เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์โลก => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 14, 08:58



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 14, 08:58
หลังจากเล่าถึงชีวิตที่แสนอบอุ่นของครอบครัวอิงกัลส์จบลงไปแล้ว   ก็ขอคั่นโปรแกรมด้วยกระทู้เบาๆสั้นๆสักเรื่อง  นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อเขียนเรื่องรักเร้นแห่งวังบัคกิ้งแฮม   คุณประกอบชวนให้เล่าถึงเรื่องของเฟอร์กี้ อดีตดัชเชสแห่งยอร์ค    
แต่ดิฉันบอกว่าไม่มีอะไรน่าเล่า   เพราะจะหาเรื่องดีๆให้คนอ่านฟังจากชีวิตเธอ  ยังนึกไม่ออก

ตอนนี้จึงนึกได้ว่า ในเมื่อเล่าถึงชีวิตคู่แสนดีของชาร์ลส์และแคโรไลน์อิงกัลส์มาแล้ว     ขอเล่าถึงชีวิตฟากตรงข้ามสุดขั้วให้เป็นสีสันตัดกันบ้างดีกว่า
ใครชอบเรื่องซุบซิบไฮโซ ก็เชิญเข้ามาอ่านได้    ใครไม่ชอบนินทาชาวบ้านก็เปิดผ่านไปได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาอ่าน  เพราะเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้  ไม่ยืนยันว่าจริง 100% เพราะไม่มีข้อพิสูจน์    แต่บอกได้ว่าไม่ได้นั่งเทียนเขียนเอง  คนอื่นเขาเขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้วค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 14, 08:59
ลงรูปเรียกนักเรียนมาลงทะเบียนเข้าชั้นไว้ก่อนค่ะ  


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 09 เม.ย. 14, 09:16
วิชาในห้องเรียนข้างๆ  ตอบคำถามไม่ผ่านสักที  ขอย้ายมานั่งเรียนห้องนี้แล้วกันนะคะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: kulapha ที่ 09 เม.ย. 14, 09:20
ขอจองโต๊ะหน้าเลยนะค้าาา ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 09 เม.ย. 14, 11:39
รูปโปสเตอร์นี้อาจเรียกนักเรียนให้มาเข้าชั้นเรียนกันคึกคัก

          จากหนัง W.E. (stylized as W./E.) เมื่อปี 2011
        หนังล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์ ส่วนที่หลงเหลือให้ระลึกได้ก็คือ ตัวผู้กำกับ นั่นคือ
Madonna ซุปตาร์ระดับโลก


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 09 เม.ย. 14, 13:15
ประกอบก็มาคร้าบบบบบบ รีบรายงานตัวก่อนเลย นั่งเงียบตลอดกระทู้ของขวัญคริสต์มาสในบ้านเล็ก เปรี้ยวปากเต็มทน  :-*  :-*


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: giggsmay ที่ 09 เม.ย. 14, 13:41
 ;Dมาเช็คชื่อคะอาจารย์เจ้าขา ;D ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Mr.Fame ที่ 09 เม.ย. 14, 14:12
 :) ลงทะเบียนรออ่านด้วยคนครับ

จะติดตามอ่านอย่างสงบเสงี่ยม ตั้งอกตั้งใจครับ ;)

.....


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 เม.ย. 14, 20:10
เรื่องรักบันลือโลกของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8  และนางซิมป์สัน ในกระทู้เก่าของเรือนไทยเคยเล่ารายละเอียดมาแล้ว  จึงไม่ขอเล่าซ้ำ
แต่จะปูพื้นเอาไว้สั้นๆถึงพระประวัติของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8  ว่าทรงเป็น "หลานปู่" ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7      พระบิดาคือพระเจ้าจอร์ชที่ 5 
พระเจ้าเอ็ดเวิร์ที่ 7  องค์นี้เองที่เสด็จสวรรคตในปีเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   เมื่อครั้งดาวหางฮัลเล่ย์มาเยือนและจากไปใหม่ๆ    คุณเปรมนำความมาเล่าให้แม่พลอยฟังในตอนท้ายของแผ่นดินที่ 1 ว่าพระเจ้ากรุงอังกฤษสวรรคต     ก็พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 องค์นี้เอง
พระเจ้าจอร์ชที่ 5  พระราชโอรสเสด็จขึ้นครองราชย์     ส่วนพระโอรสองค์ใหญ่คือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ก็ทรงดำรงตำแหน่งปรินซ์ออฟเวลส์หรือรัชทายาทอังกฤษ ตามราชประเพณี     ก็เป็นที่คาดหวังว่าต่อไปจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา     
พระนามที่เรียกกันในหมู่พระญาติ คือ "เดวิด"  จากพระนามอันยาวเหยียดที่ได้รับเมื่อประสูติว่า Edward Albert Christian George Andrew Patrick David


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 เม.ย. 14, 09:11
      เจ้านายเล็กๆในสมัยโน้น ไม่เหมือนเด็กทั่วไปในเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพ่อแม่      เด็กที่วิ่งเกาะมือแม่ไปโน่นมานี่ หรือกระโดดขึ้นขี่หลังพ่อ  มีได้แต่ในหมู่ชาวบ้านเท่านั้น      ถ้าเป็นเจ้านายแล้ว  พระบิดาพระมารดาก็อยู่ส่วนหนึ่งในพระราชวังอันกว้างใหญ่  พระโอรสธิดาก็แยกไปอยู่เป็นสัดส่วน กับพี่เลี้ยงที่ทางพระราชวังจัดหามา       จะพบกันก็ต้องกำหนดเวลาว่าตอนไหนบ้าง    พี่เลี้ยงก็จะแต่งองค์ทรงเครื่องให้สวยงามเรียบร้อย พาไปเข้าเฝ้า   พร้อมกับถูกกำชับสั่งสอนให้รักษามารยาทอย่างเคร่งครัดเวลาอยู่ต่อหน้าพระบิดามารดา      ทักทายหรือเสวยน้ำชา หรือพระกระยาหารเสร็จแล้วก็ทูลลากลับมาที่ห้องของตน   จะเที่ยววิ่งเพ่นพ่านไปเล่นกับพ่อแม่ตามใจชอบไม่ได้
    เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดหรือเดวิด ก็ตกอยู่ในชะตากรรมนี้     เคราะห์ร้ายของพระองค์ตรงที่ได้พี่เลี้ยงเจ้าระเบียบและใจร้ายแบบคนรุ่นเก่าที่ไม่รู้จักประนีประนอมกับเด็ก       ก่อนจะเข้าเฝ้า พี่เลี้ยงจะต้องกำชับกำชาเจ้าชายให้วางองค์ดีๆ   โดยหล่อนชอบหยิกเจ้าชายเป็นเชิงเตือนให้เกรงกลัว      ถ้าหากว่าเจ้าชายพยายามจะทำให้พระบิดามารดาเข้าพระทัยถึงความทุกข์ที่ได้รับ ด้วยการร้องไห้กันแสงหรือโยเยออกมา    แทนที่พระเจ้าจอร์ชและพระราชินีจะโอ๋ลูก  หรือซักถามจนได้เรื่องว่าลูกเป็นอะไร    ทั้งสองพระองค์ก็จะทรงมีพระบัญชาให้พี่เลี้ยงพาเจ้าชายออกไปทันที ฐานที่เกเร ไม่รู้จักระเบียบวินัย



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 เม.ย. 14, 09:22
    ก็ยังดีอยู่หรอกที่ต่อมาพี่เลี้ยงคนนี้ก็ถูกไล่ออกไป   แต่ความสัมพันธ์อันห่างเหินเต็มไปด้วยระเบียบอันดีงามแต่ไร้ความอบอุ่นนี้ก็ติดตัวเจ้าชายมาจนเจริญพระชันษาเป็นหนุ่ม     ทรงรู้สึกขมขื่นถึงความเข้มงวดของพระบิดาและความห่างเหินของพระมารดา   ถึงกับทรงประณามพระราชินีไว้ในไดอารี่ส่วนพระองค์ว่า
   "แม่ฉันเป็นผู้หญิงใจดำ  ไม่รับรู้ทุกข์สุขของลูก"

   แต่สวรรค์ก็ประทานสิ่งชดเชยมาให้เจ้าชายเดวิด    ทรงเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม   ผมสีทอง ตาสีฟ้า  พระพักตร์ใสอ่อนเยาว์กว่าวัย   กิริยาพาทีก็สง่างาม    จึงเป็นที่นิยมของประชาชนชาวอังกฤษอย่างมาก ว่าองค์รัชทายาทของพวกเขาเชิดหน้าชูตาราชอาณาจักรได้อย่างเหมาะสม     
   สมัยนั้นแบบฉบับของผู้ชายรูปหล่อคือแบบของเจ้าชายเดวิด  ดาราละครเวทีของอังกฤษหรือดาราฮอลลีวู้ดของอเมริกาล้วนมาดสะอาดหล่อเหลา  สวมสูทกันโก้เก๋ แม้แต่ในฉากอยู่บ้าน       มาดซกมก หล่อเถื่อนๆดิบๆอย่างคลิ้นท์ อีสต์วู้ดยังไม่เกิด       เจ้าชายเดวิดเสด็จไปไหนสาวๆทั้งประเทศก็แห่กันมารับเสด็จ คลั่งไคล้ใหลหลงยิ่งกว่าเห็นดาราเสียอีก
   ไม่มีใครล่วงรู้เข้าไปถึงชีวิตส่วนพระองค์ว่าเจ้าชายหนุ่มรูปหล่อใสองค์นี้ มีรสนิยมโปรดหญิงที่...ไม่ใช่สาวน้อยหวานๆใสๆเหมาะกับพระองค์  แต่เป็นไก่แก่แม่ปลาช่อน มีฝาละมีแล้วทั้งสิ้น


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Singing Blue Jay ที่ 12 เม.ย. 14, 21:58
เข้าห้องเรียนสาย  วิ่งกระหืดกระหอบมาเผื่ออาจารย์จะเห็นใจไม่หักคะแนนจิตพิสัย เพราะมีตวามสนใจในเนื้อหาเต็มร้อยนะคะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 เม.ย. 14, 18:04
     แถวหน้ายังว่างค่ะ เชิญเลย

     ความสัมพันธ์ของเจ้าชายเดวิดรัชทายาทของอังกฤษกับหญิงสาวเหล่านี้อธิบายยากอยู่สักหน่อย    เพราะจะเรียกว่าลับก็ลับ  เนื่องจากไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ     พวกหล่อนไม่อาจจะปรากฏตัวตนอย่างเป็นทางการ  ไม่ว่าในพระราชภารกิจใดๆที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชาย       แต่จะเรียกว่าเปิดเผยก็เปิดเผย   เพราะหล่อนไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนตัวอยู่ในเงามืด   หรือจะพบกันทีก็ต้องแอบพบปะไม่ให้ใครรู้    หากแต่ปรากฏตัวในงานไฮโซทั้งหลายได้อย่างเปิดเผย   จะไปเที่ยวไปเตร่กันที่ไหน หรือจัดงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์  แม้แต่เป็นแขกรับเชิญเข้ามาในที่ประทับของเจ้าชายก็ทำได้     เป็นเรื่องที่ชาวบ้านเขาปิดกันให้แซ่ด..ว่างั้นเถอะ

    เจ้าชายเดวิดทรงคลั่งไคล้ใหลหลงสาวงามอยู่นางหนึ่ง  ตั้งแต่แรกพบกันเมื่อค.ศ.1918   หล่อนเป็นลูกครึ่งพ่ออังกฤษแม่อเมริกันชื่อมิสซิสวินิเฟรด หรือมีชื่อเล่นๆว่า เฟรด้า   สามีของหล่อนชื่อวิลเลียม ดัดลีย์-วอร์ด มีตำแหน่ง "ออนเนอระเบิล" นำหน้าซึ่งหมายว่าเป็นบุตรคนรองของขุนนาง  อาชีพเขาคือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภา
    เจ้าชายและเฟรด้าพบกันในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่งในลอนดอน   ทั้งสองอายุ 23 เท่ากัน   เฟรด้าแต่งงานตั้งแต่อายุ 18  มีลูกแล้วถึงสองคน  แต่ก็มิได้ทำให้เจ้าชายตะขิดตะขวงแต่อย่างใด   ตรงกันข้าม กลับตกหลุมรักหล่อนอย่างถอนตัวไม่ขึ้น   


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 เม.ย. 14, 19:56
     เจ้าชายทรงเขียนจดหมายนับพันฉบับ พร่ำรำพันความรักที่มีต่อเฟรด้า     ในจำนวนนั้นมีจดหมายที่เหลือรอดมาประมูลได้เงินถึง 5,100 ปอนด์ในฐานะเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์    เป็นจดหมายที่ทรงเขียนนัดพบกับเฟรด้า เพื่อจะไปตีท้ายครัวสามีของหล่อน  หลังงานโอเปร่าเรื่องหนึ่งที่ไม่ทรงอยากไปชม
    ที่สำคัญก็คือความสัมพันธ์ลับนี้ไม่ได้ลับสำหรับนายวิลเลียม ดัดลีย์-วอร์ดผู้สามี      เขารู้อยู่เต็มอกว่าถูกสวมเขาโดยรัชทายาทแห่งอังกฤษ    แต่จะด้วยอะไรก็ตาม  นายดัดลีย์-วอร์ดรู้ก็ทำเป็นไม่รู้เสียเฉยๆ    เขากับภรรยาก็ต้อนรับเจ้าชายในฐานะพระสหาย  ไปไหนมาไหนเจอกันก็ถวายคำนับทักทายด้วยดี    แม้แต่ไปต่างเมืองด้วยกัน โดยภรรยาก็ดอดไปเป็นแขกพิเศษของเจ้าชาย    สามีก็ไม่ยักว่าอะไร

   รูปนี้คือเจ้าชาย(ซ้าย) ตรงกลางคือเฟรด้าและทางขวาคือสามีของหล่อน   ถ่ายรูปร่วมกันแบบสามคนไม่อลเวง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 14 เม.ย. 14, 21:58
ยังมีนักเรียนอยู่ในห้องครับอาจารย์ ไม่ได้ไปไหน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 14 เม.ย. 14, 22:21
เด็กระดับลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่างเดวิด ยังมีกดดันได้ขนาดนั้น
มิพักที่จะจินตนาการถึงเด็กในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างโอลิเวอร์ ทวิสต์จะเจอขนาดไหน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 14 เม.ย. 14, 22:27
ดีใจจังได้เป็นนักเรียนระดับชมพูพานแล้ว คงต้องขยันเข้าห้องอีกเยอะๆเลย!!


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 14 เม.ย. 14, 22:31
ดีใจจังได้เป็นนักเรียนระดับชมพูพานแล้ว คงต้องขยันเข้าห้องอีกเยอะๆเลย!!
หมายถึงห้องเรียนในเรือนไทยนี่น่ะครับ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 เม.ย. 14, 09:12
คุณ Jalito ขยันเป็นพิเศษ   ช่วงสงกรานต์ยังเข้าห้องเรียน อนุญาตให้กินขนมได้ค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 15 เม.ย. 14, 09:31
ขอบคุณครับอาจารย์ นึกอย่างไรได้อย่างนั้นเลย กำลังนึกอยู่เลยว่าขนมสีสวยหรือของว่างน่าทานของอาจารย์ห่างหายไปนาน ลาภปากจริงๆ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 เม.ย. 14, 14:43
ว่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ  ระดับชมพูพานมันจิ๊บจ๊อยมากๆ อย่างน้อยๆ ต้องระดับองคตนี่

ข่มกันไปมารอคุณครู คุณครูมัวไปเล่นสงกรานต์เด็กอันธพาลเลยได้ใจ  :D  :D  :D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 15 เม.ย. 14, 17:46
ขอเวลาสักพักน่ะคุณกอบ อยากไปให้ถึงระดับนั้นเหมือนกัน
แต่แหม่งๆตรงมีองค์ๆ ทว่าคตๆซะงั้น


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 เม.ย. 14, 19:29
ไปรดน้ำสงกรานต์ แป๊บเดียวกลับมาเจอเด็กแว้นซ์อยู่ในกระทู้ซะแล้ว


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 เม.ย. 14, 20:30
    ทั้งที่หลงรักคลั่งไคล้ใหลหลงในตัวเฟรด้ามากเพียงใดก็ตาม     ความรักของชายเช่นเจ้าชายเดวิดก็หาได้เป็นเอกพจน์ไม่  แต่เป็นพหูพจน์เช่นเดียวกับชายส่วนใหญ่ในโลก     แปลง่ายๆอีกทีว่าพระองค์ไม่ได้มีพระสนมลับเพียงคนเดียว    แต่มีสาวงามอีกนางหนึ่งครองตำแหน่งนี้อยู่ด้วย
     หญิงสาวคนนั้นมีนามว่าเธลมา  (หรือหล่อนให้ออกเสียงแบบสเปนว่า เตลมา)  มอร์แกน เป็นลูกสาวนักการทูตชาวอเมริกัน  ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา   หล่อนแต่งงานครั้งแรกเมื่ออายุ 17 กับเศรษฐีทายาทกิจการโทรศัพท์และโทรเลขของอเมริกา แต่ต่อมาก็หย่ากัน    ถึงกระนั้นเตลมาก็ไม่ได้ตกต่ำ    ตรงกันข้ามสามีคนที่สองนอกจากรวยแล้วยังมียศศักดิ์ยิ่งกว่าคนแรก  เขาเป็นขุนนางอังกฤษชื่อมาร์มาดุ๊ค เฟอร์เนสผู้มีฐานันดรศักดิ์เป็นวิสเคานต์เฟอร์เนส  ประธานบริษัทชิปปิ้งเฟอร์เนส
    ในเมื่อมาแต่งงานกับผู้ดีอังกฤษ  เตลมาก็โคจรมาเป็นสาวไฮโซในลอนดอน     ทำให้หล่อนมีโอกาสพบกับเจ้าชายเดวิดในงานไฮโซแห่งหนึ่ง  แต่พบกันครั้งแรก  ก็แค่พบกันเฉยๆไม่มีอะไร  จนสามปีต่อมาจึงพบกันอีกครั้ง เจ้าชายก็เกิดต้องตากระดังงาลนไฟรายนี้ขึ้นมา    จึงขอนัดดินเนอร์กับหล่อน    ตรงนี้ก็ต้องแปลกันให้อ่านง่ายๆ อีกครั้งว่าการนัดดินเนอร์แบบนี้ไม่ใช่แค่กินอาหารเย็นกันแล้วต่างคนต่างกลับบ้าน เหมือนเรานัดเพื่อนไปกินข้าว     แต่เป็นการสอบถามกันอยู่ในทีว่า  เธอจะโอเคกับฉันหรือไม่


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 เม.ย. 14, 20:31
หน้าตาของกระดังงาลนไฟ ดอกนี้เป็นแบบนี้ค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 15 เม.ย. 14, 23:41
เ..ฮ้..อ!!
ยลโฉมกระดังงาดอกนี้แล้ว ก็เข้าใจเจ้าชายเดวิดผู้ชอบเอาไฟลนดอกกระดังงา ดูแววตาท่าทีเธอแล้วก็น่าอยู่หรอก


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 เม.ย. 14, 09:50
       ทั้งๆที่มีสามีแล้ว  ซ้ำมีทั้งเกียรติและเงินเชิดหน้าชูตา     เตลมาก็ไม่วายอยากมีตำแหน่งพระสนมลับของเจ้าชายรูปหล่อเพิ่มอีกตำแหน่ง     หล่อนก็เลยรับ 'ดินเนอร์' กับเจ้าชายเป็นประจำ เพิ่มพูนความสนิทสนมจนกระทั่งเมื่อเจ้าชายเสด็จซาฟารีในแอฟริกาตะวันออก เมื่อค.ศ. in 1930    เตลมาก็ตามไปในขบวนเสด็จในฐานะพระสหายคนหนึ่ง    เป็นโอกาสให้สนิทชิดใกล้พ้นหูพ้นตาประชาชนได้อย่างดี  
       เมื่อกลับอังกฤษ เจ้าชายซื้อคฤหาสน์ชื่อฟอร์ทเบลวีเดียร์ไว้สำหรับพักผ่อนในสุดสัปดาห์     เตลมาก็กลายเป็นแขกประจำทุกสุดสัปดาห์ที่นั่น  ในฐานะอะไรไม่ต้องบอกกันให้ยืดยาว
      นอกจากเป็นแขกประจำของเจ้าชาย    เจ้าชายก็เสด็จมาเป็นแขกประจำในบ้านของหล่อนในลอนดอนด้วย  และอีกแห่งคือคฤหาสน์ของเฟอร์เนสในชนบทที่ผู้ดีเขาจะต้องมีกันเป็นประจำเอาไว้อยู่ในฤดูร้อน  อยู่ที่เลสเตอร์เชอร์
      ในยุคก่อนสงครามโลก  การสื่อสารยังมีพรมแดน   เฉพาะสื่อหนังสือพิมพ์เท่านั้นที่จะเล่าเรื่องให้ประชาชนทั่วไปฟังได้    ถ้าสื่อหุบปากเสียอย่างประชาชนก็ไม่รู้  หรือรู้อย่างมากก็กระซิบกระซาบกันในวงน้ำชา   เรื่องส่วนตัวของเจ้าชายจึงถูกล้อมกำแพงเอาไว้แต่ 'คนใน' เท่านั้นที่รู้แจ้งเห็นจริง

     รูปข้างล่างนี้เตลมาถ่ายกับเจ้าชาย ระหว่างพักผ่อนอิริยาบถด้วยกันแบบสบายๆ ในฐานะ "พระสหายฝ่ายหญิง"


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 เม.ย. 14, 09:53
ฐานะพระสหายหญิง เป็นเกราะอย่างดีให้เตลมาปรากฏตัวต่อสาธารณชนร่วมกับเจ้าชาย  เวลาเสด็จงานเลี้ยงหรือโอเปร่าได้  


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 เม.ย. 14, 20:13
ระหว่างที่เป็นพระสนมลับ     เตลมาก็ยังอยู่กินกับสามีตามปกติ จนกระทั่งให้กำเนิดบุตรชายในค.ศ. 1929     ข่าวซุบซิบกันกระฉ่อนว่าเด็กน้อยเป็นโอรสลับของเจ้าชายเดวิด    แต่โชคยังเข้าข้างเด็ก  หน้าตาหนูน้อยไปเหมือนปู่ราวกับแกะ  ก็เลยรอดจากข้อหามาได้

เตลมาไม่คิดหย่าขาดจากสามี แม้ว่าเขาอายุแก่กว่าหล่อน 20 ปี แถมยังหล่อไม่ได้หนึ่งในร้อยของเจ้าชาย     ความมั่งคั่งและหน้าตาในสังคมเป็นสาเหตุสำคัญให้หล่อนดำรงชีวิตหนึ่งหญิงสองชายอยู่อย่างนั้น     นอกจากนี้  หล่อนรู้ดี ต่อให้หล่อนหย่าขาดจากสามี  หล่อนก็ไม่มีโอกาสจะกลายเป็นราชินีในอนาคตอยู่ดี  เพราะหญิงม่ายไม่มีสิทธิ์จะนั่งบัลลังก์ราชินีอังกฤษ

ภาพนี้คือเตลมากับสามี วิสเคานต์เฟอร์เนส


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 เม.ย. 14, 10:32
เตลมาซึ่งถือกำเนิดเป็นชาวอเมริกันมีเพื่อนเป็นสาวสังคมไฮโซชาวอเมริกันด้วยกันคนหนึ่งชื่อวอลลิส      หล่อนเคยแต่งงานกับนายทหารเรือชื่อเอิร์ล สเปนเซอร์ แล้วหย่าร้างกันไปก่อนจะมาแต่งงานกับสามีคนปัจจุบันชื่อเออเนสต์ ซิมป์สันซึ่งเป็นนายหน้าตลาดหุ้น   
วอลลิสเป็นผู้หญิงที่เรียกอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่สวย เมื่อเทียบกับสาวสวยหยาดเยิ้มอย่างเตลมา     หล่อนเป็นผู้หญิงร่างผอมแห้ง หน้าเหลี่ยม มีไฝเม็ดใหญ่ตรงปลายคางซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นตำหนิของรูปพรรณมากกว่าจะถือว่าเก๋    แต่หล่อนเป็นคนคุยสนุก สังคมเก่ง จึงผูกมิตรกับสาวสังคมอื่นๆได้ง่าย 

เตลมาเป็นคนแนะนำเจ้าชายเดวิดให้รู้จักวอลลิสในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของหล่อน      เมื่อทรงรู้จักแล้วก็ 'งั้นๆ'  เพราะวอลลิสก็ไม่ได้สวยสะอะไร  พระองค์ก็ยังคงหลงใหลอยู่กับเตลมามากกว่า     ผ่านไป 4 ปีก็ไม่เห็นว่าจะทรงสนใจไยดี  ถือเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งของพระสนมเท่านั้น
เตลมาก็เลยรู้สึกไว้วางใจว่าเพื่อนคนนี้ นอกจากเป็นเพื่อนที่ดีของหล่อนแล้วก็อยู่นอกสายตาของเจ้าชายด้วย    ดังนั้นเมื่อเจ้าชายทรงเชิญวอลลิสกับสามีมาเป็นแขกที่พระตำหนักเบลดีเวียร์บ้างนานๆครั้ง    หรือวอลลิสกับสามีทูลเชิญเจ้าชายไปงานคอกเทลที่แฟลตหรูในลอนดอนบ้าง  ก็ถือว่าเป็นแวดวงไฮโซที่ดำเนินไปอย่างปกติ


จนกระทั่งต้นค.ศ.  1934  เมื่อเตลมาเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่นิวยอร์คนานหลายสัปดาห์    เหตุไม่คาดคิดเปรียบได้กับสายฟ้าผ่าลงมาก็เกิดขึ้น

ีรูปนี้คือวอลลิสในวันวิวาห์กับนายซิมป์สัน สามีคนที่สอง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 เม.ย. 14, 10:36
วอลลิสในวัยสาว


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Twingle star ที่ 18 เม.ย. 14, 11:10
ขออนุญาตลงทะเบียนเรียนนะคะ

เรื่องของดยุคและดัชเชสวินเซอร์นี่ คงต้องใช้คำนี้นะคะ
คู่แล้ว ย่อมไม่แคล้วกัน จริงๆ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 14, 11:27
    ในเมื่อรูปร่างหน้าตาไม่อาจเทียบกับพระสนมลับเฟรด้าและเตลมาผู้สวยหยดย้อยราวกับดาราหนัง  ผู้หญิงอย่างวอลลิสจึงลอยลำเข้าไปใกล้ชิดเจ้าชายได้โดยไม่มีใครคิดว่าหล่อนจะเป็นที่สนพระทัยเป็นพิเศษ        
    ไม่มีใครดูออกว่าผู้หญิงอย่างวอลลิสที่กล้า   คารมคมคาย เป็นตัวของตัวเองไม่ซ้ำแบบผู้หญิงที่ดีแต่สวย    เป็นผู้หญิงแปลกชวนทึ่ง    หล่อนกล้าพูดกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าชายเดวิด อย่างไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำได้   กระทบความสนพระทัยของเจ้าชายซึ่งไม่เคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อน
     วันหนึ่งวอลลิสเป็นหวัดอย่างหนัก   คงจะเป็นด้วยอากาศหนาวชื้นของอังกฤษ  และแฟลตที่พักก็มีฮีทเตอร์ในแต่ละห้อง ซึ่งไม่พอเพียง    เจ้าชายตรัสถามหล่อนว่า เป็นหวัดแบบนี้ เสียดายฮีทเตอร์แบบศูนย์รวมของบ้านในอเมริกาซึ่งกระจายความอบอุ่นทั่วบ้านเท่ากันบ้างไหม
     แทนที่จะตอบว่า..เสียดายเพคะ  หรือ ไม่หรอกเพคะ    นางซิมป์สันกลับตอบว่า
     "ขอประทานอภัยนะเพคะ  แต่ใต้ฝ่าพระบาททำให้หม่อมฉันผิดหวังมากเลย"
     " ผิดหวังยังไง เธอ" เจ้าชายไม่เข้าพระทัย
     " ก็ผู้หญิงอเมริกันทุกคนที่มาอยู่ในประเทศของใต้ฝ่าพระบาทจะต้องถูกถามแบบนี้ไม่มีเว้นเลยน่ะซีเพคะ    หม่อมฉันหลงนึกว่าจะเจอคำถามอะไรไม่ซ้ำแบบ จากปรินซ์ออฟเวลส์บ้างเสียอีก"

      คำตอบที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าตอบ ก่อความทึ่งกับเจ้าชายจนถึงกับทรงบันทึกไว้ในภายหลังว่า
      "วอลลิสเป็นคนบุคลิกลักษณะซับซ้อนและปราดเปรียว  ตั้งแต่แรกรู้จักกันแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เป็นอิสระ ไม่ลงให้ใครมากเท่าที่สุดเท่าที่เคยเจอมา"


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 14, 11:28
 :D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 เม.ย. 14, 11:49
ประวัติของวอลลิสที่ถูกขาเม้าท์ในนามของนักเขียนชีวประวัติขุดคุ้ยกันขึ้นมา ค่อนข้างเสียหายอยู่หลายเรื่อง     ถ้าให้ความยุติธรรมกับเธอก็ต้องบอกว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีพยานหลักฐาน    เป็นแต่ลือซุบซิบกันอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงคนรู้จัก    แต่ในเมื่อกระทู้นี้บอกไว้แต่ต้นว่าจะนินทาไฮโซ ก็เลยขอลงเอาไว้    ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณนะคะ

เรื่องแรกคือวอลลิสแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายสองหน  แต่ผู้ชายในชีวิตเธอก่อนหน้าเจ้าชายเดวิดไม่ได้มีแค่สามีสองคนเท่านั้น   ในช่วงที่ยังแต่งงานกับสามีคนแรกซึ่งเป็นนายทหารเรือต้องไปประจำการอยู่ไกลบ้าน     วอลลิสก็มีกิ๊กเป็นนักการทูตชาวอาเจนตินาชื่อเฟลิเป้ เดอ เอสปิล ( Felipe de Espil)   แต่ก็ไม่ยาวนานนัก   ภายหลังก็เลิกรากันไปเอง   

ขาเม้าท์ยังบอกอีกว่า วอลลิสเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศจีน ทั้งฮ่องกงและปักกิ่ง  ยาวนานถึงหนึ่งปี   ระหว่างนี้เธอหาโอกาสได้อย่างไรก็ไม่ทราบ  ไปเรียนวิชากามสูตรในสำนักโคมเขียวแห่งหนึ่งของจีน    เมื่อพักอยู่ที่ปักกิ่ง  เธอมีกิ๊กคนใหม่ชื่อเคานต์กาลีแอซโซ ชิอาโน ซึ่งภายหลังแต่งงานกับลูกสาวของมุสโสลินีผู้นำเผด็จการของอิตาลี   

ผลจากการลักลอบกันนี้   วอลลิสเกิดพลาดพลั้งตั้งครรภ์  เธอต้องไปทำแท้ง  ซึ่งส่งผลให้เธอไม่สามารถมีบุตรได้อีก    ข่าวลือเรื่องนี้ซุบซิบกันกระฉ่อนเมืองแต่ว่าหาหลักฐานยืนยันไม่ได้      ภรรยาของชิอาโน ผู้เป็นลูกสาวของมุสโลลินีก็ปฏิเสธข่าวนี้ว่าไม่จริง

วอลลิสกับสามีแยกกันอยู่เมื่อกลับจากจีนมาอเมริกา    จนลงเอยด้วยการหย่าร้าง   ต่อมาแต่งงานกับสามีคนที่สอง เป็นชาวอเมริกันด้วยกันชื่อนายซิมป์สัน      จากนั้นก็เดินทางจากอเมริกามาใช้ชีวิตไฮโซอยู่ในลอนดอน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 เม.ย. 14, 08:55
  ในเมื่อวอลลิสเป็นผู้หญิงฉลาด  มีไหวพริบปฏิภาณดี  และสังคมเก่ง  เธอก็สามารถผูกมิตรกับสาวไฮโซในลอนดอนจนกลมเกลียวกัน  ได้รับเชิญไปร่วมงานสังสรรค์ของพวกเซเล็บอยู่บ่อยๆ      หนึ่งในบรรดาเพื่อนหญิงที่นับเธอเป็นเพื่อนสนิทคือเตลมา เฟอร์เนส   วอลลิสรู้จักเจ้าชายเดวิดมานานหลายปี  เจ้าชายก็ไม่ได้เอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ        ทำให้เตลมาไว้วางใจพอจะเอ่ยปากฝากฝังเจ้าชายไว้กับเพื่อนรัก
  " ฉันต้องไปนิวยอร์คหลายวัน    อยู่ทางนี้กลัวว่าหนุ่มน้อยเดวิดของฉันจะเหงา   เธอช่วยดูแลเจ้าชายด้วยนะจ๊ะ "เตลมาออกปาก
  " ไม่ต้องห่วงจ้ะ" วอลลิสรับปากแข็งขัน

  เตลลาเป็นคนสวยเกินหน้าสติปัญญา   ผิดกับวอลลิสที่สติปัญญาเกินหน้าความสวย    เตลมาจึงจากไปนิวยอร์คด้วยความเบาใจว่าฝากฝังชู้เอาไว้กับเพื่อนรักดิบดีแล้ว      ส่วนทางนี้นางแมวเจ้าเสน่ห์ก็ไม่ได้ปล่อยปลาย่างที่เพื่อนฝากเอาไว้ให้ว้าเหว่      หล่อนพาตัวเองเข้าไปสนิทสนมคลุกคลีกับเจ้าชาย     ภายใน 2 สัปดาห์ที่เตลมาไปนิวยอร์ค    เจ้าชายเดวิดก็ทรงพบเสน่ห์ในตัวหญิงอเมริกันอย่างที่ไม่เคยพบในตัวหญิงใดมาก่อน
  เสน่ห์ของวอลลิสก็จับพระทัยได้อยู่หมัด นับแต่นั้นมาจนตลอดพระชนม์ชีพ

  ขึ้นชื่อว่าคู่แล้วไม่แคล้วกัน เป็นความจริง    แต่คู่มีหลายประเภท  คู่สร้างคู่สม  คู่ทุกข์คู่ยาก  คู่เวรคู่กรรม  คู่ล้างคู่ผลาญ   ฯลฯ
  โปรดติดตามต่อไปว่าทั้งสองเป็นคู่ประเภทไหนนะคะ

  ให้นักเรียนพักครึ่งเวลาได้ค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: kulapha ที่ 19 เม.ย. 14, 09:10
เรียนเชิญอาจารย์แวะดื่มชาและของว่างก่อนนะคะ

(http://lifestylenoted.files.wordpress.com/2011/10/afternoon-tea-time1.jpg)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 เม.ย. 14, 09:14
ขอบคุณค่ะ   น่ากินจริงๆ
เชิญนักเรียนทั้งหลายร่วมวงด้วยนะคะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 19 เม.ย. 14, 17:43
ขอบคุณครับ คงไม่สายเกินไปนะครับ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 เม.ย. 14, 18:53
ในตอนต้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ   เจ้าชายเสด็จเยือนแฟลตของสองสามีภรรยาซิมป์สันอย่างเพื่อนฝูง   ต่อมาก็ประทับอยู่นานหลังดื่มคอกเทลจนถึงอาหารค่ำ  เมื่อจบอาหารค่ำก็ยังทรงคุยอยู่ดึกดื่นจนบางทีปาเข้าไปตีสี่กว่าจะเสด็จกลับ     วอลลิสเป็นเพื่อนคุยที่สนุกถูกคอเจ้าชาย   ส่วนสามีหล่อนก็ได้แต่นั่งยิ้มไปยิ้มมา เป็นตัวประกอบอยู่ในห้อง
ช่วงนั้นธุรกิจของนายซิมป์สันเริ่มลำบาก  เขาต้องหอบงานมาทำที่บ้าน  เมื่อเจ้าชายไม่มีท่าทีว่าจะกลับง่ายๆ   ตัวเจ้าบ้านฝ่ายชายเองจะถ่างตาอยู่จนตีสี่ งานการไม่ได้ทำก็ไม่ไหว    หนักเข้าเขาก็ขอตัวไปทำงานต่อในห้องทำงาน   ทิ้งภรรยาไว้กับแขกสำคัญให้คุยกันไปตามสบาย  ส่วนใหญ่ก็คุยกันเกือบจะค่อนรุ่ง

ถ้าถามว่าสามีไม่ว่าอะไรบ้างหรือ  วอลลิสก็ยอมรับว่าเขา "โวยนิดหน่อย"  แต่เธอไม่ได้ยุติมิตรภาพกับเจ้าชาย   ตรงกันข้ามเธอกลับเดินหน้าต่อไปไม่หยุดยั้ง     แม้จะรู้ว่าข่าวซุบซิบเริ่มกระเซ็นกระสายกันบ้างแล้ว ว่าเธอน่าจะกลายเป็นพระสนมลับรายใหม่    แต่เธอก็ยืนยันว่า "ไม่มีอะไรกันนะจ๊ะ" ในช่วงนั้น

มีผู้เริ่มสังเกตว่าในงานปาร์ตี้ส่วนพระองค์    เจ้าชายเริ่มเต้นรำกับพระสหายสาวอเมริกันบ่อยครั้งยิ่งขึ้นทุกที      จนเป็นที่เพ่งเล็ง   แต่ใครจะเล่าลือยังไงวอลลิสไม่สะทกสะท้าน     เธอลากสามีไปด้วยทุกงานเป็นเกราะป้องกันเสียงครหา   มิให้ใครฟันธงลงไปได้มากกว่านี้
แต่เธอก็ไม่หยุดความสนิทชิดเชื้อกับเจ้าชายจนแล้วจนรอด     ยังไงก็ไม่หยุด...


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 เม.ย. 14, 18:59
 :D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 เม.ย. 14, 09:25
    ย้อนกลับมาถึงพระสนมลับเตลมา   หล่อนมัวไปเริงร่าอยู่ในวงสังคมไฮโซของนิวยอร์คเสีย 2 เดือน    มีเจ้าชายเพลย์บอยจากตะวันออกกลางผู้ร่ำรวยและที่มีรสนิยมวิไลกับสาวอเมริกันเป็นเจ้าภาพจัดปาร์ตี้บ่อยๆ พระนามว่าเจ้าชายอากาข่าน   เตลมาก็เลยสนุกสนานอยู่ที่นั่นโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยว่าเกิดอะไรขึ้นทางนี้
   เมื่อกลับมา  เตลมามองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเจ้าชายโดยไม่ต้องสังเกต    เมื่อได้รับเชิญไปร่วมงานดินเนอร์ที่พระตำหนักส่วนพระองค์     หล่อนมองเห็นเจ้าชายหันไปหัวเราะต่อกระซิกกับวอลลิสผู้ได้ที่นั่งติดกัน    ขำอะไรกันกิ๊กกั๊กสองคน  วอลลิสกล้าถึงกับตีพระหัตถ์เจ้าชายแบบหยอกเอินต่อหน้าคนทั้งโต๊ะ   ไม่มีเกรงใจพระสนมผู้นั่งตาค้างมองอยู่

    เตลมาแอบไปต่อว่าต่อขานเจ้าชายหรือไม่ ไม่มีใครรู้      รู้แต่ว่านับแต่วันนั้นหล่อนไม่ได้รับเชิญจากเจ้าชายอีกเลย   รวมทั้งเฟรด้าพระสนมลับอีกคนก็ตกกระป๋องมองไม่เห็นฝุ่นไปด้วย    เจ้าชายเดวิดไม่ไยดีผู้หญิงรายเก่าของพระองค์อีกแม้แต่น้อย     ทรงเงียบหายไปจากชีวิตของหล่อนเหมือนไม่เคยมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน
    ทั้งเตลมาและเฟรด้าถูกลืมเลือนไปจากสังคม    เพราะชาวไฮโซทั้งหลายเมื่อดูออกว่าวอลลิสกลายเป็น 'คนโปรด' คนใหม่   บัตรเชิญทั้งหลายก็กระหน่ำกันไปที่หล่อน   ด้วยความหวังว่าถ้าหากวอลลิสรับเชิญ   หล่อนก็จะพาเจ้าชายรัชทายาทอังกฤษมาร่วมงาน ให้เจ้าภาพหน้าบานได้หน้าได้ตาอวดผู้คนได้ ว่างานฉัน เจ้าชายเสด็จมาเชียวนะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Twingle star ที่ 22 เม.ย. 14, 13:46
คำตอบของวอลลิส เรื่องฮีทเตอร์
สาวสมัยนี้ยังอึ้งและทึ่งค่ะ  ::)






กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 เม.ย. 14, 11:37
     มาถึงช่วงนี้  สามีภรรยาซิมป์สันก็กลายเป็นเซเล็บดวงขึ้นสุดๆ   เพราะทุกสุดสัปดาห์เขาและเธอจะต้องได้รับเชิญเป็นแขกประจำที่พระตำหนักส่วนพระองค์ในชนบทนอกกรุงลอนดอน     เขาและเธอได้ร่วมโต๊ะเสวยทุกครั้ง   เสด็จไหนทำอะไรก็ต้องมีวอลลิสเป็นเงาตามตัว   มีสามีพ่วงท้ายไปด้วยอีกคน
     อ่านมาถึงตรงนี้   ท่านผู้อ่านเรือนไทยคงจะสงสัยว่าตัวนายเออเนสต์ ซิมป์สันเองแกรู้สึกยังไง  เพราะแกก็รู้ตัวว่าแกไม่ใช่เพื่อนรักเพื่อนเกลออะไรของเจ้าชาย   พระองค์ก็ไม่ได้โปรดปรานแกเท่าเทียมกับภรรยาของแก     เราไม่พบหลักฐานจากบันทึกหรือจดหมายอะไรที่บอกให้รู้ถึงความในใจของเออเนสต์     แต่มีจดหมายที่วอลลิสเขียนไปถึงป้าของเธอว่าเออเนสต์ก็มีแต่ปลื้มในพระกรุณาของเจ้าชาย  ที่ยกย่องให้เกียรติเขาเป็นพระสหายสนิท
     ดูตามรูปการณ์แล้ว   เออเนสต์ไม่มีทางเลือก     ถ้าเป็นตัวเราเองก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกันว่าไม่มีทางอื่นนอกจากตกกระไดพลอยโจน      ใครมันจะบ้าระห่ำปฏิเสธเมื่อรัชทายาทของราชอาณาจักรโปรดให้เข้าเฝ้าอย่างสนิทสนมในพระตำหนักส่วนพระองค์   ได้นั่งร่วมโต๊ะเสวย  ได้ดื่มได้กินอย่างหรูหรา มีมหาดเล็กพินอบพิเทาและแขกไฮโซของลอนดอนต่างก็เอาอกเอาใจเขากันทุกคน
     ถึงตอนนี้ วอลลิสกลายเป็นเจ้าภาพฝ่ายหญิงในงานเลี้ยงของเจ้าชายอย่างเต็มตัว   เธอมีสิทธิ์และอำนาจเต็มที่จะเลือกเมนูพระกระยาหารให้เจ้าชายและแขก     มีสิทธิ์จะสั่งจัดห้องหับเฟอร์นิเจอร์แล้วแต่จะชี้นิ้ว     เมื่อเจ้าชายกับพระสหายออกรอบไปตีกอล์ฟ  เธออยู่ในพระตำหนักก็พาสุนัขสองตัวของเจ้าชายไปเดินเล่น     เจ้าชายทรงรักสัตว์เลี้ยงสองตัวนี้เป็นชีวิตจิตใจ    เมื่อวอลลิสแสดงความรักและเอ็นดูพระสหายสี่ขา   เจ้าชายก็ยิ่งทรงปลื้มถึงกับวันหนึ่ง ทรงกำนัลของขวัญมีชีวิตให้เธอ เป็นหมาเทอเรียขนฟูน่ารัก  ซึ่งต่อมาทั้งสองช่วยกันตั้งชื่อว่า "สลิปเปอร์  " เจ้าสลิปเปอร์นี่ก็ได้เสนอหน้าอยู่ในรูปถ่ายส่วนพระองค์ด้วย


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 23 เม.ย. 14, 17:09
ริมผีปากบางและขนคิ้วแปลกๆ แบบนี้ตามตำราว่าร้ายนัก


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 24 เม.ย. 14, 16:05
นอนรอคุณครู  Z z z z z z z......


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 14, 18:41
ดช.ประกอบ แอบหลับในห้องเรียนอีกแล้ว

ในเมื่อวอลลิสฉลาดพอจะเอาสามีติดสอยห้อยตามไปทุกแห่ง  เป็นโล่กำบังตัว   ขาเม้าท์ทั้งหลายจะนินทาก็ไม่ถนัดปากนัก ได้แต่ซุบซิบกันไปตามเรื่อง  จนกระทั่งค.ศ. 1934   เจ้าชายเสด็จไปพักผ่อนที่เมืองเบียริทซ์ เมืองตากอากาศลือชื่อของฝรั่งเศสตอนใต้  ทรงเชิญสามีภรรยาซิมป์สันไปด้วยในฐานะแขกส่วนพระองค์    แต่เออเนสต์ไม่อยู่ ต้องเดินทางไปทำธุรกิจในช่วงนั้นพอดี     เจ้าชายจึงให้วอลลิสชวนป้าของเธอไปด้วย  กันเสียงครหานินทาทั้งๆมันก็แซ่ดกันมาเป็นแรมปีแล้ว

ป้าของวอลลิสดูออกว่าเจ้าชายหลงรักหลานสาวจนออกนอกหน้า      ตามวิสัยผู้ใหญ่  นางไม่เห็นสมควร เพราะมีแต่ความยุ่งยากรออยู่เบื้องหน้า        นางก็เลยเตือนอย่างผู้ใหญ่ว่า
"   ป้าว่าหลานอย่าคบหาสนิทสนมกับเจ้าชายต่อไปอีกเลยนะ  ยังไงผลข้างหน้ามันก็ไม่ออกมาดีหรอก หลานเอ๋ย"
คำตอบของวอลลิสที่ให้ป้าก็คือ  
"   ป้าไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ หนูเอาอยู่ค่ะ"  

เรื่องอะไรวอลลิสจะยอมถอย     ผู้หญิงไหนๆก็ฝันถึงชีวิตแบบเทพนิยายซินเดอเรลล่าด้วยกันทุกคน     บัดนี้ปรินซ์ชาร์มมิ่งกำลังขอลีลาศด้วยไม่ยอมหยุด    จะให้เธอวิ่งหนีออกจากวังไปทั้งๆยังไม่ถึงสองยามงั้นหรือ   ไม่มีทาง
วอลลิสรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่สาวแส้อะไร   ปีนี้อายุ 35 แล้ว   ไม่ใช่ผู้หญิงสวย   นอกจากนี้ยังไม่รวย  ร่ำเรียนมาก็ไม่สูง ไม่ได้เก่งกาจปราดเปรื่อง    เทียบกับสาวไฮโซอื่นๆทุกคนก็ดูดีกว่าทั้งสิ้น   แต่เจ้าชายก็สยบให้เธออย่างจริงๆจังๆ   แล้วจะให้โง่พอจะขอเลิกเอากลางคันก็บ้าเต็มที



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 24 เม.ย. 14, 19:00
แอบเข้ามาอ่านประจำ เพราะสนุกมากกก

แต่พอถึง #46 กลายเป็น Mrs. Wallis Simpson Thai version - Contemporary Huge Flood 2011Edition ไปซะนี่
 อิอิ
 8) 8) ;D

ผู้น้อยขอคารวะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 14, 19:36
แปลว่าอะไรคะ คุณ Scarlet  คุณว่าดิฉันเขียนน้ำท่วมทุ่งหรือคะ   
ดิฉันไม่ได้แต่งเองนะคะ   เอามาจากเว็บไซต์ของฝรั่งค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 24 เม.ย. 14, 19:42
ขำ/ชอบที่เอาวลีอมตะตอนเกิดน้ำท่วม 2554 มาใช้ครับ
5555555555555

เมืิองไทยเราตอนนี้มีคำเด็ดๆเกิดขึ้นมาแยะครับ ตอนนี้นึกออกก็ สุดซอย อะไรเทือกๆนี้
คนไทยเราเก่งภาษามากครับ หาคำเจ็บๆมาใช้กันไม่หยุด อิอิ

ตอนนี้บังเอิญไปอ่านเรื่องขุนแผน (ชาติวรรณา) ประเภทนี้ก็สุนทรภู่ ครูแจ้ง แหละครับ
อีกท่านคือนักแต่งเพลง (คนหน้าเดืม อีกเพลงก็ แม้ลมหายใจฉันยังกรองให้เธอ ชื่อลืมไปแล้วครับ) สำนวนเจ็บสุดๆ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 เม.ย. 14, 20:06
 ถึงแม้วอลลิสยืนกรานว่าในช่วงเวลานั้น เจ้าชายกับเธอก็ยังไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันมากกว่าเพื่อน    แต่มหาดเล็กประจำพระองค์ของเจ้าชายก็สังเกตว่าพระแท่นที่บรรทมของเจ้าชายไม่มีร่องรอยว่ามีคนนอน      เจ้าของแท่นหายไปบรรทมอยู่ห้องไหน  คนรู้เรื่องจากนายคนนี้ก็สามารถเดาได้เอง
 ยิ่งวันความสัมพันธ์ของเจ้าชายกับวอลลิสก็ยิ่งทวีความแน่นแฟ้น    แม้ว่ากลับจากฝรั่งเศสมาลอนดอนแล้ว ต่างคนต่างต้องแยกกันอยู่คนละแห่งก็ตาม    เพื่อนฝูงข้าราชบริพารสังเกตเห็นว่าวอลลิสมีอิทธิพลต่อเจ้าชายอย่างลึกล้ำ มากกว่าพระสนมคนก่อนๆอย่างเทียบกันไม่ได้      มันไม่ได้เป็นแค่สัมพันธ์สวาทของหนุ่มใหญ่สาวใหญ่วัยสามสิบห้า ที่น่าจะมีวุฒิภาวะพอสมควรทั้งสองฝ่าย        แต่มีลักษณะเป็นความผูกพันของแม่กับลูกมากกว่า    เห็นได้จากจดหมายที่ส่งไปมาถึงกัน   จดหมายของเจ้าชายนั้นออดอ้อน  งอนง้อ ติดอีกฝ่ายเหมือนลูกแหง่     ส่วนจดหมายของวอลลิสก็เข้มแข็ง ปกป้อง คุ้มครองอีกฝ่าย   เป็นการส่งและรับที่ลงตัวกันเป๊ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 เม.ย. 14, 18:10
หลังจากฉากชีวิตของเจ้าชายและวอลลิสเป็นที่ประจักษ์แก่โลกแล้ว   นักจิตวิทยาขาเม้าท์ทั้งหลายวิเคราะห์กันจนมึนหัว  ว่าเหตุใดชายหญิงที่ดูแล้วไม่น่าจะรักกันได้  จึงรักกันได้  ซ้ำเป็นความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลที่สุดในศตวรรษ      อยู่กันมาได้จนความตายมาพรากจากกัน อย่างที่หนุ่มสาวทุกยุคทุกสมัยปรารถนากันยิ่งนัก

อย่างหนึ่งที่เขาว่ากันว่า...ก็คือเจ้าชายเป็นเด็กที่ว้าเหว่ขาดความรักจากแม่มาตั้งแต่เด็ก     ขึ้นชื่อว่าความรัก ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ให้กินอิ่มหมีพีมัน ให้เสื้อผ้าสวยๆ ของเล่นแพงๆทุกชนิด เท่านั้น  แต่ต้องรวมความใกล้ชิด  สัมผัสคลอเคลียกันระหว่างพ่อแม่ลูก  รวมการพูดจาสื่อสารกันใกล้ชิด จะดุจะเอ็ดหรือจะพูดกันอ่อนหวานน่าฟังก็ต้องพูดจากันเสมอ   จึงจะเกิดความผูกพัน ที่ทำให้เด็กคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่อย่างอิ่มเอมในความรัก     ทั้งหมดนี้ราชประเพณีในพระราชวังกีดขวางมิให้เดวิดได้รับ     พระองค์จึงยึดวอลลิสไว้แทน "แม่" ที่ขาดไปในวัยเยาว์   
ข้อนี้นักจิตวิทยาเขาหาหลักฐานมาได้ว่า วอลลิสมักพูดจาไม่เกรงใจเจ้าชายอยู่เสมอ   อยากดุก็ดุ อยากพูดอะไรก็พูด   แม้แต่บางครั้งเหมือนกับหักหน้าเจ้าชาย เธอก็ทำ  เช่นทูลตรงๆว่า "พระสหายเบื่อเต็มทีแล้วเพคะที่ต้องเล่นกอล์ฟกับใต้ฝ่าพระบาท"   
เจ้าชายนอกจากไม่กริ้วแล้ว  ยังรู้สึกว่าวอลลิสพูดออกไปด้วยความห่วงใย  คือเธอ"แคร์" ท่านมากนั่นเอง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 25 เม.ย. 14, 18:49
ผมเคยเห็นอะไรบางอย่างคล้ายๆ กันนี้ คือชายหนุ่มที่การศึกษาดี ชาติกำเนิด ฐานะดี มีสาวๆ หรือคนที่เข้ามาอี๋อ๋อ กลับแพ้ทางผู้หญิงที่ดูเหมือนจะไม่แคร์ ไม่พินอบพิเทาชายคนนั้น


อาจจะเป็นเพราะความแปลกใหม่ ความท้าทาย ความแตกต่าง ทำให้เจ้าชายหลงไหลก็เป็นได้ เพราะในขณะที่คนอื่นพินอบพิเทายำเกรง วอลลิสกลับปฏิบัติต่อเจ้าชายแตกต่าง เลยกลายเป็นความท้าทายแปลกใหม่สำหรับเจ้าชายก็ได้ ผู้หญิงสวยๆ เอาอกเอาใจหาได้ไม่ยาก แต่ผู้หญิงที่ท้าทายน่าค้นหาลุ่มหลง ไม่เคยปรากฏในชีวิตเจ้าชายมาก่อน  ยิ่งมีบุคลิกเย็นชาหรือคล้ายๆ แม่ตัวเอง ยิ่งน่าครอบครอง เติมเต็มปมส่วนที่ขาดหายในวัยเด็กของเจ้าชายได้


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 เม.ย. 14, 19:51
ผมเคยเห็นอะไรบางอย่างคล้ายๆ กันนี้ คือชายหนุ่มที่การศึกษาดี ชาติกำเนิด ฐานะดี มีสาวๆ หรือคนที่เข้ามาอี๋อ๋อ กลับแพ้ทางผู้หญิงที่ดูเหมือนจะไม่แคร์ ไม่พินอบพิเทาชายคนนั้น

อ่านดูตอนแรก นึกว่าเป็นประสบการณ์จากชีวิตจริงของคุณชาย  ;)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 14, 10:24
^
น่าคิด


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 14, 10:34
ถึงแม้ว่าความรักเป็นอารมณ์ที่รู้จักกันดีที่สุดในโลก   ไม่ว่าคนชาติไหนภาษาไหนต่างก็ให้ความสำคัญแก่อารมณ์นี้เหนืออารมณ์อื่นใด   แต่ความรักก็เป็นอารมณ์ที่เข้าใจยากที่สุดในโลกเช่นกัน      ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมนายนี่ถึงรักนางสาวนั่น แทนที่จะรักนางสาวนู่น   หรือนางสาวโน่นดันมารักนายคนนี้ ที่ดูแล้วไม่น่ารักเลย  แทนที่จะรักนายคนนั้นซึ่งดูทางไหนก็สมควรจะรักกว่าเป็นกอง

นักจิตวิทยาทั้งหลายพยายามหาคำเฉลยให้กับอารมณ์นี้ ด้วยคำอธิบายต่างๆนานา ซึ่งฟังแล้วจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้    ส่วนใหญ่ดิฉันอ่านแล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่    จึงไม่ขอเอามาลงให้อ่านง่วงกันเปล่าๆ     ในกรณีของเจ้าชายเดวิดและวอลลิส  เอาเป็นว่ามีทฤษฎีจิตวิทยาที่พยายามอธิบายเหตุผลความรักของเจ้าชาย     อย่างหนึ่งน่าจะเข้าข่ายปม Oedipus Complex ของเจ้าทฤษฎีซิกมันด์ ฟรอยด์   คือวอลลิสมีลักษณะเป็นแม่ที่แข็งแกร่ง มีอำนาจ  และโอบอุ้มลูกชายอย่างใกล้ชิด     อันเป็นสิ่งที่เจ้าชายทรงขาดจากพระมารดาของพระองค์      แม่ประเภทนี้ถ้ายังนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง  ไปค้นยูทูปดูละครทีวีเรื่อง "วนิดา" เวอร์ชั่นไหนก็ได้    แม่พระเอกก็ลักษณะนี้ละค่ะ

มันจะเป็นอะไรก็ตาม  ผลคือความสัมพันธ์กับวอลลิสทำให้เจ้าชายทำอะไรๆที่พระองค์เองไม่เคยทำมาก่อน   มหาดเล็กประจำตัวเคยเปิดประตูเข้าไปเจอเจ้าชายนั่งอยู่บนพื้นห้องอย่างสบายอารมณ์   ทาเล็บเท้าให้วอลลิส      หลังจากตกตะลึงตาค้าง  มหาดเล็กก็ถอยออกมา แล้วประกาศลาออกจากงานไปเลยเพราะแกเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 เม.ย. 14, 11:17
   นักวิเคราะห์ขาเม้าท์บางคนยกสาเหตุที่วอลลิส 'จับ' เจ้าชายได้อยู่หมัด   ว่าไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเรื่องบนเตียง      เพราะวอลลิสเชี่ยวชาญเรื่องกามศาสตร์จากสำนักโคมเขียวในจีน     แต่เรื่องนี้ก็เป็นข่าวเล่าลือที่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้าตัวทั้งสอง    ขาเม้าท์เองก็แจกแจงไม่ได้มากไปกว่านี้      จะว่าไปเจ้าชายก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ทรงมีผู้หญิงอื่นมาก่อนหน้านี้อย่างน้อยก็สองคน  พระชันษาก็สามสิบห้าสามสิบหกเข้าไปแล้ว   จะลุ่มหลงผู้หญิงเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกก็คงไม่ใช่     เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างว่าถ้ามีจริง  มันก็คงเป็นส่วนประกอบของความรักเท่านั้นเอง
   
    ความรักที่เจ้าชายทรงมีต่อวอลลิสเพิ่มพูนขึ้นตามวันเวลา   จนกระทั่งทรงรู้สึกว่าจะมีชีวิตต่อโดยปราศจากผู้หญิงคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว      จริงอยู่ บัดนี้วอลลิสอยู่ในฐานะพระสนมลับ เช่นเดียวกับหญิงสาวสองคนก่อนหน้านี้ (ซึ่งบัดนี้ตกกระป๋องไปแล้ว ชนิดไม่มีวันปีนขอบกระป๋องขึ้นมาได้)   แต่ฐานะพระสนมลับไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเธอสามารถเดินเคียงข้างเป็นคู่พระทัยได้ในทุกหนทุกแห่ง     ไม่อาจเป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขได้อย่างคู่ผัวตัวเมีย    และที่สำคัญคือเธอยังมีสามีค้ำคออยู่เป็นอุปสรรค
     ข้อกีดขวางเหล่านี้ทำให้เจ้าชายเป็นทุกข์ยิ่งนัก    ทรงคิดเท่าใดก็คิดไม่ออกว่าจะทูลพระบิดาอย่างไรดี ว่าทรงอยากแต่งงานกับหญิงอเมริกัน   ส่วนวอลลิสช่วยเจ้าชายเท่าที่ทำได้ คือเมื่อตระหนักว่าเจ้าชายอยากแต่งงานกับเธอแน่ๆ   เธอก็ยื่นฟ้องหย่าจากนายซิมป์สันผู้สามีทันที  เพื่อให้สถานภาพเธอปลอดพันธะขึ้นมาขั้นหนึ่ง

ภาพข้างล่างนี้ คือวอลลิส  ป้าเบสซี่ญาติผู้ใหญ่  และนายเออเนสต์ ซิมป์สัน สามี


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 27 เม.ย. 14, 07:29
ป้าคนนี้นี่เองที่หลานสาวรับรองอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

     "หนูเอาอยู่"


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 เม.ย. 14, 11:02
      เจ้าชายเดวิดยังนึกไม่ออกว่าจะไปทูลพระบิดาอย่างไรดี ถึงปัญหารักที่อัดแน่นอยู่ในอก    พระเจ้าจอร์ชก็ประชวรและเสด็จสวรรคตไปเสียก่อนเมื่อวันที่ 20 มกราคม 1936   ทำให้ราชบัลลังก์อังกฤษตกมาอยู่ในมือของเจ้าชายรัชทายาททันที ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำพิธีราชาภิเษก
     เจ้าชายเดวิดผู้ซึ่งบัดนี้กลายเป็นพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษไปแล้ว  กลัดกลุ้มกังวลกับหน้าที่ใหม่ยิ่งนัก     การเป็นกษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรไม่ได้หมายความแค่มีบัลลังก์ให้นั่งเท่านั้น   แต่หมายถึงพระภารกิจอันหนักหน่วงที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้หล่นลงมาบนบ่าให้แบกไปตลอดชีวิต    ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีก็แบกงานอยู่แค่ช่วงเวลาที่ได้รับตำแหน่งเท่านั้น   หมดวาระแล้วก็แล้วกัน     แต่เป็นพระราชาจะหลีกหนีไปไหนไม่ได้    ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงจะต้องคำนึงถึงภารกิจอยู่เสมอ   จะทำผิดทำพลาดแม้แต่เล็กน้อย ก็อาจก่อความเสียหายมหาศาลแก่ประเทศ
    ในตอนนั้นอังกฤษก็ยังเป็นจักรวรรดิใหญ่มีอาณานิคมอยู่มากมายทั่วโลก     เจ้าชายจะทรงรับผิดชอบอยู่องค์เดียวได้อย่างไร     พระองค์ต้องการกำลังใจจากผู้อยู่เคียงข้าง  ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากวอลลิส ผู้ที่พระองค์ไม่ได้เพียงแต่รักเท่านั้น  แต่ยังยึดมั่นปานประหนึ่งหลักให้พักพิงอีกด้วย 


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 27 เม.ย. 14, 11:22
King Edward คงแน่นอกน่าดู

เห็นใจๆๆๆ................ :( :-\

http://www.youtube.com/watch?v=79w19TqpFso


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: kulapha ที่ 27 เม.ย. 14, 11:26
(http://globalfusionproductions.com/wp-content/uploads/2013/01/George-Clooney.jpg)

นึกถึงภาพนี้เลยค่ะ อาจารย์ขา  :P


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 เม.ย. 14, 11:28
   ความสัมพันธ์ของเจ้าชายกับวอลลิสไม่ใช่เรื่องลับสำหรับราชสำนัก   แม้แต่สื่อหนังสือพิมพ์ก็รู้อยู่เต็มอก      แต่ราชสำนักเก่งพอจะเย็บปากสื่ออังกฤษเอาไว้ได้สนิท   ประชาชนจึงไม่รู้เรื่องนี้     ในเมื่อเจ้าชายทรงเป็นขวัญใจของประชาชนเรื่อยมา  ไหนจะหล่อ ไหนจะรับราชการทหารดูองอาจสมเป็นชายชาติทหาร   ไหนจะเสด็จออกงานกุศล ทำโน่นทำนี่ให้สังคมอยู่บ่อยๆ   ประชาชนอังกฤษก็เลยปลื้มพระองค์ จนกระทั่งการก้าวขึ้นสู่ราชบัลลังก์มิได้เป็นปัญหาใดๆแม้แต่น้อย     ประชาชนพลเมืองรวมทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐสภาต่างก็เชื่อว่ารัชกาลของพระราชาองค์ใหม่จะเป็นไปด้วยดี
   แต่การเป็นสนมลับของเจ้าชาย กับเป็นสนมลับของพระราชานั้น สถานภาพผิดกันมาก     การเป็นเจ้าชายหมายความว่ามิได้รับผิดชอบอังกฤษอย่างเต็มตัวเท่ากับเป็นพระเจ้าแผ่นดิน     ดังนั้นจะมีกิ๊กกี่คนก็ถือเป็นความบันเทิงส่วนตัว พอหยวนๆกันได้    แต่ถ้าก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปดแล้ว   ผู้หญิงที่อยู่ในฐานะใกล้ชิดรู้ตื้นลึกหนาบางทุกอย่างทั้งการบ้านและการเมืองก็ควรจะเป็นผู้หญิงที่รัฐบาลและราชสำนักไว้ใจได้ ว่าจะไม่ชักนำพระองค์ไปในทางเสื่อมเสียต่อพระภารกิจ
     ที่สำคัญกว่านี้คือในยุคนั้น  เยอรมันกำลังสร้างขุมกำลังขึ้นมาในยุโรป   สงครามใต้ดินก็เริ่มร้อนระอุ    จารชนแฝงตัวบินกันว่อนทั้งฝ่ายอังกฤษและเยอรมัน     ถ้าหากว่าฝ่ายเยอรมันสามารถติดสินบนพระสนมลับได้สำเร็จ    ความลับตื้นลึกหนาบางในแผ่นดินอังกฤษก็จะรั่วไหลไปสู่ฮิตเลอร์   รัฐบาลอังกฤษนอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องนี้อยู่ด้วยความปวดเฮด  
   เราต้องไม่ลืมว่า วอลลิสเป็นคนอเมริกัน    หมายความว่าจะหวังให้เธอมาจงรักภักดีต่ออังกฤษก็คงยาก     ดูจากประวัติอันห่างไกลจากผู้หญิงนิ่มๆ ซื่อๆ แล้วก็ยิ่งหวังไม่ได้หนักเข้าไปอีก ว่าเธอจะซื่อตรงจงรัก ไม่ชักนำพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดไปในทางที่เป็นผลเสียต่อประเทศ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 เม.ย. 14, 11:39
(http://globalfusionproductions.com/wp-content/uploads/2013/01/George-Clooney.jpg)

นึกถึงภาพนี้เลยค่ะ อาจารย์ขา  :P
อยากเห็นภาพนี้อยู่พอดีค่ะ  ขอบคุณมาก
มันบรรยายถึงความสัมพันธ์ของหนึ่งองค์และหนึ่งคนได้อย่างไม่ต้องพูดอะไรมาก
ถ้าเป็นเพลงลูกกรุงรุ่นเก่า  คงจะตั้งชื่อว่า "ทาสสวาท"


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 27 เม.ย. 14, 11:51
เพลงลูกกรุงเก่าไพเราะเพลงหนึ่งที่เกี่ยวกับความรักครับ
อารมณ์สวาท

http://www.youtube.com/watch?v=o9MIVXWZhjE


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 เม.ย. 14, 10:41
ขอบคุณค่ะ ไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน

     หลังจากเริ่มต้นแบบข้าวใหม่ปลามันระหว่างรัฐบาลและพระราชาองค์ใหม่ได้สักพัก     ข้าวก็ชักส่งกลิ่นทะแม่งๆ เมื่อทั้งรัฐบาลและราชสำนักพบว่า เจ้าชายเดวิด ผู้ซึ่งบัดนี้กลายเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8   เริ่มล้มเลิกระบบระเบียบอะไรหลายอย่างในราชสำนัก รวมทั้งให้คนเก่าๆออกจากงาน ตัดงบประมาณ ฯลฯ   ต่อมาที่หนักกว่านี้ก็คือ  ไม่ค่อยจะเอาใจใส่พระราชภารกิจนัก   มีจดหมายสำคัญบางฉบับส่งไปที่โต๊ะทรงพระอักษรแล้วก็ค้างเติ่งอยู่ยังงั้น โดยไม่ได้เปิดซอง     เพราะพระองค์ไม่มีเวลาพอจะอ่าน
    ถ้าถามว่าแล้วทรงเอาเวลาไปทำอะไร   คำตอบก็คือเอาเวลาไปจู๋จี๋กับวอลลิส    แม้จะไม่ถึงกับวันละ 24 ช.ม.  แต่ก็ดึงเวลาไปวันละหลายชั่วโมง      ถ้าพระองค์เป็นคนทำงานออฟฟิศจาก 9 ถึง 5 โมงเย็นก็ไม่เป็นไร   เลิกงานแล้วจะไปเที่ยวกับเมียก็ได้ตามสบาย   แต่พระราชภารกิจหนักกว่านั้น    กว่าจะอ่านเอกสารกว่าจะปฏิบัติหน้าที่ ไปงานโน้นงานนี้   ก็กินเวลาดึกดื่นค่อนคืน     เมื่อทรงทำไม่ได้  ทั้งสอง ร. คือรัฐบาลและราชสำนักก็เริ่มหงุดหงิดอึดอัด
    ในที่สุด  ราชเลขาธิการอดรนทนไม่ไหว  ก็ทำหนังสือกราบทูลว่า บัดนี้สื่อชักจะเริ่มแพล็มๆข่าวพระสนมวอลลิสขึ้นทุกทีแล้ว    ราชสำนักก็ปกปิดต่อไปไม่ไหว     ถ้าหากว่ายังเป็นยังงี้อยู่ต่อไปละก็  รัฐบาลทั้งคณะอาจจะลาออกเพื่อประท้วงก็เป็นได้
    พูดอีกทีว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดถูกยื่นคำขาดให้เลือกข้อใดข้อหนึ่งตามนี้
    1  เลิกกับวอลลิสซะ
    2  ยังคงมีพระสนมลับอยู่ตามเดิม ปล่อยให้รัฐบาลลาออกไปทั้งคณะ
    3  แต่งงานกับวอลลิสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แล้วสละราชบัลลังก์



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 เม.ย. 14, 11:26
       ถ้าหากว่าเลือกได้ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็คงไม่อยากจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างราชบัลลังก์และผู้หญิงที่ทรงรัก   แต่จะทำอย่างไรได้    ถ้าเลือกบัลลังก์ก็ต้องสละวอลลิส เพราะทั้งรัฐบาลและประมุขทางศาสนาไม่เห็นด้วยที่จะยกผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา    แม้แต่จะเก็บเธอไว้ในฐานะพระสนมลับ ก็ยังถือว่าอันตรายต่อความมั่นคงอยู่ดี       ถ้าจะเลือกวอลลิสก็ต้องสละราชบัลลังก์ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนในประวัติศาสตร์อังกฤษ
      ส่วนวอลลิส  ยืนยันอยู่เสมอในภายหลังว่าเธอไม่เคยต้องการให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดสละราชบัลลังก์เพื่อเธอ      แต่เธอก็ไม่เคยกระทำการใดที่แสดงว่าอยากสละพระองค์ไปเช่นกัน       ถ้าเรามองจากมุมของผู้หญิงคนนี้ก็จะเห็นได้ว่า  ทางเลือกของเธอน้อยมาก     ถ้าเธอสละพระองค์ไป  เธอจะเหลืออะไรในเมื่อก็ฟ้องหย่าขาดจากนายซิมป์สันไปแล้ว     โดยส่วนตัวเธอไม่ใช่คนรวย  อายุเข้าวัยกลางคนแล้ว และไม่สวย   แต่เธอใช้ชีวิตอย่างไฮโซมาตลอด    ถ้าเลิกกับเจ้าชายเธอจะไปหาผู้ชายคนไหนที่สามารถประดังประเดเงินทองและเกียรติยศให้เธอได้      เรื่องจะไปทำงานเลี้ยงตัวนั้นเลิกคิดไปได้เลย เพราะเธอไม่ใช่เวิร์คกิ้งวูแมนมาตั้งแต่แรก   อีกอย่างสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2    ผู้หญิงพอโตเป็นสาวก็แต่งงานให้สามีเลี้ยงกันทั้งนั้น
     
      ผลก็ช็อคโลกอย่างที่รู้ๆกัน คือเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1936  หลังจากครองราชย์ได้ 326 วัน  พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ก็สละราชสมบัติ    ทำให้ราชบัลลังก์ตกอยู่กับพระอนุชาองค์รอง เจ้าชายอัลเบิร์ต  ซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าจอร์ชที่ 6   ทรงเป็นพระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธองค์ปัจจุบัน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 14, 11:41
ผลการตัดสินใจของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8  ไม่ได้เพียงแต่ช็อคโลกเท่านั้น  ในพระราชวงศ์เองก็ปั่นป่วนอลเวงราวกับเรือโดนพายุใหญ่     คนที่อาการหนักสุดมี 2 องค์คือพระพันปีแมรี่   อดีตพระราชินีผู้ทรงอยู่กับหน้าที่ต่อประเทศชาติและขนบธรรมเนียมของราชสำนักอย่างเคร่งครัด ทำใจรับไม่ได้    ก่อนหน้านี้แม่ลูกก็ทะเลาะกันมาพักใหญ่แล้วเรื่องวอลลิส   เพราะพระพันปีไม่เคยคิดเลยว่าพระโอรสจะเห็นแก่ผู้หญิงคนหนึ่งยิ่งกว่าประเทศชาติบ้านเมือง     ซ้ำก็ไม่ใช่ผู้หญิงดิบดีอะไร มีประวัติด่างพร้อยและอื้อฉาวเป็นของแถมติดตัวมาด้วย
คนที่อาการหนักอีกคนคือเจ้าชายอัลเบิร์ตพระอนุชาองค์ถัดไป     เจ้าชายเป็นคนเงียบๆขรึมๆ ขี้อายต่อสาธารณชน    เพราะเกิดมาก็เป็นมือรองอันดับสองมาตลอด   พ่อแม่รักลูกชายคนโตที่ทั้งหล่อทั้งโก้สมศักดิ์ศรีรัชทายาททุกอย่าง  ประชาชนก็ปลื้มเจ้าชายเดวิด จนแทบจะไม่มีใครชำเลืองมองเจ้าชายองค์รอง 
สาเหตุใหญ่ของความขี้อายของเจ้าชายอัลเบิร์ตคือพระองค์เป็นโรคติดอ่าง    เลยไม่ค่อยกล้าพูดจากับใคร  เพราะมันเสียบุคลิกอย่างหนัก    ถ้าใครไม่ป่วยเป็นโรคนี้คงไม่รู้ว่ามันขายหน้าขนาดไหนที่ต้องไปยืนตะกุกตะกัก หน้าดำหน้าแดงพูดไม่ออก หรือพูดจะ..จะ..จะ..จะ ซ้ำซาก   ให้คนตรงหน้ากลั้นหัวเราะ    เจ้าชายจึงค่อนข้างเก็บพระองค์   สบายพระทัยอยู่แต่ว่าเป็นแค่เจ้าชายองค์รอง คงไม่มีใครมาเอาใจใส่
แต่จู่ๆเจ้าชายก็จะต้องเข้ามาแบกภาระของประเทศแทนพระเชษฐา จะไม่ให้ทรงช็อคอย่างไรได้


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 14, 11:46
เมื่อขึ้นครองราชย์ เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเลือกพระนามใหม่ว่า จอร์ช   จึงทรงเป็นพระเจ้าจอร์ชที่ 6   เพราะมีพระเจ้าแผ่นดินทรงพระนามว่าจอร์ชมาแล้ว 5 องค์ องค์ที่ 5 คือพระราชบิดาของพระองค์เอง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 14, 11:54
  พระเจ้าจอร์ชทรงโชคดีอย่างหนึ่งคือได้ภรรยาดี    พระชายาของพระองค์ที่เสกสมรสกันมาตั้งแต่ทรงเป็นเจ้าชายเป็นหญิงสาวตระกูลผู้ดีชื่อเลดี้เอลิซาเบธ โบว์-ลียอน   เธอเป็นผู้หญิงเก่งและฉลาด  เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจของพระองค์ได้อย่างดีเยี่ยม   บทบาทของเธอนั้นหาดูได้จากหนังเรื่อง The King's Speech ที่กวาดรางวัลไปเพียบรวมทั้งตุ๊กตาทองด้วย
   พระราชินีเอลิซาเบธทรงอยู่เคียงข้างพระสวามี   ทำตัวดี ชนะจิตใจประชาชนได้สำเร็จ  โดยเฉพาะในยามสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ลอนดอนโดนระเบิดฝ่ายเยอรมันถล่มยับเยินไปหลายแห่ง     เธอเป็นคนยืนกรานว่า พระเจ้าจอร์ชและเธอจะไม่อพยพหลบภัยสงครามไปอยู่ที่ไหนเด็ดขาด  แต่จะอยู่เคียงข้างประชาชนที่ไม่มีทางอพยพหลบหนีจากเมืองหลวง    เพื่อเป็นขวัญกำลังใจว่าในยามลำบาก  พระเจ้าแผ่นดินและพระราชินีจะไม่ทอดทิ้งประชาชน
   พระราชินีองค์นี้เองที่พวกเราตอนเกิดมาคงได้ยินชื่อที่ประชาชนเรียกว่า "ควีนมัม"  ทรงเป็นพระราชมารดาของพระราชินีนาถองค์ปัจจุบัน    เป็นพระราชินีที่ประชาชนรักมากที่สุดองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 14, 11:58
ควีนมัมเมื่อพระชันษาครบ 100 ปี  ทรงอยู่มาได้อีกปีกว่าๆ จนสิ้นพระชนม์เมื่อพระชันษาย่างเข้า 102 ปี


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 30 เม.ย. 14, 14:55
- ติดตามอยู่ค่ะ

- ในพระนามเต็ม Edward Albert Christian George Andrew Patrick David  นั้น  ประกอบด้วยพระนามของนักบุญผู้พิทักษ์ (Patron Saints) ทั้งของอังกฤษ (St.George) สก๊อตแลนด์ (St.Andrew) ไอร์แลนด์ (St.Patrick) และเวลส์ (St.David)  ซึ่งเป็นที่สังเกตอยู่ด้วยว่าเหตุใดจึงรวมพระนามนักบุญผู้พิทักษ์ไว้ถึง ๔ องค์เช่นนั้น

- กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ ๘ นี้  แม้ก่อนจะมีกรณีความสัมพันธ์กับผู้หญิงต่างๆ  ก็มีประเด็นซุบซิบอยู่เหมือนกันเรื่องทัศนคติแปลกๆ ของพระองค์ที่มีต่อพลเมืองของชาติในเครือจักรภพ  เคยอ่านว่าพระองค์ก็แสดงความเห็นไว้แรงน่าตกใจอยู่เหมือนกัน (แต่จำข้อความไม่ได้แน่ชัดค่ะ)  สมัยนั้นสื่อมวลชนยังไม่กล้าเผยแพร่ข้อความเหล่านี้  เพิ่งมารับรู้กันในยุคหลังที่สื่อมวลชนมีเสรีภาพมากขึ้นแล้ว  หรือแม้แต่ท่าทีเหมือนจะเห็นชอบกับผู้นำนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒

- กษัตริย์จอร์จที่ ๕ พระบิดาเองก็ดูจะไม่โปรดพระโอรสองค์ใหญ่ผู้เป็นรัชทายาทนัก  เคยอ่านว่าพระบิดาทำนายไว้เลยด้วยซ้ำว่าหากพระองค์ล่วงลับไปแล้วพระโอรสคงจะก่อเรื่องจนเละตุ้มเป๊ะภายในหนึ่งปี  พระบิดาทรงโปรดพระโอรสองค์รอง คือเจ้าชายอัลเบิร์ต (กษัตริย์จอร์จที่ ๖) และพระธิดาของเจ้าชาย  คือเจ้าหญิงอลิซาเบธ (สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ ๒) มากกว่า  จนออกโอษฐ์ว่าทรงหวังว่าพระโอรสองค์โตจะไม่เสกสมรสและมีโอรสธิดา  เพื่อที่จะไม่มีสิ่งใดมาขวางเจ้าชายอัลเบิร์ต “เบอร์ตี้” และเจ้าหญิงอลิซาเบธ “ลิลิเบ็ธ” จากราชบัลลังก์ (I pray to God that my eldest son (Edward) will never marry and have children, and that nothing will come between Bertie and Lilibeth and the throne)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 เม.ย. 14, 15:36
ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ
เรื่องพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดกับฮิตเลอร์ เป็นข่าวอยู่เหมือนกันหลังสละราชบัลลังก์แล้ว      นัยว่าทรงสนับสนุนฝ่ายนาซีอย่างที่คุณ tita ว่ามา


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 พ.ค. 14, 20:29
     ถ้าถามว่าวอลลิสรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้   ก็ขอตอบว่า ในช่วงที่ราชสำนักและรัฐบาลปั่นป่วนกันอย่างหนักเพราะตกลงกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดไม่ได้   นางเอกของเราก็กลายเป็นสาวไร้เดียงสาขึ้นมาเสียงั้นแหละ    เธอไม่เข้าใจเลยว่าพวกนั้นจะอะไรกันนักหนากับเธอ   ในเมื่อเธอก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรสักอย่าง   ถ้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสกสมรสกับเธอได้ก็ดี    ถ้าไม่ได้เธอก็ไม่ว่า    แต่จะให้เธอเลิกกับพระองค์ท่านเธอก็ไม่เลิก  เพราะรักกันแน่นแฟ้นเสียแล้ว
    พอข่าวอื้อฉาวไปทั่วประเทศ   และจบลงด้วยการสละราชบัลลังก์ท่ามกลางความตกตะลึงของประชาชนทั่วสหราชอาณาจักร  บ้านของวอลลิสก็ถูกมือดีขว้างหินใส่เข้าให้   เป็นการคุกคามที่ทำให้เธอตัดสินใจออกจากอังกฤษไปอยู่ฝรั่งเศสตอนใต้     ทั้งคู่ต้องแยกกันชั่วคราว จนกระทั่งอดีตราชันย์แห่งสหราชอาณาจักร ผู้ซึ่งบัดนี้ได้ชื่อใหม่ว่า ดยุคแห่งวินด์เซอร์  ตามที่พระอนุชาพระราชทานให้เป็นกรณีพิเศษ  ตามไปทีหลังและได้แต่งงานกันโดยทำพิธีสมรสเล็กๆ ในฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1937
    ในตอนแรก   ดยุคแห่งวินด์เซอร์เข้าพระทัยว่าพระองค์ก็คงอยู่นอกประเทศชั่วคราว  อาจจะสัก  2-3 ปี  ให้เรื่องเงียบก่อนกลับไปอังกฤษอีก    แต่เอาเข้าจริง   ทั้งสองกลับต้องอยู่ต่างแดน   ยาวนานจนตลอดชีวิต   ไม่มีโอกาสกลับบ้านเกิดเมืองนอนของฝ่ายชายอีก

   วอลลิสกับดยุคแห่งวินด์เซอร์ในวันวิวาห์


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ค. 14, 11:46
      ความเกี่ยวพันกับนาซีอย่างที่คุณ tita เกริ่นเอาไว้ แกะรอยกลับไปได้ตั้งแต่ท่านดยุคยังเป็นเจ้าชายอยู่       เริ่มต้นด้วยเยอรมันไม่ใช่ประเทศของไทต่างด้าวท้าวต่างแดนในความรู้สึกของเจ้าชาย   เพราะบรรพบุรุษของพระองค์คือเจ้าชายอัลเบิร์ตพระสวามีของควีนวิกตอเรีย ก็เป็นเจ้าชายเชื้อสายเยอรมัน พูดภาษาเยอรมันมาแต่เกิด    แม้แต่ควีนวิกตอเรียเองก็มีเชื้อสายเยอรมัน    พระมารดาของเจ้าชายเดวิดก็เป็นเจ้าหญิงเชื้อสายเยอรมันมาก่อน      แต่สามพระองค์ที่ว่ามานี้ไม่เคยทำอะไรที่แสดงว่าเข้าข้างเยอรมัน  คงวางพระองค์เป็นอังกฤษตามหน้าที่อย่างเต็มตัว   
      ผิดกับเจ้าชายเดวิดที่พูดภาษาเยอรมันคล่อง  จนเรียกภาษาเยอรมันว่า "ภาษาแม่"    ก่อนหน้านี้เมื่อเงาอำนาจของฮิตเลอร์เริ่มฉายขึ้นในยุโรป    เจ้าชายผู้ซึ่งบัดนี้เป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปดก็มีท่าทีว่าจะเอนเอียงไปเข้าข้างฝ่ายนาซี  ด้วยความเชื่อว่าถ้าอังกฤษเป็นพันธมิตรกับเยอรมัน จะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย 
     การที่กษัตริย์อังกฤษมีความคิดเช่นนี้   ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษจับตามองด้วยความปริวิตกไปยังความแข็งแกร่งของเยอรมัน ซึ่งก้าวกระโดดขึ้นมาด้วยฝีมือผู้นำอย่างฮิตเลอร์     นับเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในสายตารัฐบาลอย่างมาก        ดังนั้น เมื่อบวกเข้าด้วยปัญหาแม่ม่ายหย่าผัวอย่างอเมริกันที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดซ้อนทบเข้ามาอีก    รัฐบาลอังกฤษก็ยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่ยอมให้พระองค์เจรจาโดยตรงให้ประชาชนเออออห่อหมกยอมรับวอลลิสเป็นควีน อย่างที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดดำริว่าจะทำ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 พ.ค. 14, 12:19
   ในเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดพ้นจากราชบัลลังก์ไปเสียได้    รัฐบาลอังกฤษก็หนักอกน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง   แต่ก็จะโล่งเต็มร้อยนั้นยังไม่ใช่  เพราะว่าอดีตราชันย์ผู้บัดนี้เป็นดยุคตำแหน่งลอยยังไม่หยุดเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายอักษะ(คือเยอรมันและอิตาลี)   
    แต่งงานไปกับวอลลิสไม่กี่วัน   พระองค์เจอนักการทูตอิตาเลียนเข้าขณะอยู่ในฝรั่งเศส  ก็ทรง 'แพล็ม' ข่าวลับออกไปว่า รหัสลับของอิตาลีที่ใช้สื่อสารกันอยู่ในกลุ่มสายลับนั้น  บัดนี้ฝ่ายอเมริกาค้นเจอและถอดรหัสออกมาได้หมดแล้ว    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คำพูดนี้ไม่ว่าตั้งใจพูดหรือเผลอหลุดปากออกไป  ย่อมเป็นประโยชน์กับอิตาลีและเสียประโยชน์กับอเมริกาอย่างมโหฬารพันลึก


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ค. 14, 08:59
   ย้อนกลับมาถึงนางเอกของกระทู้
   บัดนี้  จากหญิงอเมริกันสามัญชน  วอลลิสก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งพระสนมลับ   แล้วก็จบลงที่ตำแหน่งดัชเชสแห่งวินด์เซอร์   ถ้าเทียบกับพื้นราบเบื้องต้นก็ต้องถือว่าเป็นเส้นทางขึ้นสู่ภูเขายอดสูงเอาการอยู่     แต่เธอก็มิได้ปรีดาปราโมทย์กับตำแหน่งนี้ด้วยเหตุสองประการ  คือหนึ่ง ราชสำนักอังกฤษไม่ยอมให้เธอใช้คำนำหน้าว่า Her Royal Highness  ทั้งๆสามีเธอเป็นเจ้านายแท้ๆ เคยเป็นกษัตริย์มาก่อน     เพราะพระพันปีแมรี่และพระเจ้าจอร์ชที่ 6 รวมทั้งรัฐบาลอังกฤษไม่อาจยอมรับให้เธอเป็น "เจ้า" ได้อยู่ดี    
   ท่านดยุคก็หาทางออกให้ภรรยาที่เคารพ  โดยกำหนดให้คนรับใช้มหาดเล็กเด็กชาในวังใหม่ที่ฝรั่งเศส ตลอดจนเพื่อนฝูงที่ยังคบหากันอยู่  เรียกขานวอลลิสในแวดวงพวกเขาว่า  Her Royal Highness เอาดื้อๆงั้นแหละ  ใครจะมาทำไม ในเมื่อพูดกันเฉพาะกลุ่มของฉันเท่านั้น

   ข้อสองที่วอลลิสไม่แฮปปี้กับตำแหน่งนี้ คือสามีเธอพยายามแล้วที่จะดิ้นรนต่อสู้ให้เธอได้เสกสมรสกับพระองค์ ได้ขึ้นเป็นพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร   หรือต่อให้ไม่ได้เป็นควีน เป็น Princess Consort  คือ "เจ้าหญิงพระชายา" ก็ยังดี     แต่พระองค์ก็ทำไม่สำเร็จจนต้องสละราชบัลลังก์     วอลลิสจึงเหมือนคนที่พลาดล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งมาเจอแค่เลขท้ายสามตัว ทำให้เธอหันไปชิงชังผู้หญิงที่ลอยลำปาดหน้าเธอขึ้นเป็นควีน  อันได้แต่พระราชินีเอลิซาเบธของพระเจ้าจอร์ชที่ 6   น้องสะใภ้ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด  
   เธอมองหญิงสาวคนนี้เป็นศัตรูคู่แข่ง  พยายามทำทุกอย่างที่จะหลู่เกียรติ  ไม่ว่าจะเป็นสรรหาคำมาเรียกลับหลังให้อีกฝ่ายดูตลกในสายตาเพื่อนๆของเธอ  หรือแม้แต่ผลักดันตัวเองให้เป็นผู้หญิงแต่งกายดีที่สุดในโลกตามคำประกาศเกียรติคุณของดีไซเนอร์ในปารีส  เพื่อให้ชื่อเสียงเธออยู่ใน 'ระดับโลก' ก็อย่างน้อยสักด้านหนึ่ง      พร้อมกันนั้นก็จะได้เยาะหยันดูถูกพระราชินีอังกฤษผู้ทรงแต่งกายแบบเดียวไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่สาวจนแก่
   แต่อย่างหนึ่งที่ยังไงวอลลิสทำไม่ได้  แต่พระราชินีของพระเจ้าจอร์ชทำได้ คือทำตัวเป็นที่รักของประชาชนอังกฤษ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ค. 14, 10:54
      ก่อนหน้านี้ วอลลิสเหมือนซินเดอเรลลาที่เริงลีลาศอยู่กับเจ้าชาย  โดยคิดว่าจะผ่านเวลาสองยามไปได้ตลอดกาล  แต่เอาเข้าจริง ผลกลายเป็นว่าพอพ้นเวลาสองยาม ไม่ใช่แต่เธอเท่านั้น เจ้าชายก็กระเด็นออกมาคลุกฝุ่นอยู่นอกประตูวังด้วยอีกคน
     บัดนี้เธอได้ครอบครองเขาโดยสมบูรณ์ก็จริง   แต่การได้ครอบครองพระเจ้าแผ่นดินแห่งสหราชอาณาจักร กับครอบครองท่านดยุคผู้มีแต่ศักดินานำหน้าชื่อ  มันแตกต่างกันมาก      สามีเธอในบัดนี้ไม่สามารถบันดาลอะไรให้เธอได้นอกจากเงินทองพออยู่กันไปได้  จากการขายสมบัติส่วนตัวให้น้องชาย    เอาละ วอลลิสไม่ต้องทำกับข้าวดูดฝุ่นเองอย่างแม่บ้านทั่วไป   ไม่ต้องแม้แต่ไปทำงานนอกบ้านหารายได้     แต่เธอก็รู้สึกว่าเป็นตอนจบของชีวิตทีจืดชืดเสียเหลือประมาณ   หลังจากเริ่มต้นอย่างอลังการเป็นข่าวไปทั่วโลก
    เธอกับสามีก็จะต้องอยู่กันไปสองคน ห่างไกลจากสังคมไฮโซของอังกฤษ  มีเพื่อนฝูงในวงแคบๆ นับวันก็จะร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ   ทั้งสองจะถูกลืมเลือน ถูกทอดทิ้ง กลายเป็นตาแก่ยายแก่เหงาๆหงอยๆ กันไปตามประสาผู้แพ้ชะตากรรม
    นางฟ้าตกสวรรค์จะทำอย่างไร   ก็ต้องหาทางปีนขึ้นสวรรค์กลับไปอีกน่ะซีคะ     เรื่องอะไรจะชะเง้ออยู่เชิงบันไดให้น้อยเนื้อต่ำใจกับวาสนาเปล่าๆ

    สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นเมื่อแสนยานุภาพของเยอรมันบุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ ในค.ศ. 1939     อังกฤษกลายเป็นคู่สงครามกับเยอรมันในพริบตา   เพราะอังกฤษเซ็นสัญญาปกป้องโปแลนด์เอาไว้ก่อนหน้านี้       ในตอนต้น  ทัพเยอรมันได้เปรียบทุกประตู  เพราะฝรั่งเศสเองก็ล้มครืนตามหลังโปแลนด์ลงมาอย่างไม่น่าจะเป็น     ท็อปบู๊ตเยอรมันเหยียบฝรั่งเศสไว้ พร้อมจะก้าวอีกขาข้ามช่องแคบโดเวอร์มาเหยียบลอนดอน
    ฮิตเลอร์ไม่ได้ทำสงครามบนดินแบบทื่อๆแค่ส่งทหารเข้าบุกที่โน่นที่นี่    แต่สงครามใต้ดินเขาก็ทำไม่น้อยกว่ากัน     วอลลิสและท่านดยุคผู้เปิดใจรับเยอรมันมาแต่แรก จึงได้รับการติดต่อว่า ถ้าหากว่าเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ เขาจะยกบัลลังก์อังกฤษคืนให้ราชันย์ผู้นิราศอีกครั้ง และวอลลิสจะได้เป็นพระราชินีอย่างเต็มภาคภูมิ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 04 พ.ค. 14, 14:37
แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนากันนี่ไม่ได้จริงๆบางคนไต่บันไดจนกระไดหัก ก็ยังไต่ไม่ถึง เหมือนฟ้ากับอึสุนัข

พระราชินีเอลิซาเบธของพระเจ้าจอร์ชที่ 6 หรือควีนมัม (1900-2001) เป็นสตรีที่ผู้หญิงแบบวอลลิซไม่อาจเทียบเคียงได้เลยไม่ว่าในด้านไหนๆ
ด้านชาติกำเนิดควันมัม หรือเลดี้เอลิซาเบธ แองเจลา โบว์ ลีออน เกิดในตระกูลขุนนางชาวสก็อต ได้รับการศึกษาอย่างดี เป็นผู้หญิงฉลาด หลักแหลม แกร่ง แถมไม่ใช่คนที่ฟุ้งเฟ้อ
ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็อุทิศตัวดูแลทหารที่บาดเจ็บ ที่มาพักฟื้นที่ปราสาทของเธอ
พระเจ้าจอร์ชที่ 6 สมัยยังเป็นเจ้าชายอัลเบิร์ต ต้องใช้ความพยายามขอแต่งงานหลายครั้ง กว่าเลดี้เอลิซาเบธจะยอมตกลง เพราะเธอวิตกและไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบราชวงศ์
ในงานแต่งงาน เลดี้เอลิซาเบธ วางช่อดอกไม้ของเจ้าสาวที่หลุมศพทหารนิรนาม  เพราะเธอเสียพี่ชายไปในสงครามด้วย
เป็นสิ่งที่กินใจและได้ใจ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันของเจ้าสาวที่ทำพิธีแต่งงานในวิหารเวสมินเตอร์จนถึงปัจจุบัน
เมื่อเป็นพระราชินีแล้ว  ในช่วงที่ลอนดอนถูกระดมทิ้งระเบิด ขณะที่วอลลิสฝันถึงตำแหน่งราชินี ถ้าเยอรมันชนะ พระราชินียืนกรานว่าจะไม่อพยพไปไหนทั้งนั้น จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชินีในลอนดอนต่อไป
ควีนมัมมีพระชนม์ยืนยาวถึง 101 ปี เป็นพระราชวงส์อังกฤษที่ได้รับความนิยมนับถืออย่างสูง แม้แต่ในช่วงที่กระแสนิยมราชวงศ์อังกฤษตกลงด้วยเรื่องเสื่อมเสียต่างๆ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ค. 14, 15:53
^


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 04 พ.ค. 14, 16:14
   ฝันหวานของวอลลิสเริ่มตั้งแต่ค.ศ. 1937  พอแต่งงาน  ท่านดยุคกับเธอก็ประกาศเยือนเยอรมันเป็นข่าวเอิกเกริก   ไม่ได้แคร์ราชสำนักและพระเจ้าจอร์ชที่หกว่าจะกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ ไปตามๆกัน    ทั้งคู่ไปพบกับฮิตเลอร์ซึ่งชาญฉลาดพอจะแสดงท่าทีพออกพอใจดัชเชสแห่งวินด์เซอร์จนออกนอกหน้า    มิหนำซ้ำยังโปรยยาหอมว่า
   "คุณเหมาะจะได้เป็นพระราชินีมากทีเดียวครับ"
   ส่วนรัฐบาลอังกฤษที่จ้องเขม็งอยู่  คิดไปอีกอย่าง คือคิดว่าผู้หญิงคนนี้เหมาะจะเป็นสายลับนาซียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด    แม้วอลลิสจะระแคะระคาย และหาว่าพวกนี้บ้าไปเอง  แต่หน่วยเอฟ.บี.ไอ.ของอเมริกาก็มีความเห็นทำนองเดียวกับรัฐบาลอังกฤษ     อย่างไรก็ตาม การเล่นงานพระเชษฐาของกษัตริย์อังกฤษว่าเป็นสายลับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ   และก็คงโง่มากถ้ากระพือข่าวให้ไก่ตื่นกันหมด   หน่วยสืบราชการลับก็เลยต้องซุ่มแกะรอยกันเงียบๆต่อไป

   ถ้าหากว่าท่านผู้อ่านเรือนไทยทั้งหลายเชื่อบันทึกของท่านดยุค หรือหนังสือชีวประวัติที่เขียนถึงทั้งสองคนนี้ออกมาอย่างหยดย้อย  ก็คงจะเห็นว่าความรักของอดีตพระราชาและหญิงม่ายเป็นความรักยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ   เคียงข้างกันมาตลอด เห็นคนหนึ่งต้องเห็นอีกคน ไม่ทิ้งขว้างร้างหย่ากันเลยจนความตายมาพรากจากกัน
   แต่ถ้าเชื่อเรื่องก๊อสสิปอย่างที่กระทู้นี้จะเล่าให้ฟัง  ซึ่งฟังมาจากรายงานข่าวที่ส่งไปที่เอฟบีไออีกทีหนึ่ง  พบว่าหลังจากวอลลิสได้ผูกมิตรกับฝ่ายอักษะของเยอรมัน   เธอก็ไปสนิทเอกอัครราชทูตทูตเยอรมันประจำอังกฤษชื่อจัวอาคิม ฟอน ริบเบนทรอพ     สนิทกันไปสนิทกันมาจนเกินเลยเพื่อน      ข่าวคราวทั้งหลายจากทางฝ่ายพันธมิตรที่วอลลิสรู้ผ่านสามีและเพื่อนฝูงก็รั่วไหลผ่านไปสู่เยอรมัน  ผ่านทางชู้รักคนนี้แหละค่ะ




กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 04 พ.ค. 14, 21:03
กระทู้นั้นเพิ่งจะเอ่ยถึงลอออร  กระทู้นี้ทองไพรำก็ตามมาติดๆ  ;D 


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ค. 14, 10:14
     ส่วนท่านดยุคนั้นรู้เรื่องกิ๊กของดัชเชสหรือไม่ ไม่มีใครรู้   เพราะไม่เห็นมีข่าวรั่วไหลว่าทรงทะเลาะเบาะแว้งกับวอลลิส   ก็ยังรักใคร่กันดีเหมือนเดิม          รัฐบาลอังกฤษได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนรู้เมื่อเห็นทรงวางองค์เป็นพันธมิตรของฝ่ายอักษะอย่างไม่ปิดบัง   ชื่นชมระบบฟาสซิสม์มาตั้งแต่ครั้งครองราชย์ อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น    เมื่อฝรั่งเศสตกพ่ายแพ้เยอรมัน  ทั้งสองจึงได้อพยพไปสเปน และปอร์ตุเกสเพื่อให้พ้นภัยสงคราม  แต่ก็ยังเชียร์เยอรมัน  ถึงขนาดมีข่าวลับส่งไปยังรัฐบาลอังกฤษ  ว่าท่านเผยแผนการลับของฝ่ายพันธมิตรในการป้องกันเบลเยี่ยมแก่เยอรมัน   
     คนส่งแผนนี้เป็นท่านดยุคหรือดัชเชสก็ยังน่าสงสัยอยู่  แต่ในเมื่อเป็นสามีภรรยาใต้หลังคาเดียวกัน ก็เลยถูกเหมารวมว่า ใครส่งก็ตามไม่สำคัญ  มันก็ได้ชื่อว่าส่งจากที่นี่ละเอ้า

      ในที่สุด พระเจ้าจอร์ชและรัฐบาลอังกฤษทนก้างชิ้นนี้ตำคอต่อไปไม่ไหว     จึงจัดการหาตำแหน่งใหม่ให้สมพระเกียรติท่านโดยแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการเกาะบาฮามาส   พูดง่ายๆคือเนรเทศไปให้พ้นหูพ้นตาทั้งอังกฤษและเยอรมัน      ทำเอาพระเอกของเรายิ้มไม่ออก  นอกจากบาฮามาสอยู่ไกลปืนเที่ยงสุดกู่แล้ว  ท่านยังมองว่าเป็นอาณานิคมกระจอกๆ สุดจะโลว์โซ  มีแต่ความยากไร้ไปทุกหนทุกแห่ง   หาเซเล็บไม่ได้เลยสักคน  จะให้วอลลิสของฉันเฉิดฉายกรีดกรายอยู่ตรงไหนกันล่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ค. 14, 11:17
      ราชสำนักอังกฤษได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้ราชการบาฮามาสปฏิบัติมารยาทต่อผู้ว่าราชการคนใหม่  ให้ถือว่าท่านดยุคยังคงเป็น "เจ้า" ตามฐานะชาติกำเนิด    คือต้องเรียกว่า Your Royal Highness    เมื่อเสด็จเข้าไปในงานราชการไหน  คนในงานถ้าเป็นชายต้องถวายคำนับ และถอนสายบัวสำหรับผู้หญิง     ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติต่อเจ้านายเท่านั้น   
      ที่น่าเจ็บแสบจนวอลลิสแทบจะดิ้นเร่าก็คือ   เธอถูกแยกออกมาเป็นสามัญชน  ให้ผู้คนเรียกเพียงว่า  Your Grace  ซึ่งเป็นสรรพนามบุรุษที่สองเรียกดัชเชสที่เป็นเมียขุนนาง  ไม่ใช่ดัชเชสชายาของเจ้านาย    ผู้คนไม่ต้องถอนสายบัวให้เธอ  พวกเขาแค่ปฏิบัติต่อเธอเหมือนเลดี้อะไรคนหนึ่ง ซึ่งมันเป็นการลบหลู่กันอย่างไม่อาจให้อภัยได้สำหรับวอลลิส       แม้ว่าเวลาอยู่ในคฤหาสน์เธอทำตัวเป็น "ท่านผู้หญิงบ่าวตั้ง" ให้มหาดเล็กเด็กชายเรียกว่าใต้ฝ่าพระบาทมานานแล้วก็ตาม
       
          วอลลิสฉลาดพอตีลูกเฉย  ไม่ทำตัวให้สื่อรู้ว่าเธอเจ็บแค้นอย่างไร     เพราะถ้าเธอโวยขึ้นมาก็มีแต่จะถูกประณามหนักขึ้นอีกจากทุกด้าน    คนที่เต้นผางออกมาสู้รบกับราชสำนักอังกฤษเสียเองคือสามีเธอ  พระองค์ส่งจดหมายฟ้องรัฐบุรุษเชอชิลล์ทันทีว่า..
          "ฉันขอคัดค้านสิ่งที่พระเจ้าจอร์ชทรงเลือกปฏิบัติต่อเมียฉัน     หรือคนที่เจ้ากี้เจ้าการน่าจะเป็นพระราชินีก็เป็นไปได้    คุณคงเข้าใจนะว่าถ้าใครมาตั้งป้อมจ้องจงเกลียดจงชังเมียของคุณ  คุณก็คงไม่อยากญาติดีกับเขา  เหมือนอย่างที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่.."
         


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 06 พ.ค. 14, 11:26
       ปกติผู้ชายเขาไม่คิดจุ๊กๆจิ๊กๆ ไปถึงเรื่องแม่คนนั้นมาอิจฉาแม่คนนี้  หรือเรื่องกำหนดคำเรียกซึ่งเป็นเรื่องราชการแท้ๆเกิดขึ้นเป็นผลจากผู้หญิงสองคนจิกตีกัน     เราคงพอเดาได้ว่าใครที่ใส่ความคิดลงไปในหัวท่านดยุคว่า การที่วอลลิสไม่สามารถจะเป็น"เจ้า"ได้  เกิดจากพระราชินีเอลิซาเบธริษยาหล่อน    
      วอลลิสไม่คิดว่าเธอเองเกิดมาไม่เคยเป็นเจ้า  แถมยังดึงเจ้าลงไปจากบัลลังก์ให้อับอายขายหน้าไปทั่วโลกเสียอีก   แล้วจะให้ราชสำนักประกาศให้ราชการบาฮามาสเรียกว่า "เจ้า" มันไม่มากไปหน่อยหรือ
       อย่างไรก็ตาม  ท่านดยุคก็ฝังใจเชื่อเอาจริงๆจังๆว่าเมียท่านไม่ได้เป็นองค์หญิงก็เพราะความริษยาของพระราชินีอังกฤษ    ขนาดแก่ใกล้ตายในหลายสิบปีต่อมา  ท่านยังเคยให้สัมภาษณ์ว่าพระราชินีไม่ชอบวอลลิสเพราะ..
         "จะมีอะไรอีก  นอกจากอิจฉาริษยาน่ะซี     ก็สมัยเป็นสาวๆน่ะ เอลิซาเบธหลงใหลใฝ่ฝันฉัน  อยากจะแต่งงานกับฉันจนตัวสั่น   แต่ฉันไม่เคยสนใจหล่อน"

          สามีภรรยาคู่นี้จำต้องย้ายไปครองตำแหน่งเจ้าเมืองบาฮามาสก็จริง   แต่วอลลิสไม่เคยยอมให้ความยากไร้และไกลปืนเที่ยงของหมู่เกาะมาเปลี่ยนรสนิยมได้      เธอยังดำเนินชีวิตอย่างหรูหรา ลงเรือยอทอันเป็นเรือสำราญชั้นเศรษฐีไปพักผ่อน  แต่งกายหรูเริ่ดมีเสื้อเฟอร์แพงระยับห่มกาย ประดับเพชรพลอยจากห้างหรูในปารีส   ขณะที่คนอังกฤษเผชิญภัยสงคราม  อดอยากยากแค้นกับบัตรปันส่วนอาหารและของใช้  วอลลิสก็มิได้สะท้านสะเทือน
           ความไฮโซที่เล่าขานกันมาคือเมื่อวอลลิสอยากจะไปดัดผม    เธอก็ขึ้นเครื่องบินเฟิสคลาสจากบาฮามาสไปนิวยอร์คอย่างหน้าตาเฉย  เพราะที่หมู่เกาะไม่มีสไตลิสต์ทำให้ได้     ในขณะเดียวกันพระเจ้าจอร์ชกับพระราชินีก็ทนฟังเสียงระเบิดลงสนั่นอยู่รอบวังโดยไม่ยอมทิ้งประชาชน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 14, 10:52
ท่านดยุคและวอลลิสขณะอยู่ในบาฮามาส


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 14, 10:59
ท่านดยุคยังคงถือหางฝ่ายอักษะอย่างเสมอต้นเสมอปลาย     สงครามในยุโรปดำเนินไปอย่างดุเดือด เมื่ออเมริกาเข้าถือหางฝ่ายพันธมิตร    ชะตากรรมของอังกฤษที่ทำท่าว่าจะย่ำแย่ก็กระเตื้องขึ้นมา    ถึงกระนั้นท่านดยุคก็ยังเชื่อว่าฮิตเลอร์เป็นฝ่ายชนะแน่ในบั้นปลาย
ความเชื่อนี้มีหลักฐานยืนยันจากจดหมายที่ทรงเขียนถึงประธานาธิบดีรูสเวลท์ว่า หากอเมริกาต้องการประนีประนอมยอมสงบศึกกับฮิตเลอร์ (เพราะสู้ไปก็มีแต่แพ้ท่าเดียว) ละก็     พระองค์ยินดีจะเป็นทูตสันถวไมตรีให้เอง
แน่ละ  ท่านดยุคยังจำคำมั่นสัญญาของฮิตเลอร์ได้ว่า หากเยอรมันชนะ  พระองค์ก็จะได้กลับไปนั่งบัลลังก์อังกฤษที่พระอนุชาจำต้องสละ   และวอลลิสก็จะได้เป็นควีน
แต่ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2   คือพันธมิตรชนะ   ฮิตเลอรฆ่าตัวตายพร้อมภรรยา     ทำให้ฝันของสามีภรรยาสลายลงไม่มีชิ้นดี


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 14, 11:15
    ในที่สุด ท่านดยุคและวอลลิสทนอยู่ในบาฮามาสต่อไปไม่ไหว   ท่านก็ลาออกตั้งแต่ปลายสงครามโลกในปี 1945   เมื่อสงครามโลกสงบลง   รัฐบาลอังกฤษก็ทำเฉยเมย ไม่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดต่อไปอีก      เพราะตำแหน่งผู้ว่าราชการบาฮามาสที่ได้มาก็ไม่ใช่ว่าได้ด้วยความดีความชอบ    แต่ได้เพราะรัฐบาลเสือกไสไปให้พ้นๆเยอรมันเท่าที่จะทำได้
    บัดนี้เมื่อสงครามจบลง เยอรมันแพ้    ประเทศชนะก็ต้องวุ่นวายกับฟื้นฟูบูรณะประเทศ  ไม่มีเวลาจะมาสนใจอดีตเจ้านายผู้นี้อีก
 
   ท่านดยุคยังโชคดีอยู่บ้าง ที่ฝรั่งเศสยื่นมือเข้ามาช่วยให้ทั้งสองได้พำนักถาวรในประเทศ   นอกจากนี้ยังเอื้อเฟื่อ ยกเว้นภาษีให้  เทศบาลปารีสช่วยหาบ้านใกล้ๆบัวเดอบูโลญให้เช่าอยู่ ด้วยราคาพอเป็นพิธี   ท่านดยุคมีรายได้จากรัฐบาลจ่ายให้ และหาลำไพ่จากค้าสกุลไทยแบบเลี่ยงกฎหมายพอเป็นค่าใช้จ่าย      ส่วนข้าวของเครื่องใช้ก็ทรงซื้อแบบอภิสิทธิ์ชน คือยกเว้นภาษีผ่านทางสถานทูตอังกฤษ     นานๆก็เขียนหนังสือเกี่ยวกับพระราชวงศ์ออกมาสักเล่มหนึ่งเป็นรายได้พิเศษ
    ดังนั้นแม้ว่าไม่ได้ร่ำรวยแบบเศรษฐีจริง     ทั้งสองก็ดำรงชีวิตแบบไฮโซอยู่ได้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง   เพราะวอลลิสยังไงก็ไม่ยอมอยู่ต่ำกว่านั้น
    ในตอนนี้เอง ชายคนใหม่ก็ย่างกรายเข้ามาในชีวิตเธอ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 07 พ.ค. 14, 11:38
หาลำไพ่จากค้าสกุลไทย

ไม่เข้าใจครับอาจารย์


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 07 พ.ค. 14, 11:38
ท่านดยุคมีรายได้จากรัฐบาลจ่ายให้ และหาลำไพ่จากค้าสกุลไทยแบบเลี่ยงกฎหมายพอเป็นค่าใช้จ่าย      

"สกุลไทย" ในที่นี้คืออะไรหนอ  ???


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 07 พ.ค. 14, 11:40
"...ท่านดยุคมีรายได้จากรัฐบาลจ่ายให้ และหาลำไพ่จากค้าสกุลไทยแบบเลี่ยงกฎหมายพอเป็นค่าใช้จ่าย....   ???

ท่านยังเคยให้สัมภาษณ์ว่าพระราชินีไม่ชอบวอลลิสเพราะ.."จะมีอะไรอีก  นอกจากอิจฉาริษยาน่ะซี  ก็สมัยเป็นสาวๆ น่ะ เอลิซาเบธหลงใหลใฝ่ฝันฉัน  อยากจะแต่งงานกับฉันจนตัวสั่น  แต่ฉันไม่เคยสนใจหล่อน"   :o



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 พ.ค. 14, 12:09
พิมพ์ผิดค่ะ  สกุลเงิน  ไม่ใช่ สกุลไทย


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 07 พ.ค. 14, 13:38
ขอบพระคุณครับ ไม่ได้ตั้งใจจะจับผิดเลย ผมอ่านไม่เข้าใจจริงๆ นึกว่าตัวเองตกข่าว เป็นคำเฉพาะกลุ่มเสียอีกครับ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 07 พ.ค. 14, 17:18
เสริมเรื่องนางซิมป์สันนิดหน่อย  สมัยที่อยู่ในบาฮามัส  ที่นอกจากจะฟุ่มเฟือยแล้ว นางยังมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อชาวพื้นเมืองด้วย โดยมองว่าเป็นพวกนิโกรขี้เกียจ แสดงความรังเกียจผ่านจดหมายที่เขียนถึงญาติ ตัวดยุคเองก็มองว่าบาฮามัสเป็นอาณานิคมชั้นสามของอังกฤษ

นอกจากนั้นทั้งดยุคและซิมป์สันยังมีการติดต่อกับพวกที่โปรนาซีเป็นประจำ  มีกิจกรรมที่ถูกมองว่าไม่เป็นผลดีต่ออังฤษ  พฤติกรรมต่างๆ ของสามีภรรยาคู่นี้ทางอังกฤษมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแก้แค้นประเทศชาติตัวเอง ที่ปฏิเสธสถานะราชินีของซิมป์สัน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 พ.ค. 14, 08:49
  ขอปูพื้นหลังไว้เล็กน้อยว่า อเมริกาเป็นประเทศที่คนยุโรปประเภทหาเช้ากินค่ำอพยพกันไปตายเอาดาบหน้าที่นั่น    ด้วยความหวังว่านอกจากไม่ตายแล้วยังพอจะเงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้ด้วย      อเมริกามีพื้นที่กว้างขวางให้จับจองได้  มีโอกาสแห่งความเสมอภาคที่จะสร้างฐานะโดยไม่ถูกผูกขาดไว้ด้วยชนชั้นศักดินาอย่างในยุโรป      ฝันนี้เป็นจริงสำหรับผู้อพยพจำนวนมาก   เมื่อประเทศก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมและการค้าแบบแฟรนไชส์  เศรษฐีใหม่จึงเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด
   หนึ่งในจำนวนนั้นคือเศรษฐีตระกูลวูลเวิร์ธ ที่ดิฉันเล่ามาก่อนหน้านี้ในกระทู้เศรษฐินีบาร์บาร่า ฮัตตันยังไงล่ะคะ    แต่คราวนี้สปอตไลท์พุ่งไปที่อีกคน  คือหนุ่มสังคมนามว่า จิมมี่ โดนาฮิว   เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับบาร์บาร่า   เพราะแม่ของทั้งสองเป็นพี่น้องกัน   ทั้งจิมมี่และบาร์บาร่าต่างก็ได้มรดกตกทอดจากคุณตาผู้เป็นเจ้าของกิจการห้างวูลเวิร์ธอันมีสาขามากมายมหาศาล   ส่งผลให้หลานๆไม่ต้องทำอะไร   แค่นั่งกินนอนกินอยู่บนกองเงินกองทอง  ก็แทบจะถูกเงินทองที่ไหลมาเทมาท่วมทับตายอยู่แล้ว

   พวกทายาทเศรษฐีอเมริกันดำเนินชีวิตหรูเริ่ด   อะไรที่เงินซื้อได้ พวกเขาทำหมด    แพงแค่ไหนก็ไม่สะทกสะท้าน  ขอให้ได้ชื่อว่าเลิศและเริ่ดเกินหน้าคนธรรมดาจะมีกันได้ก็พอแล้ว       แต่อย่างหนึ่งที่พวกนี้รู้สึกเป็นปมด้อยอยู่ก็คือ พวกเขาไม่ได้สืบสายเลือดมาจากผู้ดิบผู้ดี  อย่างชาวยุโรปที่ลำดับบรรพบุรุษถอยหลังขึ้นไปได้ยาวไกลเกือบจะถึงลิงอยู่รอมร่อ
   ดังนั้นเมื่อขาดสายเลือดบรรพบุรุษจะอวดได้    พวกนี้ก็ชดเชยด้วยการคบหาสมาคม คลุกคลีกับผู้ดีจากยุโรป ให้โลกเห็นว่า..ฉันก็ผู้ดีนะยะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 พ.ค. 14, 09:05
     ความเห่ออยากกระทบไหล่ผู้ดีของบรรดาเศรษฐีอเมริกัน กับความกระหายสังคมไฮโซอลังการงานสร้างของดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์  เป็นสายน้ำที่ไหลมาบรรจบกันพอดี        ผัวเมียคู่นี้ชอบอเมริกามากกว่าอังกฤษ หรือฝรั่งเศส   เพราะในอเมริกาที่ขาดเจ้านายและขุนนาง   ทั้งคู่ได้รับการต้อนรับอย่าง"เจ้า"  เจ้าภาพเศรษฐีพินอบพิเทา เอาอกเอาใจและนอบน้อม ตลอดจนทุ่มเทเงินอย่างไม่อั้นที่จะเชิญทั้งสองไปเป็นแขกพักในคฤหาสน์  ในงานปาร์ตี้ และในเรือยอทที่ล่องทะเลทีละหลายๆวัน      เรื่องสิ้นเปลืองเงินไม่ต้องพูดถึง
     เรื่องนี้  นับว่าถูกรสนิยมของท่านดยุคที่ตัวเองก็อยากจะกลับไปอยู่อย่างเจ้า โดยไม่ต้องแบกภาระหน้าที่อย่างที่พระเจ้าจอร์ชตรากตรำทำอยู่     และวอลลิสเองก็อยากให้คนถอนสายบัว และเอาอกเอาใจเธออย่างเจ้าหญิง      ทั้งสองจึงหาเรื่องไปอเมริกาบ่อยๆเท่าที่จะทำได้
    ในช่วงต้นๆสงครามโลกครั้งที่ 2  เมื่อสมรภูมิยุโรปเต็มไปด้วยความพินาศและความตาย   อเมริกาเป็นประเทศที่ไม่บอบช้ำเพราะสงครามยังข้ามทะเลมาไม่ถึง    ดยุคและดังเชสแห่งวินด์เซอร์นั่งเครื่องบินจากบาฮามาสไปเที่ยวปาล์มบีช ในรัฐฟลอริดาอย่างสบายอารมณ์ตามคำเชิญของเศรษฐินีอเมริกัน เจสซี่ วูลเวิร์ธ โดนาฮิว  ผ่านทางคำรับรองของอดีตข้าราชบริพารคนหนึ่งของท่านดยุค
    เจสซี่อยากได้หน้าได้ตาว่า มีแขกรับเชิญเป็นเจ้านายระดับสูงของอังกฤษ    เป็นทางเดียวที่หล่อนจะไต่ระดับขึ้นจากเศรษฐินีขึ้นเป็นเศรษฐินีไฮโซแถวหน้าของประเทศได้        เจ้านายอื่นๆในยุโรปค่อนข้างจะเชิญยาก  ถ้าไม่มัวหลบภัยสงครามอยู่  ก็ถือตัวเกินกว่าจะมาง่ายๆ   ก็มีสองผัวเมียนี่แหละยินดีรับคำเชิญมาเป็นเกียรติ   เจสซี่กับลูกชายหนุ่มเพลย์บอย จึงมีโอกาสทำความรู้จักวอลลิส 
 
   


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ค. 14, 09:26
   เจมส์ พอล โดนาฮิว หรือเรียกกันว่าจิมมี่ โดนาฮิว เป็นชายหนุ่มที่มีโทษสมบัติของลูกเศรษฐีครบ  คือประพฤติตัวเหลวไหล ไม่เรียนหนังสือ  สำมะเลเทเมา เกะกะเกเร  เอาแต่ใจ  อยากทำอะไรก็ทำ   ไม่ว่ามันจะถูกต้องสมควรหรือไม่ ไม่คำนึงถึง    ถ้าพ่อแม่ธรรมดาทั่วไปมีลูกแบบนี้ก็คงนอนก่ายหน้าผาก  ตายตาไม่หลับ      แต่ความที่แม่ของเขาเป็นมหาเศรษฐินี เธอก็เลยไม่เดือดร้อน    จิมมี่จึงลอยนวลอยู่ในสังคมได้ด้วยอิทธิพลเงินของแม่ ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
   แต่เขาก็มีคุณสมบัติของลูกเศรษฐีครบไม่น้อยกว่าโทษสมบัติ  คือเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์ในการคบหาสมาคม ขี้เล่น สนุกสนาน รู้จักมารยาทสังคมดีเยี่ยมเวลาอยากจะมีมารยาทขึ้นมา   มีรสนิยมในเรื่องไวน์ เรื่องแต่งกายและเรื่องไฮโซทั้งหลาย  สามารถทำให้แขกเพลิดเพลินได้ในงานที่เขาเป็นเจ้าภาพ  นอกจากนี้ยังใจกว้าง ไม่เอาเปรียบใคร แต่ยินดีควักกระเป๋าไม่อั้น 
   ความลับเบื้องหลังเพลย์บอยคนนี้ก็คือ จิมมี่เป็นเกย์  ไม่ใช่ชายแท้    แต่ถ้าดูจากพฤติกรรมแล้ว   นายคนนี้น่าจะเป็นเสือไบมากกว่าเป็นแต๋ว เพราะแกสามารถมีคู่ขาได้ทั้งสองเพศเท่าๆกัน     ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   พฤติกรรมรักร่วมเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมาย  ดังนั้นลิ่วล้อของแม่จึงต้องสร้างภาพให้จิมมี่เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ควงสาวๆเปลี่ยนหน้ากันไปเรื่อยๆ  จนไม่ลงเอยกับใครสักที
   จิมมี่มีโอกาสพบดยุคและดัชเชสมาก่อนสงครามโลก  แต่ก็แค่คนรู้จักกันในงานสังคม  ยังไม่ได้สนิทชิดเชื้อจนกระทั่งสงครามโลกจบลง   วงสังคมไฮโซกลับฟู่ฟ่าขึ้นมาอีกครั้ง  ดยุคกับดัชเชสก็ได้รับเชิญมาเป็นสีสันของงาน   ทายาทหนุ่มมหาเศรษฐีจึงยื่นมือเข้ามาตีซี้เป็นเพื่อนสนิทเต็มตัว


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 พ.ค. 14, 10:41
    ในตอนแรก   จิมมี่ตีซี้กับท่านดยุคก่อน   เสน่ห์ของหนุ่มวัย 35 แพรวพราวตามประสาลูกคนมีเงิน  พูดภาษาต่างประเทศได้ปร๋อหลายภาษา   ขับเครื่องบินได้คล่องพอๆกับจัดงานปาร์ตี้ไฮโซ  มีโจ๊กฮาๆ มาเล่าและมาเล่นไม่ซ้ำแบบใคร  ทำให้ท่านดยุคพอพระทัยเขามาก  จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน   
    เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์ขาเม้าท์ก็ตีความหาหลักฐานกันหัวแทบระเบิดว่า จิมมี่เป็นฝ่ายเล็งพระองค์ท่าน หรือว่าท่านเล็งนายจิมมี่ หรือต่างฝ่ายต่างเล็งกัน      แต่ผลออกมาว่า ไม่ว่าใครเล็งใครหรือไม่ได้เล็งใคร แค่เป็นเพื่อนกันเฉยๆ   คนที่คว้าจิมมี่ไปครองได้ก็กลับตาลปัตรเป็นดัชเชสไปซะนี่
    ตอนที่เริ่มความสัมพันธ์กันนั้น  จิมมี่อายุ 35  เป็นหนุ่มเต็มตัว   ส่วนวอลลิสอายุ 55    แก่พอจะเป็นแม่เขาได้    แต่วัยที่ห่างกันคราวแม่ลูกไม่สามารถดับไฟเสน่หาที่ลุกพรึ่บพรั่บขึ้นมาได้ เมื่อเจอน้ำมันเกรดเอ     
    โลกยังหลงละเมอว่ารักของวอลลิสกับดยุคแห่งวินด์เซอร์นั้นคือรักอมตะที่ยิ่งใหญ่กว่าราชบัลลังก์    แต่สำหรับฝ่ายหญิงเอง   เธอเคยสารภาพกับเพื่อนคนหนึ่งว่า
    "You have no idea how hard it is to live out a great romance."
   หมายความว่าเรื่องรักที่เคยถูกมองว่าไร้เทียมทานนั้นบัดนี้เป็นอดีตไปเสียแล้ว      วอลลิสเหมือนนางละครที่พอถึงฉากจบ  ถึงมีพระเอกยืนโค้งคนดูอยู่ข้างตัว ก็มิได้มีความหวานชื่นใดๆเหลืออยู่     เธอก็กลายเป็นนางฟ้าตกสวรรค์   แต่ต้องหน้าชื่นอกตรมโปรยยิ้มอยู่อย่างนั้น
   ในเมื่อมีหนุ่มถูกตาถูกใจเดินเข้ามาในเส้นทาง   ผู้หญิงอย่างวอลลิสซึ่งไม่เคยเบรคเรื่องทำนองนี้มาแต่ไหนแต่ไร  จะให้ติดเพาเวอร์เบรคขึ้นมาก็ผิดไปละค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Twingle star ที่ 09 พ.ค. 14, 14:58
อ่านแล้วแอบคิดถึง คุณ ยศ ในมาลัยสามชายค่ะ

สาวสวยๆ ดีๆ มีไม่ชอบ กลับไปชอบอย่างทองไพรำ
จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร

เพียงแต่กรณีนี้ ยังไม่ถึงกับจนสิ้นเนื้อประดาตัว
แต่ก็ต้องมาใช้ชีวิตแบบสามัญชน คนธรรมดา

ขอให้คำจำกัดความคู่นี้ว่า "คู่เวรคู่กรรม" นะคะ อจ.เทาชมพู


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 พ.ค. 14, 10:18
    ประกายไฟสปาร์คขึ้นในค.ศ.1950  เมื่อดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ลงเรือสำราญควีนแมรี่จากนิวยอร์ค  ไปเมืองแชร์บูร์กในฝรั่งเศส   ความจริงทั้งสองก็เคยไปทริปแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว     แต่ครั้งนี้ผิดจากครั้งก่อนๆเพราะจิมมี่โดยสารไปด้วย  ทำให้มีโอกาสคลุกคลีใกล้ชิดกับสามีภรรยาคู่นี้ทุกวี่ทุกวัน ตั้งแต่ตื่นนอนไปจนเข้านอน
    จิมมี่เป็นคนรู้จักวิธีเอาใจพะเน้าพนอผู้หญิงสูงวัยได้เก่ง       ผิดกับหนุ่มอื่นๆที่มักจะสนใจแต่สาวๆ แล้วมองข้ามคุณป้าคุณยายทั้งหลายไปอย่างไม่ไยดี     ทั้งนี้เพราะตั้งแต่วัยรุ่น   เจสซี่แม่ของเขาชอบให้ลูกชายลาโรงเรียนอยู่บ่อยๆ เพื่อเอาตัวไปเป็นเพื่อนเวลาเธอท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ   จิมมี่ก็เลยเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาของแม่และเพื่อนๆวัยเดียวกับแม่    ทำให้ป้าๆน้าๆแสนจะเอ็นดูหนุ่มน้อยคนนี้   เพราะเขาสามารถเข้าวงนินทาไฮโซ   เล่นอะไรแผลงๆ  เล่นมุกขำๆ ได้ตลอดไม่มีเบื่อหน่าย 
   มุกนี้แหละที่จิมมี่นำมาใช้กับดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์  จนทำให้เขามีออร่าเจิดจ้าที่สุดในเรือสำราญ    บัดนี้หนุ่มจิมมี่กลายเป็นพระสหายสนิทเคียงข้างไปทุกหนทุกแห่ง  นั่งโต๊ะก็ได้นั่งติดกัน คุยกัน เล่นหัวกัน ราวกับคุ้นเคยกันมาตลอดชีวิต
   


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 พ.ค. 14, 10:30
      ขาเม้าท์ทั้งหลายบอกตรงกันว่า ในตอนแรกจิมมี่ไม่ได้สนใจวอลลิสเกินไปกว่าผู้หญิงแก่ที่เขาต้องเอาอกเอาใจ เพื่อสร้างความโดดเด่นให้ตัวเอง    เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวอลลิสรู้สึกอย่างไรกับชีวิตของเธอ   บัดนี้เธอแต่งงานมา 14 ปีแล้ว  แค่ 7 ปีฝรั่งก็เรียกว่า seven-year itch  คือผัวเมียเริ่มเบื่อหน่ายคู่ของกันและกัน  ข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆในสมัยข้าวใหม่ปลามันก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นจนเรื่องไม่เป็นเรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่    นี่ปาเข้าไป 2 เท่า  น้ำต้มผักก็ยิ่งขมหนักขึ้นไปอีก
      เจ้าชายของซินเดอเรลลาบัดนี้ตกบัลลังก์ลงมาเป็นคนธรรมดา มีแค่ศักดินาลอยๆแปะหน้าอยู่นิดเดียว     นอกจากนี้อดีตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเมื่อแก่ตัวลงก็ยิ่งจุกจิกเรียกร้องโน่นนี่ เหมือนเด็กงอแง  ตามประสาผู้ชายที่ไม่โตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว    บางครั้งก็ทรงชอบเล่นแผลงๆ นุ่งผ้าอ้อมเป็นทารก และให้วอลลิสเล่นบทพี่เลี้ยงต้องดุต้องตีเด็กน้อย    มันเป็นการเล่นที่สะท้อนสภาพจิตที่ขาดตกบกพร่องความรักแต่ครั้งเด็กของพระองค์ท่าน
       ครั้งหนึ่งความขาดตกบกพร่องนี้ก็ทำให้วอลลิสก้าวเข้ามากุมอำนาจเหนือพระทัยท่านดยุคได้สำเร็จ  แต่ผ่านมา 14 ปี  นอกจากหมดความตื่นเต้นสำหรับฝ่ายหญิงแล้ว   มันยังน่าเบื่อสุดแสนทนทาน
     นอกจากนี้วอลลิสยังมีปัญหาโรคภัยไข้เจ็บ  หมอพบว่าเธอเป็นมะเร็ง ซึ่งหมายความว่าจะต้องเข้ารับการบำบัดที่ทรมานกาย   ถ้ารอดตายไปได้ วันเวลาเบื้องหน้าก็คือวัยชราที่อ้างว้างว่างเปล่า   เธอรู้สึกว่าชีวิตเริ่มไร้ความหมาย   สิ่งเดียวที่จะมาเติมชีวิตชีวาให้ได้ ก็คือ..
     ก็คือความเสน่หายาใจในรูปของเจ้าหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์คนนี้แหละค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: kulapha ที่ 10 พ.ค. 14, 11:28
มีโอกาสเห็นโฆษณาหนังยาวประจำวันเสาร์ของช่องทีวีสาธารณะเรื่องนี้ค่ะ

(http://copdvd.com/images/1241506157.jpg)

แล้วก็นึกถึง ดัสติน ออฟแมน ตอนรุ่นหนุ่มกระทงในเรื่องนี้

(http://www.filmforum.org/images/sliders/Graduate_1967_560702.jpg)

แสดงคู่กับสาวใหญ่ น้าแอน แบนครอฟฟ์
กับเพลงยอดฮิตของยุคนั้น

"Hello Darkness My Old Friend,
I've come to talk with you again."

ลีลาความรักของ Mrs. Robinsons คงไม่ต่างกันกับนางฟ้าตกสวรรค์วอลลิส
แต่คู่ของฝ่ายหลังน่าจะเจนสนามมากกว่านะคะ :-[




กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 พ.ค. 14, 11:37
http://www.youtube.com/watch?v=-3lKbMBab18


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 พ.ค. 14, 20:04
    สัมพันธ์ลับของดัชเชสแห่งวินด์เซอร์และหนุ่มทายาทมหาเศรษฐีอเมริกันเริ่มต้นในเรือนั้นเอง      แต่จะทำอย่างไรแบบไหนถึงรอดจากสายตาท่านดยุคไปได้ ขาเม้าท์ไม่อาจสอดรู้สอดเห็นเข้าไปถึงขั้นนั้น     เอาไปว่านักก๊อสสิปทั้งหลายเชื่อว่าเมื่อดัชเชสเดินขึ้นจากเรือเมื่อไปถึงฝรั่งเศส    เธอก็สวมเขาวัวเขาแกะเขาแพะให้ท่านดยุคผู้สามีเรียบร้อยโรงเรียนวอลลิสไปแล้ว     เช่นเดียวกับท่านดยุคเคยสวมเขาให้นายซิมป์สันสามีคนที่สองของเธอ
    ว่ากันว่าเสน่ห์อีกประการหนึ่งของจิมมี่ นอกจากเจรจาพาทีเก่ง คุยสนุก ใช้ชีวิตไฮโซได้สุดเหวี่ยงถูกรสนิยมวอลลิสแล้ว    สิ่งสำคัญที่จูงใจก็คือเงิน เงิน และเงิน ที่หว่านโปรยจากจิมมี่ราวกับเขาพิมพ์ธนบัตรได้เอง     
     เจสซี่แม่ของเขากุมกระเป๋าเงินเหนียวแน่นเวลาลูกชายมาเบิกเงินก็จริง    แต่ถ้าเป็นไปเพื่อมีหน้ามีตาในสังคมแล้ว เธอไม่อั้น   เท่าไหร่เท่ากัน     จิมมี่จึงสามารถเป็นสปอนเซอร์ให้ดัชเชสซื้อเสื้อเฟอร์แพงๆ   ให้ทริปท่องเที่ยวหรูๆที่สองสามีภรรยาไม่มีเงินมากพอจะจ่ายได้เอง     เขาเชิญทั้งสองเป็นแขกไปพักในบ้านตากอากาศของแม่เขาซึ่งมีอยู่ในสถานท่องเที่ยวแพงระยับในยุโรป หลายแห่ง   ให้ทั้งสองใช้ชีวิตอย่างมหาราชา ตามแบบที่ท่านดยุคโปรดปรานนักหนาที่จะมี


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ค. 14, 10:37
   วอลลิสเป็นคนชอบความโดดเด่น รวมอยู่ในคำว่า "หรู" และ "รวย"  แม้ว่าตำแหน่งราชินีอังกฤษเป็นสิ่งสุดเอื้อม  เธอก็ยังคว้าตำแหน่งราชินีแฟชั่นมาครองจนสำเร็จ    บรรดาดีไซเนอร์ในฝรั่งเศสโหวตลงคะแนนให้ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์เป็นสตรีแต่งกายดีที่สุดในโลกติดต่อกันมาหลายปีแล้ว    ของพรรค์นี้ชาวบ้านอย่างเราๆ หมายถึงการลงทุนจ่ายทรัพย์เป็นลูกค้าประจำของห้องเสื้อแพงขูดเลือดขูดเนื้อทั้งหลาย    แต่สำหรับวอลลิส มันได้ผลทางโฆษณาตัวเองคุ้มค่า สำหรับสตรีผู้ประสงค์จะเป็นเป้าสายตาของสังคม 
   จิมมี่ตอบสนองความกระหายอยากเด่นอยากดังของวอลลิสได้สมใจอยาก    เขาไม่เบื่อหน่ายเช่นผู้ชายโดยมาก ในการตระเวนพาเธอไปช็อปปิ้งในย่านดัง แถมคะยั้นคะยอให้ซื้ออย่างไม่อั้น   รวมทั้งเสื้อเฟอร์แพงมหาศาลอีกเป็นตู้ๆ    พอถึงเวลาจ่ายกะตังค์ก็ใครเสียอีกล่ะที่เซ็นเช็คจ่าย อย่างไม่สะท้านสะเทือนแม้แต่น้อย   ก็หนุ่มรายนี้น่ะละ
   ช็อปปิ้งเสร็จก็ต้องไปนั่งพักเหนื่อย กินอาหารกลางวันกันในร้านอาหารหรูระดับโลกในปารีส  กินกันไปหัวเราะต่อกระซิกกันไป เล่าเรื่องขำๆกันไป  ตกค่ำก็แต่งเนื้อแต่งตัวใหม่สวมชุดราตรีอลังการออกไปเต้นรำในไนท์คลับดังๆ     วอลลิสเต้นรำอย่างไม่เหน็ดไม่เหนื่อยกับจิมมี่   ส่วนท่านดยุคผู้ใกล้จะแซยิดในอีกไม่กี่ปีก็หาวแล้วหาวอีก   จนในที่สุดขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน  ปล่อยเมียและเจ้าหนุ่มวัยคราวลูกให้ร่าเริงบันเทิงใจกันต่อไปสองคน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 13 พ.ค. 14, 10:50
ประโยค  "ตกค่ำก็แต่งเนื้อแต่งตัวใหม่สวมชุดราตรีอลังการออกไปเต้นรำในไนท์คลับดังๆ  วอลลิสเต้นรำอย่างไม่เหน็ดไม่เหนื่อยกับจิมมี่  ส่วนท่านดยุคผู้ใกล้จะแซยิดในอีกไม่กี่ปีก็หาวแล้วหาวอีก  จนในที่สุดขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน  ปล่อยเมียและเจ้าหนุ่มวัยคราวลูกให้ร่าเริงบันเทิงใจกันต่อไปสองคน"

อ่านแล้วเหมือนสถานการณ์ตอนเจ้าชายเดวิดเริ่มพบปะสนิทสนมกับมิสซิสซิมป์สัน   "เมื่อจบอาหารค่ำก็ยังทรงคุยอยู่ดึกดื่นจนบางทีปาเข้าไปตีสี่กว่าจะเสด็จกลับ  วอลลิสเป็นเพื่อนคุยที่สนุกถูกคอเจ้าชาย  ส่วนสามีหล่อนก็ได้แต่นั่งยิ้มไปยิ้มมา  เป็นตัวประกอบอยู่ในห้อง

ช่วงนั้นธุรกิจของนายซิมป์สันเริ่มลำบาก  เขาต้องหอบงานมาทำที่บ้าน  เมื่อเจ้าชายไม่มีท่าทีว่าจะกลับง่ายๆ  ตัวเจ้าบ้านฝ่ายชายเองจะถ่างตาอยู่จนตีสี่  งานการไม่ได้ทำก็ไม่ไหว  หนักเข้าเขาก็ขอตัวไปทำงานต่อในห้องทำงาน  ทิ้งภรรยาไว้กับแขกสำคัญให้คุยกันไปตามสบาย  ส่วนใหญ่ก็คุยกันเกือบจะค่อนรุ่ง"

สำนวนอังกฤษคงว่า History repeats itself  แต่สำนวนไทยสงสัยคงจะเป็น กงเกวียนกำเกวียน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 13 พ.ค. 14, 10:53
จมูกของดัชเชสใน คห. ๙๖ ดูน่ากลัวแท้   :o


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ค. 14, 10:54
     อยู่ในเมืองนานๆ แม้เป็นเมืองตากอากาศหรูเริ่ดอย่างไรก็ตาม  เศรษฐีก็มักจะป่วยเป็นโรคประจำตัวอันได้แก่โรคเบื่อง่าย    ดังนั้น จิมมี่ก็มักจะชวนผัวเมียคู่นี้เปลี่ยนบรรยากาศ   พาล่องทะเลเมดิเตอเรเนียนในเรือยอทส่วนตัว ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยห้องหับหรูหราไม่แพ้โฮเต็ลห้าดาว   มีไวน์ชั้นเยี่ยมและอาหารชั้นเลิศพร้อมด้วยเชฟและลูกเรือครบชุดคอยประคองรองมือรองเท้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  ล่องเรือไปในทะเล    ชมวิว  แวะเมืองท่าเมืองไหนก็ได้ตามใจชอบ  วันๆก็สำเริงสำราญ ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ร่วมโลกเดียวกับชาวบ้านร้านถิ่นอื่นๆที่ต้องทำงานงกๆหาเลี้ยงชีพในแต่ละวัน
   ชีวิตแบบนี้แม้ว่าดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์เคยอยู่อย่างไฮโซก็จริง  แต่ก็ยังไม่สามารถจะบันดาลให้ตัวเองได้เท่ามหาเศรษฐีบันดาลให้    จึงเป็นเหมือนยาเสพติดให้อดีตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดถอนตัวไม่ขึ้นจนแล้วจนรอด     แม้ว่าทรงรู้ว่ามีกลิ่นทะแม่งอบอวลอยู่ระหว่างเมียรักและเจ้าหนุ่มคราวลูกก็ตาม
   จิมมี่เองก็เบิกบานกับเงินที่แม่ยอมจ่ายให้ไม่อั้นเพื่อเอนเทอร์เทนแขกระดับโลกอย่างผัวเมียคู่นี้     บวกด้วยความบันเทิงซ้ำสองคือเรื่องบนเตียงระหว่างเขากับดัชเชส      ความลับไม่มีในโลก   ต่อให้อยู่ในเรือกลางมหาสมุทร ก็ยังมีคนรับใช้ดูแลห้องนอนของเจ้านายอยู่ดี รู้ตื้นลึกหนาบางจากร่องรอยบนเตียงนอน    และอีกอย่างก็คือจิมมี่เป็นหนุ่มคะนองปาก   ยังไงก็อดคุยไม่ได้กับเพื่อนสนิท  ว่าตัวเขากับดัชเชสนั้นสามารถสร้างความหรรษาให้กันและกันได้มากแค่ไหน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ค. 14, 10:55
สำนวนอังกฤษคงว่า History repeats itself  แต่สำนวนไทยสงสัยคงจะเป็น กงเกวียนกำเกวียน
ใช่เลยค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 13 พ.ค. 14, 12:07
ขออนุญาตเข้าซอย "สำนวน" ถ้าจะให้ตรงจริง ๆ น่าจะเป็น

History repeats itself  = ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

What goes around, comes around = กงเกวียนกำเกวียน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 13 พ.ค. 14, 12:47
ขออนุญาตเข้าซอย "สำนวน" ถ้าจะให้ตรงจริง ๆ น่าจะเป็น

History repeats itself  = ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

What goes around, comes around = กงเกวียนกำเกวียน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)
;) :D ;D+LIKE


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 พ.ค. 14, 12:52
ดิฉันเข้าใจดี ว่าคุณ tita พูดเรื่องอะไรอยู่ค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 13 พ.ค. 14, 13:21
ผู้ที่เน้นกงกำกงเกวียนคงสะใจท่าน irresponsible duke มากกว่าอย่างอื่นนะครับ สตรีชอบหะรูหะรา ฟู่ฟ่า ฟุ้งเฟ้ออยู่แล้ว แต่เกิดเป็นบุรุษต้องมีสำนึกรับผิดชอบ รู้หน้าที่ คนธรรมดาเดินดิน รากหญ้ายังมีเลย..

เป็นคนอย่างไร ชีวิตก็ได้อย่างนั้น (วันนี้วิสาขบูชาพอดีเลย)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 13 พ.ค. 14, 13:44
คิดแทนดยุคแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ คือไม่ว่านางซิมป์สันจะทำตัวต่ำช้าเพียงไร ดยุคก็ทิ้งไปไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นข้อพิสูจน์ความไม่เอาไหนของตัวเองว่าถึงขนาดยอมสละราชสมบัติ ยอมให้คนทั้งโลกหัวเราะเยาะ เพื่อมาเอาผู้หญิงที่ไม่ได้มีคุณสมบัติวิเศษใดๆ เลย ยิ่งถ้าเลิกลากันไปจะยิ่งเป็นตัวตลกยิ่งไปกว่านี้  แถมคนแบบดยุคก็ไม่ใช่คนฉลาดมีปัญญาแต่อย่างไร  แถมยังลดอัตตาไม่ได้

นางซิมป์สันเองก็รู้ข้อนี้ดี เลยเหมือนถือไพ่ไว้เหนือกว่า หรือถ้าดยุคจะทิ้งนางจริงๆ นางก็คงไม่ยอม ต้องเกาะหนึบเหนียวแน่นยิ่งกว่ากาว  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาในชีวิตก็อาศัยบารมีสามีเท่านั้น ดังนั้นคู่นี้ไม่มีทางเลิกกันได้ เพราะเลิกกันแล้วมีแต่เสียกับเสีย คนทั้งโลกยิ่งประนามแถมหัวเราะเยาะ ดังนั้นไม่ว่าจะหวานอมขมกลืนแค่ไหน ทั้งคู่ก็ต้องทู่ซี๊กันต่อไป


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 14, 10:14
     ในตอนเริ่มต้นผูกมิตรกันใหม่ๆ  ท่านดยุคก็แฮปปี้ดี ด้วยความคิดสั้นๆง่ายๆว่ามีมหาเศรษฐีหนุ่มมาพินอบพิเทา ทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มให้แบบนี้ใครจะไม่เอา        แต่นานๆเข้า ท่านก็ได้เรียนรู้หลักเศรษฐศาสตร์ว่า "ของฟรีไม่มีในโลก"  เพราะราคาที่ต้องจ่ายคือตัวเองกับภรรยาและเจ้าหนุ่มซึ่งบัดนี้กลายเป็นสามคนอลเวงไปเสียแล้ว    ของที่ว่าฟรี เอาเข้าจริงก็ไม่ฟรี   ร้ายที่สุดคือสองคนนั้นเขากลมเกลียวเข้าคู่กันดี ส่วนตัวท่านกลับกลายเป็นส่วนเกิน    เคว้งคว้างไม่มีที่จะแลนดิ้ง
      ท่านดยุคจะถอนตัวก็ถอนไม่ได้ เพราะเมียไม่มีท่าทีว่าจะถอนด้วย    เงินทองและชีวิตไฮโซที่ผัวเมียคู่นี้ถูกปรนเปรอ ก็กลายเป็นยาเสพติดที่ต้องเสพกันอยู่ร่ำไป   เลิกไม่สำเร็จ แม้จะรู้ว่ามันจะทำลายตัวเองจนย่อยยับก็ตาม
     ในค.ศ. 1952  พระเจ้าจอร์ชที่ 6 เสด็จสวรรคต ด้วยพระชนม์เพียง 56 ปี   ว่ากันว่าเป็นผลจากพระพลานามัยทรุดโทรมลงมาก จากพระราชภารกิจอันแสนเครียดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกจากนี้ทรงสูบบุหรี่จัดจนเป็นมะเร็งที่ปอด จนต้องตัดปอดทิ้งไปข้างหนึ่ง      จากนั้นก็ถูกซ้ำเติมด้วยโรคหลอดเลือดแข็ง  (arteriosclerosis) และอาจจะมี Buerger's disease อีกด้วย    คนดีๆที่ทำงานหนักเพื่อบ้านเมืองมักจะตรากตรำสังขารอย่างนี้
    (ทิ้งชื่อเอาไว้อย่างนี้ละค่ะ   เผื่อคุณหมอ CVT หรือท่านอื่นๆที่มีความรู้เรื่องนี้จะกรุณาเข้ามาขยายความด้วย)
    ท่านดยุคไม่มีทางเลือก ที่จะต้องไปร่วมพระราชพิธีฝังพระศพพระอนุชา       ที่ซ้ำร้ายคือต้องไปองค์เดียว  เพราะวอลลิสไม่เป็นที่ยอมรับของพระราชวงศ์มาแต่ไหนแต่ไร     แต่ต่อให้เธอได้รับเชิญในฐานะพระชายา เธอก็ไม่ไปอยู่ดี    เรื่องอะไรจะตามไปสู่พระราชพิธีอันน่าเบื่อหน่ายกับสามีที่น่าเบื่อยิ่งกว่า   ในเมื่อมีเรื่องหรรษารอพร้อมอยู่ทางนี้  


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 14, 10:34
    ระหว่างที่แมวไม่อยู่  หนูก็ระเริงอยู่ทางนี้อย่างสุดเหวี่ยง   วอลลิสไม่แคร์ใครทั้งสิ้นเรื่องความสัมพันธ์อันฉาวโฉ่    ชาวบ้านขาเม้าท์ทั้งหลายจึงมีงานทำไม่หยุดปาก        ท่านดยุคก็ได้แต่กระวนกระวายอยู่ในลอนดอน   ท่านพยายามโทรทางไกลมาหาภรรยาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้ว่ากี่ครั้ง      ถ้าแม่บ้านรับสาย ท่านก็ได้คำตอบว่าตอนนี้ดัชเชสยังไม่ว่างจะมาพูดด้วย    หรือร้ายกว่านี้ก็คือโทรเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับ   ท่านก็ได้แต่นั่งคอตก เร่งวันเร่งคืนจะกลับมาบ้านมาหาภรรยา ผู้ซึ่งกำลังหลุดลอยไปสู่ชายอื่นต่อหน้าต่อมา

    มีกระแสเสียงบอกว่า วอลลิสคิดถึงขั้นจะเลิกกับสามีถึงขั้นหย่าร้างกัน   เพื่อจะไปใช้ชีวิตคู่กับจิมมี่อย่างเปิดเผย      ถ้าเปรียบเทียบกันอย่างไม่เกรงใจก็ต้องบอกว่าเธอเป็นนางวัวแก่ที่กำลังหลงหญ้าอ่อนอย่างโงหัวไม่ขึ้น     ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ของหนุ่มแน่น  แถมยังรวยล้นฟ้า    จะให้เธออาลัยอาวรณ์สามีผู้ไม่เหลืออะไรให้พิศวาสอีกต่อไปแล้วก็ประหลาดเต็มที       ดังนั้นท่านดยุคกับเธอก็เริ่มห่างเหินกันออกไปทุกที   
    ปีต่อมาเมื่อพระพันปีแมรี่ พระราชมารดาของท่านดยุคสิ้นพระชนม์ไปอีกองค์หนึ่ง    ท่านต้องทำหน้าที่ลูกที่ดี ไปร่วมงานฝังพระศพในลอนดอน    วอลลิสก็ไม่ไปร่วมงานด้วยตามเคย    ท่านดยุคก็จำต้องทิ้งปลาย่างไว้กับแมวอีกครั้ง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 พ.ค. 14, 10:46
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีผู้อ่านหลายท่านเกิดฉงนสนเท่ห์กับความสัมพันธ์ลับของวอลลิสกับจิมมี่ว่ามันเป็นไปได้ยังไง  ที่ทั้งคู่สามารถคบกันแน่นแฟ้นยืนยาวเป็นปีๆ ตั้งแต่ค.ศ. 1950  มาจนปี 1953 ที่พระพันปีแมรี่สิ้นพระชนม์เข้านี่แล้วก็ยังไม่เลิกกัน   ในเมื่อนายคนนี้เป็นเกย์    ต่อให้เป็นเสือไบก็เถอะ  เพราะเขาว่ากันว่าพวกรักร่วมเพศนี้ยังไงก็ต้องหันกลับไปหาเพศเดียวกับตัวเอง  ไม่มีวันจะหลงใหลเพศตรงข้ามไปได้สักกี่วัน
    ข้อนี้ผู้เขียนกระทู้นี้ก็จนปัญญา    ผิดกับขาเม้าท์ทั้งหลายที่ไม่ยอมแพ้  จึงไปสืบเสาะตั้งสมมุติฐานขึ้นมาจนได้ว่า อันที่จริงวอลลิสเองน่าจะไม่ใช่หญิงแท้   เธอน่าจะมีพัฒนาการบางอย่างเป็นชายมาแต่กำเนิด   จะเห็นได้จากรูปร่างที่ผอมแห้ง ไม่มีสรีระส่วนโค้งอย่างผู้หญิงมีกัน  นิสัยใจคอรึก็แข็งกร้าวห้าวกระด้างอย่างชาย    จึงสามารถข่มสามีเสียอยู่หมัด     ท่านดยุคนั้นเขาว่ากันว่าตอนหนุ่มๆท่านก็ยังไงๆอยู่เหมือนกัน   สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็ไปคลุกคลีสนิทสนมกับอาจารย์ติวเตอร์ของท่านเสียจนเกินงาม     เพราะฉะนั้นสามคนในเรื่องนี้จะว่าอลเวงมันก็อลเวงจริงๆด้วย
    ไม่รู้ว่าใครเป็นชายแท้ ใครเป็นหญิงแท้ ใครเป็นชายไม่แท้ และหญิงไม่แท้   แท้กันหมด หรือไม่แท้กันหมด ฯลฯ
    แต่เหตุผลแท้จริงเป็นยังไงไม่มีใครรู้   รู้แต่วอลลิสกับจิมมี่ก็คบกันมาถึง 4 ปีจนถึงจุดแตกหัก 


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 พ.ค. 14, 15:40
       ข้อนี้ผู้เขียนกระทู้นี้ก็จนปัญญา    ผิดกับขาเม้าท์ทั้งหลายที่ไม่ยอมแพ้  จึงไปสืบเสาะตั้งสมมุติฐานขึ้นมาจนได้ว่า อันที่จริงวอลลิสเองน่าจะไม่ใช่หญิงแท้   เธอน่าจะมีพัฒนาการบางอย่างเป็นชายมาแต่กำเนิด   จะเห็นได้จากรูปร่างที่ผอมแห้ง ไม่มีสรีระส่วนโค้งอย่างผู้หญิงมีกัน  นิสัยใจคอรึก็แข็งกร้าวห้าวกระด้างอย่างชาย    จึงสามารถข่มสามีเสียอยู่หมัด  

มีข้อสันนิษฐานข้อหนึ่งว่า วอลลิสอาจมีความผิดปรกติที่เรียกว่า AIS (Androgen Insensitivity Syndrome)  (http://en.wikipedia.org/wiki/Androgen_insensitivity_syndrome) คือมีโครโมโซมบ่งชี้ว่าเป็นเพศชาย (XY - เพศหญิงคือ XX) แต่มีความผิดปรกติระดับหน่วยกรรมพันธุ์ (gene) ทำให้บกพร่องต่อการตอบสนองของฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) ที่ร่างกายผลิต

เรื่องนี้มีขยายไว้ใน เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/news/article-2023050/Was-Wallis-Simpson-woman-New-evidence-speculates-sexual-make-up.html)

ข้างล่างคือภาพของวอลลิสจากวัยแรกรุ่น เข้าสู่วัยสาว ย่างเข้าวัยกลางคน และจบลงที่วัยชรา  ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 14, 16:50
รู้สึกว่าสองคนนี้หน้าตาคล้ายๆ กัน  ;D  ;D  ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 14 พ.ค. 14, 20:25
ระหว่างรอคุณครูใหญ่มาต่อ ก็ขอขยายความตามที่ซายาเพ็ญให้ link ไว้จากเดลิเมล ด้วยความรู้ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ ยังไงปีนี้ขอรางวัลนักเรียนเรียนดีด้วยนะคร้าบ  ;D  ;D  ;D

ข้อมูลในเดลิเมล เก็บความมาจากหนังสือ THAT WOMAN: The Life Of Wallis Simpson,  Duchess Of Windsor เขียนโดย Anne Sebba  บอกไว้ว่าวอลลิสน่าจะมีความผิดปกติมาแต่กำเนิดเรื่องเพศ คือเป็นคนสองเพศ เป็นกระเทยแท้ หรือ Disorder of Sexual Development (DSD) หรือเรียกว่า intersexuality ซึ่งเด็กเกิดใหม่ในอังกฤษปีละประมาณ 4000 คนมีอาการนี้ ทำให้ไม่สามารถระบุเพศที่แน่ชัดได้ และจะมีความผิดปกติเรื่องฮอร์โมน เช่นมีโครโมโซม XY เป็นเพศชาย แต่ร่างกายไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชายเพียงพอ เลยทำให้ร่างกายพัฒนาดูเหมือนผู้หญิง หรือมีช่องคลอดที่ตื้นกว่าผู้หญิงปกติ ไม่มีมดลูก แต่มีขายาว มือใหญ่ มีมัดกล้าม หน้าอกเล็ก  กรามเป็นสันนูน เสียงห้าว ซึ่งอาการเหล่านี้ วอลลิสมีครบ บทความบอกด้วยว่า แม้แต่หมอที่ทำคลอดวอลลิสในปี 1898 ก็เห็นความผิดปกติของอวัยวะบ่งบอกเพศของวอลลิส


เนื่องจากร่างกายที่ผิดปกติ ส่งผลต่อจิตใจ ทำให้วอลลิสรักษาหุ่นให้ผอมไว้เสมอ ไม่งั้นกล้ามขึ้น รีบแต่งงาน เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ปลอบใจตัวเองว่าเธอเป็นผู้หญิง  แสดงความเป็นหญิงมาก ชอบเพชรนิลจินดาหรูหราเฟอร์นิเจอร์ แต่จะไม่มีลูก เพราะไม่มีมดลูก  นอกจากนี้วอลลิสไม่ยอมให้สามีทั้งสองล่วงล้ำตัวเธอช่วงล่างเลย อันนี้ก็ไม่รู้คนเขียนรู้ได้ไง ดังนั้นวิชาบนเตียงของวอลลิสอาจจะใช้ความสามารถอื่นๆ มาทดแทน แถมวอลลิสได้ฝึกวิทยายุทธสาขาพวกนี้ตอนมาอยู่แถวๆ จีน ฮ่องกงกับสามีคนที่สอง


อ่านไปอ่านมา เอ๊ะ  ชักสงสัย ควรจะสงสารวอลลิสดีหรือเปล่าเนี่ย  :-\  :-\

ปล ผมไม่เป็นโรคเดียวกับวอลลิสนะคร้าบบบบ





กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 15 พ.ค. 14, 12:12
มาสงสารวอลลิสและเจ้าชายเดวิด  / King Edward ด้วยคน

2 ท่านนี้ รวมทั้งจิมมี่ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือไม่ใหญ่โต คงไม่มีใครสนใจค้นคว้าขนาดนี้ เป็นชาวบ้านเดินดิน กินข้าวแกงดีกว่า สบายใจดี อลเวงยังไงเดี๋ยวคนก็ลืม

King Edward ถ้าให้ความสำคัญต่อประเทศ ไม่สนใจวอลลิสมากเกินไปก็น่าจะเป็นกษัตริย์ต่อไปได้ ท่านเลือกสละบัลลังก็คงมีเหตุผลอื่นๆ ไม่ใช่วอลลิสอย่างเดียวกระมัง แต่ก็คงไม่อยากบอกใคร สังเกตที่เล่ามาก็ไม่ใช่คนเลวอะไร

เคยรู้เรื่องนี้จากหน้าหนังสือพิมพ์นานมาแล้ว 1-2 บรรทัดเท่านั้น เป็นข่าวสารความรู้ทั่วไป ความจริงเรื่องยาวขนาดนี้ แต่ก็อ่ะนะ ชีวิตคนเรา....



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 14, 15:50
ขอบคุณค่ะ  เด็กชายประกอบ
เอา A+ ไปก่อนนะคะ  เหรียญต้องแล้วแต่ครูเพ็ญชมพู ผู้เอาข้อสอบมาบอก

ข่าวที่ว่านี้ก็เป็นการวิเคราะห์ที่มีพื้นฐานอยู่บนความคาดเดา    เพราะผู้เขียนบทความเองยอมรับว่าจนบัดนี้ก็ไม่เคยมีการผ่าศพของดัชเชสแห่งวินด์เซอร์เพื่อพิสูจน์แต่อย่างใด      คงทำไม่ได้ด้วย เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่ทางการจะอนุญาต

ดิฉันไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีนี้เท่าไหร่ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่วอลลิสจะมีสามีถึง 3 คน  และชู้อีกอย่างน้อยก็ 3  คนเท่ากับจำนวนสามี  โดยผู้ชายพวกนั้นไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ   
ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่นายสามีคนแรกและนายซิมป์สันสามีคนที่สองจะทนอยู่กินกับวอลลิสมานานเป็นปีๆ  โดยไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างสามีภรรยาทั่วไป

ป.ล. คุณชายประกอบเทพรีบออกตัวทำไมหนอ?




กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 15 พ.ค. 14, 16:49

ป.ล. คุณชายประกอบเทพรีบออกตัวทำไมหนอ?


แถววิก Pantip มีคนเค้าหาว่าผมเป็นเกย์อยู่ เลยต้องออกตัวล่วงหน้าเผื่อมีใครตามมาจากแถวนั้นครับ  :-*  :-*


เรื่องที่ว่าวอลลิสเป็นกระเทยแท้ แต่ทำไมมีสามีได้ถึง 3 คน แถมยังชู้รักอีก ผมว่ามีความเป็นไปได้อยู่ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญศาสตร์หลายแขนง เพราะถ้าวิเคราะห์ช่วงเวลาที่วอลลิสยังเริงร่า เรื่องบนเตียงยังเป็นอะไรที่ลึกลับพอสมควร สารคดีหรือคู่มือประกอบกิจยังไม่มีแพร่หลายให้หาซื้อหาเสพหาโหลดได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้วคลิกแบบปัจจุบัน ดังนั้นวอลลิสที่ได้ฝึกวรยุทธมาจากเมืองจีน อาจจะสามารถมีสามี หรือตอบสนองสามีและชู้รักได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง โดยใช้เทคนิคอื่นทดแทนสิ่งที่ขาดหายได้ และอาจจะตอบสนองได้อย่างถึงพริกถึงขิงกว่าผู้หญิงธรรมดาทั่วไปด้วย แถมเป็นสิ่งที่ชายๆ เหล่านั้นไม่เคยผ่านพบมาก่อน


นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าไฟมืดๆ มองไม่เห็น แม้อวัยวะบางส่วนจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ถึงกับใช้งานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากอ่านบทความที่ซายาเพ็ญให้ลายแทงไว้ ผมก็ลองไปหาอ่านเรื่องกระเทยแท้ตามวิสัยนักเรียนชั้นดี ดูภาพประกอบ ก็พบว่ากระเทยแท้มันก็มีหลายแบบ บางแบบก็ยังพอจะใช้งานได้ครับ จะเอาภาพมาลงให้ดูก็เกรงใจผู้อาวุโสหลายๆ ท่านแถวนี้  ;D   


และนอกจากเรื่องบนเตียงหรือในห้องนอนแล้ว  ด้วยบุคลิกเฮฮาปาร์ตี้ ลักษณะนิสัยบางอย่าง ก็มีส่วนดึงดูดผู้ชายและชดเชยส่วนด้อยอื่นๆ ได้ จนสามารถมัดใจชายได้หลายคน  แถมในบทความที่ผมไปอ่านมาก็บอกเป็นนัยๆ ด้วยว่าแม้แต่ดยุคเองก็อาจจะมีความผิดปกติที่อวัยวะตรงนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าเป็นจริงก็ยิ่งจะเข้าทางวอลลิสอีก


หรือถ้าบทความหรือการคาดการณ์ทั้งหลายเรื่องผิดปกติทางเพศผิดพลาดหมด  วอลลิสเป็นผู้หญิงแท้ทั้งแท่ง  (ทั้งแท่งมันขัดๆ แฮะ ???)  แถมสำเร็จเคล็ดลับวิชา มีวรยุทธลึกล้ำ  แบบนี้ยิ่งไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยว่าทำไมถึงมีหนุ่มๆ มาเกี่ยวพันติดบ่วงได้หลายคน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 พ.ค. 14, 17:55
กลับมาที่เรื่องนี้ ใกล้จบแล้วค่ะ

ขนมที่ลักกินขโมยกินไม่ให้เจ้าของจับได้ มันก็สนุกและเอร็ดอร่อยดีอยู่หรอกในระยะแรกๆ    แต่นานไป  ขโมยก็รู้ว่าอะไรที่กินซ้ำซาก  มันก็มีวันเบื่อขึ้นมาได้ในวันหนึ่ง    ระหว่างวัวแก่กับหญ้าอ่อน  หญ้าเป็นฝ่ายเบื่อวัวก่อนเป็นธรรมดา    จิมมี่เบื่อหน่ายวอลลิสที่ยิ่งวันเธอก็ยิ่งแก่ตัว       มองเห็นแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่นและผิวพรรณแก่กร้านของหญิงชรา  จนเขาอดไม่ได้ที่จะไปเม้าท์กับเพื่อนว่า  หน้าเธอเวลานอนดูไม่ต่างกับกลาสีแก่ๆ สักคน
  
เรื่องที่น่าเบื่อยิ่งกว่าความแก่ก็คือเรื่องเงิน    นานหลายปีเข้าจิมมี่ก็ชักรู้สึกว่าผัวเมียไฮโซคู่นี้ไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า นอกจากจะใช้เงินกรูเป็นเบี้ย  ไม่ว่าไปไหน ซื้ออะไร ก็กรูนี่แหละต้องควักกระเป๋าเลี้ยง    เลี้ยงไปก็ต้องพินอบพิเทาอีตาผัวไปด้วย  ส่วนเมียก็เริ่มทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกรูไม่ว่าจะขยับไปไหน   ราวกับจะมาเป็นแม่คนที่สอง     ไอ้เรื่องที่ผัวเมียแก่คู่นี้จะรู้จักตอบแทนน้ำใจบ้างนั้นอย่าหวังเลย

ส่วนวอลลิสก็เริ่มรู้สึกถึงความซื่อบื้อของจิมมี่มากขึ้นทุกที   จริงละ เขาเป็นคนสนุก คุยเก่ง ต้อนรับแขกเก่ง  แต่ถ้าเป็นเรื่องสติปัญญาแล้วแทงศูนย์ไว้ได้   วอลลิสเคยชินกันคนเก่งฉกาจระดับนักการเมือง  ท่านทูต และนายพลที่พูดอะไรทำอะไรล้วนแต่ฉลาดปราดเปรื่อง   นานๆเข้าเธอกับจิมมี่ก็ชักจะคุยกันไม่รู้เรื่อง

เพื่อนฝูงผู้หวังดีต่อวอลลิสเห็นน้ำต้มผักเริ่มขมปี๋   ก็ได้โอกาสที่จะเตือนว่า ถ้าเธอยังคบกับจิมมี่ต่อไป นอกจากไม่มีอะไรดีขึ้นแล้วก็ยังมีแต่จะเสียหายต่อชื่อเสียงที่ด่างพร้อยอยู่มากแล้ว     วอลลิสก็รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องนี้     เรื่องที่เธอเคยหลงใหลเจ้าหนุ่มจนถึงคิดจะแยกทางจากสามีไปอยู่กับชู้ชมคนใหม่นั้นเลิกคิดไปได้เลย    มาถึงวันนี้ เธอรู้ว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

ถ้าดูจากวัยและประสบการณ์ของแต่ละฝ่ายแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ  เมื่อรสชาติตื่นเต้นในกันและกันผ่านไป  ความแตกต่างของวัย  รสนิยม ประสบการณ์ก็ดึงทั้งสองห่างกันออกไปโดยไม่รู้ตัว


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 16 พ.ค. 14, 15:29
กราบสวัสดีอาจารย์และย่องเงียบๆ มานั่งหลังห้องค่ะ แหะๆ สองสามเดือนที่ผ่านมายุ่งเหยิงเหลือประมาณ แอบเรียนแต่ไม่ได้เช็คชื่อค่ะ

อ่านแล้วนึกถึงสำนวนจีนค่ะ เขาบอกว่า ทุกบ้านช่องล้วนมีตำราที่ยากสะสางอยู่เล่มหนึ่ง ประมาณว่าครอบครัวไหนๆ ก็มีลูกหลานที่สร้างความปวดหัวให้ทั้งนั้นแหละ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ค. 14, 20:57
   หลังจากน้ำต้มผักทวีความขมขึ้นทุกทีทั้งสองฝ่าย   ความเบื่อหน่ายก็ปะทุออกมาในรูปของอาการปีนเกลียวกัน  ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ      จนระเบิดลูกสุดท้ายเกิดขึ้นในเมืองบาเดน-บาเดน ในเยอรมนี   เมื่อสามคนอลเวงไปพักผ่อนในเมืองสปาขึ้นชื่อแห่งนี้
   จิมมี่กำลังเบื่อโคแก่ของเขาจนสุดจะทน   พอๆกับดัชเชสก็ไม่อยากกินหญ้าอ่อนอีกต่อไปแล้ว    ค่ำวันหนึ่ง นั่งดินเนอร์ด้วยกันอยู่พร้อมหน้า   จิมมี่กินเหล้าคอกเทลเข้าไปหลายแก้วจนเมาก่อนจะนั่งประจำที่ที่โต๊ะดินเนอร์    พูดกันท่าไหนไม่ทราบ วอลลิสก็บ่นขึ้นมาว่าเหม็นกลิ่นกระเทียมหึ่งจากตัวเขา
   จิมมี่เกิดโทสะขึ้นมาเหลือจะระงับ    ความจริงฐานะอย่างเขา ก็ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นเรื่องอะไรให้ใครอยู่แล้ว     ยิ่งกำลังเมาได้ที่ ก็เลยปรี๊ดออกมาในรูปของการถีบวอลลิสเข้าเต็มแรงใต้โต๊ะ   กระแทกหน้าแข้งเธอจนเลือดไหล   แน่นอนว่าวอลลิสคงไม่หุบปากกัดฟันกลั้นปวดเอาไว้     เมื่อภรรยากรีดร้อง  ท่านดยุคก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีหลังจากอดทนอดกลั้นถูกสวมเขาอยู่ 4 ปี  ตวาดว่า
   " เราสองคนเหลือทนกับแกแล้วนะ จิมมี่  ไสหัวออกไป!'



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 พ.ค. 14, 21:29
   จิมมี่ผลุนผลันออกจากห้องไป    บอกให้รู้ว่ากรูก็จบสิ้นกันที      นับแต่นาทีนั้น  ฉากของชีวิตฟู่ฟ่าฝุดๆ ของผัวเมียคู่นี้ก็ปิดฉากลงไป

   ก่อนหน้านี้ 4 ปี   ทรัพย์สินของวูลเวิร์ธไหลมาเทมา ไปอาบดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ปานประหนึ่งน้ำตก   ทั้งเงินสด  ของขวัญ  พักร้อนต่างประเทศ  รถยนต์ และเพชรพลอย   ทั้งหมดนี้เพื่อตอบสนองความเห่อยศศักดิ์และหน้าตาของเจสซี่ที่ควักกระเป๋าไม่อั้น ผ่านทางลูกชายส่งไปประเคนผัวเมียคู่นี้ 
   ถ้าใครจะสมเพชความหลงใหลได้ปลื้มไม่ลืมหูลืมตาของแม่นายจิมมี่   ก็อย่าลืมสมเพชดยุคของเราด้วยนะคะ  เพราะท่านเองก็ใส่กระดุมข้อมือฝังเพชรของกำนัลจากเจ้าหนุ่มออกโชว์แขกอย่างไม่กระดากกระเดื่อง  ทั้งๆมันเป็นของขวัญที่จิมมี่มอบให้แลกกับได้นอนกับเมียของท่าน
   เจสซี่รับฟังข่าวแตกหักของลูกชายและแขกเกียรติยศด้วยอาการตกตะลึง และเสียหน้าอย่างมาก     ส่วนจิมมี่นั้น เราก็ไม่รู้ว่าความเสียใจหรือโล่งใจจะมีมากกว่ากัน   รู้แต่ว่าเขาก็กลับจากยุโรปไปสิงสู่อยู่ที่ฟิฟอะเวนิวในนิวยอร์ค ในคลับที่รับเฉพาะแต่เกย์เท่านั้น


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 17 พ.ค. 14, 00:07
บ๊ะ กำลังมันเลย ขาดช่วงซะอีกแล้ว  >:(  >:(  >:(


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 14, 09:25
เด็กชายประกอบทำตัวเป็นวัยรุ่นใจร้อนอีกแระ...

    หลังจากสัมพันธ์สวาทขาดสะบั้น    ดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ก็เหมือนกับได้สติขึ้นมาอีกครั้ง    สำนึกได้ว่าเธอได้ทำผิดพลาดลงไปเสียแล้วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา    เธอก็หวนกลับไปคืนดีกับสามี    ท่านดยุคเอง(อาจจะด้วยความผิดหวังของคนดูในกระทู้นี้ ว่าทำไมใจอ่อนง่ายยังงี้ฟะ) ก็ให้อภัย และปรีดาปราโมทย์ที่ได้ภรรยากลับคืนมา
     ทำนองเดียวกับเมียหลวงในละครทีวีหลายเรื่องที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะเมื่อสามีทิ้งนางเมียน้อยกลับมาตายรัง     เป็นแต่ว่าเรื่องนี้กลับเพศกันเสียเท่านั้น

     ขอแยกซอยออกไปนอกเรื่องหน่อยว่า เรื่องนอกใจกันนี่ฝรั่งกับไทยคิดไม่เหมือนกัน อย่างน้อยก็ฝรั่งในกระทู้นี้     ผู้หญิงไทยยุคก่อนมักรู้สึกว่าได้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา เมื่อสามีเลิกกับเมียน้อยกลับมาหาลูกเมีย   ส่วนสมัยนี้มักจะหย่ากันเสียก่อนจะต้องทนกล้ำกลืนกันแบบนั้น    
     แต่ผู้ชายไทยถ้าเมียมีชายอื่น มักจะทนไม่ได้ เห็นเป็นเรื่องหมิ่นศักดิ์ศรี     ถึงกลับมาหา สามีก็ไม่เอาแล้ว  หาเมียใหม่ดีกว่า  แต่ชายฝรั่งอย่างท่านดยุคพระเอกกระทู้นี้กลับรู้สึกว่าเอาดัชเชสใส่ตะกร้าล้างน้ำเสียก็จบ  ไม่เห็นเป็นเรื่องต้องขุ่นเคืองกัน

ส่วนใครผิดใครถูก    ผู้น้อยไม่อาจชี้ขาดได้   ส่งคำถามนี้ให้คนดูกลับไปคิดเอาเองละกันค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 14, 10:03
    สัมพันธภาพขาดสะบั้นกันไปเกือบ 12 ปี   ในที่สุด เจสซี่ก็สามารถงอนง้อ ปูสะพานทองรองรับ ให้ผัวเมียคู่นี้รับเชิญมากินอาหารกลางวัน  เชื่อมมิตรภาพกันให้พอเดินถึงกันได้อีกครั้ง แม้จะไม่เต็มฝีเท้านัก      เมื่อแม่พยายามได้สำเร็จ   ดยุคและดัชเชสก็อ่อนข้อลงพอจะรับเชิญเป็นแขกไปเยือนบ้านของจิมมี่ที่ลองไอส์แลนด์อีกหนึ่ง

    แต่ไฟพิศวาสที่เคยลุกโชนเมื่อ 12 ปีก่อน บัดนี้ดับลงโดยสิ้นเชิงแล้ว     จะว่าไป  ต่อให้ดัชเชสไม่อยากดับมันก็ต้องดับไปตามธรรมชาติอยู่เอง   ตอนเลิกร้างกับจิมมี่เธออายุย่างเข้า 60   บัดนี้ เธอปาเข้าไปจะครบ 6 รอบนักษัตรคือ 71 ย่าง 72 ปีเข้าไปแล้ว  ส่วนจิมมี่ผู้เคยเป็นหนุ่มวัย 35  บัดนี้ก็เป็นคุณลุงวัย 51    เห็นสังขารของกันและกันแล้ว ต่างฝ่ายอาจจะนึกเวทนาหรือปลงอนิจจัง มากกว่าจะซาบซึ้งตรึงใจกับความหลัง

    จิมมี่มีชีวิตค่อนข้างสั้น     หลังจากใช้ชีวิตเจ้าสำราญอย่างไม่อั้นทั้งเหล้า ผู้ชาย และยา   ตามประสาชายผู้เกิดมาไม่เคยต้องทำอะไรนอกจากผลาญเงินแม่     เขาก็เสียชีวิตจากเสพยาเกินขนาดเมื่ออายุ 51 เท่านั้นเอง
    เป็นการปิดฉากชั่วกาลนาน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 พ.ค. 14, 10:22
  แต่ไม่วายมีเกร็ดให้ขาเม้าท์ได้บริหารขากรรไกรต่อ    ไม่ต้องหาวหวอดๆรอม่านปิดอย่างเดียวนะคะ

  กล่าวคือ  รายงานข่าวเม้าท์นิวส์ได้แถลงต่อไปว่า หลังจากจิมมี่เสียชีวิตไปแล้ว  ได้มีการเปิดเผยห้องนอนของเขาให้เพื่อนฝูงรู้  และเพื่อนฝูงก็แฉต่อให้โลกรู้ว่า ในห้องอันเป็นรโหฐานส่วนตัวของเขา มีภาพดัชเชสประดับประดาอยู่ถึง 13 ภาพด้วยกัน

   หลักฐานข้อนี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ขาเม้าท์ที่พยายามขุดคุ้ยเรื่องดัชเชสออฟวินด์เซอร์มิใช่หญิงแท้  ได้ตีปีกอีกครั้ง   เพราะใครๆก็รู้ว่าจิมมี่เป็นเกย์   ขนาดลงเรือสำราญพ่อเจ้าประคุณกับเพื่อนก็เคยก่อคดีไล่ปล้ำพนักงานเสิฟหนุ่มๆในเรือมาแล้ว      อะไรเล่าทำให้เกย์คบหากับหญิงที่แก่กว่าเขา 20 ปี ได้นานถึง 4 ปี     ขนาดชายจริงหญิงแท้ยังเลิกกันไปเสียมากต่อมาก คบกันไม่ถึงปีสองปีด้วยซ้ำ
    ถ้าหากว่าวอลลิสไม่ใช่หญิงแท้  แต่มีความเป็นชายผสมอยู่ในตัวเธอ จะด้วยเรือนร่าง นิสัย หรือพฤติกรรมทางเพศก็เถอะ  เป็นไปได้ไหมว่ามันก็ลงตัวกับจิมมี่ซึ่งอาจจะมีความเป็นหญิงผสมอยู่ในตัวเขา   ได้เหมาะเจาะเหมือนผีพอดีกับโลง   ถึงอยู่กันได้นานตั้ง 4 ปี จนกระทั่งน้ำผักต้มขม น้ำตาลเปรี้ยวจึงจบกันไปแบบไม่สวย
    คำถามนี้ผู้เล่ากระทู้ไม่มีปัญญาพอที่จะตอบ  ขอฝากดื้อๆให้เด็กชายประกอบผู้กำลังมุ่งคว้า A+ ในวิชานี้อยู่ก็แล้วกัน  หรือคุณครูเพ็ญชมพูจะมาติวพิเศษให้หลังห้อง ก็ไม่รังเกียจค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 17 พ.ค. 14, 12:56
อ่านแล้วคิดไปถึงคลีโอพัตรากับจูเลียส ซีซาร์อีกคู่คนดังในประวัติศาสตร์ ไม่เป็นความลับที่จูเลียส ซีซาร์มีอะหยังๆๆๆกับบรูตุส หนุ่มรูปหล่อที่เป็นทั้งลูกเลี้ยง คู่ขาและต่อมากลายเป็นสัปเหร่อ (อนุมาน) คนเดียวเป็นหมดทุกอย่างครบวงจร เรียกได้ว่าคู่บุญ คู่เวร คู่กรรม คู่ชีวิตของจูเลียส ซีซาร์ เรื่องอีแบบนี้มามาตั้งแต่ก่อนท่านดยุคนมนานกาเล  ;D :o

มีหลักฐานว่าความจริงคลีโอพัตราไม่ใช่หญิงงามเลิศเลอพิลาศเหมือนอลิซเบธ เทย์เลอร์ในภาพยนต์ ท้วมๆ ค่อนข้างขี้เหร่ซะด้วยซ้ำ แต่ก็คงมีอะไรดีๆหรอก จูเลียส ซีซาร์ถึงได้หลงหัวปักหัวปำ ไม่ยอมกลับบ้าน แถมกลับไปบ้าน คลีโอพัตรายังตามมาอีกถึงกรุงโรม ที่บรูตุสลงมือสังหารแบบแทงไม่นับ อาจเป็นเพราะแรงแค้น พิษรักแรงหึงมากกว่าเรื่องประเทศชาติ รักอาณาจักรก็ได้ อิอิ  :-X


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 14, 09:59
  ชีวิตในบั้นปลายของดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ ไม่มีอะไรน่าสนใจอีก   มีเรื่องให้กล่าวถึง  เพียงสั้นๆว่า สองคนก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในปารีส อย่างสามีภรรยาแก่ๆที่อำลาวงการไฮโซมาอยู่กันเงียบๆ เพียงสองคนตายาย      ไปไหนก็ไปด้วยกัน   
   อย่างในรูปข้างล่างนี้ ท่านดยุคกลับออกจากคลีนิคหลังจากไปผ่าตัดสายตา  มีดัชเชสอยู่เคียงข้าง

   ดูหน้าตาแล้วก็รู้สึกว่าท่านไม่ค่อยจะเป็นสุขนัก   อาจด้วยโรคภัยทางกายเบียดเบียน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 14, 10:00
ดูหน้าตากันอีกรูปก็ได้ค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 14, 10:19
    เรื่องเดียวที่น่าจะเป็นผลดีกับท่านดยุคในการสละราชบัลลังก์ คือทำให้ท่านมีอายุยืนยาวกว่าพระเจ้าจอร์ชที่หก พระอนุชาผู้แบกภาระกรำงานจนสวรรคตไปเมื่อพระชนม์แค่ 52     ส่วนท่านดยุคอยู่มาจนเกือบจะครบ  78  ขาดอีกเดือนเดียว  ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 1972     
    ท่านสิ้นพระชนม์ในปารีส  แต่พระศพถูกนำไปดำเนินตามพระราชพิธีสำหรับพระราชวงศ์สำคัญในอังกฤษ   แล้วฝังไว้ที่นั่น
   
    ก็เป็นอันว่า ท่านดยุคผู้แสดงความปรารถนาจะกลับบ้านเกิดเมืองนอนมาหลายสิบปีแล้ว  ได้กลับสมปรารถนา เมื่อสิ้นลมหายใจ

    วอลลิสได้เหยียบอังกฤษอีกครั้งในสถานภาพแม่ม่าย     ได้เดินเข้าขบวนกับพระราชวงศ์อังกฤษที่ชิงชังเธอและเธอก็ชิงชังตอบไม่น้อยกว่ากัน    เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นหน้าพระญาติฝ่ายสามี ก่อนเธอจะกลับบ้านที่ปารีสอีกครั้ง   คราวนี้อย่างเดียวดาย ไม่มีผู้ชายที่รักเธอแท้จริงอยู่เคียงข้างอีก




กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 18 พ.ค. 14, 15:04
ชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อน  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือเป็นประชาชนธรรมดา
  
เรื่องราวของท่านดยุค  ดิฉันคิดว่าการที่พระองค์โดนตำหนิมาก หลักๆ น่าจะมาจากการที่ทรงเข้าไปแทรกในจังหวะที่วอลลิสยังมีสามีเป็นตัวเป็นตนประการหนึ่งและการละทิ้งหน้าที่ที่มีต่อบ้านเมือง  ทิ้งภาระของกษัตริย์ให้กับพระอนุชาผู้ไม่ได้เตรียมพระองค์มาก่อน  ในจังหวะคุกรุ่นของวิกฤตสงครามโลก

ซึ่งผลที่ตามมากลับกลายเป็นโชคดีของประเทศที่พระเจ้าจอร์จที่ ๖ ทรงเป็นกษัตริย์ที่ประเสริฐ  ทรงพระราชภารกิจอย่างไม่ท้อถอย  รวมถึงพระราชชนนีอลิซาเบธ และสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ ๒ ในรัชกาลต่อมา

บางครั้งก็นึกแวบๆ ไปว่าบุญบารมีของคนนี่ก็แปลก  เจ้าชายเดวิดเป็นมกุฎราชกุมารจ่อขึ้นครองราชย์อยู่แน่นอน  ในขณะเจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นโอรสองค์ที่ ๒  กลับกลายเป็นมีเหตุให้เจ้าชายเดวิดขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็ต้องหลีกทางให้พระอนุชา

ประเด็นความสัมพันธ์ที่มีต่อพระบิดามารดาของเจ้าชายเดวิด  ที่มองกันว่ามีส่วนหล่อหลอมพระนิสัยจนเป็นที่มาของรสนิยมนั้น  ก็น่าสังเกตว่าเจ้าชายอัลเบิร์ตพระอนุชากลับไม่แสดงให้เห็นผลกระทบนี้  ทั้งๆ ที่ผ่านประสบการณ์มาเหมือนๆ กัน  พระเจ้าจอร์จที่ ๕ ก็ดูโปรดโอรสองค์รองและครอบครัวดี

ส่วนพระพันปีแมรี่นั้น  จะด้วยภารกิจมากมายตั้งแต่อภิเษกสมรส  รวมถึงการอบรมหล่อหลอมให้อุทิศองค์เพื่อหน้าที่ที่มีมาแต่กำเนิดในฐานะเจ้านาย  ทำให้ต้องเลือกหน้าที่มาก่อนหรือเปล่าคะ  จริงๆ พระองค์ก็คงจะรักโอรสธิดาเหมือนแม่ทั่วไป  ในช่วงรัชสมัยพระเจ้าจอร์จที่ ๕ ก็ทรงเอาใจใส่อบรมเจ้าหญิงพระนัดดาทั้ง ๒ ด้วยพระองค์เอง  แต่เคยอ่านว่านอกจากเจ้าชายเดวิดที่มีปัญหาความสัมพันธ์กับพระมารดาแล้ว  โอรสองค์เล็กที่มีปัญหาสุขภาพก็ให้ไปอยู่ในความดูแลของพระพี่เลี้ยง


(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/c3/Queen_Mary_with_Princess_Elizabeth_and_Margaret.jpg/220px-Queen_Mary_with_Princess_Elizabeth_and_Margaret.jpg)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 พ.ค. 14, 21:25
    เห็นด้วยกับคุณ tita ค่ะ   
    ดยุคแห่งวินด์เซอร์เป็นหนามยอกอกไม่เฉพาะราชสำนัก   แม้แต่รัฐบาลอังกฤษก็กล้ำกลืนฝืนทนมานาน     คนส่วนใหญ่คิดว่าสอง ร. ของอังกฤษ(คือราชสำนักและรัฐบาล)ใจร้ายเกินไปหน่อยที่ทำให้ท่านต้องอยู่ต่างแดนไม่ได้กลับมาบ้านจนตายจากไป    แต่ถ้าคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างที่เขาเอามาแฉกันในตอนหลัง  ก็คงเข้าใจว่าท่านทำตัวเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอยู่หลายเรื่อง     ใครจะไปรับประกันได้ว่าท่านไม่เอาความลับของชาติไปทำรั่วไหลอีก  หากว่าเอาตัวกลับมาอยู่ในบ้านในเมือง
   ข้อสำคัญ  ผู้หญิงที่มีอิทธิพลเหนือท่านก็เป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ ว่าจะเห็นแก่อังกฤษมากกว่าตัวเอง

   ก็นับว่าเป็นโชคดีของประเทศที่พระเจ้าจอร์ชที่ 6 และพระมเหสีรู้จักวางพระองค์ได้ดี เป็นที่รักของประชาชน    เป็นกำลังใจให้ประเทศชาติรอดปากเหยี่ยวปากกาในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้อย่างดี

   ปัญหาเรื่องวัยเด็กที่ดยุคแห่งวินด์เซอร์รำพันกล่าวโทษแม่ว่าใจดำ เย็นชา ห่างเหินไม่เป็นกันเองกับลูกนั้น น่าจะบ่งบอกวุฒิภาวะของท่านอยู่ไม่น้อย    คนเกิดมาเป็นเจ้าเป็นนายย่อมตกอยู่ในราชประเพณีอันเข้มงวดของราชสำนัก    จะให้พระราชินีเดินไปจ่ายตลาดกระเตงลูกไปด้วยอย่างใกล้ชิดเหมือนเมียชาวบ้านร้านถิ่นก็ทำไม่ได้อยู่ดี
    โตขึ้น  เจ้านายก็มีหน้าที่ต่อประเทศชาติอย่างหนึ่ง   ลูกชาวบ้านก็มีหน้าที่ต่อประเทศชาติอีกอย่างหนึ่ง    ถ้าต่างคนต่างรู้หน้าที่ตัวเองก็ไม่มีปัญหา   ปัญหาเกิดในเรื่องนี้เพราะพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ท่านไม่รู้หน้าที่  หรือต่อให้รู้ก็ไม่มีความสามารถพอจะทำได้
   เพราะงั้นไปสร้างตำนานรักให้บันลือโลกอย่างนี้ก็น่าจะดีกว่าให้ท่านทนทำหน้าที่ต่อไปอย่างกะพร่องกะแพร่งนะคะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 14, 11:55
    ถ้าหากว่าวอลลิสจะถึงแก่กรรมหลังจากสามีเพียงไม่นานก็น่าเศร้าน้อยกว่าอยู่มาอีกนานถึง 14 ปี อย่างอ้างว้างว้าเหว่  มีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า   เท่านั้นยังไม่พอ ยังถูกคนใกล้ตัวฉ้อโกงเอาทรัพย์สินไปอีกมิใช่น้อย   เป็นชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับแม่ม่ายทรงเครื่องจำนวนมาก เมื่อสามีตายและตัวเองไม่มีลูกหลานที่จะพึ่งพาได้

    วอลลิสยังพอจะปรากฏตัวในสังคมอยู่บ้างในช่วงสองสามปีหลังท่านดยุคจากไป  แต่แล้วเธอก็ค่อยๆถอยเข้าไปเก็บตัวอยู่ในบ้านตามประสาผู้สูงอายุ      การใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อในวัยสาวและกลางคนส่งผลออกมาในรูปของสุขภาพทรุดโทรมหนัก
     วอลลิสเป็นคนระวังเรื่องรูปทรง เพื่อให้ผอมเพรียว(หรือจะเรียกว่าผอมแห้งก็ได้) เพื่อให้แต่งตัวตามแฟชั่นจากห้องเสื้อดังๆได้สวย  กินอยู่อะไรก็ไม่เหมือนชาวบ้านเขา    พอแก่เธอก็เลยมีโรคเรื้อรัง ชื่อ  Crohn’s Disease  เป็นโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร   นอกจากนี้ยังมีอาการความจำเสื่อม และหกล้มกระดูกสะโพกหักตามมาด้วย

    เมื่อวอลลิสอยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างเมื่อก่อน   ที่ปรึกษากฎหมายชาวฝรั่งเศสของเธอก็เลยเข้ายึดอำนาจ จัดการทรัพย์สินรวมทั้งขายเครื่องเพชรของวอลลิสไปโดยไม่ได้รับอนุญาต   
    วอลลิสเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านในปารีส เหมือนนักโทษเดียวดาย


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 19 พ.ค. 14, 12:52
  วอลลิสเป็นเจ้าของคอลเลคชั่นเครื่องประดับเพชร ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชั้นเลิศของฝรั่งเศส       แต่เมื่อเธอเริ่มป่วย  จัดการอะไรเองไม่ได้   ที่ปรึกษากฎหมายของเธอก็ทยอยขายเพชรบางส่วนจากคอลเลคชั่นพวกนี้ไป 

http://www.pinterest.com/anagavino/wallis-simpson-jewels/


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 19 พ.ค. 14, 21:37
ได้ชมคอลเล็คชั่นเครื่องประดับอัญมณีอันมีค่าของท่านดัชเชสแล้ว ย้อนกลับมาที่ตัวเอง
วันพรุ่งนี้ขอได้พานพบข้าวสวยร้อนๆราดพะแนงหมู บรรจงวางโปะด้วยไข่พะโล้สักซีก ก็โอเคแล้ว
วันมะรืนค่อยจินตนาการต่อ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 พ.ค. 14, 10:11
ในบรรดาเครื่องประดับอัญมณีอันมีค่าจำนวนมหาศาลของท่านดัชเชส มีชิ้นหนึ่งซึ่งราคาค่างวดอาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับชิ้นอื่น (ประมาณสองแสนปอนด์เท่านั้น  ;)) แต่มีค่ามากทางจิตใจคือ เข็มกลัดรูปหัวใจ ซึ่งท่านดยุคมอบให้เนื่องในโอกาสการแต่งงานครบรอบ ๒๐ ปี โดยสั่งทำเป็นพิเศษจากบริษัทคาร์เทียร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ประกอบด้วยด้วยตัวอักษรสองตัวทำจากมรกตคือ WE W อันหมายถึง วอลลิส และ E คือ เอ็ดเวิร์ด เกี่ยวคล้องกัน บนพื้นแวววาวประดับเพชร บนหัวใจเป็นมงกุฎเล็ก ๆ ทำด้วยทับทิมเช่นเดียวกับ เลขโรมันข้างล่าง XX หมายถึง เลข ๒๐

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/smiley22.png)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 พ.ค. 14, 10:24
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๔ นักร้องดังมาดอนนาก็ได้ใช้อักษรสองตัวนี้ W.E. เป็นชื่อภาพยนตร์แนวโรแมนติกของ W & E

http://www.youtube.com/watch?v=4lNg0cm69xU

ทั้งคู่สดใสปิ๊งปั๊งกว่าตัวจริงเป็นไหน ๆ   ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 14, 10:34
   ดัชเชสมีชีวิตทรมานทรกรรมอยู่กับสุขภาพที่มีแต่ทรุดลง ถึง 10 ปี     เจ็บด้วยสารพัดโรคตั้งแต่ dementia  ไปจนหกล้มสะโพกหัก 2 ครั้ง     จนถึงปี 1980 เธอก็พูดไม่ได้อีก ต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงไปจนถึงวาระสุดท้าย   ทนายความผู้ยึดอำนาจไปเรียบร้อยในการควบคุมดูแลทรัพย์สินและตัวเธอเอง ไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมนอกจากหมอและพยาบาล
     ก็ขอให้นึกดูว่าบั้นปลายชีวิตของวอลลิสน่าเวทนาขนาดไหน    เมื่อไม่มีท่านดยุคคอยปกป้องเธออีก

    สังขารของวอลลิสทรุดโทรมยืดเยื้อมาจนถึงค.ศ. 1986  จึงหมดกำลัง    เธอถึงแก่กรรมที่บ้านในปารีสก็จริง แต่พิธีศพของเธอทำที่พระราชวังวินด์เซอร์ในอังกฤษ  มีพระราชวงศ์อังกฤษมาพร้อมหน้ากันให้เกียรติเธอเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
    ศพของเธอถูกฝังเคียงข้างดยุคแห่งวินด์เซอร์ ในสุสานหลวง ใกล้พระราชวังวินด์เซอร์

   ถ้าคุณประกอบไปเยี่ยมสุสานแห่งนี้ ในโครงการป่าช้าทัศนาจร   ช่วยกลับมาเล่าให้ฟังกันด้วยนะคะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 14, 10:36
วอลลิสนั่งอยู่เดียวดายในบ้าน  ในช่วงที่สามีจากไปแล้ว
รูปนี้ถ่ายก่อนเธอเจ็บป่วยค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 พ.ค. 14, 10:40
ขอส่งท้ายด้วยขนมน้ำชาแบบอังกฤษ สำหรับทุกท่านค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Jalito ที่ 22 พ.ค. 14, 00:11
ขอบคุณอาจารย์ครับ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Anna ที่ 22 พ.ค. 14, 00:52
เมื่อกี้ใจหายหมดเลยค่ะ เปิดมาก็เจอก๊อสซิล่าเฝ้าอยู่หน้าเรือนไทย ไม่ยอมให้เข้ามา เกิดอะไรขึ้นหรือคะ  ???


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 22 พ.ค. 14, 00:53
 
    ศพของเธอถูกฝังเคียงข้างดยุคแห่งวินด์เซอร์ ในสุสานหลวง ใกล้พระราชวังวินด์เซอร์

   ถ้าคุณประกอบไปเยี่ยมสุสานแห่งนี้ ในโครงการป่าช้าทัศนาจร   ช่วยกลับมาเล่าให้ฟังกันด้วยนะคะ

สุสานหลวงนี้รู้สึกว่าปีนึงจะเปิดให้คนทั่วไปเข้าไปเยี่ยมชมได้ปีละไม่กี่วันเท่านั้นครับ ผมไปวินเซอร์ 2 ครั้ง แต่ไม่ตรงกับจังหวะที่เปิดให้เข้าชม เลยไม่ได้เดินกระทบไหล่วอลลิส ได้แต่เดินชมสุสานของกษัตริย์ที่เก็บไว้ในโบสถ์ที่วังเท่านั้น

ถ้าจำไม่ผิดเรื่องราวของวอลลิสกับทนายที่ยึดอำนาจปกครองรวมทั้งทรัพย์สินไปยังมีอีกไม่ใช่หรือครับ  คิดว่าท่านอาจารย์ยังไม่ปิดกระทู้มั๊ง  :D  ;D  ;D  ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 14, 08:59
เรื่องของวอลลิสกับทนายความหญิงที่ยึดอำนาจไปยังมีรายละเอียดอีกบ้าง    แต่ว่ามันนอกหัวข้อกระทู้ไปแล้วค่ะ  เลยไม่เล่าต่อ
ถ้าคุณประกอบประสงค์จะได้ A+  จะเล่าเสียเองก็จะเป็นความดีอย่างยิ่ง

เมื่อวานแอดมินแจ้งมาว่าเว็บของเราเกิดอาการขัดข้องทางเทคนิค  เป็นผลจากโฮสติ้งปิดด้วยเหตุอะไรก็ไม่เข้าใจ  ทำให้ก๊อดซิลล่ามาเฝ้าอยู่หนึ่งตัว
บัดนี้คงเจรจากันได้แล้ว  ก๊อดซิลล่าจึงถอยกลับไปค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 พ.ค. 14, 10:53
ช่วยขุดค้นเอกสารประกอบรายงานวิชา "วอลลิส และทนายหญิงเจ้าเล่ห์" ของคุณประกอบ  ;D

ทนายหญิง "ซูซาน บลัม" ผู้ซึ่งเคยถูกวอลลิสตะโกนใส่ว่า

"ฉันเกลียดเธอ"  :o

รายละเอียดอยู่ใน เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/femail/article-1367933/Wallis-Simpson-Robbed-abused-Duchess-Windsors-days.html)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 พ.ค. 14, 12:19
เมื่อวานแอดมินแจ้งมาว่าเว็บของเราเกิดอาการขัดข้องทางเทคนิค  เป็นผลจากโฮสติ้งปิดด้วยเหตุอะไรก็ไม่เข้าใจ  ทำให้ก๊อดซิลล่ามาเฝ้าอยู่หนึ่งตัว
บัดนี้คงเจรจากันได้แล้ว  ก๊อดซิลล่าจึงถอยกลับไปค่ะ

ก๊อดซิลล่าที่มาเมื่อวานยังทิ้งร่อยรอยทำให้คลิปของยูทูบไม่แสดงภาพ คงแก้ไขได้ในไม่ช้าหนอ  ::)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 พ.ค. 14, 12:41
ก๊อดซิลล่าเล่นเพลง "จระเข้ฟาดหาง" เมื่อวานนี้ ทำเอาคลิปยูทูปที่แทรกอยู่ตามกระทู้ พังพินาศไป
แอดมินฝากบอกว่า
" การแทรกคลิปยูทูปยังแทรกได้   แต่ทำผ่านวิธีเดิมไม่ได้ ต้องหาทางยากๆสักหน่อย ซึ่งผมว่าคงไม่เกินความพยายามคุณเพ็ญชมพู แต่สมาชิกบางท่านอาจถามถึงครับ"


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Twingle star ที่ 24 พ.ค. 14, 01:08
มายกมือค่ะ ว่ายังอยากรู้เรื่อง ดัสเชสและทนายต่อค่ะ
ต้องขอความกรุณา อจ.และรุ่นพี่ทั้งหลายค่ะ ช่วยเล่าเรื่องต่อทีเถิดค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 พ.ค. 14, 09:49
  ยังไม่เห็นมีใครเล่าต่อให้    งั้นดิฉันเล่าเองค่ะ
 
  พวกผู้ดีเศรษฐีฝรั่งเขาจะต้องมีทนายความประจำตระกูลไว้ดูแลทรัพย์สินและผลประโยชน์ เหมือนอย่างในละครหลังข่าวของเรา  นอกจากทนายความแล้วก็ต้องมีเลขานุการเอาไว้เป็นหูเป็นตา ติดต่องานและกลั่นกรองเรื่องราวต่างๆที่เข้ามา   จากนั้นก็มีเลขาฯส่วนตัวเอาไว้รับใช้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ว่ายุ่งยากเกินกว่าตัวเศรษฐีหรือคุณนายจะทำเอง 
  ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ก็มีบริวารอย่างที่ว่านี้ครบ      แต่คนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคือทนายความหญิงชาวฝรั่งเศสชื่อซูซานน์ บลัม

  ดูรูปยายนี่ไปก่อน  ใครพอจะรู้เรื่องโหงวเฮ้ง ดูรูปนางแล้วพอบอกอะไรได้ไหมคะ

 


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 พ.ค. 14, 08:59
มีให้ดูโหงวเฮ้งอีกรูปหนึ่ง  ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 26 พ.ค. 14, 09:26
จากประสบการณ์ส่วนตัว โหงวเฮ้งนี่ใช้กับฝรั่งไม่ค่อยได้ครับ ยิ่งป้าแก่ๆ แล้ว หน้าตาเหมือนกันหมด แถมสาวๆ สมัยสงครามโลกยังชอบกันคิ้วอีก เปลี่ยนไปหมด แต่ที่เคยเจอและจำไว้แม่นคือนคนแก่ฝรั่งที่ดูใจดีอ่อนโยน แต่ละคนแสบมากๆ ต่างจากคนไทยเยอะครับ ที่พอจะเดาออก


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 พ.ค. 14, 12:41
    ว่ากันว่าท่านดยุคเป็นคนจัดการเรื่องกฎหมายและดูแลทรัพย์สิน  ส่วนวอลลิสแม้ว่ามีอำนาจเหนือสามี แต่ก็หารู้เรื่องการจัดการทรัพย์สินอย่างใดไม่     ในตอนแรกหลังสามีตายไปใหม่   ยังมีบริวารพร้อมพรั่งอยู่ ดัชเชสก็อยู่มาได้โดยไม่มีปัญหา  เพราะมีคนจัดการโน่นนี่ให้เสร็จ    แต่เราอย่าลืมว่าเธอไม่มีลูก และไม่มีญาติพี่น้องเหลืออยู่เลย    ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครที่เธอไว้วางใจยื่นมือเข้ามาช่วยได้   
    แม่ม่ายชราทรงเครื่อง ไม่มีลูกเต้าให้พึ่งพาอาศัยได้ย่อมเป็นหนึ่งในปลาเล็กที่ถูกปลาใหญ่ไล่งับเอาง่ายๆ    ปลาใหญ่ตัวนั้นคือซูซาน บลัม ทนายหญิงชาวฝรั่งเศสผู้เริ่มผงาดขึ้นสวมบทบาทเจ้าแม่ หลังท่านดยุคจากไป
    อาศัยอำนาจว่าตัวเองดูแลด้านกฎหมายซึ่งเกี่ยวพันกับทรัพย์สิน   ซูซานก็บีบบริวารอื่นๆกระเด็นไปทีละคน    จนกระทั่งตัวหล่อนเองได้ครองอำนาจเด็ดขาด เป็นทนายและผู้จัดการผลประโยชน์ต่างๆของดัชเชส     ส่วนนางเอกของเรานั้นก็กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของซูซานไปทีละน้อย  โดยไม่รู้ตัว
    สามปีต่อมาหลังสามีจากไป  ดัชเชสต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคเลือดออกในกระเพาะอาหาร    นักวิเคราะห์บอกว่าถ้าเธอตายไปเสียได้ในตอนนั้นน่าจะดีกว่ารอดออกมา    แต่หมอก็เก่ง ยื้อชีวิตของวอลลิสออกมาจากพญามัจจุราชได้สำเร็จ     ถ้าเป็นทางพุทธก็คงบอกว่า กรรมในชาตินี้ยังไม่สิ้นสุด


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: Twingle star ที่ 26 พ.ค. 14, 18:15
ดูหน้าตา คุณทนายนี่ ดูใจดีนะคะ ดูเป็นป้าแก่ๆ ไม่มีพิษภัย แต่ความจริงเป็นไง รอฟังอจ เล่าค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 พ.ค. 14, 13:03
     อาการของดัชเชสไม่ดีขึ้นหลังจากออกจากโรงพยาบาล    เธอกลายเป็นคนป่วยนอนแซ่วอยู่บนเตียง ปีแล้วปีเล่าอาการก็มีแต่ทรงกับทรุก   จนถึงค.ศ. 1978  เธอก็กลายเป็นคนพิการเต็มตัว  พูดไม่ได้ ขยับเขยื้อนไม่ได้  พยาบาลต้องป้อนอาหารให้   แต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่  จนถึง ค.ศ. 1981  หมอก็บอกว่าดัชเชสคนดังกลายเป็น "ผัก" ไปแล้วโดยสมบูรณ์
    ในค.ศ. 1978 นั้นเอง  ทนายความหญิงของดัชเชส ก็ออกโรงสร้างความสนใจให้ตัวเอง  ด้วยการโจมตีหนังทีวีอังกฤษชุด Edward & Mrs Simpsonที่ออนแอร์อยู่ในตอนนั้น    หล่อนให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ด้วยการเปิดเผยจดหมายรักส่วนตัวระหว่างดยุคและดัชเชส  แถมยังยกข้อความในจดหมายขึ้นมาอ้างเสียด้วยเพื่อแสดงว่าหล่อนรู้จริง
    ซูซาน บลัมอ้างต่อไปว่า ท่านดยุคส่งจดหมายเหล่านี้ให้ "เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ เพื่อให้ตีพิมพ์หลังจากท่านและพระชายาเสียชีวิตไปแล้ว"  แต่หล่อนต้องเอามาเปิดเผยก่อน เพราะหนังทีวีที่สร้างนั้นไม่ตรงตามข้อเท็จจริง
    คำสัมภาษณ์ของหล่อนก่อกระแสขึ้นมาให้หนังทีวีชุดนั้นในฉับพลัน   พร้อมกันนั้นสปอตไลท์จากทั่วโลกก็พุ่งมาจับที่ตัวหล่อน  นอกจากในฐานะทนายความของดัชเชสแล้ว ก็กลายเป็นในฐานะ "เพื่อนสนิท"ของดัชเชสด้วย
    ยัยป้าใจดีที่ว่านี้ก็เลยดังเปรี้ยงสมใจ



กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 14, 12:03
  ในเมื่อไม่มีบุคคลอื่นรอบตัวดัชเชสที่จะขวางอำนาจของซูซาน บลัมได้   หล่อนก็ลุกขึ้นทำอะไรต่อมิอะไรตามใจชอบกับทรัพย์สินของดัชเชส  เช่นเอาเครื่องเพชรของเธอออกมาขายในเจนีวาเมื่อค.ศ. 1978    ว่ากันว่าผู้ซื้อก็คือเพื่อนๆของหล่อนนั่นเอง  ได้ของไปในราคาต่ำกว่ามาตรฐาน    ส่วนซูซานได้ผลประโยชน์อะไรจากงานนี้บ้าง ไม่มีตัวเลขยืนยัน
  ดัชเชสผู้นอนเหมือนผักอยู่ในเวลานั้นก็กลายเป็นลูกไก่ในกำมือของทนายความหญิง    คล้ายกับที่วอลลิสเคยทำให้อดีตพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปดแห่งอังกฤษกลายเป็นลูกไก่ในกำมือเธอมาแล้ว      จดหมายรักที่สามีมีต่อเธอถูกนำออกมาพิมพ์ขาย   ซูซานอ้างการกระทำทุกอย่างว่าได้รับความเห็นชอบจากดัชเชสแล้ว     ในเมื่อไม่มีลูกหลานหรือผู้รับมอบอำนาจคนอื่นมาคัดค้านได้    ทุกอย่างก็ต้องปล่อยเลยตามเลย
   มีแต่แพทย์กับพยาบาลเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าใกล้วอลลิสได้    ในเมื่อจรรยาแพทย์บังคับให้พวกนี้ต้องปิดปากสนิท   โลกจึงไม่รู้ว่าอาการแท้จริงของดัชเชสเป็นตายร้ายดีอย่างไร  รู้แต่ว่ายังไม่ตายเท่านั้น  ยัยซูซานก็ให้สัมภาษณ์แต่ละทีไม่เหมือนกันเลย
   อีกอย่างวอลลิสเองก็ไม่ใช่วีรสตรีหรือนักบุญผู้ประกอบคุณงามความดีแก่โลก มากพอที่บุคคลภายนอกหรือรัฐบาลจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เมื่อเห็นมีอะไรไม่ชอบมาพากล     เธอก็เลยต้องอยู่กับซูซาน บลัมมาจนกระทั่งสิ้นลมไปเมื่ออายุ 90 ปี

  ภาพนี้เป็นภาพท้ายๆที่ดัชเชสยังปรากฏตัวต่อสาธารณชน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 14, 12:32
      ว่ากันว่าเมื่อดัชเชสยังพอจะพูดได้อยู่   เธอเคยตะโกนใส่ซูซาน ว่า " ฉันเกลียดแก"   ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่าดัชเชสรู้อยู่เต็มอกว่าช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า นั้นไว้ใจไม่ได้จริงๆ  ทรยศหักหลังได้เสมอ  (ส่วนท่านดยุคเองเห็นจะต้องแถมคำว่า "เมียรัก" ไปด้วยอีกคำ)  แต่เธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะลุกมากอบกู้ตัวเองให้พ้นมืออีกฝ่ายได้เสียแล้ว
      ดัชเชสถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1986  มีพิธีศพที่ปารีสซึ่งซูซานวางตัวเป็นเจ้าภาพอย่างเต็มที่    แต่เมื่อมีพิธีหลวง เพื่อฝังศพเธอเคียงข้างท่านดยุคที่พระราชวังวินด์เซอร์  พระราชวงศ์มาชุมนุมกันเป็นเกียรติแก่ดัชเชสเป็นครั้งสุดท้าย  ในฐานะที่เธอเป็นพระชายาของอดีตกษัตริย์  ซูซานไม่ได้รับเชิญมาร่วมในงานด้วย
       ตอนนั้นซูซานเองก็แก่งั่กเต็มทีแล้ว อายุแปดสิบปลาย  ดวงตาก็เกือบจะมองไม่เห็นแล้ว     หล่อนก็เลยต้องเก็บบทบาทอยู่เพียงแค่นั้น  จนกระทั่งตายไปเองตามอายุขัย   ดิฉันก็ไม่ได้ติดตามว่าหล่อนตายไปเมื่อไหร่ เขียนมาถึงแค่นี้ก็น่าจะให้เกียรติหล่อนพอแล้วค่ะ

    พิธีฝังศพของวอลลิสที่พระราชวังวินด์เซอร์


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 14, 12:34
เจ้าฟ้าชายชาร์สล์และเจ้าหญิงไดอาน่าในงานฝังศพดัชเชสแห่งวินด์เซอร์


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 พ.ค. 14, 12:35
จบกระทู้   


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 29 พ.ค. 14, 10:20
อาจารย์ยังถ่ายทอดกระบวนยุทธ ไม่หมดเลยครับ เอาปริศนามาฝาก เผื่อศิษย์ร่วมสำนักท่านใดอยากค้นต่อ เบื่อสำนวนฝรั่งครับ อยากกินกว๋ยเตี๋ยแบบไทยๆ คำใบ้คือสิ่งนี้ครับ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 29 พ.ค. 14, 10:21
และผูหยิงคนนี้


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 29 พ.ค. 14, 13:04

ผู้หญิงคนนี้น่ะหรือคะ? เรื่องอะไรหรือคะ?

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2011/09/02/article-2032831-0DABD5C300000578-332_306x842.jpg)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 29 พ.ค. 14, 13:11

ดิฉันกำลังคิดว่าถ้าดัชเชสเธอเป็นคนน่ารัก  เธออาจจะมีเพื่อนและคนแวดล้อมที่จริงใจมากกว่านี้  ในบั้นปลายชีวิตถึงแม้จะไม่มีบุตรหลาน  อย่างน้อยก็น่าจะยังมีคนคอยเอาใส่ใจเธอบ้าง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 29 พ.ค. 14, 14:23
อาจารย์ยังถ่ายทอดกระบวนยุทธ ไม่หมดเลยครับ เอาปริศนามาฝาก เผื่อศิษย์ร่วมสำนักท่านใดอยากค้นต่อ เบื่อสำนวนฝรั่งครับ อยากกินกว๋ยเตี๋ยแบบไทยๆ คำใบ้คือสิ่งนี้ครับ

คิดว่าก๋วยเตี๋ยวแบบไทยๆ รสแซ่บๆ เพิ่งเสิร์ฟปักหมุดไปไม่นานนี่เองครับ ล่องทะเลแม่น้ำไปกินถึงเมืองเขมรโน่น ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 29 พ.ค. 14, 16:10
เข้ามาชี้แจงเดี๋ยวมีคนเข้าใจผิดอีก ที่กล่าวว่า "เบื่อสำนวนฝรั่งครับ" คือมีฝรั่งเชียนไว้แล้ว แต่อยากฟังจากคนไทยร่วมชั้นเรียนมากกว่า เพราะอ่านภาษาต่างด้าวไม่ออกครับ เชื่อว่าหลายท่านอย่างคุณเพ็ญชมพูคงตีลายแทงออก


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 พ.ค. 14, 17:02
มาขยายความลายแทงค่ะ 


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 09:06
เอาปริศนามาฝาก เผื่อศิษย์ร่วมสำนักท่านใดอยากค้นต่อ เบื่อสำนวนฝรั่งครับ อยากกินกว๋ยเตี๋ยแบบไทยๆ คำใบ้คือสิ่งนี้ครับ

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5951.0;attach=48637;image)

สำนวนไม่ดีนักดอก แต่จะพยายาม

สร้อยข้อมือนี้เป็นเสมือนสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง W.E. (Wallis & Edward) ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๗ - พ.ศ. ๒๔๘๗ ประกอบด้วยกางเขนประดับอัญมณีชนิดต่าง ๆ ๙ แท่ง แต่ละแท่งยาวประมาณ ๑ นิ้ว บันทึกต่าง ๆ เขียนไว้ที่ข้างหลังกางเขน  ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 09:46
เริ่มจากแท่งแรกทางซ้ายมือประดับด้วย ไพลิน (Sapphire) มรกต ทับทิม และเพชร บันทึกไว้ว่า Our marriage Cross Wallis 3.VI.37 David. ทั้งคู่แต่งงานกันเมือวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๑๙๘๐ (ค.ศ. ๑๙๓๗)

แท่งที่สองประดับด้วยพลอยอวามารีน (Aquamarine) บันทึกไว้ว่า God save the King for Wallis. 16.VII.36. จากเหตุการณ์ที่กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ ๘ รอดพ้นจากการลอบสังหารโดยนักหนังสือพิมพ์ชาวไอริช

แท่งที่สามประดับด้วยพลอยม่วงดอกตะแบก (Amethyst) บันทึกไว้ว่า Appendectomy Cross Wallis 31-VIII-44 David. จากเหตุการณ์ที่วอลลิสต้องเข้าผ่าตัดไส้ติ่ง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 10:03
แท่งที่สี่ประดับด้วยมรกต บันทึกไว้ว่า X Ray Cross Wallis – David 10.7.36. วอลลิสเขียนจดหมายถึงป้าเบสซี่เล่าว่า "(วันนี้) หนูไปเอ็กซเรย์ตั้งแต่หัวยันนิ้วก้อย หมอบอกว่าแผลตกสะเก็ดแล้ว"

แท่งที่ห้าประดับด้วยเพชร บันทึกไว้ว่า The Kings (sic) Cross God bless WE 1-3-36. วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ (ค.ศ. ๑๙๓๖) เป็นวันที่วอลลิสเดินทางไปปารีส หกสัปดาห์หลังจากการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ ๘  

แท่งที่หกประดับด้วยทับทิม บันทึกไว้ว่า Wallis – David St Wolfgang 22-9-35


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 10:31
แท่งที่เจ็ดประดับด้วยบุษราคัม (Yellow Sapphire) บันทึกว่า Get Well" Cross Wallis Sept. 1944 David. อาการดีขึ้นจากการผ่าตัดไส้ติ่ง

แท่งที่แปดประดับด้วยไพลิน (Sapphire) บันทึกว่า Wallis – David 23-6-35. เนื่องในโอกาสวันเกิดปีที่ ๔๑ ของท่านดยุก

แท่งที่เก้าทำด้วยทองคำขาว (Platinum) บันทึกว่า WE are too (sic) 25-XI-34. วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นเวลา ๔ วัน ก่อนวันอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายจอร์จ ดยุกแห่งเคนท์ พระอนุชาและเจ้าหญิงมารีนาแห่งกรีซ เป็นการแสดงความรู้สึกว่า ทั้ง W และ E ก็อยู่ในความรักเช่นคู่ของพระอนุชาเช่นกัน


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 10:47
ผู้หญิงคนนี้น่ะหรือคะ? เรื่องอะไรหรือคะ?

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2011/09/02/article-2032831-0DABD5C300000578-332_306x842.jpg)

มาดอนนาเดินบนพรมแดงในเทศกาลภาพยนตร์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่เมืองเวนิส (The Venice Film Festival 2011) และเพื่อโปรโมตภาพยนตร์ที่เธอสร้าง W.E.โปรดสังเกตที่ข้อมือซ้ายคือ "สร้อยกางเขน" ที่เธอสั่งให้ทำขึ้นเลียนแบบของจริงเพื่อใช้ในภาพยนตร์  ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 11:00
วอลลิสสวมสร้อยข้อมือไม้กางเขนในวันวิวาห์ของเธอด้วยค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 11:04
สร้อยไม้กางเขนจำลอง  มาดอนน่าสั่งให้ทำขึ้นเพื่อใช้ถ่ายหนัง WE   
ภาพนี้คือ Andrea Riseborough ผู้รับบทวอลลิส ซิมป์สัน สวมสร้อยเส้นนี้


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 11:06
รูปนี้สร้อยเส้นจริงค่ะ วอลลิสก็ตัวจริง


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 11:10
ภาพขยาย


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 12:02
ในบรรดาเครื่องประดับอัญมณีอันมีค่าจำนวนมหาศาลของท่านดัชเชส มีชิ้นหนึ่งซึ่งราคาค่างวดอาจจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับชิ้นอื่น (ประมาณสองแสนปอนด์เท่านั้น  ;)) แต่มีค่ามากทางจิตใจคือ เข็มกลัดรูปหัวใจ

(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=5951.0;attach=48488;image)

เช่นเดียวกับ "สร้อยกางเขน" ถูกตีราคาไว้เพียงหกแสนปอนด์ จากการประมูล ณ สถาบันการประมูลซอเธอบี้’ส ที่กรุงลอนดอน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓ ขณะที่อัญมณีที่ถูกประมูลในราคาสูงสุด เรียกได้ว่าเป็นอัญมณีที่ผลิตโดยคาร์เทียร์และมีราคาสูงที่สุดในโลกก็ว่าได้คือเครื่องประดับสวมข้อมือรูปเสือประดับด้วยเพชรและนิล ถูกตีราคาไว้ที่ ๔.๕ ล้านปอนด์ เป็นเงินไทยประมาณ ๒๐๐ ล้านบาท ประมูลโดยผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม

(http://i.dailymail.co.uk/i/pix/2010/12/01/article-1334499-0C47CB30000005DC-67_964x547.jpg)

แต่ว่ากันว่าผู้ที่ได้เสือเพชรนิลตัวนี้ไปครอบครองก็คือ "มาดอนนา" คนนี้นี่เอง   ;D

รายละเอียดอยู่ใน เดลิเมล (http://www.dailymail.co.uk/femail/article-1334499/Is-Madonna-new-owner-Wallis-Simpsons-4-5m-panther-bracelet.html)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: scarlet ที่ 30 พ.ค. 14, 12:11
เรื่องที่น่าเบื่อยิ่งกว่าความแก่ก็คือเรื่องเงิน    นานหลายปีเข้าจิมมี่ก็ชักรู้สึกว่าผัวเมียไฮโซคู่นี้ไม่ได้ทำอะไรเลยนี่หว่า นอกจากจะใช้เงินกรูเป็นเบี้ย  ไม่ว่าไปไหน ซื้ออะไร ก็กรูนี่แหละต้องควักกระเป๋าเลี้ยง    เลี้ยงไปก็ต้องพินอบพิเทาอีตาผัวไปด้วย  ส่วนเมียก็เริ่มทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกรูไม่ว่าจะขยับไปไหน   ราวกับจะมาเป็นแม่คนที่สอง     ไอ้เรื่องที่ผัวเมียแก่คู่นี้จะรู้จักตอบแทนน้ำใจบ้างนั้นอย่าหวังเลย




มีศฤงคารทรัพย์สินเงินทองถึงปานฉะนี้ ถ้ามีน้ำใจ give & take ก็คงคบกับจิมมี่ อภิมหารวยได้ยืดยาว

ที่แตกหักกัน ก็คงเพราะลึกๆจิมมี่รู้สึกว่าคบไป ตนเองกลายเป็นเบี้ยล่างหรือเป็นเหยื่อ ใครจะไปยอม?


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 12:23
เสือตัวที่แพงที่สุดในโลกบนข้อมือของเจ้าของเดิม  พ.ศ. ๒๕๐๒ ;D


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 15:30
เอารูปมาให้ดูชัดๆ ว่าลำตัวเสือนั้นประกอบด้วยชิ้นส่วนเล็กๆ  จึงอ่อนโค้งตามรูปข้อมือได้ เหมือนนาฬิกาข้อมือ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: ประกอบ ที่ 30 พ.ค. 14, 16:34
มองแว่บแรกเห็นเหมือนตุ๊กแกเกาะข้อมืออยู่มากกว่า   น่าจะเพราะคนสวมไม่มีสง่าราศีในสายตาผม  ต่อให้ประดับอัญมณีมีค่าเท่าใด ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าหรือความน่าเคารพยำเกรงเพิ่มขึ้น  :-\  :-\


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: hobo ที่ 30 พ.ค. 14, 17:39
ขอบพระคุณทุกท่านครับที่กรุณามาย่อยให้ฟัง เห็นด้วยครับว่าเสือเหมือนตุ๊กแก ดูในภาพนึกว่าจะใหญ่ พอมาอยู่บนมือแล้วอันนิดเดียว 4 ล้าน เอามาซื้อบ้านในลอนดอนได้สบายเลยครับ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 30 พ.ค. 14, 17:49
          เสือคาร์เทียร์ตายคาที่ ความเห็นนี้ ;D
มองแว่บแรกเห็นเหมือนตุ๊กแกเกาะข้อมืออยู่มากกว่า   น่าจะเพราะคนสวมไม่มีสง่าราศีในสายตาผม  ต่อให้ประดับอัญมณีมีค่าเท่าใด ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าหรือความน่าเคารพยำเกรงเพิ่มขึ้น  :-\  :-\


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 17:57

          เสือคาร์เทียร์ตายคาที่

ตายสนิท

(ห้ามคุณเพ็ญชมพูเอาตุ๊กแกของจริงมาเข้ากระทู้นี้    เดี๋ยวจะสมจริงเกินไปค่ะ)


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 30 พ.ค. 14, 18:00
รูปนี้เกือบจะไม่เหลือความเป็นเสือ   เหลือแต่ตุ๊กแก


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 14, 10:41
คอลเลคชั่นตุ๊กแกคาเทียร์ของดัชเชส   
ถูกประมูลขายไปหมดแล้วค่ะ   


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: tita ที่ 31 พ.ค. 14, 11:32
ไม่ค่อยมีความรู้ทางเพชรพลอย (และก็ไม่มีเพชรพลอย  :)) 

เลยสงสัยว่าแพงมหาศาลขนาดนี้ได้อย่างไรคะ  คือฝีมือประณีตสวยงามจริง  แต่เพชรพลอยก็ดูเม็ดฝอยๆ 

คือไม่น่าจะแพงเป็นร้อยๆ ล้าน

แล้วดัชเชสเอาเงินจากไหนไปซื้อสะสมได้ขนาดนี้หนอ  คุณจิมมี่นั่นใจดีขนาดนี้เชียว?


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 31 พ.ค. 14, 13:08
ถามตัวเองเหมือนคุณ tita ค่ะ   แล้วได้แต่เดาตามนี้
1   เครื่องประดับของคาเทียร์สมัย 1950s กว่าๆ  ถึงแพงก็ไม่แพงมหาประลัยเท่าราคาประมูลในยุคนี้     ในสมัยที่ซื้อมาเป็นของใหม่ คงอยู่ในราคาที่ดยุคและดัชเชสจะพอซื้อได้   บางชิ้นก็เป็นของกำนัลจากจิมมี่อีกด้วย   
    บางทีร้านเพชรอาจลดราคาให้ดัชเชสแบบไม่กระโตกกระตาก ในฐานะที่เธอเป็นพรีเซนเตอร์ให้โดยปริยาย

2  ของเก่าพวกนี้ไม่ได้ขายตามราคาต้นทุนการผลิต   เช่นสร้อยเสือดาวก็เพชรเม็ดจี๊ดๆทั้งตัว  แต่ราคาปาเข้าไปหลายล้านปอนด์ พอจะซื้อเม็ดเท่าไข่เป็ดได้      ทั้งนี้เพราะมันบวกประวัติของเจ้าของเก่าไปด้วย สำหรับนักสะสมได้บุญทุ่มกันไม่อั้น   
     มันไม่เหมือนเพชรพลอยตามจิวเวลรี่ทั่วไป  ที่ลูกค้าคนไหนซื้อก็ตาม เจ้าของก็ขายในราคาเท่ากัน    แต่เพชรพวกนี้ มีราคาตามประวัติเจ้าของ   
     สมมุติว่ามีสร้อยเพชร 2 เส้นทำขึ้นมาเหมือนกันเปี๊ยบ แต่เส้นหนึ่งพระนางมารีอังตัวแน็ตต์ซื้อไปใช้  อีกเส้น ช่างทำเพชรแกเก็บไว้ให้เมียสวมเอง    ผ่านไป 300 ปี เอามาประมูลกัน  เส้นที่พระนางมารีสวมก็จะมีคนประมูลกันมากกว่า ได้ราคาแพงกว่า บางทีอาจจะราคาห่างกันไม่เห็นฝุ่น
     
    การซื้อเพชรพลอยเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งของคนดัง  เหมือนเศรษฐีซื้อหุ้น   ราคาไม่ตก มีแต่แพงขึ้น   ยิ่งถ้าเป็นสมบัติของคนดัง ลูกหลานนำมาประมูลยิ่งได้กำไรหนักเข้าไปอีก    เพราะนักสะสมรวยๆจะอยากได้เอาไว้อวดญาติเพื่อนฝูงว่าตัวเองได้ครอบครองเพชรพลอยที่เจ้าของเดิมเป็นคนดังในสังคมมาก่อน
    หรือเจ้าของเอง จะเอาออกขายในภายหลัง  ก็จะได้กำไรมากกว่าราคาที่ซื้อมา   เช่นเอลิซาเบธ เทเลอร์ก็ให้สามีซื้อเพชรสวยๆมากำนัลไม่อั้น แล้วขายในภายหลัง   ตัวเธอนั่นแหละได้เงินเป็นกอบเป็นกำค่ะ


กระทู้: ดยุคและดัชเชสแห่งวินด์เซอร์ : รักหลังนิราศบัลลังก์
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 31 พ.ค. 14, 15:51
เสือดาวตัวสำคัญถูกประมูลครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ในราคาเพียงแปดแสนหกหมื่นปอนด์โดยโมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์ ผู้ที่เกือบได้เป็นพ่อปู่ (พ่อสามี)ของเจ้าหญิงไดอานา

ท่านดยุกซื้อเสือดาวตัวนี้ให้วอลลิสเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๕ ราคาก็คงอยู่ในหลักแสนปอนด์นั่นแหละ  

เงินแค่นี้ท่านดยุกพอซื้อได้ ;D