได้หากคำนึงถึงด้านความปลอดภัย แล้วมันแพงเอามากๆทีเดียว ระบบรถไฟชินกันเซนของญี่ปุ่นจึงไม่ขยายออกไปมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน   ตัวอย่างกรณีหนึ่งคือ มันจะต้องมีระบบหยุดรถอัตโนมัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว  เมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เมือง Joetsu ทางฝั่งทะเลญี่ปุ่น   เมื่อแผ่นดินเกิดไหวในระดับความรุนแรงที่ทำให้แผ่นดินขยับได้ในระดับหนึ่ง อุปกรณ์วัดค่าที่ติดอยู่เป็นระยะๆตามเส้นทางรถไปจะส่งสัญญาณต่อเนื่องให้ตัววัดสัญญาณที่อยู่ห่างออกไป ทราบ ซึ่งหากระดับความรุนแรงไม่ลดลงตามระยะทางที่กำหนด (ล่วงหน้าก่อนที่รถไฟจะวิ่งไปถึง) รถไฟจะถูกทำให้หยุดโดยอัตโนมัติ จำได้ว่าระบบนี้สามารถบอกล่วงหน้าได้ก่อนที่รถไฟจะไปถึงจุดนั้นประมาณ 16 กม.

ค่าโดยสารรถไฟชินกันเซนนี้พอๆกับค่าโดยสารเครื่องบิน  ต่างกันและได้เปรียบตรงที่ สถานีอยู่ในเขตเมืองและมีระบบขนส่งมวลของเมืองเชื่อมต่อ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเิดินทางไปสนามบิน ไม่เสียเวลาในการขึ้น Boarding Pass ไม่เสียเวลาในการรอคอยเที่ยวบิน ซึ่งตามปรกติจะต้องไปถึงสนามบินล่วงหน้าก่อนเวลาบินประมาณ 1 ชม. แถมเมื่อเครื่องบินลงแล้วยังต้องเสียเวลารอคอยอื่นๆอีกกว่าจะเข้าถึงในตัวเมืองได้  อีกประการหนึ่งคือรถไฟชินกันเซนตรงเวลามากว่าเครื่องบิน มีระเบียบและข้อห้ามด้านความปลอดภัยที่ไม่เข้มงวดเหมือนกับเครื่องบิน จะใช้โทรศัพท์ จะสูบบุหรี่ จะเดิน ไปมา จะใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้  กล่าวได้ว่ามีความสะดวกมากกว่าเลยทีเดียว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 12, 19:38
ส่งรูปรถไฟชินกันเซนมาประกอบค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 ส.ค. 12, 20:06
ขอส่งรูปมาให้ดูเล่นอีกสักรูป เดาได้ไหมคะว่าไม้กระบอกยาวๆนี้เขาใช้ทำอะไร

กระบอกนี้ดูหมือนเครื่องดนตรีของชาว Aborigines ในออสเตรเลีย เรียกว่า Didgeridoo ที่ทำเสียงเพลงด้วยการเป่าครับ  น่าสนใจตรงที่ไม่ค่อยจะเห็นชาวพื้นเมืองเป่ากันในที่ต่างๆ เห็นแต่คนขาว (ฝรั่ง) เอามาเป่าแสดงความสามารถกันในถนนหรือหน้าศูนย์การค้าในเมือง ซึ่งมิใช่เฉพาะในออสเตรเลียเพียงประเทศเดียว แต่แทบจะทุกประเทศในโลก  สำหรับท่วงทำนองเพลงนั้น ผมไม่ทราบว่าแต่งขึ้นใหม่หรือเป็นของเดิม แต่ก็น่าสนใจและให้อารมภ์  

เครื่องดนตรีประจำถิ่นต่างๆนั้น ผมเห็นว่าเป็นเรื่องน่าสนใจ โดยเฉพาะนักดนตรีที่สามารถนำมาบรรเลงในเพลงประเภทเพลงร่วมสมัย (Contemporary music)   ของไทยก็มี ที่เห็นก็ใช้ระนาดเอกเป็นหลัก ของจีนก็มี ใช้ซอและกู่เจิงเป็นหลัก ของอิเดียก็มี ใช้ซีต้าเป็นหลัก ของโอกินาวาก็มี ใช้ซันซินเป็นหลัก และบรรดาเครื่องสายต่างๆในยุโรปในตระกูลเครื่องดีด   ในบรรยากาศและในสภาพของจิตใจบางขณะ การฟังท่วงทำนองของดนตรีร่วมสมัยจากเครื่องดนตรีประจำถิ่นเหล่านี้ ทำให้เพลิดเพลินได้และผ่อนคลายได้มากทีเดียวเลยครับ  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 ส.ค. 12, 20:32
เห็นรูปรถไฟญี่ปุ่น เลยเอารูปรถไฟอิตาลีมาฝากครับ  เพิ่งไปมาเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว เผื่อใครที่ชาตินิยมจัดๆ จะได้ภูมิใจ เพราะแน่นพอๆ กับของไทย แถมโดนพ่นสีเลอะเทอะ ตู้ก็ดูเก่าๆ หน่อย
แต่จริงๆ ภาพที่ถ่ายเป็นแค่ขบวนธรรมดา ไม่ได้ถ่ายรถไฟความเร็วสูงหัวจรวดมา แต่ถึงจะขบวนธรรมดา ก็วิ่งเร็วและตรงเวลามากกว่าของไทยแน่ๆ ครับ คือเสียเวลาแค่เล็กน้อย 5 - 10 นาที แต่ถึงจุดหมายค่อนข้างตรงเวลา

จำได้ว่า คำว่ารถไฟนั้น คนอิตาลีเขาเรียกกัน Ferro ซึ่งแปลตรงๆก็คือ เหล็ก   ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นคำ slang ที่ใช้เรียกรถไฟ และก็น่าจะเป็นคำประเภทคำแดกดันพอสมควรเลยทีเดียว เท่าที่พบเห็นมาบรรดาหัวรถจักร์ของอิตาลีทั้งหลาย นอกจากจะพ่นสีแบบดูเก่าๆดังภาพแล้ว ยังเห็นสีสนิมขึ้นเกรอะในแต่ละส่วนอีกด้วย มีน้อยมากที่จะดูเป็นของใหม่ ส่วนตัวจึงเชื่อว่า คำว่า Ferro นั้นน่าจะเป็นคำเรียกในลักษณะทำนองว่า เศษเหล็ก    สำหรับตัวขบวนรถรถ (โบกี้) นั้นจำไม่ได้แม่นแล้ว ภาพเท่าที่จำได้คือ ดูเหมือนบรรดาโบกี้ที่ใช้ลากจูงอยู่ในเส้นทางตอนเหนือของอิตาลีจะเป็นของเยอรมัน ออสเตรีย และสวิส ไม่แน่ใจว่าจะมีของฝรั่งเศสหรือไม่  (รู้ได้จากโค๊ตตัวอักษรและคำย่อทั้งหลายครับ)   อีกประการหนึ่ง คือ ไม่เคยเห็นหัวรถจักรของอิตาลีลากจูงข้ามเขตอิตาลีเลย เห็นแต่ของเยอรมัน ออสเตรีย และฝรั่งเศสที่ลากจูงวิ่งกันว่อนทั่วไป


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 04 ส.ค. 12, 10:59
คำตอบอย่างครบถ้วนกระบวนความขนาดนี้ ไม่ต้องรอคนอื่นแล้วคะ ....เฉลยเลยดีกว่า
ความจริงคนถามก็ไม่รู้แค่เห็นเขาเป่าอยู่ ก้รู้สึกสนใจว่าทำไมเครื่องดนตรีชนิดนี้จึงต้องมีความยาว
ขนาดนี้ เทียบกับแคนของชาวอิสานคล่องตัวกว่าเยอะ

แน่นอนมันคงมีที่มา และเทคนิคอีกมากที่เราไม่รู้ แต่เสียงที่ได้ยินซึ่งเขาก็ไม่ได้เล่นเป็นเพลง
เขาเล่นให้ฟังนิดหน่อย มันชวนให้นึกถึงนกป่า ....ที่ร้องในไพรกว้าง ....เสียงสูง ช่วงสั้นๆแต่ก้องกังวาล
ศิลปินที่เช็ค เขาเอามาแสดงให้นักท่องเที่ยวดู ...ไกด์บอกว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการรับรองให้เป้นมรดกโลก

(อะไรทำนองนี้....ขออภัยหาใช้คำไม่ถูกนะคะ)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 04 ส.ค. 12, 11:38
ฝรั่งเศสก็มีรถไฟความเร็วสูง เตเจเว TGV  (ภาพจากคุณวิกกี้)

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/23/TGV-Duplex_Paris.jpg/640px-TGV-Duplex_Paris.jpg)

เคยขึ้นไปกลับ ลีออง-ปารีส

นานมาแล้ว

 ;D



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 04 ส.ค. 12, 14:35
เคยนั่งรถไฟความเร็วสูงจากลีออง ไปปารีสสัก 15 ปี มาแล้ว จำได้ว่ามันเร็วซะจนมึนหัวเพราะภาพในระดับสายตา เรามองไม่ชัดเลย

มันผ่านไปเร็วราวกับจรวด เลยต้องมองแต่พระอาทิตย์บนฟ้าเท่านั้นเอง ....แต่ต้องชมการตกแต่งภายในรถสวยงามราวกับนั่งเครื่องบิน

แต่กว้างขวางและนิ่งมากกว่า จึงไม่อึดอัด  ถ้าเทียบกับชิงกันเซ็น คันที่นั่งจากเซ็นได มาโตเกียวเมื่อ 2-3 ปีมานี้ กลับตกแต่งไม่ค่อย

ประทับใจ เหมือนนั่งรถทัวร์เท่านั้นเอง

นอกจากความเร็วราวกับเหาะได้แล้ว รถไฟความเร็วสูงไม่ได้ทำให้เราได้เห็นอะไรสองข้างทางเลย...เทียบกับนั่งสบายๆ ไปเรื่อยๆ

แวะข้างทาง ตามใจเรา ชอบอย่างหลังมากว่า แต่ต้องไม่นานจนรู้สึกทรมานสังขารนะคะ ....ถึงจะประทับใจ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 12, 17:51
เคยไปนั่งรถไฟความเร็วสูงของจีนมาแล้ว  ดูอะไรไม่ทันเลยค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=V01vYhoPG4M


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 04 ส.ค. 12, 20:51
พูดถึงรถไฟแล้วก็จะขอต่อเลยไปถึงการจัดที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร

ภาษาไทยเรียกตู้รถไฟแต่ละตู้ว่า โบกี้ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Bogie    ไม่ทราบว่าเราแผลงมาเรียกเป็นตู้รถไฟได้อย่างไร   คำว่า bogie ดูจะเป็นศัพท์ทางเทคนิคที่หมายถึงชุดล้อรถที่รองรับตู้รถไฟที่วางทับอยู่ด้านบน ซึ่งตามปรกติจะมี 2 โบกี้สำหรับหนึ่งตู้รถไฟ ยกเว้นรถไฟความเร็วสูงต่างๆที่มักจะวางตู้รถไฟสองตู้ (ที่จุดเชื่อมต่อกัน) ไว้บนโบกี้เดียวกันตรงจุดเชื่อมต่อกันระหว่างตู้

ตู้รถโดยสารที่เรานั่งเรียกว่า Coach  ตู้นอนเรียกว่า Sleeper coach (หรือ sleeper เฉยๆ)  ตู้นั่ง/นอนนี้มีลักษณะป็นห้องๆ (Compartment) ปรกติก็สามคนต่อหนึ่งห้อง ดีหน่อยก็สองคนต่อหนึ่งห้อง แย่ที่สุดก็หกคนต่อหนึ่งห้อง Compartment นี้มีสองลักษณะ คือ เป็นคือทุกห้องขึ้นลงที่ข้างตู้รถไป ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีใช้แล้วในปัจจุัน และที่เรียกว่า Corridor compartment ซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ใช้ประตูขึ้นลงที่ปลายตู้รถร่วมกัน

หากต้องเดินทางโดยรถไฟและมีเงินมากพอควร ก็ควรจะเลือกแบบห้องสองคนนะครับ หากเลือกไม่ได้ก็ควรเลือกห้องสามคน และเลือกเตียงบน หรือล่าง ห้ามเลือกเตียงกลางครับ เหมือนถูกประกบบนล่าง จะนั่งก็ไม่ได้ หัวชน จะแหย่เท้าลงพื้นก็ไม่ได้ จะขึ้นนอนก็ลำบากที่จะเบี่ยงตัวแทรกเข้าไป แล้วลองนึกถึงสภาพห้องละหกคนซิครับ  นั่งอยู่รวมกันไม่รู้จักกันเลย จะนอนก็กางเตียงเอง ใครคนหนึ่งจะนอน ทุกคนก็จะถูกบังคับให้นอนตามไปด้วย  โอ้ ยังไม่รวมถึงกลิ่นของถุงเท้า รองเท้า ที่เอาขึ้นไปไว้บนเตียงด้วย ผนวกกับกลิ่นขิ่วของตัวของฝรั่ง แล้วผนวกกับเสียงกรน ได้ที่เลยครับ ยังกับนรกทีเดียว ไม่รู้ว่าจะหลบหลีกได้อย่างไร     ศัพท์ภาษาไทยที่เรียกว่ารถคอกหมูนั้น ก็เป็นฉะนี้แหละครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ส.ค. 12, 21:58
เอาห้องนอนในรถไฟที่มีแค่ ๒ คนมาให้ดูสลับฉากค่ะ  นี่คือรถไฟสายทรานส์ ไซบีเรียที่รัสเซียจัดเป็นทัวร์ให้นักท่องเที่ยวชมภูมิประเทศ   
เมื่อก่อนนี้ทหารหรือพลเรือนคนไหนถูกส่งไปไซบีเรียก็ถือว่าไปตายระยะยาวได้เลย    โดยมากเขาส่งนักโทษการเมืองไปที่นั่น   บัดนี้กลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวขึ้นหน้าขึ้นตาเสียแล้ว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 ส.ค. 12, 20:19
วิวสวยจริงๆครับ
 
เป็นความฝันของผมอย่างหนึ่งเลยทีเดียว  อยากจะมีโอกาสได้นั่งบนรถไฟสายยาวๆข้ามทวีป หลายเส้นทางครับ เส้นทางข้ามชายฝั่งตะวันออก-ตะวันตกของอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา  เส้นทางไซบีเรีย และวลาดิวอสสต๊อกของรัสเซีย   

หลายท่านอาจจะชอบการพักผ่อนบนเรือสำราญ    ผมชอบรถไฟ และชอบขับรถไปตามถนนเล็กๆนอกเมืองครับ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 12, 20:37
country road ในรัฐที่อยู่ค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 ส.ค. 12, 20:55
^
ขอบคุณครับสำหรับภาพ

นั่งดูภาพพร้อมรำลึกถึงภาพที่เคยเห็นกับตาสมัยก่อนๆ ทั้งในแถบ Appalachian และในแคนาดาแถบ Quebec city   พ่วงพาลให้นึกถึง Maple syrup อีกด้วยครับ

Maple syrup นี้ มีสามแบบ คือแบบข้น แบบไม่ค่อยข้นและแบบค่อนข้างใส  กินกับ pancake อร่อยเหลือหลายเลยครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 21:21
ต้นไม้สีทองในภาพที่นำมาให้ดูคือ Aspen ค่ะ ในฤดูร้อนใบมันก็เขียวธรรมดาๆเหมือนใบไม้อื่นๆ  แต่พอเข้าฤดูใบไม้ร่วง ในเดือนตุลาคม     มันจะเปลี่ยนใบเป็นสีทองระยับเหมือนทองคำเปลวไปทั้งต้น     ขึ้นรวมกันเป็นดง  
เวลาเดินเข้าไปในดงแอสเพน เงยหน้าขึ้นมองฟ้าสีครามสดตัดกับสีทองอร่าม อาจจะเผลอนึกว่าเราไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์   แต่เป็นแดนสุขาวดีของกามนิตวาสิฏฐี

น้ำเชื่อม หรือน้ำตาลเมเปิ้ลต้องกินกับแพนเค้ก  เป็นอาหารมื้อเช้าของอเมริกัน  ที่กินอร่อยเท่าไรก็จ้ำม่ำทันตาเห็นเท่านั้น


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 06 ส.ค. 12, 21:43
ต้นไม้สีทองในฤดูใบไม้ร่วงหาดูได้ที่ญี่ปุ่น เห็นได้ทั่วไปตามสวนสาธารณะในโตเกียว

คนไทยรู้จักในนามต้นแปะก๊วย

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 ส.ค. 12, 21:58
ต้นแปะก๊วย ที่ปลูกกันตามแนวถนนนั้น รู้มาว่าเป็นต้นตัวผู้ คือ ไม่ออกลูก ครับ    หากเอาตันตัวเมียมาปลูก พอมันออกลูกและหล่นอยู่ตามพื้นก็คงจะทำใ้ห้คนที่อยูในแถบนั้นกระเจิงกันไปทั้งเมือง

ยางจากช่อดอกของต้นแปะก๊วยนี้คล้ายยางมะม่วง ต่างกันตรงที่ ยางของต้นแปะก๊วยมักจะเป็นหยดๆไม่เหมือนยางมะม่วงที่มักจะเหมือนน้ำค้่าง ยางแปะก๊วยติดรถแล้วเอาออกยากมาก บางครั้งยังกัดสีรถอีกด้วย

ลูกของมันที่ถูกเหยียบหรือแตกเละมีกลิ่นเหม็นเหมือน....ของคน  เก็บเอามาใส่ถังแช่น้ำไว้ให้เนื้อมันยุ่ย ใส่ถุงมือขยำขยี้เอาเนื้อออกให้หมดเหลือแต่เมล็ด เอามาตากแดด กว่าจะได้กินต้องทนกลิ่นและยางกัดมือน่าดูเลย กระเทาะเปลือกออกมาแล้วยังต้องแทงเอาแกนในออกเพื่อไม่ให้ขมอีก มิน่าเล่า ถึงได้แพงจัง

ใบของต้นแปะก๊วย เอามาตากแห้ง ชงเป็นชากิน เขาว่าเป็นยาช่วยทำให้เลือดในสมองไหลเวียนได้ดีขึ้น     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 12, 22:28
แปะก๊วยสีทองในญี่ปุ่น พอลูกหล่นแตกเละ มันจะเหม็นตลบไปทั้งละแวกหรือเปล่าคะ

ในเมืองช่วงฤดูใบไม้ผลิ  มีต้นไม้ ๒ ชนิดที่ออกดอกสวยมาก  คือแอปเปิ้ลกับเชอรี่  เป็นสีชมพูอ่อนดกสะพรั่งไปทั้งต้น    แต่ไม่นานดอกก็ร่วงหมด   
เชอรี่คือซากุระใช่ไหมคะ?


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 12, 22:38
ดอกแอปเปิ้ล หรือ apple blossom


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 12, 21:18
พูดถึงท่องเที่ยว ชมธรรมชาติมาพอสมควรแล้วนึกได้ถึงอีกเรื่องหนึ่งคือเด็กไทยกับเด็กฝรั่งอเมริกัน  มีความแตกต่างเรื่องเที่ยวกันอย่างหนึ่งคือ เด็กฝรั่งพ่อแม่เขาพาเที่ยวหอศิลป์หรือแกลเลอรี่  กับพิพิธภัณฑ์หรือมิวเซียม มากกว่าเด็กไทยที่ใช้ชีวิตนอกบ้านพร้อมพ่อแม่อยู่ในศูนย์การค้ามากกว่า
ในรัฐต่างๆ หรือเจาะจงลงไปคือเมืองต่างๆ  บางทีเป็นเมืองเล็กๆไม่มีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ   แต่เขาก็สร้างพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเอาไว้ประจำทุกเมือง  เมืองละหลายแห่งด้วย     เมืองไหนเป็นชุมทางรถไฟมาก่อนก็มีพิพิธภัณฑ์รถไฟ    เมืองไหนมีนักบุกเบิกมาตั้งถิ่นฐานเยอะก็มีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์     สรุปว่าถ้าขับรถไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ ถ้าไม่รู้จะไปดูอะไร   ไปหาดูพิพิธภัณฑ์รับรองว่าต้องเจอแน่นอน  และเขาจัดไว้อย่างตั้งอกตั้งใจให้สวยงามเป็นระเบียบ  ทั้งๆบางทีดูแล้วข้าวของก็ไม่มีอะไรกี่มากน้อย  แต่วิธีจัดของเขาแสดงความตั้งใจจริงจะให้ออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน
ข้อสำคัญก็คือมีคนมาชมกันไม่ขาด    มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็มี   ไม่ทิ้งร้างทรุดโทรมให้ฝุ่นจับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ส.ค. 12, 21:30
ในเมืองช่วงฤดูใบไม้ผลิ  มีต้นไม้ ๒ ชนิดที่ออกดอกสวยมาก  คือแอปเปิ้ลกับเชอรี่  เป็นสีชมพูอ่อนดกสะพรั่งไปทั้งต้น    แต่ไม่นานดอกก็ร่วงหมด  
เชอรี่คือซากุระใช่ไหมคะ?

จะตอบว่าอย่างไรดีครับ เชอรี่ และ ซากุระ คือ ไม้ในสกุลวงค์เดียวกัน คือ  Prunus   ไม้ในสกุลนี้มีหลากหลาย Species บางพันธุ์ก็ปลูกเพื่อเอาผลมาทาน บางพันธุ์ก็ปลูกเพื่อดูดอก
  
ที่พบกันจริงๆทั้งหมดมีประมาณ 300 สายพันธุ์ ซึ่งจะออกดอกเมื่ออากาศเริ่มย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ละพันธุ์จะมีสีและรูปทรงดอกต่างกัน และจะออกดอกในเวลาที่ต่างกันไล่เรียงกันไป ที่เหมือนกันคือจะออกดอกบานสะพรั่งเพียงประมาณ 7 วัน แถมบางปีหากอากาศไม่อำนวย (เช่น ร้อนเร็วไป ฝนตกเร็วเกินไป ฯลฯ) ก็ยังไม่ออกดอกอีกด้วย ปรกติจะออกดอกไล่เรียงกันไปจากภาคใต้ขึ้นภาคเหนือ ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ (ภาคใต้) จนถึงประมาณเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายน (ภาคเหนือ)

ต้นซากุระที่ญี่ปุ่นปลูกเพื่อดูดอกกันนั้นมีประมาณ 32 พันธุ์ ช่วงที่มันจะออกดอกตามจังหวัดต่างๆนั้น พอจะเดาได้ แต่จะออกเมื่อใดนั้นต้องสอบถามและติดตามจากเว็ปไซด์ของเมือง เขาจะบอกให้ทราบล่วงหน้าได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ไม่มากไปกว่านั้น  ผมอยู่ญี่ปุ่นเองยังตามดูไม่ค่อยจะได้  ทัวร์ไทยที่จัดพาไปดูนั้น เป็นการคาดเดาว่าจะมีโอกาสได้เห็นเนื่องเป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม   สังเกตว่าทัวร์ดูซากุระนี้จะเป็นการเดินทางไล่จากใต้ขึ้นเหนือ สุดท้าย หากไม่ได้เห็นในที่ๆคาดว่าจะมีซากุระบาน ก็พาเข้ากรุงโตเกียว ที่นี่แน่นอนว่าจะได้เห็น โดยเฉพาะในสวนกลางกรุง  เพราะเขาปลูกไว้ทั้ง 32 พันธุ์เลย ยังไงๆก็ได้เ็ห็นแน่ๆ  เราจะไม่เห็นแบบสะพรั่งเป็นทิวทั้งถนน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นสองสามต้นแน่นอน    ที่ผมเคยเห็นและคิดว่าสวยที่สุดคือที่แหลม Isu ดอกเป็นสีชมพูฉ่ำ แถมด้วยดงไม้ดอกสีเหลืองในระดับต่ำริมชายแม่น้ำ เดินเล่น ถ่ายรูป สวยๆจริงครับ

ไทยเราก็มีนะครับ ดอกพญาเสือโคร่ง และดอกเหมย ก็เรียกเป็นซากุระได้เหมือนกัน  

มาลองทดสอบว่าเรารู้จักและจำแนกได้มากน้อยเพียงใดสำหรับผลของไม้ในสกุลนี้ที่เราเอามากินกัน ผมเองก็เรียกผิดเรียกถูกมาตลอดครับ
เชอรี่ดำ, เชอรี่แดง, เชอรี่ไทย (กินกับพริกเกลือ), ท้อ, ไหน, สาลี่, peach, plum, prune, nectarine, ume    


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 12, 21:54
ได้โอกาสถามข้อสงสัยเรื่องลูกเชอรี่เสียที
ตอนเด็กๆจำได้ว่าบ้านหลังเดิมมีเชอรี่อยู่ต้นหนึ่งที่แม่ไปหามาปลูกไว้  เป็นพุ่มไม่สูงนัก เลยหัวไปนิดหน่อย   ออกลูกเล็กๆเท่าปลายนิ้ว   ตอนดิบสีเขียวอ่อนๆ แล้วค่อยๆกลายเป็นสีแดงอมส้ม เมื่อสุก   เนื้อแน่นออกรสเปรี้ยวเกือบเท่ามะยม    ถ้าจะกินให้อร่อยต้องจิ้มน้ำตาลเกลือ   
แต่พอไปเรียนต่อ   เจอเชอรี่ขายอยู่ในซุปเปอร์   เป็นคนละชนิด  ลูกโตกว่าประมาณเท่าตัว   สีแดงแก่เกือบดำ ผิวนิ่ม น้ำฉ่ำหวาน     ที่อเมริการาคาถูกกว่าทางเมืองไทยมาก   แถมหมอยังแนะนำให้กินสำหรับคนป่วยเป็นโรคเก๊าต์ด้วย
เพิ่งไปเจอเชอรี่แบบแรกในอเมริกาเมื่อเดินเล่นแถวบ้านเพื่อน    แต่เป็นไม้ใหญ่สูงเหนือหัวไปมาก  มีลูกเล็กๆแบบนี้ละค่ะ ออกลูกพราวไปทั้งต้น เหมือนลูกตะขบ

รูปซ้ายเข้าใจว่าเป็นเชอรี่ที่ได้กินตอนเด็กๆ  รูปขวาคือเชอรี่ปัจจุบัน  รูปซ้ายคือเชอรี่ไทยอย่างที่คุณตั้งเรียกงั้นหรือคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 09:14
ผมอยู่ญี่ปุ่นเองยังตามดูไม่ค่อยจะได้  ทัวร์ไทยที่จัดพาไปดูนั้น เป็นการคาดเดาว่าจะมีโอกาสได้เห็นเนื่องเป็นช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม   สังเกตว่าทัวร์ดูซากุระนี้จะเป็นการเดินทางไล่จากใต้ขึ้นเหนือ สุดท้าย หากไม่ได้เห็นในที่ๆคาดว่าจะมีซากุระบาน ก็พาเข้ากรุงโตเกียว ที่นี่แน่นอนว่าจะได้เห็น โดยเฉพาะในสวนกลางกรุง  เพราะเขาปลูกไว้ทั้ง 32 พันธุ์เลย ยังไงๆก็ได้เ็ห็นแน่ๆ  ที่ผมเคยเห็นและคิดว่าสวยที่สุดคือที่แหลม Isu ดอกเป็นสีชมพูฉ่ำ เราจะไม่เห็นแบบสะพรั่งเป็นทิวทั้งถนน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นสองสามต้นแน่นอน   แถมด้วยดงไม้ดอกสีเหลืองในระดับต่ำริมชายแม่น้ำ เดินเล่น ถ่ายรูป สวยๆจริงครับ

เคยอยู่ในโตเกียวเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว วันหนึ่งออกมาจากที่พักมองไปที่ถนน เห็นซากุระออกดอกเรียงกันเป็นทิวแถวสองข้างถนน จำได้ว่าประทับใจมาก หลังจากนั้นก็ตระเวนไปตามสวนสาธารณะต่าง ๆ เพื่อชมซากุระ ชาวญี่ปุ่นเองก็จะพาครอบครัวไปชมซากุระบานเช่นกัน เอาอาหารใส่เบนโตะมารับประทานกันใต้ต้นซากุระ บรรยากาศโรแมนติกอย่าบอกใคร เรียกเทศกาลนี้ว่า "ฮานามิ" 花見 แปลตามตัวอักษรว่า "ชมดอกไม้"

 ;D  



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 09:30
ไทยเราก็มีนะครับ ดอกพญาเสือโคร่ง และดอกเหมย ก็เรียกเป็นซากุระได้เหมือนกัน  

มาลองทดสอบว่าเรารู้จักและจำแนกได้มากน้อยเพียงใดสำหรับผลของไม้ในสกุลนี้ที่เราเอามากินกัน ผมเองก็เรียกผิดเรียกถูกมาตลอดครับ
เชอรี่ดำ, เชอรี่แดง, เชอรี่ไทย (กินกับพริกเกลือ), ท้อ, ไหน, สาลี่, peach, plum , prune, nectarine, ume      

plum, ume , บ๊วย เป็นต้นไม้ชนิดเดียวกัน   ดอกบ๊วยกับดอกเหมย ก็เป็นดอกไม้ชนิดเดียวกัน

ดอกบ๊วยหรืออุเมะ สวยไม่แพ้ดอกซากุระ

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ส.ค. 12, 19:52
^
เช่น ที่เห็นในโอซาก้า หรือสถานีอุเมกะโอกะในโตเกียว  ;D ;D

ท่านที่เป็นผู้หญิง หากไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมขอให้ลอง Umeshu นะครับ แก้วเล็กๆ เย็นฉ่ำ อร่อยมาก เพียงแต่อย่าเผลออร่อยจนเมาเท่านั้นเอง

คุณเพ็ญชมพูเห็นด้วยความใหมครับว่า ร้านอาหารในญี่ปุ่นนั้นมักจะขายอาหารเฉพาะชนิดใดชนิดหนึ่ง    ในช่วงเที่ยงจะขายเป็น เซ๊ทโตะ ที่ราคาย่อมเยาว์มากๆ แต่ตอนเย็นอาหารแบบเดียวกัน (รูปร่างหน้าตาเมือนกันเป๊ะ) ราคาจะต่างกันราวกับฟ้ากับดิน  [กลางวัีน 1500 (เยน) ตอนเย็น 5000 (เยน)]   
ผมจะแนะนำคนให้ลงไปกินอาหารในร้านขายเหล้าขายเบียร์ ที่เรียกว่า Izakaya ซึ่งจะมีอาหารหลากหลายชนิด จานเล็กๆ ทดลองชิมได้หลายชนิด ราคาไม่แพง  ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้  เมนูมักเป็นแบบรูปภาพ สั่งง่าย แม้กระทั่งเดินไปชี้เอา   บางร้านก็มีเนื้อปลาวาฬ (สเต๊ก) ให้ลอง ท่อนหางปลาปักเป้าทอด (อร่อยมาก) หัวปลาทูน่าย่าง (อาจจะต้องสั่งล่วงหน้า) ของอร่อยทั้งนั้น หลากหลายอาหาร เหมือนกับได้สัมผัสกับวิถีการกินของคนญี่ปุ่น  จะเสียอยู่อย่างเดียวก็คือ ในร้านพวกนี้มีแต่ควันบุหรี่   

อาหารที่คุณผู้หญิงต้อนรับคุณผู้ชายตอนกลับเข้าบ้านตอนค่ำแก่ๆนั้น มักจะมีเพียงซุปมิโซะ ปลาย่างชิ้นเล็กๆ ข้าว และผักดอง เหมือนกับเป็นข้าวต้มตอนดึกก่อนนอนของเรา  จะเรียกว่า Supper ของญี่ปุ่นก็คงพอจะได้   ก็คงเพราะคุณชายแอ่นมาแล้วจากการกินเหล้าเบียร์และกับแกล้มอร่อยๆในร้าน Izagaya นั้่นเอง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 ส.ค. 12, 22:07
คนญี่ปุ่นไม่นิยมรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน เท่าที่เห็นมักใส่เบนโตะจากบ้านมารับประทานที่ทำงาน ตกเย็นถ้ามีสังสรรค์กันก็จะเข้าร้านเหล้า กับแกล้มเท่าที่จำได้ก็มี ยากิโทริ 焼き鳥 หรือไก่เสียบไม้ปิ้ง มีอีกหลายอย่างแต่จำไม่ค่อยได้แล้ว คนญี่ปุ่นดื่มเหล้าเมากลับบ้านเห็นเป็นประจำถือเป็นเรื่องปรกติ แต่ไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นเมาเหล้าตีกันสักที  

หากมีการเลี้ยงต้อนรับที่ต้องการบรรยากาศหรูหน่อยก็ต้องเป็นร้านอาหารอิตาเลียน

เข้าร้าน 7-11 นอกจากจะมีของกินของใช้แบบบ้านเราแล้ว ยังมีอาหารพวกโอเด้งหรือพะโล้ญี่ปุ่นขายด้วย

เคยไปฉลองวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่บ้านชาวญี่ปุ่น อาหารประจำเทศกาลก็เป็นบะหมี่โซบะ ต้องรับประทานไม่ให้เส้นขาด เพราะถือเคล็ดว่าชีวิตจะได้ยืนยาวเหมือนเส้นโซบะ

อาหารการกินของคนญี่ปุ่นเท่าทีนึกออกที่เคยประสบพบมาเมื่อเกือบสามสิบปีมาแล้ว ก็เป็นเช่นนี้แล

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 12:41
ไปค้นภาพอุเมะและซากุระที่ญี่ปุ่นมาให้ชม

ดอกอุเมะจะบานก่อนซากุระหนึ่งเดือน ประมาณเดือนมีนาคม

ภาพบน เป็นบรรยากาศผู้คนไปชมดอกอุเมะบานที่ชินจูกุเกียวเอน  ส่วนภาพล่าง ที่วัดแถว ๆ ซุยโดบาชิ

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 ส.ค. 12, 12:46
ซากุระจะบานเดือนเมษายน

ภาพบน เป็นบรรยากาศที่ชินจูกุเกียวเอน  ส่วนภาพล่างเป็นที่สวนอูเอะโนะ

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 12, 20:08
ไม่มีวาสนากับดอกไม้ญี่ปุ่น   เคยไปญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิ  เพื่อจะไปชมซากุระ  ปรากฏว่ากะเวลาพลาดไป    เห็นเอาวันสุดท้ายก่อนกลับแถมเห็นต้นเดียว ในระยะไกลๆเสียด้วย
กลับมาชมนางพญาเสือโคร่งที่บ้านเราดีกว่า
ส่วนดอกอุเมะหรือบ๊วย ก็ไม่มีวาสนาจะเห็นเหมือนกันค่ะ    เพราะไปญี่ปุ่นอีกครั้งเอาตอนหน้าหนาวเดือนกุมภาพันธ์  ไปเดินตัวสั่นงันงกอยู่ในวัดญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง  ชมแต่กิ่งบ๊วยโกร๋นเกร๋นมีแต่หยาดน้ำแข็งจับแทนดอกไม้
   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 15 ส.ค. 12, 16:09
ซากุระที่เคยบานในกรุงเทพ ...เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซากุระบานที่สวนอูเอโน๊ะ และได้นำกลับมาชื่นชมใกล้ๆ

ที่กรุงเทพคะ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 15 ส.ค. 12, 16:24
ซากุระย้อย และซากุระแดงไม่ค่อยคุ้นตาคนไทยเท่าไหร่ แต่โชคดีมีโอกาสได้เห็น

เก็บภาพมาดูเล่นคะ  ซากุระย้อยสวยมากและเราสามารถชื่นชมได้ง่ายกว่า

เพราะไม่สูงเกินไปคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 17:55
ขอฉีกแนวไปหน่อยค่ะ
เมื่อไปท่องเที่ยว เรามักจะหวังถึงความสนุกสนาน ประทับใจ  ขึ้นรถลงเรือไปไหนก็หวังความตื่นตาตื่นใจ    ไม่ค่อยจะเผื่ออะไรที่ขลุกขลักเอาไว้   จึงขอนำประสบการณ์มาเตือนไว้บ้างค่ะ
ครั้งหนึ่ง ไปทัวร์ประเทศเพื่อนบ้านของเรานี่แหละค่ะ   รถทัวร์ต้องจอดที่ลานข้างล่าง เพราะที่ๆจะไปเป็นวิหารเจ้าแม่กวนอิมอยู่บนยอดเขา  แล้วใช้บริการรถสองแถวพาขึ้นไป  พวกเราก็แยกย้ายกันไปเดินเอ้อระเหยถ่ายรูปกันอยู่บนนั้น  บริเวณกว้างเอาการ   จนได้เวลาก็ทยอยกันลงมาข้างล่าง
ปรากฏว่ามีพี่สาวสองคนในทัวร์หายไป    ก็ตามหากันให้วุ่น   รถสองแถวก็วิ่งแล้ววิ่งอีกขึ้นไปตามบนยอดเขา เพราะคิดว่าอาจจะหลงอยู่บนนั้น  เดินหาจนรอบก็ไม่มี  พวกข้างล่างก็เดินหากันตามร้านขายของที่ระลึก    หากันให้ควั่กอยู่เกือบชั่วโมงจนวิตกกังวลว่าหายไปไหน  จนในที่สุด  หากันเจอพาตัวลงมาได้
คือเธอไปเข้าห้องน้ำข้างบนนั้น แล้วเกิดติดอยู่ในห้อง  เปิดออกมาไม่ได้   เพื่อนอีกคนก็พยายามช่วยดันช่วยผลักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ    คนที่ตามหาก็ไม่มีใครคิดจะไปตามในห้องน้ำ เพราะมันอยู่ในซอกมุมที่ลึกและลี้ลับมาก    จนกระทั่งหาคนช่วย พาหลุดออกมาได้นี่แหละค่ะ
นึกหวาดเสียวว่าถ้าเธอไปคนเดียว จะยิ่งซ้ำร้ายกว่านี้    โชคดีที่ไปทัวร์   ถ้าหากว่าไปเป็นกลุ่มแบบแยกกลุ่มใครกลุ่มมัน   กลุ่มนั้นก็นึกว่าไปกับกลุ่มโน้น  กลุ่มโน้นก็นึกว่าไปกับกลุ่มนี้   เธออาจจะหายตัวไปอีกนานกว่าจะรู้ว่าหาย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 17 ส.ค. 12, 20:25
เพิ่งหาซากุระย้อยอีกภาพหนึ่งเจอ ส่งมาให้ดูเล่น และภาพลูกพลับเหลือเต็มต้นอยู่ตามถนนหนทาง
เขาบอกว่ารสฝาด ก็เลยไม่นิยมทาน ปลูกไว้ดูเล่น ใครเคยเห็นใกล้ๆบ้างไหมคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 21:06
พลับเป็นไม้ผลที่คนญี่ปุ่นนิยมปลูกไว้ในบ้าน เหมือนกับคนไทยหากบ้านมีที่ดินกว้างขวางหน่อยก็นิยมปลูกมะม่วงไว้ฉะนั้น

ภาพนี้ได้จากอินทรเนตร

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 18 ส.ค. 12, 18:02
คุณเพ็ญชมพูคะ พลับที่ปลูกตามริมถนน หน้าบ้านเหลืองอร่ามเต็มต้น ทำไมเขาไม่เก็บคะ

ไกด์บอกว่ามีรสฝาด เขาจึงไม่เก็บทานกันแต่ปลูกไว้ดูเล่น จริงหรือเปล่าคะ หรือเป็นชนิดเดียวกับที่

ทานกัน(หวาน)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 18:55
เคยเห็นแต่ต้นพลับที่ปลูกไว้ในบ้าน ไม่เคยมีใครชวนชิมสักที  หาความรู้จาก คุณวิกกี้ (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A) เธอบอกว่าพลับมีทั้งพันธุ์หวานและฝาด

ต้องถามคุณตั้งว่า พันธุ์ที่ปลูกในและหน้าบ้าน หวานหรือฝาด 

 ???


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ส.ค. 12, 20:36
กลับมาแล้วครับ ถอยรถเขาบ้านเสร็จก็รีบเปิดอ่านเรือนไทยแบบเร็ว
ขอตอบเรื่องลูกพลับก่อนครับ

เท่าที่ประสบมา ลูกพลับที่ขายกันในญี่ปุ่นนั้นมี 2 รูปทรง คือ ทรงเหลี่ยม และ ทรงรูปไข่ (ใบใหญ่ๆ)   
ที่คนญี่ปุ่นนิยมซื้อกินแบบสดๆกันนั้นเป็นทรงรูปสี่เหลี่ยมแป้น (เหมือนมีอยู่สี่โหนกพู) และนิยมกินแบบที่เนื้อไม่นิ่มเละ คือ สุกแบบที่เนื้อยังกรอบอยู่ แล้วก็ต้องกรอบแบบนิ่ม มิใช่กรอบแบบแข็งๆ   เป็นลูกพลับคล้ายกับที่เราเห็นเอามาวางขายกันอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ (ผลละประมาณ 5 บาท)   ที่ผมไม่ทราบก็คือ ต้นกำเนิดของสายพันธุ์ลูกพลับรูปทรงที่ว่านี้เป็นของจีนหรือของญี่ปุ่น  ที่แน่ๆก็คือที่เห็นวางขายในท้องตลาดของไทยนั้นนำเข้ามาจากจีนแน่ๆ  ซึ่งพันธุ์นี้ก็เป็นพันธุ์ที่ญี่ปุ่นทำสวนปลูกขายกันอยู่ในญี่ปุ่น
สำหรับพันธุ์ที่มีผลเป็นทรงรูปไข่นั้น คนญี่ปุ่นไม่นิยมนำมากินสดๆกัน แต่นิยมที่จะเอามากินแบบเอามาตากแห้ง  ซึ่งก็มิใช่พลับแห้งในลักษณะและรูปแบบที่คนจีนเขาทำกัน (อย่างที่มีขายกันในไทย) คือ ทับให้แบนตากให้แห้งแข็ง มีคราบขาวๆติอยู่ตามผิว   พลับแห้งของญี่ปุ่นที่ทำกันนั้นจะเป็นทรงทับแบนเหมือนกัน แต่จะไม่แห้งจนแข็ง จะเป็นเนื้อนิ่มๆ ไม่มีคราบขาวๆ พลับแห้งที่คนญี่ปุ่นทำนี้มีราคาค่อนข้างสูง จะไม่ค่อยเห็นวางขายในตลาด แต่ละผลจะใส่ในซองพลาสติกแยกจากกัน   ผมคิดว่าคงจะไม่ค่อยมีคนได้เห็นและรู้จักกัน  เนื่องจากมันเสียง่ายมาก จึงเป็นลักษณะของการทำออกมาขายน้อย และมักจะใช้วิธีสั่งผู้ขายว่าจะเอาวันใหน  ได้มาแล้วก็เก็บได้อีกสองสามวันเท่านั้น  สำหรับผมนั้นเห็นว่าเป็นของที่มีรสชาติอร่อยมากเลยทีเดียว   
ผมได้มีโอกาสเห็นวิธีการทำและได้เคยสนทนาก้บคนทำ (ผ่านล่าม)  เขาบอกว่าเขาจะใช้เฉพาะพลับทรงรูปไข่เท่านั้น ผลที่จะเก็บมาทำนั้นจะต้องมีก้านติดมาด้วย เมื่อลูกพลับแก่จัดได้ที่แล้ว เก็บมา เอาเชือกหรือด้ายผูกที่ก้านแล้วแขวนผึ่งแดดและลมสลับกันจนได้ที่ (หากจะเทียบเคียงก็คงจะคล้ายๆกับขนาดเนื้อของกล้วยตากที่ใช้กล้วยค่อนข้างสุก) จึงนำมากอให้แบนลง   จะเรียกว่าเป็นวิธีการถนอมผลไม้ก็คงไม่ผิดแต่ก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะว่ามันก็เป็นวิธีการทำให้ความฝาดของลูกพลับหายไป

ถึงตรงนี้ คงพอจะเป็นคำตอบว่าสำหรับข้อสงสัยของคุญเพ็ญชมพูและคุณพวงแก้วแล้วนะครับ

สำหรับการทำให้ความฝาดของลูกพลับหายไปนั้น แต่เดิมนั้นใช้วิธีการแช่ลูกพลับในน้ำปูนขาว ซึ่งเป็นวิธีการปรกติแต่ดั้งเิดิมของพลับที่เราเรียกว่าพลับจีนทั้งหลาย พลับที่คนไทยปลูกกันก็ใช้วิธีนี้  แต่ในปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตน์ก้าวหน้ามาก ผมเพิ่งสั่งซื้อมาเลยทราบ คนขายจะถามว่าจะเอาไปกินตั้งแต่วันใหน เมื่อคัดลูกพลับได้แล้วเขาก็เอาใส่ถุงพลาสติก ใส่ก๊าซเพื่ิอบ่มลงไปแล้วปิดถุง ใช้เวลาสักสามสี่วันก็กินได้แล้ว 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 18 ส.ค. 12, 23:49
ขอบคุณสำหรับคำตอบเรื่องลูกพลับ คุณตั้งกลับมาถึงบ้านเหนื่อยๆน่าจะพักก่อนก็ได้นะคะ

แต่ก็ขอบคุณอีกครั้งที่กรุณาตอบทันทีที่มาถึงค่ะ...


ต้องกลับไปพิจารณาอีกครั้งว่าพลับที่เห็นรูปทรงอย่างไรแน่ คิดว่ากลมแป้นมากกว่ารูปไข่

รู้สึกแปลกใจว่าพลับที่เห็นเหมือนเป็นการปลูกแบบไม่ค่อยตั้งใจ ไม่เหมือนผลไม้ที่ให้ผลแบบอื่นที่ตั้งใจปลูก

ทางไปเซ็นได มีพลับปลูกอยู่ ข้างถนนเหมือนมะม่วงแก้ว แถวบ้านเรา

เคยสงสัยว่า ถ้าพลับฝาดจนต้องทิ้งขว้าง น่าเสียดายเพราะคนไทยมีฝีมือเรื่องเอาชนะรสที่ขม หรือฝาด

เช่นบรเพ็ด  ตะลิงปลิง มะยม พุทรา ล้วนทานลำบากแต่คนไทยก็จัดการได้ อร่อยมาก

เมื่อคนญ๊่ปุ่นรู้วิธีปรับปรุงรสเช่นกันจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเช่นกันค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 19 ส.ค. 12, 22:16
เคยตั้งใจว่าถ้าไปญี่ปุ่นอยากไปดูสวนหิน ที่โด่งดัง แต่ไม่มีโอกาสสักที

ใครที่พอจะเล่าสู่กันฟังได้ กรุณาเล่าให้ฟังบ้างได้ไหมคะ

ทั้งเนื้อหิน ทั้งการออกแบบและปรัชญาที่แฝงไว้ คงน่าสนใจมาก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 14:11
คุณพวงแก้วต้องไปดูที่วัดเรียวอันจิ ทีเกียวโต

อ่านคำบรรยายไป ดูภาพไป อาจจะบรรลุสัจธรรมของเซนได้

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 12, 14:24
ปริศนาจากสวนหิน โดย พระไพศาล วิสาโล  (http://www.visalo.org/article/sukjai254506.htm)

คงไม่มีก้อนหินที่ไหนสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากมายเท่ากับ กลุ่มก้อนหินที่วัดเรียวอันจิแห่งเมืองเกียวโต วัดนี้เป็นที่กล่าวขานทั่วโลกว่ามีสวนเซนที่งดงามและลึกซึ้งยิ่ง แต่สวนดังกล่าวหามีต้นไม้ขึ้นสักต้นไม่ ยกเว้นตะไคร่น้ำและมอสแล้ว ในสวนมีแต่ก้อนหินที่จับกันเป็นกลุ่ม ๆ บนลานกรวดล้วน ๆ แต่รูปลักษณ์และตำแหน่งของหิน รวมทั้งลูกคลื่นบนลานกรวดสีขาว กลับมีมนต์ขลัง ตรึงใจผู้คนมานานหลายศตวรรษแล้ว และคงจะต่อไปนานเท่านาน

สวนหินนั้นกำลังบอกอะไรแก่เรา ? ภูเขาทะยานพ้นก้อนเมฆ ? หมู่เกาะกลางสมุทร? ผู้คนในห้วงสังสารวัฏ? หรือโลกสมมติที่กำเนิดจากปรมัตถ์? นี้เป็นปริศนาที่สายตาทุกคู่พยายามหาคำตอบ แต่ไม่เคยมีคำเฉลยจาก “ศิลปิน” ผู้จัดสวนนี้เลย หรือว่าคำตอบที่แท้และถูกต้องที่สุดนั้นหามีไม่ จะมีก็แต่คำตอบจากใจของแต่ละคน เราคิดอย่างไร เรียนรู้มาอย่างไร ก็เห็นอย่างนั้น เด็ก ๆ อาจเห็นเพียงแค่ก้อนหินธรรมดา ขณะที่นักท่องป่าเห็นขุนเขาและเสือทะยาน ส่วนนักพรตเห็นความว่างเปล่าของชีวิต

แต่ไม่ว่าจะเห็นอะไร สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ไม่เคยมีใครเห็นก้อนหินในสวนแห่งนี้ครบ ๑๕ ก้อนเลยเลย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนในทิศทั้งสี่ เราจะเห็นก้อนหินได้อย่างมากที่สุดเพียง ๑๔ ก้อน หินหนึ่งหรือสองก้อนจะถูกบังและหลบหนีจากสายตาเราไปได้เสมอ

นี่เป็นปริศนาอีกข้อหนึ่งจากสวนหิน แต่ปริศนาข้อนี้ดูเหมือนจะเฉลยไม่ยาก พุทธศาสนาแบบมหายานนั้นถือว่า หมายเลข ๑๕ เป็นสัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์พร้อม สวนหินแห่งนี้อาจกำลังบอกเราว่า ปุถุชนคนเรานั้นไม่มีวันที่จะเห็นความจริงได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ย่อมมีความจริงบางส่วนบางแง่ที่เรามองไม่เห็น หรือคลาดจากสายตาของเราไป

ต้นไม้ในสายตาของบางคนหมายถึงอากาศและน้ำ ในสายตาของเด็ก ต้นไม้คือความสนุกที่จะได้ป่ายปีน แต่อีกหลายคน มันหมายถึงซุงที่สามารถแปรเป็นเงินได้ จริงอยู่เมื่อเอาทุกคนมายืนอยู่หน้าต้นไม้ ทุกคนย่อมเห็นต้นไม้เหมือนกัน กระนั้นความจริงบางส่วนก็ยังขาดหายไป ต้นไม้ที่เราแลเห็น ไม่ใช่แค่ต้นไม้เฉย ๆ หากยังมีดวงอาทิตย์ หมู่เมฆ หยาดฝน สายลม รวมอยู่ในนั้นด้วย ปราศจากองค์ประกอบดังกล่าว ต้นไม้ก็หามีอยู่ไม่ ถ้าเห็นต้นไม้ว่าเป็นเพียงแค่ต้นไม้ นั่นก็หมายความว่าเรายังเห็นต้นไม้ไม่ครบถ้วน ถึงที่สุดแล้วในต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีโลกทั้งโลกอยู่ หรืออาจจะรวมทั้งจักรวาล ถ้าเช่นนั้นต้นไม้ที่เราเห็นก็เป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวเดียวเท่านั้นของความจริง

บ่อยครั้งเรามักยึดถือเอาภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน รวมทั้งความคิดนึกในใจเราว่าเป็นความจริงแท้ เมื่อเราเห็นบางคนมีอากัปกิริยาบางอย่าง เราก็อนุมานไปแล้วว่าเขากำลังคิดมิดีมิร้ายกับเรา แทนที่จะตระหนักว่านั่นเป็นแค่การคาดคะเน กลับทึกทักเอาว่าเป็นความจริง แล้วเราก็ยึดติดกับ “ความจริง” ดังกล่าว แล้วก็เลยเห็นการกระทำอื่น ๆ ของเขาไปในทางร้ายเสียหมด ครั้นมีคนอื่นมาท้วงติง ชี้ให้เห็นว่าเขาไม่ใช่เป็นคนอย่างนั้น เรากลับยืนกรานหนักแน่น เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดนั้น “จริง” ส่วนคำทักท้วงของเขานั้น “ไม่จริง” หนักเขาก็ไม่พอใจ ฉุนเฉียว จนอาจเกรี้ยวกราด เพื่อนที่ท้วงติง ทั้งหมดนี้ก็เพราะไปหมายมั่นว่าความคิดของเรานั้นเป็นความจริงแท้

ผู้คนทุ่มเถียง วิวาท และเบียดเบียนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพราะความหมายมั่นดังกล่าว หากเพียงแต่ทุกคนตระหนักว่าสิ่งที่ตนเห็นหรือคิดนั้น เป็นได้อย่างมากแค่ความจริงบางส่วนเท่านั้น

จิตใจเราจะเยือกเย็นลง และสังคมจะสงบสุขกว่านี้ เราจะอ่อนน้อมถ่อมตนลง และใจกว้างมากขึ้น เพราะตระหนักว่า ถึงแม้เขาเห็นต่างจากเรา แต่เขาก็อาจเข้าถึงความจริงในส่วนที่เรามองไม่เห็นก็ได้

คนที่ยึดมั่นถือมั่นกับความคิดความเห็นของตน เมื่อไปสวนหินวัดเรียวอันจิ ย่อมอดไม่ได้ที่จะโต้แย้งกับเพื่อนที่นั่งชมสวนคนละมุม เพราะเห็นก้อนหินไม่เท่ากัน คนหนึ่งยืนยัน ๑๓ อีกคนยืนยัน ๑๔ ตราบใดที่ยังยืนยันจากสิ่งที่ตนเห็น ก็ย่อมผิดทั้งคู่

ถ้าต้องการเห็นก้อนหินครบทั้ง ๑๕ ก้อนในสวนเรียวอันจิ มีทางเดียวเท่านั้น นั่นคือมองจากเบื้องบน หรือจากที่สูงมาก ๆ ไม่ใช่มองจากระดับพื้นดิน ความจริงแท้ก็เช่นกัน เราจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อไม่ยึดติดกับความคิดและการรับรู้ของตัว หากพร้อมที่จะหลุดออกมาจากความคิดและการรับรู้ ยิ่งความจริงระดับปรมัตถ์ด้วยแล้ว ต่อเมื่อเราอยู่เหนือโลก ไม่ติดในโลก เราถึงจะเห็นหรือเข้าถึงได้

การติดในโลกหมายถึงติดยึดตัวตนหรือสิ่งที่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นของตน ไม่ว่า ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ ตลอดจนความคิดความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ แต่มันมีประโยชน์ต่อเมื่อรู้จักใช้ และรู้จักวาง ไฟฉายนั้นมีประโยชน์เมื่อใช้ส่องในความมืด แต่ถ้าเราถือไฟฉายไปตลอด จะกินข้าว เข้าห้องน้ำ มือก็ยังจับยังยึดไฟฉายไว้ ก็ย่อมติดขัด ในยามนี้สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกคือวางไฟฉายลง

รู้จักวางเสียบ้าง เราจะเห็นอะไรได้ชัดขึ้น และชีวิตจะเบาลงมาก
 
 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 20 ส.ค. 12, 16:56
ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูคะ เคยไปเกียวโต แต่ไปไม่ถึงสวนหิน น่าเสียดาย...

ได้รับฟัง"ปริศนาจากสวนหิน โดยพระไพศาล วิสาโล" ก็รู้สึกเหมือนส่องกระจกดูเงาตัวเอง

คือแค่มนุษย์ปุถุชนอย่างเราจะเห็นอะไรมาก...ยังมีอะไรอีกมากที่เรามองไม่เห็น...

เป็นสัจจะธรรม ที่จริงแท้คะ

ปรัชญาเซ็นอ่านทีไรก็ได้สติและปัญญาทุกที ขอบคุณคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ส.ค. 12, 18:20
พูดถึงสวนหินที่วัดเรียวอันจิ ที่เกี่ยวโต ทำให้นึกได้ว่า ที่เกียวโตมีอาหารประจำถิ่นอยู่เมนูหนึ่ง คือ เต้าหู้ต้ม จัดเป็นอาหารมีราคาเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีอีกมากมายหลายวิธีที่ใช้เต้าหู้ทำอาหารจานอร่อย   ซุปมิโสะ ก็ต่างไปจากของโตเกียว ใช้มิโสะสีน้ำตาลเข้มไม่ใช้สีน้ำตาลอ่อน ซึ่งเป็นลักษณะของมิโสะที่ใช้กันในภูมิภาคคันไซ (ญี่ปุ่นตอนใต้  คันโตคือญี่ปุ่นตอนเหนือ)  ว่าไปแล้ว อาหารของเกียวโตเป็นอาหารสุขภาพมากกว่าที่อื่นๆ
   
อาหารชุดแบบ Kaiseki ในเกียวโตก็แพงมากกว่าที่อื่นๆประมาณ 10,000 เยน  (ราคาปรกติของ Kaiseki โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 20,000 เยนต่อคน)

เมนูที่อร่อยแบบง่ายๆอีกเมนูหนึ่ง คือ เอามิโสะสีเข้มๆนี้มาคลุกกับเห็ดที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่น้ำตาลเล็กน้อยแล้ววางบนใบหูกวางปิ้งบนเตาถ่าน กินกับข้าวสวยร้อนๆ เหมือนกับการกินเต้าหู้ยี้กับข้าวต้มของเรา


 

   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ส.ค. 12, 18:41
ภูมิภาคคันไซ (ญี่ปุ่นตอนใต้  คันโตคือญี่ปุ่นตอนเหนือ) 

คันไซหมายถึงฝั่งตะวันตก ส่วนคันโตคือฝั่งตะวันออก

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ส.ค. 12, 19:13
ขอขยายความเรื่องอาหารแบบ Kaiseki

Kaiseki คือ อาหารเป็นคอร์สที่จัดเสิร์ฟแบบแยกให้แต่ละคน คล้ายกับคอร์สอาหารที่จัดแบบฝรั่งเศส หรือที่จัดในกาลาดินเนอร์ หรือที่จัดในการเลี้ยงรับรองอย่างเป็นพิธีการ  ต่างกับโต๊ะจีนนำอาหารมาวางตรงกลางเป็นจานรวมให้กับทุกคน  โต๊ะจีนเหมาะสำหรับการจัดแยกนั่งเป็นโต๊ะๆละไม่เกิน 10 คน  แต่ Kaiseki กับของฝรั่งนั้นจะเป็นโต๊ะเดียวยาวขนาดใหนเพียงใดก็ได้

ชุดอาหารแบบ Kaiseki นั้น อาหารแต่ละชนิดที่จัดมาในแต่ละจานมีเพียงสองสามชิ้นเท่านั้น เมื่อจบคอร์สก็จะอิ่มพอดีๆ (ไม่รู้สึกหลามหรือมากเิกินไปเหมือนกับของฝรั่ง หรือเหลือเบอะบะเหมือนกับโต๊ะจีน)  วิธีการจัดก็เป็นศิลป์ของแต่ละพ่อครัว บ้างก็เอาอาหารหลากหลายมาวางกองอยู่ตรงหน้าพร้อมๆกัน บ้างก็จัดมาทีละจาน หมดแล้วก็เก็บไปเอาจานใหม่มาวางแทน บ้างก็จัดมาเป็นชุดย่อยๆแฝงในชุดใหญ่ เช่น ชุดปลาดิบ ชุดเทมปุระ เป็นต้น    สวยงามดี อร่อยดี แต่ก็แพงดีเหมือนกันครับ   ในชุดอาหารแบบ Kaiseki นี้ ไม่เคยเห็นมีข้าวปั้นซูชิเลยครับ และที่เคยเห็นว่าแปลกไป คือ เป็นการจัดเอาอาหารแบบฝรั่งมาแทนอาหารญี่ป่น เช่น อกเป็ดย่าง เนื้อย่าง อะไรทำนองนี้    อาหารชุดแบบ Kaiseki พวกนี้จะเป็นการกินเนื้อสัตว์ในช่วงแรกๆ ตบท้ายด้วยชุดข้าวที่มาพร้อมกับซุปมิโสะและผักดองเท่านั้น  

หากไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วเกิดมีเงินเหลือมากมาย อยากจะลองกินแบบ Kaiseki ก็พอใด้ครับ ขออย่าได้ไปลองในร้านอาหารในโรงแรมก็แล้วกัน มันจะไม่ต่างไปจากการนั้นกินอาหารในภัตตาคารแบบเห็นโต๊ะกันเท่าใดนัก  หากจะลองจริงๆคงจะต้องไปร้านอาหารที่ขายอาหารแบบ Kaiseki โดยเฉพาะ ซึ่งมีห้องแยก มองเห็นวิวต้นไม้จากหน้าต่างกระจก นั่งห้อยขาในหลุมหรือนั่งขัดสมาธิ  เมื่อคิดจะกินแพงแล้วก็คงจะต้องกินให้ครบชุดไปเลย เิริ่มด้วยเบียร์ กัมไป (ชนแก้ว) เสร็จก็ตามด้วยสาเกร้อนในระหว่างการกิน ตบท้ายด้วยชาเขียวดีๆ  จะไปสุดๆก็ต้องสั่งเกอิชามาจากโตเกียวเลย บวกไปอีกเป็นแสนเยน   ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง (ดูจะเป็นกฏเกณฑ์ของเวลาในการนั่งกินในร้านอาหารในญี่ปุ่น)



 

  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ส.ค. 12, 19:20

คันไซหมายถึงฝั่งตะวันตก ส่วนคันโตคือฝั่งตะวันออก

 ;D

ขอบพระคุณครับ ถูกต้องครับ
 
ผมเอาแบบที่เรามักจะเห็นภาพว่าประเทศญี่ปุ่นวางตัวในแนวเหนือใต้ครับ
 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 22 ส.ค. 12, 11:54
ตัวอักษร 関 คันโต (関東) และคันไซ (関西) เป็นตัวอักษรที่ญี่ปุ่นย่อมาจากอักษรจีน 關 (ระบบเขียนย่อของจีนแผ่นดินใหญ่เขียนเป็น 关) อ่านว่า กวาน แปลว่า ด่าน

คันโตก็คือตะวันออกของด่าน และคันไซก็คือตะวันตกของด่านนั่นเองครับ

ชื่อคันโตนี้จะพ้องกับชื่อกวานตงในประเทศจีน คือพื้นที่ทางตะวันออกนอกด่านซานไห่ ทางอีสานของจีน ซึ่งก็คือพื้นที่ที่เคยตั้งเป็นประเทศแมนจูกัวในกระทู้ข้างบ้านนี้เองครับ

wiki บอกว่าในปัจจุบันพื้นที่คันโตในความรับรู้ของคนญี่ปุ่นนับจากทางตะวันออกของด่านตรวจที่ฮะโกะเน่ แต่เห็นได้ว่าพื้นที่ทางคันโตก็พอจะสอดคล้องอยู่ แต่พื้นที่คันไซนั้นห่างออกไปทางตะวันตกอีกมาก น่าคิดว่า "ด่าน" ที่แบ่งแยกคันโตกับคันไซนี้ไม่น่าจะเป็นด่านที่ฮะโกะเน่

ด่านที่ฮะโกะเน่นี้ความจริงเป็นเพียงด่านหนึ่งในหลายสิบด่านบนเส้นทางชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือที่เรียกว่าโตไคโด (東海道) ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญเชื่อมต่อระหว่างศูนย์กลางอำนาจแถบเกียวโต (บริเวณคันไซ) และศูนย์กลางอำนาจที่เอะโดะ (บริเวณคันโต) เป็นไปได้หรือไม่ครับ ว่า "ด่าน" ที่ว่านี้หมายถึงโตไคโดทั้งสายนี่แหละครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 ส.ค. 12, 18:36
ได้ความรู้เพิ่มอย่างคาดไม่ถึงเลยครับ

ผมได้มีโอกาสไปจังหวัด Gifu เพื่อไปชมการแสดงการจับปลาอาหยุในแม่น้ำ Nagara ด้วยวิธีการแบบโบราณด้วยนก Cormorant และไปเที่ยวเมือง Ena ซึ่งเจ้าหน้าที่ของจังหวัดพาไปดูเส้นทางเดินสมัยก่อนโน้น เขาบอกว่าเป็น Highway เชื่อมต่อระหว่างเกียวโตกับเอโดะ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เขาใช้คำว่า Kanto route (ซึ่งน่าจะให้ความหมายไปในทำนองว่าเป็นเส้นทางมุ่งตะัวันออก) เส้นทางนี้จะไปตามร่องเขาผ่านเมือง Matsumoto จากนั้นจึงจะตัดมาผ่าน Hagone เพื่อเข้าสู่เอโดะ
ภูมิประเทศของเมือง Ena นี้มีลักษณะเป็นแ่อ่งกระทะ จึงกลายเป็นเมืองที่พักแรมสำคัญของนักเดินทาง ที่นี่จึงมีกระดานติดเอกสารข่าวสารต่างๆให้ผู้ที่เดินทางได้ทราบทั้งพวกที่เดินทางมาจากทางเอโดะและพวกที่เดินทางมาจากเกียวโต  จาก Ena ก็จะต้องเดินขึ้นเขาไปลงยังเมือง Matsumoto ซึ่งก็เป็นเมืองที่พักกลางทางอีกแห่งหนึ่ง ผมจำได้ว่าไม่เคยได้ยินคำอธิบายที่ใช้คำว่าคันโตกับคันไซ เกี่ยวกับเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างเกียวโตกับเอโดะเส้นนี้ที่เมืองนี้ จะไปได้ยินอีกอีกครั้งก็แถว Hagone   และที่โตเกียว

ผมเห็นคล้อยกับความเห็นที่คุณ Crazyhorse สงสัยอยู่นั้น มีความเป็นไปได้มากว่า คันโตกับคันไซ นั้นอาจะเป็นคำบอกกล่าวถึงทิศทางที่คนเดินทางบนเส้นทางนี้กำลังมุ่งจะไป มากกว่าที่จะหมายถึงย่านพื้นที่     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 ส.ค. 12, 19:40
เดี๋ยวจะเป็นเรื่องของญี่ปุ่นมากไป เลยจะขอแยกลงข้างทางไปถนนเล็กๆแวะกินอาหารสักหน่อย

เมื่อเราเดินทางไปกับทัวร์นั้น เขาจะจัดการเรื่องอาหารให้เราเกือบจะทุกมื้อ จะมีเพียงบางมื้อที่ให้เราหากินเอง  ที่จริงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะถูกต้องแล้ว คนไทยไม่ค่อยจะคุ้นกับการนั่งแยกโต๊ะอาหารกันหากมาด้วยกัน เรามักจะขอต่อโต๊ะ ทั้งๆที่บ่อยครั้งมากเรากินอาหารแบบจานใครจานมัน มิใช่สั่งกับข้าวมากินเป็นสำรับรวมกัน
 
ร้านอาหารในต่างประเทศเกือบจะทุกประเทศ จะจัดโต๊ะสำหรับ 4 คนเป็นหลัก อาหารในราคาปรกติก็มักจะขายในร้านอาหารที่มีพื้นที่จำกัด ไม่มีพื้นที่ใหญ่โตเหมือนกับร้านอาหารที่เรียกว่าภัตตาคาร ดังนั้น หากเราไปกินกัน 5 คนก็เริ่มจะเป็นปัญหาแล้ว ยิ่งคนมากกว่านี้และประสงค์จะนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ยิ่งยากขึ้นไปอีก ดังนั้นหากเรารวมสมัครพรรคพวกไปเที่ยวด้วยกันมากกว่าจำนวนหนึ่งก็จะเริ่มมีปัญหาในการหาร้านกินข้าว ซึ่งมิใช่เฉพาะในเรื่องของอาหารเท่านั้น แม้กระทั่งการเดินทางก็ยุ่งยาก รถแทกซี่ในหลายประเทศจำกัดให้ผู้โดยสารนั่งได้ไม่เกิน 2-3 คน ไปด้วยกัน 3 คนบางทีก็มีปัญหาแล้ว จะต้องใช้รถ 2 คัน  ผมเห็นว่า หากจะจัดกลุ่มไปเที่ยวกันเอง จำนวน 4 คนจึงเป็นจำนวนที่เหมาะที่สุด จะทำอะไรก็ดูจะคล่องตัวไปหมดมากที่สุด หากมีเพียงสองคนยิ่งสุดยอดไปเลย คล่องตัวเป็นที่สุดครับ

ทัวร์ไทยนิยมพาลูกทัวร์ไปกินในร้านอาหารจีน ก็เพราะเหตุหลักนี้เอง แต่ละโต๊ะสามารถปรับได้ระหว่าง 8 -12 คน ประกอบกับเป็นลักษณะของอาหารคล้ายๆกันกับในเมืองไทยที่ลูกทัวร์กินได้แม้จะรู้สึกไม่ถูกปากและอร่อยก็ตาม  ก็เป็นลักษณะของอาหารในโต๊ะจีนตามปรกติ คือ มีซุป (ไข่คน) มีปลา (นึ่ง) มีผัดผัก ....ตบท้ายด้วยผลไม้  บางทัวร์ก็ได้ร้านจีนแต่ละร้านที่ดีหน่อย บางทัวร์ก็แทบจะกินอาหารซ้ำซากแม้ว่าจะกินต่างร้านกัน

ที่จะขอเสวนา คือ เรื่องของการใช้ตะเกียบซึ่งในประเทศที่ใช้ตะเกียบเป็นอุปกรณ์ในการกินเขาถือกัน และใช้ดูระดับของคนในสังคมพร้อมๆกันไปด้วย   
ตะเกียบจีนเป็นตะเกียบยาว ปลายใหญ่และกลม  ตะเกียบญี่ปุ่นสั้นกว่าตะเกียบจีนและเป็นทรงปลายเรียวแหลม ตะเกียบเกาหลีเป็นโลหะมีขนาดสั้นกว่าของญี่ปุ่น แถมเป็นแ่ท่งแบนๆอีกด้วย เล็กอีกต่างหาก  ในวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบนี้ มีที่เหมือนๆกันอยู่ คือ สามารถใช้ตะเกียบช่วยคีบอาหารให้คนอื่นได้ ด้วยการวางอาหารที่คีบนั้นลงในถ้วยข้าวหรือภาชนะ ทั้งนี้ จะต้องกลับตะเกียบใช้ด้านที่ไม่ได้ใช้คีบอาหารเข้าปาก   ห้ามใช้ตะเกียบกับตะเกียบคีบรับอาหารกัน การใช้ตะเกียบคีบรับสิ่งของต่อกันเป็นเรื่องของการคีบกระดูกคนตาย (ดูได้จากภาพในการล้า่งป่าช้า) ห้ามทำเลยครับ     
การวางตะเกียบบนโต๊ะัแบบจีน จะวางตะเกียบหันด้านปลายออกไปทางด้านหน้าของผู้ใช้ (ลักษณะพุ่งตรงไปหาผู้ที่นั่งอยู่ด้านตรงข้าม)  การวางแบบญี่ปุ่นจะวางด้านเหนือของจานหรือชุดอาหารในลักษณะขนานกับโต๊ะ (ไม่ให้ปลายตะเกียบชี้ไปทางผู้ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม)  การวางตะเกียบแบบเกาหลีนั้น เหมือนกับวางแบบญี่ปุ่นแต่แทนที่จะวางอยู่ด้านเหนือของจานอาหาร ก็วางอยู่ด้านล่างของจานอาหาร (จำได้ไม่แม่นแล้วครับ) 



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 25 ส.ค. 12, 19:31
^
ข้าวญี่ปุ่นเป็นข้าวเมล็ดสั้น ออกไปทางข้าวเหนียว คือไม่ร่วนซุย ญี่ปุ่นใช้ตะเกียบเป้นช้อนคีบข้าวกิน ไม่ยกถ้วยพุ้ยเข้าปากเหมือนกับวิธีการกินของจีน เพราะข้าวที่คนจีนกินกันนั้นเป็นข้าวเมล็ดยาวร่วนซุยแบบข้าวสวยที่เรากินกัน

การกินน้ำซุปของญี่ปุ่นก็ต่างกับของจีน ญี่ปุ่นจะยกถ้วยซดเลย แต่จีนนั้นใช้ช้อนตัก ในกรณีที่ซุปนั้นมีกะดูก ก้าง หรือเปลือก (หอยปู) ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยกิน (แทะ ดูด) เนื้อนั้น หากจะกินก็จะคายกระดูก ก้าง หรือเปลือกนั้น ลงกลับไปในถ้วยซุป ในขณะที่จีนจะคายออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างถ้วย  ผมว่าสนุกก็ตรงที่ใช้ตะเกียบปลิ้นกระดูกหรือก้างปลาหรือปู แล้วคีบกลับมาวางทิ้ง ง่ายที่สุดก็คือใช้มือ แต่ทำไม่ได้ 

อีกอย่างหนึ่ง คือ อาหารที่ตัดเป็นชิ้นทั้งของจีนและญี่ป่นนั้น มักจะตัดเป็นคำโตๆ ไม่สบายปากเราที่จะเคี้ยวด้วยคำโตๆ ต่างจากแบบที่เราได้รับการสอนกันมาให้ตักอาหารใส่ปากแต่พอคำที่ง่ายต่อการเคี้ยวแบบหุบปาก จะใช้ตะเกียบสองขาแยกอาหารชิ้นนั้น มันก็ลำบาก และไม่ดูจะขัดกับธรรมเนียมของเขา แถมจะคีบมาใส่ปากใช้ฟันกัดแบ่งก็ทั้งขัดกับธรรมเนียมและการใช้กำลังขอตะเกียบเพื่อดึงทึ้งให้ขาดออกจากกัน

อาหารจีนจะเสิร์ฟเป็นจานใหญ่ ให้ทุกคนแบ่งกินกันเอง หากยังไม่หมดก็จะยังวางอยู่อย่างนั้น ตามธรรมเนียมของจีนจะให้แขกเป็นผู้ตักก่อนเสมอทุกจาน ก่อนการกินจะมีการกัมไป อวยพรกันด้วยเหล้าจอกเล็กๆ และในระหว่างกินก็สามารถจะอวยพรกันได้เรื่อยๆ มิใช่จะเป็นผู้สันทัดกรณีอะไรนะครับ ได้มาจากการปฎิบัติและการบอกเล่าในช่วงหนึ่งของการเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงาน (Liaison officer) ต้อนรับคณะ รมช.จีนสมัยก่อนโน้น เลยเล่าสู่กันฟัง  ที่ดูจะแปลกไปไม่เหมือนกับที่รู้มานี้ก็คือ เมื่อคราวไปเข้าร่วมประชุมที่ปักกิ่งครั้งหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลจีนต้อนรับที่ศาลาประชาคม พอกล่าวสุนทรพจน์เสร็จเท่านั้น อาหารก็ทะยอยออกมาเป็นสายจนต้องวางซ้อนจานกัน รวมทั้งของหวานด้วย เลยไม่รู้ว่าธรรมเนียมที่แท้จริงเป็นอย่างไร
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 25 ส.ค. 12, 20:59
^
สำหรับอาหารญี่ปุ่นนั้น โดยหลักของการรับรองแขกแล้วจะจัดเป็นสำหรับแยกสำหรับแต่ละคน เป็นลักษณะของการกินกับก่อนกินข้าว เขาจัดมาให้แต่ละชนิดในปริมาณที่พอดีกับการกินให้หมด เมื่ออาหารอีกอย่างหนึ่งมาเสิร์ฟ ก็หวังจะเก็บจานเปล่าออกไป ยกเว้นกรณียกมาเป็นสำรับ (คล้ายกับเบนโตะ) 
ญี่ปุ่นถือในเรื่องของการนั่งกินร่วมกันแบบสองฝ่ายมีจำนวนคนฝ่ายละเท่าๆกัน

ขอไปทำธุระก่อนครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ส.ค. 12, 18:27

ทัวร์ไทยนิยมพาลูกทัวร์ไปกินในร้านอาหารจีน ก็เพราะเหตุหลักนี้เอง แต่ละโต๊ะสามารถปรับได้ระหว่าง 8 -12 คน ประกอบกับเป็นลักษณะของอาหารคล้ายๆกันกับในเมืองไทยที่ลูกทัวร์กินได้แม้จะรู้สึกไม่ถูกปากและอร่อยก็ตาม  ก็เป็นลักษณะของอาหารในโต๊ะจีนตามปรกติ คือ มีซุป (ไข่คน) มีปลา (นึ่ง) มีผัดผัก ....ตบท้ายด้วยผลไม้  บางทัวร์ก็ได้ร้านจีนแต่ละร้านที่ดีหน่อย บางทัวร์ก็แทบจะกินอาหารซ้ำซากแม้ว่าจะกินต่างร้านกัน

ภาพอาหารจีนในทัวร์ไทยลอยขึ้นมาในความจำทันทีที่ได้อ่าน    ซุปไข่หรือไข่น้ำเสิฟมาให้กินไม่ลงเป็นชามแรก เพราะจืดชืดเหมือนน้ำเปล่า   ปลานึ่งตัวโตๆ จืดพอกัน  ส่วนผัดผักถ้าไปกินในปักกิ่งจะเป็นผักต้มน้ำมันลอยเต็มชาม ไม่ใช้ผัดอย่างบ้านเรา
ทัวร์ที่ดิฉันไปรู้ใจลูกทัวร์  จึงมีน้ำปลา พริกป่น  น้ำพริกแห้งๆ   น้ำจิ้มอาหารทะเล น้ำจิ้มไก่ ให้ไกด์พกแจกลูกทัวร์ทั่วถึง    เพื่อจะเติมรสชาติให้กินได้หมดชาม


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 26 ส.ค. 12, 19:31
เข้ามาเล่าเรื่องอาหารจีนบ้าง...ไปทัวร์ยุโรปทีไรเป็นต้องเข้าแต่เข้าร้านอาหารจีน แม้จะเป็นทัวร์ที่พิถีพิถันเรื่องอาหารการกินแล้ว
แต่ก็ยังพบกับความผิดหวังอยู่บ่อยครั้งเพราะเมนูที่ไกด์สั่งมา จะกี่ร้านๆก็ซ้ำๆกันราวกับว่า ภัตตาคารจีนเหล่านี้ทำอาหารอร่อยไม่เป็น

ไม่พ้นแกงจืดผักที่เหมือนผักต้มน้ำใส่เกลือนิดหน่อย  ตามด้วยไก่ทอด ปลานึ่งซีอิ้ว .....ที่แย่ที่สุดมีครั้งหนึ่งไปแถวเนเธอแลนด์
เจอเมนูเดียวกันต่อเนื่อง 4 มื้อ ลูกทัวร์ก็เริ่มโวยวาย ไกด์ก็เลยต้องสั่งเมนูพิเศษเพิ่มให้อีก  2 อย่าง

ความรู้สึกขณะนั้นอยากจะบอกว่า เชื่อว่าร้านอาหารในต่างประเทศถ้าเขาตั้งเป็นภัตตาคารได้เขาน่าจะทำอาหารได้หลากหลาย
และรสชาติก็คงไม่เลวร้ายเกินไป  แต่บริษัททัวร์ไทยกลับไม่รู้จักเลือกเมนูที่แตกต่างกันบ้าง แต่กลับเลือกเมนูเดิมซ้ำๆกันทุกร้าน
เหมือนเป็นเซ็ทที่ราคาถูกที่สุดทุกภัตตาคาร  ...ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของใครในบริษัททัวร์ แต่คนที่ต้องรับหน้าลูกทัวร์คือไกด์

ในทัวร์แต่ละครั้งที่ไปจะเจออาหารจีนที่อร่อยน้อยมาก 

แต่อาหารฝรั่งในท้องถิ่นน่าทานกว่า รสชาติดีกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน

เคยเจอร้านอาหารไทยที่เจ้าของร้านเป็นคนเวียดนาม ทำอาหารได้เหมือนคนไทยทำจริงๆ (ที่เยอรมัน)
เมื่อเร็วๆนี้ ได้ยินเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติบอกว่า คนเวียดนามเขาต้องการเข้ามาเรียนทำอาหารไทย
เพื่อกลับไปเปิดร้านอาหารไทยของเขาเองในอีก 2-3 ปีข้างหน้า....เมื่อถึงเวลานั้น คนไทยจะหนาวไหม



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 26 ส.ค. 12, 19:38
ร้านอาหารไทยที่มีชาวเวียดนามเป็นเจ้าของคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 ส.ค. 12, 17:38
^
^
ความแปลกของทัวร์ไทยอย่างหนึ่ง คือ แทนที่ไปประเทศเขาแล้วจะพยายามพากินอาหารประจำถิ่นของเขา กลับพาไปกินอาหารในร้านอาหารจีน ร้านอาหารไทยก็ไม่ค่อยจะพาไปกินเหมือนกัน  ฝ่ายลูกทัวร์ก็พอดีกัน ก็ไม่พยายามจะกินอาหารของเขา จะกินแต่อาหารไทยซึ่งไกด์ก็จะจัดอาหารจีนให้ ก็ดูจะพอใจ  ไกด์ทัวร์ก็เตรียมน้ำปลา พริกป่น บางคณะก็มีแถมซอสพริกด้วย  ทั้งๆที่ ในร้านอาหารจีนเหล่านี้ต่างก็ใช้ซีอิ๊วในการทำอาหาร เพียงขอซีอิ๊ว ขอหอมซอย จะใส่พริกป่นหรือพริกสดพันธุ์อื่นๆที่มีขายในท้องถิ่นนั้นๆ ก็อร่อยได้เหมือนกัน  ซีอิ๊วใส่หอมซอยและพริกสดนี้ ใช้กันในมาเลเซียมาก ผมว่าก็เข้าท่าดีนะครับ  หากไกด์ขี้เกียจพกน้ำปลาพริกป่นไปด้วย ก็ยังสามารถหาซื้อน้ำปลาพริกดองในขวด ซึ่งมีขายในร้านเอเซียทั้งหลาย ไม่ว่าเจ้าของจะเป็นคนชาติใหนก็ตาม น้ำปลาพริกดองในขวดนี้ แม้จะเห็นคำอธิบายเป็นภาษาเวียดนามก็จริง แต่เกือบทั้งหมดจะผลิตไปจากไทย

เหตุผลหนึ่งที่ทัวร์ไทยไม่พาไปกินในร้านอาหารไทยจริงๆ ก็เพราะราคาสูงมาก ร้านค่อนข้างจะเล็กและการจัดร้านค่อนข้างจะแน่น ดูคับแคบ โต๊ะอาหารมักจะเลือกใช้แบบเป็นม้านั่งหันหลังชนกัน ไมแยกเป็นโต๊ะๆแบบเป็นแก่กันทั้งเก้าอี้และโต๊ะอาหาร ในปัจจุบันอาหารไทยเป็นอาหารที่ถูกจัดเป็นระดับอาหารที่หรูหราของฝรั่งเขา ดั้งเดิมนั้น เมื่อประมาณ  35+ ปีมานี้ อาหารจีนจัดเป็นอาหารพิเศษที่มีราคาสูง จะไปกินกันเฉพาะในวาระพิเศษจริงๆ อาหารญี่ปุ่นแซงอาหารจีนเมื่อประมาณ 25 ปีมานี้ ไม่นานก็ถูกอาหารไทยแซงจนกลายเป็นอาหารยอดนิยมไป 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 ส.ค. 12, 18:32
ต่อให้จบเรื่องความแปลกอีกสักหน่อย

เมื่อครั้งๆไปประจำการ คณะดูงานทั้งหลายพอไปถึง ก็จะขอให้สถานทูตต้อนรับ จัดอาหารอื่นให้ก็ดูจะไม่ค่อยพอใจ ต้องเป็นอาหารไทย แล้วก็บอกว่าอร่อยเหลือหลาย ทั้งๆที่ก็เพิ่งมาจากเมืองไทยซึ่งสามารถหากินอาหารไทยอร่อยๆได้มากมายในเมืองไทย หรือเจอแต่อาหารถุงพลาสติกมาจนเบื่อก็มิรู้ได้ หากขอให้สถานทูตต้อนรับในวันหลังๆหลังจากดูงานมากันบ้างแล้ว ก็ยังพอว่า เพราะไม่ได้กินอาหารแบบเต็มอิ่มมาหลายวัน

สูตรชุดอาหารต้อนรับคณะดูงานต่างๆก็ไม่มักจะหนี น้ำพริก ผักจิ้ม ไข่พะโล้ ผัดผัก แกงเขียวหวานไก่ ไข่เค็ม ไก่ทอด อาหารอื่นๆนอกจากนี้ก็แล้วแต่ท่านทูต แม่ครัว จำนวนคน และเครื่องปรุงที่จะสามารถหาได้ในถิ่นนั้นในช่วงเวลานั้น  เชื่อใหมครับว่า กับข้าวยอดนิยมที่ทุกคนพอใจและจะร่อยหรอก่อนเพื่อน คือ ไข่พะโล้ กับไก่ทอด หรือหมูทอดกระเทียม   หากจะต้องเสริมให้เพิ่มเติมก็ไข่เจียว

คงพอจะเห็นกันได้นะครับว่า มันบ่งชี้อาหารการกินของคนไทยนั้นเป็นลักษณะใดในปัจจุบัน ผมเห็นว่า อาหารถุงเกือบจะเป็น norm ของอาหารไทยไปแล้ว จึงเป็นเรื่องไม่แปลกนักที่คนในเมืองรุ่นใหม่ๆไม่ค่อยจะรู้จักอาหารไทยอย่างหลากหลาย อาจจะไม่เคยได้ยินชื่ออาหารหลายๆอย่าง (เช่น แกงบวน ต้มจิ๋ว แกงหอง บุ่มใบ่ แกงร้อน อ่อม จอ ยำทวาย ฯลฯ) รวมทั้งผัก เครื่องเคียง และเครื่องแนมต่างๆ (เช่น ผักชีล้อม ผักชีลาว ใบชะมวง ยอดมะกอก ดอกข่า เร่ว บุก เห็ดเผาะ ยอดกาหยี ลิ้นฟ้าหรือเพกา ยอดกุ่มดอง ผักเสี้ยนดอง ผักหนามดอง ฯลฯ)  ของอร่อยๆทั้งนั้น และยังพอหาซื้อในบางตลาดในกรุงเทพฯได้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 ส.ค. 12, 20:30
ตอนนี้ก็จะแง้มเรื่องบางอย่าง
ได้เล่าเปิดเรื่องอาหารจีน ญี่ปุ่น และไทยในต่างประเทศแล้ว จะขอต่อครับ

ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพในการเริ่มต้นเรื่องครับ

ความ ฉ.ห. ที่เกิดขึ้นกับอาหารจีน ต่อด้วยญี่ปุ่น และกำลังเข้าสู่อาหารไทย ก็คือ  เมื่ออาหารเริ่มเป็นที่นิยมมาก รายได้ดี ก็จะมีคนพยายามเปิดร้านมากขึ้น คนที่คิดจะเปิดร้านมีทั้งคนที่มีเชื้อชาติเป็นเจ้าของอาหาร ซึ่งมักจะเป็นไม่ได้ที่จะเป็นเจ้าของร้านเอง เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย แล้วก็มีคนอื่นๆที่อยากจะทำกิจการนี้เช่นกัน    สำหรับร้านอาหารในระดับภัตตาคารนั้น เขาสามารถรักษาสูตร วิธีการทำ และคุณภาพของอาหารที่ผู้กินคาดหวังได้ แต่ร้านเล็กๆที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดตามมานั้น ขาดทั้งพ่อครัว อุปกรณ์และความเข้าใจในกระบวนการทำและรสชาติของอาหาร ส่วนมากจึงเป็นเรื่องของเจ้าของร้านทำอาหารเอง ทั้งนี้ จะให้สามารถแข่งขันอยู่ได้ก็ด้วยการขายในราคาที่ถูกกว่า กระบวนการก็คงพอจะทราบกันว่าควรจะทำอย่างไรนะครับ     ฝ่ายผู้บริโภคก็คาดหวังที่จะได้กินอาหารดีๆในราคาที่ย่อมเยาว์กว่า จะด้วยกำลังทรัพย์หรืออะไรก็ตามแต่ พอไปกินเข้าก็เห็นว่าไม่คุ้มค่า คุ้มราคา แต่ก็เห็นว่าก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เปลี่ยนรสชาติอาหารอันจำเจของตน เอาละ ก็กินได้เหมือนกัน     ฝ่ายผู้ขายก็เห็นว่ามีผู้คนสนใจกินอยู่ไม่ขาด ตลาดพอไปได้ ก็เปิดกันใหญ่  ทำอาหารไม่เป็นก็ไม่เป็นไร มีผู้รู้สอนให้ (ส่วนนี้จะขยายความต่อครับ) เมนูอาหารก็ลอกเขามาเลย
อาหารจีน ก็มีซุป ใส่น้ำพอเริ่มเดือดก็ตีไข่ใส่ คนเลย ฉีกเนื่อไก่ต้มเป็นเส้นๆใส่ลงไป จะใส่อะไรอีกที่จะทำให้สุนทรีย์และมีรสชวนกินขึ้นก็ไม่รู้ ใส่แป้งมันหรือแป้งข้าวโพดใ้ห้น้ำข้นๆเหนียวๆเป็นอันใช้ได้ เมนูที่สองก็เปรี่ยวหวาน จะสั่งเนื้ออะไรก็เอาเนื้อนั้นชุบแป้งทอด ทำน้ำเปรี้ยวหวานสีแดงๆราดลงไปก็เป็นอันเสร็จ เมนูที่สามก็ช๊อบสุย เมนูที่สี่ก็ผัดหมี่ แค่นี้ก็พอจะเปิดร้านได้แล้ว แสดงจำนวนอาหารให้มากขึ้นด้วยการเปลี่ยนเนื้อในอาหารเท่านั้น   อาหารจีนตามร้านเล็กจึงเกือบจะเหมือนกันหมดที่รูปร่างและรสชาติ ความมีระดับก็ลดลงไป กลายเป็นอาหารตลาดระดับล่าง  แถมยังไปลอกเอาการทำอาหารจีนแบบมาเลเซียเข้ามาอีกด้วย

ตัดตอนเพียงนี้ก่อนจะไปอาหารญี่ปุ่น         
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ส.ค. 12, 21:09
อ้างถึง
จึงเป็นเรื่องไม่แปลกนักที่คนในเมืองรุ่นใหม่ๆไม่ค่อยจะรู้จักอาหารไทยอย่างหลากหลาย อาจจะไม่เคยได้ยินชื่ออาหารหลายๆอย่าง (เช่น แกงบวน ต้มจิ๋ว แกงหอง บุ่มใบ่ แกงร้อน อ่อม จอ ยำทวาย ฯลฯ)

ผมแก่เพราะกินข้าวมานานขนาดนี้แล้ว ยังนับเป็นคนรุ่นใหม่กับเขาเหมือนกัน เพราะนอกจากอ่อมและยำทวายแล้ว ไม่รู้จักเมนูที่นายตั้งว่ามาเล้ย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 28 ส.ค. 12, 15:30
 บุ่มใบ่  อ่อม จอ ยำทวาย 4รายการนี้ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันคะ

 ในหนังสือเกี่ยวกับอาหารก็ไม่ค่อยเคยเห็นนะคะ

 ว่างๆต้องขอให้คุณตั้งอธิบายให้ฟังบ้างว่าหน้าตาเป็นอย่างไรคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ส.ค. 12, 15:46
คนไทยจำนวนมาก(ไม่ใช่ทุกคน)  มีนิสัยแปลกอย่างหนึ่งค่ะ คุณตั้ง   คือถ้าอยู่ในบ้านเมืองเรา ต้องกินฟาสต์ฟู้ด ไก่ชุบแป้งทอด  กินกาแฟสตาร์บั๊ค  จะเห็นได้ว่าศูนย์การค้าไม่ว่าใหญ่น้อยต้องมีร้านพวกนี้  ไม่งั้นคนไม่เข้า       คนกินก็ไม่ใช่แค่วัยรุ่น   แต่เห็นครอบครัวพ่อแม่พาลูกมากินพร้อมหน้ากันบ่อยๆ
แต่พอไปทัวร์เมืองนอกเจ็ดวันสิบห้าวัน      ไม่มีใครอยากแตะอาหารพวกนี้   ขออาหารไทยกินกันแค่ไข่เจียว ไข่พะโล้  น้ำพริกคลุกข้าว เท่านั้นก็พอ   อย่ามาเสิฟสเต๊คเชียวนะ  กินไม่ลง

อาหารไทยที่คุณตั้งบอกชื่อมา อย่างแกงบวน ต้มจิ๋ว แกงหอง บุ่มใบ่ แกงร้อน อ่อม จอ ยำทวาย   อ่านแล้วเห็นภาพแม่ครัวบ้านทรายทองหรือไม่ก็บ้านคุณนายน้อมแห่งเรื่องวนิดากำลังคั่วแกงพะแนงผัดอาหารพวกนี้อยู่      แต่ถ้าดูตามห้องพักในคอนโดแล้ว   เห็นจะไม่มีทางทำได้ ต่อให้กางตำราตรงหน้าก็เถอะค่ะ   เนื้อที่ในคอนโดมันไม่พอจะวางเครื่องครัว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ส.ค. 12, 16:00
ป.ล. กำลังนึกอย่างคุณพวงแก้วว่าคุณตั้งน่าจะรู้จักอาหารไทยพวกนี้ดี    อาจจะทำเป็น หรืออย่างน้อยก็รู้วิธีทำ    สังเกตจากกระทู้เล่าเรื่องตอนเข้าป่า   ก็ดูชำนาญในการหาผักหาปลามาปรุงเป็นอาหารอร่อยได้
เชิญตั้งกระทู้ในห้องวิเสทนิยมได้เลยนะคะ ถ้าพร้อม    น่าสนใจมากค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 ส.ค. 12, 17:16
^
เรื่องอาหารนั้นพอได้ แบบผมทำนะครับ ลงมือเองเมื่อนึกอยากขึ้นมา
อย่างที่คุณเทาชมพูว่าไว้แหละครับ อาหารไทยเก่าๆนั้นมีเครื่องประกอบเยอะมาก การทำไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่จริงๆคือ ทำแล้วมันเป็นหม้อใหญ่ กินไม่หมดในมื้อเดียว ต้องเก็บกินไปอีกหลายมื้อหลายวันครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 12, 17:40
แกงบวน ต้มจิ๋ว แกงหอง บุ่มใบ่ แกงร้อน อ่อม จอ ยำทวาย  ฯลฯ   :o
อยากรู้จักทั้งหมดนี่ละค่ะ  ไปปัดกวาดครัวเรือนไทยไว้ล่วงหน้าแล้ว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 ส.ค. 12, 17:54
ต่อไปเรื่องอาหารญี่ปุ่นครับ

เิริ่มต้นจากอาหารชั้นดี ราคาแพง ไม่นานนักก็กลายเป็นอาหารชนิดหนึ่งธรรมดาๆที่มีขายอยู่ทุกถนน ทุกห้าง ทุกศูนย์การค้า  มีพัฒนาการแบบเดียวกับอาหารจีน   เมนูอาหารญี่ปุ่นที่เป็นหลักหากินได้ทั่วๆไปคือ ซูชิ จัดในรูปของเบนโตะ กับซุปมิโสะ  ซูชิก็มีแต่หน้าปลาแซลมอน หน้าไข่ หน้ากุ้ง หน้าปลาซาบะดองก็พอจะมีให้เห็นบ้าง  หลังๆมานี้ได้เห็นแบบรางเลื่อน โดยผสมอาหารจีนเข้าไปด้วย
    
อาหารไทยยังจัดว่าดี เพราะใช้เครื่องปรุงไม่ค่อยจะปรกติเหมือนคนอื่นเขา เลยเกิดได้ไม่มาก ประกอบกับรสของอาหารก็ไม่เหมือนของคนอื่นเขา คนครัวที่ไม่เคยกินอาหารไทยแท้ๆก็ยากที่จะเข้าใจในการดึงรสชาติ เพราะมันมีลำดับของการปรุงรส ซึ่งเป็นศิลปะเฉพาะของการทำอาหารไทย   อาหารไทยที่เป็นเมนูปรกติก็มี แกงเขียวหวานไก่ แกงเผ็ด ผัดไท ต้มยำกุ้ง ไข่เจียว ผัดผัก พวกทอดกระเทียมพริกไทยและเปรี้ยวหวานก็พอมีบ้าง  แต่ก็ยังอดแถมข้าวเกรียบเป็นออร์เดิร์บไม่ได้

ผมห่างเหินจากอเมริกามานาน เลยไม่สามารถเล่าสภาพในปัจจุบันนี้ได้ ไปคุ้นเคยกับในยุโรปมากกว่า

  

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ส.ค. 12, 18:03
อ้างถึง
อาหารไทยเก่าๆนั้นมีเครื่องประกอบเยอะมาก การทำไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่จริงๆคือ ทำแล้วมันเป็นหม้อใหญ่ กินไม่หมดในมื้อเดียว ต้องเก็บกินไปอีกหลายมื้อหลายวันครับ

เรื่องนี้ช่วยเหลือได้นะครับ ขอให้บอก จะยกกำลังพลไปช่วย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 12, 18:34
ถ้าเหลือก็ขอแบ่งบ้างนะคะ    กำลังพลในเรือนไทยก็มีอีกหลายคนเหมือนกัน    :-[


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ส.ค. 12, 18:42
^
เจ้าภาพหลบฉากไปแล้ว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 12, 18:52
 :-\


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 ส.ค. 12, 19:12
ครานี้มาถึงสาเหตุของการลดระดับชั้น  เป็นเรื่องที่เกิดในยุโรปครับ

คนจีน อย่างว่าแหละครับ มีแทรกอยู่ในทุกแห่งหนตำบลใดๆของโลก    ที่เห็นเป็นเช่นนี้เป็นเรื่องน่าสนใจมาก   คนจีนเป็นหนึ่งในคนที่มีอายุยืนมากที่สุด เรียกว่าตั้งแต่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ในประเทศใด ก็ไม่เคยตายเลย  คนที่ตายไปจะป็นคนที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่รู้ว่าเป็นใคร  จะมีคนใหม่มาสวมชื่อสวมสิทธิ์แทนเสมอ เป็นเรื่องเกรียวกราวกันอยู่พักหนึ่งในออสเตรียครับ  เมื่อคนรุ่นใหม่เข้ามาก็ต้องมีอาชีพการงาน ร้านอาหารจึงเป็นหนึ่งของทางเลือก ทำอาหารไม่เป็นหรือ สอนให้   อาหารจีนในยุโรปจึงมักจะมีทั้งเมนู รูปร่างหน้าตา รสชาติเหมือนๆกัน  ยกเว้นเฉพาะที่เป็นภัตตาคารมานานแล้วจริงๆ  หรือหากจะเป็นภัตตาคารรุ่นใหม่ เจ้าของก็มักจะไม่ใช่คนจีนจากแผ่นดินใหญ่หรือฮ่องกงจริงๆ เป็นคนจีนจากเวียดนามบ้าง จากเขมรบ้าง จากมาเลเซียบ้าง  ผมเห็นว่าอาหารจีนในภัตตาคารรุ่นใหม่นี้จะอร่อยและหลากหลายมากกว่าร้านเก่าๆที่เปิดกันมานานแล้ว  แท้จริงแล้วร้านอาหารจีนมากมายที่คนกินบอกว่าอร่อยนั้น ส่วนมากเจ้าของจะเป็นคนเวียดนามเสียด้วยซ้ำไป

สำหรับอาหารญี่ปุ่นนั้น ยิ่งสนุกมากกันไปใหญ่  ปรากฏว่าคนที่เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆนั้น ส่วนมากจะเป็นคนจีน และคนที่สอนการทำอาหารญี่ปุ่นนั้นส่วนมากจะเป็นคนไทยที่เคยทำอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยมาก่อน  

สำหรับร้านอาหารไทยนั้น เมื่อเข้าเขตที่เป็นยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะในเช็คและฮังการี และรวมทั้งตามภัตตาคารและร้านอาหารมากมายในยุโรป กลับกลายเป็นว่าเจ้าของเป็นคนลาวเป็นหลัก เป็นคนเวียดนามก็มี แถมบางร้านยังมี Chef เป็นแม่บ้านชาวฝรั่งอีกด้วย    จึงไม่ต้องแปลกใจนัก หากจะสั่งผัดไทมากินก็อาจจะได้เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดสี (ซีอิ๊ว) ใส่ถั่วงอกนิดหน่อย

พัฒนาการี่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ แทนที่จะใช้ชื่อร้านว่าเป็นอาหารของประเทศใดในเอเซีย  ก็ใช้วิธีการตั้งชื่อว่า Asian Food ไปเลย อาหารหลักก็จะมี นาซิโกเร็ง (ข้าวผัดแบบอินโดนีเซีย) มีผัดเส้นหมี..stir fried noodle (ยากิโซบะของญี่ปุ่น) มีเปรี้ยวหวาน เป็นเนื้อหมู ซี่โครงหมู หรือไก่ชุบแป้งทอดให้พองๆ ราดด้วยน้ำซอสแดงๆรสออกหวานเปรี้ยว (นัยว่าเป็นอาหารจีน แต่เป็นลักษณะการทำของมาเลเซียและสิงคโปร์)  แล้วก็มีไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นอาหารจานเผ็ดตัวแทนของเอเซีย (หน้าตาใช่แบบเสฉวน แต่รสชาติไม่ใช่) นึกไม่ออกแล้วครับว่ามีอะไรอีกบ้าง อ้อมีช็อบสุยอีกอย่างหนึ่ง ไม่ไปทางใหนทั้งนั้น ออกไปทางผักกาดขาวผัดวุ้นเส้น จะไปทางจับฉ่ายแห้งแบบเราเสียมากกว่า
  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 ส.ค. 12, 19:15
^
^
^
สงสัยจะต้องเปิดบ้านเสียแล้วกระมัง   :D  ;D  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ส.ค. 12, 19:18
^    ^    ^    ^    ^    ^    ^


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 29 ส.ค. 12, 19:31
ต่อวรรคท้ายให้สุดครับ

อาหารไทยที่เป็นที่นิยม แต่แอบอยู่ในมุมปิด ไม่ได้เป็นอาหารที่ราชการไทยส่งเสริมเลย คือ
ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่างครับ  
แล้วก็ กระเพราไก่-ไข่ดาวกรอบครับ  ไข่ดาวแบบไข่ขาวกรอบนี้ใครก็ทำไม่ได้นอกจากคนไทย  เมนูนี้เข้าไปราดอยู่บนขนมปัง (Bun) หรือ ขนมปังแบบ Hotdog ไปแล้ว ในญี่ปุ่นขายดีพอที่จะเปิดร้านแบบ fastfood กันไปแล้ว

ขนมไทยก็ใช่ย่อย เข้าไปเป็นเมนูหลักในร้านอาหารแบบ family ในญี่ปุ่นแล้วเช่นกัน ขนมหวานของไทยในยุโรปไม่ค่อยเห็นครับ

เคยเจอที่แทบจะลมจับ คือ ในงานส่งเสริมอาหารไทยแห่งหนึ่ง มีการเสนอแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลา และอื่นๆ รวมทั้งของหวานบัวลอย-ไข่หวาน   ไม่จืดเลยครับ ดันจัดเอาแกงเขียวหวานกับบัวลอยไข่หวานไปวางไว้ใกล้กัน  นึกไม่ออกบอกไม่ถูกเลย ฝรั่งใดจะไปรู้ พ่อตักราดข้าวมาด้วยกัน  ผมยังนึกไม่ออกเลยว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 12, 19:49
^
^
^
สงสัยจะต้องเปิดบ้านเสียแล้วกระมัง   :D  ;D  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ส.ค. 12, 19:54
อ้างถึง
มีการเสนอแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลา และอื่นๆ รวมทั้งของหวานบัวลอย-ไข่หวาน   ไม่จืดเลยครับ ดันจัดเอาแกงเขียวหวานกับบัวลอยไข่หวานไปวางไว้ใกล้กัน  นึกไม่ออกบอกไม่ถูกเลย ฝรั่งใดจะไปรู้ พ่อตักราดข้าวมาด้วยกัน  ผมยังนึกไม่ออกเลยว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร  

 
ทำมาเลย ฝรั่งไม่บอก ผมจะบอกให้เอง
 
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 29 ส.ค. 12, 22:34
สงสัยจะต้องเปิดบ้านเสียแล้วกระมัง    ;D ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ส.ค. 12, 09:40
;D

ฝันกลางฤดูฝน...


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 ส.ค. 12, 20:12
เห็นภาพแล้วยังนึกอยากเลยครับ

ยำทวาย (หรือยำใหญ่) หน้าตาสวยไปจนจำไม่ได้  ต้มหองดูสีคล้ำไป ต้มจิ๋วก็โอเค แล้วแต่จะแปลงโฉมกัน แกงบุ่มใบ่ หากใช้พริกหยวกก็จะทำให้ดูเป็นของดั้งเดิม



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 ส.ค. 12, 20:31
แยกซอยไปนิดหนึ่ง กลัวลืมครับ

คนไทยกินน้ำมาก และเคยชินกับการกินน้ำในระหว่างกินอาหาร  เมื่อถูกถามว่า จะเอาน้ำอะไร เราก็มักจะตอบว่า เอาน้ำเปล่า
   
น้ำเปล่านี้ เมื่อพนักงานถาม เราก็มักจะบอกเพียงสั้นๆว่า Water หรือ just water พนักงานก็มักจะถามซ้ำมาว่า plain water ? ซึ่งเราส่วนมากจะพยักหน้า หรือตอบ yes   น้ำที่เราจะได้มาคือน้ำจากก๊อกประปาครับ  หากต้องการน้ำบรรจุขวด จะต้องบอกว่า mineral water  นอกจากนั้นแล้วเราก็มักจะไม่กินแก้วเดียวเสียด้วย  แก้วที่สองที่ขอนี้ ในหลายๆร้าน พนักงานดูจะเริ่มหงุดหงิด เคยเจอที่เอาแก้วของเราไปแล้วเปิดน้ำก๊อกใส่ให้เห็นเลย 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ส.ค. 12, 20:34
ขอย้อนกลับไปเมนูเด็ดนะคะ   มีคนรอชิมอยู่แล้ว
ชื่อ บัวลอยเขียวหวาน
 ;)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 ส.ค. 12, 20:35
น้ำก๊อกในอเมริกากินได้  แต่ในเมื่อมีน้ำขวด mineral water ขาย  ก็เลือกกินน้ำขวดดีกว่า   ในออสเตรียกับญี่ปุ่นไม่ทราบว่าเขากินน้ำก๊อกกันหรือเปล่า   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 ส.ค. 12, 20:42
อาหารไทยนี้ ลึกๆแล้วคงดังมาก   แม่ครัวพ่อครัวของสถานทูตหลายประเทศ แม้กระทั่งของประเทศในตะวันออกกลาง ยังใช้คนไทย ซึ่งผมคิดว่าคงมิใช่เรื่องอื่นใดนอกเสียจากรสลิ้นของคนไทย ที่สามารถปรุงรสทำให้อาหารต่างชาติใดๆเกิดมีรสชาติที่อร่อยนุ่มนวลขึ้น  อีกประการหนึ่ง พ่อครัวแม่ครัวไทยแปลงอาหารเก่งและเนียนมาก จนทำให้อาหารต่างๆของประเทศต่างๆยังดูหน้าตาเสมือนเดิม แม้เนื้อในและรสอาจต่างไป


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 30 ส.ค. 12, 20:46
^
จัดมาเล้ย

แล้วจะให้ล่อtap waterก็ย้อม


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 ส.ค. 12, 20:53
^
ออสเตรียกับญี่ปุ่นกินน้ำก๊อกได้ครับ สะอาดพอและไว้ใจได้

ออสเตรียนั้น ยังกินน้ำที่แปลกไปอีก คือ เป็นน้ำอัดแกส มีฟองอากาศละเอียดเล็กๆ ซึ่งเขาเรียกว่าโซดา แต่ฟองไม่ใหญ่เหมือนโซดาจริงๆ แล้วมีมะนาวฝานเป็นแว่นใส่ลอยมาด้วย  



 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 31 ส.ค. 12, 14:17
น้ำก๊อกเมืองไทยกินได้หรือไม่ก็ไม่ทราบครับ แต่กินมาเยอะแล้วสมัยเรียนรักษาดินแดนเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว คิวขายน้ำอัดลมยาวเสียจนรอไม่ไหว มีคนใช้บริการน้ำก๊อกกันเยอะเลยครับ ไม่เคยได้ยินว่ามีใครเป็นอะไร (ในระยะสั้น) นะครับ   ;D

เรื่องน้ำอัดแก๊สนั้น ดูเหมือนชาติในยุโรปจะนิยมกันเกือบทุกชาตินะครับ เวลาสั่งน้ำแร่ต้องระบุชัดเจนว่าจะเอาแบบ con gas (มีแก๊ส) หรือ sin gas (ไม่มีแก๊ส) แต่ผมกินแบบ con gas ไม่เคยอร่อย เหมือนกิน soda เปล่าๆ ท้องอืดชอบกลครับ

ขออนุญาตกรอกลับไปเรื่องตะเกียบสักหน่อยนะครับ เรื่องมรรยาทในการใช้ตะเกียบของคนจีน ผมถูกสอนว่าห้ามปักตะเกียบลงในชามข้าวครับ นัยว่าคล้ายกับการปักธูปในกระถาง จะปักตรงปักเอียงก็ไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าจะพักตะเกียบต้องวางไว้บนชาม หรือจะวางบนโต๊ะข้างชามก็ไม่ผิดกติกาครับ

อีกอย่างหนึ่งคือการจับตะเกียบ จะต้องจับตรงกลางค่อนขึ้นมาข้างบนเล็กน้อย จับต่ำบางทีโดนแซวว่าใฝ่ต่ำ จับสูงไปก็ว่าหัวสูง ผมจึงแปลกใจว่าถ้าห้ามจับสูงแล้วจะทำตะเกียบยาวขนาดนี้ไปเพื่ออะไร คนญี่ปุ่นเขาคงคิดเหมือนผม เขาก็เลยตัดตะเกียบให้สั้นลงแล้วจับตรงปลายตะเกียบเลย ประหยัดไม้อีกต่างหากด้วยครับ  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 31 ส.ค. 12, 19:02
^
ถูกต้องเลยครับ น้ำประปาไทยนั้นก็ดื่มได้ครับ เพราะต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสากล แต่เป็นเรื่องของคุณภาพที่ต้นทาง คุณภาพที่ปลายทางนั้นอีกเรื่องหนึ่ง  ระหว่างทางก็มีท่อแตก มีการซ่อมท่อ มีดินโคลนเข้าไปผสมปนเปอยู่เรียบร้อย ซ่อมท่อเสร็จก็ปล่อยน้ำเดินเลย ยังไม่เคยเห็นที่มีการปล่อยน้ำล้างท่อก่อนกันสักครั้งครับ

ขณะนี้ก็นิยมซื้อเครื่องมากรองกัน ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นใส้กรองตะกอนหยาบ ส่วนที่เป็นใส้กรองกลิ่น (Activated carbon) ส่วนที่เป็นเรซิ่น (Resin) เพื่อทำให้น้ำลดความเป็นน้ำกระด้าง และส่วนสุดท้ายที่ผนวกเข้ามา คือ ส่วนที่เรียกว่า RO (Reverse osmosis) ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ RO  เพราะกรองได้เพียงกับอนุภาคขนาดที่ใหญ่กว่า 0.3 micron ออกไป โดยนัยแล้วก็สะอาดมากพอแล้ว  หากเป็น RO จริงๆ จะเป็นการกรองเอาขนาดของอนุภาคที่ใหญ่กว่า 0.0001 micron ออกไป ซึ่งเป็นระบบการกรองที่ใช้กับการกรองน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 02 ก.ย. 12, 12:06
ไปยุโรปครั้งแรกแปลกใจมาก น้ำสะอาด ราคาแพงกว่าน้ำผลไม้เกือนเท่าตัว เช่นน้ำแอปเปิ้ล...

ในขณะที่บ้านเราน้ำผลไม้ราคาแพงกว่าน้ำสะอาดหลายเท่า ถึงเขาจะบอกว่าน้ำก็อกทานได้

แต่คนไทยก็จดๆจ้องๆ เพราะความคิดยังติดอยู่กับน้ำประปาบ้านเราที่.....เฮ้อ

ก็เลยถือโอกาสชิมน้ำผลไม้แทนซะเลย รู้แล้วรู้รอดไป

ส่วนน้ำผลไม้อัดโซดา ก็แปลกลิ้นดี ชื่นใจคนไทยคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ก.ย. 12, 21:00

ขออนุญาตกรอกลับไปเรื่องตะเกียบสักหน่อยนะครับ เรื่องมรรยาทในการใช้ตะเกียบของคนจีน ผมถูกสอนว่าห้ามปักตะเกียบลงในชามข้าวครับ นัยว่าคล้ายกับการปักธูปในกระถาง จะปักตรงปักเอียงก็ไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าจะพักตะเกียบต้องวางไว้บนชาม หรือจะวางบนโต๊ะข้างชามก็ไม่ผิดกติกาครับ

อีกอย่างหนึ่งคือการจับตะเกียบ จะต้องจับตรงกลางค่อนขึ้นมาข้างบนเล็กน้อย จับต่ำบางทีโดนแซวว่าใฝ่ต่ำ จับสูงไปก็ว่าหัวสูง ผมจึงแปลกใจว่าถ้าห้ามจับสูงแล้วจะทำตะเกียบยาวขนาดนี้ไปเพื่ออะไร คนญี่ปุ่นเขาคงคิดเหมือนผม เขาก็เลยตัดตะเกียบให้สั้นลงแล้วจับตรงปลายตะเกียบเลย ประหยัดไม้อีกต่างหากด้วยครับ  ;D

กรอกลับมาเหมือนกันครับ นิดหน่อยสั้นๆ

ตะเกียบที่ใช้ในร้านอาหารญี่ปุ่น เท่าที่ประสบมา ไม่ว่าจะเป็นร้านราคาสุดแพงหรือราคาถูก ต่างก็ใช้ตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งเลย ตะเกียบพวกนี้มีส่วนปลายด้ามติดกันอยู่ ต้องฉีกออกจากกัน ก็ยังมีคนอุตส่าห์คิดไปได้ว่า ต้องอธิษฐานภาวนา เพื่อให้แยกตะเกียบออกจากกันได้อย่างสวยงาม สองข้างเท่าๆกัน
 
เรื่องการจับตะเกียบนั้น ทราบว่าคนจีนยังถือกันในอีกสองความเชื่อ นอกจากใฝ่สูงกับใฝ่ต่ำแล้ว ยังแสดงถึงเป็นนายหรือเป็นรองบ่อน และกลัวหรือไม่กลัวแม่ทูนหัวเจ้าของบ้านอีกด้วย    คนญี่ปุ่นดูจะไม่ถือเลยว่าจะต้องจับส่วนใหน ประการหนึ่งคงจะเป็นเพราะตะเกียบสั้น  ที่เห็นมา ทั้งหญิงและชายต่างก็จับที่โคนตะเกียบกันทั้งนั้น แสดงว่าไม่มีใครกลัวใคร  ของเกาหลียิ่งแล้วไปใหญ่ สั้นมากขนาดส่วนด้ามของตะเกียบแทบจะไม่โผล่พ้นมือออกมา ฤๅเพื่อแสดงว่าทุกคนเป็นใหญ่หมดเลย  ;D

เรื่องห้ามเอาตะเกียบทิ่มคาชามนั้น เป็นข้อห้ามเหมือนกันหมด 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 04 ก.ย. 12, 18:50
ก่อนจะขอเว้นวรรคเรื่องกิน ขอต่ออีกหน่อยครับ

ดังที่กล่าวกันมา ทัวร์จะจัดให้เรากินอาหารจีน เพราะง่ายในการจัดโต๊ะ เมนูอาหาร และการจัดการเรื่องที่นั่ง

เท่าที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องในการรับทัวร์ราชการทั้งหลาย ผมเลยได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเราสามารถขอให้เขาพาเราไปกินในร้านอาหารลักษณะอื่นๆใดๆก็ได้ ไกด์ท้องถิ่นเขาจะถามหัวหน้าทัวร์ไทยว่า โอเคใหม ซึ่งหมายความว่าจะสามารถจ่ายค่าหัวเพิ่มได้หรือไม่ ทั้งสองฝ่ายกำไรอยู่แล้ว ดังนั้นเพียงเพิ่มเงินเล็กๆน้อยๆหรืออาจจะไม่ต้องเพิ่มเลยก็ได้ เราก็จะได้มีโอกาสเปลี่ยนอาหาร ไกด์ท้องถิ่นเขามีวิธีการทำให้เรากินตามที่เราต้องการได้ไม่ยาก ร้านอาหารทั้งหลายก็อยากจะโชว์ฝีมือและรับทัวร์อยู่แล้วเช่นกัน เป็นอันว่าทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกัน   ข้อสำคัญไกด์ท้องถิ่นเองก็ได้สถานที่เพิ่มเติมสำหรับพาคณะทัวร์ไปกิน ซึ่งก็หมายความว่าเขาก็ได้เครดิตเพิ่มขึ้นในการให้บริการและธุรกิจของเขา  ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่บอกทั้งหัวหน้าไกด์ทัวร์ไทยและไกด์ท้องถิ่นว่าควรจะไปกินที่ใหนที่คณะทัวร์ไทยจะชอบและประทับใจ และในราคาที่รับกันได้ ไม่เกินงบที่เขากำหนดให้แก่กัน หรือไม่กินกำไรที่เขาพึงได้รับไปมากนัก  อย่างว่าแหละครับ  เขาเคยอย่างไรก็ทำอย่างนั้น

ไปเที่ยวกับทัวร์เที่ยวหน้า ขอเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องกินอาหารที่จำเจ หรือถูกบังคับให้กิน    ส่วนมากที่เห็นขอกัน คืือ ขอเวลาให้พาไปช็อปปิ้ง และขอเวลาช็อปปิ้งกันนานๆเสียมากกว่า   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 04 ก.ย. 12, 21:05
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่มีค่ายิ่งค่ะ (ต่อไปนี้คงจะเที่ยวได้อย่างมีความสุขมากขึ้น)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 ก.ย. 12, 19:19
อีกเรื่องหนึ่งที่เรามักจะเสียเวลาอันมีค่าไปกับมันในระหว่างการท่องเที่ยว คือ การซื้อเสื้อผ้าและรองเท้า ซึ่งมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ ขนาด รูปทรง และวัสดุ ที่ควรพิจารณา

เรื่องของขนาดนั้น แม้ว่าจะมีมาตรฐานกลางๆกำหนดอยู่ก็ตาม แต่ก็เป็นมาตรฐานที่ต่างกัน อย่างน้อยที่สุดสหรัฐฯและยุโรปก็ต่างกัน ไม่นับรวมที่ยังแยกไปของแต่ละประเทศอีก เช่น ของอังกฤษ ของแผ่นดินใหญ่ยุโรป ของเกาหลี ของญี่ปุ่น ฯลฯ  ตามปรกติคนขายเขาจะถามเราว่าใช้ขนาดอะไร  เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา เราก็ควรจะทราบขนาดของเราแล้วบอกว่าขนาดอะไรตามมาตรฐานของใคร จะได้ไม่เสียเวลาในการลองแล้วลองอีก คนขายเขามักจะสามารถเทียบขนาดได้ว่า เสื้อผ้าหรือรองเท้าที่ขายอยู่ในร้านของเขานั้นผลิตมาจากประเทศใด จะเทียบได้เป็นขนาดใดกับขนาดที่เราบอก

เรื่องของรูปทรงนั้น ก็ควรจะทราบว่า ทุกๆ 3 หรือ 5 ปี สมาคมผู้ประกอบธุรกิจผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มนานาชาติ เขาจะมีการวัดขนาดและรูปทรงของคนชาติพันธุ์ต่างๆว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง รูปทรงของคนชาติพันธุ์ต่างๆนี้ ไม่เหมือนกันจริงๆครับ บางชาติพันธุ์ก็ขายาว บ้างก็แขนยาว บ้างก็สูงชลูด บ้างก็เตี่ยกว้าง ฯลฯ  รูปทรงของเท้าก็เช่นกัน  ประเด็นอยู่ที่ว่า ดูให้ดีๆก็แล้วกัน เสื้อผ้าและรองเท้าที่เราคิดว่าเหมาะกับเราและซื้อได้นั้น ส่วนมากจะผลิตมาจากประเทศในย่านบ้านเรานั่นเอง  พวกแบรนด์ทั้งหลายเขากระจายโรงงานผลิตไปตามทวีปและภูมิภาคต่างๆเพื่อผลิตให้เหมาะสมกับรูปทรงของคนในพื้นที่นั้นๆ  ตัวเราเอง หากเคยซื้อของที่ผลิตในประเทศอื่นๆแล้วรู้สึกว่าพอเหมาะพอดีกับตัวเรา ก็อาจจะแสดงว่ารูปทรงของเราไปอยู่ในเกณฑ์ของชาติพันธุ์นั้น ก็คงจะต้องจำไว้เพื่อในคราวต่อไปจะได้ไม่เสียเวลาไปเลือกรูปทรงของชาติพันธุ์อื่น  หลายคนพยายามจะไป Outlet ของแบรนด์ที่ชอบ เอาเข้าจริงๆอาจจะเสียเวลาไปเปล่าๆ เพราะใส่ไม่ได้ ไม่สบาย ไม่พอดี  หากสามารถซื้อได้ มากกรณีก็จะเป็นของที่ผลิตมาจากแถบบ้านเรา

เรื่องวัสดุ สำหรับเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มนั้น ผ้าที่ดูสวยงามนั้นมักจะเป็นผ้าขนสัตว์  ไปซื้อในที่ประเทศที่อากาศเย็นและแห้ง ก็ดูจะใส่สบายดี แต่พอเอามาใส่ในที่อากาศร้อนชื้นละก็ คันจังเลย ต้องมีซับในซึ่งก็จะทำให้ร้อนเหงื่อแตกขึ้นไปอีก   กรณีผ้าฝ้ายนั้น ที่จริงแล้วซื้อในประเทศเราถูกกว่า ความต่างมีอยู่นิดเดียว คือ สีไม่ค่อยจะเป็นไปตามเทรนด์  สาเหตุก็เพราะผู้ผลิตของเราตามไม่ทัน ข้อเท็จจริงก็คือ เทรนด์ของสีและลายผ้านั้น ผู้ผลิตในต่างประเทศเขากำหนดมาแล้วประมาณสองปีก่อนที่จะมีการผลิตขายทั่วไป  ก็มาจากแฟชั่นที่เดินโชว์ให้เห็นกันเมื่อปีหรือสองปีก่อนนั่นเอง  เป็นเรื่องของธุรกิจในวงกว้างของกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมด้านสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มครับ

ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ เพียงมีโอกาสได้ทราบจากผู้เชี่ยวชาญของ UNIDO เมื่อครั้งไปประจำการ ก็เลยเล่าสู่กันฟังครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: นอแรด ที่ 02 ต.ค. 12, 13:56
ในฐานะสมาชิกใหม่ได้อ่านกระทู้ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้ความรู้หลายเรื่องด้วยกัน ต้องขอขอบคุณประสบการณ์ที่ท่านทั้งหลายได้มาแบ่งปันให้ทราบด้วยครับ

และในฐานะที่เคยทำงานสายการบินดูแลหลายแผนกรวมทั้งแผนก Claim อยากจะแนะนำเรื่องกระเป๋าเดินทางครับว่า

1.ควรเลือกใช้กระเป๋าที่แข็งแรง กันน้ำได้ดีพอสมควร ไม่ควรใช้วัสดุที่เป็นผ้า เพราะว่าพวกนี้จะซึมซับน้ำซ๊อสหรือน้ำอื่นที่แตกมาจากกระเป๋าอื่น หรือโดนฝนจากการเปลี่ยนถ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัสดุที่ไม่กันของมีคม  ดอนเมืองเคยเป็นแหล่งที่โจร ( porter  )แอบไปตั้งแค้มป์ในสายพานลำเลียง กรีดกระเป๋ามานักต่อนัก
สมัยก่อนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมักมีกระเป๋าผ้าเล็กๆกันคนละใบ มักโดนกรีดกันเป็นประจำ   พอหายหนักเข้าก็มีการสอบสวน จนไปเจอ เศษข้าวปลาอาหารใน สายพานลำเลียง ที่แก๊งค์โจรเข้าไปหลับนอน ทำการโจรกรรมเป็นเรื่องเป็นราว

2. กระเป๋าควรเลือกกระเป๋าที่มีลูกล้อครับ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าติดตัวขึ้นเครื่อง หรือที่จะโหลดเข้าใต้ท้อง เพราะว่าสมัยนี้ Gate แต่ละGate ยาวมาก การต่อเครื่องแต่ละFlight บางทีเดินกันเป็นกิโล . และอย่าหวังไปพึ่งใคร

3. ถ้ากระเป๋าของเราสูญหายหรือชำรุดมักจะได้เงินชดใช้น้อยมากไม่เกิน ประมาณ $20 ต่อกิโล ( ถ้าจำไม่ผิด ) สาเหตุเนื่องจากสายการบินใช้ Geneva convention ที่ใช้มาตราฐานของ ทองคำ สมัยนู๊นอยู่

แต่เนื่องจากราคาทองคำ ในสมัยนี้สูงมาก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ การเดินทางต่างประเทศครั้งต่อไปพยายามออกเป็นตั๋วเครื่องบิน ( เพราะว่าตามปก ของตั๋วเครื่องบิน
มักจะมี Liability พิมพ์ตัวเล็กๆอยู่  ) ถ้ายามปะเหมาะ..เคราะห์ดี  กระเป๋าท่านทั้งหลายเกิดหายขึ้นมา  จะได้ Claim กันแบบถูกหวยกันเลย ;)
หรือเครื่องบินเกิดหกคะล้ม ก็สั่งได้ กะลูกหลานไว้ว่า ขอค่าชดใช้เป็น ทองคำ ตาม Geneva Convention (หรือ IATA convention หว่า )

4. เวลาไปซื้อของควรเก็บใบเสร็จทุกใบ และเก็บแยกไว้ติดตัว ( ไม่ใช่ใส่ในกระเป๋าที่จะหาย  :P )

ปล. อย่าไปบอกใคร นะครับ กะเดี๋ยวสายการบินรู้เข้า

ปล. 2 ผมไม่รับรองว่า จะclaimได้นะครับ เพราะว่าของยังไม่หาย และผมยังมีชีวิตอยู่ แต่เข้าใจว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ทราบเรื่องนี้
(  แต่เห็นใจผู้ที่กระเป๋าหายมากเพราะของในกระเป๋ามีค่ามากกว่า กก.ละ 4-500 บาท ) และทองคำก็เพิ่งมาขึ้นราคากว่า 1,500 ต่อ ออนซ์เมื่อเร็วๆนี้เอง

  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ต.ค. 12, 15:51
กระทู้กลับขึ้นมาอีกครั้ง แล้วนึกได้ว่ายังมีเรื่องที่เก็บค้างไว้ จึงขอนำมาแสดงในที่นี้
และคิดว่าคุณ..นอแรด คงช่วยอธิบาย ขยายความได้

                  จากกระทู้เก่าที่ pantip เกิดมีประเด็น  2 เรื่องดังนี้  ครับ

      1. กรณีจนท.เช็คอินของสายการบินขอดูเงินของผดส.

(ความเห็นชี้แจงจากจนท.เช็คอินบอกว่า)

        เรื่องการเช็คเงินติดตัวโดยปกติเราจะไม่ได้เช็คทุกคนแต่จะเช็คกรณีที่ผู้โดยสารเดินทางครั้งแรก
และจะแนะนำให้ผู้โดยสารแลกเป็นเงินดอลล่าร์หรือสกุลเงินของประเทศที่จะไป โดยจำนวนเงินมาก
หรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่ผู้โดยสารพำนัก ณ ประเทศนั้น มาตราฐานประมาณ 500usd 

        เครดิตการ์ด ทางตม.ของเขาไม่เชื่อถือ เพราะไม่สามารถเช็คได้ว่าบัตรที่ถือวงเงินเท่าไร บัตรจริง
หรือปลอมเพราะฉะนั้นจะเช็คเงินสดเป็นมาตราฐาน
          ถ้าเป็นวีซ่าท่องเที่ยว ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง วีซ่าชนิดนี้มีความเสี่ยงที่จะถูกขอดูเงินติดตัวมาก
และ
          พนักงานเช็คอินมีสิทธิปฎิเสธการให้บอร์ดิ้งพาสกับผดส.ได้กรณีที่

      -เอกสารการเดินทางไม่สมบูรณ์
      -น้ำหนักสัมภาระเกินจากจำนวนที่อนุญาตบนบัตรโดยสารที่ซื้อมาและไม่ประสงค์ที่จะจ่ายในส่วนเกินนั้น
      -ผดส.มีอาการมึนเมาและมีโอกาสที่จะขึ้นไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ต.ค. 12, 15:53
         เอกสารการเดินทางที่สมบุรณ์คือเอกสารทุกอย่างที่ประเทศปลายทางต้องการไม่เฉพาะวีซ่า
แต่ รวมถึงค่าใช้จ่ายเดินทางขั้นต่ำที่ประเทศนั้นกำหนด บางประเทศอาจขอดูใบจองโรงแรมหรือ
ใบสปอนต์เซอร์รับรอง
         การเดินทางไปแล้วไม่สามารถเข้าประเทศเขาได้อันเนื่องมากจากเอกสารไม่สมบูรณ์ เช็คอินต้อง
รับผิดชอบ อันดับแรกเลยคือสายการบินต้องโดนปรับ บางประเทศอาจจะไม่ปรับแต่ระหว่างที่รอการเดินทางกลับ
สายการบินต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไม ต้องขอดูตั๋วกลับ เพราะถัาไม่มี สายการบิน
จะต้องรับผิดชอบตั๋วกลับให้
          บ่อยครั้งเจอผดส.มาหลอก อย่างเคสผดส. ไปมอสโกแต่ไปต่อเครื่องที่โคเปนฮาเกน เป็นผู้หญิง
เดินทางครั้งแรก แล้วเธอก็มีพาสปอตฝรั่งเศสปลอม ใช้พาสปอตปลอมเข้าเดนมาร์ค แล้วก็โดนส่งกลับมา
สายการบินโดนปรับไป 2 แสนบาท

           ทุกวันนี้ที่มีปัญหาบ่อยที่สุดคือเกาหลี เขาไม่ปรับแต่เราเสียค่าห้องกักตัวให้คนไทยที่ลักลอบไปทำงาน
แล้วไม่สามารถผ่านตม.ได้เดือนละเป็นล้าน จนเกาหลีปล่อยข่าวมาว่าจะออกวีซ่าให้คนไทย             


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 02 ต.ค. 12, 15:59
และเหตุการณ์
       
               2. การหลอกเรียกเงินผดส. โดยพนักงานที่เช็คอิน
(แบบตัดต่อย่อย่น)

             พนง.เช็คอินถามผดส.ว่ามีเงินมาเท่าไหร่ มีเงินมาแสดงไหมคนละ 5,000 บาท
             ผดส.ตอบว่าไม่มี พนง.ถามว่าจะไปไหน ตอบว่าจะไปสวีเดน จะไปหาพี่สาว
พนง. ก็บอกว่า ไม่ใช่หรอก จะไปทำงานเก็บผลไม้ ผมทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว ผมรู้ว่าพวกคุณไป
ทำอะไรกัน แล้วก็ไม่ยอมให้เชคอิน ไม่คืนพาสปอร์ตให้
                หลังจากนั้น พนง. ก็เดินออกมาถามว่า อยากเช็คอินผ่านไหม เอามาให้ผมคนละ
หนึ่งพันบาท พอรับเงินแล้วก็คืนบอร์ดดิ้งพาสให้ ถึงได้ผ่านมาได้

ความเห็นในกระทู้แนะนำว่า

                ถ้าพบเห็นอะไรผิดหูผิดตาแบบนี้ให้ แจ้งตำรวจที่ชั้น 2 สน.ราชาเทวะ แต่ที่ดีที่สุดคือ
ต้องทำตัวเองให้พร้อมอย่าให้คนพวกนี้มีช่องทางหากิน 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: นอแรด ที่ 02 ต.ค. 12, 19:00

ขอตอบท่าน SILA ว่า
ที่อ้างว่า.... พนักงานเช็คอินมีสิทธิปฎิเสธการให้บอร์ดิ้งพาสกับผดส.ได้กรณีที่

      -เอกสารการเดินทางไม่สมบูรณ์
      -น้ำหนักสัมภาระเกินจากจำนวนที่อนุญาตบนบัตรโดยสารที่ซื้อมาและไม่ประสงค์ที่จะจ่ายในส่วนเกินนั้น
      -ผดส.มีอาการมึนเมาและมีโอกาสที่จะขึ้นไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
....นั้นถูกต้องครับ

ส่วนจำนวนเงินสดที่จะต้องมีติดตัวอย่างต่ำนั้น ปกติก็ควรจะมีนิดหน่อยสำหรับ ค่าใช้จ่ายบางอย่างที่สนามบิน หรือค่ารถแท๊กซี่อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่หน้าที่ของ จนท.เช็คอินจะขอดู หรือตรวจเช็ค หรือปฎิเสธการขึ้นเครื่องได้ ยกเว้นแต่เป็น requirement ของ ตม.ของประเทศที่เที่ยวบินนั้นกำลังจะบินไป กำหนดขึ้นมาว่า
คนไทยจะต้องนำเงินสดติดตัวเข้าไปอย่างต่ำเท่าใด  ถ้าไม่มี  ....ห้ามเข้าประเทศ  อย่างนี้พนง.สายการบินนั้นจึงจะมีสิทธิขอตรวจ ตาม requirement นั้น
 และถ้ามี requirement แปลกๆเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ปกติแล้วเจ้าหน้าที่ออกตั๋วโดยสารมักจะแจ้งให้ผู้โดยสารทราบ ก่อนจะไปมีปัญหาเวลาเช็คอิน

ส่วนการตบเงินตาม ข้อ 2 ถ้าเกิดขึ้นจริงสามารถ complain ได้กับสายการบินโดยตรง ทำจดหมาย เป็นเรื่องเป็นราว ว่า เกิดเหตุการณ์ วันไหน เที่ยวบินอะไร
เจ้าหน้าที่ที่เรียกตบเงินนั้น ....โดนไล่ออกแน่นอน

ขอแนะนำว่า การเดินทางโดยสายการบินนั้น ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ควรจะ complain กับสายการบินโดยตรงครับ คนไทยส่วนใหญ่มักจะขี้เกรงใจ หรือไม่อยากจะมีเรื่องมีราว  ก็ปล่อยผ่านๆไป   ทางสายการบินถือว่าการบริการคือหัวใจ ของเขา มี complain เกิดขึ้นก็เดือดร้อน ดังนั้นจะพยายามลดการ complain ให้น้อยที่สุด
นี่เป็นหลักของสายการบิน inter ที่มีมาตราฐานนะครับ ( น่าจะรวมถึง TG ด้วย ) 

แต่ถ้าท่านไปนั่งสายการบิน Low cost แล้วละก้อ มักจะไม่ค่อยรับผิดชอบเท่าใดนัก อาจต้องเล่นถึงสคป.เลยถึงจะได้เงินค่าเสียหายคืนมา. >:(

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเจอพนักงานที่บริการท่านดี ก็ควรเขียนจดหมายชมเชยไปยังสายการบินด้วยนะครับใ ;D






กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 03 ต.ค. 12, 10:07
^ ขอบคุณครับ

Thai Airways International puts the A380-800 into the sky

จาก The Nation
                             


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: cutenail ที่ 03 ต.ค. 12, 11:58

ในกรณีที่เครื่องบินไม่จอดที่งวงโดยสาร และจะต้องนั่งรถบัส เซอร์วิสไปขึ้นเครื่องที่ลานจอดนั้น ทำไมบางครั้งรถบัสต้องวนรอบลาน หรือวนรอบเครื่องบินอยู่สองสามรอบ (เป็นบางครั้งนะครับ) ไม่เข้าไปจอดทันที พอทราบหรือไม่ครับ (สายการบินรักคุณเท่าฟ้า)

และในกรณีที่พนักงานขับรถบัสบริการไปยังลานจอด ขับขี่พร้อมโทรศัพท์ไปด้วย จะสามารถแจ้งให้เตือนได้ที่ใคร ณ เวลานั้นได้ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: นอแรด ที่ 03 ต.ค. 12, 14:46

โห ท่านเล็บน่ารัก  ชื่อของท่านหวาดเสียวเสียนี่กะไร

ผมเองก้อไม่ทราบเหมือนกันคร๊าบ เดาไม่ถูกว่าทำไมเขาต้องวน และผมเองก็ไมได้อยู่แผนก operation ซะด้วย เลยเดาไม่ถูก

ส่วนเรื่องพนักงานโทรศัพท์ขณะขับขี่นั้น  แนะนำว่าถ่ายรูปเป็นหลักฐานไว้เลยจะดีกว่านะครับ จำflight ที่ท่านบินไป แล้วก็ถ่ายหมายเลขข้างรถไว้ด้วย

แล้วก็ส่งจดหมายไปถึงผู้ที่ท่านอยากจะให้รู้

แต่เป็นคนเดียวกะขับรถบัสวนเครื่องอยู่สองสามรอบ อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าจะส่งผู้โดยสารขึ้น กะไดหน้าหรือกะไดหลังดี ติดต่อทางวิทยุไม่ได้
ก็เลยโทรศัพท์สอบถาม ก้อเป็นได้ครับ   

เมตตาเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเกิดความสุขครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 04 ต.ค. 12, 20:46
เห็นภาพ Airbus A380-800 แล้ว อืม์    และก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการขนส่งบน runway ในส่วนที่เรียกกันว่า tarmac  และก็เรื่องที่เกิดในขั้นตอนของการขึ้น boarding pass แล้ว ทำให้คิดเลยเถิดไปถึงอีกหลายเรื่องที่มีประสบการณ์อยู่

เรื่องแรก การเช็คอินก่อน (เมื่อเริ่มเปิดทำการ) หรือหลังดี   
ในประสบการณ์ของผมเอง  ผมจะทำการเช็คอินเมื่อเริ่มเปิดทำการ ก็ต่อเมื่อผมรู้ว่าน้ำหนักกระเป๋าของผมเกินไปจากที่กำหนดให้ (ในระดับที่ไม่มากนะครับ) เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะยังไม่เข้มงวด ก็จะผ่านได้โดยไม่มีปัญหา พอเข้าระยะเวลาช่วงกลางๆของการเปิดเช็คอิน ซึ่งมักจะเป็นช่วงของการเข้ามาเช็คอินของทัวร์และผู้โดยสารอื่นๆ นำ้หนักสะสมของสัมภาระจะเริ่มเข้าสู่จุดวิกฤติของการบินในเที่ยวนั้น   ยิ่งเช็คอินช้ามากเข้า เรื่องของน้ำหนักก็จะเริ่มเป็นปัญหามากขึ้น   แต่หากสัมภาระของผมมีน้ำหนักไม่เกินที่กำหนด ผมก็จะไปทำการเช็คอินท้ายๆก่อนปิดเคาท์เตอร์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินเล่นและนั่งรอนานๆ   ในกรณีที่เวลาไม่อำนวย หากน้ำหนักดูว่าจะเกิน ก็จะใช้วิธีถ่ายน้ำหนักไปใส่ในกระเป๋าหิ้วหรือเป้สะพายหลังให้มากขึ้น 

ขออภัยครับ เลยไม่จบตอน มีเรื่องที่ให้ต้องไปทำครับ   





กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: นอแรด ที่ 10 ต.ค. 12, 22:34
เรื่องการเช็คอิน ปกติแล้วสายการบินมักจะทำการ over booking  ( คือจองรับผู้โดยสารโดยเฉพาะชั้นeconomy มากกว่าจำนวนที่นั่งที่มีอยู่จริง ) สาเหตุเนื่องจากผู้โดยสารมีการ No Show แทบทุก flight ส่วนจะเป็นจำนวนกี่ % ก็แล้วแต่สถิติของเที่ยวบินนั้นๆ  

และจุดประสงค์ของสายการบินคือ ต้องทำกำไรสูงสุดดังนั้นต้องพยายามให้ผู้โดยสารขึ้นเต็มทุกที่นั่ง จึงรับผู้โดยสารให้มากไว้เสียก่อน

ถามว่า....ถ้าผู้โดยสารทั้งหมดเกิดมาจริงๆ จะทำอย่างไร ? ก็ไม่มีปัญหา  Up grade ผู้โดยสารที่เกิน ขึ้นไปนั่งชั้น Business Class เท่านั้นเอง

พนักงานที่check in (  จริงๆแล้วก็เป็นหน้าที่ของซุป ) ก็จะดูสาระรูปของท่านว่า แต่งกายอย่างไร ท่าทางพอจะเข้ากลมกลืนกับผู้โดยสารชั้น Business Class ได้หรือไม่  

ดังนั้นเมื่อท่านจะเดินทางไปไหนก็ตาม และอยากจะลุ้นนั่ง Business Class ก็ต้องแต่งตัวดีๆ ผู้ชายควรใส่สูท   และต้องดูว่า Flight นั้นๆ เต็มหรือไม่ ถ้าเต็มก็ไปดูแถว standby ใกล้เวลาปิด แถวนั้นจะจอแจจอกแจก  พนักงานจะคุยกันโหวกแหวก ว่ามีเหลือกี่ที่ อะไรทำนองนั้น

ท่านก็เดินเข้าไป check in แล้วยิ้มหวาน โปรยเสน่ห์เข้าไป .......... ;)


ปล.ถ้ามีญาติโกโหติกาทำงานในสายการบินนั้นๆ ยิ่งสะดวก สั่งจองขอกันไว้เลยครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: นอแรด ที่ 10 ต.ค. 12, 23:00

ส่วนท่านที่อยากบินฟรี ก็แนะนำให้ไปหาคนที่ทำงานสายการบินเป็น ภรรยา หรือสามี ถ้าได้ตำแหน่งสูงๆ ก็จะดี เพราะว่าจะมีสิทธิมากและอาจได้นั่งชั้น Business
Class  ปีละหลายๆหน  ( ทางที่ดีก่อนจีบ ควรอ่านดูกฎข้อบังคับของสายการบินนั้นๆ ก่อนเพื่อความปลอดภัยนะครับ เพราะกฎแต่ละสายการบินไม่เท่ากัน )

ปล. พนักงานสายการบินตำแหน่งสูงส่วนใหญ่ ....มักจะมีวัยสูงด้วย :'(


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 20 ต.ค. 12, 14:25
คุณตั้งกลับมาจากการเดินทางกับครอบครัวคราวนี้ คงมีเรื่องเก็บตกจากการเดินทางมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 พ.ย. 12, 19:07
ขอกลับไปควักกระทู้นี้ขึ้นมาอีกครับ คิดว่ายังมีเรื่องที่น่าจะเล่าให้เป็นข้อมูลอีกมาก  ผมมัวแต่ใช้เวลาไปเขียนกระทู้อื่่นอยู่นาน

ย้อนกลับไปอ่านใหน้าแรก มีเรื่องของพาสปอร์ต ก็จะขอเล่าประสบการณ์เพิ่มเติม

พาสปอร์ตมีหลายแบบดังที่ทราบกันอยู่  แต่ละประเภทก็มีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน  ในสามประเภทหลักของเรา คือ สีน้ำตาล-พาสปอร์ตบุคคลธรรมดาใช้ในการเดินทางแบบปุถุชนธรรมดา (Ordinary Passport)  สีน้ำเงิน-พาสปอร์ตสำหรับข้าราชการใช้เดินทางไปในงานราชการ (Official Passport) และสีแดง-พาสปอร์ตนักการทูต (Diplomatic Passport) ใช้สำหรับบุคคลในงานทางการทูตเดินทางไปในงานและกิจกรรมทางการทูต   

พาสปอร์ตสีน้ำเงินนี้ บางครั้งก็ออกให้กับบุคคลธรรมดาที่ต้องเดินทางไปร่วมทำงานกับข้าราชการ (เป็นประจำ) ในกิจการงานทางราชการต่างๆ
พาสปอร์ตสีแดงนี้ นอกจากจะใช้สำหรับนักการทูตแล้ว ก็มักจะมีการออกให้กับบุคคลในระดับรัฐมนตรีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง มีอายุสั้นและ/หรือเฉพาะในช่วงที่ต้องไปปฏิบัติงานในฐานะตัวแทนของรัฐ  และ/หรือเพื่อเป็นเกียรติให้กับคนที่เป็นอดีตนายกรัฐมตรี

เมื่อไปขอวีซ่าเข้าเมืองของประเทศต่างๆนั้น มีมากมายหลายประเทศที่ประเภทบุคคลธรรมดาไม่ต้องใช้วีซ่า  แต่ประเภทข้าราชการและนักการทูตต้องใช้วีซ่า และ้ก็มีอีกมากมายที่บางประเทศ สำหรับประเภทข้าราชการต้องใช้วีซ่าแต่นักการทูตไม่ต้องใช้วีซ่า หรือข้าราชการไม่ต้องใช้วีซ่าแต่นักการทูตต้องใช้วีซ่า  ทั้งหมดเป็นเรื่องของความตกลงระหว่างกัน

พาสปอร์ตนั้นเป็นเพียง ID สำหรับบุคคลของประเทศหนึ่งที่ใช้ในการเดินทางในประเทศอื่นๆ  พาสปอร์ตทั้งสามประเภทหลักดังกล่าวนั้น ไม่ได้ให้สิทธิแก่ผู้ถือผู้ใดได้รับสิทธิอยู่เหนือกฏหมายและเหนือคนในประเทศที่เดินทางไปในประเทศของเขา   ความต่างนั้นมีอยู่เพียง เรื่องของการอำนวยความสะดวก (facilitation) เช่น มีช่องแยกการตรวจประทับตราสำหรับการเข้าเมืองแยกออกไป จะได้ไม่ต้องรอคิวนาน  สำหรับเอกสิทธิ์ (privilege) ของผู้ถือพาสปอร์ตนั้น ก็เป็นเพียงความช่วยเหลือที่จะได้รับการให้ความสนใจหรือจัดการให้ดีกว่าคนอื่นเมื่อได้รับ มิใช่เรื่องขนของเข้าออกโดยไม่ถูกตรวจตราและเสียภาษีเป็นต้น  ส่วนในเรื่องของความคุ้มครอง (immune) หรือการเป็นบุคคลอยู่เหนืออำนาจทางศาล ซึ่งก็ยังต้องเคารพและอยู่ภายใต้ข้อกฏหมายของเขานั้น ผู้ถือพาสปอร์ตทางการทูตไม่มี ยกเว้นว่าจะเป็นบุคคลที่รัฐบาลหรือรัฐสภาของประเทศนั้นๆจะเห็นชอบ ซึ่งก็จะเป็นเฉพาะกรณีไปอยู่ปฏิบัติหน้าที่ทางการทูตเป็นตัวแทนของประเทศเท่านั้น  โดยนัย ก็เป็นเพียงเครื่องประดับและเพื่อการโอ้อวดเท่านั้น    เจ้าหน้าที่ ตม.และอื่นๆของทุกประเทศเขามีรายชื่อบุคคลเหล่านี้ เขารู้ดี ทำตัวไม่ดีเขาก็ดูถูกเหยียดหยามเอาด้วยการแสดงออกแบบผู้ดี   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 พ.ย. 12, 19:42
เมื่อผ่าน ตม.แล้วก็เข้าไปอยู่ในดินแดนของการขายสินค้าแบบ Tax free กับ Duty free

คำว่า Tax free กับ Duty free นี้ มีความหมายที่ต่างกัน ซึ่งก็อาจจะให้ผลทั้งที่เหมือนกันและต่างกัน

Duty free โดยหลักแล้วเป็นการบอกว่า สินค้านั้นๆปลอดภาษีที่รัฐเรียกเก็บกับสินค้าบางกลุ่ม    Duty มีทั้งที่เราเรียกว่าภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิต 
Tax free โดยหลักแล้วเป็นการบอกว่า สินค้านั้นๆปลอดภาษีที่เราจะต้องจ่ายเมื่อซื้อหาสินค้านั้นๆ  Tax ในความหมายนี้จึงไปหมายถึง VAT

Duty free ทำให้สินค้านั้นๆปลอด Tax (VAT) ไปพร้อมๆกัน  แต่ Tax free นั้น อาจจะเป็นสินค้าที่ปลอดแต่เพียง VAT แต่ไม่ปลอด Duty ก็ได้

ราคาสินค้าที่ขายกันในโซน Tax free & Duty free ของแต่ละสนามบินนานาชาติจึงไม่เท่ากัน ของบางอย่างซื้อในสนามบินนานาชาติอื่นๆนอกประเทศผู้ผลิตกลับมีราคาถูกกว่าในสนามบินนานาชาติของประเทศผู้ผลิตก็มีมากกมาย     แม้กระทั่งนาฬิกาที่ผลิตโดยสวิสและซื้อในตลาดสวิส ก็แพงกว่าที่ขายอยู่ในตลาดบางประเทศเช่น ออสเตรีย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 พ.ย. 12, 21:17
อ้างถึง
ราคาสินค้าที่ขายกันในโซน Tax free & Duty free ของแต่ละสนามบินนานาชาติจึงไม่เท่ากัน ของบางอย่างซื้อในสนามบินนานาชาติอื่นๆนอกประเทศผู้ผลิตกลับมีราคาถูกกว่าในสนามบินนานาชาติของประเทศผู้ผลิตก็มีมากกมาย     แม้กระทั่งนาฬิกาที่ผลิตโดยสวิสและซื้อในตลาดสวิส ก็แพงกว่าที่ขายอยู่ในตลาดบางประเทศเช่น ออสเตรีย

เคยสังเกตเหมือนกันค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 พ.ย. 12, 18:25
เมื่อขึ้นเครื่องบินแล้วและกำลังบินอยู่ในน่านฟ้าสากล  พนักงานบนเครื่องก็จะเริ่มนำของ duty free มาขาย ของเหล่านี้น่าจะมีราคาถูกกว่าที่ขายกันอยู่ในสนามบิน เนื่องจากปลอดภาษีทั้งสรรพสามิตและภาษี VAT จริงๆ ราคาอาจจะต่างกันไปตามแต่กำไรที่ที่จะบวกโดยสายการบิน  ผมไม่เคยได้ลองเทียบราคาดูสักที  แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าที่สนมบินนั้น ร้านค้าจะมีภาระเสียค่าเช่าพื้นที่ค้าขายจึงต้องผนวกเข้าไปเป็นต้นทุนด้วย   
เคยสังเกตเห็นว่า เอาคนญี่ปุ่นที่ชอบซื้อเหล้าและบุหรี่เป็นหลักนะครับ บางสายการบินก็ไม่มีคนสนใจ บางสายการบินก็แห่ซื้อกันระวิง จนพนักงานบริการให้แทบไม่ทัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 พ.ย. 12, 19:44
เมื่อเช็ดอิน ผมก็จะขอเลือกที่นั่ง  คำถามแรกคือเครื่องเต็มหรือไม่และพอจะเลือกที่นั่งได้หรือไม่ หากเต็มและมาทีหลังก็มีโอกาสน้อย   ในกรณีนั่งชั้นธรรมดา  ผู้หญิงจะนิยมเลือกริมทางเดินเพราะว่าออกไปเข้าห้องน้ำได้ง่าย ส่วนผู้ชายจะนิยมเลือกริมหน้าต่าง  โดยทั่วไปแล้วคนจะพยายามขอที่นั่งด้านหน้าๆ เพราะเงียบดี และไม่ค่อยจะโคลงเคลงทั้งในช่วงพบกับสภาพอากาศที่ไม่ดี ขาบินขึ้น และขาบินลง ทั้งนี้เนื่องจากอยูในบริเวณใกล้จุดหมุนของเครื่องบิน  และโดยทั่วไปก็จะพยายามไม่ขอนั่งในที่นั่งแบบถูกขนาบซ้ายขวาด้วยคนอื่นที่ไม่รู้จัก    ปัจจุบันนี้เริ่มเลือกที่นั่งได้ยากขึ้น เนื่องจากเขาใช้ระบบกระจายน้ำหนักโดยการคำนวนของเครื่องคอมพิวเตอร์

อย่างไรก็ตาม ผมว่ามันก็มีทางออกอยู่  คือ  มีผู้โดยสารจำนวนมากเลยทีเดียวที่ไม่ชอบนั่งแถวหน้าสุดตรงทางเดินประตูเครื่องบิน แล้วก็ไม่ชอบที่นั่งท้ายเครื่อง  ผมกลับชอบแฮะ   แถวหน้าตรงประตูทางเดินหรือแถวกลางแถวแรก (ซึ่งจะสำรองให้กับผู้โดยสารที่มีเด็กเล็กมาด้วย) เหยียดแข้งเหยียดขาสบายมาก ลุกยืน ลุกเดินก็ง่าย นั่งเครื่องก็หลับไป จะไปเอาเป็นเอาตายกับเรื่องต้องมีจอสำหรับดูหนัง (ที่อยู่หลังพนักพิงของเก้าอี้ตัวหน้า) ไปทำไม    หากไม่มีที่ดังกล่าว ผมก็จะขอไปนั่งแถวหลังสุด ด้านซ้ายหรือด้านขวาของเครื่อง ที่นั่งแถวหลังสองสามแถวนี้ มักจะมีเก้าอี้นั่งไม่เท่ากับแถวที่เรียงกันมา เนื่องจากเป็นส่วนเรียวของท้ายเครื่องบิน จากสามเก้าอี้ก็เหลือสองเก้าอี้ กว้างขวางทั้งริมหน้าต่างและทางเดิน แถวกลางเครื่องทั้งแถวสุดท้ายมักจะถูกเก็บสำรองไว้สำหรับให้ลูกเรือได้นั่งพักผ่อนหรือวางของที่ใช้ในการให้บริการชั่วคราว เสียงเครื่องอาจจะดังหน่อย นั่งไปสักพักก็จะคุ้นเคยเหมือนเสียงเครื่องแอร์ดังๆในโรงแรม จะรู้สึกโคลงเคลงก็เฉพาะตอนช่วงเครื่องขึ้น-ลง  ที่สำคัญ ใกล้ห้องน้ำท้ายเครื่อง ใกล้พนักงาน เพราะเขาชอบมายืนพักและคุยกัน จะขออะไรก็ง่าย  (ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้โดยสารท้ายเครื่องมักจะรอดหากเกิดอุบัติเหตุช่วงขาเครื่องบินขึ้นหรือบินลง)  ข้อเสียอีกอย่างหนึ่ง คือ หากจะต้องรีบออกไปต่อเครื่องที่สนามบินใหญ่ๆต่างๆ อาจจะทำให้เสียเวลาไปบ้างจนน่ากลัว เนื่องจากต้องต่อแถวกว่าจะเดินออกจากท้ายเครื่องได้ ที่จริงก็ไม่ต้องกลัวหรอก สายการบินที่เราจะไปต่อเครื่องนั้นเขาจะต้องรอเราอยู่เสมอ ยกเว้นกรณีเครื่องที่เรามาเสียเวลาเกินควร หากเสียเวลาเล็กๆน้อยๆและสายการบินที่จะต่อนั้นเขาเห็นว่าน่าจะไม่ทันการ คราวนี้เราจะได้รับการบริการแบบลัดคิวเลย จะมีเจ้าหน้าที่มายกป้ายชื่อบ้าง และรีบนำเราลัดคิวต่างๆเพื่อให้ไปขึ้นเครื่องเขาให้ทัน  เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งหรือครับ กระเป๋าเราถูกย้ายขึ้นเครื่องเขาไปแล้ว เขาไม่ใว้ใจหรอกว่าจะกลายเป็นกระเป๋าอันตรายหากไม่มีเจ้าของร่วมเดินทางไปด้วย  บางสนามบินและสำหรับบางสายการบินที่เราใช้บินมา เขาก็จะใช้ระบบให้เราไป claim กระเป๋าก่อนแล้วยกใส่อีกรางหนึ่งเพื่อไปบรรทุกในอีกเครื่องหนึ่ง เพื่อระบุว่ามีตัวตนผู้โดยสารจริงๆ    รู้ระบบเช่นนี้แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องไปกังวลในเรื่องของการต่อเครื่องใดๆให้มากนัก  สถานะการณ์ต่างๆอยู่ในการควบคุมของเขา เราอยู่ในส่วนของผู้ที่ถูกเขาจัดให้เราอยู่ในสภาพนั้น เรามิใช่เป็นผู้กำหนดและสร้างให้เกิดสภาพการณ์เหล่านั้น เขาเหล่านั้นต้องมีส่วนรับผิดชอบ   ความไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นไปได้ทำให้เกิดวลีล้อเลียน  Tomorrow Go  ซึ่งเป็นคำฮิตในหมู่ผู้โดยสารนานาชาติอยู่นาน

   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 พ.ย. 12, 17:45
นั่งนิ่งๆอยู่ในเครื่องบินนานหลายชั่วโมงเข้า ก็จะเกิดอาการสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือ เท้าบวม ทางแก้ดูจะมีอยู่สามวิธี คือ ทางแรก เลือกใส่รองเท้านิ่มๆ หรือไม่ก็รองเท้าที่หลวมหน่อย ทางที่สอง มีโอกาสก็ลุกขึ้นยืนหรือเดินบ้างเท่าที่จะทำได้ เดินไปยืนอยู่ท้ายเครื่องดีที่สุด เพราะมักจะเป็นบริเวณที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ต่างกับไปยืนแถวๆบริเวณเตรียมอาหาร  อย่างไรก็ตามพนักงานเขาจะขยันมาบอกเราให้กลับไปนั่ง  ทางที่สาม ทำการกายบริหาร ยกเท้ายกขา ไปตามเรื่องหรือตามวิธีการที่ฉายให้ดูตอนเครื่องเริ่มบินช่วงแรกๆ  ผมชอบวิธีการลุกเดินไปให้นานที่สุด หากเขาให้ไปนั่งก็จะบอกพนักงานว่าขาแข้งขาไม่ดี  นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ผมต้องเลือกที่นั่งในลักษณะตามที่ได้เล่ามา
 
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 พ.ย. 12, 18:21
อีกอาการหนึ่ง เป็นอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว คือ ขาดน้ำ และป่วยอากาศ (ผมขอเรียกแบบนี้)   เครื่องบินโดยสารที่บินสูงๆจะปรับความดันของอากาศในเครื่องให้ๆไปเหมือนกับเรายืนอยู่บนยอดเขาที่ระดับความสูงประมาณ 8,000 ฟุต (ประมาณ 2,500 เมตร) ประมาณความสูงของยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นระดับที่มีอ๊อกซิเจนน้อยกว่าพื้นราบที่เราอาศัยอยู่โดยทั่วๆไป อากาศจะแห้ง เหงื่อจะหายไปหมด จะรู้สึกสบายตัวก็ระยะแรกๆ นานเข้าก็จะรู้สึกอีกแบบหนึ่ง น้ำในร่างกายที่ระเหยออกไปกับเหงื่อที่เราไม่เห็นมีนั้น ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้เอาการอยู่ทีเดียว  ทางแก้ที่แนะนำกันก็คือ กินน้ำให้มากๆในระหว่างการบิน ซึ่งเรารู้สึกได้ว่าเข้าสู่อาการเริ่มขาดน้ำแล้วก็เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งนั่นเอง ผู้หญิงจะไม่ชอบกินน้ำเยอะๆก็เพราะกลัวจะต้องฉี่บ่อยๆ ที่จริงแล้วไม่ต้องกลัวเลยหากต้องเดินทางอยู่ในเครื่องบินนานๆ เคยสังเกตใหมครับว่า ตามปรกติแล้ว ประมาณทุกสองชั่วโมงคนจะต้องฉี่ แต่ในเครื่องบินที่มีคนนั่งเป็นสองสามร้อยคนในเส้นทางการบินมากกว่าห้าหกชั่วโมงขึ้นไป จะไม่ค่อยมีคนลุกออกไปฉี่ ก็เพราะน้ำในตัวเรามันถูกระบายออกไปทางผิวหนัง (เพราะอากาศแห้ง) ได้มากนั่นเอง   ปัญหามันไปอยู่ที่พนักงานต้อนรับจะไม่ค่อยดูแลในเรื่องนี้ เสิร์ฟอาหารเสร็จก็จบกัน หายไปยืนคุยกันหมด จะขอน้ำสักทีก็ยากเย็นเหมือนกัน ได้มาครั้งละจอกเล็กๆเท่านั้นเอง ยังไม่รู้สึกชื่นใจเลย ซึ่งเป็นอาการของร่างกายเราที่บอกว่าได้น้ำมาทดแทนส่วนที่ขาดไปพอเพียงแล้ว

ตั้งแต่บินมา เห็นอยู่ไม่กี่สายการบินหรอกครับที่ดูแลเอาใจใส่ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขนาดจัดวางให้ผู้โดยสารเดินไปหยิบกินได้มากพอตามที่ต้องการ มิใช่ต้องไปขอ แล้วก็ให้มาจอกเล็กๆ ขอหลายจอกต่อเนื่องเข้าก็ทำท่าทำอาการที่ไม่น่าดู ยังกับเราเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมีพื้นฐานคล้ายๆกันหมดในทุกสายการบิน คือ look down คนของชาติตนเอง

   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 พ.ย. 12, 18:54
อาการป่วยอากาศที่ผมเรียก ก็คืออาการขาดความกระปรี้กระเปล่า จะเห็นได้ชัดเมื่อเครื่องลงแล้ว ซึ่งหากบินข้ามเส้นแบ่งเวลา (time zone) ก็จะผนวกกับอาการ jet lag ด้วย
ผมสังเกตว่า อาการ jet lag นั้นจะค่อนข้างรุนแรงมากหากเป็นการบินไปทางตะวันตก จะค่่อนข้างน้อยหากเป็นการบินมาทางตะวันออก   จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า คนที่มีอายุมากจะเกิดอาการมากกว่าคนในวัยหนุ่มสาว เป็นเรื่องของปริมาณสารที่เรียกว่า เมลาโทนิน (Melatonin) ที่คนสูงอายุมีลดน้อยถอยลง ซึงเป็นฮอโมนชนิดหนึ่งที่ทำงานในหน้าที่ body clock จึงมีการผลิตยาประเภทนี้และใช้กันในหมู่ผู้เดินทางที่มีอาการ jet lag ค่อนข้างรุนแรง เป็นยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ครับ หาซื้อได้ตามสนามบินทั่วไป กินก่อนขึ้นเครื่อง

ผมไม่เคยกินยานี้ แต่ใช้อีกวิธีการ คือ กินให้มากบนเครื่อง ทั้งแอลกอฮอลล์ที่เสิร์ฟก่อนอาหาร ระหว่างอาหาร และหลังอาหาร กินทั้งอาหารคาวและหวานที่เสิร์ฟในเครื่องให้หมด ก็จะเกิดอาการอิ่ม ตึง (จากแอลกอฮอลล์)  สุดท้ายของมื้ออาหารก็ขอน้ำกินมากๆหน่อย เข้าห้องน้ำเบาให้เรียบร้อย กลับมานั่ง แพล๊บเดียวก็หลับยาวจนกระทั่งเขาปลุกให้ตื่นเพื่อเสิร์ฟอาหารเบาหรือหนักก่อนเครื่องลง   ที่จริงแล้วการดื่มแอลกอฮอลล์บนเครื่องมากเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะมันซึมเข้าเลือดง่าย ทำให้เมาได้ง่ายๆครับ  ผมใช้อาหารเป็นตัวถ่วงอาการเมา ตอนหลับก็คือฤทธิของแอลกอฮอลล์ แต่เนื่องด้วยมีอาหารและน้ำในท้องมากพอ ตื่นมาจึงสดใสเหมือนเดิม   เล่ามานี้ มิได้ประสงค์จะให้ทำตามนะครับ    เมื่อสามารถเดินทางได้ด้วยตนเองแล้ว ก็คงจะมีพิจารณญาณเพียงพอว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควรกระทำครับ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 พ.ย. 12, 18:25
ก่อนเครื่องจะลง ผู้โดยสารทั้งหลายที่เดินทางเอง ก็มีหน้าที่ต้องกรอกและตรวจสอบข้อความในใบแบบฟอร์มผู้โดยสารขาเข้า และใบสำแดงภาษี บางทีก็มีใบแบบแสดงสุขภาพและประวัติการเจ็บป่วยอีกด้วย  สำหรับพวกที่มากับทัวร์ หัวหน้าทัวร์จะจัดการกรอกให้ทั้งหมด ลูกทัวร์ก็มีหน้าที่เซ็นชื่อเพียงอย่างเดียว

ในแบบฟอร์มเข้าเมืองนั้น ก็แล้วแต่ๆละประเทศว่าจะมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใด (บางทีก็เรีกว่า Entry card บางทีก็เรีกว่า Disembarkation card)  ในแบบฟอร์มนี้มีคำอยู่สองสามคำที่ทำให้งงพอได้เลย คือ คำว่า Embark...(ขึ้นเครื่องมาจากใหน) กับ Disembark....(ลงจากเครื่อง) และ Destination (สถานที่ๆจะไป)   

อาการเมาเครื่องบินหรือเมาเรือที่เกิดขึ้นเมื่อลงมาเดินบนพื้นดินแล้วรู้สึกโคลงเคลง เรียกว่า Disembarkment syndrome

ในแบบสำแดงภาษีนั้น ผมคิดว่าผู้โดยสารเกือบจะทุกคนจะกรอกแบบไม่ค่อยจะตรงกับความจริง (ยกเว้นว่าจะเป็นของที่เก็บซ่อนได้ไม่มิดชิด) พวกศุลการักษ์เขาก็รู้และจะใช้วิธีสังเกตลักษณะคนและอาการ ดูจากต้นทางของเที่ยวบินนั้น หรือใช้วิธีการตั้งคำถามสอบถาม ฯลฯ แต่ก็มักจะใช้วิธีการสุ่มตรวจขอเปิดกระเป๋าดู ว่าไปแล้วก็ค่อนข้างจะอลุ่มอล่วยกันทุกประเทศ     แต่ใช่ว่าหลุดจากตัวด่านแล้วจะลอดพ้นเสียทีเดียว  ขณะเข็นรถออกใกล้จะออกประตู บางทีก็จะมีเจ้าหน้าที่เรียกตรวจอีก คราวนี้เอาเข้าไปค้นในห้องเลย ยังไงๆก็ต้องมีของผิดและต้องเสียภาษี (มิฉะนั้นก็จะเสียเหลี่ยมศุลการักษ์หมด)   เคยมีข่าว (ซึ่งเป็นเรื่องจริง) ว่า ผ่านพ้นจนจะขึ้นรถแล้วยังมีคนอ้างตัวเป็นสรรพากรขอตรวจจำนวนเหล้าและบุหรี่ แล้วทำการปรับเข้ากระเป๋าเป็นที่เรียบร้อย   

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 พ.ย. 12, 19:07
ลงจากเครื่องก็ต้องมาผ่าน ตม.  เคยสังเกตใหมครับว่า เขามีเส้นขีดเว้นระยะยืนรอที่หน้าโต๊ะ ตม. แล้วก็มีเส้นขีดเว้นระยะหลังโต๊ะ ตม.  ที่โต๊ะ ตม.เองก็มีกระจกโค้งเพื่อมองพื้นด้านหน้าและด้านข้าง     ผมเองสงสัยอยู่ว่า ทำไมบูท ที่นั่ง และเคาท์เตอร์สำหรับ ตม.นั่งนั้นจึงค่อนข้างจะสูงกว่าปรกติ (ก็ยังไม่ทราบเหตุผลและคำตอบ) 

ที่บริเวณนี้มีเรื่องเล่ามากมายถึงสาเหตุที่ต้องมีลักษณะดังกล่าวข้างต้น พี่ไทยก็เป็นหนึ่งในเหตุที่ทำให้เกิดลักษณะดังกล่าว จริงเท็จอย่างไรก็พิจารณาเอาเองครับ (เพียงได้ฟังมาจากเจ้าหน้าที่และคนที่เคยทราบว่ามีกระทำ) 
แต่เดิมนั้น ผู้โดยสารที่ไม่สามารถสื่อสารทางภาษาได้ ก็จะมีเพื่อนเข้าไปรุมช่วยชี้แจงที่หน้าเคาท์เตอร์ของ ตม.    มีเรื่องว่าในช่วงการตรวจประทับตรานี้ เรื่องหนึ่งคือจะมีเพื่อนมุดอยู่แล้วลอดผ่านการตรวจเข้าไป  อีกเรื่องหนึ่งคือมีคนซ่อนตัวอยู่ในกระเป๋าเพื่อลากผ่านการตรวจเข้าไป อีกเรื่องหนึ่งคือการใช้พาสปอร์ตปลอมส่งรวมผนวกเข้าไปเป็นกลุ่มหลายๆเล่ม เจ้าหน้าที่จะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปกับเสียงนกกระจอกและตัดรำคาญ รีบดำเนินการให้เสร็จๆไป  ฯลฯ

ปัจจุบันนี้ จึงมีการต้องให้เข้าไปยื่นการตรวจประทับตราครั้งละคน ห้ามยืนออกันที่เคาท์เตอร์ มีกระจกส่องดูกระเป๋าที่ลากและการแอบเล็ดลอด แถมยังมีเจ้าหน้าที่คอยจัดคิวอยู่ด้านหน้า แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ยืนระวังหลังอยู่หลังแนวเคาท์เตอร์  ซึ่งเมื่อผ่าน ตม.แล้วยังห้ามยืนรอพรรคพวกอีกด้วย 

อาจจะมีคำถามว่า แล้วทำไมต้องใช้พาสปอร์ตปลอม แล้วทำไมต้องทำการลักลอบเข้าเมือง       


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ย. 12, 16:11
รอคำตอบค่ะ   เดาว่าถ้าเป็นต่างประเทศ   เขากลัวคนลักลอบเข้าไปอยู่อาศัยและ/หรือทำงานในประเทศเขา   เมืองใหญ่ๆอย่างลอสแอนเจลิสเข้มงวดในเรื่องนี้มาก   
ถ้าเป็นด่านของไทย เดาว่าคงเกรงอาชญากรข้ามชาติละมังคะ
รอคำเฉลยจากคุณตั้งค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 พ.ย. 12, 19:41
^
^
ถูกทุกคำตอบครับ

มีสามสาเหตุ คือ ลักลอบเข้าไปประกอบอาชีพสุจริต ลักลอบเข้าไปประกอบอาชีพทุจริต และหนีคดีความ  จะขอขยายความและเนื้อในของเรื่องสั้นๆ ดังนี้

กรณีแรก คนเหล่านี้มีทั้งพาสปอร์ตจริงและปลอม เขาเสี่ยงใช้ของปลอมก็เพราะว่า เมื่อเข้าไปทำงานนั้น นายจ้างจะยึดพาสปอร์ต เพื่อเป็นหลักประกันว่าเขาจะไม่หนีงานไปหางานที่ใหม่ที่ให้รายได้ดีกว่าเมื่อครบกำหนดสัญญา (หรืออื่นๆ) เอาเข้าจริงๆ เมื่อครบสัญญานายจ้างก็มักไม่คืนพาสปอร์ตให้เพื่อบีบให้ทำงานต่อไป หรือก็เพราะว่า เขาจะไม่มีโอกาสหลบหนีกลับประเทศหรือหลบไปใหนได้เลย (เนื่องจากไม่มี ID ที่จะแสดงตน)       

กรณีที่สอง เป็นการตั้งใจจะลักลอบเข้าเมืองเพื่อหาโอกาสให้กับชีวิตใหม่จริงๆ  โดยหลักง่ายๆก็คือ เมื่อความถูกต้องที่ปรากฏอยู่ในพาสปอร์ตปลอมสิ้นสุดลง บุคคลนั้นก็จะอันตรธานหายไป เขาก็จะเหลือพาสปอร์ตจริงที่ยังคงเป็น ID แสดงตนเมื่อถึงคราวจำเป็น

กรณีที่สาม มีทุกอย่างที่เป็นของจริง (พาสปอร์ตและวีซ่า) แต่ในระหว่างช่วงที่ของจริงยังมีอายุอยู่ แต่ใช้ของปลอมในการเดินทางเข้าออกและทำงานในช่วงอายุของๆจริงยัง เรื่องนี้ใช้กับเรื่องที่แอบทำในเรื่องที่ผิดกฏหมายต่างๆ

ด้วยสาเหตุบางส่วนที่เล่ามานี้  พอจะสังเกตใหมครับว่า ในกรณีเดินทางเอง เมื่อจะขอวีซ่า หลายๆประเทศจึงต้องการจดหมายเชิญ รับรอง และรับผิดชอบค่าใช้จ่าย หากเกิดกรณีมีความเสียหาย เจ็บป่วย หรือต้องถูกส่งตัวกลับ ฯลฯ     การไปกับบริษัททัวร์จึงสะดวก เนื่องจากบริษัททัวร์จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายทั้งหลาย  ทำให้เรารู้สึกว่าเิดินทางไปกัับทัวร์นั้นทุกอย่างดูง่ายสะดวกไปหมด ไม่มีปัญหาทั้งสิ้น   แต่ก็ไม่จริงเสมอไป มีลูกทัวร์มากมายเหมือนกันที่ถูกปฏิเสธวีซ่า  บริษัททัวร์เองก็มีปัญหาเหมือนกันที่ลูกทัวร์หนีทัวร์ ไม่ยอมกลับตามวันเวลาที่กำหนด อาศัยทัวร์มาก็เพื่อการหลบหนีเข้าเมืองที่สะดวกมากขึ้น       ไทยเราก็เข้าข่ายที่ต่างประเทศเขาระวังในเรื่องนี้ แม้กระทั่งจะเป็นการเดินทางของข้าราชการและคณะทัศนศึกษา (ทีเรียกอย่างโก้หรูในภาษาไทยว่าไปดูงาน) ที่จัดโดยหน่วยงานราชการก็ตามทีเถอะ ก่อนที่สถานทูตของเขาจะพิจารณาออกวีซ่าให้ หลายประเทศก็ยังต้องการหนังสือรับรองจากหน่วยงานในประเทศของเขาหรือของเราที่มีสำนักงานอยู่ในต่างประเทศนั้นๆ (ก็เพราะลูกทัวร์ในคณะดูงานทางราชการนั้นๆ ดูจะมีคนที่ไม่มีสถานะตำแหน่งทางราชการ ผู้หญิงและเด็ก มากกว่าคนที่มีตำแหน่งทางราชการ)             
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 พ.ย. 12, 10:59
อาการป่วยอากาศที่ผมเรียก ก็คืออาการขาดความกระปรี้กระเปล่า จะเห็นได้ชัดเมื่อเครื่องลงแล้ว ซึ่งหากบินข้ามเส้นแบ่งเวลา (time zone) ก็จะผนวกกับอาการ jet lag ด้วย

          ช่วงหลังนี้มีการพูดถึงการจัดการอาการ jet lag ด้วยการอดอาหาร ครับ

                              Anti–jet lag Fast

              โดยปกติแล้วคนเราจะมี "นาฬิกา" หลักที่ควบคุมการหลับอยู่ในสมอง นาฬิกานี้จะมีการตั้งเวลา
นอนหลับไว้เป็นจังหวะในรอบวัน ("circadian" rhythms - "circadian" clock)
ทำให้เราตื่นตอนกลางวันและง่วงตอนกลางคืน โดยที่จังหวะนี้อาจเปลี่ยนไปได้ด้วยอิทธิพลของแสงสว่าง
การเดินทางไกลข้ามเขตเวลามีผลทำให้เกิดอาการ jet lag
            ต่อมานักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าคนเรายังมีนาฬิกาอีกอันหนึ่งนั่นคือ  "feeding" clock
ที่สัมพันธ์อิงกับการกินของเรา นาฬิกานี้อยู่ในสมองเช่นกันแต่เป็นคนละส่วน
            จากการศึกษาในหนูทดลองพบว่า นาฬิกากินอาหารนี้ สามารถมีอิทธิพลเหนือนาฬิกาจังหวะรอบวันได้
กล่าวคือ ถ้าหากหนูทดลองไม่ได้กิน หนูก็จะอยู่ในภาวะตื่นอยู่ตลอด ไม่หลับไม่ง่วงแม้ถึงเวลานอน(เพื่อจะได้
หาอาหาร)

            จากข้อมูลนี้ จึงเป็นที่มาของการใช้ประโยชน์จากนาฬิกากินเพื่อจัดการอาการ jet lag


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 13 พ.ย. 12, 11:00
           ถ้าหากเราเดินทางจากอเมริกาไปญี่ปุ่น เราต้องปรับเวลาถึง 11 ชั่วโมง นาฬิกาชีวิตของเรา
จะใช้เวลาในการปรับเวลาถึงหนึ่งสัปดาห์โดยประมาณ แต่
            ถ้าเราใช้นาฬิกากิน โดยการอดอาหาร (12-)16 ชั่วโมง เราก็สามารถที่จะ(ปรับ)ตั้งนาฬิกาชีวิต
ให้เข้ากับเวลาของสถานที่ใหม่ได้โดยใช้เวลาน้อยกว่า
             จึงเป็นที่มาของคำแนะนำให้  งดรับประทานอาหาร 12- 16 ชั่วโมงก่อนเวลาอาหารเช้าของ
จุดหมายปลายทาง ที่อาจหมายถึงการอดบนเครื่องบินขึ้นอยู่กับเวลาในการเดินทางและเวลาถึงที่หมาย
              ในบทความทั่วไปจึงจะพบข้อความแนะนำว่า
    
                simply avoiding any food on the plane and then
eating as soon as you land

             ซึ่งการอดที่ดูเหมือนจะนานสิบกว่าชั่วโมงนี้ ไม่น่าจะยากลำบากอะไรในเมื่อเราก็อดอาหารนาน
ขนาดนี้อยู่แล้วทุกวันในช่วงหลังมื้อเย็นจนถึงมื้อเช้า - 'breakfast'


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 พ.ย. 12, 19:35
^
เคยอ่านพบและทราบอยู่เหมือนกันครับ  สำหรับการใช้หลักการกระตุ้น (break) ให้ร่างกายตื่นด้วยความกระชุ่มกระชวย จากการอดหรือขาดอาหาร (fast) ด้วยการกินอาหาร (ทำได้เร็วที่สุดได้ด้วยน้ำตาลในของหวานๆ) 

ในความเห็นของผม คือ

โดยสภาพจริงแล้ว จากประสบการณ์นะครับ การบินข้ามโซนเวลาที่กลับหัวหลับหางของผู้โดยสารระหว่างสถานที่ๆสองแ่ห่งที่กลางคืนเป็นกลางวัน กลางวันเป็นกลางคืน หรือระยะบินประมาณ 10+ ชั่วโมง นั้น  สายการบินมักจะจัดกำหนดให้การเดินทางนั้นๆไปถึงสถานนีปลายทางในช่วงเช้าตรู่ (เว้นแต่จะต้องเิดินทางต่อไปอีก)  การเสิรฟอาหารบนเครื่องในมื้อแรกก็จะพยายามจัดให้เป็นลักษณะของอาหารมื้อเย็น แล้วก็จะปิดไฟใ้ห้นอนประมาณ 6 ชม.เป็นอย่างต่ำ จากนั้นก็ปลุกและเสิร์ฟอาหารเช้าก่อนเครื่องจะลง ซึ่งอาหารทั้งหมดก็จะเป็นกึ่งๆระหว่าง light meal กับ full (heavy) meal ซึ่งผมเห็นว่าการจัดการแบบนี้ก็คือการช่วยปรับทั้ง circadian clock และ feeding clock ของตัวผู้โดยสารอยู่แล้ว  ที่เหลือสำหรับตัวผู้โดยสารเองก็คือ อาการรู้สึกว่านอนไม่พอ ซึ่งผมเห็นว่า หากเอางานและความรับผิดชอบเป็นที่ตั้ง เราก็จะรู้สึกตื่นตัว (alert) ไปได้ทั้งวัน พอถึงเวลานอนก็นอนเสียแต่หัวค่ำในเต็มอิ่มไปเลย ต่างกับหากเอาตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะรู้สึกซึมทำอะไรไม่ได้ ต้องขอนอนพักอย่างเดียว     

ความรู้พื้นฐานตามหลักวิชาการหรือความเชื่อเกี่ยวกับสภาพดังกล่าวเหล่านี้ เป็นสวนหนึ่งอันน้อยนิดที่หลายคนอาจจะไม่ทราบเลยว่า ในหลายกรณีได้ถูกใช้้ในกระบวนการจัดกำหนดการและการเรียงลำดับความสำคัญของช่วงเวลาการพบปะเจรจาความ เพื่อความได้เปรียบต่างๆ  ผู้ใดจะนั่งเครื่องเดินทางชั้นใหนก็เกิดสภาพใกล้เคียงกันทั้งนั้น

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 พ.ย. 12, 19:18
ลงจากเครื่อง ผ่าน ตม. ผ่าศุลการกร จนออกประตูแล้ว ก็ถึงคราวเข้าเมือง
ความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งเมื้อพ้นประตูออกมา ก็คือ จะเห็นคนถือป้ายชื่อโรงแรมบ้าง ชื่อองค์กรบ้าง หรือชื่อผู้โดยสารบ้าง  หากมีนัดหมายหรือการจองกันไว้ ก็คงจะต้องพยายามอ่านและแสดงตน   ทุกคนก็มักจะคิดว่าจากนี้ไปจะต้องเข้าที่พักเพื่อพักผ่อน หรืออาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวสำหรับภารกิจต่อไป 

แท้จริงแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่เป็นจริงอย่างหนึ่งคือ พื้นฐานการคิดจำนวนวันที่พักของโรงแรมโดยทั่วไปนั้น เขาจะนับเป็นคืน (มิใช่หนึ่งวัน) ครบ 24 ชม. คือเริ่มตั้งแต่ประมาณเที่ยงวัน +/- ซึ่งหมายความว่า เราสามารถจะเช็คอินเข้าโรงแรมได้ แต่ก็จะต้องรอไปจนถึงเวลาผู้ที่ใช้ห้องพักที่โรงแรมเขาจัดให้เรานั้นออกไปและชำระเงินเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน  ดังนั้น การจัดโปรแกรมของทัวร์แบบท่องเที่ยวจึงมักจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง นับเริ่มตั้งแต่ออกจากสนามบินเป็นต้นไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าโรงแรมในช่วงคล้อยบ่ายหรือตอนเย็นหรือหลังกินอาหารเย็นแล้ว      ประเด็นข้อคิดสำคัญสำหรับงานด้านการราชการและธุรกิจ ก็คือ โปรแกรมการเดินทางของเรานั้นเกือบจะไม่ได้คำนึงถึงความสดชื่นของคนที่จะต้องทำงานเลย เราคิดในเชิงของการประหยัดมากจนเกินไป เราจึงเห็นเป็นภาพปรกติที่ พอเดินทางถึง ลงจากเครื่อง ก็ต้องไปทำงานเลย ไม่มีช่วงของเวลาหรือเสี้ยวเวลาที่จะมีโอกาส refresh ร่างกายและจิตใจใดๆเลย  ผมถึงได้กล่าวว่า มันเป็นกลยุทธอย่างหนึ่งในการจัดโปรแกรมในกระบวนการเจรจาความระหว่างประเทศ         
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ย. 12, 21:22
ก็มีทัวร์ที่คิดว่าลูกทัวร์นอนบนเครื่อง แค่นั้นพอแล้ว   พอต้อนลงจากเครื่องบินก็ขึ้นรถโค้ชตะลุยชมที่เที่ยวทันที   บางทีก็นั่งรถข้ามเมืองไปชมวันเดียวสามเมือง (โดยเฉพาะในยุโรป)   จึงปรากฏว่ามีลูกทัวร์เดินเป็นซอมบี้กันเป็นแถวในวันแรกค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 พ.ย. 12, 18:26
ใช่เลยครับ ประเภทชะโงกทัวร์ ประเทศในยุโรปเป็นประเทศขนาดเล็ก ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ข้ามแดนแล้ว ยิ่งตอนเป็น EU และ Schengen แล้ว หากไม่สังเกตดีๆ บางทีก็ยังจะไม่รู้เสียด้วซ้ำไปว่าข้ามเข้าไปในอีกเขตประเทศหนึ่งแล้ว

ในโปรแกรมทัวร์บางโปรแกรมจะมีการแยกไปค้างคืนในเมืองเล็กๆสักหนึ่งหรือสองคืน  ลูกทัวร์คงจะต้องเตรียมกระเป๋าหิ้วใบเล็กๆติดตัวไปด้วย เพื่อแยกเสื้อผ้าสำหรับใช้ในการค้างแรมในลักษณะนี้ (โดยฝากกระเป๋าไว้กับโรงแรมหลักที่พักแรมในเมืองใหญ่) การแยกไปค้างแรมแบบนี้มักจะต้องเดินทางด้วยพาหนะอื่นๆโดยเฉพาะรถไฟ การที่จะเอากระเป๋าใบใหญ่ติดตัวไปด้วยตลอดเวลานั้นจะขลุกขลักเอามากๆเลยทีเดียว   

ที่จริงแล้วบรรดาทัวร์ทั้งหลายมักจะจัดให้นอนในโรงแรมระดับ 5 ดาว หรือไม่ต่ำกว่า 4 ดาว ซึ่งหมายความว่า ตามปรกติในโรงแรมเหล่านี้จะมีอุปกรณ์เครื่องใช้การอาบน้ำจัดเตรียมไว้ให้ รวมถึงเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนด้วย  การจัดกระเป๋าเดินทางของเราจึงอาจจะลดน้ำหนักได้ไปได้อยู่มากโขเลยทีเดียว เอาน้ำหนักและพื้นที่ในกระเป๋าที่ลดไปได้นี้ไปใส่ของที่เราชอปปิ้งกลับมาก็น่าจะดีกว่า   

เลยทำให้นึกถึงเรื่องกล่องกระดาษ คนไทยและคนเอเซียบางประเทศชอบที่จะใช้กล่องกระดาษใส่ของที่เกินมาที่ไม่สามารถจะจัดลงในกระเป๋าได้  กล่องกระดาษนี้แหละคือตัวที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ เป็นจุดสนใจให้ศุลกากรขอเปิดตรวจทั้งกล่องและกระเป๋าเสื้อผ้าของเรา

แล้วก็ขอเลยเถิดไปอีกหน่อย  ปลาร้าและปลาเค็มครับ   ก็มีการเอาปลาร้าและปลาเค็ม ห่ออย่างดี ใส่ถุงพาสติคหลายชั้นกันกลิ่นออก ศุลกากรเห็นเข้าก็ยึดเลย เอาไปเก็บไว้เพื่อทำลายต่อไป   หนอยแน่ะ ไม่รู้จักกลิ่นของมันเสียแล้ว  ไม่กี่วันก็ต้องโทรศัพท์ขอให้มารับไปเอาไปเพื่อช่วยทำลายเอง เพราะว่ากลิ่นของมันตลบอบอวนขนาดหนัก เขาว่ามันเน่าจนรับกลิ่นไม่ไหวแล้ว  ก็หวานคอแร้งเลยซิครับ ของต้องห้ามผ่านด่านฉลุยเลย  เป็นเรื่องจริงนะครับ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 พ.ย. 12, 19:09
ย้อนกลับไปเรื่อง ตม. นิดนึงครับ

เป็นเรื่องที่เคยเจอที่ S.Africa   เมื่อตรวจประทับตราเข้าเมือง ก็จะมีสติกเกอร์เป็นบาร์โค๊ต แปะติดใว้ที่พาสปอร์ต  (ถ้าจำไม่ผิด คิดว่ามีบาร์โค๊ตแปะตั้งแต่ได้รับวีซ่า)  ครั้งนั้นพอดีเกิดเหตุไม่สบายต้องเข้าไปหาหมอที่โรงพยาบาลทั้งที่เมืองพรีทอเรียและเมืองเคปทาวน์   กระบวนการทุกอย่างดูง่ายและเร็วไปหมด เขาเพียงสะแกนบาร์โค๊ตเท่านั้นเอง ไม่ต้องเสียเวลาในพิธีกรรมซักถาม ในเรื่องอื่นๆมาก นอกจากเรื่องของการเจ็บป่วยเท่านั้น ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นก็ยังไม่เรียกเก็บในระหว่างการรักษา จนกระทั้งกลับไปแล้วประมาณสองสัปดาห์ จึงได้มีบิลมาเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งก็ไม่แพงเหมือนอย่างที่เราคาดไว้กับที่จะเกิดในไทย

เข้าโรงพยายบาลในออสเตรียก็เช่นกัน เวชระเบียนก็มีแต่บาร์โค๊ตเช่นกัน

ระบบการรักษาการเจ็บป่วยของประเทศที่มีหลักนิยมแบบยุโรปนั้น อาจะเหมือนๆกันหมด คือ พบแพทย์คนแรกเพื่อคัดกรองว่าควรจะส่งไปหาแพทย์เฉพาะทางด้านใด เมื่อตรวจเจออย่างไรก็จะส่งต่อไปให้แพทย์เฉพาะทางเฉพาะส่วนไปเรื่อยๆ   การรักษาจะเป็นแบบหาสมุหฐานให้พบเสียก่อน (จะไม่ค่อยรักษาแบบบรรเทาอาการไปก่อน)  แล้วก็เริ่มจากการให้ยาอ่อนที่สุดไปหายาแรง การหายป่วยก็จะเป็นแบบปลิดทิ้งหายขาดไปเลย  แต่คนไข้อาจจะต้องทนอาการการเจ็บป่วยเอาหน่อยก่อนที่หมอจะพบสมุหฐานของความเจ็บป่วยจริงๆ     

สุดยอดจริงๆที่ได้เห็นคือ ตามปรกติเวลาให้น้ำเกลือนั้น เราจะเห็นคนไข้ต้องนอนบนเตียง  แต่ที่เห็นมา หากเป็นการให้น้ำเกลือเพื่อช่วยชดเชยการเสียน้ำหรือช่วยฟื้นอาการเพลียหมดแรง คนไข้จะไม่ได้นอนบนเตียง เห็นเดินลากเสาแขวนขวดน้ำเกลือกันว่อน หาที่นั่งพักเอาตามใจชอบ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 พ.ย. 12, 19:38
กระทู้ยาวมาถึงตรงนี้แล้ว  (เิริ่มจากเตรียมตัว เดินทางออกไป จนกระทั่งเข้าประเทศอื่นแล้ว)   กำลังคิดอยู่ว่าจะใช้กระทู้นี้ต่อเรื่องไปเรื่อยๆ หรือจะปล่อยให้ค่อยๆเลือนหายไปแล้วตั้งกระทู้ใหม่    ด้วยกำลังจะสนทนาต่อไปในเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติที่ได้พบเห็นในระหว่างการเดินทางไปในต่างถิ่น ครับ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: cutenail ที่ 21 พ.ย. 12, 08:06

เอาไว้กระทู้ เดียวกันก็ดีครับ จะได้ต่อเนื่องกัน ลงเครื่อง ผ่าน ตม. แล้วเข้าประเทศเลย

ขอบคุณครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 พ.ย. 12, 18:31
^
ตกลงครับ ว่ากันต่อเนื่องไปเลย

มีอยู่สามคำที่มีประโยชน์มาก คือ ขอบคุณ ขออภัย และขอโทษ ทั้งสามคำนี้เป็นคำที่แสดงถึงความมีมารยาทของเรา เป็นคำที่ใช้แล้วจะช่วยลดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นคำที่ช่วยให้เราได้รับการอนุโลมและได้รับความเห็นใจ ซึ่งส่งผลไห้เราผลตามประสงค์  จะเดินทางไปประเทศใหนๆ คำแรกๆในภาษาของเขาที่ควรจะเรียนรู้และท่องจำเอาไว้ ก็คือ สามคำนี้แหละ

คำว่าขอบคุณในภาษาอังกฤษ คือ thank you และไม่ต้องต่อด้วยคำว่า sir  ยกเว้นเฉพาะกรณีที่เขาทำให้อะไรให้เราในลักษณะที่เป็นการอนุโลมให้กับเรา  (เป็นการขอบคุณแบบรู้สึกในบุญคุณ) หรือใช้เฉพาะการพูดกับผู้มีสถานะทางอำนาจในสังคม (เป็นการให้เกียรติแก่สถานะของคน) เราถูกฝรั่งสอนให้พูดแบบมีคำว่า sir ในลักษณะเพื่อแสดงสถานะความเป็นเบี้ยล่างของตัวเรา   

ในอังกฤษ คำว่า thank you ห้วนๆ อาจจะดูสุภาพน้อยไปสักนิด ออกไปเป็นทางแสดงว่าเป็นสามัญชนระดับล่าง  ต้องต่อด้วย very much indeed จึงจะแสดงว่าฉันก็มีอะไรดีๆ (มีกึ๋น) ในตัวฉันเหมือนกัน 

คำว่า thanks เฉยๆ มีความหมายค่อนข้างจะตรงกับคำว่า ขอบใจ  เป็นลักษณะการใช้กับคนที่มีสถานะเสมอเราหรือด้อยกว่าเรา

ในภาษาอื่นๆ ที่พอรู้ เช่น
          เยอรมัน จะใช้คำว่า danke schoen ตรงกับคำว่าขอบคุณมาก (thank you very much)   และ danke ตรงกับคำว่า ขอบคุณหรือขอบใจ
          อิตาลี และ ละตินอเมริกา จะใช้คำว่า gracias เพียงเท่านั้น  หากจะให้เกียรติมากขึ้นก็จะต่อท้ายด้วยว่าขอบคุณใคร
          ญี่ปุ่น จะใช้คำว่า อะริกาโตะโกซายอิมัส (สึ) หมายถึงของคุณมาก และดูเหมือนจะมียาวกว่านี้หากจะต้องให้มีความสุภาพมากขึ้นไป  แต่ก็มีการใช้คำว่า สุมิมาเซ็ง หรือออกเสียงห้วนๆว่า ซิมาเซ็ง ซึ่งคำนี้มีความหมายหลายอย่างมากๆ  หนักไปกว่านั้น ก็ ไฮ้ เลยทีเดียว

ก็ว่าไปตามความรู้และประสบการณ์ที่มีครับ เดี๋ยวคงจะมีท่านอาจารย์ทั้งหลายมาช่วยแก้ให้ถูกต้อง   
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 18:39
ไม่ค่อยจะเกี่ยวเท่าไร แต่พอดีคุณตั้งพูดถึงคำว่าThank you ในแบบต่างๆ ทำให้นึกได้   ว่าสมัยเรียน  มีคำหนึ่งที่ไม่เคยใช้เลยคือคำว่า Thanks a lot   เพราะได้ยินเพื่อนฝรั่ง เวลาแซวกัน  เขาใช้คำนี้เป็นคำขอบคุณแบบเสียดสี  หรือประชดประชัน   ไม่ใช่คำขอบคุณตามธรรมเนียม

สมมุติว่า เพื่อนคนหนึ่งแซวเพื่อนร่วมชั้นว่า "ครูเค้าไม่สังเกตหรอกนะว่าทำไมวันนี้แกไม่เข้าเรียน  แต่ชั้นบอกครูว่าแกโดดเรียนว่ะ  ก็แกบอกชั้นยังงั้นไม่ใช่เหรอ"  อีกคนก็ตาเขียวแล้วตอบว่า "เออ ไอ้เพื่อนแสบ   thanks a lot "  แปลว่า ไม่ขอบคุณ  เหมือนสะแลงสมัยเก๋ากึ๊ก  ใช้สำนวนว่า "ขอบคุณเป็นอันขาด"

ก็เลยหลีกเลี่ยงขอบคุณว่า Thanks a lot ค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 18:50
         ญี่ปุ่น จะใช้คำว่า อะริกาโตะโกซายอิมัส (สึ) หมายถึงของคุณมาก และดูเหมือนจะมียาวกว่านี้หากจะต้องให้มีความสุภาพมากขึ้นไป  แต่ก็มีการใช้คำว่า สุมิมาเซ็ง หรือออกเสียงห้วนๆว่า ซิมาเซ็ง ซึ่งคำนี้มีความหมายหลายอย่างมากๆ  หนักไปกว่านั้น ก็ ไฮ้ เลยทีเดียว

arigatou gozaimasu แปลว่า ขอบคุณค่ะ/ครับ ถ้าขอบคุณมากต้องว่า domo arigatou gozaimasu  ถ้าพูดกับคนกันเองใช่แค่ domo หรือ arigatou ก็พอ

sumimasen  แปลว่า ขอโทษค่ะ/ครับ ตรงกับคำว่า excuse me

hai แปลว่า ใช่

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 พ.ย. 12, 19:53
คำต่อไปคือ ขออภัย ซึ่งเราทราบกันดีว่าจะใช้เมื่อใด สำหรับเรา คำ่ว่า ขออภัย นี้ใช้ก่อนการกระทำที่ต้องไปรบกวนคนอื่น

ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า excuse me    เยอรมันใช้ entschuldigung     ญี่ปุ่นใช้ สุมิมาเซ็ง  ภาษาอื่นๆไม่ทราบครับ และดูเหมือนว่าแทบจะไม่เคยได้ยินในหมู่คนที่ใช้ภาษาละติน  

จะเดินชนกัน จะขอแทรกเบียดไป จะเรียกคนขายของเพื่อถามราคาสินค้า จะสอบถามอะไร เหล่านี้มักจะเริ่มต้นด้วยคำดังกล่าวนี้   แต่หากเป็นการใช้สิทธิ ก็จะใช้คำว่า I'm sorry but....

แล้วคำสุดท้าย คือ ขอโทษ ซึ่งอาจจะใช้หลายคำในการสื่อความหมาย แต่ที่นิยม คือ I'm sorry for....


เหตุผลที่สามคำนี้มีความหมายค่อนข้างมากในการใช้ระหว่างการเดินทาง ในความเห็นของผม คือ มันตั้งอยู่บนฐานของความเสมอภาคและการเคารพสิทธิของผู้อื่น
 
คำทั้งสามนี้ จัดได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของมารยาทและขนบธรรมเนียมประเพณีในสากลโลก แล้วก็มันอยู่ในการแสดงออกซึ่งวัฒนธรรมการอ่อนน้อมถ่อมตนของคนที่เรียกว่าตนเองเป็นคนไทยอยู่แล้ว   อย่างไรก็ตาม การใช้เพียงคำพูดเหล่านี้ก็คงจะไม่เพียงพอ จะต้องพร้อมไปด้วยหน้าตากริยาท่าทางที่เหมาะสมด้วย แต่ก็จะต้องมิใช่การแสดงออกในลักษณะของการแสดงตนว่าเป็นผู้ด้อยกว่าหรือเป็นขี้ข้าเขา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 พ.ย. 12, 20:08
ขอบพระคุณมากๆครับ ทั้งคุณเทาชมพูและคุณเพ็ญชมพู
 
ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ยืนเดียวดายอยู่หน้าห้องกับชอล์คและกระดานดำ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 21:39
จะพยายามส่งเสียงค่ะ
เดาใจกันยาก  บางทีเจ้าของกระทู้กำลังเพลินกับบรรยาย ต่อเนื่องกันหลายความเห็น    ถ้าเข้าไปแทรกก็เหมือนพูดขัดจังหวะ ก็เลยไม่ส่งเสียงออกมา
แต่ถ้าอาจารย์ตั้งอนุญาตให้พูดได้    ก็ขอเชิญทุกท่านร่วมวง

ขอออกนอกเรื่อง  ถึงการใช้คำขออภัย มีหลายคำ ในหลายวาระ
ของไทยเรา สถานการณ์ข้างล่างนี้เราใช้คำเดียวกันหมด คือ ขอโทษนะครับหรือขอโทษนะคะ  แต่ฝรั่งเขาใช้ไม่เหมือนกัน
สมมุติว่าบนเครื่องบิน   จะไปเข้าห้องน้ำ   เห็นผู้โดยสารยืนเกะกะอยู่ริมทางเดิน  เราจะแทรกตัวขอทาง เป็นคนไทยจะพูดว่า "ขอโทษนะครับ/นะคะ" ถ้าเป็นภาษาอังกฤษใช้ excuse me.
เดินผ่าน แต่หลีกไม่พ้นไปชนเขาเข้านิดหน่อย  คนไทยก็ "ขอโทษครับ/ค่ะ" เหมือนเดิม แต่ฝรั่งใช้  I am sorry  ถ้าเป็นอเมริกันจะออกเสียงเป็น I'm sorry.
แต่ถ้าเขาพูดอะไรด้วยสักอย่าง  เราเกิดไม่ได้ยินถนัด ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร อยากให้พูดซ้ำ  คนไทยจะ "ขอโทษนะครับ/นะค่ะ  ฝรั่งจะพูด pardon ตอนท้าย เสียงสูงเป็นเชิงถาม
คำนี้ คนไทยออกเสียงว่า พาด้อน  ลงเสียงหนักที่คำหลัง  แต่อเมริกันลงเสียงหนักที่คำแรก  คำหลังเหลือเสียงนิดเดียว เป็น พ้าด-เอิ้น  แต่ถ้าขึ้นเสียงสูงเป็นเชิงถาม หรือขอให้พูดซ้ำ ก็เป็น พาด-เอิ๊น  ถ้าออกเสียงเร็วๆ จะกลายเป็น "ผาน"


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 21:55
เดินผ่าน แต่หลีกไม่พ้นไปชนเขาเข้านิดหน่อย  คนไทยก็ "ขอโทษครับ/ค่ะ" เหมือนเดิม แต่ฝรั่งใช้  I am sorry  ถ้าเป็นอเมริกันจะออกเสียงเป็น I'm sorry.

ญี่ปุ่นว่า ごめんなさい gomennasai โกเมนนะไซ

 ;D

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 22:06
เพลงเก่ากึ๊กเพลงนี้คุณเพ็ญชมพูคงไม่รู้จัก   เพราะเกิดไม่ทัน  เป็นเพลงอเมริกันชื่อญี่ปุ่น ว่า Gomen-Nasai

http://www.youtube.com/watch?v=fH0zCQ4XmQ4


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 พ.ย. 12, 22:26
ไม่รู้จักจริง ๆ แต่ฟังแล้วเพลินดี

 ありがとうございました

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ย. 12, 17:41
เพลงนี้ได้ฟังตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นกระเตาะอยู่เลย ครับ

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ย. 12, 18:11
ลืมไปอีกคำหนึ่ง คือ เชิญเลยครับ ตรงกับคำว่า please เป็นคำสุภาพที่ใช้ทั่วไปเหมือนกัน

ภาษาเยอรมันใช้คำว่า bitte schoen  บางทีก็ใช้คำนี้ในความหมายตรงกับคำว่า pardon ในภาษาอังกฤษ   ที่น่ากลัว คือ คำว่า please และ pardon นั้น จะออกเสียงใ้ห้ดัง ให้สั้น หรือไม่มีหางเสียงนั้น ออกจะยากสักหน่อย จึงไม่ค่อยจะแสดงออกถึงอารมภ์ของผู้พูด  ต่างกับคำว่า bitte ที่จะออกเสียงให้ดูสุภาพนุ่มนวลก็ได้ หรือจะออกเสียงในลักษณะตะคอกหรือสั่งการก็ได้ ซึ่งจะเปลี่ยนความหมายจาก เชิญเลยครับ ไปเป็น เอ้า เร็วเข้่า หรือ เอ้า ว่ามา ในทันใดเลย   เดินทางไปในประเทศที่มีการใช้ภาษาเยอรมันก็คงจะต้องฟังน้ำเสียงสักหน่อยว่า คนพูดกำลังอยู่ในอารมภ์ใด

โดโมะ ในภาษาญี่ปุ่น นอกจากจะแสดงออกในกลุ่มขอความหมายของคำว่า มากๆ แล้ว ดูเหมือนจะใช้ในอีกความหมายหนึ่งด้วยเหมือนกัน คือ เชิญครับ



 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ย. 12, 18:44
กระทู้ยาวมาถึงตรงนี้แล้ว  (เิริ่มจากเตรียมตัว เดินทางออกไป จนกระทั่งเข้าประเทศอื่นแล้ว)   กำลังคิดอยู่ว่าจะใช้กระทู้นี้ต่อเรื่องไปเรื่อยๆ หรือจะปล่อยให้ค่อยๆเลือนหายไปแล้วตั้งกระทู้ใหม่    ด้วยกำลังจะสนทนาต่อไปในเรื่องของวัฒนธรรมประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติที่ได้พบเห็นในระหว่างการเดินทางไปในต่างถิ่น ครับ 
มารออาจารย์ตั้งค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 22 พ.ย. 12, 18:48
อีกคำหนึ่งที่ได้ฟังแล้วต้องระวัง เป็นคำตอบรับ ซึ่งเกือบทั้งหมดจะมีความหมายไปในเชิงของความหมายว่า รับทราบ มิได้มีความหมายอย่างเป็นแก่นสารในเชิงของความหมายว่า ถูกต้อง หรือเป็นไปตามนั้น

ในแต่ละภาษามีการใช้คำนี้ต่างกันไป เช่น yes, ye, ya, oui, si, E-e, hai  ฯลฯ      แต่ไอ้ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าแล้วมันอะไรกันแน่ คือ การพูดตอบรับพร้อมกับการส่ายหน้าของคนอินเดีย  แล้วก็ของคนในตะวันออกกลางที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะเป็นทางรับหรือปฏิเสธ สุดแท้แต่พระผู้เป็นเจ้า


 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 พ.ย. 12, 20:47
โดโมะ ในภาษาญี่ปุ่น นอกจากจะแสดงออกในกลุ่มขอความหมายของคำว่า มากๆ แล้ว ดูเหมือนจะใช้ในอีกความหมายหนึ่งด้วยเหมือนกัน คือ เชิญครับ

domo โดโหมะ  =   ขอบคุณ

dozo  โดโสะ    =   เชิญ

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 25 พ.ย. 12, 21:35
ตอนที่เป็นวัยรุ่นได้ดูภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ฉายทางทีวี เรื่องยูโด พระเอกเป็นนักยูโด อาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง
(นำแสดงโดย มุกะ ทาเควากิ ) นางเอกเป็นสาวญี่ปุ่นที่สงบเสงี่ยม น่ารัก แต่มีน้องสาวฝาแฝดเป็นลูกสาวทูต
ที่แต่งตัวแบบฝรั่ง ทั้งสองไม่รู้ว่าตนเองมีพี่-น้อง เป็นแฝดกันเพราะแยกกันตั้งแต่แบเบาะ ...แต่มาหลงรัก
ผู้ชายคนเดียวกัน

ตอนไปญี่ปุ่นก็ไปมองดูตามร้านขายซีดี หนังเก่าๆ ถามคนขาย เขาก็บอกว่าไม่มีแล้ว หนังเก่ามากไป
ใครเคยดูเรื่องนี้บ้างคะ อยากดูอีกแต่ไม่รู้จะหาได้ที่ไหน ....


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 25 พ.ย. 12, 21:42
ขอเอาหัวโขกกำแพง เรานี่โง่จริงๆ....
พอโพสข้อความเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่ลองค้นในเน็ต แล้วก็ลองค้นดู
เจอแล้วคะ ชื่อเรื่องยอดยูโด ดีใจจัง...


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 พ.ย. 12, 22:07
จำได้แต่ "ยูโดสายดำ" พระเอกชื่อ "เนาย่า" (นาโอย่า)

ดังจนกันตนาเอาชื่อไปเป็นชื่อพระเอกหนังทีวีเกี่ยวกับมวยไทยชื่อ "กอหญ้า"

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 28 พ.ย. 12, 23:13
มีเพื่อนที่เป็นนักท่องเน็ต ช่วยค้นหาให้ ไปเจอภาคภาษาจีน จัดการโหลดมาลงแผ่น

กำลังเดินทางมาให้ชมถึงบ้าน ...ดีใจมากคะ เหมือนได้พบเพื่อนเก่าที่จากกันไป

ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกไหม แล้วโชคก็ช่วย...ขอบคุณกระทู้นี้ที่ทำให้นึกได้คะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 พ.ย. 12, 18:40
หายไปจากหน้าจอหลายวันครับ

ขอย้อนไปต่อเรื่องของการขอบคุณ อีกสักหน่อย
เมื่อเขาทำอะไรให้เรา เราก็ขอบคุณเขา  ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราทำอะไรให้เขา เขาก็ของคุณเรา   ในภาษาไทย มันก็เป็นมารยาทที่เราก็จะตอบรับคำขอบคุณนั้น เช่น ไม่เป็นไรครับ ยินดีครับ วลีอื่นๆที่ใช้นอกจากที่กล่าวมานี้แทบจะไม่มี   ในโลกทางตะวันตก เขาก็มีเหมือนกัน แต่เขามีวลีที่ใช้มากกว่าเรา ซึงวลิทั้งหลายเหล่านั้น เรามักจะพูดไม่ออก นึกไม่ทัน ทำให้กลายเป็นมารยาทที่ไม่ดีของเราไป  วลีที่เราควรจำ ควรใช้ และมีความสุภาพ คือ  you're welcome และ my pleasure   ที่น่าสนใจก็คือ มีคนไทยจำนวนมากใช้คำตอบรับว่า no sweat ก็ไม่ทราบว่าเราไปถูกฝังมาตั้งแต่เมื่อใดว่า มีความหมายตรงกับคำว่า ไม่เป็นไร  คำนี้แท้จริงแล้วใช้กับเพื่อนหรือคนที่สนิท และเป็นไปในเชิงของความหมายว่า ไม่ได้ทำให้เดือดร้อน (ที่ได้ช่วยเหลือ)  จึงเป็นคำที่ไม่ค่อยจะสุภาพในนัยหนึ่ง พยายามลบออกคำนี้ความจำไปได้เลยครับ

ทำให้นึกถึงคำทักทายอีกด้วย หากไม่เคยรู้จักกันเลยและเป็นการพบกันครั้งแรก ใช้คำว่า How do you do คำตอบคงรู้กันแล้วว่าจะตอบอย่างไร แต่เมื่อรู้จักกันแล้ว หรือรู้สึกสนิทกัน หรือพบกันค่อนข้างบ่อย จึงมักจะใช้คำว่า How are you    เห็นคนไทยใช้คำว่า How are you กันจนเป็นปรกติ  กลายเป็นมารยาทที่ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก  ฝรั่งเขาก็ถือการใช้คำพูดที่เหมาะสมกับระดับความสนิทสนมเหมือนกับเราเหมือนกัน

เคยได้ยินโจ๊กเรื่องหนึ่งใหมครับ
ผู้นำฝ่ายหนึ่งไม่สันทัดการใช้ภาษาอังกฤษมากนัก แต่ก็พยายามจะพูดเพื่อทำให้ดูเป็นมิตรและสร้างความอบอุ่นในสัมพันธภาพ ลงมาจากเครื่องบินพบฝ่ายเจ้าบ้านก็จับมือแล้วก็ทักทาย พูดว่า Who are you (พูดผิดไปจากที่ท่องจำมาว่า How are you) ฝ่ายเจ้าบ้านเป็นคนติดตลก ก็ตอบไปว่า I am Ms.  ... husband. Thank you, and you? ผู้มาเยือนก็ตอบไปตามที่ท่องมาว่า Me too. 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ย. 12, 19:00
ดิฉันไม่ค่อยจะได้ใช้ How do you do?  เข้าใจว่าคนอังกฤษ และอเมริกันทางฝั่งตะวันออกซึ่งได้รับอิทธิพลของอังกฤษอยู่มาก นิยมใช้กัน  แต่ทางฝั่งตะวันตก   ยังไม่เคยได้ยินใครฮาวดูยูดู    ถ้าเจอคนวัยเดียวกัน ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก  พอถูกแนะนำให้รู้จักกัน  ก็ Nice to meet you  เขาก็ตอบมาด้วยประโยคเดียวกัน  
แต่ถ้าอีกฝ่ายเขาค่อนข้างจะมีเกียรติมีหน้ามีตา หรืออายุมากกว่า เป็นท่านอะไรสักคน   ก็ต้องเติมประโยคให้ครบ I'm very pleased to meet you. หรือลดดีกรีพิธีรีตองหน่อยก็ It's very nice to meet you.  
จากนั้น พูดจาสนทนากันตามมารยาทสองสามคำ พอจะผละไปเพราะถึงเวลาต้องไปคุยกับคนอื่น ก็ nice meeting you. เปลี่ยนคำกริยาจาก to meet มาเป็น meeting  เพราะเจอกันแล้ว

แต่ถ้าเดินสวนกัน  เรามองหน้าเขาหรือเขามองหน้าเรา ทั้งๆเป็นคนแปลกหน้า  ก็ต้องยิ้ม เขาก็ hello เราก็ hello กลับ หรือสั้นกว่านี้ก็ Hi เฉยๆ แล้วเดินต่อไป  ไม่ต้องไปหยุดถามไถ่ทุกข์สุขกันมากกว่านั้น  เขาจะตกใจเอา

อย่างอื่นก็อย่างที่คุณตั้งบอกละค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 พ.ย. 12, 19:31
คำทักทายอีกคำหนึ่งที่เราคงจะต้องใช้ให้ติดปาก เป็นคำที่ใช้กันทั้งวัน คำว่า Good Morning อรุณสวัสดิ์ ใช้ในช่วงเช้าถึงก่อนเที่ยง ใช้ไปเถอะครับกับทุกคนที่พบ จะย่นย่อเหลือ morning คำเดียวก็ยังได้อยู เขาก็จะตอบกลับมาด้วยคำนี้เหมือนกัน   เราอาจจะรู้สึกกระดากปากและรู้สึกขัดกับช่วงเวลาที่จะใช้คำนี้ในตอนสายมากๆแล้ว ก็ใช้คำว่า Good day ก็ได้ หรือเลี่ยงไปเลยใช้คำว่า Hi หรือ Hello ก็ได้  หลังบ่ายไปตลอดจนไม่ว่าจะเริ่มโพล้เพล้จึงใช้คำว่า Good Afternoon  หลังโพล้เพล้มืดค่ำแล้วจึงใช้คำว่า Good Evening   คำว่า Goodnight ใช้เพียงสองกรณี คือ เมื่อจะลากลับหรือจากกันในช่วงมืดค่ำจริงๆ และเมื่อจะเข้านอน

คนอิตาลีมีคำทักทายที่ค่อนข้างง่ายและมีความสุภาพพอสำหรับการใช้ในวาระที่ไม่เป็นทางการ คือ คำว่า salve (เรามักจะได้ยินคล้ายเสียงว่า เชาวววว) และอีกคำหนึ่งว่า Ciao (เรามักจะได้ยินคล้ายเสียงว่า เซ หรือ ซี) คำหลังนี้ใช้ในความหมายว่า bye เมื่อจากกันอีกด้วย

คนออสเตรียมีคำทักทายอีกแบบหนึ่ง ใช้เหมือนกับคำว่า สวัสดี ของคนไทย คือ คำว่า Gruss gott ใช้ได้ทั้งวัน  แถมหากเป็นผู้หญิงยื่นมือให้เพื่อจะเช็คแฮนด์ ก็อาจจะถูกจับมือยกขึ้นไปจุมพิตอีกด้วย (ไม่ได้ทำการจุมพิตจริงๆหรอกครับ เป็นเพียงการแสดงการให้เกียรติแก่สตรีผู้นั้นอย่างสูง) ยังเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันนะครับ

ที่เล่ามาก็เป็นการแสดงถึงอัธยาศัยต่างๆที่พึงกระทำในต่างประเทศ    แต่ละประเทศ แต่ละชาติพันธุ์ แม้จะไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็พอจะทำให้เราได้รับการต้อนรับ การช่วยเหลือ และความเห็นอกเห็นใจในช่วงที่เราเดินทางไปในต่างถิ่น

ระวังไว้เหมือนกันสำหรับบางประเทศและบางกลุ่มคน  คนฝร้่งเศส เยอรมัน ออสเตรีย และญี่ปุ่น ไปใช้ภาษาของเขาตอบรับ yes, no แบบแสดงตนเป็นผู้รู้ อาจจะได้รับการตอบสนองแบบเขาไม่ยอมที่จะพูดภาษาอังกฤษโต้ตอบกับเราอีกเลย  

การเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ จึงควรที่จะใช้ภาษาอังกฤษล้วนๆไปเลย    บังคับให้เขาใช้ภาษาอังกฤษกับเรา มากกว่าที่จะถูกเขาบังคับให้เราต้องไปเข้าใจในภาษาที่เขาพูด  



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 30 พ.ย. 12, 19:58
ที่คุณเทาชมพูบอกกล่าวมานั้น ถูกต้องเลยครัีบ   

ประโยคเหล่านั้น ก็ใช้กันเป็นสากลในยุโรปเหมือนๆกันครับ  เป็นการใช้ในลักษณะกึ่ง formal อีกด้วย ในนัยว่าเรามีสถานะภาพทางสังคมทัดเทียมกัน ไม่เกี่ยวกับวัย ระดับชั้นยศและตำแหน่ง   ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาและที่คุณเทาชมพูได้กล่าวมา ยังขึ้นอยู่กับกริยาท่าทางที่ใช้ประกอบร่วมกับคำพูดเหล่านี้อีกด้วยครับ 



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 12, 08:32

ทำให้นึกถึงคำทักทายอีกด้วย หากไม่เคยรู้จักกันเลยและเป็นการพบกันครั้งแรก ใช้คำว่า How do you do คำตอบคงรู้กันแล้วว่าจะตอบอย่างไร แต่เมื่อรู้จักกันแล้ว หรือรู้สึกสนิทกัน หรือพบกันค่อนข้างบ่อย จึงมักจะใช้คำว่า How are you    เห็นคนไทยใช้คำว่า How are you กันจนเป็นปรกติ  กลายเป็นมารยาทที่ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก  ฝรั่งเขาก็ถือการใช้คำพูดที่เหมาะสมกับระดับความสนิทสนมเหมือนกับเราเหมือนกัน

ถ้าจะแปลเทียบกับวัฒนธรรมไทย   How do you do  ก็พอจะเทียบได้กับ สวัสดีครับ หรือ เป็นเกียรติ(หรือยินดี) ที่ได้รู้จักครับ    ส่วน How are you นั้น พอจะเทียบได้กับ "เป็นไงมั่งล่ะคุณ"   
ถ้าได้รับการแนะนำให้รู้จักกันครั้งแรก   เราคงไม่ทักใครคนนั้นว่า "เป็นไงมั่งล่ะคุณ"  จริงไหมคะ   แต่ถ้าเจอกันบ่อยๆจนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี  ก็ค่อยพูดกันได้ไม่เป็นไร


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ธ.ค. 12, 18:07
^
ครับ ก็เป็นเช่นนั้น

พบกันแล้ว ทักกันด้วยคำพูดแล้ว ก็ไปถึงการจับมือ   ผู้ชายจะต่างคนต่างยื่นมือออกมาเพื่อจับมือกัน  สำหรับกรณีชายกับหญิง เป็นมารยาทอย่างหนึ่งที่ฝ่ายชายจะไม่ยื่นมือออกไปก่อน จะต้องรอให้ฝ่ายหญิงยื่นออกมาเสียก่อน     สำหรับผู้ชายด้วยกัน จับมือก็คือจับมือ คือต้องกระชับให้แน่น นั่นหมายถึงมีการบีบเล็กน้อย และก็มิใช่บีบกันจนเจ็บมือ หรือไม่มีการบีบเลย   ระหว่างชายกับหญิง ก็จะต้องจับแบบกระชับเหมือนกัน ไม่มีการบีบ แต่ก็มิใช่จับแบบหยิบ ยกเว้นในงานที่เป็นพิธีและเป็นทางการและในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีระดับชั้นยศหรือฐานะทางสังคมที่สูงกว่า ที่การจับมือจะออกไปทางสัมผัสและเป็นลักษณะหยิบมากกว่าจับแบบประสานเต็มมือ เราจะจับมือพร้อมไปกับการก้มศรีษะเล็กน้อย

หลังจากจับมือแล้ว ในบางประเพณีวัฒนธรรมก็มีการสวมกอดด้วย ไปถึงขั้นเอาแก้มชนกันก็มี (cheek to cheek) หรือจุ๊บก็มี (cheek kissing)  ทำกันระหว่างชายกับชายก็มี หญิงกับชายก็มี หญิงกับหญิงก็มี  การกระทำดังกล่าวนี้ มิใช่เรื่องที่จะทำกันเปรอะหรือเป็นปรกติ มันเป็นการกระทำที่สื่อความหมายในบางเรื่อง เช่น ต่างคนต่างก็ได้ยินหรือรู้จักชื่อกันมานาน ติดต่อกันมานานโดยไม่เคยพบกันเลย ซึ่งต่างคนต่างก็นิยมชมชอบในการกระทำของแต่ละคน เป็นต้น  ช่วงตรงนี้แหละครับที่จะมีการพูดว่า nice to meet you หรือ ...very please to meet you หรืออื่นๆ

ผมเคยเจอ แต่ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้น ก็มีทั้งที่ยังอยู่ในวัยสาวและที่เป็นผู้สูงอายุ  ก็เพิ่งได้รู้ว่าหญิงฝรั่งที่เป็นผู้สูงอายุนั้น ก็มีการโกนขนที่ใบหน้า เหมือนผู้ชายโกนหนวดโกนเครา ขนขาวๆที่มองไม่ค่อยจะเห็นนั้น แข็งเอาเรื่องเลยทีเดียว   



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ธ.ค. 12, 18:29
ก่อนจะลืมไป ขอแทรกเรื่องการพูดไว้อีกนิดนึงครับ

เรื่องของการปฏิเสธ 
คนไทยค่อนข้างจะเป็นคนขี้เกรงใจพอสมควรในกรณีการปฏิเสธกับคนต่างชาติ ทั้งๆที่เราเองก็มีคำปฏิเสธที่เด็ดขาดเหมือนกับของเขา....ไม่ครับ ขอบคุณ...  ส่วนมากคนไทยจะไม่ใช้คำว่า No thanks ซึ่งเป็นคำที่ใช้ได้อย่างสุภาพเพียงพอและแทบจะใช้ได้ในทุกกรณีหรือทุกสถานการณ์  เรากลับไพล่ไปใช้คำว่า no sweat (ไม่เป็นไร) แทน  คนต่างชาติก็งงซิครับ  บางทีก็หนักไปกว่านั้น เริ่มด้วยคำว่าขอบคุณแล้วต่อด้วยคำอธิบายเหตุผลในการปฏิเสธ  ก็เลยงงกันทั้งสองฝ่าย กลายเป็นเรื่องไปใหนมาสามวาสองศอก กลายเป็นปฏิบัติการค้างไม่รู้ว่าจะลงจากเรื่องนี้อย่างไรดี เก้ๆกังๆกันทั้งคู่

No thanks เป็นคำที่ควรจะใช้ให้ติดปากเมื่อจะเดินทางไปใหนๆในต่างแดนครับ และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องต่อไปด้วยคำอื่นๆอีก 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ธ.ค. 12, 21:05
ขอแถมเรื่องคำปฏิเสธอีกนิด  นึกขึ้นได้ค่ะ
คำว่า  no ของฝรั่ง ใช้นำหน้า แล้วต้องต่อด้วยประโยคปฏิเสธเสมอ      ผิดกับคนไทยที่เอ่ยคำว่า ไม่ แล้วก็ต่อด้วยประโยคตอบรับก็ได้    เข้าใจกันดีทั้งสองฝ่าย
ถ้าแม่ถามลูกว่า "วันนี้ไม่ไปหาเพื่อนหรือ "  ลูกตอบว่า "ครับ  วันนี้ไม่ไป"   แม่ก็เข้าใจดีว่าไม่ไป
แต่ฝรั่งจะงง   เพราะถ้าถามว่า Aren't you going to  see your friend to day?   ลูกตอบว่า Yes , I'm not   แม่ไม่รู้ว่าจะไปหรือไม่ไปกันแน่    
ถ้า yes, ก็คือไป   ถ้าไม่ไป ต้อง no  นำหน้า  จะมา yes แล้วต่อด้วยคำปฏิเสธแบบไทยไม่ได้

ถ้าแอร์หรือสจ๊วตต่างชาติเห็นคุณไม่แตะอาหารบนเครื่องเลย  จะเป็นเพราะกินไม่ลงหรือเมาเครื่องบินก็ตาม   เขาเกิดหวังดี  ถามว่า ไม่รับประทานอะไรเลยรึคะ/ครับ    เราเผลอไปตอบ yes เข้า  แทนที่จะกลายเป็น ครับ ไม่กิน  (คุณยกไปได้เลยครับ)  กลายเป็นว่า ครับ  กินครับ  เขาก็เลยไม่ยกอาหารกลับไป  เราก็อาจจะพาซื่อสงสัยว่าทำไมไม่ยกไปสักที



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ธ.ค. 12, 19:33
ไปต่อกันเรื่อง ทิป

ตั้งแต่เดินทางมา เห็นอยู่เพียงสองประเทศจริงๆที่ไม่ต้องให้ทิป คือ ออสเตรีย กับ ญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศนี้ไม่รับทิปจริงๆ อย่าไปทำเลยนะครับ  เขาเห็นว่าเป็นการดูถูก จะว่าเป็นการดูถูกอย่างมากเอาเลยทีเดียวก็ได้ เขาถือว่างานที่เขาทำก็มีเกียรติเหมือนกับงานที่ทุกคนทำ เป็นเพียงลักษณะงานที่ต่างกัน รายได้ก็พอๆกับงานลักษณะอื่นๆ และก็เป็นงานเป็นหน้าที่ในความรับผิดชอบของเขา

สุดยอดที่เคยพบมาคือที่ออสเตรีย ครั้งหนึ่งมีงานเลี้ยงใหญ่ คนประมาณ 50 คน คือ คนของเราเต็มพื้นที่ส่วนหนึ่งของร้าน  ตามปรกติ พนักงานเขาจะรับผิดชอบแบ่งเป็นโซนและจำนวนโต๊ะ คนหนึ่งก็ประมาณ 10 โต๊ะ ก็มีพนักงานสองคน เป็นร้านซี่โครงหมูย่าง ตามธรรมเนียมของเขา เขาก็จะมาถามเป็นโต๊ะๆที่ละโต๊ะว่าจะสั่งอะไรกัน  เราเห็นไม่ทันการแน่ๆ ก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้  ยกเบียร์มาเป็นถาดเลย ไม่ต้องถามว่าใครจะกินหรือไม่ เดี๋ยวหมดเอง พนักงานก็งง เห็นท่าว่าจะไม่ทันการใดๆแน่ๆ เราก็เอาเงิน 4000 ชิลลิ่ง (ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยูโร) ยัดใส่มือ บอกเก็บไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน แล้วบอกว่าเอาซี่โครงหมูย่างมา วางไปเลยตามโต๊ะต่างๆ จนกว่าจะบอกว่าพอ   พอเสร็จงาน คิดเงินเสร็จ จะกลับแล้ว พนักงานก็เอาเงินที่ทิปล่วงหน้าไปนั้นมาคืนให้ 2000 ชิลลิ่ง แล้วบอกว่ามากเกินไป  เคยเห็นที่ใหนใหมครับว่า มีการทอนเงินค่าทิป   เลยต้องขอถอนคำพูดว่าที่ออสเตรียไม่มีทิป อันนี้เป็นกรณีพิเศษจริงๆครับ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ธ.ค. 12, 19:46
การทิปตามปรกติก็จะเป็นเรื่องในร้านอาหาร  ก็จะให้ประมาณ 10% ของบิลที่เรียกเก็บสำหรับอาหารมื้อนั้นๆ  เป็นนักท่องเที่ยวคงไม่ต้องคิดมาก จะขาดจะเกินเล็กน้อยหรือไม่ให้เลยก็คงไม่เป็นไร (แต่อาจจะเป็นผลสำหรับคนไทยรุ่นหลังๆที่มาเที่ยว)   10% นี้คิดค่อนข้างง่าย คิดว่าในสหรัฐฯในปัจจุบันนี้ต้องให้ทิป 15% อันนี้คิดยากขึ้น แถมต้องทิป (?) หรือจ่ายค่าของหรือกระเป๋าที่ใส่ในที่เก็บของท้ายรถแท็กซี่ นับเป็นจำนวนแต่ละชิ้นอีกด้วย  คุณเทาชมพูคงจะให้ความกระจ่างได้ดี   เรื่องค่าบรรทุกของทีใส่ท้ายรถนี้ ไม่เคยเจอในประเทศอื่นๆเลยครับ

ในกรณีที่จ่ายด้วยบัตรเครดิต แล้วไม่มีเงินสดพอทิป จะทำอย่างไรดี  มันก็มีวิธีการ คุณเทาชมพูก็จะเล่าได้ดีอีกเช่นกันครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ธ.ค. 12, 20:00
ในเรื่องทิป อเมริกาตรงข้ามกับญี่ปุ่นและออสเตรียเลยละค่ะ    เขาถือว่าทิปเป็นส่วนหนึ่งของแรงงาน    ไม่มีเงิน ก็ไม่มีงาน    ถ้าพนักงานทำอะไรให้แม้แต่เล็กน้อยเช่นถือไก่ย่างเคเอฟซีมาส่งให้ที่รถ เราก็ต้องทิป    ถ้าไม่ทิปเพราะไม่รู้อีโหน่อีเหน่ตามประสาคนไปต่างแดนใหม่ๆ  คราวหน้าเขาไม่เดินมาส่งให้   

เรื่องแทกซี่กับจำนวนกระเป๋านี้ดิฉันไม่รู้จริงๆค่ะ    เพราะไปอเมริกาทีไรไม่เคยนั่งแทกซี่    มีเจ้าภาพเอื้อเฟื้อเวลาไปไหนมาไหน    ถ้าไม่มีเจ้าภาพ  เราก็ขับรถของเราเอง   ต้องส่งลูกตบกลับไปให้คุณตั้งอีกครั้ง 
อีกอย่างพวกเราเป็นคนเคยชินกับกระเป๋าใบเดียว   ไม่หิ้วอะไรพะรุงพะรังอยู่แล้ว    ต่อให้ขึ้นแทกซี่ก็ไม่ต้องนับกระเป๋าอยู่ดีละค่ะ

ส่วนคำถามสุดท้าย ถ้าเงินสดไม่พอทิป  มีแต่บัตรเครดิต จะทำยังไง    คำตอบคือเวลาไปกินอาหาร เขาส่งสลิปใบเสร็จมาให้ว่าค่าอาหารมื้อนั้นเท่าไหร่    เราก็เขียนด้วยลายมือ บวก 10 หรือ 15% ลงไปบนสลิปนั้น    จากนั้นเขาก็ชาร์จค่าทิปรวมเข้าไปเวลารูดบัตร   เป็นอันเสร็จ   ไม่ต้องควักเงินสดออกมานับให้เสียเวลาว่าจะขาดจะเกินหรือไม่

ตอบการบ้านได้แค่นี้ค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ธ.ค. 12, 20:33
เรื่องแทกซี่กับจำนวนกระเป๋านี้ดิฉันไม่รู้จริงๆค่ะ    เพราะไปอเมริกาทีไรไม่เคยนั่งแทกซี่    มีเจ้าภาพเอื้อเฟื้อเวลาไปไหนมาไหน    ถ้าไม่มีเจ้าภาพ  เราก็ขับรถของเราเอง   ต้องส่งลูกตบกลับไปให้คุณตั้งอีกครั้ง 
อีกอย่างพวกเราเป็นคนเคยชินกับกระเป๋าใบเดียว   ไม่หิ้วอะไรพะรุงพะรังอยู่แล้ว    ต่อให้ขึ้นแทกซี่ก็ไม่ต้องนับกระเป๋าอยู่ดีละค่ะ

สมัยก่อนนั้น แท็กซี่คิดใบละ 50 เซ็นต์ คอนหลังนี้ไม่ทราบ  คิดแม้กระทั่งกับจำนวนถุงกระดาษที่ใส่ของช๊อปปิ้งมาจากซุปเปอร์มาเก็ต  เสียค่ารถตามมิเตอร์แล้ว ยังต้องเสียค่าเปิดกระโปรงท้าย (ค่าขนของแต่ละชิ้นอีกด้วย) แถมทิปคนขับอีก หยุมหยิมและแยอะแยะทีเดียวครับ

ส่วนคำถามสุดท้าย ถ้าเงินสดไม่พอทิป  มีแต่บัตรเครดิต จะทำยังไง    คำตอบคือเวลาไปกินอาหาร เขาส่งสลิปใบเสร็จมาให้ว่าค่าอาหารมื้อนั้นเท่าไหร่    เราก็เขียนด้วยลายมือ บวก 10 หรือ 15% ลงไปบนสลิปนั้น    จากนั้นเขาก็ชาร์จค่าทิปรวมเข้าไปเวลารูดบัตร   เป็นอันเสร็จ   ไม่ต้องควักเงินสดออกมานับให้เสียเวลาว่าจะขาดจะเกินหรือไม่

ครับ สลิปสำหรับเซ็นชื่อจะมีช่องใ้ห้บวกเพิ่มค่าทิป  สมัยก่อนนั้นต้องคิดว่าจะเป็นตัวเลขเท่าไร แล้วก็ต้องบวกรวมให้เสร็จว่าการรูดครั้งนั้นๆจะรวมเป็นเงินเท่าใด   ฟังจากคุณเทาชมพูแล้ว สมัยนี้ง่ายมาก เพียงเขียนว่าจะ + กี่เปอร์เซ็นต์ก็พอแล้ว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 ธ.ค. 12, 18:20
เมื่อการทิปกลายเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายที่ผนวกเข้ามาในการใช้จ่ายของเรา กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่จะต้องกระทำ กลายเป็นเรื่องที่อาจจะถูกทวงถามเอาหรือถูกพูดกระทบแรงๆ  เราก็คงต้องคิดแล้วละครับว่า ในการเดินทางครั้งหนึ่งๆนั้น หากเราจะไม่ยอมทำอะไรด้วยตนเองเลย เราก็จะต้องบวกเงินที่ต้องจ่าย (ที่จ่ายไปกับการให้ทิปนี้) ไปอีกประมาณ 10%  ก็เป็นเงินมากโขอยู่นะครับ   การเดินทางของเราจึงต้องพยายามลดการพึ่งพาอาศัยการบริการโดยบริกรให้เหลือน้อยที่สุด   

ปัญหามันมีอยู่อย่างหนึ่ง คือ เมื่อจะออกเดินทาง เราก็จะต้องมีการแลกเงิน ซึ่งเรามักจะไม่นิยมเงินปลีก เหรียญหรือธนบัตรใบเล็กๆ  เมื่อถึงเวลาจำเป็นจะต้องให้ทิป เราก็จะไม่มีเศษเงินเพียงพอ     คงจะต้องถือเป็นกฏไว้อย่างหนึ่งว่า เมื่อใดจะเดินทาง เราควรจะต้องมีเงินย่อยติดกระเป๋าไว้พอสมควร หากไม่ได้มาจากการแลกเงิน ก็ต้องพยายามแตกเงินให้เป็นใบย่อยๆด้วยการซื้อของแถวสนามบินที่จะบินออกไปนั้น โดยขอรับเงินทอนเป็นสกุลเงินของประเทศปลายทางที่เราจะเดินทางไป   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 ธ.ค. 12, 18:50
เลยต้องต่อไปเรื่องของการใช้เงิน

การใช้เงินในสหรัฐฯก็มีปัญหาเหมือนกัน ธนบัตรใบละ 100 ดอลลาร์ มีปัญหาการปลอมแปลงมาก การจ่ายเงินสดจำนวนมากๆด้วยธนบัตรใบละร้อยจึงมักจะมีปัญหา ไม่รับบ้าง ถูกสอบถามบ้าง หรือไม่ก็ถูกขอให้ชำระด้วยบัตรเครดิต หรือด้วย personal cheque    ในทำนองเดียวกัน การจ่ายด้วยธนบัตรใบละ 20 ดอลลาร์จำนวนมากในคราวเดียวกันก็มีปัญหาเหมือนกัน กรณีธนบัตรใบละ 20 นี้ไม่ใช่เรื่องของธนบัตรปลอม แต่เป็นเรื่องของที่มาอันไม่บริสุทธิ์ของเงิน คือ อาจจะถูกมองว่า มาจากการค้ายาหรือของผิดกฏหมายอื่นๆ     การใช้เงินจับจ่ายใช้สอยในสหรัฐฯที่ดีที่สุดและสะดวกที่สุด ก็คือ การใช้บัตรเครดิต  คุณเทาชมพูคงจะยืนยันได้   แต่ก็อย่าลืมขอขยายวงเงินการใช้บัตรและช่วงคาบเวลาก่อนการเดินทางนะครับ   

ในยุโรปไม่ค่อยจะมีปัญหาเหมือนกับอเมริกา แท้จริงแล้วประเทศในยุโรปยังนิยมใช้เงินสดมากกว่าการรูดบัตร บางแห่ง การรูดบัตรดูจะเสียเวลามากกว่าการใช้เงินสดเสียด้วยซ้ำไป     หากเป็นญี่ปุ่น ใช้เงินสดเลยครับ การใช้บัตรค่อนข้างจะกลายเป็นเรื่องยุ่งและช้ามากๆ   

อย่างไรก็ตาม ก็ต้องควรจะระวังเรื่องการใช้บัตรเหมือนกัน โดยเฉพาะในประเทศย่านเอเซียทั้งหลาย  ผมเคยโดนเมื่อครั้งอยู่ในญี่ปุ่นแล้วกลับมารูดบัตรที่เมืองไทยในห้างดัง มาธุระคืนเดียว รูดครั้งเดียว เจอดีเลย  ดีว่าไ้ด้เห็นทันการจึงได้แจ้งทันและยกเลิกการใช้บัตรหมายเลขนั้นๆ 

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ธ.ค. 12, 20:49
การโดนแฮคบัตรเครดิตเป็นเรื่องน่ากลัวมากค่ะ   เคยเจอเข้ากับตัวทั้งๆระวังอย่างดีทุกอย่าง   ไม่เคยใช้บัตรเครดิตไปรูดสินค้าตามร้านเล็กๆ หรือร้านใหม่ๆตามทางประเภทแวะหนเดียวแล้วผ่านไป    แต่ก็เจอแจ๊กพ็อทเข้าจนได้       
โชคดีเจ้าหน้าที่ธนาคารสงสัยเลยโทรมาสอบถาม  เพราะรายการขึ้นมาว่าวันนี้รูดบัตรอยู่ในประเทศไทย  วันต่อมาไปรูดบัตรอยู่ในต่างประเทศ   วันที่สามรูดอยู่ในประเทศไทยอีก  เขาเลยสงสัยว่าจะโดนแฮค   พอได้ความจริงก็ยกเลิกบัตรเสียทันเวลา  เงินไม่ถูกดูดออกไปจากบัญชี
เวลาไปอยู่อเมริกานานๆ เป็นเดือน  ดิฉันใช้วิธีโอนเงินไปเข้าบัญชีทางโน้นล่วงหน้า  จะใช้อะไรเจ้าของบัญชีก็รูดการ์ดหรือเซ็นสลิปให้เอง   การใช้บัตรเครดิตของฝ่ายเขาเองสะดวกดีมาก และปลอดภัยด้วย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 04 ธ.ค. 12, 19:11
นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง เลยต้องขอย้อนกลับไปครับ เรื่องของการเรียกชื่อคน

ตามธรรมเนียมของเรา เราจะแนะนำตนเองว่าชื่ออะไรด้วยชื่อตัว ไม่แนะนำด้วยชื่อสกุล ซึ่งเข้าใจว่าในแถบบ้านเราจะเหมือนๆกันหมด   ต่างกับธรรมเนียมของฝรั่ง และรวมถึงจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และิอินเดีย ที่แนะนำตนเองด้วยชื่อสกุลก่อน แล้วจึง (อาจจะ) บอกชื่อเต็มทั้งชื่อตัวและชื่อสกุลตามมา   เป็นธรรมเนียมที่เราและคนอื่นๆจะต้องเรียกชื่อสกุลของเขาต่อๆไป จนกระทั่งเขาบอกให้เราเรียกเขาว่าอะไร (ชื่อตัว หรือชื่อเล่น) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเขารู้สึกว่าเขามีความรู้สึกสนิทสนม หรือเขารู้สึกว่าจะต้องคบกันต่อไป   
การกล่าวถึงเขาและการเรียกชื่อสกุลของเขานั้น จะต้องมีคำนำหน้า Mr.  Mrs. หรือ Ms. เสมอ   บางคนก็อยากจะแนะนำตนเองโดยใช้สถานะบางอย่างนำหน้าชื่อสกุล เช่น Professor หรือ Doctor ซึ่งเกือบจะเป็นกฏตายตัวเลยว่า หากเรียกบุคคลนั้นด้วยสถานะนำหน้าชื่อ ก็จะเรียกเฉพาะชื่อสกุลเท่านั้น  แล้วก็มีด๊อกเตอร์มากมายที่ไม่ค่อยจะนิยมเขียนลงบนนามบัตรว่า Dr. นำหน้าชื่อ แต่จะต่อท้ายชื่อด้วย PhD. (ซึ่งมีนัยแฝงอยู่เหมือนกัน ซึ่งจะไม่กล่าวถึงในที่นี้)    ในการกล่าวถึงบุคคลใดๆในงานที่เป็นทางการในทุกกรณี จะไม่มีการใช้ชื่อตัว จะใช้แต่ชื่อสกุลเท่านั้น ซึ่งหากเป็นการกล่าวย้ำแบบต้องการยกย่องให้เกียรติแก่บุคคลนั้น จึงจะกล่าวแบบชื่อแบบเต็มทั้งคำนำหน้า ชื่อตัว และชื่อสกุล   ทั้งนี้ ในการกล่าวถึงบุคคลอื่นหรือเรียกชื่อบุคคลนั้นๆ หากเป็นการเรียกโดยใช้ชื่อตัว จะไม่มีการใช้คำ Mr.  Mrs. Ms. นำหน้าใดๆ 

ในยุคหลัง woman lib. หรือในปัจจุบันนี้ ก็ไปมีปัญหากับการใช้คำนำหน้าการเรียกชื่อของผู้หญิง  จะใช้คำใดดี จะใช้คำว่า Mrs. บางที่ก็ไม่ไช่เพราะยังโสด หรือไม่ชอบ จะใช้คำว่า Miss ก็ทำนองเดียวกัน เรียกผิดก็อาจจะได้เห็นการแสดงตาเขียวกลับมา   ทางออกที่ดีที่สุด คือ ใช้คำว่า Ms. แต่ออกเสียงเป็น Mizz ไม่ใช่ Miss ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายบอกเราเองว่าต้องการให้เรียกอย่างไร หากไม่บอกอะไรก็ใช้คำว่า Mizz ตลอดไป  หลายคนจะบอกว่า I am Mrs....  นั่นหมายความว่าเธอต้องการให้เราเรียกว่า Mrs.

ดูจะไม่เป็นเรื่องสำคัญ  แต่ฝรั่งถือกันเรื่องนี้กันมากทีเดียว  เขาเห็นว่าเป็นการถือวิสาสะของเรามากเกินไป  อย่าทำเป็นเล่นไปนะครับ มันทำให้เกิดผลที่ตามมาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

ก็มีเรื่องสนุกอยู่เหมือนกัน   ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น  เกาหลี และแม้กระทั่งอินเดีย มีชื่อสกุลเดียวกันอยู่มากมาย ในสมุดโทรศัพท์มีหน้าที่แสดงถึงชื่อสกุลเหล่านี้เป็นสิบหน้าเลยทีเดียว เช่น Smith ของอังกฤษและแคนาดา Lee ของมาเลเซียและฮ่องกง Kim ของเกาหลี และ Rao ของอินเดีย   ในการสนทนา เมื่อเอ่ยถึงบุคคลในชื่อสกุลเหล่านี้ จึงมักมีคำถามตามมาว่า Who?  เราก็ตอบยากเพราะจำชื่อแรกไม่ได้ ต้องใช้วิธีอธิบายตำแหน่งหรืองานหรือความรับผิดชอบที่บุคคลเหล่านี้ทำ 

เมื่อเดินทางแล้วมีการประกาศเรียกชื่อใดๆ เขามักจะเรียกด้วยชื่อสกุล อย่าลืมสนใจด้วยนะครับ เห็นมามากพอสมควรที่ฟังชื่อสกุลของตนเองไม่ออก เพราะคนประกาศเขาอ่านตามที่เขียนใว้ด้วยการออกเสียงและสำเนียงภาษาอังกฤษ     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: cutenail ที่ 06 ธ.ค. 12, 08:55

อินเดีย ส่วนมากจะเรียกชื่อกลาง รวมไปด้วยครับ ถ้าจะระบุให้แคบลงมา เช่น

นาย Rawindra  S. Rao   ตัว S. เป็นชื่อของบิดา เช่น บิดาของตาคนนี้ ชื่อ Shankar P. Rao
หรือ อาจเรียก S.Rao สั้น ๆ ก็ได้
ชื่ออินเดีย นี้ จะบ่งบอก สถานะ วรรณะ ได้ในระดับหนึ่ง ครับ

ถ้าพม่า ผู้ชายอายุราว ๆ น้อยกว่าสามสิบ จะมีคำนำหน้าว่า โก  ถ้ามากกว่าสามสิบ จะเรียกว่า อู
ผู้หญิงถ้าอายุไม่มาก จะใช้คำนำหน้าว่า มะ  ถ้าอายุเริ่มกลางคน จะใช้คำว่า ดอว์




กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 06 ธ.ค. 12, 09:51
เวลาใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต บางกรณีผู้ขายจะใช้ข้อมูล 4 อย่างคือ ชื่อผู้ถือบัตร หมายเลขบัตร วันหมดอายุ และหมายเลข 3 ตัวที่อยู่หลังบัตรครับ

ทุกครั้งที่ผมได้บัตรเครดิตใบใหม่ ผมจะจดเลข 3 ตัวเอาไว้แยกต่างหาก แล้วใช้มีดขูดเลขบนบัตรออกเพื่อลดความเสี่ยงครับ

นอกจากนี้ หากจองที่พักในต่างประเทศ บางโรงแรมไม่มีระบบจองอัตโนมัติ ต้องส่งข้อมูลเหล่านี้ให้เขาทางอีเมล ควรจะแยกข้อมูลเป็นสองส่วน และส่งผ่านอีเมลที่แตกต่างกัน (หรือดีกว่านั้นคือผ่านช่องทางที่แตกต่างกัน เช่น fax หรือโทรไปบอก) จะช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่อีเมลของทางโรงแรมโดนแฮ็คเข้าไปดูข้อมูลครับ

ถึงทำอย่างนี้แล้วก็ต้องบอกว่าผมเคยโดยขโมยข้อมูลบัตรเครดิตเอาไปใช้ราว 5-6 ครั้งแล้วครับ ทั้งหมดนี้เป็นของธนาคารเดียวกัน และไม่เคยใช้ในที่เสี่ยงแต่อย่างใด ผมเชื่อว่าเป็นเพราะฐานข้อมูลของธนาคารโดนแฮ็คครับ แต่ผมไม่เคยต้องเสียค่าใช้จ่ายจากเรื่องนี้ครับ เพียงแต่มีความยุ่งยากเพราะต้องออกบัตรใหม่ ทุกครั้งที่มีรายการผิดปกติ ธนาคารจะโทรสอบถาม ซึ่งผมก็รู้สึกว่าอาจมีความเสี่ยงได้เหมือนกัน เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นตอนที่ผมอยู่ต่างประเทศ ยังคิดอยู่ว่าหากไม่ได้เปิด roaming ไว้ อาจจะเดือดร้อนหนักครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 ธ.ค. 12, 10:34

เมื่อเดินทางแล้วมีการประกาศเรียกชื่อใดๆ เขามักจะเรียกด้วยชื่อสกุล อย่าลืมสนใจด้วยนะครับ เห็นมามากพอสมควรที่ฟังชื่อสกุลของตนเองไม่ออก เพราะคนประกาศเขาอ่านตามที่เขียนใว้ด้วยการออกเสียงและสำเนียงภาษาอังกฤษ     

นามสกุลเดิมของดิฉัน เมื่อสะกดเป็นภาษาอังกฤษประกอบด้วยตัวอักษร 12 ตัว (แต่ยังน้อยกว่าเพื่อนที่เคยไปเรียนด้วยกัน  เธอมี 19 ตัว)   เคยถูกประกาศเรียกที่สนามบินด้วยเรื่องอะไรลืมไปแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่   ได้ยินหลายเที่ยวยังไม่รู้เลยว่าเขาเรียกนามสกุลเรา  ฟังยังไงก็ไม่เหมือน    จนไปที่เคานเตอร์เพราะมีปัญหาเรื่องตั๋วเครื่องบินถึงได้รู้
ชื่อและนามสกุลของพวกเราบางคนสะกดแบบโรมัน  ซึ่งอ่านเป็นภาษาอังกฤษแล้ว  บางทีคนละเสียงกันเลยทีเดียว 
นาค  สะกดว่า Naga  ฝรั่งก็ออกเสียงเป็น นากา   เสถียร สะกด sathira  ฝรั่งอ่าน ซาซิรา   ตัว th ก็เหมือนกัน  ออกเสียงคล้าย ด บ้าง ซ บ้างเพราะเสียงนี้ไม่มีในภาษาไทย  ได้ยินที่สนามบิน เจ้าของนามสกุลเลยจำไม่ได้ก็มีค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 ธ.ค. 12, 19:50
^
ครับ

การเขียนชื่อและชื่อสกุลเป็นภาษาอังกฤษในหนังสือเดินทาง หรือในแบบฟอร์มต่างๆนั้น  ทำได้ 3 อย่าง คือ เขียนเองตามที่เราต้องการ (และคิดว่าคนอื่นจะอ่านออกเสียงตามที่เราเขียนนั้น)  เจ้าหน้าที่เขียนให้ (ตามความรู้และมาตรฐานการแทนเสียงอักขระที่เจ้าหน้าที่ได้อบรมมา) และการเขียนตามที่ได้รับการถ่ายทอดมา (ที่เคยมีการกำหนดการออกเสียงและเทียบพยัญชนะที่กำหนดมาแต่สมัยก่อน)   ประเด็นไปอยู่ที่ว่า สมัยก่อนนั้นกำหนดอย่างหนึ่ง สมัยใหม่กำหนดอีกอย่างหนึ่ง   ซึ่งทั้งหมดเราก็เป็นผู้กำหนดให้เป็นมาตรฐานของเราเอง   คนที่จะออกเสียงตามอักขระนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเอง หรือคนชาติอื่นๆที่ต้องอ่านและออกเสียงเป็นภาษาอังกฤษมิได้รับรู้ด้วยเลย  หรือรู้ก็เพราะได้มาจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมา   
อักษรตัว U ตัวเดี่ยวๆในภาษาอังกฤษออกเสียงเป็น ยู ซึ่งดูคล้ายกับว่าจะใช้แทนเสียง สระอู ได้  แต่แท้จริงแล้ว เมื่อมีตัวสะกดเสียงต่อท้ายตัวนี้ กลับออกเสียงเป็น  อัน และ อั๊ค ไปหมด  ซึ่งหากใช้สระ oo  ไม่ว่าจะมีตัวสะกดเสียงต่อท้ายอย่างไรก็ยังต้องออกเสียงเป็น สระอู อยู่ดี    ตัวแทนเสียงของอักษร พ หรือ ภ ในปัจจุบันเราใช้ ph  ซึ่งแท้จริงเราอาจจะใช้แล้วเราใช้ตัว p ก็ได้ ออกเสียงตรงเลย หรือแม้จะใช้แบบสมัยก่อนที่ใช้ bh ก็ยังใกล้เคียงมากกว่า ph ซึ่งออกเสียงเป็นตัว ฟ มากกว่า พ หรือ ภ
 
ก็ถือโอกาสบ่นเล็กน้อย  ที่จริงการเขียนเพื่อให้เสียงเหมือนกับที่คนถิ่นเขาออกเสียงกันนั้น ก็มีสภาพเหมือนกันทั้งโลก   Sioux ออกเสียงเป็น ซู   Baja ออกเสียงเป็น บาฮา  ลองออกเสียงแยกราชวงค์ของจีนดูครับ Xia, Qin,  Xin,  Jin,  Qing  พอจะเรียงลำดับก่อนหลังได้ถูกหรือไม่ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 07 ธ.ค. 12, 01:13
ไม่ทราบว่านามสกุล Ng อ่านว่าอย่างไรครับ เข้าใจว่าเป็นเวียดนาม ผมเคยถามทั้งจีนทั้งฝรั่ง ต่างก็ส่ายหน้า ไม่แน่ใจทั้งนั้น


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: cutenail ที่ 07 ธ.ค. 12, 08:27
ถ้าภาษาเวียด นะครับ

ng ถ้าอยู่ข้างหน้า จะออกว่า ง   เช่น ngyuen  = เหงียน
ng ถ้าอยู่ข้างหลัง จะออกเป็น ม  เช่น ong     = อม      อันนี้ขาดสระนะครับ เพราะไม่รู้จะพิมพ์อย่างไร
ที่บ้านเรา ไปอ่านตามฝรั่ง เป็น องค์ น่ะล่ะครับ

nh จะออก เสียง เป็น หย  เช่น nha'            = หย่า



แถมพม่า อีกหน่อยละกันครับ kyi บ้านเราชอบอ่านเป็น ขยี  แต่ที่ถูกคือ จี ออกเสียงตัว จ
                                kyaw   อ่านว่า จ่อ    เป็นต้น






กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 ธ.ค. 12, 08:41
ไม่ทราบว่านามสกุล Ng อ่านว่าอย่างไรครับ เข้าใจว่าเป็นเวียดนาม ผมเคยถามทั้งจีนทั้งฝรั่ง ต่างก็ส่ายหน้า ไม่แน่ใจทั้งนั้น

Ng (http://en.wikipedia.org/wiki/Ng) - (http://en.wiktionary.org/wiki/%E9%BB%83) ถ้าเป็นแซ่ จีนแต้จิ๋วอ่านว่า อึ๊ง แปลว่า เหลือง

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 07 ธ.ค. 12, 10:54
ขอบคุณทุกๆ ท่านมากครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 07 ธ.ค. 12, 19:51
ขอต่อเรื่องชื่อไปอีกหน่อยครับ

เป็นเรื่องของชื่อถนน ก็ปวดหัวดีเหมือนกัน  ความที่เราไม่คุ้นเคย เราก็จะพยายามอ่านชื่อถนนเต็มๆเลย พอนึกได้ว่ามันก็คล้ายกับไทย ถนนของเราจะต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า ถนน....   เช่นเดียวกัน ของอิตาลีก็ขึ้นต้นด้วย Via ของฝรั่งเศสก็ขึ้นต้นด้วย Rue   ของเยอรมันและออสเตรียต่างกันไป เอาคำว่าถนนไปไว้ท้ายชื่อ แถมมีอีกสองสามลักษณะถนน ถนนสายหลักจะลงท้ายด้วย Strasse สายรองหรือซอยลงท้ายด้วย Gasse และถนนสายเล็กลงท้ายด้วย Weg      ก็คงจะไม่ต้องพยายามอ่านให้ครบตามที่ป้ายเขียนแสดงไว้ทั้งหมด   เราถูกฝึกจากการเรียนมาอย่างยาวนานว่า  การอ่านออกหมายถึงการที่สามารถจะออกเสียงได้  มันก็เป็นกับดักที่ทำให้เราเสียเวลาต้องไปคิดว่าจะออกเสียงอย่างไร   ผลที่เกิดขึ้นประการแรกก็คือ ทำให้เราอ่านไม่ทัน  ส่งผลให้เกิดผลประการที่สองก็คือ เมื่อไม่สามารถออกเสียงได้ก็เลยทำให้เราไม่สามารถลำดับเส้นทางได้ว่าไปอย่างไรมาอย่างไร เนื่องจากมัวแต่พะวงเรื่องชื่อถนนที่อ่านไม่ทัน ทำให้หลงทั้งทิศและเส้นทาง    ส่งผลให้เกิดผลประการที่สามก็คือ บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางหรือจะขอให้ใครพาไปใหนมาใหนอะไำรไม่ได้เลย   และสุดท้ายคือหลุดและเสียเวลาในการไปใหนมาใหนด้วยตนเองเมื่อต้องใช้รถราง รถประจำทาง หรือระบบการขนส่งมวลชนอื่นใด 

แล้วก็คล้ายเราอีกนั่นแหละ ชื่อถนนมากมายเป็นชื่อของคน ของเรายังดีหน่อยที่ใช้เพียงชื่อสกุล   ของอิตาลีและฝรั่งเศสใช้ชื่อเต็มของคน แถมชื่อคนที่เอามาตั้งเป็นชื่อถนนในต่างย่านแต่ในเมืองเดียวกันก็ยังซ้ำกันอีก ไม่พอ ยังใช้คำย่อสำหรับชื่อที่เป็นที่รู้จักกันดีอีก (เช่น Santa Maria ก็ย่อเป็น S.S.) แล้วต่อด้วยแห่ง...(de)  เคยคุยกับแท็กซี่จึงได้รู้ว่า แท็กซี่เองก็ยังต้องหากินเป็นย่านๆ มิฉะนั้นก็จะไม่รู้และหลงเหมือนกัน    ก็ควรจะต้องระวังไว้สักหน่อยนะครับ หากมีความจำเป็นจะต้องเดินทางด้วยตนเอง จะใช้แผนที่ หรือจะใช้แท็กซี่ หรือจะถามเส้นทาง การบอกชื่อถนนอาจจะไม่เพียงพอ จะต้องบอกย่านหรือเขตพร้อมไปด้วยนะครับ 



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ธ.ค. 12, 19:30
เขียนมาแล้วส่งไม่ได้ครับ บอกว่าต้องเข้าระบบก่อน  ???  เลยหายไปหมดเลย เอาไว้ต่อพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ธ.ค. 12, 20:18
เข้าระบบก่อน  = คุณตั้งยังไม่ได้ล็อคอินค่ะ  หรือไม่ก็หมดเวลาล็อคอินอัตโนมัติ  คือ 60 นาทีไปแล้ว  ควรติ๊กที่ล็อคอินถาวรไว้ดีกว่าค่ะ    คุณจะโพสได้ตลอดเวลาที่เปิดหน้าเว็บเรือนไทย

ถ้าเจออย่างที่ว่ามา   วิธีแก้คือคลิกลูกศรซ้ายบนสุดให้ย้อนกลับไปหน้าก่อนนี้  ข้อความทั้งหมดจะกลับมา   
ทางที่ดีพิมพ์ใน notepad แล้วค่อยลอกมาลงจะปลอดภัยกว่าค่ะ   อย่างน้อยก็มีข้อความเดิมอยู่ใน notepad


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ธ.ค. 12, 17:53
^

ขอบพระคุณครับ เข้าใจว่าลืมคลิกเพื่ออยู่ในระบบมากกว่า 60 นาที ครับ




กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ธ.ค. 12, 19:00
ต่อครับ

เรื่องชื่อถนนนี้ เท่าที่เคยเห็นมา ดูจะมีอยู่ประเทศเดียวที่มีถนนมากมายยั้วเยี๊ยะไปหมด แต่มีชื่อถนนน้อยมาก    คือ ประเทศญี่ปุ่นครับ
ลองนึกดูครับ ตามปรกติการจะไปหาบ้านคนหรือสถานที่ทำการใดๆในประเทศต่างๆทั่วโลก (ละมั้ง) เราจะเริ่มที่ชื่อถนน และซอย (หากมี) แล้วจึงค่อยๆไล่หาเลขที่บ้านหรืออาคาร ที่ค่อนข้างจะไล่เรียงกันไป    address ตามปรกติโดยสากลจึงเริ่มที่เลขที่บ้านหรืออาคาร ต่อด้วยชื่อถนน เขตหรือตำบล อำเภอ แล้วก็จังหวัด โดยนัยก็คือเริ่มจากจุด (ตำแหน่ง) แล้วขยายบอกพื้นที่กว้างออกไป    ของญี่ปุ่นที่เขียนในภาษาญี่ปุ่นกลับทางกัน คือเริ่มจากพื้นที่ใหญ่แล้วค่อยๆลดลงขนาดลงมาจนถึงจุดตำแหน่งที่ตั้ง   ที่เราเห็นการเขียนเป็นภาษาอังกฤษสำหรับ address ในญี่ปุ่นนั้น เป็นการเขียนแบบสากลสำหรับคนต่างชาติเท่านั้น   

address ในการเขียนของคนญี่ปุ่นนั้น จะเริ่มจากจังหวัด ตามมาด้วยชื่ออำเภอ ตามต่อมาด้วยชื่อชุมชน เขต หรือหมู่บ้าน แล้วลงไปที่ block สุดท้ายจึงจะเป็นจุดตำแหน่งของตัวบ้านหรืออาคารสถานที่นั้นๆ   
ยกตัวอย่างเช่น 4-16-3 Kami Osaki, Shinakawa Ku, Tokyo...(รหัสไปรษรีย์)    address นี้บอกว่า บ้านหรืออาคารนี้เป็นบ้านหรืออาคารที่ 3 ใน block ที่ 16 ของเขตที่ 4 ของชุมชน (หรือย่าน หรือแขวง) Kami Osaki ของอำเภอ (หรือเทศบาล หรือเมือง หรือเขต) Shinakawa ในจังหวัดโตเกียว

แล้วจะรู้ไหมนี่ ว่าจะไปหาเจอได้อย่างไร   วิธีการในการไปที่จะขอแนะนำที่ดีที่สุดคือการใช้รถแท็กซี่ (ซี่งแม้แท็กซี่เอง หากไม่หากินอยู่ในย่านนั้นๆก็ยังนำพาไปยาก) ซึ่งแท็กซี่จะใช้วิธีการป้อนข้อมูลหรือเบอร์โทรศัพท์ลงไปในเครื่อง navigator ที่มีอยู่ประจำรถ  เครื่อง navigator ก็จะนำทางพาไปถึงที่เลย (แล้วค่อยเล่าเรื่องนี้ต่อทีหลังครับ)
จะลองเองก็ได้ ก็พอจะมีหลักอยู่เหมือนกันครับ (ใช้ได้กับกรณ๊เป็นเมืองใหญ่นะครับ) แต่ก็อาจจะถึงขนาดเหงื่อชุ่มเอาเลยทีเดียว    เริ่มด้วยการพยายามพานำตนเองให้ไปถึงอำเภอหรือเขตนั้นๆด้วยระบบการขนส่งมวลชน  ซึ่งระบบการขนส่งมวลชนมักจะมีสถานีปลายทาง (terminal) อยู่ในบริเวณใจกลางของเขตหรืออำเภอนั้นๆ จากนั้นก็เริ่มด้วยการถามคนว่า เขต 4 ไปทางใหน  ตามปรกติ เขต 1 คือเขตกลางเมือง แล้วจะวนออกไปในทิศทวนเข็มนาฬิกา ต่อไปเป็นเขต 2, 3, ... แล้วขยายออกไปเหมือนทรงก้นหอย  ปัญหาไปอยู่ที่ว่า เขต 7, 8,... หรือ เขต 16 อาจจะมาอยู่ต่อกับเขต 1 หรือ ... ในวงรอบต่อไปก็ได้  จะรู้ได้ย่างเดียว คือ เดาเอาครับ   แต่ก็มีดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตัวเลขแรกกับตัวที่สองนั้น จะมีเขียนไว้ตามเสาไฟฟ้า     ถึงตรงนี้แล้วจะเห็นว่าใช้รถแท็กซี่ดีที่สุด ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ว่าค่าแท็กซี่ค่อนข้าจะแพงมาก ซึ่งก็ยังพอมีวิธีอีก คือพยายามนำพาตนเองไปอยู่ในชุมชนหรือหมู่บ้านนั้นด้วยระบบขนส่งมวลชนเสียก่อน แล้วจึงเรียกใช้แท็กซี่ ค่าแท็กซี่ตามปรกติจะเริ่มที่ประมาณ 600 เยน ก็คงจะเสียค่าแท็กซี่สักประมาณ 800 - 1000 เยน ก็ยังดีนะครับ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ธ.ค. 12, 19:08
ถ้าต้องหากันด้วยระบบนี้  เสียค่าแทกซี่มากกว่านี้สัก ๒ เท่าดิฉันก็ยอมค่ะ   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ธ.ค. 12, 19:35
ระบบการจัดที่อยู่ที่เป็น block ของญี่ปุ่นนี้ ผมเห็นว่าเป็นการผสมผสานกันในระหว่างแนวคิดการจัดผังเมืองแต่โบราณของจีน ซึ่งจะจัดให้ตัวปราสาทราชวังของผู้ปกครองอยู่เป็นศูนย์กลาง แล้วแบ่งออกเป็นตาตะรางสี่เหลี่ยมล้อมรอบเป็น block จำนวน 8 block (8 ทิศ)  กับแนวคิดของญี่ปุ่นที่ผังเมืองเป็นลักษณะขยายออกไปเป็นวงกลมล้อมรอบ
เมืองเก่าๆของญี่ปุ่น เช่น นารา หรือเกียวโตจะเป็นผังเมืองแบบของจีน ยกเว้นในฮอกไกโดที่มีผังเมืองในลักษณะเป็น block เหมือนกัน แต่เป็นไปเนื่องมาจากอิทธิพลของคนในชาติตะวันตกที่มาติดต่อทำมาค้าขายในอดีต   สำหรับเมืองใหญ่ๆในอิทธิพลความคิดของญี่ปุ่นเองนั้น จะมีถนนสายหลักที่เดินทางมุ่งเข้าสู่ตัวปราสาทราชวังหรือที่อยู่ของผู้ทรงอำนาจครองเมือง การตัดซอยถนนเชื่อมกันจึงมีลักษณะเป็นใยแมลงมุม (เหมือนกับเมืองเก่าๆทั้งหลายในเอเซีย เช่น ฮานอย และเมืองเก่าๆในอิตาลี หรือแม้กระทั่งเมืองหลักที่อยู่ในต่างจังหวัดของไทยเราเอง)    ชื่อถนนของญี่ปุ่นจึงมีเฉพาะเส้นทางสายหลักที่ใช้เดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางของเมือง
 
ลักษณะถนนที่เป็นลักษณะของใยแมลงมุมในญี่ปุ่นนี้ (และที่อื่นๆในโลก) ทำให้เกิดเป็น block รูปสามเหลี่ยม  ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้เราเกิดการหลงทั้งทิศและทิศทางได้โดยง่ายมากๆ     หากมีโอกาสนั่งรถไฟชินกันเซนของญี่ปุ่นลองมองออกไปทางหน้าต่าง จะเห็นว่า ถนนแทบจะทุกเส้นที่ทางรถไฟตัดผ่าน จะเป็นลักษณะทะแยงมุม แล้วจะเห็นที่ถนนแยกออกไปจากถนนหลักเป็นลักษณะก้างปลาหรือขนนก  หลงทิศหลงทางได้ง่ายจริงๆครับ    

  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ธ.ค. 12, 19:45
คุณเทาชมพูว่า ยอมเสียค่าแท็กซี่ 2 เท่าก็ยอม
 
ทำให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง 

เมื่อเห็นญี่ปุ่นโฆษณาหรือบอกว่าบ้าน หรืออาคาร หรือสถานที่นั้นๆ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟด้วยระยะเดินประมาณ 2 นาที หรือ....  หรือจะกี่นาทีก็ตาม
 
ท่านพอจะทราบมาตรฐานการวัดหรือไม่ครับ ??? ลองเดากันดู    อีกสักพักจะเฉลยคำตอบ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ธ.ค. 12, 20:04
รู้แต่ว่าคนญี่ปุ่นเดินเร็วมากค่ะ   คนไทยเรียกว่าจ้ำไม่เหลียวหลัง      เคยเดินที่สถานีรถใต้ดิน  ถ้าหากว่าเดินแบบไทยเดิน  ญี่ปุ่นที่สตาร์ทพร้อมกัน ก็จะทิ้งช่วงห่างจากเราไปจนต้องวิ่งกระหืดกระหอบตาม
2 นาทีญี่ปุ่นเห็นจะ 5 นาทีไทยมั้งคะ  เดาเอา


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ธ.ค. 12, 21:00
ถูกต้องด้วยพื้นฐานครับ

คำตอบที่ทราบมา คือ ระยะทางที่ผู้หญิงปรกติคนหนึ่ง ที่แต่งเสื่อผ้าชุดไปทำงาน ใส่รองเท้าส้นสูงตามปรกติ (คงจะเป็นส้นสูงระหว่าง 1 - 1 1/2) นิ้ว) เดินใน 1 นาที ซึ่งจะเป็นระยะทางประมาณ 80 เมตร
     
ตัวผมเองยังคิดว่าตนเองยังไม่น่าจะรอดเลย  มันเกือบจะเป็นกึ่งวิ่งกี่งเดินแล้วครับ ซึ่งเป็นวิถีการเดินตามปรกติของคนญี่ปุ่นเหมือนกับที่คุณเทาชมพูสังเกตหรือได้พบเห็นมา
   
หากมีโอกาสก็ลองสังเกตดูครับ คนญี่ปุ่นพอรับคำแล้วพูดว่า ไฮ้ แล้ว เขาจะเริ่มยกแขน งอข้อศอกสองข้างยกมือขึ้นเทียมหน้าอก แล้วเตะเท้าออกไปเริ่มเหมือนกับนักวิ่งออกสตาร์ตวิ่งเลย เป็นอากัปกริยาอย่างหนึ่งที่จะเห็นได้เป็นปรกติทั่วไป

คราวนี้ก็พอจะประมาณระยะทางได้แล้วนะครับว่า หากคนญี่ปุ่นบอกว่าเดินประมาณ 3 นาที ก็จะหมายถึงระยะทางประมาณ กว่าสองสนามฟุตบอลล์ หรือประมาณ 200 เมตรกว่าๆ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ธ.ค. 12, 21:27
คนญี่ปุ่นขยันขันแข็ง บวกกับอากาศหนาวเย็น   เดินแกมวิ่งได้สบาย  ไม่เหมือนเดินในเมืองร้อนอย่างบ้านเรา    ถ้าเดินริมถนนกรุงเทพอย่างญี่ปุ่นเดินในโตเกียว  โดยไม่หยุดเลยเป็นเวลาสัก ๒๐ นาทีญี่ปุ่น   คนไทยอาจเป็นลมหน้ามืดไปเลยก็ได้ค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 ธ.ค. 12, 19:50
^
เรื่องเดินแกมวิ่งนี้เป็นอุปนิสัยประจำของคนญี่ปุ่นในญี่ปุ่นจริงๆ

ต่อไปอีกนิดครับ
ในญี่ปุ่นนั้น เมื่อเกิดฝนตก (ซึ่งจะไม่ใช่ตกจั้กๆแบบบ้านเรา) เราจะเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นกระทำอยู่ 2 ลักษณะเมื่อต้องเิดินผ่าฝน คือ เอากระเป๋าถือยกเหนือหัวเพื่อบังฝน กับเอากระเป๋าถือกอดไว้ที่หน้าอก    พอจะทราบเหตุผลใหมครับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น 

เลยขอเลยเถิดไปถึงศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายหรือเรียกลักษณะความต่างของที่ฝนตก คงพอจะบอกถึงความแตกต่างได้นะครับ  คือคำว่า  mist,  precipitation, rainy, rain, heavy rain, shower, storm, thunder storm  ในภาษาไทยก็ดูพอจะมีคำเรียกที่ตรงกันอยู่กับคำเหล่านี้     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ธ.ค. 12, 20:08
เคยไปญี่ปุ่นตอนหน้าฝน   เห็นเขามีร่มติดมือกันเกือบทุกคน  เวลาเข้าไปในห้างร้านสรรพสินค้า ข้างประตูมีที่ให้เสียบร่ม  ไม่ต้องถือเข้าไปให้เกะกะ   พอจะกลับออกไปก็แวะหยิบร่มกลับไปด้วย
ท่าเอากระเป๋าบังหัวกับกอดไว้แนบอก ที่คุณตั้งถาม ดิฉันยังไม่เคยเห็น     เอากระเป๋าบังหัวก็คงจะกันเม็ดฝนลงหัว   นักเรียนไทยก็ทำเหมือนกัน  ส่วนกอดไว้กับอก เดาว่าคงไม่ให้ฝนสาดเปียกเสื้อ  ซึ่งจะทำให้ชื้นเป็นหวัดง่ายละมังคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 ธ.ค. 12, 20:37
คำตอบ

ที่เอากระเป๋ากอดไว้ที่หน้าอกนั้น เพราะว่าเป็นกระเป๋าแบรนด์ราคาแพงมากครับ ที่อุตส่าห์ไปยืนเข้าแถวรอเพื่อจะได้เข้าไปซื้อกันตามเมืองใหญ่ที่ไปท่องเที่ยวกัน

เรื่องของร่มก็น่าสนใจเหมือนกัน แล้วค่อยเล่าต่อครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ธ.ค. 12, 20:47
เคยไปญี่ปุ่นตอนหน้าฝน   เห็นเขามีร่มติดมือกันเกือบทุกคน

ร่มจึงเป็นของที่คนญี่ปุ่นลืมทิ้งไว้บนรถไฟฟ้าเป็นอันดับหนึ่ง

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ธ.ค. 12, 21:27
คุณเพ็ญชมพูคงเคยไปเดินฝ่าฝนญี่ปุ่นมาแล้ว  ;)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ธ.ค. 12, 08:33
เคยฝ่าทั้งฝนและหิมะ

ที่ญี่ปุ่นฝนมักตกปรอย ๆ (precipitation ?) ไม่ค่อยตกจั๊ก ๆ (heavy rain ?) อย่างที่คุณตั้งว่า

หิมะในโตเกียวก็ตกไม่ค่อยหนักเท่าไร ไม่เหมือนรอบนอก ๆ เมือง

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 ธ.ค. 12, 19:41
ประชากรญี่ปุ่นมีเกือบๆ 130 ล้านคน   เคยมีการประมาณกันว่า คนญี่ปุ่นแต่ละคนจะซื้อร่มไม่น้อยกว่า 2 คันต่อคนต่อปี ซึ่งหมายความว่าตลาดญี่ปุ่นมีความต้องการร่มไม่น้อยกว่า 100 ล้านคันต่อปี  เป็นตลาดที่น่าสนใจนะครับ 



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 ธ.ค. 12, 18:05
ร่มที่เราใช้กันนี้ คงจะพอแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ใช้กันแดด กับกับกันฝน  และก็คงจะแยกออกไปได้เป็น 3 ชนิดตามลักษณะของก้านร่ม คือ ก้านยาวเต็มตัว ย่อสองท่อน และย่อสามท่อน

ร่มสีสวยๆมักจะเป็นร่มกันแดด จะมีขนาดไม่กว้าง ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายผู้ซื้อใช้เป็นหลัก จึงมีน้ำนักเบา และมักจะเป็นแบบก้านสามท่อน พับใส่กระเป็าถือได้  วัสดุที่ใช้จะบางและเบาน้ำซึมผ่านได้      ร่มกันฝนมักจะมีสีดำและสีกรมท่า มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ก้านร่มท่อนเดียวหรือสองท่อน ค่อนข้างจะแข็งแรงและมีน้ำหนัก (เนื่องจากต้องรับแรงลมด้วย) วัสดุจะเป็นประเภทที่กันน้ำได้ค่อนข้างดี (มองไม่ทะลุ)

เล่ามาแบบเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน  แท้จริงแล้วจะบอกเล่าในสองสามเรื่อง คือ  ในสังคมนานาชาตินั้น เขาค่อนข้างจะแบ่งแยกกันชัดเจนว่าของผู้ชายใช้หรือของผู้หญิงใช้ และควรจะเลือกใช้ให้ถูกกาลเทศะอีกด้วย   เรื่องที่สองคือ เป็นปรกติและมารยาททั่วไปที่จะไม่เอาร่มที่เปียกน้ำฝนในเข้าไปในอาคารสถานที่ใดๆ จึงมีที่สำหรับใส่ร่มไว้ที่หน้าประตูทางเข้าอาคาร กรณีเป็นห้างใหญ่ๆ เขาก็จะมีถุงพลาสติกให้สวมร่มเพื่อเอาติดตัวไปด้วย  และเรื่องที่สาม เป็นเรื่องต่อเนื่องของเรื่องที่สอง ทำให้เราคงจะต้องคิดเหมือนกันว่าจะซื้อร่มราคาแพงหรือราคาถูกมาใช้ เนื่องจากมีโอกาสทั้งการหยิบสลับกันหรือหายไป และรวมทั้งการลืมของเราด้วย

ฝนในบ้านเรานั้น ก่อนจะตกมักจะมีอากาศอบอ้าว ตกแล้วก็เย็นชื่นใจขึ้นมานิดหน่อย ต่างกับฝนที่ตกในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นหรือที่มีหิมะตกในฤดูหนาว ฝนในประเทศเหล่านี้จะตกในช่วงเริ่มต่อเข้าฤดูหนาว หลังฝนตกแล้วจะรู้สึกอากาศเย็นมาก เป็นเรื่องที่จะต้องระวังในการแต่งกายและเลือกใช้เสื้อผ้าให้มาก จะเจ็บป่วยได้ง่ายมากๆ         


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ธ.ค. 12, 18:39
เอาภาพมาประกอบค่ะ
ร่มกันฝน กับร่มกันแดด    ร่มกันแดดของเชียงใหม่ เป็นสินค้าขึ้นชื่อในสมัยก่อน   ทำจากกระดาษ 
เอาไว้กันแดดอย่างเดียว ไม่กันฝน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ธ.ค. 12, 18:41
นางงามยุคโน้น กับร่มกันแดด แยกกันไม่ออกจริงๆ
ส่วนญี่ปุ่น ร่มกันแดดน่าจะไม่จำเป็นเท่าร่มกันฝนนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 12 ธ.ค. 12, 19:15
ร่มกันแดดของญี่ปุ่นแบบโบราณทำด้วยกระดาษ สไตล์เดียวกันกับร่มทางเหนือของเรา

 ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 ธ.ค. 12, 19:19
ก็เลยขอต่อไปเรื่องของการแต่งกาย

นักท่องเที่ยวจะแต่งกายอย่างไรก็คงไม่เป็นปัญหา แต่มันก็ต้องมีการดูถึงความเหมาะสมและความพอดีอยู่เหมือนกัน

ผมเคยเห็นคนในคณะศึกษาดูงานหลายคณะ ซึ่งเป็นคณะบุคคลในคณะบุคคลากรระดับสูงขององค์กรต่างๆอีกด้วย  (ซึ่งผมต้องเป็นผู้ประสานงานและต้อนรับอำนวยความสดวก)   ใส่สูทผูกเน็คไทด์แต่ใส่รองเท้าผ้าใบ   หากจะแต่งกายด้วยชุดสูท (ซึ่งเขาถือกันว่าเป็นชุดสุภาพและเป็นงานเป็นการ) ก็ควรจะต้องใส่รองเท้าหนังหุ้มส้น สวมถุงเท้า และก็ควรจะเป็นรองเท้าสีดำอีกด้วย     บ้างก็ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีสดใสที่ใช้ในเวลาเล่นกอล์ฟ ใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วใส่เสื้อ blazer ทับก็มี   ที่มากไปกว่านั้นคือ ใส่เสื้อเล่นกอล์ฟสีสดใส รองเท้าผ้าใบ ใส่โอเวอร์โค๊ตทับ แถมมีผ้าพันคอสีสดใสพันรอบคออีกด้วย (ยังกับเขมรแขวนผ้าขาวม้ารอบคอ) สุดยอดจริงๆ   มันไม่ใช่แฟชั่น มันไม่ใช่ความเท่ห์ มันทำให้คนเขามองแบบดูถูก ขนาดคนจรจัดที่เรียกว่าพวก bum ยังยิ้มและหัวร่อ    ฝ่ายหญิงที่ใส่ชุดไทยจิตรลดาแล้วใส่รองเท้าผ้าใบไปในงานพิธี ก็เป็นของสุดยอดที่เคยเห็นเหมือนกัน

ผมเห็นว่า ในการเดินทางไปต่างถิ่นนั้น หากเป็นไปได้ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้รองเท้าผ้าใบ ควรจะใช้รองเท้าหนัง casual แบบสวมสบายๆ ซึ่งใช้ได้อย่างพอเหมาะสมในทุกโอกาส รองเท้าแตะคงไม่ต้องเอาไป ใช้ของโรงแรมก็พอได้  เสื้อนอกนั้น หากไม่ต้องไปในพิธีการใดๆ เพียงอยากใส่ให้ดูดีก็หาซื้อที่เป็นแบบสปอร์ตแจ็คเก็ต (มิใช่แบบ blazer)  เสื้อก็เป็นเสื้อเชิร์ตปรกติ จะลายอย่างไรก็ได้ แต่ขออย่าได้เป็นเสื้อยืดหรือเสื้อกอล์ฟเลย    การแต่งกายแบบสุภาพพอสมควรนี้ ไปซื้อของอะไรอย่างน้อยเขาก็ไม่โขกราคาและให้การต้อนรับที่ดีกว่าเยอะ

สำหรับฝ่ายหญิงนั้น ผมเชื่อว่าผู้หญิงมีสำนึกดีเป็นทุนอยู่แล้ว   เคยเห็นผู้หญิงสูงวัยชาวบ้านใส่ผ้าซิ่น ใส่เสื้อแขนกระบอก ใส่รองใส่เท้าแตะ ในคณะทัวร์ในยุโรป  ฝรั่งยังชอบใจ ให้ความเอ็นดู และให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่แสดงอาการดูถูกเย้ยหยันแต่อย่างใดเลย              



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ธ.ค. 12, 20:00
    บ้างก็ใส่เสื้อยืดแขนยาวสีสดใสที่ใช้ในเวลาเล่นกอล์ฟ ใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วใส่เสื้อ blazer ทับก็มี  

      เพียงอยากใส่ให้ดูดีก็หาซื้อที่เป็นแบบสปอร์ตแจ็คเก็ต (มิใช่แบบ blazer)  

     ไม่ค่อยจะรู้เรื่องแฟชั่นผู้ชายค่ะ   ออกตัวไว้ก่อน    อยากทราบว่า blazer ที่เดิมเข้าใจว่าเป็นเสื้อตัวนอกของผู้ชาย  นุ่งกับกางเกงคนละสีกับเสื้อ  (ไม่ใช่เสื้อกางเกงตัดด้วยผ้าชนิดเดียวกันที่เรียกว่าสูท)    มันต่างจากสปอร์ตแจ็คเก็ตยังไงคะ   
     ถ้าเห็นแขวนอยู่เดี่ยวๆในร้านจะรู้ได้ยังไงว่านี่คือท่อนบนของชุดสูท  ตัวนั้นคือเบลเซอร์ และตัวโน้นคือสปอร์ตแจ็คเก็ต  สังเกตความแตกต่างได้จากตรงไหนคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ธ.ค. 12, 20:08
คนที่บ้านเคยสวมเสื้อนอกแบบในรูปข้างล่างนี้   สีน้ำเงินแก่ เป็นผ้าอะไรไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ wool ก็คงเป็นสักหลาด  
มีกระดุมทองสองแถว  นุ่งกับกางเกงขาว  แต่เจ้าตัวไม่ผูกเนคไทเวลาสวมไปงานสังสรรค์   ใช้ผ้าพันคอแทน  แสดงว่าสวมแบบลำลอง  
เสื้อนอกแบบนี้เรียกว่าเบลเซอร์ใช่ไหมคะ  หรือว่าเป็นสปอร์ตแจ็กเก็ตก็ได้เหมือนกัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 ธ.ค. 12, 20:45
เรื่องร่มที่ทำจากกระดาษนั้น แท้จริงแล้วมีการอาบด้วยยางไม้ จึงกันได้ทั้งฝนและกันแดด   ในสมัยก่อนนั้นไม่มีการเขียนลวดลายให้สวยงาม มีแต่สีน้ำตาลเข้มหรือดำเท่านั้น เมื่อสมัยเด็กๆก็ยังใช้อยู่ครับ

ที่น่าทึ่งก็คือ ร่มกระดาษของญี่ปุ่นนั้น (เข้าใจว่าทั้งเราและญี่ปุ่นเอามาจากจีน)  ผมเคยเห็นที่ Kanazawa  จังหวัดทางฝั่งทะเลญี่ปุ่น   เหมือนกับร่มกระดาษสาของไทยราวกับทำมาจากแหล่งเดียวกัน  คือมีการถักเส้นด้ายในกลีบไม้ใต้ก้านร่มด้วย จะต่างกันนิดเดียวตรงด้ามมือจับเท่านั้นเอง   

งานทำด้วยมือที่ Kanazawa นี้ คล้ายๆกับของไทยมาก ทั้ง ร่ม เครื่องปั้นดินเผา ทองเปลวที่ปิดพระ ฯลฯ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ธ.ค. 12, 21:36
อ้างถึง
ผมเคยเห็นคนในคณะศึกษาดูงานหลายคณะ ซึ่งเป็นคณะบุคคลในคณะบุคคลากรระดับสูงขององค์กรต่างๆอีกด้วย  (ซึ่งผมต้องเป็นผู้ประสานงานและต้อนรับอำนวยความสดวก)   ใส่สูทผูกเน็คไทด์แต่ใส่รองเท้าผ้าใบ   หากจะแต่งกายด้วยชุดสูท (ซึ่งเขาถือกันว่าเป็นชุดสุภาพและเป็นงานเป็นการ) ก็ควรจะต้องใส่รองเท้าหนังหุ้มส้น สวมถุงเท้า และก็ควรจะเป็นรองเท้าสีดำอีกด้วย
     

ประสพการณ์ใหม่เอี่ยมที่สนามบินสุวรรณภูมิครั้งล่าสุดไม่กี่วันมานี้ ผมเห็นคณะนักการเมืองท้องถิ่นจากชนบทกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ คนหนึ่งสวมชุดสูตรผูกเนคไทตามที่คุณตั้งว่าทุกประการ แต่มีแถมสร้อยพระพวกเบ่อเริ่มแขวนไว้นอกเสื้อ อารมณ์คล้ายๆกับรูป(ของคนอื่น)ข้างล่างที่ผมพยายามหามาให้ดูพอให้นึกภาพออก

ไม่ทราบว่าพี่แกกำลังจะไปประเทศไหน แต่ถ้าเป็นซีเรียก็ไม่ว่ากัน


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 ธ.ค. 12, 21:58
blazer โดยหลักที่ถูกต้องแล้วก็คือเสื้อทีมครับ ที่กระเป๋าหน้าอกจะต้องมีปักตราอะไรสักอย่าง กระดุมมักจะเป็นสีทองหรือเงินที่มีตราอยู่ด้วย  สีของเสื้อนั้นไม่บังคับ แต่ที่นิยมก็มักจะเป็นสีเข้ม เช่น navy blue (หรือสีกรมท่า) แต่สีเขียวก็มี สีฟ้าหม่นหรือสีควันบุหรี่ก็มี และสีแดงก็มีเหมือนกัน
  
ในปัจจุบันนี้ ไม่ยึดถือกันว่าจะต้องมีตราปักที่กระเป๋าหน้าอกของเสื้อ  ยังคงนิยมว่าต้องเป็นสี dark blue หรือ navy blue และติดกระดุมสีทองหรือเงิน ทั้งนี้สำหรับเสื้อของพวกแบรนด์เนมทั้งหลาย กระดุมก็ยังคงเป็นแบบมีตราอะไรสักอย่างอยู่เสมอ    สำหรับทรงเสื้อนั้น ตามปรกติจะเป็นแบบกระดุมสองเม็ด แต่จะเป็นแบบปกทับ (กระดุมสองแถว) หรือแบบมีกระดุมสามเม็ดก็รับได้ว่าเป็นเสื้อ blazer เหมือนกัน

สำหรับแจ็คเก็ตหรือสปอร์แจ็คเก็ตนั้น เป็นเสื้อทรงเสื้อนอกเหมือนกัน จะเป็นแบบกระดุมสองเม็ด หรือสามเม็ดก็ได้ ความต่างจริงๆอยู่ที่ผ้าที่ใช้ตัดเย็บ ซึ่งอาจจะเป็นผ้าหนาๆมีลายสี (ผ้าขนสัตว์หรือผ้าฝ้าย) หรือเป็นผ้าลายตารางต่างๆหรือตารางเล็กๆ  อาจจะมีการปะหนังที่ข้อศอกก็ได้  กระเป๋าก็มีทั้งแบบปะและแบบเจาะ  หากไม่ใช้กระดุมสีทองหรือเงินแล้ว ลักษณะเหล่านี้รวมเรียกว่าเสื้อแจ็คเก็ต   ส่วนสปอร์ตแจคเก็ตนั้น จะต่างไปตรงที่ ค่อนข้างจะเป็นผ้าบางและไม่มีลาย ใส่คลุมทับกับเสื้อเชิร์ตสีพื้น ดูเนี๊ยบเรียบร้อย จะผูกเน็คไทด์หรือไม่ผูกก็ได้   ในการ์ดเชิญไปงานตอนบ่ายแก่ๆหรือตอนเย็น บางครั้งก็ระบุว่า แต่งการแบบ smart casual ก็คือการแต่งกายแบบใส่ sport jacket นี้เอง

ภาพที่คุณเทาชมพูนำมาแสดงนั้น หากเสื้อในเป็นสีขาว ผูกเน็คไทด์สีเข้มกว่านี้หน่อย ใส่เสื้อนอกตัวเดียวกันนี้โดยไม่มีผ้าเซ็ดหน้าเหน็บที่กระเป๋าหน้าอก เสื้อนอกตัวนี้ก็จะจัดไปเป็นเสื้อ blazer   แต่หากแต่งตามภาพ ก็จะกลายเป็นการแต่งการแบบ smart casual  เสื้อนอกก็จะกลายเป็นเสื้อแจ็คเก็ตไป

การผสมผสานและการเลือกใช้เสื้อใน เสื้อนอก และเน็คไทด์ ในการแต่งกาย รวมทั้งสีของเสื้อผ้า สีและลวดลายของเน็คไทด์ และแม้กระทั่งการใช้รองเท้าหนังแบบมีเชือกผูกหรือไม่มีเชือกผุก นิดๆหน่อยๆจากของทีมีอยู่แล้ว ทำให้การแต่งกายนั้นๆเหมาะสมกับกาลเทศะต่างๆกันไป    

ข้อสำคัญ เสื้อนอกของชุดสูทนั้น จะเอามาใส่เดี่ยวๆอย่างไรก็ไม่เป็นเสื้อแจ็คเก็ตหรือเสื้อ blazer  ทั้งด้วยลักษณะของผ้าและทรงของการตัดเย็บ ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ถูกมองไปในทำนองที่ไม่ดี (พวกข้างถนน)  ชุดสูืทต้องมีสีเดียวกันทั้งเสื้อและกางเกง ต้องเป็นผ้าผืนเดียวกันม้วนเดียวกัน  อีกข้อหนึ่ง การแต่งกายของผู้ชายจะต้องมีความเข้มและ sharp มิใช่ความเนี๊ยบ และมิใช่ความนุ่มเนียน          
  


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 ธ.ค. 12, 22:02
บังเอิญผมกลับมาก่อนยุคฮิตแขวนพระโชว์นอกเสื้อ  มิเช่นนั้นก็คงจะได้มีเรื่องเล่าและข้อสังเกตดีๆมาเล่าสู่กันฟัง  ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ธ.ค. 12, 22:20
อ้างถึง
สำหรับแจ็คเก็ตหรือสปอร์แจ็คเก็ตนั้น เป็นเสื้อทรงเสื้อนอกเหมือนกัน จะเป็นแบบกระดุมสองเม็ด หรือสามเม็ดก็ได้ ความต่างจริงๆอยู่ที่ผ้าที่ใช้ตัดเย็บ ซึ่งอาจจะเป็นผ้าหนาๆมีลายสี (ผ้าขนสัตว์หรือผ้าฝ้าย) หรือเป็นผ้าลายตารางต่างๆหรือตารางเล็กๆ  อาจจะมีการปะหนังที่ข้อศอกก็ได้  กระเป๋าก็มีทั้งแบบปะและแบบเจาะ  หากไม่ใช้กระดุมสีทองหรือเงินแล้ว ลักษณะเหล่านี้รวมเรียกว่าเสื้อแจ็คเก็ต
สนใจเสื้อแจ็กเก็ต แบบที่เป็นผ้าหนาๆมีลายสีและตารางเล็กๆ ค่ะ  ไม่มีการปะหนัง    เสื้อแบบนี้จะเป็นผ้าคนละชิ้นกับกางเกง แต่วิธีตัดเย็บก็เหมือนเสื้อสูท    ขอถามว่าใช้ในโอกาสเดียวกับเสื้อสูทได้หรือไม่คะ  เช่นไปดูคอนเสิร์ท  ไปดูละครสำคัญๆที่ศูนย์วัฒนธรรม (ที่เจ้านายเสด็จ) 
หรือว่าจะต้องใช้ในงานที่บัตรเชิญเขียนว่า smart casual เท่านั้น
ที่ถามก็เพราะดิฉันเห็นงานไหนๆ ผู้ชายไทยก็สวมสูทกันทั้งนั้น   ตั้งแต่เลี้ยงโต๊ะจีนในลานออฟฟิศ  ไปจนกระทั่งงานรับเสด็จเจ้านาย  ไม่เห็นค่อยใส่ทั้งแจ็กเก็ตและสปอร์ตแจ็กเก็ต  เลยอยากรู้ว่าเขาแบ่งกันยังไงน่ะค่ะ และอย่างไหนถูกต้อง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 13 ธ.ค. 12, 02:53
เสื้อ blazer นี่ปกติแล้วถือว่าเป็น uniform นะครับ มักมีตราของโรงเรียนหรือสมาคม (club) ไม่ใช่ว่าใครจะใส่ก็ใส่ได้ ถ้าไปซื้อที่ร้านพนักงานก็ต้องถามว่าอยู่โรงเรียนนี้หรือเปล่า เช่นเดียวกันกับ necktie ว่าเรียนที่นี่หรือจบจากที่มหาวิทยาลัยนี้ไหม ไม่งั้นก็ไม่ยอมขายให้ สังคมอังกฤษต่างจากสังคมไทยที่มีการเข้าสมาคม เวลามีกิจกรรมผู้ชายก็แต่งตัวกันไม่แพ้ผู้หญิง แล้วพอผู้หลักผู้ใหญ่เห็น uniform ก็ทักก็ถามถึงอาจารย์เก่าๆ หรือเรื่องต่างๆ ที่สมาคม ที่ทำงาน จนไปถึงพ่อ ลุง บ้านเราที่เห็นทำได้คงมีแต่วชิราวุธ สถานที่บางแห่งถ้าไม่ใช่สมาชิกก็เข้าไม่ได้ จะเป็นสมาชิกก็มีเงื่อนไขข้อกำหนด ว่าจบจากที่นั่นที่นี่ หรือทำงานให้กับหน่วยนั้น หรือเป็น sports club ก็ต้องมีสมาชิกแนะนำ แล้วต้องมีการประชุมว่าจะรับเข้าสมาคมด้วยหรือไม่ เดินเข้าไปสมัครก็ไม่ได้ สมัยก่อนผู้ชายก็มีสมาคมเหมือนกัน ผมคิดว่าออกจะเหนียวแน่นมากๆ ภรรยาแทบไม่มีความหมายเลย ก่อนกลับบ้านก็ไปสมาคม บางครั้งก็กินอาหารเย็น ดื่มบรั่นดี กาแฟ สูบบุหรี่ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ใกล้เที่ยงคืน เวลาอยู่บ้านจริงๆ คงเป็นเฉพาะวันอาทิตย์ตอนบ่าย (วันเสาร์ก็มีกิจกรรมที่สมาคมอีก ไม่งั้นก็ไปล่าสัตว์ ไปนอนค้างบ้านในชนบท) วิถีชีวิตของคนปัจจุบันนี้เทียบได้กับชนชั้นแรงงานสมัยก่อน ง่ายๆ กลับจากที่ทำงานก็ตรงสุ๋บ้าน ไม่งั้นก็แวะ pub ดื่มกับเพื่อนนิดหน่อย ที่จะเป็นผู้ดี ขุนนางแบบเดิมนั้นเหลือน้อยเต็มที สำหรับผมแล้วคิดว่าคนเอเชียเราทำอย่างไรก็ไม่เหมือนครับ แต่ยอมรับว่าโลกเปลี่ยนไปมากจริงๆ ชนิดที่คนโบราญย้อนกลับมาได้คงจะอยู่ไม่ได้แน่ๆ

เพิ่มเติมครับ: เสื้อ jacket นี้แต่ละตระกูลก็มีลวดลายต่างกัน เอาของตระกูลอื่นมาใส่ไม่ได้อีกเช่นกัน แบบที่คุณเทาชมพูถามปัจจุบันเห็นจะเป็นลายใหม่ คนไม่ถือกันมากเหมือนในอดีต คงต้องรอท่านผู้รู้มาอธิบายครับ เพราะที่ผมเจอผู้สูงอายุมักใส่แบบมีหนังหุ้มที่ข้อศอก พร้อมกับใส่หมวกแก๊บ ส่วนมากมักอยู่กับฟาร์ม หรือเป็นสัตวแพทย์ที่นิยมใส่


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ธ.ค. 12, 06:53
^
คคห.ข้างบนนี้เขียนเมื่อเวลาอีกไม่กี่นาทีจะตีสาม ไม่ว่าจะยังไม่นอนหรือตื่นมาเขียนก็เชื่อว่า มีวิริยะจริงๆ

แจ๊กเก๊ตที่มีหนังหุ้มข้อศอก เห็นจะเป็นแฟชั่นของพวกนักล่าสัตว์เล็กประเภทผู้ดีมีเงินของฝรั่งด้วยครับ
ผ้ามักจะเป็นพวกลูกฟูก หรือสักหลาดที่เนื้อรุ่ยง่ายถ้าเสียดสี จึงทำหนังมารองรับจุดนั้นไว้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ธ.ค. 12, 09:36
เสื้อเบลเซอร์ที่มีตราสมาคมต่างๆปักอยู่บนกระเป๋าเสื้อ  รู้จักค่ะ   เพราะทุกวันนี้ ทำงานให้มูลนิธิอยู่แห่งหนึ่ง   เขามีเครื่องแบบทั้งผู้ชายผู้หญิง   ผู้ชายมีเสื้อนอกปักตรามูลนิธิ    สีเข้ากับเนคไท   นุ่งกับกางเกงดำซึ่งคนละสีกับเสื้อนอก    พอคุณตั้งอธิบายก็ร้องอ๋อ เข้าใจแล้วว่านี่คือเสื้อเบลเซอร์   ดูวิธีตัดและแบบ ก็ตัดเย็บเหมือนเสื้อสูท  

คำอธิบายของคุณhobo ทำให้นึกภาพถึงสังคมอังกฤษตามที่เคยอ่านหนังสือ ขึ้นมาได้     มันไม่เหมือนกับอเมริกันที่เห็น     ในเมืองที่ดิฉันไปอยู่   ผู้ชายตามถนนหนทางสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวเป็นผ้าตาสก๊อตลายๆ ซึ่งจะว่าเป็นลายตระกูลอะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้น    แต่เขานิยมกันแบบนั้น นุ่งกับกางเกงยีนส์   ไม่เคยเห็นนุ่งกับกางเกงแบบอื่น    
พวกที่สวมเสื้อนอก(jacket) มีอยู่ตามสถานที่ทำงาน ที่มากที่สุดคือมหาวิทยาลัย   อาจารย์ที่นี่บางคนก็สวมสูท   แต่น้อย    ส่วนใหญ่สวมเสื้อนอกคนละสีกับกางเกง ชนิดมีแผ่นหนังปะข้อศอกก็เห็นกันบ่อย   เสื้อนอกคนละสีที่เห็นกันมากคือเป็นผ้าตาเล็กๆถี่ยิบ สีเข้ม  เช่นน้ำตาลเข้มหรือเทาแก่  นุ่งกับกางเกงสีเข้มหรือดำ   สวมรองเท้าหนัง ยังไม่ตามสบายถึงสวมรองเท้าผ้าใบ  
เวลาเลยไปงานตอนค่ำ ถึงจะแต่งสูท  ถ้าเป็นงานพิธีรีตองอย่างมอบรางวัลก็แต่งสูทเหมือนกันค่ะ

สมัยเรียนเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น  ได้ความว่าไปเป็นอาจารย์รับเชิญอยู่ที่อังกฤษมาเป็นปี     คงเอาเสื้อผ้าอังกฤษกลับมาด้วย  เป็นสูทสีเข้มเกือบดำ หรือไม่ก็ดำ  เชิ้ตขาวสะอาด เนคไทดำ และที่สำคัญคือมีเสื้อกั๊ก(vest) สวมอยู่อีกตัวหนึ่งด้วย   โก้ซะมิมี   เป็นเหตุให้ถูกนศ.มะกันนินทาเอาลับหลังว่าอาจารย์อยากทำตัวเป็นผู้ดีอังกฤษ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ธ.ค. 12, 09:44
คำว่า jacket ของผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงที่ไม่ค่อยรู้จักแฟชั่นผู้ชายงงมาก  ยิ่งงงหนักขึ้นไปอีกเมื่อต้องแปลหนังสือ   เพราะคำว่าแจ็กเก็ตมันแปลว่าเสื้อตัวนอกของผู้ชาย ได้แบบครอบจักรวาล      เสื้อที่เมสเซนเจอร์ในบ้านเราใส่ตอนควบมอเตอร์ไซค์ไปส่งงานก็เรียกว่าแจ็กเก็ต   เสื้อที่เด็กหนุ่มไฮสกูลใส่ทับเสื้อยืดหรือเชิ้ต มีอักษรย่อโรงเรียน หรือทีมกีฬาประทับอยู่ก็เรียกว่าแจ็กเก็ต     เสื้อนอกผู้ชายที่นุ่งคนละสีหรือสีเดียวกันกับกางเกงก็เรียกว่าแจ็กเก็ต      เสื้อที่ดูเหมือนไม่ใช่เสื้อนอก เพราะมีซิปติดด้านหน้าแทนกระดุมยกปกขึ้นมาคล้ายเชิ้ต สวมทับเสื้อตัวใน ก็เรียกแจ็กเก็ต
สรุปแล้วว่าแจ็กเก็ตแปลว่าอะไรก็ได้   ที่ไม่ใช่เสื้อยืดและเสื้อเชิ้ต      จะสวมเป็นทางการ หรือลำลอง   ก็ได้ทั้งนั้น     จะแปลว่าเสื้อนอก (ฟังเป็นเสื้อทางการ) หรือเสื้อตัวนอก (สวมไม่เป็นทางการ)ก็ได้อีกเหมือนกันค่ะ

ไปปรึกษาคุณกู๊ก   ได้ความว่ารูปข้างล่างเรียกว่า jacket ทั้งหมด   และยังมีอีกมหาศาลล้านเจ็ดค่ะ  :-\


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ธ.ค. 12, 09:46
รูปนี้ เขาบอกว่าเป็น sport jacket ค่ะ   โปรดสังเกตว่าสวมทับเชิ้ตไม่ผูกไท  และนุ่งกับยีนส์
(โดยส่วนตัว รู้สึกว่าน่าเกลียดมากกว่าน่าซื้อ  เพราะมันดูไม่เข้ากันเลยระหว่างลายสก๊อตและแบบ)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ธ.ค. 12, 10:02
อ้างถึง
สนใจเสื้อแจ็กเก็ต แบบที่เป็นผ้าหนาๆมีลายสีและตารางเล็กๆ ค่ะ  ไม่มีการปะหนัง    เสื้อแบบนี้จะเป็นผ้าคนละชิ้นกับกางเกง แต่วิธีตัดเย็บก็เหมือนเสื้อสูท    ขอถามว่าใช้ในโอกาสเดียวกับเสื้อสูทได้หรือไม่คะ  เช่นไปดูคอนเสิร์ท  ไปดูละครสำคัญๆที่ศูนย์วัฒนธรรม (ที่เจ้านายเสด็จ)
หรือว่าจะต้องใช้ในงานที่บัตรเชิญเขียนว่า smart casual เท่านั้น

พยายามหาเสื้อนอกที่เป็นผ้าลายตารางเล็กๆ มาให้คุณตั้งดู     ไม่รู้ว่าลายผ้าแบบนี้ฝรั่งเรียกว่าอะไร   หาอยู่พักใหญ่ในกูเกิ้ลกว่าจะไปเจอโดยบังเอิญ
เสื้อนอกลายแบบนี้ละค่ะที่อาจารย์มหาวิทยาลัยสวมไปทำงานกัน     แต่ในรูปนี้ หนุ่มนายแบบสวมทับเสื้อเชิ้ตผ้ายีนส์อีกที  ซึ่งไม่เคยเห็นใครเขาสวมกัน
คุณตั้งคิดว่าเสื้อนอกแบบนี้ถ้าสวมกับเชิ้ตผูกไทเรียบร้อย  มีค่าเท่ากับออกงานได้อย่างสูทไหมคะ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 ธ.ค. 12, 18:15
ผมใช้คำว่า blazer เป็นเสื้อทีม ในความหมายของเป็นเสื้อของกลุ่มคณะ  ที่คุณ hobo ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นถูกต้องครับ  ในความหมายและการใช้ที่ถูกต้องเป็นดังนั้น  ในสังคมปัจจุบันโดยทั่วไป เท่าที่พบมาในยุโรป เสื้อ blazer ได้ถูกใช้เรียกเสื้อนอกที่มีสีกรมท่าหรือค่อนไปทางสีดำ ติดกระดุมปั้มตราออกสีทองหรือเงินตามที่ได้กล่าวถึง  ซึ่งกระดุมนี้จะไม่เหมือนกับกระดุมที่เราเห็นสี่รูเย็บติดเสื้อเหมือนกับชุดสูททั่วไป จะเป็นกระดุมแบบมีก้านสำหรับการสอดกลัด (เป็นลักษณะเฉพาะที่ใช้กับเสื้อ blazer)  ก็ดังที่คุณ hobo ว่ามานั้นแหละครับ กระดุมเหล่านี้จะได้มาจากการมอบให้เมื่อได้เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มหรือสมาคมใดๆเท่านั้น   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ธ.ค. 12, 18:44
แฟชั่นเสื้อเบลเซอร์คงเปลี่ยนไปมากแล้วค่ะ   ดูจากรูปที่ไปหามาให้ดูกันนะคะ

รูปซ้ายสุด น่าจะเป็นเบลเซอร์แบบอังกฤษที่คุณ hobo ว่า   คือเป็นของสโมสรหรือสมาคมอะไรสักแห่งหนึ่ง   
รูปกลาง    เป็นเบลเซอร์แบบที่ดิฉันเอ่ยถึงในค.ห.439  ซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า  ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกอะไร
รูปขวา      สาวๆก็สวมเบลเซอร์แบบผู้ชายเหมือนกัน  แต่แฟชั่นสมัยนี้ มีกระดุม 6 เม็ด  ไม่ใช่ 4 เม็ดอย่างเมื่อก่อน

ป.ล.จบเรื่องแล้วขอคืนกระทู้ให้คุณตั้ง   ออกนอกชุดเดินทางไปเสียไกลค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 ธ.ค. 12, 20:15
สำหรับคำว่า jacket ที่คุณเทาชมพูกล่าวถึงนั้น เป็นความจริงว่ามีมากมายหลายแบบ และถูกต้องที่ชื่อเรียกขานนี้ก็เป็นคำรวมๆของเสื้อที่ใช้ใส่คลุมชุดด้านใน

ผมอาจจจะสื่อสารไม่ครบเรื่องครับ  ประเด็นสำคัญอยู่ที่เรื่องของการแต่งกายที่เหมาะสม (proper dressing) กับสถานการณ์ สภาพแวดล้อม และกาลเทศะ ที่ได้เขียนไปนั้น อยู่ในสถานะการณ์ของการเดินทางไปกึ่งงานกึ่งพักผ่อนท่องเที่ยว ซึ่งเสื้อผ้าที่นำไปมีจำกัด  จะขอเว้นวรรคไว้ตรงนี้ก่อนครับ

คำอธิบายต่อจากนี้ กรุณาอย่าได้เห็นว่าผมเป็นผู้รู้จริงและสันทัดกรณีนะครับ  เป็นการประมวลองค์ความรู้ที่พอจะมี ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากผู้สูงวัยชาวแคนาดา (พื้นเพอังกฤษ) เมื่อครั้งไปทำงานอยู่ที่นั่น กับอีกส่วนหนึ่งได้มาจากช่วงที่ทำงานในสภาพนักการทูต
 
คำว่าเสื้อแจ็คเก็ต โดยนัยของการใช้แล้ว หมายถึงเสื้อที่ใช้ใส่ทับเมื่อออกไปนอกอาคารหรืออยู่ในที่กลางแจ้ง ดังนั้น หากเราต้องแต่งกายชุดสูทประชุมอยู่ในอาคาร เมื่อจะออกไปจากอาคาร เสื้อที่ใส่คลุมทับเมื่อเดินออกจากอาคารไปที่ใหนๆ ก็จะเรียกว่าแจ็คเก็ตในองค์รวม  (ซึ่งหากคลุมยาวถึงน่องก็ที่นิยมเรียกกันว่า over coat  หากสั้นหน่อยก็นิยมเรียกว่าแจ็คเก็ตหรือโค็ตสั้น)   คำว่า coat ก็เข้ามาเกี่ยวข้องและใช้สลับกับคำว่า jacket ไปมาตามสมัยนิยมและตามชื่อเรียกขานที่ใช้เรียกชุดนั้นๆมาแต่เดิม

โดยนัยตามสถานการณ์ดังที่กล่าวมานี้ ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน เช่น เมื่อออกจาก log cabin ไปผ่าฟืน ก็จะใช้แจ็คเก็ตลักษณะหนึ่ง เืมื่อออกจากบ้านไปเดินเล่น ก็จะใช้อีกแบบหนึ่ง เมื่อไปจะไปเที่ยวบาร์ก็จะใส่อีกแบบหนึ่ง หรือเมื่อทำงานใน office ในช่วงฤดูที่อากาศไม่เย็นมาก แจ็คเก็ตก็อาจจะเป็นเสื้อที่ตัดเย็บแบบเสื้อสูท ฯลฯ แจ็คเก็ตจึงมีหลายรูปแบบมากมาย และมีชื่อเรียกเฉพาะต่างๆกันไป  

และโดยนัยของสภาพแวดล้อมที่กล่าวมานี้ ในกาลเทศะที่ต่างกัน การแต่งกายที่เหมาะสมพอควรแก่การให้ความเคารพต่อสถานที่ หรือต่อลักษณะงาน หรือต่อคนที่มาติดต่อ ก็จะแตกต่างกันไปเช่นกัน  

หลักใหญ่ๆ ก็คือ การแต่งในลักษณะมี่บ่งบอกถึงความเป็นสุภาพชนที่เคารพในธรรมเนียมและวัฒนธรรมของสังคมเมื่ออยู่ในสังคมนั้นๆ กับการแต่งกายแบบอิสระตามความชอบในโลกของความเป็นส่วนตัว        
    


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 ธ.ค. 12, 20:52
สำหรับผ้าลายตาตะรางสี่เหลี่ยมเล็กๆที่คุณเทาชมพูแสดงนั้น (ซึ่งเข้าใจว่าที่ต้องการแสดงนั้นคือสีน้ำเงินแก่สลับกับอ่อนแบบสีกลืนกันดี)   จัดได้ว่าสุภาพครับ  พอจะจัดได้ว่าเป็นแจ็คเก็ตที่ดูไม่น่าเกลียดหากจะต้องใช้ไปในงานแบบกระทันหัน
 
สำหรับลายดังภาพทางขวานั้น ดูจะเป็นที่นิยมของคนเกาหลีซึ่งใช้ตัดเป็นชุดสูทสำหรับการทำงานใน office ประจำวัน  และของคนญี่ปุ่นซึ่งใช้ตัดเป็นชุด casual ใช้ในงานเลี้ยงแบบส่วนตัวหรือรับรองเพื่อนสนิท


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ธ.ค. 12, 21:32
ขอบคุณค่ะ เข้าใจแล้ว

เวลาเดินทางไกล  เสื้อผ้าที่เตรียมไปคือเสื้อที่สวมสะดวกสบายที่สุด   ลุกนั่งสะดวก  ไม่ต้องรีด  และไม่เปื้อนอะไรง่าย  ยิ่งถ้าต้องนอนในเครื่องบิน   เสื้อกางเกงที่เนื้อผ้ายืดหยุ่นได้จะสบายที่สุด      เสื้อผ้าจำเป็นคือเสื้อแจ็กเก็ตตัวนอก เพราะมักจะต้องสวมทับเสื้อตัวในทุกวัน   ไม่ว่าแต่งชุดไหน
ถ้าต้องไปงานที่ต้องแต่งผ้าไทย ก็เอาติดไปชุดหนึ่ง    ไม่เลือกชุดผ้าไหมเพราะลำบากที่จะรีด   เอาผ้าฝ้ายที่เป็นผ้าทอพื้นเมืองเนื้อหนาที่ตัดเป็นกระโปรงยาวไปดีกว่า พร้อมกับเสื้อที่ไม่ยับง่ายเช่นกัน
รองเท้า  เลือกที่สวมง่ายถอดง่ายและเดินไกลๆได้ไม่เมื่อย   เพราะบางครั้งต้องเดินเป็นไมล์  ถุงเท้าจะช่วยได้มากไม่ให้รองเท้ากัดตอนเดินไกลๆ    เพราะรองเท้าบางคู่ลองแล้วลองอีกที่ร้านกับที่บ้านก็ใส่สบาย   เดินครึ่งไมล์ไม่กัด  แต่พอเดินถึงหนึ่งไมล์มันก็เริ่มเห็นหนังเท้าเป็นคู่ปรับขึ้นมาเสียแล้ว    เรื่องรองเท้าสวยจึงขอให้ลืมไปได้เลยค่ะ  ถ้าต้องออกงานก็เอารองเท้าสวยที่เดินไม่ทนจัดใส่กระเป๋าเดินทางไปอีกคู่หนึ่ง
   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 17 ธ.ค. 12, 17:28
มาเล่าเรื่องภาษามือดีกว่า

เชื่อใหมครับว่าภาษามือที่เราใช้กันในชีวิตประำจำวัน ที่ทำเหมือนกันในสังคมต่างๆนั้น มีหลายอย่างที่มีความหมายไม่เหมือนกัน 

เอาเรื่องแรก ในบ้านเรา เวลาจะบอกให้เจ้าของร้านหรือบริกรคิดเงินค่าอาหาร เราจะใช้วิธียกมือ เอานิ้วชี้ชี้ลงบนโต๊ะแล้วหมุนเป็นวงกลม  ที่อื่นในโลกก็ดูจะเข้าใจเหมือนกันว่าเป็นการเรียกให้มาเก็บเงิน  อะฮ้า ในฟิลิปปินส์ ไม่ใช่นะครับ ของเขาหมายถึง สั่งอาหารมาอีกชุดหนึ่งเหมือนกับชุดเดิมที่กำลังกินกันอยู่นี้  ระวังหน่อยก็แล้วกันครับ  แต่ทั้งนี้ มันก็มิใช่ว่าจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปทุกๆครั้ง

แล้วก็คงมีคำถามว่า เขาคิดอย่างนั้นได้อย่างไร    ดูมันจะมีที่มาที่ไปเหมือนกันนะครับ  ผมคิดว่า มันมีหลายองค์ประกอบที่จะต้องพิจารณา อย่างหนึ่งคือมันอยู่บนพื้นฐานของระบบการเก็บเงินและระบบการให้บริการ ซึ่งเป็นระบบการเก็บเงินที่ต้องเดินไปจ่ายที่หน้าร้านเมื่อกินเสร็จแล้ว  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเป็นร้านขายอาหารที่เป็นชุด คล้ายกับการกินชุดสุกี้ยากี้หรือเนื้อย่างพวกนี้  หรืออาจจะเป็นเพราะคนฟิลิปปินส์ในบางพื้นที่ (ที่อยู่ในชานเมือง) เป็นคนกินเหล้ากินกับแกล้ม นั่งแช่จนรากงอกคล้ายกับบ้านเรา ซึ่งกับแกล้มของเขามีให้เลือกน้อยกว่าของเรามากๆ (อย่างหนึ่งที่ฮิทกันก็คือลูกหมูตัวเล็กๆย่าง สับแยกมาเป็นจานหมูหันเป็นจานๆ)   ยังไงๆก็คงจะต้องสังเกตให้ดีก่อนส่งสัญญานมือในลักษณะนี้นะครับ       

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ธ.ค. 12, 18:34
เมื่อเอานิ้วชี้คว่ำลง หมุนวน แสดงถึงความต้องการในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 

คราวนี้ ตามปรกติของเรา หากต้องการอาหารแบบเดียวกันเพิ่มอีกจานหนึ่ง ปรกติเราทำอย่างไรครับ เอานิ้วชี้คว่ำลงชี้ที่จานอาหารที่ต้องการ แล้วก็หงายขึ้นเพื่อบอกว่าอีก 1 จาน ก็เป็นวิธีอย่างหนึ่ง   ในภาพหนึ่งวิธีนี้ก็ดูดี แต่ในอีกภาพหนึ่งเสียวใส้ครับ หากมองไม่ชัด อาจจะเหมือนการยกนิ้วกลางขึ้น ก็จะกลายเป็นอีกความหมายหนึ่งเลยทีเดียว ดีไม่ดีเกิดเรื่องด่าทอกันเอา   
ในทำนองเดียวกันกับการใช้นิ้วบอกจำนวนของที่ต้องการ  เราก็จะใช้นิ้วชี้บอกว่า 1 ยกนิ้วกลางขึ้นมาด้วย ก็เป็น 2  ยกนิ้วนางก็เป็น 3  เริ่มน่ากลัวขึ้นมากแล้ว  เคยสังเกตใหมครับว่า เรานิยมใช้นิ้วบอกจำนวนด้วยการหันผลังมือออกนอกตัวจนถึงเลข 4  แต่พอเลข 5 กลับใช้วิธีการหันฝ่ามือออก    ก็เลยมีการเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกัน ซึ่งคนที่ทำงานในวางการทูตและองค์การนานาชาตินิยมกระทำ ก็คือ แทนที่ะยกนิ้วแบบชูตั้งขึ้น ก็ใช้วิธียกนิ้วไปในแนวนอน  แต่พอถึง 4 ก็หมดปัญหา พอ 5 ก็จะยกทั้งฝ่ามือ     

ผมคิดว่าฝึกทำให้เคยชินก็ดีนะครับ ให้ความหมายเหมือนกัน ดูสุภาพ และไม่สร้างปัญหาให้กับคนที่นิยมหาเรื่อง 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 ธ.ค. 12, 19:01
นิ้วชี้เป็นนิ้วที่ใช้ในการบอกกล่าวหลายเรื่องทีเดียว 
หากเอามาชี้และหมุนเป็นวงกลมที่ขมับ ก็มีความหมายบอกว่า ไอ้งั่ง มีมันสมองหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ 
หากใช้ชี้ไปที่ใดโดยมีลักษณะใบหน้าแบบขุ่นใจประกอบด้วย ก็หมายความว่า ดูเสียบ้างสิ ว่าเขาเป็นอย่างไร หรือป้ายเขาว่าอย่างไร
แต่ในร้านอาหารกลับเป็นเรื่องดี คือ ชี้ไปเพื่อบอกว่าเอาแบบนั้นแบบนี้  ไม่เอาแบบนั้นแต่จะเอาแบบนี้

วันหนึ่งที่ญี่ปุ่น ก็เกิดปัสสาวะขัดและแสบเล็กน้อย จึงไปหาหมอมีอายุคนหนึ่งที่คลีนิค  สนุกดีครับ คุยกันไม่รู้เรื่อง ต้องใช้ล่ามแปล  หมอในญี่ปุ่นใช้พื้นฐานทางภาษาโรคแบบเยอรมัน ล่ามของผมก็งงช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าที่ควร  ผมพอมีพื้นฐานทางศัพท์วิชาชีวะวิทยาอยู่บ้างจึงที่พอจะคุยกันรู้เรื่องบ้าง  คำถามสุดท้ายที่หมอถามมา แทนที่จะใช้คำพูด ก็ใช้ภาษามือสื่อสาร โดยเอานิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือขอมือซ้าจับเป็นวงกลมแล้วเอานิ้วชี้มือขวาแยงสอดรูเข้าไป  ผมแทบจะหัวเราะก้ากเลยครับ (รวมทั้งหมอด้วย)  สื่อความหมายได้ดีมากว่า ไปเที่ยวผู้หญิงมาหรือเปล่า    ขออภัยนะครับหากเป็นเรื่องที่มิควรกล่าวถึงในที่นี้         

ในสหรัฐฯ (ที่อื่นๆไม่แน่ใจครับ) การแสดงการอวยพรให้โชคดีหรือประสบผลสำเร็จ คือการไขว้นิ้วนางไปบนนิ้วชี้ ตรงกับคำพูดที่ว่า keep your fingers crossed  กระทำแบบนี้คงจะดีเฉพาะในอเมริกา    ในอิตาลีมีความหมายไปในอีกเรื่องหนึ่งที่น่ากลัว  กลายเป็นสัญญาณถามว่า ไปนอนด้วยกันใหม   ไอ้หนุ่มจิ๊ก กาโล่ชอบทำกัน    ผู้หญิงก็ระวังๆกันหน่อยนะครับอย่าไปทำสัญลักษณ์นี้เลยไม่วาที่ใดก็ตาม


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 ธ.ค. 12, 20:05
ขอขยายความเพิ่มเติมนิดหน่อย
การไขว้นิ้วชี้กับนิ้วกลาง  เป็นอย่างที่คุณตั้งอธิบายค่ะ    แต่มีข้อแม้นิดหนึ่งว่าต้องเป็นการยกมือขึ้นไขว้นิ้วกันด้านหน้าให้ใครๆเห็นได้  จะยกหนึ่งมือหรือทั้งสองมือก็ตาม
นั่นคือการอวยชัยให้พร  เอาใจช่วยให้โชคดี   อะไรก็ตามทำนองนี้

แต่...
ถ้าแอบๆ  ไปไขว้นิ้วอยู่ด้านหลัง ไม่ให้คู่สนทนาเห็น  ความหมายเปลี่ยนไปคนละเรื่อง คือหมายความว่าเรื่องที่เจ้าตัวพูดออกมาตอนนั้นน่ะ  ตั้งใจกล่าวมุสาวาทกันล้วนๆ เชียวนะจ๊ะ      ไม่ใช่มุสาเพราะเข้าใจผิด  หรือพลั้งปากไม่ตั้งใจ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 ธ.ค. 12, 20:24
ถูกต้องครับ

ขอบคุณครับ ทำให้นึกขึ้นได้และยืนยันว่า การไขว้นิ้วในความหมายดีๆนั้น ชูให้เห็น   แบบแอบไม่ให้คู่สนทนาเห็นนั้น ก็คือว่า เออ โกหกเข้าไป อะไรทำนองนี้

ที่กล่าวถึงในอิตาลีนั้น กระทำแบบปล่อยแขนลงมาข้างตัวครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ธ.ค. 12, 18:50
ภาษามือคงมีมากมายต่างๆกันในประเทศต่างๆ  ผมไม่สันทัดมากพอแถมยังลืมอีก  ที่เหลือพอจะจำได้ส่วนมากจะเป็นเรื่องไม่ดี  จึงจะขอข้ามไป

เห็นในญี่ปุ่นแบบหนึ่งที่ผู้หญิงนิยมทำกัน   คือ บางทีเราจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในฝูงชน ชูมือระดับใบหน้า แล้วโบกมือคล้ายการอำลา bye bye ตามองไปที่ใครก็ไม่รู้  แล้วก็เอานิ้วชี้ๆที่จมูก   ไม่ใ่ช่เรื่องของการอำลาเลยครับ เธอกำลังพยายามสงสัญญาณบอกเพื่อนเธอว่า เธอยืนอยู่ตรงนี้ 

อ้้อ นึกออกอีกสัญญานหนึ่ง  ผมไม่กล้าทำแต่พ่อของเพื่อนแสดงให้ดู (ในรัฐแมสซาชูเสต) เข้าใจว่าคงจะใช้ได้ทั่วไปในอเมริกา  คือ ในการเดินข้ามถนนนั้น มีกฎหมายเข้มงวดมาก รถทุกคันจะต้องหยุดให้สนิทให้คนเดินข้ามถนนหากเดินอยู่ในเขตทางม้าลาย (ซึ่งคนที่ข้ามถนนนอกเขตทางม้าลายก็มีความผิดนะครับทั้งในอเมริกาและยุโรป) หากเรากำลังเดินข้ามทางม้าลายแล้วรถไม่หยุดให้ เขาให้เราชี้ลงไปที่ถนนเลยว่าเราอยู่ในทางม้าลายนะ  น่ากลัวมากๆครับ จะยังไงก็ตาม ผมต้องขอข้ามแบบรถว่างหรือต้องมีไฟสัญญาณให้ข้ามได้

อีกเรื่องหนึ่งที่นึกออกในขณะนี้ คือ การบอกจำนวนด้วยนิ้วมือ  เล่ามาแล้วว่า หากถึงจำนวน 5 ก็หันฝ่ามือออกแล้วกางนิ้วมือทั้งห้า  สำหรับในยุโรปและญี่ปุ่นนั้น เมื่อเกินจำนวน 5   จำนวนต่อไปเขาก็จะเอานิ้วของอีกมือหนึ่งมาแปะไว้ที่ฝ่ามือ แต่ไม่ใช้นิ้วหัวแม่มือนะครับ  ถึงเลข 9 ก็ใช้สี่นิ้ว พอถึงเลข 10 จึงจะกางทั้งสองฝ่ามือ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ธ.ค. 12, 18:56
ในเรื่องเกี่ยวกับตัวเลขนี้  ผมมีข้อสังเกตอยู่เรื่องหนึ่งที่พบในหมู่คนที่เดินทางท่องเที่ยวตามประเทศต่างๆ  ซึ่งดูจะเหมือนกันหมดทั้งโลก คือ นอกจากจะพยายามท่องจำคำศัพท์เพื่อการทักทาย สอบถามราคา ขอบคุณแล้ว ที่นิยมกันต่อมาก็คือการนับเลข  น่าสนใจต่อไปว่าทุกคนพยายามจะท่องจำการนับเลขให้ได้เกินกว่าหนึ่งถึงสิบ แต่เอาเข้าจริงๆมักจะจำได้ไม่เกินสิบ ซึ่งอีกไม่นานต่อมาก็จะเหลือที่จำได้เพียงหนึ่งถึงสาม ที่ดีหน่อยก็ไปถึงห้าแล้วก็ข้ามไปสิบ     ลองถามเลขศูนย์ดูซิครับ ผมว่าแทบทุกคนจะไม่สนใจและไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำไป 

ผมไม่ค่อยจะแน่ใจว่าทำไมเราถึงต้องพยายามจะเรียนรู้และท่องจำการนับเลขของภาษาอื่นเมื่อต้องเดินทางไปประเทศนั้นๆ  แล้วก็สนใจหรือจดจำเฉพาะการนับหนึ่งถึงสิบเท่านั้น  จะว่าเพื่อจะได้ทราบราคาของเมื่อถามเขา เขาบอกราคามาเราก็คงจะฟังไม่ออกอยู่ดี หรือจะเพื่อการต่อรองราคา ราคาของจริงๆมันคงมากกว่าสิบแน่ๆ แล้วการต่อรองจริงๆจะใช้วิธีเขียนก็ได้ หรือจะใช้วิธีจิ้มเครื่องคิดเลขก็ได้      หรือว่าจะจำไว้เพื่อใช้บอกเลขหมายโทรศัพท์เพื่อการติดต่อใดๆ ก็อีกแหละครับ ใช้วิธีเขียนก็ได้ ง่ายกว่าตั้งเยอะ   หรือเพียงเพื่อแสดงว่าเราก็สนใจภาษาของเขา  หรือเพื่อความสนุกสนานในการแสดงความพอจะรู้เมื่อคุยกันในหมู่เพื่อนฝูง ฯลฯ

ไม่ทราบจริงๆครับว่าทำไมทุกคนจึงสนใจที่จะฝึกนับเลขกัน  หรือเป็นเพราะว่า ระบบการสอนหนังสือของทุกชาติมีผลไปปรับตรรกในกระบวนการคิดของสมองว่า พื้นฐานส่วนหนึ่งของความอยู่รอดหรือการเอาตัวรอดนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องรู้เรื่องตัวเลขและการนับเลข
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ธ.ค. 12, 19:01
ผมจะขออนุญาตเว้นวรรคจากกระทู้นี้ไปประมาณ 10 วัน จะไปต่างจังหวัดครับ  ที่พักผมอยู่ห่างปืนเที่ยงพอสมควร  สัญญาณโทรศัพท์มีแบบพอให้รู้ว่ามีสัญญาณเท่านั้น เลยใช้ประโยชน์จากระบบการสื่อสารโทรคมนาคมได้อย่างมากก็คงจะ G เดียวเท่านั้นครับ

ขอให้ท่านทั้งหลายได้ก้าวย่างพ้นปีเก่าไปอย่างมีความสุขและประสพลาภผล ความสำเร็จ ด้วยสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ที่สั่งสมตลอดปีที่ผ่านมา แล้วก้าวเข้าสู่ปีใหม่ต่อไปด้วยลาภผล ความสำเร็จ และด้วยสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ที่มีมากขึ้นกว่าเดิม ทุกๆท่านครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 28 ธ.ค. 12, 15:55
ขออนุญาตเล่าค่ะ

จากคห. 400 แทกซี่ฮ่องกงมีการคิดค่าบรรทุกสัมภาระที่ใส่ในกระโปรงท้ายค่ะ ชิ้นละ 10 เหรียญฮ่องกง เคยทะเลาะกับคนขับ เพราะมีกระเป๋าแบบ hand carry ที่ไม่ใหญ่มากนัก เลยไม่ใส่กระโปรงท้ายค่ะ เอาวางไว้ที่เบาะข้างตัว แต่พอลงจากรถ คนขับบอกว่าชิ้นนี้ก็ต้องคิดเงินด้วย  >:(

..ไม่ยอมสิคะ ก็ป้ายเฮียก็บอกว่าเฉพาะท้ายรถนี่ ยืนเกาะประตูเถียงกันยกใหญ่ คนหนึ่งพูดอังกฤษอีกคนพูดกวางตุ้ง สุดท้ายหญิงไทยยัดใส่มือให้ 5 เหรียญ วิ่งมาเปิดประตูรถอีกฝั่งค้างไว้ แล้ววิ่งหนีเข้า bus terminal ค่ะ  :P



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ม.ค. 13, 18:23
สวัสดีปีใหม่สมาชิกเรือนไทยทุกท่านครับ

กลับมาจาก ตจว. เมื่อวานนี้ หะแรกคิดว่าจะกลับสักวันที่ 2 หรือ 3 เพราะกลัวรถติดครับ   แล้วก็จะขอพักเรื่องการเดินทางไปต่างแดน มาดูภาพการเดินทางช่วงนี้ในไทยกันครับ

ผมขับรถไปเชียงราย เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กลับวันที่ 31   ขาไปนั้น ทุกภาพตลอดเส้นทางเป็นปรกติอย่างที่เคยเห็นเป็นประจำ แต่ขากลับ ได้เห็นอีกภาพหนึ่งที่น่าจะต้องเล่าสู่กันฟัง
ิเรื่องแรก คือ ได้เห็นรถขนาดเล็กที่เรียกว่า Eco Car ป้ายแดงเต็มถนนไปหมดเริ่มเห็นแถวๆแพร่เป็นจุดแรก แล้วเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเห็นอย่างมากมายตั้งแต่นครสวรรค์เป็นต้นมาจนเข้าเขต กทม.
เรื่องที่สอง คือ มีการใ้ช้รถขนาดเล็กพาครอบครัวออกเที่ยวทางไกลในระยะทางที่่มากในระดับ 700 กม.ขึ้นไป มากกว่าที่เคยเห็นมาแต่ก่อน
เรื่องที่สาม คือ ได้เห็นภาพการขับขี่รถที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและอันตรายมากมาย
เรื่องที่สี่ คือ นักท่องเที่ยวเหล่านี้ มีการทำการบ้านเกี่ยวกับข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหารในระดับที่ดีทีเดียว   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ม.ค. 13, 20:22
ที่ะเล่าสู่กันฟัง คือ เรื่องของการขับขี่รถที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับการเดินทางบนถนนหลวงสายหลักระยะทางไกลนี้ ในภาพทั่วๆไป ส่วนมากรถต่างๆจะขับกันที่ความเร็วระหว่าง 100-120 กม.ต่อ ชม.   บนถนนที่คดเคี้ยวที่กรมทางหลวงเป็นผู้สร้าง ส่วนมากก็ยังสามารถจะรองรับการขับได้ด้วยความเร็วในระดับ 80-100 กม.ต่อ ชม. ไม่ว่าจะเป็นช่วง จว.ตาก -ลำปาง-เชียงใหม่ หรือ ลำปาง-งาว-เชียงราย หรือ อุตรดิตถ์-แพร่-งาว-เชียงราย หรืออื่นๆ   ทั้งนี้การจะขับได้เร็วหรือช้าในช่วงถนนคดเคี้ยวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญในเส้นทางและของผู้ขับขี่เอง ซึ่งมิใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องกล่าวถึง

ประเด็นของความเสี่ยงและอันตรายอยู่ที่ว่า ผู้ขับขี่ส่วนมาก (โดยเฉพาะรถป้ายทะเบียน กทม.) จะขับชิดขวาเป็นหลัก เสมือนหนึ่งว่าตนเองก็ขับเร็วอยู่แล้ว คงลืมคิดไปว่าที่ว่าตนเองขับเร็วแล้วและเกินกว่าอัตราความเร็วที่กฏหมายกำหนดอยู่แล้วนั้น (เช่น 100 หรือ 110 กม.ต่อ ชม.) แท้จริงแล้วความเร็วของรถของตนเองที่ขับอยู่นั้นยังอยู่ในระดับตำ่กว่าความเร็วเดินทางที่ผู้อื่นเขาใช้กันในหลายๆสภาพเส้นทาง การแซงซ้ายจึงเกิดขึ้นโดยทั่วไป  แม้กระทั่งผู้อื่นที่ขับรถตามหลังที่ขับเร็วกว่าจะให้สัญญาณขอทางก็ไม่หลบหลีก ไม่มองหลัง ไม่มองซ้ายมองขวา เอาตนเป็นที่ตั้งว่าตนเองนั้นกระทำถูกต้องแล้ว รถคันอื่นนั้นทำไม่ถูกต้องและขับเสียวใส้ แถมส่วนมากยังไม่รู้สึกว่ารถของตนเองนั้นเป็นรถขนาดเล็กอีกต่างหาก    คราวนี้เมื่อเข้าทางโค้ง ขึ้นทางลาดชันสูง แล้วยังคิดว่าตนเองขับถูกต้องตามกฏ และคงลืมคิดไปว่าอัตราส่วนกำลังรถของตนกับน้ำหนักที่บรรทุกของรถตนนั้นมันอาจจะสู้รถคันอื่นๆไม่ได้ จะเร่งขึ้นทางชันก็ช้ากว่าคันอื่น ก็เกิดอาการเลิกลั๋ก จะหลบซ้ายก็มีรถเร็วกว่าแซงอยู่ตลอด จะคงอยู่ในเลนขวาก็มีรถจี้ตูดอยู่   ผมเห็นสภาพรถที่ขับแกว่งไปมา น่ากลัวมากครับ

ขาลงเขาก็เหยียบเบรคตลอดเวลา หากเป็นรถใช้เกียร์มือก็ควรจะรู้ว่าใช้เีกียร์ช่วยลดความเร็วได้  และหากเป็นรถเกียร์ออโต้เมติกก็ควรรู้ว่าเราก็ยังใช้เกียร์ช่วยพอได้เหมือนกัน การเหยีบบเบรคตลอดเวลานั้นจะทำให้เกิดผลที่เรียกว่าเบรคใหม้ มันก็จะใช้การไม่ได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป   หลักการของการเบรครถก็คือการเปลี่ยนพลังงานจลน์ไปเป็นพลังงานความร้อน ซึ่งหากความร้อนสูงมากไปก็จะทำให้เบรคใหม้  การเหยียบเบรคที่ถูกต้องจึงคือการย้ำสังสองสามครั้งเพื่อใ้ห้ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ได้ระบายออกไปบ้าง เมื่อความเร็วลดลงแล้วจึงเหยียบตามปรกติเหมือนกับที่ขับในเมือง นอกจากนั้นแล้วการย้ำเบรคยังช่วยให้รถคันหลังที่ตามมาได้สังเกตเห็นไฟเบรคว่าเรากำลังเบรคเพื่อลดความเร็วอยู่นะ

จะเป็นการสอนสังฆราชอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ละครับ  คิดว่าอย่างน้อยก็มีประสบการณ์ทั้งในป่าเขาและในแทบจะทุกสภาพเส้นทางมานานหลายสิบปีแล้ว  ซึ่งหลักการหรือปรัชญาหลักก็คือ คิดและประเมินสภาพล่วงหน้าทุกๆภาพที่เคลื่อนผ่านเข้ามาในสายตาเราตลอดเวลา       

       



 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 02 ม.ค. 13, 19:51
เพิ่งกลับจากต่างจังหวัดเช่นเดียวกันค่ะ แต่แค่ภาคเหนือตอนล่างคืออุทัยธานี ไม่ได้ขึ้นเหนือเพราะ
เห็นผู้คนแห่ขึ้นเหนือแล้วกลัว...กลัวอุบัติเหตุ กลัวว่าจะต้องไปแออัดอยู่ในเมืองท่องเที่ยว
เครียดเปล่าๆ

แต่กว่าจะออกจากก.ท.ม.ก็รอจนวันที่ 30 ธ.ค.55 คือให้ถนนว่างเสียก่อนค่อยตามเขาไป
โชคดีมากที่ได้สัมผัสอากาศที่อุณหภูมิ 18 องศา ใน2-3 วันสิ้นปี คืนที่จะข้ามสู่ปีใหม่
ต้องหลบเข้าไปในอาคาร ไม่สามารถนั่งหนาวสั่นอยู่กลางแจ้งได้ ก็ชื่นใจไปตามๆกันคะ
เพิ่งกลับมาวันนี้ เพราะรอให้คนส่วนใหญ่กลับมาก่อน  แม่ค้าข้างทางแถวอยุธยา
บอกว่า เมื่อวานรถติดมากเหลือเกิน

กลับมาถึงก.ท.ม.แล้วก็ถอนใจว่า ก็คงต้องเหนื่อยอีกต่อไป....


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 03 ม.ค. 13, 20:09
....โชคดีมากที่ได้สัมผัสอากาศที่อุณหภูมิ 18 องศา ใน2-3 วันสิ้นปี คืนที่จะข้ามสู่ปีใหม่
ต้องหลบเข้าไปในอาคาร ไม่สามารถนั่งหนาวสั่นอยู่กลางแจ้งได้ ก็ชื่นใจไปตามๆกันคะ...

ทำให้นึกถึงพยากรณ์อากาศของเราตั้งแต่ประมาณกลางเดือนธันวาคมเป็นต้นมาครับ  ได้ฟังมา (แบบอาจจะไม่ต่อเนื่องทั้งหมดนะครับ) ว่าอากาศในภาคเหนือและอิสานตอนบนจะเย็นลง อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาตลอดมา เป็นช่วงๆหลายๆครั้ง คิดต่อเนื่องรวมๆกันแล้ว อุณหภูมิก็คงจะลดลงไปถึงเลขตัวเดียวใกล้ๆศูนย์องศาเลยทีเดียว  ???   เอาเข้าจริงๆยังอยู่แถวๆสิบกว่าองศา ยกเว้นบนยอดดอย  ก็เอาละครับ ถือได้ว่าอากาศอยู่ในสภาพเย็น-->หนาว  กำลังสบาย   ที่คิดว่าจะมีหมอกมากก็มีน้อย ที่ประสบจริงๆคือมีเหมย (น้ำค้าง) ค่อนข้างแรง 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ม.ค. 13, 20:41
ขอต้อนรับนักเดินทางที่แยกย้ายกันไป กลับมาเรือนไทยเช่นเดิมค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 04 ม.ค. 13, 19:55
คุณเทาชมพูใช้คำว่า นักเดินทาง  ทำให้นึกถึงการเดินทางที่มีความแตกต่างกันช่วงในยุคสมัยต่างๆ

เมื่อสมัยปลายทศวรรษ 2490  คำว่าการเดินทางท่องเที่ยวนั้น เกือบจะเรียกได้ว่าไม่มีอยู่ในความคิดของผู้ใดเลย  นอกจากนั้นแล้ว การเดินทางใดๆในทุกครั้งยังดูจะแฝงไปด้วยความรู้สึกกังวล (ในช่วงเดินทาง) ผสมผสานกับความรู้สึกมีความสุข (เมื่อไปถึงสถานที่ปลายทาง)    ถนนของเส้นทางสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่าง กทม.กับภูมิภาคต่างๆยังเป็นถนนลูกรัง (เมื่อพ้นจากเขต กทม.ไปไม่นาน)  จะมีการลาดยางเป็นช่วงๆเฉพาะที่ผ่านเขตเมืองหรือชุมชนใหญ่ๆ  การสัญจรของชาวบ้านยังใช้เกวียนเทียมวัวหรือควาย ......

เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ต้องหยุด   สงสัยจะต้องแยกเป็นอีกกระทู้หนึ่งเสียแล้ว   แต่จะยังขอไม่ตั้งและเริ่มเป็นกระทู้ใหม่นะครับ  รอให้ภาระที่ต้องรับผิดชอบกับกระทู้นี้ผ่านไปและเบาลงอีกสักระยะหนึ่งเสียก่อน 



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 ม.ค. 13, 20:22

เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ต้องหยุด   สงสัยจะต้องแยกเป็นอีกกระทู้หนึ่งเสียแล้ว   แต่จะยังขอไม่ตั้งและเริ่มเป็นกระทู้ใหม่นะครับ  รอให้ภาระที่ต้องรับผิดชอบกับกระทู้นี้ผ่านไปและเบาลงอีกสักระยะหนึ่งเสียก่อน 

แล้วแต่สะดวกค่ะ  คุณตั้งพร้อมเมื่อไรก็บอกได้เลย  ดิฉันจะแยกกระทู้ให้



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 06 ม.ค. 13, 15:43
การเดินทางใดๆในทุกครั้งยังดูจะแฝงไปด้วยความรู้สึกกังวล (ในช่วงเดินทาง) ผสมผสานกับความรู้สึกมีความสุข (เมื่อไปถึงสถานที่ปลายทาง)    ถนนของเส้นทางสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่าง กทม.กับภูมิภาคต่างๆยังเป็นถนนลูกรัง (เมื่อพ้นจากเขต กทม.ไปไม่นาน)  จะมีการลาดยางเป็นช่วงๆเฉพาะที่ผ่านเขตเมืองหรือชุมชนใหญ่ๆ  การสัญจรของชาวบ้านยังใช้เกวียนเทียมวัวหรือควาย ......

     การเดินทางในประเทศไทยเมื่อ 40-50 ปีที่แล้วยังลำบากอยู่มากจริงๆคะ แม้จะมีรถยนต์ใช้กันแล้วแต่ถนนหนทางไม่สะดวก

อย่างปัจจุบัน แม้แต่การแวะปั๊มน้ำมันที่มีบริการต่างๆมากมายก็เพิ่งเริ่มเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ...แต่จากจุดนี้ ก็นำมาสู่การเปลี่ยนแปลง

ขนานใหญ่  จนกลายเป็นจราจรติดขัดบนถนนหลวง ในเทศกาลใหญ่ๆเพราะการเดินทางไกลกลายเป็นเรื่องสะดวกสบาย

แม้ราคาน้ำมันจะแพงกว่าสมัยก่อนมากก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงเกิดขึ้นมากมาย....ก็ดีนะคะ ทำให้เราเลือกที่จะเดินทาง

ได้มากขึ้น สนุกขึ้นด้วย คุณตั้งแยกกระทู้เมื่อไหร่คงมีคนมาเล่าประสบการณ์กันมากมาย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ม.ค. 13, 18:49
แยกเข้าซอยเองแล้วก็งง  ขอถอยกลับไปบนทางเดิมก่อนครับ

ได้กล่าวถึงการนับเลข ก็เพื่อจะต่อไปเรื่องการช๊อบปิ้ง
 
หากเป็นการท่องเที่ยวไปกับคณะทัวร์ สถานที่ช๊อบปิ้งก็ถูกจำกัด ตามแต่ทัวร์จะพาไป  ทัวร์เขาก็เอาง่ายเข้าว่า คือพาไปร้านหรือย่านขายของประเภทจับฉ่าย ปล่อยทิ้งไว้สัก 1-2 ชม. ก็พอ แท้จริงแล้วก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะลูกทัวร์ส่วนมากอยากจะหาซื้อของฝากที่มีราคาย่อมเยาว์เป็นหลัก   แต่ก็มีทัวร์บางคณะก็อาจจะเป็นการไปทัวร์แบบมีวัตถุประสงค์เฉพาะกิจ เช่น ซื้อนาฬิกา กินของดีๆ ฯลฯ   จริงๆแล้วการซื้อของฝากกับการถูกฝากให้ช่วยซื้อหาของบางอย่าง ดูจะเป็นภาระที่ผู้ไปทัวร์พูดไม่ออก การหาซื้อของบางอย่างที่ค่อนข้างจะจำเพาะเจาะจงนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก บางทีก็เป็นของชิ้นใหญ่ที่หอบหิ้วลำบาก  กลายเป็นว่าแทบจะไม่ต้องคิดซื้อของๆตนเองเลย   เอาเพียงตังอย่างกรณีลิปสติค ซึ่งมักสั่งกันเจาะจงเป็นเบอร์เลย  ดูจะง่ายในการสั่งแต่มักจะยากในการหาซื้อ ประการหนึ่ง คือมันมีการเปลี่ยนแปลงการผลิต บางเบอร์เขาเลิกผลิตหรือไม่มีจำหน่ายกันในถิ่นนั้นแล้ว แต่ยังคงมีการผลิตและจำหน่ายในบ้านเรา  อาจจะยังพอหาได้แต่ก็ต้องเป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ทัวร์ไม่ได้พาไป  ผลก็คือ หากเป็นกรณีรัฝากจากคนที่เราเคารพนับถือ เราก็ต้องเสียเวลาไปกับการเดินเสาะหา หมดเวลาไปกับเรื่องนี้  มีเวลาน้อยมากหรือไม่มีเวลาสำหรับหาของๆตัวเราเองหรือสำหรับคนอื่นๆ  สุดท้ายก็เร่งรีบ ซื้ออะไรก็ได้ คุณภาพใดก็ได้ ให้ครบๆเท่านั้นก็พอ  แล้วตัวเองก็กังวล เอาออกมานับดูก็อาจจะขาดไป ต้องไปครุ่นคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี

ทางออกก็คงไม่มีอะไรดีกว่า ไม่รับฝากแล้วก็ไม่ต้องหาซื้อของฝาก (ซึ่งหากฝากไม่ครบก็จะกลายเป็นเลือกที่รักมักที่ชังไป เป็นเรื่องอีก) ยกเว้นเฉพาะกับเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น 

ธรรมเนียมการต้องมีของฝากนี้ ญี่ปุ่นหนักกว่าเรามาก  ขนาดเคยได้ยินการเล่าเป็นเรื่องโจ๊คว่า ไปเที่ยว 7 วัน เสียเวลาไปกับการหาซื้อของฝากเสีย 3 วัน  แต่เขาก็มีวิธีการแก้ไข (เป็นธุระกิจที่มีระบบเลย) 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ม.ค. 13, 19:38
^
ในญี่ปุ่นเองนั้น  ตามสถานีรถไฟ สนามบินภายใน จะมีของดังประจำถิ่นวางขายอยู่ ไม่ต้องไปเที่ยวเดินหาซื้อให้วุ่นวาย  ที่สุดยอด คือ ที่สถานีโตเกียว ซึ่งเป็นจุดรวมหรือจุดผ่านของรถไฟสายต่าง และเป็น Terminal ของ Shinkansen นั้น  มีของดังจากทุกภาคทุกแห่งวางขายอยู่  ผู้เดินทางไปทำธุระหรือท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ไม่จำเป็นต้องหิ้วของฝากติดตัวมาด้วยเลย มาหาซื้อเอาที่นี้ได้ พอจะกลับบ้านก็แวะซื้อไปเท่านั้นเอง เสมือนหนึ่งไปหอบหิ้วมาจากแหล่งผลิตเลยทีเดียว

ถึงตรงนี้ คงได้มีคนคิดแล้วว่า สบายโก๋เลย บอกที่บ้านจะไปธุระทางใต้ แอบไปหาคนอื่นขึ้นไปทางเหนือก็ได้  กลับมาก็เพียงซื้อของฝากที่ทำจากแดนใต้มา ก็แสดงว่าได้ไปทางใต้มาจริงๆแล้ว  ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ   หรือโทรศัพท์ไปสั่งให้ผู้ผลิตส่งของมาที่บ้านก็ยังได้ บอกไปเมืองไทยแล้วไปเวียดนามก็ได้  เพียงโทรศัพท์สั่งของจากเมืองไทยให้ส่งไปที่บ้าน แล้วบอกว่าขนมาไม่ไหวจึงให้เขาส่งมา    ธุรกิจแบบนี้จึงพอจะรุ่งเรือง เป็นระดับ SME แต่ค่อนข้างจะใหญ่หน่อย
   
ในเชิงเศรษฐกิจ ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจบริการในกลุ่มของ Service industries  ซึ่งอุตสาหกรรมบริการนี้ หากมีมากก็เป็นการแสดงภาพของระดับการพัฒนาการทางการอุตสาหกรรม (Post industrial period) ของประเทศนั้นๆ  ประเทศที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมมานานจะมีสัดส่วนของอุตสาหกรรมประเภทนี้มาก  เนื่องจากมีระบบ Sub contract และ Supply chain ที่เป็นโครงข่ายโยงยัยกันอย่างมั่นคง  ซึ่งบ่งชี้ว่าธุรกิจต่างๆต้องมีธรรมาภิบาลที่ดี ซื่อสัตย์ เชื่อถือใว้ใจได้ รับผิดชอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ 

ขออภัยครับ ก้าวข้ามไปเรื่องทางวิชาการมากไปหน่อย  ที่จริงที่เขียนๆมาก่อนๆในกระทู้ต่างๆนั้นก็มีประสงค์เพื่อให้เป็นข้อมูล เพื่อให้เกิดฉุกคิดในเชิงวิชาการด้วย   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ม.ค. 13, 19:29
เอาละครับ ไปชอบปิ้งกัน

ในสหรัฐฯ หากไปกับทัวร์ก็คงหนีไม่พ้นการพาไป mall แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วก็คงซื้ออะไรได้เพียงเล็กๆน้อยๆ หรือไม่ได้อะไรติดไม่ติดมือเลย ด้วยเหตุของแพง
 
สภาพที่ผมได้เคยสัมผัสคงเปลี่ยนไปมากแล้ว คุณเทาชมพูคงจะพอเล่าถึงสภาพในปัจจุบันได้

สำหรับผม ชอบของใช้ที่ผลิตในอเมริกา มันแข็งแรงและอึดจริงๆ ราคาก็ไม่แพงอย่างที่คิด เสียอย่างเดียว สหรัฐฯใช้ไฟฟ้าระบบ 110 volt จึงไม่สมควรที่จะต้องไปเสียเวลาดูและสอบถาม เว้นแต่จะเป็นของที่ต้องการจริงๆ ที่คิดแล้วว่าซื้อมาแล้วจะต้องไปใช้กับหม้อแปลงไฟ หรือให้ช่างไทยเปลี่ยนระบบไฟเป็น 220 volt   อีกประการหนึ่งคือ สินค้าในอเมริกามีลักษณะเป็นสินค้าที่มักจะมีนวัตกรรม ซึ่งแม้จะผลิตจากประเทศจีนก็ตาม แต่ก็เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของคนอเมริกัน ซึ่งเราคงต้องเลือกดูคุณภาพและความปราณีตในการผลิตให้ดีๆ
 

ก่อนที่จะไปในเรื่องอื่นๆต่อๆไป ด้วยเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าโปรประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็เลยจะต้องขอกล่าวถึง mindset ของคนชาติต่างๆในความเห็นและประสบการณ์ของผมเองเสียก่อนนะครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ม.ค. 13, 21:02
คนอเมริกัน มีปรัชญาความคิดของการผลิตสิ่งของเครื่องใช้ในเชิงของ Sturdy คือ บึกบึน ทนทาน มีนวัตกรรม มีความเป็นสุดยอด

คนอังกฤษ คิดไปในทาง functional, appropriated, conservative คือ ออกไปทาง core technology (base and basic technology) สามารถใช้งานที่สนองความต้องการพื้นฐานได้ทุกยุคทุกสมัย  มีความสวยงามแบบราบเรียบแต่ standout ออกมาเด่นเป็นอมตะ     เป็น internal approach

คนอิตาลี  เป็นไปในทาง shape, beauty, fashion, attractive คือ สวยงาม ฉาบฉวย ด้วยรูปลักษณ์ เปลี่ยนง่ายไปตามทิศทางของความนิยมของสังคม   เป็นลักษณะของ external approach

ขอต่อพรุ่งนี้ครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 ม.ค. 13, 16:35
คนเยอรมัน คิดในเชิงของ accuracy, precision, tough, efficiency คือ ไปในเรื่องของ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 ม.ค. 13, 17:22
จิ้มผิด หรือคอมรวน ยังไม่แน่ใจ

ต่อครับ ....คือ คิดในเชิงของ tailor made products มากกว่า mass production   ซึ่งทำให้เกิดสภาพของความทนทานที่มิใช่ด้วยความบึกบึน   สินค้าเป็นไปในทาง conventional และ conservative  และออกไปทางโลหะมากกว่าอโลหะ

คนญี่ปุ่นผลิตของในเชิงของความคิดคล้ายๆคนเยอรมัน  แต่ไม่หนักไปในทางความทนทานในปัจจุบันนี้ เน้นหนักไปทาง precision (ไปถึงระดับคิด micrometer range แล้ว)  มีระบบการกำหนดคุณภาพของวัสดุของตนเอง วัสดุจะออกไปทางผสมผสาน (composite materials)    คิดว่าทุกผลิตภัณฑ์จะต้องอยู่บนฐานการผลิตของ 3Rs คือ reduce, reuse และ recycle ให้ได้เปอร์เซ็นต์มากที่สุด และออกแบบให้เป็น universal design ซึ่งคิดง่ายๆอย่างหนึ่ง ก็คือ สนองความสะดวกสะบายในการใช้งานโดยคนต่างเพศต่างวัย

คนจีน ยังคิดเรื่องการผลิตแบบ mass production  นวัตกรรมหรือสินค้าในแนวแปลกๆ มักจะมาจาก CD คือ copy and design วัสดุที่ใช้ยังอยู่บนฐานของการใช้พลาสติค     เป็นสภาพเหมือนกับสินค้าญี่ปุ่นสมัยก่ิอน  คุณภาพและความทนทานยังเชื่อถือไม่ได้   

พอแล้วครัีบ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 ม.ค. 13, 19:04
ขออภัยที่มีภาษาอังกฤษมากไปหน่อยครับ บางทีก็นึกคำไทยที่จะให้ได้ความหมายตามที่ต้องการไม่ออกครับ

การช็อบปิ้งในเมืองใหญ่ๆของสหรัฐฯ เป็นเรื่องยากเหมือนกัน  การเดินทางไปยังสถานทีท่องเที่ยวต่างๆก็มักจะใช้ถนน I (interstate highway) เป็นหลัก เพื่อความรวดเร็วและประหยัดเวลา  โอกาสได้เห็นเมืองและแวะข้างทางไม่มีเลย มีแต่ถนนกับวิว จะแวะพักได้ก็เฉพาะที่ rest area ซึ่งหากไปจอดข้างทาง แค่เพียงเดินอ้อมสลับกับเพื่อเปลี่ยนคนขับรถก็อาจได้เห็นไฟแว็บๆของรถตำรวจมาจอดต่อท้ายอยู่ ถูกตรวจใบขับขี่ แถมอาจถูกเอ็ดเอาด้วยว่า ทำไมไม่ไปเปลี่ยนกันที่ rest area ซึ่งไปอีกไม่กี่สิบไมล์

ผมเองจึงไม่ชอบที่จะใช้ถนน I เว้นแต่จะเดินทางข้ามรัฐ  นิยมที่จะไปตามถนนเส้นเล็กผ่านเมืองต่างๆ แวะกิน แวะเดิน ผมได้ดีๆของถูกใจ ราคาถูก ก็จากการเดินทางแบบนี้เอง 

ก็มีทางเลือกอยู่เหมือนกัน คือ แทนที่จะเข้า mall ก็ขอให้เขาพาไป outlet ซึ่งก็จะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นหลัก  แต่ก็มีของใ้ดีๆอยู่มากมายเหมือนกัน    กรณีเสื้อผ้านั้น มี made in USA. น้อย พลิกๆป้ายดู ก็จะเห็นเป็นการผลิตจากประเทศในแถบเอเซียเป็นหลัก รวมทั้งไทยด้วย หลายคนก็อาจจะไม่อยากซื้อ  ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก คือ การรับผลิต  ดังนั้นจึงจะไม่มีขายในเมืองไทย   จะว่าเช่นนี้ก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะมันก็มีของหลุดรอด ของพวกตก QC บางชิ้นที่วางขายกันอยู่ในบางตลาด   จากประสบการณ์การชอบเดินตลาดของผม ผมเห็นของพวกนี้ในตลาดนัดหลายแห่ง ผมเองก็ได้ของเหล่านี้หลายชิ้นจากตลาดพวกนี้ในเมืองไทยเหมือนกัน  รับรองว่าไม่มีวางขายในร้านในห้างสรรพสินค้าแน่นอนเพราะจะถูกจับ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 13, 09:36
กำลังสงสัยเหมือนกันค่ะ   ว่า อเมริกาเลิกผลิตสินค้าเองแล้วหรือ   เวลาเดินดูในห้างสรรพสินค้า  เดินๆดูเสื้อผ้าและของใช้ประจำวันทั้งหลาย ได้รับคำบอกเล่าว่าผลิตในจีนเสียเกือบ 100%    ยิ่งพวกสินค้ากระจุกกระจิกเช่นของที่ระลึกหรือปากกาดินสอ ที่จะซื้อกลับมาเป็นของฝากคนทางบ้าน  รับรองว่าหาซื้อได้ที่บ้านเราทั้งหมด  ไม่ต้องใส่กระเป๋าเดินทางมาให้หนัก    แม้แต่สินค้ายี่ห้อวอลท์ ดิสนีย์ ประทับรูปตัวการ์ตูนหรา  กลับมาบ้านเรา  ก็เจอขายอยู่แถวตลาดนัดกลางแจ้งเสียด้วยซ้ำ   
ถ้าบอกว่าเป็นของเลียนแบบ ก็รู้สึกว่าจะไม่ต่างจากของจริงอยู่ดี    เพราะพวกนี้เป็นของฉาบฉวยไม่คงทน   ซื้อปลอมหรือจริงก็ใช้งานได้พอๆกัน   ต่างกันที่ราคา ว่าของเลียนแบบราคาถูกกว่ามากค่ะ  เป็นธรรมดา

สมัยดิฉันไปเรียน สินค้าเสื้อผ้า made in Korea ตีตลาดอยู่ในตอนนั้น   มาถึงเดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นจีน   และมีหลายรายการที่จ้างผลิตในไทยนี่เอง   แม้ว่าผลิตส่งให้บริษัททางโน้นโดยตรง ก็ไม่วายหลุดรอดมาขายหลบๆแถวตลาดเล็กๆอย่างคุณตั้งว่า   มีคำอธิบายว่าเป็นของมีตำหนินิดหน่อยบ้าง ผลิตเกินโควต้ามาบ้าง    ถ้าใครตาดีหรือดวงดีก็ได้สินค้ามียี่ห้อไปใส่ในราคาถูก   ยิ่งถ้ามีพรรคพวกเป็นเจ้าของโรงงานผลิตละก็ไม่ต้องห่วงเลยเชียว

เพื่อนคนไทยที่อยู่อเมริกาชอบสินค้าอเมริกันว่าคงทนกว่าของไทย     อาจจะเป็นได้สำหรับรถยนต์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า (อย่างหลังนี้ก็ไม่ได้ผลิตในอเมริกาอยู่ดี) เพราะการควบคุมมาตรฐานของเขาเข้มงวดกว่าของเรา      แต่ไฟฟ้าของเขา 110  โวลต์ ของเรา 220  ถ้าเอามาต้องใส่ adapter หรือไปปรับให้เป็น 220  ก็เพิ่มความยุ่งยากขึ้นนิดหน่อยอีกนั่นแหละ   ดิฉันเป็นคนไม่ชอบซื้อสินค้าไฟฟ้า เพราะที่บ้านใช้ไม่กี่อย่างเท่าที่จำเป็น   ล้วนแต่หาได้ในประเทศไทยก็เลยไม่เคยซื้อของพวกนี้   



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 13, 09:37
บางทีก็รู้สึกว่าคนอเมริกันเขาเลิกค้าขายรายย่อยกันแล้ว     ในเมืองเล็กที่ไปอยู่  คนทั้งเมืองทำงานกินเงินเดือนไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง   ร้านเล็กๆส่วนตัวแทบไม่มีเหลือให้เห็น    เวลาขับรถไปจอดในย่านธุรกิจ     มองเห็นร้านเล็กๆปิดร้างกันระนาว   เหลือแต่แฟรนไชส์สาขาเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ได้   
ผิดกับเมื่อสมัยเป็นนักเรียน   ร้านรวงริมถนนใกล้มหาวิทยาลัยล้วนแต่เป็นผู้ค้าขายรายย่อยกันทั้งนั้น   กลับไปอีกครั้ง ร้านเล็กเหล่านี้หายไปหมด    ย่านธุรกิจกลางเมืองปิดร้างเป็นแถวๆ   นายกเทศมนตรีพยายามระดมกำลังเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น   ตอนนี้เงินดอลล่าร์อ่อน เงินบาทแข็ง ก็พิสูจน์ได้ถึงเศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่ว่ายังเดินอยู่บนปากเหว     โอบาม่าพยายามเท่าไหร่ก็ยังไม่กระเตื้องอย่างที่หวัง 
พอกลับมาบ้านเรา เห็นรถเข็นขายอาหาร  แผงเสื้อผ้าและของใช้  คับคั่งอยู่ริมถนน  ล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการค้ารายเล็กๆ ยังเปิดกันอยู่เต็มไปหมดทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด    ก็เลยใจชื้นขึ้นมาหน่อยค่ะ
ถ้าเดินทางท่องเที่ยว  ไปเที่ยวขึ้นเหนือขึ้นอีสานลงใต้ในตอนนี้ดีกว่า 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 ม.ค. 13, 19:44
คุณเทาชมพูกำลังสงสัยว่า อเมริกากำลังเลิกผลิตสินค้าเองแล้วหรือ

พอมีคำตอบที่พอจะทราบให้อยู่บ้างครับ
 
ประเทศที่เป็นประเทศอุสาหกรรมมานานแล้วนั้น บรรดาสินค้าที่ผลิต (และเทคโนโลยีที่ใช้) ได้ถูกนำไปผลิตในประเทศที่เริ่มมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบ ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมด้วยเหตุผลต่างๆ (ค่าแรง ความล้าสมัยของเครื่องจักร อุปกรณ์ เทคโนโลยี การไปลงทุน ภาษี ฯลฯ) และรวมทั้งประเทศอื่นๆต่างก็รุมผลิตสินค้า (ในราคาและมาตรฐานที่รับได้) ส่งเข้าไปขายแข่งขัน เรื่องเหล่านี้ทราบกันดีอยู่แล้ว    แล้วประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายจะเป็นอย่างไร สินค้าอุตสาหกรรมถูกตีตลาด แข่งขันไม่ได้  โรงงานอุตสาหกรรมบางอย่างต้องปิดตัว เลิกกิจการ หรือทำธุรกิจเดิมในรูปแบบใหม่     จึงได้คิดใหม่กันว่าทำไมไม่ผันตัวเองจากการที่ต้องไปยุ่งอยู่กับการต้อง operate ระบบการผลิตทั้งหมดให้ปวดหัว ไปเป็นการใช้สมองคิดแล้วให้คนอื่นเขาทำ   ซึ่งก็คือ การผันและก้าวไปการทำธุรกิจบนฐานของสินค้าที่มีนวัตกรรม แล้วจ้างเขาผลิต   (จึงเป็นที่มาของสินค้าจากจีนที่ดูจะแฝงด้วยแนวคิดแปลกๆ ซึ่งเป็นสินค้าประเภท CD ที่มีการแปลงโฉมมาจากการจ้างให้ทำต้นแบบบ้าง การผลิตบ้าง ของบรรดานักคิดอเมริกันชนและคนชาติอื่นๆทั้งหลาย)

ภาคการอุตสาหกรรมและนักลงทุนอิสระของอเมริกา คนและบริษัทในประเทศอุตสาหกรรมหลักของยุโรป และนโยบายของญี่ปุ่นเอง ก็คิดแบบนี้ละครับ  ญี่ปุ่นเองก็เป็นแหล่งผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับประเทศอื่นเหมือนกัน 






     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ม.ค. 13, 20:15
ก็อยากจะถามคุณตั้งเสียให้หายสงสัยเรื่องธุรกิจการผลิตของอเมริกานี่ละค่ะ    เพราะเคยถามเพื่อนอเมริกันที่มาเที่ยวเมืองไทยแล้วเขาตอบไม่ได้
การผันและก้าวไปการทำธุรกิจบนฐานของสินค้าที่มีนวัตกรรม แล้วจ้างเขาผลิต   (จึงเป็นที่มาของสินค้าจากจีนที่ดูจะแฝงด้วยแนวคิดแปลกๆ ซึ่งเป็นสินค้าประเภท CD ที่มีการแปลงโฉมมาจากการจ้างให้ทำต้นแบบบ้าง การผลิตบ้าง ของบรรดานักคิดอเมริกันชนและคนชาติอื่นๆทั้งหลาย)

ภาคการอุตสาหกรรมและนักลงทุนอิสระของอเมริกา คนและบริษัทในประเทศอุตสาหกรรมหลักของยุโรป และนโยบายของญี่ปุ่นเอง ก็คิดแบบนี้ละครับ  ญี่ปุ่นเองก็เป็นแหล่งผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับประเทศอื่นเหมือนกัน     
คือดิฉันไม่ได้สงสัยเรื่องเทคโนโลยีการผลิต เพราะรู้ว่าอเมริกามีเทคโนโลยีสูง    แต่สงสัยว่าการไปจ้างผลิตในประเทศอื่น  ทำให้แรงงานอเมริกันตกงานกันไปเท่าไหร่    และที่สำคัญคือ คนค้าคนขายระดับเล็กๆทำไมเหมือนกับล้มหายตายจากไปหมดแล้ว  อย่างน้อยก็ในเมืองที่ดิฉันอยู่

เทียบง่ายๆว่าถ้านาย ก. อยากจะค้าขายเอง  แต่มีต้นทุนน้อย  ก็สามารถเริ่มตั้งแต่รถเข็นขายอาหาร  ขายลูกชิ้นปิ้งก็ได้ ก๋วยเตี๋ยวก็ได้  มีรายได้เลี้ยงครอบครัว   ก่อนขยับขยายขึ้นไปเป็นเซ้งแผงในตลาด ต่อไปก็เปิดร้านขาย  แต่ถ้าเป็นในเมืองที่ดิฉันอยู่   คนแบบนี้ไม่มีอีกแล้ว   สมัยไปเรียนยังจำได้ว่ามีร้านซักแห้ง  ร้านหนังสือเล็กๆ  ร้านขายสินค้าที่เป็นห้องเดียวเปิดอยู่ทั่วไปตามถนน   มีมินิมาร์ทเล็กๆ ที่เจ้าของดำเนินกิจการเองอยู่ใกล้แคมปัสของมหาวิทยาลัย   หน้าหนาวเราก็เดินข้ามสนามของตึกเรียนไปซื้อผักผลไม้และเนื้อสดที่นั่นใส่ถุงหอบกลับมา

แต่พอย้อนกลับไปเยือนอีกครั้ง   ร้านพวกนี้หายไปหมด  มินิมาร์ทของเอกชนกลายเป็น 7-11 ร้านซักแห้งไม่มีแล้ว   ร้านหนังสือก็ไม่เหลือ  ร้านอาหารมีแต่ฟาสฟู้ดของแม็ค เบอร์เกอร์คิง และยี่ห้ออื่นๆที่มีสาขาอยู่หลายเมือง  ร้านอาหารที่รู้จักก็เลิกกิจการไปหมด 
 แม้แต่บ้านเช่าซึ่งเมื่อก่อนเป็นของคุณตาคุณยายเจ้าของบ้านเปิดให้นักศึกษามาเช่าอยู่ชั้นใต้ดิน หรือชั้นสองของบ้าน   ตอนนี้มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์มาซื้อบ้านเก่าๆพวกนั้นไปปรับปรุงใหม่แล้วให้เช่าทั้งหลัง   ไม่มีบ้านแบ่งเช่าอีกแล้ว 

คนในเมืองเขาทำอะไรกิน   ได้คำตอบว่าเป็นพวกนั่งโต๊ะกินเงินเดือน   ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองใหญ่แต่มาซื้อบ้านอยู่ในเมืองเล็กเพราะราคาถูกกว่า   ยอมขับรถไปกลับเอา  น้ำมันเขาถูกกว่าบ้านเราเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ     แสดงว่าธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ตายไปหมดแล้วเหลือแต่ธุรกิจใหญ่ๆ   
เราจะเดินตามรอยอย่างเขาหรือเปล่าคะ  เดี๋ยวนี้ชาวบ้านก็ไม่เลี้ยงหมู ไม่เลี้ยงไก่กันเองอีกแล้ว  ทำนาก็หาคนทำยาก หนุ่มสาวเข้าโรงงานกันหมด   ก็ยังมีอาหารนี่แหละที่ยังมีเจ้าเล็กๆทำกันเองมาก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ม.ค. 13, 21:21
แต่พอย้อนกลับไปเยือนอีกครั้ง   ร้านพวกนี้หายไปหมด  มินิมาร์ทของเอกชนกลายเป็น 7-11 ร้านซักแห้งไม่มีแล้ว   ร้านหนังสือก็ไม่เหลือ  ร้านอาหารมีแต่ฟาสฟู้ดของแม็ค เบอร์เกอร์คิง และยี่ห้ออื่นๆที่มีสาขาอยู่หลายเมือง  ร้านอาหารที่รู้จักก็เลิกกิจการไปหมด  


คนในเมืองเขาทำอะไรกิน   ได้คำตอบว่าเป็นพวกนั่งโต๊ะกินเงินเดือน   ส่วนใหญ่อยู่ในเมืองใหญ่แต่มาซื้อบ้านอยู่ในเมืองเล็กเพราะราคาถูกกว่า   ยอมขับรถไปกลับเอา  น้ำมันเขาถูกกว่าบ้านเราเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ     แสดงว่าธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ตายไปหมดแล้วเหลือแต่ธุรกิจใหญ่ๆ    
เราจะเดินตามรอยอย่างเขาหรือเปล่าคะ  เดี๋ยวนี้ชาวบ้านก็ไม่เลี้ยงหมู ไม่เลี้ยงไก่กันเองอีกแล้ว  ทำนาก็หาคนทำยาก หนุ่มสาวเข้าโรงงานกันหมด   ก็ยังมีอาหารนี่แหละที่ยังมีเจ้าเล็กๆทำกันเองมาก

ฮิฮิ ไม่ได้ถูกถามแต่ขอแสดงความเห็นครับ

ปัจจุบันร้านรวงเล็กๆ ที่ล้มหายตายจากไปก็เพราะว่าสู้ราคาเจ้าใหญ่ๆ ไม่ได้  เจ้าใหญ่ๆ นั้นสามารถสั่งสินค้าได้ทีละล็อตใหญ่ๆ มีอำนาจต่อรองมากกว่า  ทำให้มีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่ามากจึงสามารถขายในราคาที่ถูกกว่าได้ในขณะที่ร้านย่อยๆ ของอาโกสู้ราคาไม่ได้ เพราะแม้จะขายแพงกว่า แต่กำไรต่อหน่วยยังน้อยกว่าพวกเจ้าใหญ่    แม้แต่ร้านเล็กๆ ที่เป็นสาขาเช่น 7-11 แต่ละสาขาไม่ได้จัดหาสินค้าเอง ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าร้านอาโกอาแปะมาก   ส่วนผู้บริโภคยังไงก็ต้องเลือกร้านราคาถูกกว่า ที่จะยอมจ่ายแพงเพื่อไม่ให้เจ้าใหญ่ผูกขาดคงมีไม่ที่คนที่กล้าทำ


ร้าน fastfood ก็เช่นกัน เจ้าใหญ่ๆ มีการผลิตแบบโรงงาน และผู้บริโภคเองส่วนนึงกินพราะความเคยชิน ไม่กล้าเสี่ยงลองของใหม่ๆ มากนัก เน้นชัวร์แต่กินได้มากกว่า ดังนั้นแฟรนไชส์หลายเจ้าจึงครองตลาด เช่นสุกี้หรืออาหารญี่ปุ่นในไทย  เจ้าตลาดไม่ได้อร่อยที่สุด แต่ติดตลาดเพราะมีสาขามากที่สุด มวลชนเคยชินที่สุด ไปที่ไหนก็มาตรฐานเหมือนกัน  คนไม่ชอบเสี่ยงไม่ชอบลองจะชอบแบบนี้มาก  คนแบบนี้มีเยอะด้วย ดังนั้นนักลงทุนแทนที่จะเปิดร้านใหม่มาแข่ง สู้กำเงินไปซื้อแฟรนไชส์ แม้กำไรอาจไม่สูงสุด แต่ความเสี่ยงต่ำกว่า เราเลยเห็นพวกนี้เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ดับรายเล็กๆ ไปเรื่อยๆ   ขนาดตลาดระดับล่างอย่างผัดกะเพรา อาหารพื้นๆ เจ้าใหญ่ทำเป็นอาหารแช่แข็งไว้อุ่นกินขายในร้านสะดวกซื้อสู้เลย  ดีว่ารสชาติยังไม่ผ่านนัก


การผลิตทุกอย่างมีแนวโน้มที่จะไปทาง mass มากขึ้น ทั้งหมูทั้งไก่  ตลาดที่รายเล็กๆ ผลิตเองน้อยๆ มักเป็นแค่ตลาดทางเลือกที่สู้ราคาไม่ได้ และคุณภาพก็อาจจะสู้ไม่ได้ด้วยแม้จะเป็นสินค้าเกษตรก็ตาม ดังนั้นแนวโน้มอนาคตคนส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะทำงานเป็นลูกจ้างมากกว่าจะเป็นเจ้าของกิจการเองแล้ว แม้มีที่ดินมีแรงงาน ก็อาจทำได้แค่เป็นการรับจ้างรายใหญ่ผู้กุมตลาดผลิตของ  นี่คือผลเสียอย่างหนึ่งของระบบทุนนิยม   นานๆ อาจจะมีใครซักคนเห็นช่องว่างทางการตลาดกระโดดออกมาบุกเบิกอะไรใหม่ๆ แต่สุดท้ายก็จะไปสู่ความพยายามครอบครองตลาดแทน


แต่แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการเอง คนส่วนใหญ่ก็จะต้องหันไปทำงานในภาคที่เกี่ยวข้องมากขึ้นด้วย ในขณะที่ตลาดแรงงานแบบเก่าๆ หมดไป แต่ก็จะทดแทนด้วยตลาดแรงงานแบบใหม่ๆ ที่ต้องตั้งขึ้นมาเพื่อตอบสนองตลาดแบบใหม่  เดี๋ยวนี้เราเลยได้ยินอาชีพแปลกๆ มากขึ้น เช่นนักโลจิสติกส์   นักวิเคราะห์ระบบ   นักสิ่งแวดล้อม   นักฯลฯ  เพียงแต่อาชีพเหล่านี้ต้องใช้ทักษะและความรู้มากขึ้น ซึ่งก็จะไปเพิ่มความต้องการแรงงานด้านการศึกษา ด้านอื่นๆ เป็นทอดๆ ไปอีก   ส่วนแรงงานระดับล่างบางอย่างที่ไม่อาจทดแทนด้วยเครื่องจักรหรือระบบได้ก็ยังคงมีอยู่ครับ


นี่ยังไม่นับผลกระทบกับการซื้อสินค้าออนไลน์ ที่ทำให้ตลาดของร้านใหญ่ๆ มีพนักงานขาย มีโชว์รูมหายไป  แต่ทำให้กิจการด้านขนส่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นแทน ดังนั้นแม้บางอาชีพจะหายไป แต่จะมีอาชีพใหม่มาทดแทนครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 ม.ค. 13, 21:43
อืม์  ก็เป็นคำถามที่น่าคิด  ผมคงไม่สามารถตอบให้หายข้อสงสัยได้  แต่ก็พอมีที่จะเล่าอธิบายได้บ้างครับ เป็นเรื่องที่ได้อ่านมาบ้าง ได้ฟังมาบ้าง ได้ถามและได้คำตอบมาบ้าง ได้มาจากการประชุมบ้าง เอามาประมวลสรุปนะครับ ตัวผมเองไม่มีความรู้และเจนจัดในเรื่องเหล่านี้เลยครับ

สภาพก็คล้ายๆกับที่เกิดขึ้นในประเทศในยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานของการคิดในการบริหารจัดการด้านสังคมและเศรษฐกิจที่เป็นหลักใหญ่ๆคล้ายๆกัน

ขอเวลาเรียงเรื่องหน่อยนะครับ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 11 ม.ค. 13, 21:58
ดังนั้นแม้จะเปลี่ยนไปจ้างคนอื่นผลิต แต่อเมริกาหรือญี่ปุ่นก็จะมีตลาดแรงงานใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการแรงงานที่เปลี่ยนไป รวมถึงตลาดภายในของตัวเองที่ยังมี โรงงานต่างๆ ยังมี เพียงแต่การผลิตระดับ mass อาจจะย้ายฐานไปที่อื่นเท่านั้นแต่ไม่ใช่ทั้งหมด     ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงแบบนี้แต่ละคนต้องปรับตัวเยอะ ใครปรับตัวไม่ได้ก็จะสูญพันธุ์ไปตามทฤษฎีของดาร์วินครับ ประเทศพัฒนาแล้วก็มีพวกไม่ปรับตัวเยอะเหมือนกัน พวกนี้ก็เกาะกินสวัสดิการรัฐไปเรื่อยๆ  ทำให้ระบบเศรษฐกิจอุ้ยอ้ายเป็นส่วนเกินของสังคมไป  ข้อดีคือทำให้ประเทศอื่นๆ สามารถพัฒนาตามมาได้ทัน


บางประเทศเน้นด้านการคิดค้นนวัตกรรม เช่นแถวเกาหลี คิดได้แล้วไปจ้างจีนผลิต  จีนเองก็น่ากลัว เพราะอีกไม่นานจะคิดนวัตกรรมเองแถมพลิตเองได้ในราคาถูก ดีว่าการเมืองกับวัฒธรรมยังเป็นตัวจำกัดความก้าวหน้าตรงนี้อยู่


บางประเทศแม้ไม่ผลิตสินค้าเอง แต่ผันตัวเองไปเน้นนวัตกรรมด้านอื่น  เช่นเป็นศูนย์กลางทางการเงินบ้าง  ศูนย์กลางตลาด   ศูนย์กลางแฟชั่น เป็นนายหน้าบ้างก็มี  เอาง่ายๆ กระเป๋าแอร์เมสใบละล้านกว่า ต้นทุนจริงคงไม่กี่ตังค์  แต่สามารถผลิตนวัตกรรมด้านภาพลักษณ์เอามาขายไฮโซแถวไทยหรือที่อื่นๆ ทั่วโลกได้ บางคนมีเป็นสิบๆ ใบ  สินค้านวัตกรรมนี่มูลค่าเพิ่มมันเยอะจริงๆ นี่ทำให้บางประเทศแม้ฐานการผลิตจะย้ายไปแล้ว แต่เค้ายังรวยได้อยู่




แต่บางประเทศเน้นรับจ้างผลิต  ไม่เคยสนใจเรื่องนวัตกรรม แม้ปัจจุบันจะยังหลั่นล้ากับการรับจ้างผลิตได้อยู่ แต่ค่าแรงไม่ได้ถูกแล้ว ต่อไปจะเจอปัญหาแรงงานราคาถูกจากที่อื่นที่เริ่มเปิดตัวขึ้นมาเรื่อยๆ มาตีตลาด ถ้าไม่รีบสำนึกปรับตัวน่ากลัวว่าจะทรุดตัวยาวแน่ๆ อีกไม่นานชาติในแอฟริกาน่าจะเริ่มๆ มาเป็นคู่แข่งตลาดแรงงานราคาถูกแถวจีนอินเดียแล้ว   โชคดีที่การเมืองแถวนั้นมันยังย่ำแย่  เลยทำให้พัฒนาช้า    


แต่ถ้ามองเรื่องโลจิสติกส์ ผมว่าแถวแอฟริกาหรือแม้แต่อินเดียจะได้เปรียบแถวเอเชียมาก เพราะไปตรงไหนๆ ของโลกก็ใกล้กว่าทั้งนั้น ลดระยะเวลาขนส่งและต้นทุนได้บาน  เพียงแต่ระบบการเมือง การศึกษา และข้อจำกัดทางวัฒนธรรมทำให้พวกนี้ยังพัฒนาได้ช้าอยู่   ตอนนี้บางประเทศแถวๆ ตะวันออกหลายๆ ที่จึงยังหลั่นล้าอยู่ได้  แต่การเมืองของประเทศเหล่านั้นก็กำลังทำลายตัวเองไปเรื่อยๆ เช่นกัน  บ๊ะ วันนี้เผลอกินดีหมีมาแน่ๆ เลย


ง่า ท่านอาจารย์เทาชมพูมีกระเป๋าหลุยส์ หรืแอร์เมสกี่ใบครับ   แอบหลอกถาม


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ม.ค. 13, 11:04
^
ถามผิดคนแล้วค่ะ      :)
เห็นของแบรนด์เนมตามร้านทีไร สงสัยทุกทีว่าต้นทุนการผลิตคิดเป็นกี่ % ของราคาขาย   บวกลบคูณหารแล้วน่าจะไม่ถึง 5 % มั้ง (หรืออาจจะมีแค่ 1 %  :o  ) ที่เหลือเป็นนวัตกรรมด้านภาพลักษณ์

รอคุณตั้งเรียงเรื่องอยู่ค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 ม.ค. 13, 20:42
ที่คุณประกอบเล่ามานั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เิกิดสภาพการณ์ตามที่คุณเทาชมพูได้เห็นมา
 
ในเมืองไทยก็ได้เริ่มเกิดสภาพเช่นนี้แล้วเหมือนกันนะครับ กิจการขนาดใหญ่ เจ้าของธุรกิจที่มีฐานะต่างๆดี ต่างก็พยายามขยายกิจการไปเป็นเจ้าของครอบคลุมระบบการผลิตและการขายให้ครบวงจร ไล่ซื้อ ไล่ฮุบ ไล่ทุบ จนธุรกิจรายย่อยที่เป็นระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในระดับชุมชนต้องล้มระเนระนาดไป      เจ้าของที่นารายใหญ่ที่เคยให้คนเช่าที่นาทำนาก็เปลี่ยนไปเป็นคนทำธุรกิจทำนาเสียเอง ไม่ต้องออกแรง ใช้วิธีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยโดยการจ้าง ตั้งแต่ไถนาไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต  ชาวนาซึ่งแต่เดิมเช่าที่นาเพื่อทำข้าวไว้กินและขายส่วนเกินเอาเงินมาใช้สอยสำหรับความเป็นอยู่ของครอบครัวและโอกาสของลูกหลานในการรำ่เรียนหนังสือ ต้องเปลี่ยนวิถ๊ชีวิตไปเป็นการหากินรับจ้างทั่วไปเพื่อหาเงินมาซื้อข้าวแทน  ผมลงไปใช้ชีวิตร่วมอยู่ในสังคมของเขามาประมาณ 5 ปี พอจะสัมผัสและทราบเรื่องราวเหล่านี้พอควร  เคยคิดว่าก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะพยายามตั้งเป็นกระทู้ขึ้นมา   

วกกลับเข้าเรื่องครับ  และคงจะไม่ลงไปในรายละเอียดมากนัก  จะกลายเป็นอีกกระทู้หนึ่งไป     

ผมจะขอใช้คำว่า SME สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจและร้านค้าเล็กๆนะครับ ไม่ใช้ในความหมายตามคำจำกัดความของทางราชการและในเชิงนโยบาย (ซึ่ง SME มีขนาดของธุรกิจครอบคลุมไปได้ถึงระดับมากกว่า 98% ของธุรกิจต่างๆทั่วประเทศ)
   
SME โดยสภาพแท้ๆของเขาก็คือ เป็นอาชีพอิสระ มีทุนน้อย มีความชำนาญเฉพาะทาง มีความสามารถในการแข่งขันจำกัดอยู่ในวงค่อนข้างเล็ก (เฉพาะถิ่น) ธุรกิจค่อนข้างจะอ่อนแอและปรับตัวได้ไม่มากเพื่อให้อยู่รอดได้ในระบบและโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อยู่ในระบบฐานภาษีของรัฐ และส่งเสียงได้ไม่ดังเท่าผู้ประกอบการรายใหญ่
 
องค์ประกอบที่ทำให้เขาอยู่ไม่ได้และคิดว่าต้องเลิกกิจการนั้นมีมากมาย ที่จะขอกล่าวถึงมีอยู่สองสามเรื่อง
เรื่องแรกคือ    การเข้าถึงแหล่งทุน   แม้ว่าด้วยความชำนาญเฉพาะทางของเขาจะเห็นว่า มีช่องทางที่จะต่อสู้และทำให้อยู่รอดได้อย่างไรในสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป แต่เขาก็ไม่มีทุนและแหล่งทุนที่จะสนับสนุน   ธุรกิจรายใหญ่ระดมทุนได้จากระบบตลาดหลักทรัพย์ แต่ธุรกิจระดับเล็กต้องใช้วิธีกู้ และจะต้องกู้ด้วยการมีหลักทรัพย์ค้ำประกันอีกด้วย จะใช้แผนธุรกิจกู้ก็ยากนัก 
เรื่องที่สองคือ   เขาจะต้องเสียภาษีตามกฏหมายในกติกาเดียวกันกับรายใหญ่ ทั้งวิธีการและเงื่อนไขในการลดหย่อน   รายใหญ่มีเรื่องและวิธีการลดหย่อนภาษีได้มากตามที่พอรู้ๆกันอยู่ รายเล็กแทบจะไม่มีโอกาสเลย
เรื่องที่สามคือ   ธุรกิจรายเล็กเหล่านี้มีภาระภาษีทางสังคมพอๆกับรายใหญ่  ซึ่งแม้จะมีขนาดที่ต่างกัน แต่ในเชิงของอัตราเปรียบเทียบระหว่างรายได้กับรายจ่ายจะต่างกันและมีผลต่างกัน
เรื่องที่สี่คือ  เกี่ยวกับระบบประกันสังคม   ระหว่างการพยายามต่อสู้ให้อยู่รอดกับการเลิกกิจการ แล้วเข้าไปอยู่ในระบบประกันสังคม  หยุดกิจการออกมาเป็นผู้ไม่มีงานทำ  ด้วยเคยเป็นผู้ที่เสียภาษีให้กับรัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อเลิกกิจการก็จะได้รับเงินจากระบบการประกันสังคม   ไม่มากไม่น้อยแต่ก็พอจะใช้ชีวิตพอสุขสบาย เสรี ไม่ต้องปวดหัวเรื่องธุรกิจและการต่อสู้ใดๆ

ต้องคิดหนัก ปวดหัวทุกวัน กับการออกมาอยู่ด้วยเงินประกันสังคม ไม่ต้องรับผิดชอบไม่ต้องขวนขวายให้มากความมากเรื่อง ก็เป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ระบบประกันสังคมก็เป็นระเบิดเวลาของภาครัฐอยู่เหมือนกัน         


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ม.ค. 13, 20:52
ดีค่ะคุณตั้ง  เรื่องปลาเล็กถูกปลาใหญ่ไล่ฮุบเป็นเรื่องที่ตั้่งกระทู้ใหม่ได้สบายๆ

แถวบ้านของดิฉันก็มองเห็นปลาตัวใหญ่เข้ามาว่ายวนเวียนอยู่ในระยะปีหลังๆนี้      เมื่อก่อนในซอยมีร้านของชำเล็กๆ 2 ร้าน  เมื่อเรามาปลูกบ้านอยู่ใหม่ๆ   เขาเอาผักผลไม้สดจากตลาดมาวางขาย  ให้ลูกค้าเดินมาซื้อได้ง่ายๆไม่ต้องเปลืองน้ำมันรถ     
แต่เดี๋ยวนี้เลิกไปทั้ง 2 ร้านแล้ว   คนขายก็แก่ชราลูกๆโตขึ้นไปทำงานอื่นกันหมด       ปัจจุบัน มีร้านสะดวกซื้อมาตั้งแทน 2 ร้านด้วยกัน  ลูกค้าอุดหนุนกันแน่นหนาทีเดียว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ม.ค. 13, 20:20
คำถามว่า เลิกกิจการแล้วไปทำอะไร  ก็พอมีคำตอบอยู่บ้างเหมือนกันครับ

เรื่องหนึ่งแน่ๆก็คือ ไปนอนกินเบี้ยจากระบบประกันสังคม  ลดสถานภาพจากอยู่ดีกินดีไปเป็นพอมีพอใช้ แล้วก็ทำกิจกรรมหารายได้อื่นๆเพิ่มเติมอีกสักหน่อยให้เป็นสภาพอยู่อย่างเพียงพอ 
ระบบประกันสังคมในแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน  พอจะยกตัวอย่างของประเทศออสเตรียได้ว่า เช่น หากคุณทำงานต่อเนื่องมา 6 เดือนแล้ว ตกงานหรือหยุดทำงาน คุณก็จะได้เงินประกันสังคมใช้ไปอีก 6 เดือน ในช่วงนี้จากนั้นคุณจะต้องหางานทำให้ได้    ออสเตรียเป็นประเทศบนฐานของสังคมนิยมและรัฐสวัสดิการ เมื่อคุณมีลูก รัฐจะให้เงินช่วยเหลือการเลี้ยงดูลูกด้วยในระยะเวลาหนึ่ง ลูกคุณจะเรียนฟรีไปตลอดจนถึงระดับปริญญาตรี เหล่านี้เป็นต้น  ดูดีนะครับ แต่ก็ไม่ง่ายนักอย่างที่คิดเหมือนกัน       
ในสหรัฐฯ คนที่สมัครไปเป็นทหารรับใช้ประเทศ เมื่อหมดวาระแล้วจะได้เงินบำนาญในระดับหนึ่งไปตลอดชีวิต มากพออยู่ได้เหมือนกัน  สำหรับนายทหารสัญญาบัตร เมื่อถึงอายุหนึ่งแล้วไม่ได้ยศตามระดับที่กำหนดก็ต้องออกจากราชการไปรับบำนาญ พวกนี้ก็จะมีเงินพื้นฐานสำหรับการดำรงชีพในระดับที่ดีพอควรเลยทีเดียว พวกมีอาชีพทางด้านการแพทย์ หมอฟัน ฯลฯ ได้เลิกทำงานไปมากก็ด้วยเหตุว่า ทำต่อไปทำไม ต้องรับผิดชอบสูง สู้ออกมาเป็นคนตกงานง่ายกว่า ได้รับประกันสังคมก็สูงอยู่ได้พอสบายเลยทีเดียว 

อาชีพเสริมของคนเหล่านี้ ก็คือการหารายได้เพิ่มให้มากขึ้นด้วยการเปิดร้านทำธุรกิจเล็กๆน้อยๆ  ขาดทุนก็เลิก ก็ยังมีเงินฐานที่พอจะเอาตัวอยู่รอดได้  ตนเองหรือแม่บ้าน ก็ยังสามารถเลือกทำงานแบบครึ่งวันได้อีก  ไม่เป็น full time job แต่เป็นลักษณะของ contract เป็นช่วงๆ (เช่น ทำงานเฉพาะช่วงเช้า หรือเฉพาะช่วงบ่าย)  ผู้เป็นนายจ้างก็ชอบ เพราะไม่ต้องยุ่งยากมากกับการจ้างแบบ full time ที่มีต้องมีภาระตามกฎหมายอื่นๆมากมาย     ในญี่ปุ่นในช่วงหลังจากวิกฤติในทศวรรษปี 1990 จนปัจจุบัน ก็เริ่มเกิดภาพเช่นนี้เหมือนกัน

คงอธิบายให้ความกระจ่างพอได้นะครับ  (เท่าที่พอจะมีความรู้และได้รับรู้มาครับ อิอิ...)



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 13, 20:31
สมัยเรียนมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งเป็นทหารมาก่อนปลดประจำการ   แกก็เที่ยวลงวิชาไปเรื่อย ไม่ยอมจบสักที     ดิฉันแปลกใจว่าทำไม ในเมื่อใครๆก็อยากเก็บวิชาให้หมดทั้งนั้น จะได้จบๆกันไป     เพื่อนอีกคนบอกว่าแกเรียนฟรี รัฐจ่ายเงินให้เป็นผลจากเคยประจำการ   แกก็เลยเรียนเป็นร้อยวิชาแล้ว(มั้ง)    ไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไงต่อไป เพราะเมื่อดิฉันเรียนจบแล้ว แกยังลงทะเบียนวิชานั้นวิชานี้ต่อไปอีก

เรื่องสวัสดิการในสหรัฐอเมริกา น่าจะเป็นปัญหาแบบดินพอกหางหมู    เท่าที่รู้จากเพื่อนๆที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นคือมีคนงานจำนวนมาก พอใจจะตกงานมากกว่าทำงาน    เพราะได้เงินสวัสดิการ  ยิ่งมีลูกมากยิ่งได้จากสวัสดิการที่รัฐให้แก่เด็กๆด้วย     กลายเป็นว่าคนทำงานต้องเสียภาษีมาเลี้ยงคนไม่ทำงาน
ตอนนี้อเมริกามีปัญหาเศรษฐกิจทรุดหนัก     ก็กลายเป็นปัญหาที่ยังสะสมกันต่อไปอีก   รู้แค่นี้ละค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ม.ค. 13, 20:58
ครับ

นี่แหละครับที่ได้มีการเรียกกันว่าระเบิดเวลาของระบบ    เข้าใจว่า เริ่มได้เห็นภาพกันครั้งแรกในสวิสเซอร์แลนด์ จากงานวิจัยทางวิชาการในช่วงปลายศตวรรษ (1999) ก่อนเข้าศควรรษใหม่ (2000)  จากนั้นก็เห็นภาพกันเป็นไฟลามทุ่งในยุโรป     เขาว่า โดยนัยง่ายๆ ก่อนโน้นนั้น อาศัยภาษีจากคนทำงาน 2 คนเพื่อเลี้ยงคนแก่และคนในระบบประกันสังคม 1 คน  พอเข้าช่วงศตวรรษใหม่ ได้พบว่าจะต้องใช้ภาษีจากคนทำงานประมาณ 4 คน และมีแนวโน้มว่ากำลังจะต้องเป็น 6 คนเพื่อเลี้ยง 1 คน

คิดว่า คงจะได้มีการวิจัยในลักษณะนี้บ้างแล้วในไทย  ไม่ว่าจะในระดับวิทยานิพนธ์ของ ป.โท  ป.เอก หรือของบรรดา อ.ทั้งหลายในสถาบันต่างๆ 



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 ม.ค. 13, 17:42
แวะกลับมาเล่าเรื่องร้านรวงที่ปรับตัวสู้กับวิถีตลาดแบบใหม่ๆ ไม่ไหว


วันนี้เพิ่งอ่านข่าวว่าร้าน Jessops ซึ่งเป็นร้านขายกล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ที่น่าจะมีสาขามากที่สุดในอังกฤษ มีสาขา 187 สาขาทั่งประเทศปิดตัวลงไปแล้วหลังเปิดกิจการตั้งแต่ปี 1935  ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ร้าน Comet เป็นร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ตั้งแต่กล้องถ่ายรูปยันตู้เย็น มีสาขาหลายร้อยแห่งในอังกฤษก็เพิ่งปิดตัวไป  ร้านเหล่านี้เป็นร้านประเภท high-street คือมีสาขาตั้งอยู่ตามย่านชุมชนหรือ shopping mall ต่างๆ มีพนักงานขาย ทำให้ต้องแบกรับตุ้นทุนค่าจ้างพนักงานและสถานที่ค่อนข้างมาก สินค้าที่ขายจึงกดราคาลงมากไม่ได้ แม้จะมีการขายสินค้าทาง online ด้วย แต่ต้นทุนรวมทั้งกิจการก็ยังสูง แม้จะมีชื่อเสียงความเชื่อถือที่สั่งสมมานาน แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด


ตอนนี้วิธีการซื้อของของผู้คนเปลี่ยนไป  คนในอังกฤษจะเลือกไปตามร้านเหล่านี้ พูดคุยซักถามรายละเอียดจากพนักงานขาย แต่จะไม่ยังซื้อ พอตัดสินใจได้แล้วว่าจะเอารุ่นไหน ยี่ห้อไหน ก็จะกลับบ้านไปหาร้าน online ที่ให้ราคาหรือเงื่อนไขดีที่สุดแทน  กลายเป็นว่าร้านใหญ่ๆ จ้างพนักงานเพื่อคอยให้ข้อมูลลูกค้าไปซื้อร้านอื่นแทนซะงั้น  


ร้าน online หลายแห่งไม่มีหน้าร้าน ไม่มีต้นทุนพนักงานและสถานที่เท่าร้านใหญ่สาขาเยอะทำให้สามารถแข่งขันด้านราคาได้ดีกว่า  ร้านใหญ่ๆ ที่เดิมเน้นขยายสาขาเพื่อเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภควันนี้โลก online ทำให้ความสะดวกนี้ไม่ใช่ข้อได้เปรียบอีกต่อไป กลับกลายเป็นข้อจำกัดไปซะอีก  ก็น่าเห็นใจพนักงานเหล่านั้น  เป็นผมก็ยังมองไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าผมเป็นเจ้าของร้านพวกนี้ผมจะปรับตัวแข่งกับตลาดที่เปลี่ยนไปอย่างไร


นอกจากเรื่องวิธีการซื้อขายที่เปลี่ยนไป วิธีชีวิตของผู้คนก็เปลี่ยนไปด้วย จากเดิมเราจะถ่ายรูปเราต้องซื้อกล้องถ่ายรูปโดยเฉพาะเท่านั้น แต่ปัจจุบันกล้องถ่ายรูปกลายเป็นฟังก์ชั่นการใช้งานหนึ่งของอุปกรณ์พกพาเช่นโทรศัพท์ smartphone หรือ tablet ไปแล้ว  ความต้องการซื้อกล้องของคนก็น้อยลง  มีแต่คนที่คิดแต่จะถ่ายรูปจริงๆ จังๆ เน้นคุณภาพเท่านั้นที่ยังจะซื้อกล้องตัวใหญ่ๆ เลนส์แพงๆ อยู่ แต่คนทั่วไปที่ไม่ต้องเน้นภาพคุณภาพสูงไม่จำเป็นต้องใช้กล้องพวกนี้แล้ว  ตลาดอุปกรณ์เฉพาะทางจึงหดตัวลงเหลือแต่สำหรับโปร  แต่ตลาดของอุปกรณ์ที่ทำอะไรได้หลากหลายในตัวเดียวขยายตัวมากขึ้น


ผมซื้อ notebook จาก Comet ต่อประกันเพิ่มเป็น 3 ปี ซื้อกล้องจาก Jessops ต่อประกันเป็น 3 ปีเช่นกัน วันนี้ประกันยังไม่หมดเลยแต่ทั้ง 2 ร้านเจ๊งไปแล้ว  โชคร้ายจริงๆ  :-\  :-\  :-\  :'(  :'(  :'(


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 ม.ค. 13, 18:40
^

คุณประกอบแวะเข้ามาเล่าเรื่อง  ทำให้เห็นภาพของผลกระทบในวงกว้างของสภาพการณ์ที่เรียกกันว่า Globalization ได้ชัดเจนเลยครับ  ขนาดร้านที่มีกิจการเปิดมานานและมีประสพการณ์มาอย่างยาวนาน รู้จักตลาดและเส้นสนกลในเป็นอย่างดี มีทั้งความรู้และเท่าทันในเทคโนโลยต่างๆ แถมยังอยู่ในซีกโลกที่มีสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีแบบนั้น ยังปรับตัวเองได้ไ่ม่รอด   

แล้วบรรดาธุรกิจของคนไทยทั่วไปและคนทำมาหากินที่มีความรู้ไม่จัดเจน ตามโลกแห่งความเป็นจริงไม่ทัน ด้วยจำกัดด้วยข้อมูลทางสื่อและฝ่ายรัฐ ได้รับฟังแต่เรื่องที่เป็นความฝันกรอกหูอยู่ทุกวัน ไม่มีส่วนหรือช่องทางหรือโอกาสที่จะยื่นมือเข้าไปถึงและร่วมอยู่ในกระบวนการด้วย   แล้วจะเป็นอย่างไรหนอ ???   อะไรคือภาคปฎิบัติและรูปธรรมที่จะต้องดำเนินการในการปรับโครงสร้างการผลิต อะไรคือภาคปฏิบัติและรูปธรรมที่จะต้องทำและร่วมอยู่ในกระบวนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน   :(   เห็นแต่ดีใจกับตัวเลขที่เขาเข้ามาลงทุนในกิจการที่แข่งกับ SME ของเรา  ได้เปรียบทั้งด้านภาษี เงินทุน เทคโนโลยี และสิทธิประโยชน์อื่นๆ   ธุรกิจของเราก็มีแต่จะหดตัวลง ส่วนแบ่งในตลาดลดลง จากทีพอขยายได้เป็นระดับประเทศ ก็ลดลงเป็นระดับภาค ลดลงไปจนเป็นระดับจังหวัดก็ยังไม่รอด    ได้ทีก็เลยขอบ่นเสียหน่อย  พอแล้วครับ
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 ม.ค. 13, 19:04
ไปต่อเรื่อง ระเบิดเวลาอีกหน่อยครับ

อย่างหนึ่งที่ญี่ปุ่นเขาคิดและพยายามแก้ไข ประกอบกับสภาพที่เข้าไปสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา   วิธีการหนึ่ง คือ หางานง่ายๆให้คนแก่ทำ  เช่น การจ้างเป็นพนักงานเก็บเงินตามด่านของถนนไฮเวย์  การจ้างเป็นพนักงานทำความสอาดอาคาร  สำหรับคนที่มีความรู้เป็นผู้เชี่ยวชาญมาก็เอามาขึ้นทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้สันทัดกรณ๊ในองค์กรที่เรียกว่า JODC (๋Japan Overseas Development Corporation)  ซึ่งรัฐบาลหรือภาคเอกชนจะส่งไปผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางช่วยเหลือประเทศอื่นๆทั่วโลก       นัยว่าเป็นการผันการจ่ายเงินจากบัญชีหนึ่งไปอีกบัญชีหนึ่ง



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 ม.ค. 13, 19:05
โดยสรุป  ไปเที่ยวอเมริกาและหวังจะจับจ่ายซื้อของ ก็คงจะพอได้สักชิ้นสองชิ้นเท่านั้น
  
สำหรับผมนั้น มีเพียงสองสามอย่างที่จะแวะเวียนเข้าไปดูและอาจจะเสียเงินซื้อ คือ ร้านขายเสื้อ Flannel  หมวกทั้งแบบแก็ปและปีก (เพราะชอบ) มีดและเครื่องมืออเนกประสงค์ใว้ติดตัวระหว่างการเดินทางไปพักผ่อน (แข็งแรงและทนทานมาก) เครื่องใช้ในภาคสนามบางอย่าง (เข็มทิศ แว่นขยายของ AO และ survival gear เป็นต้น) และร้านหนังสือ    ของเหล่านี้ค่อนข้างจะหาซื้อได้ยากในที่อื่นๆ  สำหรับหนังสือนั้น แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะสามารถสั่งซื้อได้ทาง website หรือ e-mail ก็ตาม แต่ผมว่าเราไม่สามารถเปิดดูสาระและเรื่องข้างในได้ว่าจะถูกใจหรือไม่ สู้เห็นด้วยตาจนพอใจแล้งจึงจะซื้อไม่ได้ ก็ทั้งหนังสือด้านเทคนิคประเภท DIY และ text book ทางวิชาการบางเรื่อง และพวก references ต่างๆ (หากเป็นในอังกฤษ ก็จะเป็นพวกหนังสือพวก Astrology)  หนังสือเหล่านี้ค่อนข้างจะหายากในประเทศอื่นๆ    

ปัจจุบันนี้คงเปลี่ยนไปมากแล้ว

พูดถึงเรื่องของเข็มทิศ ก็เลยขอต่อสักหน่อยว่า  ปรัชญาในการนำของมาขายร่วมกันในร้านประเภทใดประเภทหนึ่งนั้น ต่างกับของไทยเรา   ของเรา ในร้านขายแว่นตา มักจะผนวกไปด้วย ปากกา และนาฬิกา   ในยุโรปร้านขายแว่นตา จะผนวกพวกเข็มทิศแบบใช้งานทั่วไป และแว่นขยาย  และบางแห่งจะรวมทั้งพวกเครื่องมือวัดทางอุตุนิยมวิทยาด้วย (Barometer, Thermometer, Hygrometer)   ปากกาเขาจะไปขายในร้านเครื่องเขียน ของเราบางแห่งก็อาจจะเป็นแผนกหนึ่งในร้านขายหนังสือ    เมื่อเวลาไปเที่ยวไปทำธุรกิจแล้วหากประสงค์และเจาะจงจะไปหาซื้อของบางอย่าง ก็อย่าลืมคำนึงเรื่องที่ผมเล่านี้ก็แล้วกัน ที่ว่าหาไม่ได้หรือไม่มีนั้น มากกรณีเป็นเรื่องที่เราไปไม่รู้ว่ามันจะไปขายอยู่ในร้านประเภทใดครับ    


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 ม.ค. 13, 19:21
มาเพิ่มเติมวกมาที่ระบบการค้าขายแบบใหม่ โดดจากระบบประกันสังคมอีกแล้ว   ;D    ร้าน Jessops ปิดตัวไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา  Comet ปิดตัวไปเมื่อเดือนธันวาที่แล้ว วันนี้สดๆ ร้อนๆ ร้าน HMV ซึ่งเป็นร้านขาย CD, DVD ที่เปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 1921  มีสาขาทั่วอังกฤษเกือบ 400 สาขาก็ปิดตัวอีกแห่งในวันนี้


HMV เปิดกิจการจากการเป็นร้านขายแผ่นเสียง ในอดีตร้านจะ stock เพลงของศิลปินต่างๆ ไว้มากมาย  ใครใคร่ซื้อเพลงหรือแผ่นเสียงจากศิลปินคนไหนมาที่นี่ก็มักจะไม่ผิดหวัง  ในช่วงหลังๆ เริ่มสู้กับตลาด online ไม่ได้เช่นกัน HMV พยายามปรับตัว หันมาขายเกมส์คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์มือถือต่างๆ ในร้านมากขึ้น มุมแผ่นเสียง มุม CD, DVD ก็กลายเป็นส่วนเล็กๆ ในร้านไป และยิ่งทำให้ไม่สามารถ stock ผลงานของศิลปินต่างๆ ได้เท่าในอดีต  ทำให้คนที่จะหาซื้อผลงานศิลปินระดับกลางๆ หรือเล็กๆ ที่ผลงานไม่แพร่หลายไปซื้อที่ HMV ไม่ได้อีกต่อไป จุดขายเดิมของร้านก็หายไป จุดขายใหม่ก็เต็มไปด้วยคู่แข่ง สุดท้ายก็ไปไม่รอดอีกแห่ง   HMV ก็เป็นร้านประเภท Highstreet อีกแห่งเช่นกัน  ร้านแบบนี้ในอังกฤษกำลังทยอยกันปิดตัวทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจและวิถีตลาดที่เปลี่ยนไป  


ร้านค้า online เติบโตมากขึ้น เช่น Amezon ที่เรียกได้ว่าขายทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบจริงๆ ขาดแต่ระเบิดนิวเคลียร์ที่ยังหาซื้อจาก Amezon ไม่ได้ Amezon แทบจะไม่ต้อง stock ของเอง แค่เอากล่องที่แปะตรา Amezon ไปให้ผู้ผลิตเอาสินค้าใส่กล่องและส่ง Amezon ทำหน้าที่เหมือนแค่ตัวกลางในการขายเท่านั้น แต่รับกำไรไปแบบเห็นๆ  แถมอำนาจการต่อรองก็สูงเพราะผู้ผลิตรายย่อยหรือผู้ขายไม่มีอำนาจต่อรองเท่า Amezon ได้



วันนี้ Amezon, Ebay ยังไม่มาบุกตลาดบ้านเราอย่างจริงจัง แต่อีกไม่นานถ้าพวกนี้มาเปิด Amezon เปิด Ebay สาขาไทย ทำตลาดแบบจริงๆ จังๆ เมื่อไหร่  ร้านค้าในไทยจะเจอสภาพแบบอังกฤษอย่างแน่นอน  ตอนนี้ตลาด online ในบ้านเรายังไม่โตนักเพราะติดขัดที่ระบบการชำระเงินที่เป็นอุปสรรค ผู้ขายไม่สามารถรับเงินทางบัตรเครดิตได้สะดวกนัก   ตอนนี้อยากซื้อสินค้า online ยังต้องไปหาซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์มาจ่าย      กับระบบไปรษณีย์ที่มาตรฐานยังไม่ดีนัก เชื่อถือไม่ค่อยได้ บวกกับระบบคุ้มครองผู้บริโภคที่ยังล้าหลัง  แต่อีกไม่เกิน 10 ปีทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างมาก ถ้าตลาด online บูมแบบในแถวยุโรป อเมริกา ห้างใหญ่ๆ น่าจะค่อยๆ เจ๊งกันไป  เหลือแต่พวก discount store ที่ยังรอด  ผมยังไม่ค่อยเห็นการปรับตัวในภาครัฐบ้านเรานักเลย   ตอนนี้คนไทยมากมายขายสินค้าบน Ebay ขายให้คนได้ทั่วโลก แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถขายสินค้าเดียวกันให้ผู้บริโภคในไทยได้ เพราะระบบไม่เอื้อ   ตลาดคนซื้อไทยผ่านระบบ online ก็มีน้อย  มันก็แปลกนะเนี่ย



แต่ที่ยังเห็นยืนหยัดได้อยู่คือร้านขายสินค้าที่เน้นภาพลักษณ์  ไม่กี่วันก่อนใน facebook ของคนที่รู้จัก เห็นเค้าเอากระเป๋าหลุตส์วิตตองมาประกาศขาย มีการโชว์ใบเสร็จด้วยว่าซื้อในปี 2010 ราคา 1200 ปอนด์ ขอขายที่ราคา 700 ปอนด์ เห็นแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอผู้นั้น  แต่คนที่ขายเป็นแม่บ้านไทยที่แต่งงานกับฝรั่ง  มีลูกเล็กๆ ด้วยกัน 2 คน  ตัวแม่บ้านต้องทำงานเป็นพนักงานเสริฟในร้านอาหารไทย ได้ค่าแรงวันละ 30-40 ปอนด์เท่านั้น ยังอุตส่าห์เก็บเงินไปซื้อกระเป๋าหลุยส์ฯ  ใบละ 1200  วันนี้ร้อนเงินต้องเอามาประกาสขายแบบขาดทุน   เห็นแล้วก็สะท้อนใจว่าคนที่ทำงานที่เรียกได้ว่าละดับล่างที่สุดแล้วในสังคมอังกฤษ ยังอุตส่าห์กระเสือกกระสนไปซื้อของเหล่านี้เพราะเชื่อว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูดีขึ้นมาได้   ค่านิยมบางอย่างของคนไทยนี่มันน่ากลัวจริงๆ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 ม.ค. 13, 19:38
เข้ามาเพิ่มเติมอีกเรื่องเช่นเรื่องการขายหนังสือที่ท่านอาจารย์ตั้งบอกครับ ว่าสินค้าบางอย่างอาจจะต้องลองเอง เช่นหนังสือต้องทดลองอ่านดูก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ดูแนวโน้มแล้วอีกไม่นานร้านหนังสือใหญ่ในอังกฤษ 2 แห่งคือ WHSmith กับ Waterstone ก็น่าจะเดินตามร้าน Highstreet อื่นๆ ไปเช่นกันครับ


ปัญหาคือปัจจุบันหนังสือมีจำนวนมาก ร้านเหล่านี้ไม่สามารถ stock หนังสือทั้งหมดได้ หนังสือแต่ละปกมาไม่นานก็ต้องเขยิบหรือหลีกทางให้กับหนังสือใหม่ๆ อีก ดังนั้นแม้จะมีข้อได้เปรียบที่ลูกค้าทดลองอ่านได้ แต่ปริมาณหนังสือในร้านจะมีได้ไม่มากนัก แถมหนังสือที่ถูกเปิดทดลองอ่านอาจจะยับย่นไม่สามารถขายในราคาของใหม่ได้  นอกจากนั้นหนังสือในร้านเหล่านี้มีราคาแพงกว่าซื้อ online มาก มักจะขายตามราคาหน้าปก ผมเองไม่เคยซื้อหนังสือจากร้านพวกนี้เลยเพราะแพง  แพงกว่าซื้อ online หลายเท่าตัว  ส่วนใหญ่ซื้อหนังสือจากร้านจะซื้อแต่จากร้านที่ขายหนังสือลดราคามากๆ เท่านั้น เช่นหน้าปก 25 ปอนด์ ขาย 7 ปอนด์อะไรแบบนี้


ส่วนร้าน online นอกจาก stock แทบไม่จำกัดแล้ว   บางเล่มอาจจะมีเนื้อหาให้ทดลองอ่านได้สองสามหน้า  สามารถดูสารบัญได้ว่าในเล่มมีอะไร แต่ที่สำคัญคือมี customer review ที่ลูกค้าอื่นที่เคยซื้อสินค้าหรือหนังสือนี้ไปให้ความเห็นไว้ ซึ่ง review ตรงนี้มีผลมากสำหรับการตัดสินใจซื้อหนังสือของผม ในขณะที่หนังสือจากร้าน เราลองอ่านได้แต่อ่านได้จริงคงไม่กี่หน้า บางครั้งยังบอกไม่ได้ว่าเนื้อหาทั้งหมดดีหรือไม่ดี   และเราแทบจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนอื่นที่ซื้อหนังสือนี้ไปแล้วให้ความเห้นว่าไง  แต่ในร้าน online  เราอ่านความเห็นคนอื่นได้  ดังนั้นระบบการ review จากลูกค้าจึงเป็นจุดแข็งอีกอย่างที่สำคัญมากๆ ของระบบ online   


แต่พอลองมาดูร้านหนังสือ online บ้านเรา เช่น สนพ มติชนที่ผมเคยซื้อ ไม่มีระบบ review ตรงนี้ มีแต่เนื้อเรื่องย่อ  ซึ่งทำให้ลูกค้ายังลังเลที่จะซื้อได้  ผมซื้อหนังสือมาหลายเล่มเนื้อหาไม่ได้เรื่อง ทำให้เข็ดขยาดจากการซื้อครั้งต่อๆ ไป และนี่เป็นอีกภาพสะท้อนของการไม่ทอดสายตามองโลกกว้าง ปรับตัวและนำจุดแข็งที่คนอื่นใช้แล้วประสบความสำเร็จมาปรับของผู้ประกอบการบ้านเราครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ม.ค. 13, 20:13
การซื้อสินค้า on line เป็นระเบิดเวลาที่ระเบิดตูมออกมาแล้วละค่ะ     ถ้าจะจับตัวการที่ทำให้ห้างสรรพสินค้าล้มระเนนระนาด ก็ชี้นิ้วไปที่ผู้คิดระบบซื้อขายออนไลน์ได้เลย
ในเมือง  มีศูนย์การค้าหลายแห่งอยู่มาก่อนดิฉันไปเรียน    ดำเนินกิจการผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายสิบปี   กลับไปอีกครั้งหนึ่ง อ้าว แหล่งที่เราเดินต๊อกๆไปชมเป็นครั้งแรก ล้มไปเสียแล้ว   อีกแห่งอยู่ไกลออกไปอีกหน่อยต้องขับรถไปก็เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนร้าน  อยู่ในภาพร่อแร่ลมหายใจรวยริน   วันๆ ไม่มีคนไปเดินเลย   ไปเสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีคน วันธรรมดายิ่งชวนให้ผีหลอกอย่างยิ่ง    ร้านทยอยปิดกันไปทีละร้าน  ที่เหลือก็อยู่แบบซังกะตาย

ในเมื่อไปทุกปี ก็จะมองเห็นความเสื่อมเข้ามาเยือนแบบไม่มีทางดีขึ้น    พวกร้านดังๆอย่าง Hallmark ก็สู้ไม่ไหว  เหลือ Sears กับ J.C.Penny จะไปเมื่อไรไม่รู้   ส่วน Dillard ปิดสาขาไปแล้ว   เลหลังสินค้ามาขายถูกมาก

ขับรถไปเมืองใกล้ๆดูศูนย์การค้าที่นั่น ก็ปิดร้างกันไปเป็นห้องๆ

เพราะอะไร  เพราะซื้อสินค้าออนไลน์ ถูกกว่า ประหยัดกว่า หาของเจอได้มากกว่า    มันไม่ใช่ทางเลือกด้วยซ้ำค่ะ  มันเป็นไฮเวย์ใหม่ที่ตัดมาให้ไปแทนทางเก่าน่ะไม่ว่า

คุณตั้งคงพอนึกออกว่าถ้าคุณตั้งขับรถไปซื้ออุปกรณ์เดินป่าที่ศูนย์การค้า  คุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่ามันจะมีขนาด/สี/ยี่ห้อ/ฯลฯที่คุณต้องการเหลืออยู่ในร้านรึเปล่า    อาจจะขับรถไปหาแล้วไม่เจอ คว้าน้ำเหลวกลับบ้าน   แต่ถ้าคุณเปิดเว็บไซต์อย่างอเมซอนหรืออีเบย์ มันย่อห้างสรรพสินค้าทั่วอเมริการวมทั้งสินค้ามือสองทางบ้านมาอยู่ในจอตรงหน้า   จะเอาสินค้าขนาดไหนแบบไหน ถามหาได้ทั้งสิ้น มีในสต๊อคหรือไม่มีก็รู้กันตรงนั้น    ถ้าซื้อหนังสือ เสียดายสตางค์ซื้อของใหม่ ก็มีหนังสือมือสองมาให้เลือกไม่อั้น    แถมราคาถูกจนแทบจะอยากกวาดมาให้หมดกอง 

พอสั่งปุ๊บ  เขาส่งไปรษณีย์ปั๊บ   มาถึงบ้านทันทีในวันสองวัน    ถ้าไม่ถูกใจหรือเจอตำหนิ ส่งคืนได้   ไม่ต้องกระดิกตัวออกจากบ้าน ค่าน้ำมันรถก็ไม่เสีย    ดังนั้น  ถ้าไม่อยากจะไปเดินชมแสงสีในห้างสรรพสินค้า  ก็นั่งอยู่ในบ้านนี่แหละค่ะ สินค้าลอยมาถึงมือเอง

แล้วอย่างนี้ศูนย์การค้าจะไปเหลืออะไรล่ะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ม.ค. 13, 20:25

วันนี้ Amezon, Ebay ยังไม่มาบุกตลาดบ้านเราอย่างจริงจัง แต่อีกไม่นานถ้าพวกนี้มาเปิด Amezon เปิด Ebay สาขาไทย ทำตลาดแบบจริงๆ จังๆ เมื่อไหร่  ร้านค้าในไทยจะเจอสภาพแบบอังกฤษอย่างแน่นอน  ตอนนี้ตลาด online ในบ้านเรายังไม่โตนักเพราะติดขัดที่ระบบการชำระเงินที่เป็นอุปสรรค ผู้ขายไม่สามารถรับเงินทางบัตรเครดิตได้สะดวกนัก   ตอนนี้อยากซื้อสินค้า online ยังต้องไปหาซื้อบัตรเติมเงินโทรศัพท์มาจ่าย      กับระบบไปรษณีย์ที่มาตรฐานยังไม่ดีนัก เชื่อถือไม่ค่อยได้ บวกกับระบบคุ้มครองผู้บริโภคที่ยังล้าหลัง  แต่อีกไม่เกิน 10 ปีทุกอย่างจะเปลี่ยนไปอย่างมาก ถ้าตลาด online บูมแบบในแถวยุโรป อเมริกา ห้างใหญ่ๆ น่าจะค่อยๆ เจ๊งกันไป  เหลือแต่พวก discount store ที่ยังรอด  ผมยังไม่ค่อยเห็นการปรับตัวในภาครัฐบ้านเรานักเลย   ตอนนี้คนไทยมากมายขายสินค้าบน Ebay ขายให้คนได้ทั่วโลก แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถขายสินค้าเดียวกันให้ผู้บริโภคในไทยได้ เพราะระบบไม่เอื้อ   ตลาดคนซื้อไทยผ่านระบบ online ก็มีน้อย  มันก็แปลกนะเนี่ย
ถ้าดิฉันมีหัวทางธุรกิจเสียหน่อยจะทำธุรกิจแบบ amazon หรือ ebay ในไทย  โดยมีพนักงานส่งของตัวเองในเขตกรุงเทพและปริมณฑล  กับจัดการระบบชำระเงินให้คล่องตัวง่ายดาย   จะใช้บัตรเครดิตยังไงแบบไหนก็ตามแต่     เพราะธุรกิจนี้จะต้องเดินเข้ามาแน่ๆ ในอนาคตอันใกล้   ไม่ต้องวางสินค้าในร้าน  ไม่ต้องก่อสร้างร้านบนที่ดิน  ไม่ต้องแม้แต่จะเช่าห้องขายในศูนย์การค้า    พนักงานหน้าร้านก็ไม่ต้องมี   ทำให้ประหยัดต้นทุนไปได้มหาศาล   เพียงแต่ต้องจัดการระบบให้รวดเร็ว คล่องตัว และถูกต้องเชื่อถือได้   
อ้อ อีกอย่าง ต้องรับมือกับลูกค้าที่ไม่ตรงไปตรงมา ประเภทถือว่าโกงไปโกงมาได้นับเป็นชัยชนะ   คนไทยจำนวนมากชอบเล่นกับช่องโหว่ของระบบ      ผู้ขายขายตรงไปตรงมาแต่ผู้ซื้อไม่ยอมตรงด้วย คนขายก็เจ๊ง   หรือลูกค้าตรงไปตรงมาแต่ผู้ขายหลอกบริโภค ก็เหนื่อยและไปไม่รอดทั้งสองทางค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 ม.ค. 13, 19:14
ใช่ครับ

ผมเห็นว่า สินค้าที่ซื้อขายในระบบ on line นี้ เป็นสินค้าประเภทที่ผู้ซื้อโดยทั่วไปสามารถพิจารณาตัดสินใจได้ด้วยความเหมาะสมระหว่างราคากับผลิตภัณฑ์สินค้านั้นๆ แต่หากเป็นสินค้าประเภทที่จะต้องพิจารณในด้านคุณภาพและความมีคุณค่า ยังไงก็จะต้องขอดูด้วยตาและจับต้องเสียก่อนที่จะตัดสินใจ  ด้วยลักษณะนี้ รูปภาพและรายละเอียดที่ได้เห็นได้อ่านใน website และ web page ต่างๆ จึงเป็นเพียงตู้โชว์สินค้า ซึ่งจะทำให้เกิดการติดต่อสอบถามเพื่อไปดู ไปสัมผัสของจริง   ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเห็นในอีกมุมมองหนึ่งว่า มันก็ยังพอมีช่องว่างในการปรับตัว  อาจจะเปลี่ยนจากสภาพการขายของเป็นแบบ retailer (สำหรับสินค้าบางอย่าง) ที่ต้องมีหน้าร้านของตนเอง ไปเป็นการขายแบบ B2ฺB และ B2C ที่ใช้ web page เป็นหน้าร้าน   ซึ่งก็ทำกันทั่วไปอยู่แล้ว   

ในญี่ปุ่น ผมได้เห็นอยู่มากมาย จากที่ต้องเช่าร้านที่มีหน้าร้านติดถนน ก็ลดค่าใช่จ่าย เปลี่ยนเป็นการเช่าห้องในตึกใดตึกหนึ่ง ชั้นใดก็ได้ที่สู้ราคาได้ มี web site หรือ web page ของตนเองสำหรับการ search หา    สำหรับในบ้านเรา คน (ทั้งฝ่ายผู้ขายและฝ่ายผู้ซื้อ) ที่จะสามารถใช้คอมพิวเตอร์พอที่จะเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ยังมีค่อนข้างจะมีจำกัด (เมื่อเปรียบเทียบกับความก้าวหน้าของระบบทางเทคโนโลยี)  จะจ้างเขาก็ต้องจ้างต่อเนื่อง เพราะต้องมีการ update อยู่ตลอดเวลา สู้ไม่ไหว กิจการก็คงจะต้องล้มหายกันไป

อันที่จริง ภาพการเกิดการตายของกิจการของพวก SME นี้ เป็นภาพที่จะต้องเห็นเป็นปรกติในธุรกิจสมัยปัจจุบัน (ในสิ่งแวดล้อมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน)    ในยุโรป ในญี่ปุ่น ในเกาหลี ก็มีภาพเช่นนี้  (ในสหรัฐ ไม่ทราบครับ)  เป็นภาพของการแข่งขันกันแบบใครดีใครอยู่   ปรัชญาของตลาดแบบเสรีินิยม (free market economy) ดูจะชอบที่จะเห็นสภาพเช่นนี้ ด้วยเหตุผลหนึ่งว่า มันทำใ้ห้เกิดการสร้างนวัตกรรม ซึ่งคนที่จะสามารถแข่งขันอยู่ได้จะต้องเป็นผู้รู้จริง ซึ่งส่วนหนึ่งหมายถึงการเิกิด (และตาย) ใน niche market   ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐในประเทศต่างๆจะมีกฎหมายเกี่ยวกับ SME (หรือส่งผลถึง SME) มากมาย  ก็เพื่อช่วยเหลือให้ SME ที่มีนวัตกรรมหรืออยู่ใน niche market เหล่านั้นได้อยู่รอด (ด้วยหมายถึงสภาพการพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและการแข่งขันของประเทศในองค์รวม)   สหรัฐฯนั้น จะเรียกว่าเป็นต้นตำหรับสำหรับกฎหมายประเภทนี้ก็ว่าได้  เมื่อเข้าไปเป็นผู้ดูและญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองในระยะแรกๆ กฎหมายที่ขอให้รัฐสภาญี่ปุ่นออกมาแรกๆก็คือ กฏหมายเกี่ยวกับการสนับสนุน SME  (จำได้ว่า ในปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นมีซัก 10 ฉบับได้มั็้ง)  ของยุโรปก็มีเหมือนกัน  ของไทยนั้น ยังนึกไม่ออกเลยครับ มีแต่กฎหมายตั้ง สสว.และ SME Bank เท่านั้นกระมังที่ชัดเจน นอกนั้นก็ดูจะเป็นคำพูดเชิงนโยบาย
 

     


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 17 ม.ค. 13, 18:32
^
^
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่เอามาคิดแล้วก็น่าสนใจ      แสดงว่าเหล่าร้านโรงเล็กๆที่ยังสามารถดำรงกิจการอยู่ใด้นั้น น่าจะต้องมีดี เป็นพวกที่อยู่ใน niche market หรือไม่ก็ต้องมีนวัตกรรมในบางเรื่อง

เมื่อเรากล่าวถึงคำว่า นวัตกรรม (innovation) ส่วนมากเราจะไปนึกถึง ประดิษฐกรรมใหม่ๆ (invention)  แท้จริงแล้ว นวัตกรรมเป็นเรื่องของการทำให้เกิดผล  ในขณะที่ ประดิษฐกรรมเป็นเรื่องของการทำให้เกิดสิ่งของ   มีประดิษฐกรรมดีๆมากมายแต่ไม่สร้างให้เกิดมีนวัตกรรม จึงไม่สามารถจะสร้างให้เกิดรายได้อย่างที่ควร

นวัตกรรมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในด้านอื่นๆมากมาย อาทิ หลังการขาย (ที่เรียกว่า after sale service) นั้น โดยทั่วไปแล้ว การบริการหลังหารขายจะเป็นเรื่องอยู่แต่เฉพาะการบำรุงรักษาและซ่อมแซม       ต.ย. กรณีเครื่องไมโครเวฟนั้น นวัตกรรมเกี่ยวกับเรื่องของหลังการขายที่ผมเคยเห็นก็คือ มีการส่งเอกสารแนะนำการทำอาหารที่แปลกและอร่อยๆจากเครื่องนั้นๆเพิ่มเติม ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามิได้มีไว้เพียงเพื่อใช้ในการอุ่นอาหารเท่านั้น หรือทำได้เพียงอาหารตามคำแนะนำในเอกสารแนบ หรือตามเอกสารที่แถม หรือตามที่โฆษณาไว้ก่อนการซื้อนั้นๆเท่านั้น      หลังการขาย ผู้ขายจะให้ข้อมูลและความรู้เพิ่มเติมแบบต่อเนื่องโดยการส่งเอกสารมาแนะนำเป็นระยะๆว่า มันมิใช่จบแต่เฉพาะว่าเมื่อซื้อไปแล้วก็จบ ให้ไปหาการใช้ประโยชน์ต่อเอาเอง    แต่เป็นว่าเราช่วยให้ท่านได้มีพัฒนาการใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดอย่างต่อเนื่องตลอดอายุการใช้งานของเครื่อง ช่วยทำให้เกิดสิ่งดีๆในชีวิตของท่าน มีความคุ้มค่าคุ้มราคาจากการเลือกซื้อสินค้ายี่ห้อนี้ของท่าน ตลอดอายุการใช้งาน   หากสนใจผมมีเรื่องพวกนี้พอจะเล่าได้อีกพอควร

วกกลับเข้าเรื่อง เป็นอันว่าเราพอจะสันนิษฐาณได้บางอย่างว่า ร้านเล็กๆที่ยังคงดำรงกิจการอยู่ได้นั้นต้องมีดี คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองที่จะต้องค้นหาความต่างนั้นๆให้พบ   โดยนัยก็คือ เราจะต้องรู้จักและค่อนข้างจะรู้จริงกับสิ่งของที่เราจะซื้อหานั้นให้ดีพอในแง่มุมต่างๆ ซึ่งก็คือต้องทำการบ้านก่อนจะไปซื้อหาของใดๆ ความคุ้มค่า คุ้มราคา แบบที่ไม่ต้องรู้สึกเสียรู้หรือเสียใจในภายหลังก็จะไม่บังเกิดขึ้น     

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 18 ม.ค. 13, 10:10
ช่วยทำให้เกิดสิ่งดีๆในชีวิตของท่าน มีความคุ้มค่าคุ้มราคาจากการเลือกซื้อสินค้ายี่ห้อนี้ของท่าน ตลอดอายุการใช้งาน   หากสนใจผมมีเรื่องพวกนี้พอจะเล่าได้อีก

มีคนบอกว่าการใช้ไมโครเวฟทำอาหาร หรือแม้แต่ต้มน้ำก็ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งคนที่ไม่มีความรู้เรื่องคลื่นไมโครเวฟตกค้าง
หรือสลายไปในทันที ก็เลยกลัวๆกล้าๆ แต่ที่แน่ๆมันใช้อุ่นอาหารได้เร็ว และสะดวกสบายจนคนรุ่นใหม่ต้องมีไว้เกือบทุกบ้าน
รวมทั้งเมนูง่ายๆในฐานะผู้ชำนาญเรื่องการทำอาหาร คุณตั้งมีอะไรเล่าสู่กันได้บ้างไหมคะ ;D


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 18 ม.ค. 13, 19:15
หากจะใ้ห้เล่าเรื่องอาหารที่ทำด้วยไมโครเวฟนั้น  ผมไม่สันทัดเลย    ที่จริงแล้วหมายถึงจะเล่าตัวอย่างของนวัตกรรมในบางเรื่องในการทำธุรกิจของ SME ที่เห็นมาครับ

เอาละครับ ก็พอมีเกล็ดเล็กๆน้อยๆในเรื่องของการใช้ไมโครเวฟ  แยกซอยออกไปเล็กน้อยสักรายการหนึ่งนะครับ

คงมีหลายคนที่ซื้อข้าวเหนียวมากินกับ...  แล้วกินไม่หมด บ้างก็ทิ้งที่เหลือไป บ้างก็เก็บไว้ในตู้เย็น   สำหรับผมนั้น หากเหลืออยู่มากพอที่จะกินได้อีก ผมจะเอาไปเก็บใว้ในตู้เย็นทั้งถุงพลาสติคหรือจะเอาออกไปเก็บไว้ในกล่องพลาสติคก็ได้  ข้าวเหนียวนั้นก็จะแข็งตัว จะเก็บไว้สักสองสามวันหรือถึงสัปดาห์ก็ได้ ไม่เป็นปัญหา  เมื่อจะกินก็เอาออกมาบีบให้แยกเป็นเม็ดข้าวแตกร่วน เอามือชุบน้ำให้เปียก และเทน้ำลงไปเล็กน้อย คลุกเคล้าให้น้ำเปียกทั่วทุกเม็ด คือให้พอมีน้ำฉ่ำ ไม่ถึงกับเฉอะแฉะ  ใส่ภาชนะแล้วเอาเข้าไมโครเวฟ ไฟปานกลางไปทางแรงหน่อย แล้วก็เอาออกมา ใช้ซ่อมพลิกและพยายามคลุกเคล้าให้ทั่วกัน หากเห็นว่าน้ำดูจะน้อยไป ก็เอาน้ำพรมอีกสักหน่อย เคล้าให้ทั่ว แล้วก็เอาเข้าไมโครเวฟอีกครั้ง  จะได้ข้าวเหนียวที่นิ่มมากออกมา ดีไม่ดีจะดีกว่าที่ซื้อมาอีก  คงทราบกันอยู่แล้วนะครับว่า จะหุงข้าวเหนียวให้นิ่ม จะต้องแช่ข้าวค้างคืน  บรรดาแม่ค้าทั้งหลาย มักจะไม่ได้ทำเช่นนั้น จะแช่เพียงสิบหรือสิบห้านาทีเท่านั้น ซึ่งจะได้ข้าวเหนียวที่มีเนื้อหยาบ  แล้วแถมยังไม่มีพรมด้วยน้ำเปล่าแล้วมูลข้าวหลังจากข้าวสุกแล้วเพื่อช่วยให้นิ่มอีกด้วย 
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 19 ม.ค. 13, 19:41
ไปเรื่องช๊อบปิ้งต่อครับ

ในสหรัฐฯ ค่อนข้างจะหนีไม่พ้นที่แหล่งเดินช๊อบปิ้งก็คือ Mall เป็นหลัก  เว้นแต่จะเป็นในเมืองเล็กๆที่จะมีอยู่รายเรียงในถนนสายกลาง  แต่คุณเทาชมพูก็ได้บอกแล้วว่าหายหน้าหายตากันไปเกือบหมดแล้ว

ในยุโรปไปอีกแบบหนึ่ง  ทัวร์เกือบทั้งหมดและรวมทั้งเอกสารเผยแพร่การท่องเที่ยวโดยทั่วๆไป จะแนะนำให้ไปเดินที่บริเวณลานกลางเมือง สถานที่นี้ไปง่ายมาก หากขับรถเองหรือถามคนเขาก็จะบอกให้ตามป้าย i ไป ตามป้ายนี้ไปเถอะครับ แทบจะไม่ผิดเพี้ยนเลยว่าจะเป็นใจกลางของเมืองนั้นๆ มีที่จอดรถ มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ ดูสะดวกดี เพียงแต่ย่านนี้จะเป็นแหล่งของการพานักท่องเที่ยวมาเดินชมเมือง มีร้านค้าหลากหลายอยู่มากพอควร ซึ่งอีกนั่นแหละของก็จะขายในราคาสำหรับนักท่องเที่ยวจากต่างเมืองต่างประเทศ     

เมืองในยุโรปแทบจะทุกเมืองก็ว่าได้ จะมีถนนสายหนึ่งที่คนในท้องถิ่นเขาไปซื้อของจับจ่ายใช้สอยสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันกัน ซึ่งราคาจะถูกกว่าค่อนข้างมาก เรื่องหนึ่งที่เราอาจจะได้พบและเห็นเป็นเรื่องแปลกสักหน่อย คือ บนถนนสายเดียวกันนี้ มีร้านอยู่สองสามร้านที่ชื่อเดียวกัน ขายของยี่ห้อเดียวกัน    เรื่องนี้เป็นรูปแบบใหม่ของการขายของ ซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านขายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย  (ในญี่ปุ่นก็เป็นเช่นนี้ แต่มีทั้งร้านที่ขายพวกเสื้อผ้าและร้านที่ขายพวกของบริโภคด้วย)

ในร้านพวกนี้ (และรวมทั้งร้านอื่นๆด้วย) ในแต่ละร้านจะขายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายคนละ Model หรือคนละ trend กัน (คนละ mode หรือคนละ fashion)  หรือแม้จะเป็นสินค้าใน Mode ใน trend เดียวกัน แต่ก็จะต่างกันในวิธีการตบแต่งประดับประดาให้ดูสวยงาม    เรื่องของเรื่องก็ตั้งอยู่ในปรัชญาความคิดที่ว่าผู้ซื้อต้องการใช้ของที่ไม่เหมือนใครอื่น    ดังนั้น ในราวแขวนเสื้อผ้าเดียวนั้น จะมีเสื้อผ้าหลากหลาย แม้รูปทรงและแบบเหมือนกัน แต่ก็จะต่างกันที่กระดุมบ้าง สีของกระดุมบ้าง สีของซิปบ้าง ฯลฯ สารพัดที่เสื้อผ้าในราวแขวนเดียวกันจะไม่เหมือนกัน  ขนาด (size) ก็มีจำกัด ไม่มีก็คือไม่มี จะไปหาในอีกร้านหนึ่งก็ไม่มี

ในเมืองไทยมีแบบนี้หรือไม่  มีครับ เห็นได้ชัดในจตุจักรเป็นหลัก  คนต่างชาติจึงชอบไปเดินซื้อของประเภทนี้ เพราะถูกว่า อยู่ใน fashion และ trend  แถมสินค้าไม่ซ้ำกันไม่ดูเป็นของโหลอีกด้วย     จะว่าไปพ่อค้าแม่ค้าไทยก็ไม่เบานะครับ มี innovation เหมือนกัน       
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 19 ม.ค. 13, 21:51

ถ้าดิฉันมีหัวทางธุรกิจเสียหน่อยจะทำธุรกิจแบบ amazon หรือ ebay ในไทย  โดยมีพนักงานส่งของตัวเองในเขตกรุงเทพและปริมณฑล  กับจัดการระบบชำระเงินให้คล่องตัวง่ายดาย   จะใช้บัตรเครดิตยังไงแบบไหนก็ตามแต่     เพราะธุรกิจนี้จะต้องเดินเข้ามาแน่ๆ ในอนาคตอันใกล้   ไม่ต้องวางสินค้าในร้าน  ไม่ต้องก่อสร้างร้านบนที่ดิน  ไม่ต้องแม้แต่จะเช่าห้องขายในศูนย์การค้า    พนักงานหน้าร้านก็ไม่ต้องมี   ทำให้ประหยัดต้นทุนไปได้มหาศาล   เพียงแต่ต้องจัดการระบบให้รวดเร็ว คล่องตัว และถูกต้องเชื่อถือได้   
อ้อ อีกอย่าง ต้องรับมือกับลูกค้าที่ไม่ตรงไปตรงมา ประเภทถือว่าโกงไปโกงมาได้นับเป็นชัยชนะ   คนไทยจำนวนมากชอบเล่นกับช่องโหว่ของระบบ      ผู้ขายขายตรงไปตรงมาแต่ผู้ซื้อไม่ยอมตรงด้วย คนขายก็เจ๊ง   หรือลูกค้าตรงไปตรงมาแต่ผู้ขายหลอกบริโภค ก็เหนื่อยและไปไม่รอดทั้งสองทางค่ะ
ข้อดีของการซื้อของทางอินเติร์เนทอีกอย่างคือ ถ้าเลือกดีๆไม่ต้องเสียภาษีการค้า  ภาษีการค้าในสหรัฐฯ รัฐเป็นคนเก็บ แตกต่างกันไปแต่ละรํฐตั้งแต่ 5% ถึง 9% บางแห่งยังมีภาษีท้องถิ่นบวกเข้าไปอีก ถ้าซื้อจากร้านที่ไม่มีสาขาในรัฐที่ผู้ซื้ออยู่ ก็ไม่ต้องเสียภาษีการค้า  บางร้านมีสาขาใน 4-5 รัฐ ถ้าผู้ซื้ออยู่ใน 4-5 รัฐนั้นก็ต้องเสียภาษีโดยผู้ขายจะบวกไว้ก่อนรวมยอด  ข้อเสียของการซื้อแบบนี้ คือต้องเสียค่าส่ง แต่ถ้าของราคาสูง นน.ไม่มาก ไม่ต้องการด่วน ค่าส่งก็น้อยกว่าภาษีมาก  ระยะหลังๆนี้รัฐต่างๆชักจะอยากได้เงินจากการซื้อขายแบบนี้ แต่ตอนนี้ยังหาทางบังคับให้ผู้ขายซึ่งไม่ได้มีสาขาอยู่ในรัฐนั้นเป็นคนเก็บภาษีการค้าแทนไม่ได้ บริษัทพวก UPS, FedEx ถึงได้รุ่งเรือง ถ้าเมื่อไหร่รัฐแต่ละรัฐหาทางบังคับให้ผู้ขายนอกรัฐเก็บภาษีแทนได้การค้าแบบนี้คงน้อยลงมาก

คุณเทาชมพูครับ ผมว่าเปิดกิจการแบบนี้ถ้าทำดีๆ โดนโกงยากเพราะคนขายมือเหนือกว่าคนชื้อ  ส่งเงินมาก่อน (เครดิตการ์ด หรือ เช็คส่วนตัวซึ่งรอจน clear หรือ ธนาณัติ) แล้วส่งของไปให้ (จะประกันการส่งหรือไม่แล้วแต่ผู้ซื้อ ถ้าไม่ประกันคนส่งเขาอาจไม่รับผิดชอบ) ไม่ถูกใจไม่ว่าในกรณีใดถ้าห่อยังไม่แกะหรือของยังไม่ได้ใช้ หรือของชำรุด คืนได้ภายใน ๑๕ วัน ๓๐ วัน ทั้งนี้อยู่ในดุลย์พินิจของผู้ขาย ถ้ายอมรับของคืนก็คืนเงินให้แต่หักค่าส่งขาไปไว้  คนจะโกงต้องคิดก่อนว่าจะเสียค่าส่งทั้งขึ้นทั้งล่อง แล้วถ้าร้านเขาไม่เชื่อว่าสุจริตเขาอาจไม่รับคืน  ร้านพวกนี้ส่วนใหญ่มี database คนที่คืนของบ่อยๆ แรกๆเขายอมแต่พอนานไปเขาไม่ยอมขายให้ ผมเคยเอาของไปคืนที่ร้านตรงช่องคืนของ ได้ยินพนักงานบอกคนข้างหน้าว่า มีหลักฐานว่าคืนของในอัตราที่สูงเหลือเกิน ขอเตือนว่าหลังจากนี้ถ้าเอาของมาคืนจะเข้มงวดมากขึ้น


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 20 ม.ค. 13, 18:06
ในไทยเรา ภาพของการช็อบปิ้งใน กทม. ต่างกันเกือบจะสิ้นเชิงกับภาพในต่างจังหวัด 

คงจะกล่าวได้เลยว่า คนกรุงเทพฯจะไม่เดินซื้อหาของใช้ในต่างจังหวัด   แต่จะไปยังสถานที่ช็อบปิ้งที่เรียกกันว่า ไนท์บาซาร์ และถนนคนเดิน ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นตลาดช่วงเย็นและกลางคืน แนวคิดการจัดตลาดแบบนี้ได้แพร่หลายอยู่ในตัวเมืองของจังหวัดที่เป็นแหล่งพักหลักของการเดินทางไปท่องเที่ยว จังหวัดเล็กและที่เป็นทางผ่านแทบจะไม่ประสบผลสำเร็จเลยในการจัดตลาดแบบนี้  แม้จะจัดให้มีเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือจัดเฉพาะัวันหยุดก็ตาม

ผมเห็นว่าตลาดที่เรียกว่า ไนท์บาซาร์ นั้น ของที่มีขายส่วนมากจะเป็นของที่ผลิตมาจากหลายจังหวัดในภูมิภาคนั้นๆ และเป็นของที่ทำการผลิตบนฐานความคิดแบบ mass production  การค้าขายก็อยู่บนฐานของกิจการที่ยึดถือเป็นอาีชีพ   ในขณะที่ตลาดแบบ ถนนคนเดิน นั้น ผมเห็นว่าน่าสนใจมากกว่ามาก มีของกินหลากหลายและศิลปหัตถกรรมหลากหลาย เป็นของพื้นบ้านดั้งเดิมและของกินของคนถิ่นจริงๆ นอกจากนั้นแล้วผู้ขายส่วนมากยังเป็นประเภทสมัครเล่นเสียมากกว่าการทำเป็นอาชีพ เดินตลาดแบบนี้ได้เห็นสิ่งที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นมากมาย สร้างสรรของค์ความรู้ให้กับเด็กๆและเยาวชนที่ไปเดินเที่ยว 

สำหรับผมนั้นชอบเดินตลาดคนเดินมากกว่า เพราะได้ในเรื่องอื่นผนวกเข้ามาอีก เช่น กรณีของกินประจำถิ่น  - เจ้าใหนทำอร่อย อยู่ที่ไหน ขายที่ไหน ทำต่างกันอย่างไร ความแตกต่างของกลุ่มชนและเชื้อสายเทือกเถาเหล่ากอ  หรือกรณีของเครื่องมืออุปกรณ์หากินและของใช้ในชีวิตประจำวัน - ฝีมือทางจักสาน ขนาด รูปทรง รายละเอียดต่างๆ ฯลฯ    ทั้งหมดทำใ้ห้เกิดความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้นในเรื่องราวในพื้นฐานและปรัชญาความคิด และรวมทั้งลักษณะของความเป็นไทยในถิ่นต่างๆ   แล้วเราก็รู้ถึงแหล่งต้นตนถิ่นกำเนิด ตามไปดูก็จะได้เห็นของดีๆอีกมากมาย

ขอแนะนำนะครับ  ลองไปเดินตลาดประเภทถนนคนเดินในต่างจังหวัด  ช่วยกันซื้อกิน ช่วยกันจับจ่ายซื้อของบ้าง จะได้เป็นการช่วยกระจายรายได้เล็กๆน้อยๆ เป็นการช่วยจรรโลงมรดกทางภูมิปัญญาและมรดกทางสังคมและวัฒนธรรมของไทยเรา  อยู่กรุงเทพฯ ยังจ่ายค่ากาแฟถ้วยละ/แก้วละหลายสิบบาทได้ เพียงสิบ ยี่สิบ สามสิบบาท ช่วยเขาเถอะครับ  มันไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นหรอก มันเป็นเพียงการช่วยให้เขามีกำลังใจที่จะจรรโลงมรดกตกทอดเหล่านั้นเท่านั้นเอง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ม.ค. 13, 20:41
ไปเหนือเมื่อตอนปลายปี และปีใหม่  ผ่านตลาดข้างทางหลวงที่มีชื่อว่า "กาด"  เห็นว่าเอาของพื้นเมืองมาขาย     ในวันหยุดเห็นรถราจอดกันแน่นไปหมดค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ม.ค. 13, 17:23
กาด ก็คือ ตลาดในภาษาเหนือนั่นเอง  คำนี้เริ่มมีการใช้กันตั้งแต่แถวรอยต่อระหว่าง อ.เถิน จ.ลำปาง กับ อ.บ้านตาก จ.ตาก  แล้วก็ไม่ข้ามเทือกเขาที่แบ่งระหว่าง อ.เถิน จ.ลำปาง กับ อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย (จากเถินไปทางตะวันออก) แทบจะเรียกได้ว่าเส้นแบ่งเขตอยู่ที่สันเขาเลย ส่วนทางด้านติดชายแดนทางตะวันตก เห็นมีการใช้ประปรายในแถบ อ.แม่สอด อ.แม่ระมาด ขึ้นไปทางเหนือ  เส้นแบ่งการใช้คำนี้ดูจะอยู่ตามเส้นถนนที่เชื่อมระหว่างบ้านแม่ระมาดน้อยกับ อ.บ้านตาก วกขึ้นเหนือไปทางบ้านสบโมง เข้าไปในเขตของ อ.ฮอด จ.แม่สะเรียง   ส่วนทางด้านตะวันออกตามถนนหลวงสายอุตรดิตถ์ - แพร่ นั้น เส้นแบ่งเขตจะอยู่ตามแนวสันเขาพลึง (ตรงทีพักกลางทางของทางหลวงนั่นแหละครับ) ซึ่งคือเส้นแบ่งเขตอุตรดิตถ์กับแพร่
 
ผมเคยสำรวจทางธรณีฯบนเส้นทาง (ศรีสัชนาลัย-เถิน) นี้เมื่อ พ.ศ.2513 โน่น เข้าทาง อ.ศรีสัชนาลัย (ซึ่งคนถิ่นยังนิยมเรียกว่าหาดเสี้ยว) ไป อ.ทุ่งเสลี่ยม ต่อไปบ้านเสลี่ยมหวาน ไปเริ่มเข้าพืดเขาที่แถวบ้านตะพานหิน   เสลี่ยมก็คือต้นสะเดานี้เอง สะเดาปรกติจะออกรสขม พวกนี้ใบจะออกไปทางโทนสีแดง ส่วนเสลี่ยมหวานก็คือสะเดามันนั่นเอง พวกนี้ใบจะออกไปทางสีเขียวนวล  แล้วก็มีที่ชาวบ้านเรียกว่าสะเดาดงอีกอย่างหนึ่ง เนื้อในของต้นจะออกลายทางสีชมพู สวยดีครับ  ชาวบ้านนิยมจะเอามาทำเป็นด้ามปืนแก็ป ซึ่งผมชอบเรียกว่า (ปืน) เสือตบตูด   
และเคยเดินข้ามเขาที่เรียกว่าดอยพญาพ่อ จากจากบ้านดงย่าปา หาดเสี้ยว ไปลงที่เด่นชัย เขาสูงจริงๆสมชื่อเลย  หกโมงเช้าเป็นก้าวแรกที่เดินขึ้นเขา หกโมงเย็นถึงยอดเขาพอดี ลงเขาแบบแทบจะวิ่งเพื่อไปหาที่พักแรมในห้วยที่มีน้ำ ถึงตรงนั้นก็ประมาณสองทุ่มเลยทีเดียว  เหนื่อยแทบตายเลยครับ (คงจะเป็นเรื่องในกระทู้ที่จะตั้งใหม่เื่มื่อมีโอกาสและเวลา)  จึงพอรู้ว่าเส้นแบ่งของการใช้ภาษานั้นมันอยู่บริเวณใด  ก็แปลกอยู่เหมือนกัน แถวห้วยแม่สินธุ์ และ อ.วังชิ้น จ.แพร่ (บนเส้นทางศรีสัชนาลัยเด่นชัย ที่ผ่านบ้านบ่อแก้งที่มีการพบไพลินนั่นแหละครับ) กลับพูดภาษาของภากลางเป็นหลัก

ที่แยกซอยเล่ามา ก็เพื่อจะได้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการศึกษาเรื่องของเขตอิทธิพลในเชิงของภาษา ขนบธรรเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม เผื่อว่านักศึกษาในระดับ Post Grad. หรือบรรดาคณาจารย์สนใจครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 21 ม.ค. 13, 17:56
ต่อเรื่อง กาด ครับ

กาดในภาคเหนือแต่ก่อนนั้น จะมีสองเวลา (ปัจจุบันก็ยังคงมีสองเวลาอยู่เหมือนเดิม) คือกาดเช้า ซึ่งพวกชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้าจะออกเดินทางจากบ้านเพื่อเอาของมาขายหรือซื้อหาอาหารตั้งแต่ประมาณตีสามตีสี่  ตลาดจะวายในเวลาประมาณแปดโมงเช้า  นานกว่านี้ไม่มีเพราะ ขวายแล้ว (สายแล้ว)  จากนั้นก็จะนำไปหุงหาอาหารกัน (ไม่เกี่ยวกับพวกที่เดินทางมาไกลนะครับ) อาหารมื้อนี้เรียกว่า ข้าวงาย (ข้าวเช้า)   กลางวันไม่มีกาด จะมีอีกทีก็ประมาณสามสี่โมงเย็นขึ้นไป เรียกว่า กาดแลง (ตลาดเย็น)   กาดแลงจะมีความต่างไปเล็กน้อย เพราะจะมีอาหารสำเร็จรูปมาขายมากกว่าตลาดเช้า   

ผมชอบเดินทั้งสองตลาด ไม่ได้ต้องการจะซื้ออะไรเป็นพิเศษหรอกครับ  ขับรถผ่านก็จะขอแวะสักหน่อย เิดินดูอย่างรวดเร็วว่ามีอะไรแปลกๆบ้าง ของอร่อยๆ (อร่อยจริงๆ) ด้วยฝีมือชาวบ้านอยู่ในกาดพวกนี้เองแหละครับ  แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ คือ กาดเช้า ผมจะไปเดินตั้งแต่ประมาณตีห้าครึ่ง จะได้ไม่ต้องรีบร้อน เพราะกว่าจะเริ่มกิจกรรมใดๆของกลุ่มคนที่มาด้วยกันก็มักจะต้องเป็นประมาณหลังแปดโมงเช้าไปแล้ว     ผมชอบเพราะมีเวลาสามารถจะพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายในแทบจะทุกเรื่อง ได้ข้อมูลชั้นดีของวิถีไทยเฉพาะถิ่นตรงๆ  ได้เห็นผักหญ้าชนิดต่างๆ ได้รู้ว่าเขาเอาไปทำกินอย่างไร ฯลฯ ได้รู้สภาพของชีวิต วิถีการดำรงชีพประจำวัน แทบจะถ่องแท้และไม่มีอะไรมาเคลือบแคลง

ตลาดท้องถิ่นนี้แหละครับ คือแหล่งข้อมูลเบื้องต้นที่สำคัญมากในทุกเรื่อง      ไม่ว่าจะเป็นตลาดของประเทศใดๆก็ตาม ผมไม่ละเว้นเลย ได้ทั้งปรัชญาในการครองชีวิตและสภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐนั้นๆ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 26 ม.ค. 13, 20:17
ฟื้นจากไข้แล้วครับ งอมไปเลย ตรวจสอบตามหมู่คนรู้จักกัน ได้พบว่ามีเป็นกันมาก ลักษณะอาการคล้ายๆกัน อยู่ดีๆก็ครั่นเนื้อครั่นตัว คืนแรกก็ไข้ค่อนข้างสูงเลย พอหมดฤทธิ์ยาก็เริ่มจับใหม่เลย ใกล้ๆจะ 24 ชม.แล้วนั่นแหละ ระยะการจับไข้จึงจะเริ่มห่างขึ้นและความร้อนจึงจะเริ่มจะลดลง

ทำให้นึกว่า เมื่อเดินทางไปต่างถิ่นนั้น ผู้ใดอย่าได้เจ็บป่วยอะไรใดๆเลยนะครับ  คนส่วนมากจะรู้ตัวล่วงหน้าประมาณสองสามเดือนว่าอาจจะต้องเดินทางไกลไปต่างถิ่น และรู้วันเวลาที่แน่นอนไม่น้อยกว่า 1 เดือนก่อนที่จะต้องเดินทาง    ก็พยายามทำร่างกายให้สมบูรณ์ นอนให้พอเพียง กินให้พอดี ทำใจให้สบาย จัดการเรื่องภาระหรือวันนัดที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาของการเดินทางให้เรียบร้อย  เริ่มหยับจับคัดเสื้อผ้าของใช้ที่คิดว่าจะเอาไปได้แล้ว ฟันเป็นเรื่องใหญ่ไปทำการตรวจสุขภาพฟันเสียล่วงหน้า เตรียมยาประจำตัวให้พร้อม และเกินพอไปสัก 2-3 วัน    หากเป็นยาที่ซื้อเอง ก็ควรจะต้องเป็นยาที่อยู่ในซองบรรจุแยกเป็นเม็ดๆ มีชื่อตัวยาและรายละเิีอียด ฯลฯ พิมพ์อยู่บนซองบรรจุนั้นๆ (อย่าลืมดูวันหมดอายุด้วยนะครับ)     หากเป็นของโรงพยายาล ก็เอาทั้งซองที่เขาจัดมานั้นไปเลย      เรื่องยานี้อย่าทำเป็นเล่นไปนะครับ ครั้งหนึ่งในบางประเทศถึงขนาดถือว่าเป็นฐานของความผิดประการหนึ่งในการเข้าเมืองเลย   

ลองนึกถึงคำต่างๆที่จะต้องใช้ในการเล่าอธิบายความเจ็บป่วยของตัวเองให้คุณหมอฟังดูนะครับ ว่าจะพอไหวใหม     สิ่งที่เกิดจริงๆก็คือ ทั้งคนไข้และหมอช่วยต้องกันเดาเพื่อจะได้หาสมุหฐานของโรคได้ถูกต้อง  ข็อมูลถูกโฉลกกัน ยาก็ปิ๊ง เดี๋ยวเดียวหาย      มันก็พอจะมีวิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้   มนุษย์มีจุดอ่อนทางโรคาพยาธิประจำตนทุกคน ซึ่งเป็นอาการที่เรารู้กับตัวเราเองว่าเป็นอย่างไร เกิดบ่อยๆเพียงใด  ไปหาหมอบ่อยเพียงใด   บางเรื่องก็เป็นอาการประจำตัวเรา มิใช่ที่คุณหมอจะเรียกว่าเป็นโรคประจำตัว  เอาเป็นว่าไปหาหมอก็ขอทราบชื่อโรคเป็นภาษาอังกฤษด้วย  อธิบายคุณหมอหน่อยก็แล้วกันว่าอยากจะทราบไปทำไม ว่าเผื่อเิกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนในระหว่างการเดินทางจะได้บอกเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เขาถูก 

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ม.ค. 13, 20:40
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เช้าๆหนาว กลางวันร้อนแดดจัด   ทำให้ป่วยไข้ได้ง่ายค่ะ 
คิดว่าคุณตั้งคงหายดีแล้ว   ขอต้อนรับกลับมาเล่าเรื่องการเดินทางต่อไป


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 26 ม.ค. 13, 21:30
ในฐานะผู้ติดตามอ่าน ได้ความรู้มากมาย ขอให้หายป่วยโดยเร็วนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 ม.ค. 13, 19:04
ขอบพระคุณมากครับ และโดยเฉพาะสำหรับดอกไม้สีสวยฉ่ำสดใส  ดูแล้วเจริญตาเจริญใจยิ่ง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ม.ค. 13, 18:46
มาติดตามต่อค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 ก.พ. 13, 20:13
กลับไปเรื่องช้อบปิ้งต่ออีกหน่อยครับ

ผมชอบเดินดูสินค้าตามร้านในเมืองเล็กต่างๆ  ไม่เข้าข่ายการช้อบปิ้งนะครับ จะเป็นลักษณะของการเดินชมสินค้ามากกว่า  ทั้งที่เป็นร้านเล็กๆคูหาเดียวไปจนกระทั่งที่เราเรียกว่าห้างสรรพสินค้าดังของจังหวัด  ซึ่งก็มักจะลงเอยด้วยการซื้อของบางอย่างเสมอ

เหตุผลสำคัญ คือ
เรื่องแรก  เครื่องใช้ดีๆรุ่นเก่าที่แข็งแรงทนทาน ฝีมือปราณีต ยังคงพอมีตกค้างขายอยู่ตามร้านเหล่านี้ในต่างจังหวัด ไม่ต้องไปให้ไกลมากหรอกครับ ออกไปแถวห้าแยกปากเกร็ด ก็ยังพอมีอยู่บ้างแล้ว จังหวัดใกล้ๆกรุงเทพฯมีทั้งนั้น  ต่างจังหวัดไกลๆตามอำเภอต่างๆไม่ต้องพูดถึง มีมากมายเลยทีเดียว   
เรื่องที่สอง คนต่างจังหวัดก็อยากมีความทันสมัยเหมือนคนกรุงเทพฯเหมือนกัน ดังนั้น บรรดาเซลแมนหรือเจ้าของร้านหรือห้างสรรพสินค้าก็จะพยายามเลือกสรรสินค้า สั่งมาเข้าร้านให้มีค่อนข้างจะครบเหมือนที่คนกรุงเขาใช้กัน  เราก็สบายซิครับ อยู่กรุงเทพฯต้องไปควานหาว่าซื้อได้ที่ใหน ร้านในต่างจังหวัดเขาเลือกมาแล้ว รวบรวมให้เราแล้ว  แถมไอ้ที่ตกรุ่น ขายไม่ออกเพราะคนต่างจังหวัดเขาไม่สนใจจะใช้มัน จะด้วยเพราะราคาหรือไม่ถูกใจ ไม่ถูกกับวิถีชีวิตของตน ใดๆก็ตาม หลายอย่างเป็นของดีๆทั้งนั้นเลย   ความสุขก็อยู่ตรงนี้แหละครับ 



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 02 ก.พ. 13, 19:27
สถานที่ช้อบปิ้งที่เรารู้จักหรือเขาพาเราไปนั้น อาจจะไม่มีของที่เราประสงค์จะหาซื้อได้  ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องควานหาเองด้วยการถามเจ้าหน้าที่โรงแรมหรือคนอื่นๆ แล้วก็ถามวิธีการไปด้วย ส่วนมากเราก็จะประหยัดไม่อยากเสียค่าแท็กซี่ จะเดินก็ไกล ก็คงต้องใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ  ตรงนี้เอง การเดินทางของเราก็จะเริ่มสนุก มีชีวิตชีวามากขึ้น ได้ผจญความตื่นเต้นเล็กๆน้อยๆ และกำลังเริ่มก้าวไปไต่บนเส้นระหว่าง tourist กับ traveler

ระบบรถขนส่งสาธารณะของแต่ละประเทศมีความต่างกันเป็นธรรมดา รถเมล์ในสหรัฐฯจอดรับคนที่สี่แยกไฟแดงได้ แต่ในในแคนาดาแล้ว ปรกติจะไม่ทำ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศ ในญี่ปุ่น ไม่มีคำว่าจอดนอกป้าย จะต้องจอดในเขตป้ายแล้วจึงเปิดประตู เหล่านี้เป็นต้น เรื่องป้ายจอดป้ายขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก ระบบคล้ายๆกัน สังเกตเพียงเล็กน้อยก็พอจะรู้ เช่น ม้านั่งบ้าง เพิงหลังคาบ้าง หรือกล่องกระจกใสบ้าง  ที่ไม่ค่อยจะรู้จริงๆก็คือ ระบบตั๋ว และระบบการต่อรถ (รถต่อเรือ รถรางต่อรถ ฯลฯ) จะได้กล่าวถึงต่อไปครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ก.พ. 13, 21:20
คนไทยไปต่างประเทศทีไร  สิ่งที่ขาดไม่ได้คือของฝากเล็กๆน้อยๆเอากลับมาฝากคนในครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน ญาติฯลฯ  ไม่มีอะไรติดมือมาเสียเลยก็เหมือนคนใจดำ   ทั้งๆบางทีก็รู้ว่าฝากไปเขาก็อาจจะไม่ใช้ แต่ก็ต้องฝากตามมารยา     ยิ่งเป็นคนกว้างขวางมากเท่าใด  ก็ต้องฝากคนรอบตัวมากเท่านั้น ทำให้ของฝากกินเนื้อที่ในกระเป๋าไปแยะ   หอบหิ้วกันตัวโก่งทีเดียวตอนขากลับ  เจอน้ำหนักเกินเข้า  แทบไม่คุ้มเงินค่าของ

บางทีถ้าไม่ใช่ของเฉพาะตัวมากๆ ที่หาได้เฉพาะในประเทศนั้น      ดิฉันกลับมาซื้อของในกรุงเทพฝากเสียเลยรู้แล้วรู้รอด   จะเอาน้ำหอม เครื่องสำอาง ผ้าพันคอ  ปากกา ห่วงกุญแจ กระเป๋าสตางค์ ฯลฯ ของเรามีหมดในศูนย์การค้าของเรานี่แหละ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 04 ก.พ. 13, 18:51
ระบบการชำระค่าโดยสารของระบบขนส่งมวลชนนั้น มีหนึ่งเดียว คือ จ่ายก่อนขึ้น และตามปรกติ ค่าโดยสารจะขึ้นอยู่กับจำนวนสถานีที่จะเดินทาง    แต่ของระบบขนส่งสาธารณะทั่วๆไป เกือบทั้งหมดจะเป็นขึ้นแล้วค่อยจ่าย ซึ่งก็จะมีทั้งแบบราคาเดียวตลอดสาย หรือราคาตามระยะทาง 

ดูไม่ค่อยจะเป็นเรื่องยุ่งอะไรเลย  มันก็พอมีให้ได้ต้องเผชิญปัญหาเหมือนกัน   

สำหรับระบบขนส่งมวลชนนั้น หากลงก่อนถึงหรือลงเลยสถานีที่ได้จ่ายค่าโดยสารไว้ จะออกตามระบบปรกติที่เขาออกกันไม่ได้ เครื่องกั้นจะไม่ยอม เราต้องไปปรับค่าโดยสารให้ถูกต้องตามระยะทางที่ห้องบริการเสียก่อน จึงจะออกจากสถานีได้ ลงก่อนอาจได้หรือไม่ได้เงินที่จ่ายเกิน แต่ลงเลยต้องจ่ายเพิ่มแน่ๆ    ผมเข้าใจว่าในระบบคงจะต้องมีการเสียค่าปรับด้วย แต่ก็ไม่เคยเห็นโดนกัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าส่วนมากจะเลยไปเพียงสถานี สองสถานีเท่านั้น แสดงถึงความไม่ได้ตั้งใจจะโกง หากเลยไปแทบจะตลอดสายคงจะโดนแน่ๆเพราะเป็นการแสดงความจงใจที่จะไม่ซื่อ     
ดูก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยนะครับ แม้แต่บางทีเราไม่เจอคนเลย เจอแต่ตู้ที่ใช้สำหรับหารปรับค่าโดยสารให้ถูกต้องตามระยะทางก็ตาม 

สำหรับระบบขนส่งสาธารธะทั่วๆไปนั้น ดังกล่าวแล้วว่า ส่วนมากจะเป็นขึ้นก่อนจ่าย  แต่มันมีหลากหลายรูปแบบ
ขอเรียงเรื่องให้ดีก่อนจะเขียนต่อครับ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 05 ก.พ. 13, 20:32
แบบแรกขึ้นทางประตูหน้ารถ  ลงได้ทั้งทางประตูหน้าหรือประตูหลัง

แบบนี้มีความต่างกันในรายละเอียดสองสามเรื่อง คือ
 
หากเราไม่เห็นกล่องแก้วทรงสี่เหลี่ยมใสๆวางอยู่บนแท่นข้างคนขับ ก็มีสองทางที่จะเสียค่าโดยสาร คือ ขึ้นไปจ่ายที่คนขับรถ หรือไม่ก็ต้องไปหาที่ๆเขาขายตั๋ว ซึ่งมักจะเป็นบูทหรือร้านคูหาเล็กๆที่ขายบุหรี่และหนังสือพิมพ์
 
หากแลเห็นกล่องที่ว่านี้  อันนี้ทราบไว้เลยว่า จะต้องใช้เหรียญหยอดลงในกล่องแก้วนั้น ในราคาที่พอดีกับค่าตั๋วเท่านั้น ไม่มีการทอนเงินเด็ดขาด แต่หากหยอดขาด ตอนขาลง คนขับเขาจะพอจำได้ ก็จะไม่เปิดประตูหลังให้ลง แต่จะให้เดินมาหยอดเพิ่มจำนวนที่ขาดไป   

บางทีเราอาจจะเห็นคนขับรถฉีกตั๋วให้ผู้โดยสารบางคนเมื่อได้ชำระค่าโดยสารแล้ว  มันคือตั๋วสำหรับต่อรถคันอื่นหรือต่อเรือ ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะการเดินทางที่ไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น จะเก็บไว้เอามาใช้ตอนขากลับบ้านไม่ได้

ระบบการเก็บตั๋วแบบรถประจำทางของไทยเราก็มี เคยเห็นแต่เฉพาะประเทศในเอเซีย ในสิงค์โปร์ใช้วิธีเคาะราวจับ เป็นร่องรอยทำให้รู้สึกสากมือเมื่อจับราว


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 05 ก.พ. 13, 21:18
เรื่องขึ้นรถเมล์นี้แม้คนในประเทศนั้นก็ต้องคอยสังเกตเพราะต่างเมืองต่างระบบ บางแห่งต้องมีเหรียญเงินพอดีใส่ตู้กระจก (จะเขียนว่า Exact change only) บางแห่งคนขับจะแตกธนบัตร์เป็นเหรียญเงินให้ โดยเขามีที่จ่ายเหรียญ (coin dispenser) ติดอยู่ตรงข้างตู้กระจก แล้วผู้โดยสารหยอดเงินเอง (ผมว่าอันนี้เขาทำกันคนชับไม่ซื่อ) มีหลายแห่งที่ต่อไปขึ้นอีกสายได้ อาจแบบขึ้นรถใต้ดินแล้วไปต่อรถเมล์ บางแห่งต้องแถมเงินหน่อยแต่ยังถูกกว่าซื้อสองทอด บางแห่งต่อได้ฟรี เพียงแต่ยื่นมือขอ คนขับก็ออกใบต่อเส้นทาง (transfer) ให้ ใบพวกนี้จะระบุช่วงเวลาใช้ ไม่ใช่ว่าระหว่างต่อไปช้อปปิ้งได้

ผมเป็นบ้านนอกไปเที่ยวญี่ปุ่น ขึ้นรถด่วนจากโตเกียวไปเกียวโต เอาตั๋วเสียบไว้หลังที่นั่งข้างหน้าแบบทำในอเมริกา (เวลานายตรวจมาจะได้ไม่ต้องค้น ถ้าหลับเขาก็ไม่ต้องกวน) ลืมเก็บตั๋วตอนลงที่เกียวโต มารู้ตัวตอนลงไปยืนชานชาลาแล้ว จะกลับไปบนรถก็คิดว่าคงติดรถไปแน่ๆเพราะตอนผ่านเมืองโอซาก้า (พลเมืองขนาดชิคาโก) เขาหยุดแค่ ๑ นาทีพอดี เลยเดินออกจากชานชาลาไม่ได้ คนเก็บตั๋วส่งไปที่ตู้มีเขียนว่า Fare adjustment  (ทั้งสถานีมีภาษาอังกฤษป้ายนี้ป้ายเดียว คงมีบ้านนอกแบบผมหลายคน)  บังเอิญมีตั๋วขากลับก็ยื่นให้เขาดู เขาเขียนอะไรลงในเศษกระดาษให้ผมเอาไปยื่นให้คนเก็บตั๋ว ถึงออกได้ คิดว่าคงเขียนว่า อนุญาตให้คนเซิ่อนี้ผ่านได้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 05 ก.พ. 13, 22:17
เคยไปขึ้นรถเมล์ที่เมืองโมดินา อิตาลีครับ  ที่นั่นจะต้องเตรียมเงินให้พอดีกับค่าตั๋วไปหยอดซื้อจากตู้ขายบนรถเลย ถ้าเงินไม่พอดีก็จ่ายเกินได้ แต่เครื่องไม่ทอนให้ ซื้อแล้วตั๋วรถเมล์จะเป็นแบบระบุเวลาไว้ เช่นหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังซื้อตั๋ว ระหว่างนั้นเราจะนั่งรถเมล์กี่ต่อ กี่สาย ขึ้นลงกี่รอบก็ไม่มีใครว่า ขอแค่อย่าให้เวลาหมดก็แล้วกัน ผมซื้อตั๋วนั่งจากสถานีรถไฟ แวะลงซื้ออาหารจีน ขึ้นรถเมล์ต่อกลับโรงแรมซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไม่มีปัญหา ผมชมเมืองโดยวิธีซื้อตั๋ว ขอ bus map ให้พอรู้ว่าสายไหนไปไหนต่อที่ไหน แล้วนั่งชมเมืองไปเรื่อยๆ เปลี่ยนสายไปคันโน้นคันนี้บ้างสนุกดีครับ


ที่ยุโรปหลายๆ ประเทศหลายๆ เมืองจะใช้ระบบแบบนี้กันเพราะรถราเค้าไม่ติด รถเมล์มาตรงเวลา ถ้าเราจะนั่งไกลไปหลายต่อก็จ่ายค่าตั๋วแพงหน่อยก็จะได้เวลาเพิ่ม


ตอนขึ้นใหม่ๆ ก็สงสัยว่าแล้วแบบนี้จะซื้อตั๋วทำไม เพราะคนขับก็ไม่รับรู้ว่าเรามีตั๋วหรือไม่มี ซักพักก็มีนายตรวจขึ้นมาตรวจ  ใครไม่มีตั๋วก็จะโดนปรับกันตอนนั้นเลย คันที่ผมนั่งมีพวกที่โดนปรับหลายคนเหมือนกัน แต่นั่งวันอื่นๆ ไม่เคยเจอนายตรวจอีกเลย  ได้ยินว่าในบางประเทศเช่นแถวเยอรมันไม่มีนายตรวจเลยด้วยซ้ำ เพราะคนเค้าซื่อสัตย์กว่ามาก


แต่ในประเทศอังกฤษ ถ้าไม่มีตั๋วเดือนโดยทั่วไปก็จะซื้อตั๋วที่คนขับรถครับ บอกว่าจะไปลงไหนคนขับก็จะบอกเรทมา เราจ่ายไปเค้าก็ให้ตั๋วทอนตังค์ให้ คนขับเป็นทั้งคนขับทั้งกระเป๋าไปด้วย เวลาขึ้นรถต้องขึ้นทางหน้ารถ ลงกลางรถเป็นธรรมเนียม เวลาคนขึ้นเยอะๆ ก็ต้องรอนานหน่อยกว่าคนขับจะขายตั๋วเสร็จออกรถได้ แต่ในเมืองใหญ่เช่นลอนดอนราคาตั๋วอาจตายตัวเลยและผู้คนจะนิยมซื้อเป็นบัตรโดยสารแบบเติมเงินที่ใช้ได้ทั้งรถเมล์รถไฟใต้ดิน ขึ้นรถก็เอาบัตรไปทาบที่เครื่องอ่านมันก็หักค่าตั๋วจากบัตรเราเอง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 06 ก.พ. 13, 18:18
ระบบ transfer ต่อรถ ต่อเรือ ที่คุณหมอศานติได้ขยายความมานั้น (ใช้ใบ transfer)   สายหนึ่งของพัฒนาการได้ไปเป็นระบบจะต่อรถเรืออย่างไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายในเวลาที่กำหนดดังที่คุณประกอบกล่าวถึง  แล้วก็พัฒนาการอีกสายหนึ่ง คือ จ่ายครั้งเดียว เดินทางได้ทั้งวัน แบบนี้ก็มีครับ

แบบจ่ายครั้งเดียวใช้ได้ทั้งวันนี้ เขาทำได้ด้วยเหตุหลายประการคือ รัฐมีพื้นฐานทางนโยบายแห่งรัฐไปในทางรัฐสวัสดิการและสังคมนิยม (อ่อนๆ) ประชาชนมีความซื่อสัตย์เกือบเต็มร้อย ประชาชนมีความเข้าใจและเคร่งครััดปฏิบัติในเรื่องสิทธิและหน้าที่เป็นอย่างดี   แม้ภาพในองค์รวมจะซื่อสัตย์อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนชาติอื่นมาอยู่ร่วมอาศัยในเมือง ก็จะมีคนที่ไม่ซื่อรวมอยู่ด้วย จึงต้องมีนายตรวจเืหมือนกัน  นายตรวจพวกนี้แต่งตัวธรรมดา ไม่มีเครื่องแบบใดๆ ขึ้นรถมาเหมือนผู้โดยสารธรรมดา พอรถออกก็จะเอาตรามาเสียบที่หน้าอก ขอดูตั๋ว สุภาพมาก แล้วก็ไม่ทำให้ผู้ที่ถูกจับอับอายด้วย พอรถจอดป้ายก็ขอให้คนที่ถูกจับลงป้ายไปพร้อมๆกับ  ครับลงไปรับใบสั่งปรับ ให้ส่งเงินค่าปรับด้วยการโอนเงินหรือสั่งจ่ายผ่านทางธนาคาร   ผมอยู่มาสี่ปีเคยเห็นคนถูกจับครั้งเดียวเท่านั้น 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 08 ก.พ. 13, 17:45
มีระบบเสียค่าโดยสารอีกแบบหนึ่ง เป็นระบบขึ้นทางประตูด้านหลัง ลงทางประตูด้านหน้า  เป็นระบบคิดค่าโดยสารตามระยะทาง (คิดเป็นโซน)   ระบบแบบนี้นักท่องเที่ยวมักจะหลุดกันและต้องชำระค่าโดยสารเต็มระยะเส้นทางการเดินรถสายนั้น   

ที่ข้างบันใดทางขึ้นเขาจะมีกล่องตั๋วที่จะมีกระดาษตั๋วยื่นมาให้เราฉีกเก็บไว้ พอจะลงก็เดินไปด้านหน้า ยื่นตั๋วให้คนขับพร้อมเงินค่าโดยสาร  ระบบตั๋วประเภทนี้ ที่ด้านหน้าของรถจะมีแป้นแสดงตัวเลขเป็นช่องๆบอกค่าโดยสาร   ผมเองก็ไม่เข้าใจดีพอในการอ่านค่าโดยสารตามแป้นแสดงราคานี้   รู้สึกว่าแต่ละช่องของแป้นนี้หมายถึงป้ายหรือโซนที่เราขึ้นรถ เมื่อเปลียนโซนหรือระยะทางแต่ละช่องก็จะปรับตัวเลขไปเรื่อยๆ   หมายความว่า เมื่อเราขึ้นรถ (และฉีกตั๋วติดมือไปด้วยแล้ว) เรายังจะต้องดูและจำตำแหน่งของช่องในป้ายแสดงราคานั้นด้วย เมื่อเราจะลงก็เพียงดูในราคาค่าโดยสารในช่องที่เราขึ้นรถนั้น   จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยเจอระบบประเภทที่ไม่ให้จ่ายกับคนขับรถ แต่ให้ใช้วิธีหยอดเหรียญในกล่องเก็บค่าโดยสาร ก็ประเภทไม่มีการทอนเหมือนกัน   ค่อนข้างจะยุ่งยากดีครับ  ผมโดนประเภทต้องจ่ายเต็มตลอดเส้นทางมาสองสามหน ลืมสังเกตและไม่ได้ฉีกตั่วตอนขาขึ้นรถ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 08 ก.พ. 13, 21:40
บางแห่ง เช่นที่ Prague ต้องซื้อตั๋วรถจากร้านบุหรี่เท่านั้นครับ ไม่สามารถไปซื้อบนรถได้ ผมเคยเจอร้านบุหรีปิด ไม่รู้จะซื้อตั๋วยังไง tram วิ่งผ่านหน้าไปแท้ๆ แต่ขึ้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาส จะซื้อไว้หลายๆ ใบ เก็บเอาไว้ใช้เมื่อไหร่ก็ได้ครับ เพราะตั๋วแบบนี้ใช้ได้กับรถทุกสาย

เมื่อขึ้นไปแล้วต้องเอาตั๋วไป validate ที่เครื่องที่อยู่บนรถ เครื่องนี้จะพิมพ์หมายเลขสายรถ เวลา และทิศทางที่รถวิ่งไป เอาไว้ให้นายตรวจมาตรวจสอบได้ หากมีตั๋ว แต่ไม่ validate นายตรวจขึ้นมาเจอก็โดนปรับหนัก ระบบนี้ใช้ในหลายๆ เมืองในยุโรปด้วยครับ นอกจากจะใช้กับรถเมล์แล้ว ยังใช้กับรถไฟด้วย แต่ถ้าเป็นรถไฟ เครื่อง validate จะอยู่ที่ชานชาลาในสถานีรถไฟครับ

การใช้ระบบรถสาธารณะพวกนี้ หากเป็นการเดินทางในเมืองที่รถไม่ได้ติดมาก จะพบว่าหากเดินทางสักสองสามคนขึ้นไป บางทีค่า taxi อาจจะถูกกว่า (เช่นในบางกอกเมืองฟ้าอมร) ผมเคยเจอว่าในมิวนิคจะมีตั๋วหมู่ ซื้อตั๋วในราคาประมาณเท่าตั๋วสองใบเศษๆ แต่ใช้เดินทางได้พร้อมๆ กัน 4 หรือ 5 คน ถ้ามีเด็กหลายคนอาจได้ถึง 6 คนด้วยครับ นับว่าเป็นการจูงใจให้ใช้รถสาธารณะที่ดีทีเดียวครับ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 09 ก.พ. 13, 19:03
^
ใช่ครับ   ในยุโรปเกือบทั้งหมดจะต้องซื้อตั๋วรถเมล์หรือรถรางจากร้านขายบุหรี่ที่เรียกว่า Tabak ซึ่งมักจะเป็นร้านคูหาเล็กๆ แต่ป้าย Tabak ใหญ่เห็นได้ชัดเจน  นอกจากจะเป็นร้านแบบคูหาในตึกแถวแล้ว  ก็ยังมีร้านที่เป็นแบบตู้ (Box หรือ Kiosk) ตั้งอยู่บนทางเท้าขางถนน เรียกว่า Tabak Kiosk  ร้าน Tabak พวกนี้ ที่จริงแล้วไม่ได้ขายแต่บุหรี่เท่านั้น ยังขายหนังสือพิมพ์และวารสารต่างๆด้วย

ตั๋วรถนอกจากจะมีแบบรายวัน มีแบบกลุ่มแล้ว ยังมีแบบเป็นสัปดาห์ด้วย (ซึ่งจะต้อง validate แต่ละวันที่ใช้  ผมเรียกว่าต๊อกตั๋ว)  ในเวียนนา ออสเตรีย มีตั๋วแบบเดือน และแบบปีด้วย ซึ่งจะเป็นแบบบัตรที่ระบุช่วงเวลาที่สามารถจะใช้ตั๋วได้ ไม่ต้องทำการต๊อกใดๆเมื่อขึ้นรถ ตั๋วปีนี้ดีนะครับ จ่ายค่าตั๋วเท่ากับสิบเดือนเท่านั้น (แถมให้สองเดือนหรือลดราคาให้สองเดือน)   การต่อรถพวกนี้ไม่ค่อยจะยุ่งยากนัก เช่น สาย 38 จะมีทั้งช่วงที่ใช้รถรางและช่วงที่ใช้รถบัส  ทำให้จำนวนหมายเลขของเส้นทางเดินรถไม่มากเหมือนอย่างของเรา

เรื่องรถประจำทางหรือรถรางที่ดูเหมือนกับจะขึ้นฟรีในยุโรปนี้ แท้จริงแล้วมันพอมีเหตุผลรองรับอยู่เหมือนกัน  หลักใหญ่ก็คือการให้บริการนักท่องเที่ยว เหมือนกับเป็นการลงทุนของเมืองต่างๆเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปใหนมาใหนได้สะดวก ระบบบริการรถเมล์หรือรถรางจึงดูเหมือนจะขาดทุน แต่ที่จริงแล้วกลับกลายเป็นว่า เป็นการนำพานักท่องเที่ยวให้เอาเงินไปกระจายจ่ายให้กับธุรกิจในชุมชนที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว  ซึ่งก็คือการกระจายรายได้แบบโดยตรงถึงผู้คนในท้องถิ่นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเลย ไม่ต้องผ่านระบบการจัดการของรัฐที่จะเก็บเป็นภาษีแล้วจัดเป็นงบประมาณแบ่งส่วนส่งให้กับท้องถิ่นไปพัฒนาท้องที่ต่างๆ  (เสมือนหนึ่งเป็นระบบการ subsidized ของรัฐ ที่ไม่ผิดหลักการการบิดเบือนตลาด)   ผมว่าแนวคิดแบบนี้น่าสนใจเหมือนกันนะครับ   บางทีเราอาจจะต้องหันมาพิจารณารูปแบบการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบใ้ห้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นรูปธรรม โดยตรง และในทันทีในลักษณะทำนองนี้ ก็น่าจะลองคิดดู

การท่องเที่ยวในยุโรปนั้น มีทั้งคนในประเทศของตนเอง คนในประเทศข้างเคียง และคนจากโพ้นทะเล  จัดเป็นเรื่องที่สร้างรายได้ให้กับประเทศและชุมชนท้องถิ่นอย่างมาก  ประชากรของแต่ละประเทศมีไม่มากนัก ส่วนมากจะอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 10 +/- ล้านคน  แต่แต่ละประเทศจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาปีละประมาณ 40 +/- ล้านคน      ผมเคยคิดดังๆให้ผู้ใหญ่หลายคนฟังว่า ทำไมจะต้องมุ่งคิดค้าขายกับประเทศนั้นประเทศนี้เป็นการเฉพาะ (เช่น ขยายตลาดกุ้ง ไก่ อาหารต่างๆ ฯลฯ) เพื่อให้มีปริมาณการส่งออกมากขึ้น เพิ่มปริมาณการค้าขายให้มากขึ้นเป็นการใหญ่  ทำไมไม่คิดที่จะส่งเสริมการค้าขายสินค้าที่มีเป้าหมายกับนักท่องเที่ยวที่มีมากมายและหลากหลายเผ่าพันธุ์ในแต่ละปีในประเทศเหล่านั้น     เวียนามดูจะคิดแบบที่ผมว่านี้ สินค้าของเขาึจึงมีเกร่อไปหมด ตั้งแต่เสื้อผ้าราคาถูกไปจนถึงเครื่องปั้นดินเผา เวียดนามดูเหมือนจะจับตลาดใน Prague   ลาวก็ทำเหมือนกัน โดยการเปิดร้านขายอาหารไทยเต็มไปหมด (เช่น แทบจะเรียกได้ว่า ร้านอาหารไทยในบูดาเปสทั้งหมด มีเจ้าของเป็นคนลาว) ลาวดูเหมือนจะจับตลาดใน Budapest         



   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 10 ก.พ. 13, 17:51
พูดถึงบูดาเปสและปราค เลยทำให้นึกถึงชื่อเมืองหลายเมืองในยุโรปที่ชาวถิ่นเขาเรียกกัน ซึ่งอาจทำให้เรางงๆได้เหมือนกัน 

ในอดีตนั้น เมืองต่างๆในยุโรปมักจะมีลักษณะเป็นนครรัฐ แล้วก็ถูกรวมเข้ามาเป็นอาณาจักร เป็นจักรวรรดิ ปกครองโดยมหาอำนาจ ชื่อเมืองเดิมก็ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นชื่อใหม่ ตอนหลังมีการแบ่งเขตการปกครอง มีเส้นเขตแดนชัดเจน แยกเป็นลักษณะแต่ละประเทศ ชื่อเมืองที่เปลี่ยนไปบ้างก็กลับมาใช้ชื่อเดิม พอเิิกิดการล่มสลายของอิทธิพลรัสเซีย เกิดประเทศใหม่ขึ้นมา ก็มีการเปลี่ยนชื่อเมืองอีก   

เอาละครับ แต่ละประเทศจึงมีชื่อเรียกเมืองของตนอย่างเป็นทางการ (ของตน)  มีชื่อเรียกทางการเหมือนกันแต่เป็นแบบที่สากลเขาเรียกกัน แล้วก็มีชื่อเมืองที่เรียกโดยประเทศที่เคยปกครองเดิม

อาทิ   เมือง Milan อิตาลีเรียกว่า Milano    เมือง Venice อิตาลีเรียกว่า Venezia    เมือง Florence อิตาลีเรียก Firenze   เมือง Bratislava เมืองหลวงของ Slovakia ออสเตรียเรียกว่า Presburg (ป้ายบอกทางในออสตรียบางป้ายยังใช้ชื่อนี้)    เมือง Munich  เยอรมันเรียกว่า Muenchen    เมือง Cologne เยอรมันเรียก Koeln    เมือง Prague เช็ดเรียกว่า Praha    ประเทศ Switzerland ก็เรียกว่า Suisse  เหล่านี้เป็นต้น

ครั้งหนึ่งผมขับรถออกจากสวิสตามป้ายจะเข้าไปเยอรมัน จากป้ายใหญ่ ถนนใหญ่ ก็เข้าสู่เมืองชายแดนเล็กๆ  เหลือป้ายปักบอกทางขนาดกว้างเท่าไม้กระดานแผ่นนึง เขียนว่า Allemagne  หะแรกก็งง นึกไม่ทัน   แล้วก็อ้อ คือ เยอรมัน นั่นเอง       



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 11 ก.พ. 13, 15:14
แผนกนำภาพมาประกอบคะเมืองบูดา-เปส(เรียกชื่อรวมทั้งฝั่งซ้าย -ขวา )
มีแม่น้ำดานูบผ่านกลางเมืองเหมือนกรุงเทพกับฝั่งธนบุรีเลย
บูดาคือส่วนของเมืองเก่า เปสอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นเขตเมืองใหม่ใช่ไหมคะ
(ที่เห็นเป็นตึกสีขาวเล็กๆ ไกลสายตา)


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 ก.พ. 13, 19:00
ครับ   

บูดาเปส เป็นเมืองแฝดสองเมือง (บูดา กับ เปส) อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกัน  พื้นที่ของฝั่งบูดามีลักษณะป็นเนินลอนคลื่น (หรือเขา)  พื้นที่ฝั่งเปสมีลักษณะเป็นที่ราบเกือบทั้งหมด   คนส่วนมากก็จะกล่าวกันว่าฝั่งเมืองบูดาเป็นเืมืองเก่า และฝั่งเมืองเปสเป็นเมืองใหม่   สำหรับผมนั้น เท่าที่เคยอ่านพบมา ทั้งสองฝั่งทั้งสองเมืองมันก็เก่าพอๆกันนั่นแหละครับ ต่างกันตรงที่ ฝั่งบูดาจะเป็นพื้นที่ตั้งของฝ่ายปกครอง ส่วนฝั่งเปสจะเป็นพื้นที่ของฝ่่ายประชาชนทำธุรกิจต่างๆ

เมืองแฝดนี้ คั่นกลางด้วยแม่น้ำดานูป  ก็เลยจะขอขยายความเรื่องแม่น้ำสายนี้หน่อยนึง

แม่น้ำดานูป (Danube) นี้เป็นชื่อที่คนทั่วโลกเขาเรียกกัน  แต่ในท้องถิ่นจะมีชื่อแปลกๆออกไปตามสำเนียงและภาษาของแต่ละประเทศแม่น้ำนี้ไหลผ่าน   ที่ออกเสียงเพี้ยนๆไปจนแทบจะกลายเป็นชื่อของแม่น้ำอีกสายหนึ่ง ก็คือ ดาโน (Danau) และ โดเนา (Donau)  แม่น้ำนี้เป็นเส้นทางหลักของการติดต่อค้าขายของชนชาติต่างๆในยุโรป จึงมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของยุโรปผูกพันกับพื้นที่ตลอดเส้นทางที่มันไหลผ่าน  หากจำได้ไม่ผิด ชนชาติที่เป็นนักเดินทางค้าขายและเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ชนชาติ Serb และ Slav    ในปัจจุบันนี้ แม่น้ำดานูปหลายช่วงมากได้ถูกปรับเลี่ยนเส้นทางโดยขุดร่องให้ลึกขึ้นและเป็นเส้นตรงมากขึ้น สำหรับการเดินเรือสินค้าต่างๆ  ตลอดจนมีการสร้างเขื่อนดินตลอดสองฝั่งของแม่น้ำ (artificial levee) เพื่อกันน้ำท่วม  จึงเหลือส่วนของแม่น้ำที่ยังคงเป็นแม่น้ำเดิม ซึ่งส่วนของแม่น้ำเดิมพวกนี้ (มักเรียกว่า Alte Donau) ในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย

ก่อนที่จะลืมเล่าไป  ซื่อเสียงของแม่น้ำดานูปนี้ดังมากๆขนาดที่หลายคนคงฝันเห็นความสวยงามของมัน ตามท่วงทำนองเพลง Blue Danube (An der schoenen blauen Donau - The Beautiful Blue Danube) ของ Strauss   หลายคนคงอยากจะนั่งเรือล่องไปตามลำน้ำนี้ เหมือนนั่งเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาของเรา   อืม์ อย่าได้ลองนะครับ เรือเขาใช้เวลานานมากๆ (มากๆ) บนเรือมีแต่เบียร์กับไวน์ เมาแล้วเมาอีกละครับ นั่งกันจนเบื่อไปเลย มันมีเพียงบางช่วงเท่านั้นที่สองฝั่งแม่น้ำสวย  เอาเวลานั่งรถไปแวะเป็นที่ๆ ที่ทัวร์เขาพาไปก็พอแล้ว ที่เขาพาไปนั้นแหละคือที่สวยๆทั้งนั้น จะได้ใช้เวลาไปเที่ยวที่อื่นคุ้มค่ากว่านั่งเรือเยอะแยะครับ   

 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ก.พ. 13, 19:10
http://www.youtube.com/watch?v=PCge-suZLWw


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 13 ก.พ. 13, 21:40
ฟังเพลงแล้วเลยทำให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง

สมัย ร.5 เสด็จประพาสยุโรปนั้น รู้สึกว่าจะเป็นยุคของเพลง Waltz พวกนี้ครับ

เพื่อเพิ่มควมสุนทรีย์ให้อีกสักหน่อย

ทุกวันสิ้นปีจะมีการแสดงการบรรเลงเพลงในเวียนนา ที่เรียกว่า Neujahrskonzert ซึ่งเพลงเกือบทั้งหมดจะเป็นของ Strauss   น่าฟังมากครับ   ในแต่ละปีก็จะมีวาทยากรดังๆมากำกับวงคนตรี   ที่อยากจะแนะนำให้พอให้ได้รับรู้ว่า วาทยากรเก่งๆนั้นเป็นอย่างไร  ก็ลองเข้าไปในยูทูบ  ลองหาเพลง Radetzky March ที่แสดงใน Vienna New Year Concert ของแต่ละปี  ตั้งใจฟังเปรียบเทียบกัน   เราก็จะพอแยกออกได้ว่า วาทยากรคนใหนกำกับเพลงได้ดีและเพราะพริ้งมากๆ  ที่แนะนำเพลงนี้และในงานแสดงนี้ก็เพราะ เป็นเพลงที่เราค่อนข้างจะคุ้นมากและเห็นความต่างของการเล่นดนตรีได้ค่อนข้างจะชัดเจน  วงที่เล่นก็วงเดิม นักดนตรีที่เล่นในแต่ละปีก็แทบจะเป็นคนเดิมทั้งหมด   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ก.พ. 13, 22:00
หามาให้ฟังพอเป็นตัวอย่างค่ะ

http://www.youtube.com/watch?v=FHFf7NIwOHQ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 14 ก.พ. 13, 18:45
พูดถึงปร๊าคและบูดาเปส  ทำให้นึกถึงอีกเื่รื่องหนึ่ง  คือ ของหายและรถยนต์หาย 

หากเรารู้จักเพื่อนที่เขามีรถ ไม่ว่าเพื่อนจะเสนอที่จะขับรถพาเราไปเที่ยวหรือเราจะขอให้เพื่อนพาไปเที่ยว   กรุณาอย่ากระทำและกรุณาปฏิเสธไปเลยครับ  ไปสร้างความอึดอัดใจให้กับเพื่อนเปล่าๆ   ประการแรก สถานที่จอดรถก็มีไม่มาก แถมรถถูกขโมยอีก  สถานการณ์แย่มากพอที่บริษัทประกันจะระบุไว้ในกรมธรรม์เลยว่า ยกเว้นประเทศเช็คและฮังการี (รวมทั้งประเทศอื่นๆในยุโรปตะวันออก)     ในอิตาลี โดยเฉพาะที่มิลานก็ไม่เบาเหมือนกัน ขนาดประตูห้องนอนยังใช้ระบบล็อกแบบตู้เซฟเลย  หน้าต่างต้องปิด ลงกลอนให้ดี เขาจะใช้ระบบมู่ลี่ไม้ระแนงที่ยกขึ้นลงเหมือนประตูเหล็กตามห้องแถวของเรา  เป็นรูปแบบที่ดังมากพอขนาดเป็นที่รู้จักกันในหมู่สถาปนิกว่าเป็น style แบบอิตาลี


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 ก.พ. 13, 18:16
ไปเรื่องการจราจรกันดีใหมครับ

คงทราบกันอยู่แล้วว่า รถยนต์มีทั้งขับชิดซ้ายและขับชิดขวา  แล้วก็คงทราบเช่นกันอยู่ว่าพวกขับชิดซ้ายรับมาจากอังกฤษ ส่วนขับชิดขวานั้นไม่แน่ใจว่าจากอิทธิพลของชาติมหาอำนาจใด (เข้าใจว่าจะเป็นจากฝรั่งเศสและอเมริกัีน)   ลึกๆของที่มาที่ไปของการขับชิดซ้ายหรือชิดขวาก็มีอยู่เหมือนกัน  นัยว่ามันมาจากสองเรื่อง คือ เรื่องนึงมาจากการขี่ม้าสัญจรที่ต้องการปล่อยมือขวาให้ว่าง เพื่อจะได้ใช้ในการทักทายหรือชักอาวุธสู้กัน จึงเป็นที่มาของการนั่งขับรถด้านขวา (ขับชิดซ้ายของถนน)   และอีกเรื่องนึงมากจากการขับรถม้าโดยนั่งชิดซ้าย เพื่อจะได้ใช้มือขวาขยับแซ่บังคับม้า จึงเป็นที่มาของการนั่งขับรถด้านซ้าย (ขับชิดขวาของถนน)     แต่กับเรือนี้ดูจะเหมือนกันหมดทั้งโลก คือ ชิดขวาเสมอ แต่ก็มีข้อยกเว้น คือ หากเป็นเรือที่อยู่ในขาขึ้นทวนน้ำ จะต้องเบียดติดโค้งด้านใน และเรือขาล่องจะต้องอยู่ด้านนอกของโค้งเสมอ

ก็ปรากฏว่้าในช่วงประมาณทศวรรษที่สองของ ค.ศ.1900 ประเทศในยุโรปก็ได้ทะยอยเปลี่ยนจากการขับรถชิดซ้่ายไปเป็นชิดขวากันดังในปัจจุบัน ด้วยความสมัครใจก็มี ด้วยการถูกบังคับก็มี (ช่วงสงคราม) และด้วยต้องการเพิ่มพูนประโยชน์ทางเศรษฐกิจก็มี   

เกิด AEC ขึ้นมา ไม่รู้ว่าไทยคิดจะเปลี่ยนไปขับชิดขวาหรือไม่  ไม่แน่นะครับ (อาจจะเป็นโครงการเพื่อสร้างให้กระเป๋าตุงกันอีกครั้งก็เป็นได้) ก็เพราะรอบตัวเราที่มีอาณาเขตติดต่อกัน และเป็นที่ซึ่งเราเราหวังจะให้เป็นแหล่งฐานทางอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจต้นน้ำของเรา (พม่า ลาว เขมร เวียดนาม) ต่างก็ขับชิดขวาทั้งนั้น ยกเว้นมาเลย์เซียเท่านั้น  แถมเรายังอยากจะเป็น hub ทาง logistic อีกด้วย จะให้สำเร็จง่ายๆก็คงต้องยอมไปเหมือนเขา จะไปบังคับให้เขายอมมาเหมือนเรา คงยาก    แถมหน่อย ตู้ container ตามมาตรฐานสากล ที่เห็นลากกันทั่วเมืองไทยนั้น ขนาดกว้าง ยาว สูง ของมันไม่ถูกต้องตามกฎหมายไทยเกือบทั้งนั้น

พอครับ ว่าจะไปเรื่องของวิธีการจัดการกับการผิดกฏจราจรเขาทำกันอย่างไรบ้าง


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 26 ก.พ. 13, 19:41
แค่การจราจรที่กำลังจะเป็นจราจลบนถนนทุกวันนี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้วค่ะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 11 มี.ค. 13, 19:29
ขออภัยที่หายไปดื้อๆเสียนานครับ

ก็มีเหตุผลอยู่สองประการ คือ รำคาญจมูกตันและน้ำมูกที่ข้น เป็นต่อเนื่องมาเป็นเดือนเลย เดี๋ยวก็ทั้งสองข้าง เดี๋ยวก็ข้างเดียว  แล้วอีกประการหนึ่งก็ว่าจะรอฟังวิสัยทัศน์ของผู้สมัครเป็นผู้ว่า กทม. ในการหาเสียงของเขาทั้งหลายนั้น  ซึ่งฟังแล้วก็ให้เป็นอันรู้สึกไปในทาง -ve ว่า ความเป็น กทม. เมืองหลวงของประเทศนี้ หน้าตาจะเป็นอย่างไรต่อไป

ในระหว่างพักหายไปนี้ ก็ได้ไปตรวจที่ รพ. ผลที่พบของความเจ็บป่วยนี้ ทำให้ต้องไปค้นหาอ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างค่อนข้างจะเข้มข้นและละเอียดพอควรตามเว็ปไซด์ทางการแพทย์ และการวิจัยต่างๆเท่าที่จะหาอ่านได้ พร้อมๆไปกับการจัดการความพร้อมในทุกๆด้าน

นี่แหละครับจึงทำให้หายไปเสียนาน   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 มี.ค. 13, 19:44
ขอให้หายจากอาการป่วยเร็วๆนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: พวงแก้ว ที่ 12 มี.ค. 13, 20:38
ขอให้หายป่วยโดยเร็วกลับมาเล่าเรื่องต่างๆให้พวกเราฟังอีกนะคะ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 12 มี.ค. 13, 21:15
ขอบพระคุณมากๆสำหรับคำอวยพรครับ



กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 15 มี.ค. 13, 22:11
เรื่องขับรถเร็ว  จะขอเริ่มที่เรื่องบนทางหลวง

ผมว่าการกำหนดความเร็วในประเทศต่างๆ น่าจะเกือบทั่วโลก มีความเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความเร็วเดินทางของรถต่างๆบนถนนกับความเร็วที่กำหนดไม่สอดคลองกันเลย

ผมเห็นน้อยมากที่จะมีความใกล้เคียงพอที่จะเรียกว่าสอดคล้องกัน แล้วก็พบว่าบนทางด่วนและทางหลวงระหว่างเมืองเท่าที่เคยเดินทางหรือเคยขับรถมา รถทั้งหลายจะใช้ความเร็วที่ประมาณ 120 กม./ชม. ซึ่งบนทางเหล่านี้ส่วนมากจะมีป้ายบอกกำหนดความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. เป็นหลัก  เคยเห็นในเยอรมันและออสเตรียเท่้านั้นกระมังที่เห็นป้ายกำหนดไม่เกิน 120 กม./ชม.  อ้อ ในไทยก็มีบนเส้นทางมอเตอร์เวย์สายตะวันออก 

เอาเป็นว่ารถทั้งหลายทำผิดกันเกือบทั้งนั้น  แล้วก็เป็นเรื่องแปลกอีกเหมือนกัน ที่ตำรวจทางหลวงอนุโลมให้วิ่งในความเร็วเกินในระดับนี้แต่จะยังไม่จับ จะไปจับอย่างจริงจังที่ระดับความเร็วไปประมาณ 140 กม./ชม. ในญี่ปุ่น ในไทย ในยุโรปก็เหมือนๆกัน   ในสหรัฐฯไม่ได้ไปนานแล้วเลยไม่ทราบ น่าจะยังใช้ 55 ไมล์/ชม. ตามกฏหมาย (ประมาณ 88 กม./ชม.)  แต่จะอนุโลมให้เกินแล้วไปจับที่ความเร็วเท่าใดไม่ทราบ แต่เดิมสมัยก่อนโน้น ให้ถึง 60 ไมล์  รถในอเมริกาจึงนิยมมี cruise control เพื่อให้รถมันเหยียบ-ผ่อนคันเร่งอัตโนมัติ ในพิกัดความเร็วเดินทางคงที่ๆเรากำหนด ไม่ต้องคอยพะวงเรื่องความเร็วจะเกิน 

เครื่องจับความเร็วก็เหมือนๆกันทั้งโลก คือ ใช้ที่เราเรียกว่าเรดาร์    วิธีการก็มีอยู่สองแบบเหมือนๆกันอีก คือ แบบจุดหนึ่งวัด แล้ววิทยุไปให้อีกจุดหนึ่งจับ กับวิธีการใช้กล้องถ่ายภาพ แล้วส่งใบสั่งไปให้ที่บ้าน

ในยุโรปนั้นกำหนดความเร็วเรียกได้ว่าเหมือนกัน คือ บนถนนระหว่างเมืองที่เป็นถนนแบบมีคูขั้นกลาง แยกขาเข้าและขาออกจากกัน ให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 120 กม./ชม. แต่รถทั้งหมดจะวิ่งที่ความเร็วประมาณ 130 -135  จะเริ่มจับหากความเร็วเกินไปกว่า 140 กม./ชม.  เมื่อใดที่ถนนสองฟากมาอยู่ชิดกัน และใช้แท่งปูนหรือราวเหล็กกั้นแบ่ง ความเร็วสูงสุดกำหนดที่ 100 กม. จะเริ่มจับที่ 120 กม. เมื่อเข้าเขตชานเมือง (เริ่มมีบ้านประปราย) กำหนดความเร็วคือ 80 กม. อันนี้เข้มงวดพอประมาณ แต่เมื่อใดเข้าเขตชุมชน (มีบ้านเรืองอาคารมาก) ความเร็วจะเหลือเพียง 50 กม. หรือหากเป็นถนนแคบจะเหลือเพียง 30 กม.  อันนี้เข้มงวดที่สุด มีป้ายบอกอยู่ป้ายเดียว แล้วก็เริ่มเขตการจับจะจุดปักป้ายนั้นแหละ   ก่อนจะถึงป้าย หลายๆแห่งจะมีจ่าเฉยยืนอยู่  ของเราเป็นหุ่นเท่าตัวคน ของเขาเป็นรูปถ่ายสีของจ่ายืนยิ้มแฉ่ง รูปขนาดเท่าตัวจ่า ติดไว้กับแผ่นไม้ที่ตัดตามรูปของจ่า เขาจะเอาไปปักไว้ค่อนข้างจะกลมกลืนไปกับธรรมชาติ  ใครเห็นก็อดที่จะสดุ้งแล้วก้มมองเข็มวัดความเร็วบนไมล์ในทันที 

การดักจับรถเร็วของเรา ตำรวจมักจะซ่อนตัว    ของฝรั่ง ไม่เลย  ยืนจังก้าส่องกล้องเครื่องวัดความเร็วอยู่ตามโค้งถนน  ดูเหมือนจะเห็นตัวง่าย ไม่ง่ายนะครับ เพราะว่าสีของเคื่องแบบมันค่อนข้างจะกลืนไปกับฉากภูมิประเทศด้านหลัง แบบนี้คือการจับแล้วปรับเลย ถือเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าของผู้ขับรถ  ต่างกับการส่งไบสั่งไปที่บ้าน อันนี้ความผิดคือผู้เป็นเจ้าของรถ


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 16 มี.ค. 13, 03:19
อเมริกาตอนนี้ Interstate highway ส่วนใหญ่ให้ 70 ไมล์ต่อชม. (112 กม./ชม.) ถ้าขับเกินสัก 3-4 ไมล์ต่อชม.ก็ไม่โดนจับ แต่ 80 โดนแน่ ตอนนี้มีกฎใหม่ ว่าถ้ามีรถตำรวจ รถกู้ รถพยาบาล หยุดอยู่ข้างทาง รถที่ผ่านมาจะต้องเปลี่ยนไปวิ่งอีก lane เลย ไม่ใช่เพียงแต่เบี่ยงไปครึ่งคัน เป็นต้น ถ้าเปลี่ยน lane ไม่ได้ต้องลดความเร็วลงให้ต่ำกว่า speed limit 20 ไมล์ต่อชม. ไม่ใช่ลดลง 20 จากที่ขับอยู่

อเมริกันบางแห่งใช้กล้อง แต่ส่วนใหญ่ใช้ตำรวจจอดข้างทางตรงโค้ง บางทีจอดที่ลุ่มรอจับรถที่พ้นเนินขึ้นมา ถ้าจะให้ได้ความเร็วที่แท้จริง แนวยิงเรดาร์หรือเลเซ่อร์ต้องให้ใกล้กับแนวรถวิ่งที่สุด ถ้าจอดนอกทางมากๆ หรือระยะสั้น จะเกิดมุมระหว่างทางรถวิ่งกับเส้นทางเรดาร์ ทำให้ตัวเลขที่อ่านได้ต่ำกว่าความจริง (Cosine error) ไม่ได้โดนจับมานานแล้วแต่สมัยนี้เขาใช้ปืนเลเซอร์จับ ตอนใช้เรดาร์ถ้าไปแขึ้นศาลตำรวจสาบานไม่ได้ว่าคันไหนแน่ เพราะ beam เป็นรูปกรวยกว้างหลายองศา รถวิ่ง lane ในอาจเร็วกว่า lane นอก หรือถ้ารถใหญ่คู่มากับรถเล็ก ความเร็วที่อ่านได้จะเป็นของเป้าใหญ่ ถ้าไปเถียงในศาลอาจชะนะความ แต่การจับโดยเลเซ่อร์นั้นเขาใช้เล็งแบบปืน โดย impulse ของเลเซอร์ไม่กระจายออกเป็นกรวยแบบเรดาร์ เลยแน่ใจสาบานได้ว่าคันไหนที่ขับเร็ว

จับกันตรงๆไม่มีใครว่า แต่บางเมืองมี speed trap หารายได้สำหรับตำรวจกับสำหรับอัยการ โดยได้มาจากค่าปรับคนต่างถิ่นที่เผลอผ่านมา ทำโดยลด speed limit อย่างชนิดที่ต้องเบรคตัวโก่ง 65 ลดลงเป็น 55 เป็น 45 เป็น 35 แบบปล่อยคันเร่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเบรคด้วย มีรถตำรวจนั่งรออยู่แล้ว ออกใบสั่งเดี๋ยวนั้น บางแห่งต้องขับตามรถตำรวจไปโรงพักไปจ่ายเงินเลย  สมัยนี้ชักน้อยลงเพราะ American Automobile Association เขาประกาศชื่อเมืองพวกนี้  โทร.มือถือมี application ที่ใช้ข้อมูลจาก GPS ไปเตือนว่ามีจุดจับตรงไหนบ้าง คนขับเวลาเห็นจุดจับก็ text ไปศูนย์ทำให้ข้อมูลมีมากขึ้นทุกที  เส้นทางที่เขาจับถ้าทำกันซื่อๆเขาจะมีป้ายบอกว่ามีกล้องหรือมีการตรวจจับ ได้ผลในแง่ป้องกันอุบัติเหตุมากกว่าการแอบจับ เพราะว่าที่จริงแล้ว จุดประสงค์ก็คือความปลอดภัย ไม่ใช่หารายได้เข้าคลัง  โดยมากถ้าขับเร็วเกินกำหนดไม่ถึง 15 ไมล์ต่อชม. ก็เสียค่าปรับอย่างเดียวอาจถึง 2500-3000 บาท ถ้าเกินกว่านั้นจะโดนข้อหาขับรถโดยประมาทอีก ต้องขึ้นศาล มีหวังโดนยึดใบขับขี่ชั่วคราว บริษัทประกันก็รู้ ปีหน้าเบี้ยประกันแพงขึ้นไปอีก บางคนไม่หลีกทางให้รถตำรวจที่จอดจับคันอื่น (เปิดไฟแดงไว้) โดนปรับ 10,000 บาท

ถ้าใครไปเที่ยวแล้วโดนจับ เขาแนะนำว่าให้นั่งอยู่ในรถ เปิดไฟเพดานโดยเฉพาะถ้ามืดหรือจวนมืด ห้ามเปิดประตูออกไปยืนโดยเด็ดขาดเพราะตำรวจโดนยิงตายไปหลายคนแล้ว แล้วเอมือวางบนพวงมาลัยให้เห็นได้ชัด โดยมากตำรวจจะใช้เวลาสอบดูหมายเลขทะเบียนรถว่ามีข้อมูลว่าโดนขะโมยหรือเปล่า เจ้าของมีคดีติดตัวหรือเปล่า อาจกินเวลาหลายนาที แล้วค่อยเดินมาที่รถ  เพื่อขอดูใบขับขี่กับทะเบียนรถ ถ้าคนขับมีใบอนุญาตพกอาวุธต้องบอกเขาตอนนี้ ว่าพกอยู่หรือเปล่า พกไว้ที่ไหน สมมุติว่าพกไว้ที่เอวแต่ใบขับขี่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ข้างหลังก็ต้องบอกเขาก่อนจะล้วง หรือถ้าอาวุธอยู่ในตู้ข้างคนโดยสารแล้วใบทะเบียนก็อยู่ที่เดียวกัน ต้องถามเขาว่าเขาจะให้ทำยังไง ทั้งนี้เพราะแทบทุกรัฐใน database ใบขับขี่ เขาเอาใบอนุญาตพกพ่วงไปด้วย เขาสอบชื่อในใบขับขี่ก็รู้ว่ามีใบอนุญาตพกหรือไม่ ถ้าไม่บอกก่อน จู่เปิดตู้จะเอาใบทะเบียน เขาเห็นปืนจะยุ่งกันใหญ่


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 16 มี.ค. 13, 22:07
^
ขอบคุณครับ

สมัยผมเรียนอยู่ที่นั่น ความเร็วสูงสุดที่ปรากฎในหน้าปัทม์ของรถทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 90-100 ไมล์  ตอนเร่งความเร็วบน ramp เพื่อให้ได้ความเร็วประมาณ 50-55 ไมล์/ชม. เพื่อ merge เข้าไปกับจราจรบนทางหลวงนั้น อัตราเร่งดีมาก  เร่งต่อไปได้ถึงประมาณ 70 ไมล์ จากนั้นก็จะเริ่มอืดแล้ว แล้วก็อืดๆ
   
ปัจจุบันนี้รถยนต์ทั่วไปได้ปรัปรุง (หรือปลดล็อคคันเร่ง) ให้สามารถเหยียบไปถึงความเร็วประมาณ 120 กม. (ประมาณ 75 ไมล์) โดยไม่รู้สึกอืด จะเริ่มรู้สึกอีดเมื่อเกิน 140 กม.ขึ้นไป  มาตรวัดความเร็วก็แสดงไปถึงประมาณ 180 โน่น

ในยุโรปนั้น ความเร็วเดินทาง 130 -140 กม./ชม. เป็นเรื่องปรกติ  ความเร็วสูงสุดตามมาตรวัดของรถจะมากกว่า 200 กม./ชม.ทั้งนั้น อัตราเร่งของรถจะรู้สึกว่าอืดเมื่อเข้าไประดับความเร็วประมาณ 170 กม./ชม.     ดังที่เคยเล่ามาแล้ว (ในกระทู้ใหนจำไม่ได้) เมื่อใดที่ถนน Autobahn เป็น 8 หรือ 10 เลน ซึ่งจะมีระยะทางประมาณ 10-20 กม. ก็หมายความว่าช่วงของถนนแบบนี้จะไม่จำกัดความเร็ว เมื่อนั้นบรรดานั่งซิ่งทั้งหลายก็จะไปด้วยความเร็วสุดกู่ คือ มากกว่า 200 กม./ชม.
แท้จริงแล้วจะว่าไม่จำกัดความเร็วก็ไม่ใช่ เขาอนุญาตให้ขับถึงความเร็วประมาณ 200 กม. เกินกว่านั้นก็จะถูกจับเหมือนกัน   ที่ได้เล่ามาแล้วว่ากล้องถ่ายภาพจับความเร็วนั้นมักจะถ่ายภาพที่ความเร็วเกิน 140 กม. พอความเร็วถึงระดับประมาณ 170 กม.ถาพถ่ายก็จะไม่ชัดเจน ไม่เห็นป้ายทะเบียน  ตำรวจเขาก็เลยต้องใช้วิธีวิ่งไล่จับ  ก็จะมีรถตำรวจแต่งเครื่องยนต์สำหรับความเร็วสูงมาก ซึ่งมักจะเป็นพวกรถสปอร์ตสองที่นั่ง ไม่มีตราตำรวจ พอจะไล่ก็ต้องเอาไฟแว๊ปๆติดบนหลังคาแล้วไล่กวดจับเอา   
รู้เช่นนี้ บรรดานักซิ่งหรือนักหาโอกาสซิ่ง ที่ขับรถในทางหลวงปรกติ จึงหาโอกาสช่วงที่รถไม่มาก ขับมันที่ 170+ ไปเลย กล้องก็จะจับภาพไม่ได้ แถมถนนแบบนี้ก็จะไม่มีรถตำรวจที่มีความเร็วสูงจัดประจำการอยู่ด้วย


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 18 มี.ค. 13, 20:54
เพื่อนเขาเพิ่งซื้อ Audi มาใหม่ เขาบอกว่าในคู่มือมีข้อความว่ารถสามารถขับได้เกิน135 ไมล์ (216 กม.) ต่อชม. แต่ทางบริษัทจงใจตั้งเครื่องให้รถวิ่งได้ไม่เกินนั้น เพราะยางรถไม่ได้ออกแบบให้วิ่งเกิน 135 ไมล์ต่อขม. แล้วในคู่มือยังแถมต่อว่าถ้าต้องการขับเร็วกว่านั้นให้เปลี่ยนยางรถเป็นยางที่พิกัดสูงขึ้นแล้วนำรถไปอู่ของบริษัทเพื่อปรับเครื่องให้วิ่งได้เร็วขึ้น

เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วขับรถผ่าน Atlanta, Georgia ตอนหัวค่ำ บนทางหลวง (Interstate highway) 4 lane รถแน่นขนาดเว้นระยะ 2-3 ช่วงคันเท่านั้นแต่ขนาดผมขับ 72-73 ไมล์ต่อชม.(เกินกำหนดไปหน่อย)ก็มีคนแซงอยู่ตลอดเวลา  แบบนี้ตำรวจจับไม่ไหวนอกจากจะทำประเจิดประเจิ้อมาก  ถ้าจับขึ้นมาก็เกิดรถติดกัน แย่ไปอีก พ้นมาได้ก็โล่งอก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 23 มี.ค. 13, 21:16
โทษของการขับรถเร็วเกินกว่าอัตาที่กำหนด ไม่ว่าจะเร็วมากว่ามากหรือไม่มากนัก โทษก็คือการปรับ  หากเร็วมากกว่ามากๆก็อาจจะมีเพิ่มเติมที่จะต้องไปกองทะเบียนเพื่อไปนั่งดูเทปอุบัติเหตุที่น่ากลัวต่างๆ ครึ่งชั่วโมงบ้างหรือเต็มชั่วโมงก็มี และอาจจะครั้งเดียวหรือสองสามครั้งก็ได้ แล้วก็มีการสลักหลังใบขับขี่ ถูกตัดคะแนน หากถูกตัดคะแนนจนหมดก็คงยากที่จะได้ใบขับขี่รถต่อไป

โทษที่หนักกว่าการขับรถเร็วที่เคยทราบและเห็นมา คือ การขับรถด้วยอาการมึนเมา ยิ่งหากเมาแล้วขับ แล้วเกิดมีอุบัติเหตุ แถมหนีอีกด้วยละก็  คือ ถูกยึดใบขับขี่สถานเดียว  แล้วก็ให้ใบขับขี่ใหม่ เป็นประเภทขับได้เฉพาะรถขนาดเล็ก และขับได้เฉพาะถนนในเมือง ไม่อนุญาตให้ขับบนทางหลวงไปตลอดชีวิต  พวกชนแล้วหนีก็จะได้รับผลดังนี้เช่นกัน

พูดถึงเรื่องนี้ ก็มีข้อควรทราบไว้ด้วยว่า เรามักจะเข้าใจว่า ใบขับขี่สากลที่ทำในเมืองไทยนั้น สามารถจะใช้ขับขี่รถได้ในทุกประเทศทั่วโลก  ครับ ใช้ได้ในหลายประเทศ และก็ใช้ไม่ได้ในหลายประเทศเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความตกลงที่มีระหว่างกันครับ   


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 23 มี.ค. 13, 21:51
ในสหรัฐฯ กฎหมายการจราจรขึ้นกับแต่ละรัฐถึงแม้จะขับบน highway ของประเทศ เช่น Interstate หรือ National highway ดังนั้นพอข้ามรัฐกฎหมายที่ใช้บังคับอาจเปลี่ยนกระทันหัน เช่นความเร็วสูงสุดลดจาก 70 เป็น 65 ไมล์ต่อชม.ทั้งๆที่ทางหลวงเดียวกัน

ในแง่ใบขับขี่สากลก็เหมือนกัน รัฐส่วนใหญ่ที่ผมรู้ไม่ยอมรับใบขับขี่สากลแต่ยอมรับใบขับขี่ประเทศ ไม่ว่าไทย จีน อังกฤษ โดยเปรียบเสมือนแต่ละประเทศก็เป็นรัฐ สมัยโน้นตอนมาอเมริกาใหม่ๆ ต้องการจะเช่ารถ ผมเอาใบขับขี่ตลอดชิวิตของไทยให้เขาดู นอกจากจะอ่านตัวเลขไทย ชื่อภาษาไทย ไม่ออกแล้ว ยังหาวันหมดอายุไม่ได้ เขาไม่เคยเห็นใบอนุญาตที่ไม่หมดอายุ  ดูออกอย่างเดียวคือรูปถ่าย

สมัยฝึกงานอยู่ฟิลาเดลเฟีย ได้ความรู้อย่างหนึ่งว่า ถ้าโดนใบสั่งแล้วเราไม่ยอมความ คือไม่ยอมเสียค่าปรับ เขาจะมีหมายศาลให้ไปขึ้นศาล ตำรวจที่ออกใบสั่งจะต้องไปศาลด้วย สมัยนั้นวันขึ้นศาลเขามักจะนัดตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของตำรวจคนนั้น ถ้าเราไปศาลแล้วพยานโจทย์ (ตำรวจ) ไม่ไป ศาลอาจเลื่อนการพิจารณา หรือ สั่งถอนฟ้องเพราะไม่มีพยาน โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ถึงทางแยกมีป้ายให้หยุดแต่ไม่หยุดสนิทเพียงแต่ขับผ่านช้าๆ หรือจอดเกินเวลา จอดที่ที่ไม่ให้จอด แต่ต้องเสียเวลาไปนั่งรอกว่าเขาจะเรียก


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 24 มี.ค. 13, 22:42
ผมไปเรียนอยู่ในรัฐย่านกลางดง KKK และพวก Red neck   ในยุคที่ยังคงมีการย้ายถิ่นฐานของคนผิวสีทางใต้ขึ้นไปอยู่ทางเหนือ เราเป็นพวกผิวสีเหลือง จึงเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่เขาไม่มายุ่งกับเราในเชิงของการกระทำความรุนแรง จะมีก็เพียงมอง แล้วก็อาจมีการปฏิบัติที่อาจจะดูแคลนอยู่บ้าง ที่ตัวเองได้พบเจอก็มี อาทิ เขาพูดภาษาอังกฤษได้ใหม เขากินอาหารแบบที่เรากินกันหรือเปล่า  รู้จัก (อาหารหรือสิ่งของ) ด้วยเหรอ เป็นต้น   แต่หากไปเที่ยวตามฟาร์มต่างๆ คุยกับชาวบ้านจริงๆ กลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง คือกลายเป็นแหล่งเรียนรู้โลกกว้างของพวกเขา คำถามที่ถูกถามประจำ คือ มาจากใหน ประเทศอะไร อยู่ที่ใหนในโลก เรื่องของภาษา อาหาร วัฒนธรรม การแต่งกาย ฯลฯ

พวกเพื่อนนักศึกษาฝรั่งที่มาจากรัฐอื่นมักจะถูกจับเรื่องขับรถ โดยเฉพาะในเขตของบาง county ทั้งที่ผิดจริงและไม่ผิดจริง  พื้นความคิดของคนในกลุ่มที่เล่ามาตอนต้นนี้ เป็นไปในทางเดียวกันหมด ตั้งแต่ผู้รักษากฏหมายไปจนถึงผู้พิพากษา  จึงลงเอยด้วยการถูกปรับอย่างอย่างหนักกว่าปรกติ   สำหรับคนไทยเรา (มีไม่มากนัก ทั้งรัฐมีสัก 50 คนกระมัง) ทำชื่อเสียงไว้ดีมาก พอถึงศาลๆปล่อยหมด ศาลให้เหตุผลกับตำรวจว่า เมืองไทยเขาขับกันอย่างนี้แหละ 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 มี.ค. 13, 21:29
ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับป้ายจราจร

ในประเทศที่ประชาชนค่อนข้างปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย  ป้ายจราจรต่างๆจะเป็นลักษณะบอกให้ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้มากกว่าที่ที่จะบอกว่าห้ามทำอย่างนั้นอย่างนี้  เรียกว่าเป็นป้ายที่ให้ความรู้สึกในทางของความสุภาพและให้ข้อมูล มากกว่าที่จะเป็นป้ายแบบคำสั่งห้าม  ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเป็นป้ายห้ามเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ก็จะเป็นป้ายบอกให้บอกให้เลี่ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา  หรือ แทนที่จะมีป้ายห้ามจอดควบคู่ไปกับสีที่ทาไว้ที่ขอบถนน ก็ไปติดป้ายไว้ที่บริเวณที่อนุญาตให้จอดได้  ป้ายห้ามแซงแทบจะไม่เคยเห็น มีแต่บอกว่าถนนแคบควบคู่ไปกับใช้เส้นแบ่งกลางถนนเป็นเส้นทึบคู่


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 27 มี.ค. 13, 22:47
ทำให้นึกถึงกฎระเบียบบางอย่างที่เคยพบมา

ลองสังเกตดูนะครับ รถในยุโรปนั้นเกือบจะไม่มีการแต่งรถเลย  จำได้ว่าผมไม่เคยเห็นร้านประดับยนต์ที่ขายอุปกรณ์แต่งรถและสิ่งอำนวยความสดวกภายในรถ  เช่นตะกร้าทิ้งผงในรถ ผมต้องซื้อไปจากเมืองไทย ฝรั่งเห็นชอบใจมาก ถามว่าซื้อได้ที่ใหน   ผมคิดว่า บางทีของฝากจากเมืองไทยที่เราอยากจะให้กับเพื่อนฝูงฝรั่งนั้น อาจะลองเป็นของพวกประดับยนต์เล็กๆน้อยก็น่าจะได้ เช่น พวงกุญแจรถ ที่วางโทรศัพท์ น้ำหอม เป้นต้น

เหตุที่รถในยุโรปไม่มีการแต่งนั้น อาจจะเป็นด้วยเรื่องของการประกันเป็นหลักใหญ่  คือ ประกันจะถือว่าผิดเื่งื่อนไข หากมีการเพิ่มเติมหรือปรับแต่งรถแตกต่างไปจากที่อนุญาตให้ทำได้ตามคู่มือ เช่น ยางและกะทะล้อรถจะเปลี่ยนอาจจะเปลี่ยนให้ใหญ่หรือเล็กลงได้ตามที่กำหนดไว้ในคู่มือ  ดังนั้น รถแทบจะทุกคันจึงเข้าอู่ตัวแทนตามกำหนดเวลาที่กำหนด เรามีหน้าที่ใช้ อู่มีหน้าี่ทำการซ่อมบำรุง เมื่อเกิดเรื่องเกิดอุบัติเหตุใดๆ ประกันจะมาบอกว่าเราทำผิดเงื่อนไข เราดัดแปลงรถ เราไม่บำรุงรักษาตามที่ผู้ผลิตกำหนดไม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างอู่ตัวแทนเป็นผู้ทำให้
 
แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่เราต้องทำ คือ ต้องเปลี่ยนยางให้ถูกต้องตามฤดูกาล (มีเดือนกำหนดอีกด้วย) ใช้ยางหน้าหนาว 6 เดือน ยางหน้าร้อน 6 เดือน ใช้ยางผิดฤดูกาลก็ผิดเงื่อนไขการประกัน แถมตำรวจยังจับอีกด้วย เป็นอันว่า ซื้อรถมามียาง 4 เส้น อะไหล่อีก 1 เส้น (ซื้อฤดูกาลใหนก็จะได้ยางในฤดูนั้น) แล้วก็ต้องซื้ออีกอย่างน้อย 4 เส้น (ยางพร้อมกะทะ) หากจะให้ปลอดภัย ก็อาจจะต้องซื้อยางอะไหล่เพิ่มอีก 1 เส้น  เป็นอันว่า ก็จะต้องมีที่เก็บสำหรับยางชุดที่ไม่ได้ใช้     นี่ก็คงจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่รถในยุโรปยังคงใช้กะทะเหล็กกันอยู่ จะต้องซื้อหากะทะล้อแม็กมา 8 เส้นเชียวหรือ

ในสหรัฐฯนั้น เป็นอีกลักษณะหนึ่งที่ต่างไปจากยุโรปมาก  การแต่งรถ รวมทั้งการแปลงรถ สามารถกระทำได้ เป็นอิสระเสรีอย่างหนึ่งที่จะคิดจะทำได้  ผมว่ามันเป็นลักษณะพื้นฐานของการคิดและเป็นปรัชญาในจิตสำนึกของอเมริกันชน ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ invention และ innovation    แต่ทั้งหลายก็ต้องปฏิบัติตามกรอบของกฏหมาย เช่น ต้องมีการรับรองทางด้านวิศกรรม ต้องไม่เป็นอัตนรายต่อผู้อื่นและสาธารณะชน เป็นต้น เรียกว่า เมื่อรัฐให้สิทธิเสรีภาพแก่คุณ คุณก็ต้องมีหน้าที่ระวังผลกระทบต่างๆ และต้องมีความรับผิดชอบต่อผลจากการกระทำของคุณ

ของเรานั้นต้องเรียกว่าแต่งกันเปรอะ แล้วแต่งแล้วก็ใช้งานไม่สอดคล้องสภาพที่แต่งมา
 


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: naitang ที่ 01 เม.ย. 13, 22:47
วกกลับมาที่เรื่องป้ายจราจรอีกหน่อยนึง

ป้ายบอกเส้นทางหลวงที่ดี (ที่สุด) เท่าที่ผมเคยเห็นมา คือ ของเยอรมันและออสเตรียครับ แต่ละป้ายที่บอกจะปักไว้ข้างทาง เป็นป้ายขนาดใหญ่ จะบอกสองระยะ คือ ที่ระยะประมาณ 1 กม. จะเป็นป้ายบอกทางแยกว่าจะแยกไปเมืองอะไร (เมืองระดับอำเภอ) พอใกล้ประมาณสัก 500 เมตร ก็จะมีป้ายบอกอีก ป้ายนี้จะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ออกไปตามถนนแยกนี้จะไปสามารถไปยังเมือง (เมืองระดับอำเภอและตำบล) อะไรได้บ้าง  ดังนั้น เราจึงสามารถขับรถไปยังเมืองต่างๆได้โดยไม่ต้องกลัวหลง ขอเพียงจำชื่อเมืองบางเมืองที่เราพอจะคุ้นเคยได้ก็เพียงพอ เดี๋ยวก็วนออกมาได้ ด้วยข้อมูลบนแผ่นป้ายบอกทางเช่นนี้ ผมจึงมีโอกาสขับรถเที่ยวในวันหยุด ไปแทบจะทุกเมืองเล็กเมืองน้อย ทำให้ได้เห็นอะไรต่างๆมากมาย
     
ป้ายของเรานั้น ก็จัดว่าใช้ได้ดีเป็นส่วนมาก แต่อย่าไว้ใจมากนัก เชื่อตามป้ายยังหลงได้ บางทีก็อ่านแล้วก็งง บอกเป็นชื่อถนนก็มี บอกเป็นชื่อสถานที่ทางภูมิศาสตร์ก็มี บอกเป็นชื่อจังหวัดแล้วก็หายไปกลายเป็นชื่อปลายทางอื่นๆ บางทีเชื่อตามป้ายก็แทบจะเปลี่ยนเลนไม่ทัน    บนทางด่วนใน กทม. ป้ายบอกพระราม 9 มีเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าอยู่ตรงใหนบ้าง ท่านที่ขับรถทั้งหลายคงทราบสภาพเหล่านี้ดี

สำหรับป้ายบอกชื่อถนนในเมืองนั้น ผมว่าของไทยดูจะดีได้ระัดับทีเดียว  ที่ดูยากและหายาก ต้องอังกฤษ ไอร์แลนด์ และออสเตรีย พวกเล่นเขียนด้วยตัวอักษรเก่า แถมอยู่ตามมุมกำแพงหรือมุมผนังอาคาร บางแห่งก็ระดับสายตา บางแห่งก็ต้องแหงนมองเลยทีเดียว พวกนี้เป็นเมืองเก่า ถนนคดไปโค้งมา ยิ่งยากเข้าไปอีก  แต่เขาก็มีระบบช่วยคนขับรถต่างถิ่น คือ มีแผ่นป้ายเท่าไม้กระดานแผ่นเดียว ปักอยู่ข้างถนนเป็นระยะๆ เพื่อบอกทางออกให้ไปยังถนนหลวงนอกเมืองได้อย่างรวดเร็ว
 
ป้ายบอกเส้นทางบนถนนหลวงของอเมริกานั้น อยู่ในเกณฑ์ที่อ่านเข้าใจง่าย ถนนมีระบบที่ค่อนข้างจะชัดเจน คือ ป้ายตรงทางแยกออกจะแยกเป็น exit A และำ exit B แต่ละ exit จะแยกออกไปทางซ้ายหรือขวาของถนนหลวง   ขับรถในเมืองจะไปใหนมาใหนก็ไม่ยากนักเพราะระบบถนนตัดกันเป็นบล๊อก

ที่แย่ที่สุด คือ ในญี่ปุ่น แทบจะไม่มีชื่อถนนเลย มีแต่ป้ายบอกทางเข้าเมือง พอเข้าเขตเมืองก็จะเป็นป้ายบอก (ชื่อ) สถานที่ จากนั้นก็เดาเอาเอง จอดถามบ้าง ดูเดาตามเสาไฟฟ้าบ้าง   หากเป็นบ้านนอก ไปไม่รอดเลยครับ ใช้ Navigator อย่างเดียวจริงๆ

ที่รองแย่ คือ ในอิตาลี ป้ายในถนนหลวงก่อนเข้าเมืองบอกทั้งชื่อสถานที่และชื่อถนนคละกันจนแยกแทบไม่ออก  ถนนทุกถนนรวมทั้งตรอกซอยมีชื่อหมดไม่ว่าจะสั้นจะยาว เนื่องจากเป็นเมืองเก่า ถนนจึงมีลักษณะเหมือนใยแมลงมุม ถนนแต่ละช่วงมักจะมีชื่อต่างกันไป ถนนเส้นเดียวกันจึงมักจะมีหลายชื่อ  แล้วก็ถนนหลายเส้นมีชื่อเดียวกันแม้อยู่ต่างสถานที่กัน  งงดีครับ    ที่จริงปารีสก็พอๆกัน

เมื่อไปเที่ยวตามแผนที่ จะำได้เข้าใจระบบคิดต่างๆตามที่เล่ามาครับ หากใช้แท็กซี่ก็จะได้ไม่ถูกหลอก มันพาวิ่งอ้อมไปมา แท้จริงเดินเอาก็ได้


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: ศานติ ที่ 02 เม.ย. 13, 04:11
ระบบของไทยผมว่าอาจง่ายสำหรับคนที่รู้จักเส้นทาง แต่สำหรับคนที่ต้องใช้แผนที่แล้วสับสนครับ เพราะป้ายบนทางหลวงมักจะไม่บอกว่าจะแยกไปทางหลวงสายไหน กลับบอกว่าจะไปย่านหรือตำบลอำเภอไหน ส่วนในแผนที่บอกว่าจะแยกไปทางหลวงหมายเลขเท่าไหร่ เช่นป้ายบอกว่าไป ดาวคะนอง แต่ในแผนที่ไม่มี มีแต่หมายเลขเส้นทาง สมัยอยู่เมืองไทยก็ไม่รู้ว่าดาวตะนองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเป็นถิ่นนักเลง  ไม่ว่าผมขับภริยาอ่านแผนที่ หรือภริยาขับผมดูแผนที่ ก็ปวดหัวพอๆกัน ถ้าจำไม่ผิดหมายเลขทางหลวงหลายแห่งใช้ตัวเลขไทย รู้แต่ตัวเลขอาระบิคไม่รู้ตัวเลขไทย ก็หมดท่า


กระทู้: เก็บตกมาจากการเดินทาง
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 02 เม.ย. 13, 16:53
เห็นด้วยกับคุณหมอศานติอย่างมากครับ ป้ายบอกทางในประเทศไทยมีประโยชน์สำหรับคนรู้ทางเท่านั้น ถ้าไม่รู้ทางนี่หมดท่าเลยครับ

ส่วนในญี่ปุ่นนั้น ผมเคยได้มีโอกาสขับทางสั้นๆ หนหนึ่ง ขาไปคนญี่ปุ่นตั้งจุดหมายให้ใน gps แต่ผมลืมถามวิธีตั้งจุดหมายกลับบ้านเสียสนิท gps ของเขานั้นเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน พยายามป้อนชื่อเมืองเข้าไปได้ผลลัพธ์ออกมาหลายแสน POI สุดท้ายจนปัญญาก็เลือกสุ่มๆมาจุดหนึ่งในเมืองนั้น มาถึงแล้วอาศัยถามชาวบ้านเอา เขาพยายามช่วยเราอย่างมาก แต่เขาพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก ส่วนผมพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย สุดท้ายขับกลับบ้านได้ เพราะมีแม่บ้านลูกเล็กท่านหนึ่งช่วยขับนำทางไปจนถึงสถานีรถไฟ ซึ่งแถวนั้นผมรู้จักทางแล้วครับ ชื่นชมน้ำใจคนญี่ปุ่นจริงๆ

ผมมีป้ายที่ถ่ายมาจากข้างทางหลวงในเยอรมันมาฝาก เชิญท่านทั้งหลายลองทายกันดูว่าหมายถึงอะไรนะครับ