เรือนไทย

General Category => หน้าต่างโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 10:51



กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 10:51

ว่าจะเขียนความเห็นเพิ่มเติมเรื่อง "สมุนไพร" ในกระทู้พี่นุชนา แต่พอเหลือบไปเห็นหัวข้อกระทุ้ขึ้นมา อ้าว... "ราชาศัพท์ที่แปลว่าถึงแก่กรรม" นี่นา
กลัวว่าผู้อ่านหลายท่านจะสับสน อ่านแล้วงงว่าตกลงกระทู้อะไรกันแน่
ผมเลยขออนุญาตเอามาโพสต์กระทู้ใหม่แล้วกันนะครับ (จะได้รวบรวมไว้ เรื่องสมุนไพรไว้ด้วยกันเลยทีเดียว)

เพราะเท่าที่รู้มา อย่างน้อยก็มีชาวเรือนไทยมากกว่าผมล่ะ ที่เรียนวิชาเลือก useful plant แถมได้คะแนนเกือบสูงสุดอีกตะหาก
ส่วนพี่อีกคนก็เรียนมาทางผลิตยาโดยเฉพาะ อิอิ เลยมาขอความอนุเคราะหืให้ช่วยแจมกระทู้หน่อยนะครับ



แล้วรายการกระจกหกด้าน อ๊ะ ม่ะช่ายยยยย

นายติบอก็ขออนุญาตนำเสนอสมุนไพรชนิดแรกครับ
"ตำแยแมว"

ตำแยแมวเป็นพืชในสกุล ตำแยแมว Acalypha ซึ่งเป็นต้นไม้ส้มลุก หรือไม้พุ่มขนาดย่อม
ส่วนในประเทศไทยจะพบเป็นพืชพื้นเมืองกี่ชนิดผมก็ไม่แน่ใจนัก
รู้แต่ว่าจะเห็นอีกชนิดหน้าตาคล้ายๆกันแต่ใบยาวกว่าขึ้นปะปนกันกับตำแยแมวอยู่บ่อยๆ

แต่จากในกระทู้ http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/J3506777/J3506777.html   ในพันทิป
ป้าจายแครายเล่าว่ามีอยู่ 10 ชนิดด้วยกัน คือ ตำแยดอยใบบาง   ขางปอยตัวเมีย  หางกระรอกแดง
ตำแยแมว  ตำแยซี่ฟันแหลม  ขางปอยผลหนาม   ขางปอยเอราวัณ ชาข่อย  และ โพเงิน

และเล่าต่อไปว่า หางกระรอกแดง และ โพเงิน   ที่เป็นไม้นำเข้า จะมีใบสีสวย  ดอกสวย  กว่าพี่น้องในกลุ่ม จึงนำเข้ามาเป็นไม้ประดับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 10:58
 ตำแยแมว เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาเข้าเครื่องยาไทยหลายตำรับ
ทั้งยาระบาย ยาทา ยาพอก ยานอนหลับ ฆ่าพยาธิ ขับเสมหะ และอีกหลายๆยา
(ผมเลยสงสัยว่าอาจจะเป็นที่มาของคำว่าต้นอเนกคุณ ตามที่คุยกันอยุ่ในกระทู้นู้นนน อิอิ)

ขอยกข้อมูลป้าใจจากกระทู้เดิมมาเป็นตัวอย่างนิดนห่อยนะครับ

การใช้ประโยชน์ ของตำแยแมว

ในประเทศอินเดีย  
ใช้รากนำมาตำ และแช่ในน้ำร้อน กินเป็นยาถ่าย  
ใบนำมาต้ม กินเป็นยาระบาย   ใช้ทาภายแก้โรคผิวหนัง
ใช้พอกเพื่อบรรเทาอาการปวด  เนื่องจากพิษของแมลงหรือ งูกัด
น้ำคั้นจากใบ  ใช้ขับเสมหะ  และแก้โรคหลอดลมอักเสบในเด็ก

ในประเทศอินโดนิเซีย
ใช้ใบพอกฝีและบริเวณที่มีอาการบวม

ในประเทศฟิลิปปินส์
ใช้น้ำคั้นจากรากและใบ  นำมาเคี่ยวให้เด็กกิน  ช่วยในการขับเสมหะ
และแก้โรคหลอดลมอักเสบ

ในประเทศอินเดีย
ทั้งต้นใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ  ยาขับเสมหะ
ยาทำให้อาเจียน  ยาบรรเทาอาการปวด  และยานอนหลับ




ส่วนใครจะเอาไปใช้เป็นยาออะไร ระวังๆหน่อยนะครับ ตำแยแมวมักขึ้นปนกันกับตำแยอีกชนิดหนึ่งครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 11:01
 นอกจากตำแยแมวแล้ว ยังมีตำแยที่เรียกเป็นชื่อสัตวือีกหลายต้นนะครับ
เช่นตำแยช้าง หรือ ตำแยไก่ แต่ผมไม่ทราบว่าทำไมถึงเรียกว่าตำแยช้าง ตำแยไก่
รู้แต่ที่เรียกต้นตำแยตัวผู้ว่าตำแยแมว เพราะรากของตำแยชนิดนี้เป็นที่โปรดปรานของแมวมาก
ถ้าเอามาล่อเมื่อไหร่ เจ้าเหมียวหงุดหงิดกน้าตาบอกบุญไม่รับที่จ้องจะตะปบใครต่อใครได้ทุกเมื่อก็กลายเป็นแมวขี้เล่นที่ลงไปเกลือกกลิ้งกับต้นตำแยแมวได้ง่ายๆ เหมือนในภาพครับ  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 11:02
 ไม่เชื่อเหรอครับ


นี่ไง พยานมาเป็นฝูงเลย  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 09 มี.ค. 06, 11:03
 มี 10 ชนิดตามที่ป้าเค้าพูดแหละครับ ตามลิ้งค์้นี้ครับ
http://www.nationaalherbarium.nl/thaieuph/ThAspecies/ThAcalypha.htm
ไม้ประดับเป็นพวกที่นำเข้ามาบางส่วน จึงไม่นับรวมว่าเป็นไม้ไทย
แต่ละต้นที่ป้าเค้าว่ามาชื่อวิทยาศาสตร์เป็นอะไรคงต้องถามเค้าอีกทีกระมัง เพราะดูท่าทางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ เหอๆ
จากรูปที่เอามาให้ดูน่าจะเป็น Acalypha indica นะครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 11:10
 เห็นในกระทู้ ผมพูดถึงหางกระรอกแดงเอาไว้ คิดว่าหลายคนอ่านแล้วคงนึกหน้าตาขึ้นมาได้ทันที
แต่อีกหลายคนอาจจะยังงงๆอยู่ เลยขออนุญาตเอารูปมาแปะให้ดูกันนิดนึงนะครับ  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 11:11

จะว่าไป นอกจากตำแยแมว ถ้าใครคุ้นเคยกับสมุนไพรสำหรับแมวดี
คงพอนึกถึงอีกต้นนึงออก คือ Catnip นะครับ

เดี๋ยวผมมาเล่าเรื่อง Catnip ต่อแล้วกัน


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 11:31
 Catnip ที่ผมพูดถึง
เป็นพืชล้มลุกในสกุลเดียวกับสะระแหน่นะครับ สูงซักเกือบๆเมตรนึงได้
ขอบใบหยักเป็นฟันแหลมๆ ออกดอกที่ยอดช่วงเดือน กรกฎาคมถึงกันยายนท สีตั้งแต่ชมพูอ่อนไปจนถึงแดง หรือม่วงก็มี

Catnip มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ที่ดมแล้วรู้ทันทีว่าเป็นอะไรเหมือนญาติๆเขา แต่บางคนก็บอกว่าเป็นกลิ่นที่คล้ายๆ Mint กับ Pennyroyal ปนๆกัน
แล้วไอ้เจ้ากลิ่นนี้แหละครับ ที่ทำให้แมวคลั่ง ?? เพราะแมวเกือบทุกตัวแทบจะเรียกได้ว่า "วิ่งเข้าใส่" Catnip เพราะกลิ่นของมัน


เอาภาพ Catnip มาให้ชมกันนะครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 11:43
 ในกลุ่มประเทศยุโรปหลายประเทศ นิยมใช้ Catnip เป็นเครื่องปรุงอาหารและปลูกเอาไว้ในสวนครัวทั่วๆไป
ว่ากันว่าก่อนที่ชาวยุโรปจะรู้จักชาจากประเทศจีน ชา Catnip ก็เคยเป็นที่นิยมมาก่อน

จนกระทั่งมีตำนานเล่าถึง Catnip ไว้มากมาย เช่น ถ้ากำ Catnip ไว้ในมือจนอุ่น แล้วไปจับมือใคร จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป
หรือเอา Catnip มาเป็นเครื่องปรุงยาเสน่ห์ในเวทย์มนต์สำหรับความงามเป็นต้น

นอกจากนั้นชาวยุโรปยังเชื่อกันว่ากลิ่นของพืชชนิดนี้ทำให้เกิดความกล้ามากขึ้นด้วย  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 11:43

แมวตัวนี้คลั่ง Catnip นะครับ ไม่ใช่ตำแยแมว


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 09 มี.ค. 06, 11:58

Catnip ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Nepeta cataria แต่รูปที่โชว์ เป็น Nepeta mussinii อะน้องติบอ
บางทีการเรียกชื่อสามัญก็มีความสับสนพอสมควร เนื่องจากความเข้าใจผิดคิดว่าพืชเป็นชนิดเดียวกัน
อย่างชื่อ Catmint ก็เอามาเรียก Nepeta cataria เหมือนกัน
รูปข้างบนเค้าให้ Catmint เป็น Nepeta mussinii เพื่อให้ต่างกับ catnip แต่การใช้ประโยชน์คงไม่ต่างกัน เพราะพืชใน genus เดียวกันก็มักมีคุณสมบัติคล้ายๆกันแหละครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 12:05


   หน้าแตกเลย รูปผิดครับ แหะๆ





เอาวิธีการใช้ Catnip มาฝากนะครับ



Western herbalism medicinal uses

 

Summary

Main uses Medical Colds, flu, and children's illnesses. In hot infusion this plant powerfully promotes sweating and is excellent for colds, flu, or the infectious diseases of childhood (eg measles). It soothes the nervous system and will help get a restless child off to sleep. It also helps to calm an upset stomach, countering colic, flatulence, and diarrhoea. In the USA it was used as an enema to cleanse and heal the lower bowel.

 

Constituents

Constituents Volatile oil (comprising carvacrol, nepetol, thymol, nepetalac-tone, citronellol, geraniol); tannins, bitter principle.   Acetic acid, biotin, buteric acid, choline, citral, dipentene, inositol, lifronella, limonene, manganese, nepetalic acid, volatile oils, PABA, phosphorus, sodium, sulfur, valeric acid, and vitamins A, B1, B2, B3, B5, B6, B9, and B12.



Actions

Anodyne, antispasmodic, aphrodisiac (for cats), aromatic, carminative, diaphoretic, nervine, emmenagogue, sedative (for humans), stimulant, tonic



Application

For colds, flu, fevers, and respiratory infections, especially where there is congestion in airways, sinuses, or middle ear. Suitable for nervous dyspepsia and a wide range of digestive complaints.  



Dosage

1-4 grams of dried herb or equivalent 3 times per day.  

A tbsp. steeped in a pint of water and used as an enema is soothing and quieting, especially in children, and very effective in convulsions, and for expelling worms in children. Leaves bruised and applied to hemorrhoids eases the pain.

Never boil catnip. Infusion: use 1 tsp. herb with 1 cup boiling water. Steep only; do not allow to boil. Take 1-2 cups a day.

Tincture: take 1/2 to 1 tsp. at a time.  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 09 มี.ค. 06, 12:09
 Nepeta mussinii ก็มีคนเรียกให้จำเพาะลงไปอีกว่าเป็น persian catmint, mauve catmint
เนื่องจากลักษณะของต้นในสกุลนี้ ดูผิวเผินก็คล้ายคลึงกันไปหมด เพราะฉะนั้นชื่อสามัญ Catnip หรือ Catmint อาจนำไปเรียกต้นในสกุล Nepeta ทั้งหมด ก็ไม่น่าจะผิดอะไร


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 12:15

มาเล่าต่ออีกนิดนึงดีกว่า ว่าเดี๋ยวนี้สาวกลัทธิคลั่งแมว นิยมแมว ทั้งหลาย ค่อนข้าง "เห่อ" Catnip พอสมควร
จนพ่อค้าหัวใสเอาไปผลิตเป็นของเล่นรุปร่างต่างๆนานา ให้น้องแมวเล่นกัน

เหมือนชิ้นที่ผมเอามานี่ 3 US$ แหนะ ถ้าผมซื้อให้น้องแมวที่บ้านเล่นคงจนไปอีกหลายวัน อิอิ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 09 มี.ค. 06, 12:48
 ไหนๆก็พูดถึงต้นไม้ที่เกี่ยวกับแมวแล้ว เย็นๆ ค่ำๆ เดี๋ยวจะมาโพสต์ หญ้าหนวดแมว, Cattail (ธูปฤาษี), ต้นนมแมว หรือถ้าน้องติบอว่างๆ จะเขียนไปพลางๆก่อนก็ได้นะครับ ไม่ว่ากัน อิอิ
ใครหาต้นไม้ที่เกี่ยวกับแมวได้อีกก็เชิญเลยนะครับ เรามาแชร์ความรู้กัน


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 09 มี.ค. 06, 13:49
 ขอบคุณมากครับพี่ ที่เข้ามาช่วยกันเล่าเรื่องสมุนไพร (หลังจากขอบคุณหลังไมค์ไปแระเนอะ อิอิ)


เดี๋ยวผมรับหน้าที่ผุ้ช่วยหาภาพดีกว่าครับ เพราะที่เรียนอยู่ตอนนี้ไมได้ใช้อะไรเกี่ยวกับยาซักเท่าไหร่
ความรู้ ปี 1 เทอม 1 ก็เลยคืน อ. ไปเรียบร้อยซะแล้วล่ะครับ จำอะไรสลับกันไปหมด

ขนาดที่เพิ่งจะสอบผมยังจำผิดจำถูกเลยครับ
วันก่อนยังเผลอเขียน periosteal hemorrhage เป็น peritoneal hemoffhage เลยครับ เอิ๊กๆ
จนออกจากห้องสอบไปแล้วแหละครับ ถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเขียนผิด อ่ะจึ๋ย ตายแหน่ๆ



อ่ะ แมวครับ แต่คงไม่ได้เมาตำแยแมว หรือ Catnip ที่ไหนนะครับ อิอิ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 09 มี.ค. 06, 16:47
 คุณนักวิทยเภสัชศาสตร์ครับ ทำไมสมัยนี้เราไม่เคยเห็น(ต้น)นมแมวเลยครับ(นอกจากในหนังสือ)
เห็นว่าจะมีสมุนไพรแปลก ๆ มาลงที่นี่ ก็เลยแวะมาดู เห็นว่าน่าสนใจดีครับ(ติดใจแมวเมาเบียร์ในกระทู้นี้ครับ)
ป.ล. ห้ามโฆษณาเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ ยกเว้นเวลาสี่ทุ่มถึงตีห้าครับ
น่าจะเซ็นเซอร์กระป๋องเบียร์ครับ เดี๋ยวเขาหาว่าโฆษณาแฝง กลัวเด็กเห็นแล้วมันปาก อยากกินบ้าง(ซึ่งไม่เกี่ยวกับกระทู้นี้ และคนดื่มเพราะการชักชวนครับ)    


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 09 มี.ค. 06, 23:06

สวัสดีครับ คุณศรีปิงเวียง
เรื่องที่ถามว่าทำไมเราไม่ค่อยเห็นต้นนมแมวปลูกกันซักเท่าไหร่นั้น คงเป็นเรื่องของค่านิยมตามยุคสมัยนั่นแหละครับ ว่าแล้วก็เล่าเรื่องต้นไม้ต้นนี้ประเดิมเป็นปฐมฤกษ์ซะเลย แต่เดิมนั้นต้นนมแมวเป็นไม้หอมที่นำมาใช้ประโยชน์ในการทำขนม (อาจเคยได้ยินกลิ่นนมแมวที่นำมาเติมในขนมไทยๆนะครับ สมัยนี้มีแต่ใช้กลิ่นสังเคราะห์ ไม่รู้ว่ายังมีใครนำดอกนี้มาอบขนมอยู่บ้าง) และใช้เป็นเครื่องหอม
นมแมวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rauwenhoffia siamensis อยู่ในวงศ์ ANNONACEAE  (อ่านว่า แอนโนนาซี่ ชื่อวงศ์ต้องเขียนตัวใหญ่ทั้งหมดครับ) เมื่อเห็นชื่อท้ายแล้ว (specific epithet) ก็ควรจะภูมิใจนะครับว่าเป็นต้นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในสยามประเทศ ต้นนมแมวนี้เป็นญาติใกล้ชิดกับ กระดังงา ลำดวน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นไม้ให้ดอกกลิ่นหอมด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้ยังใกล้ชิดกับน้อยหน่าซึ่งเป็นผลไม้ไทยๆอีกด้วย แม้น้อยหน่าจะไม่มีกลิ่นหอม แต่ใบของมันมีกลิ่นฉุน นำใบของมันมาขยี้หมักผมกำจัดเหาได้ดีนักเชียว
ลักษณะของนมแมวนั้นเป็นไม้เลื้อย เถา อาจเป็นพุ่ม(ในรูป) ดอกคล้ายลำดวน แต่จะไม่บานเป็นแฉกสวยเท่าดอกลำดวน สีของดอกเป็นเหลืองอมเขียว ออกดอกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกแข็ง
ถิ่นที่พบได้แก่ บริเวณภาคใต้ไปจนถึงมาเลเซีย และบริเวณภาคกลางบางส่วน
ข้อสังเกตของคุณศรีปิงเวียงว่าทำไมไม่ค่อยพบเห็นต้นนี้ปลูกกันทั่วไป อาจเพราะต้นมีการใช้ประโยชน์เฉพาะในการทำให้เกิดกลิ่นหอม ตัวต้นและดอกไม่สวยงามพอที่จะทำเป็นไม้ประดับ เมื่อเราไม่ทำขนมหรือเครื่องหอมเองแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะปลูก เมื่อเทียบกับไม้ดอกไม้ประดับอื่นๆ ความนิยมจึงค่อยๆหมดไป ถ้าอยากเจอต้นจริง อาจแวะมาคณะเภสัชฯ หรือสวนพฤษศาสตร์ในเชียงใหม่ก็น่าจะมีปลูกไว้ อย่างต้นข้างบนก็อยู่ที่เภสัชฯ จุฬาฯ ครับ
สำหรับประโยชน์ทางยา ตามการแพทย์แผนไทย ได้แก่ เนื้อไม้ แก้ไข้หวัด แก้ไข้เพื่อเสมหะ แก้ไข้ทับระดู ไข้กลับ ราก แก้ไข้หวัด แก้ไข้ มีเสมหะ แก้ไข้ทับระดู แก้ผอมแห้งเนื่องจากอยู่ไฟไม่ได้ ไม่ระบุส่วน แก้ไข้ทับระดู แก้ไข้หวัด แก้ไข้เหนือ แก้ไข้เรื้อรัง ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวกับการลดไข้ทั้งนั้น
การศีกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ยังไม่มีแพร่หลาย ทราบแต่ว่ามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ยับยั้งเอนไซม์ HIV-1 reverse transcriptase ซึ่งเป็นเป้าหมายในการรักษาเอดส์ (ทำการศึกษาในหลอดทดลองเท่านั้น) ยังไม่มีการศึกษาสารสำคัญภายในต้นนี้ คงอาศัยแต่การเทียบเคียงสารที่พบในวงศ์เดียวกันมาอ้างอิง


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 09 มี.ค. 06, 23:22

เมื่อมาโพสต์ในห้องเรือนไทยแล้วจะไม่เขียนเรื่องราวของนมแมวกับวรรณคดีก็เห็นจะไม่ได้

ถึงห้วยอีร้าและระย้าล้วนสายหยุด
กะมองกระเม็งนมแมวเป็นแถวไป
  ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง

                                                                                                              นิราศเมืองแกลง สุนทรภู่

    นางแย้มสาวหยุดพุทธชาด
พุดซ้อนซ่อนกลิ่นจำปี
  เบญจมาศหลายอย่างต่างสี
มะลุลีสุกรมนมแมว

                                                                                                                  บทละครเรื่องพระศรีเมือง

ดอกพะยอมผิยอมกู้
นมแมวฉิแมวมอง
นะและกูจะตรึกตรอง
ระสัททะดัสกรฯ

เฉลิมเกียรติกษัตรีคำฉันท์  พระนิพนธ์ในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 09 มี.ค. 06, 23:32

ขนมที่ยังใช้กลิ่นนมแมวมาปรุงแต่ง (แม้จะเป็นกลิ่นสังเคราะห์ก็ตามที) ได้แก่ ขนมปุยฝ้าย ขนมสาลี่
มีสูตรมาให้ลองทำส่วนผสม ดังนี้ครับ

ไข่เป็ด 5 ฟอง
แป้งเค้ก 2.5ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1.5ถ้วยตวง
กลิ่นนมแมว 1/2 ช้อนชา
น้ำ1/2ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
สีผสมอาหาร
กระดาษไข

วิธีทำ
1. ร่อนแป้ง 1-2 ครั้ง
2. ตีไข่ให้ฟูเล็กน้อย ใส่น้ำตาลทั้งหมด ตี 3 นาที ใส่น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ ตีต่อไป
3. ใส่น้ำมะนาวตีจนขึ้นเต็มที่ ใส่กลิ่นนมแมวตีให้เข้ากัน ตีต่อไปอีก 6 นาที
4. ใส่แป้งสลับกับน้ำที่เหลือ ใส่สีให้เป็นสีอ่อน ๆ ตะล่อมเบาๆ
5. ตัดกระดาษไขรองก้นพิมพ์ เทขนม 1/2ของพิมพ์ กระแทกพิมพ์กับพื้น 2-3 ครั้งไล่ฟองอากาศ
6. นึ่งไฟแรง 25 นาที ยกลง เอาออกจากพิมพ์ พักไว้บนตะแกรงให้เย็น

ข้อเสนอแนะ
1. อย่าตีไข่นานจะทำให้เนื้อขนมเหนียว
2. เมื่อผสมเสร็จควรนึ่งทันที
3. ใช้กระดาษฟางกรุรังถึงให้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหยดบนขนม

ลักษณะอาหารที่ได้
หน้าขนมเรียบ เนื้อละเอียด ฟูเบา ไม่เหนียว มีกลิ่นหอม


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 00:34
 เดี๋ยวนี้เจ้ากลิ่นนมแมวที่ใช้ในขนม
ร้อยละร้อยจุดห้า เป็นกลิ่นสังเคราะห์เสียแล้วล่ะครับ
ขอแค่กลิ่นเหมือนซะหน่อยก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ต้องใช้ของจริงหรือเหมือนเปี๊ยบจนต้องเอาของจริงมาใช้

ต้นนมแมวก็เลยตกหล่นสูญหายไปตามกาลเวลาจากบ้านทั้งหลาย ด้วยความที่ต้นก็ไม่ได้สวยงาม ถ้าร่มมากไปหรือแดดมากไปก็มักเลี้ยงไม่รอด

แต่ผมเชื่อว่าตามตลาดต้นไม้ใหญ่ๆ มีต้นนมแมวขายแน่นอนครับ ถ้าคุณศรีปิงเวียงสนใจลองไปเดินหาดูได้ครับ  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 00:42
 ขนมไทยอีกชนิดนึงที่ผมพอนึกออกว่าใช้กลิ่นนมแมว น่าจะเป็น "ขนมกลีบลำดวน" นะครับ
แต่พูดก็พูดเถอะ ผมคนนึงล่ะที่ไม่เคยชอบกลิ่นนมแมวในอาหารแบบเข้ากระดูกดำเลย
ดมตอนเป็นดอกไม้ก็หอมใช้ได้ แต่ทำไมเวลาเป็นขนมขึ้นมาต้องเลี่ยงไปกินอย่างอื่นก็ไม่ทราบ

ตั้งแต่ปุยฝ้าย หรือสาลี่ เห็นสีชมพูแล้วเดาว่าเป็นกลิ่นนมแมวก็ไม่กินจะดีกว่า
(บางทีเปิดออกมา... อ้าวกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ กลิ่นสละ ก็มี) - เดี๋ยวนี้คนทำขนมไทยมีพัฒนาการเยอะนะครับ อิอิ  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 00:52

หลายเดือนก่อน ผมไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วไปเจอขนมกลีบลำดวน "สมัยใหม่" เข้า เลยอยากเอามาเล่าให้ฟังครับ

แต่ก่อนจะบอกว่าสมัยใหม่ยังไง ขอเล่าก่อนว่าเวลาผสมแป้งทำขนมกลีบลำดวนก็คล้ายๆการผสมแป้งทำคุ้กกี้แหละครับ
ทำเสร็จแล้วก็ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆ เอามีดผ่าซะให้เป็น 4 แฉก แล้วดึงเอาแฉกนึงออกมาปั้นเป็นลูกกลมเล็กๆอีกรอบ
จากนั้นจับ 3 แฉกที่เหลือมาชนกัน แล้วเอาลูกกลมๆที่ปั้นไว้ใส่ลงไปตรงกลาง จะได้เหมือนดอกลำดวน
หรือใครจะเอาลูกกลมๆเล็กๆที่ว่ามาผ่าแล้วทำเป็น 3 แฉกอีกรอบก็ได้ (เหมือนในภาพที่เอามานี่แหละครับ)
เพราะดอกลำดวนของจริงมีกลีบ 2 ชั้น ชั้นละ 3 แฉก

แต่เจ้ากลีบลำดวนสมัยใหม่ที่ผมไปเห็นเข้าเนี่ยะ คนทำเขาผ่า 4แฉกแล้วจับเอาลูกกลมๆลูกเล็กๆยัดใส่ลงไปเลย
เลยกลายเป็นดอกลำดวนที่มี 4 แฉก (แต่เห็นแล้วผมก็ซื้ออยู่ดีแหละ รสชาติก็ใช้ได้ แถมไปชิมเขาอีก ไม่ซื้อพ่อแม่ที่บ้านอาจจะโดนอวยพรเอา)


พอซื้อเสร็จ เอามาฝากพี่ชายที่บ้าน แล้วก็ขอโทษว่าถ้ามันมี 4 แฉกก็อย่าว่านะพี่
พี่แกดันตอบผมมาว่า "ไม่เป็นไรหรอก ตำราเรียนชีวะวิทยา ม.ปลายเขาสอนว่าพืชใบเลี้ยงคู่มีกลีบดอกที่เลข 4 หรือ 5 หารลงตัว คนทำคงเรียนหนังสือมาแต่ไม่เคยเห็นดอกลำดวนจริงๆมั้ง"
ฟังแล้วเลยหยุดบ่นได้ครับ อิอิ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 00:54
ก่อนที่กระทู้สมุนไพรจะกลายเป็นกระทุ้ขนมไทยมากกว่านี้ ผมขอเอารูปดอกลำดวนมาให้ดูกันดีกว่า
แล้วค่อยมาคอยฟังพี่ pharmaceutical scientist เล่าเรื่องหญ้าหนวดแมว หรือ กกธูป ต่อไปนะครับ อิอิ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 01:22

เอาภาพ "ผล" นมแมวมาฝากกันครับ

พืชในวงศ์กระดังงาที่พี่ pharmaceutical scientist พูดถึง ผมเข้าใจว่าหลายสกุลติดผลแบบนี้นะครับ เช่น นมแมว (Rauwenhoffia) หรือ ลำดวน (Melodorum) เป็นต้นนะครับ - จำชื่อสกุลผิดหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจครับ แหะๆ

ขอย้อนกลับไปอ้างอิงจากหนังสือชีวะวิทยาเล่มเก่าเขรอะ ที่นิสิตยุคนี้อาจจะไม่ได้ใช้แล้ว
คือหนังสือ ของ อ.เชาว์ และ อ. พรรณี เล่มที่ 3 หน้า 278 ที่กล่าวถึงผลกลุ่ม (Aggregate Fruit) นะครับ

แล้วไหนๆก็ยกมาอ่านให้ฟัง ผมอ่านคร่าวๆพอแล้วกันครับ ว่า
ผลกลุ่ม หรือ Aggregate Fruit (มาจากภาษาละตินว่า ad + gregate นะครับ) คือผลที่เกิดจากการรวมกลุ่มของรังไข่หลายรังในดอกเดียว
ซึ่งแต่ละรังไข่จะกลายเป็นผลย่อยๆ 1 ผล แต่เนื่องจากอยู่อัดกันแน่น จึงทำให้ดูคล้ายผลเดียวได้ เช่น ผลน้อยหน่าครับ
แต่บางชนิดก็ไม่ได้อยู่อัดกันแน่นครับ เช่น ผลนมแมว  (ดูในภาพครับ)


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 01:31
 เสริมนิดนึงนะครับ ว่าผมเข้าใจว่าใบและเปลือกของพืชในวงศ์กระดังงา มักมีกลิ่นฉุน
เหมือนอย่างที่พี่ pharmaceutical scientist เล่าไว้ว่าใบน้อยหน่านำมาใช้กำจัดเหาได้นะครับ
หรือยอดมักมีขนอ่อนๆละเอียดสีเหลือง หรือน้ำตาลปกคลุมอยู่ เป็นต้น


ปล. เข้าใจว่ากลอน และกาพย์ในความเห็นที่ 18 ที่พี่pharmaceutical scientist โพสต์ไว้ เรียงลำดับจากวรรค "สดับ - รอง - รับ - ส่ง" แทนที่จะเป็น "สดับ - รับ - รอง - ส่ง" นะครับ

ปล.2 พยายามหารูป "ผลลำดวน" อยู่ครับ แต่หาไม่พบ ไม่ทราบว่าที่โต๊ะประวัติศาสตร์จะพอหาได้มั้ย ใครผ่านไปรบกวนช่วยหาให้ทีครับ เอิ๊กๆ

ปล.3 ลองเดากันดูมั้ยครับ ว่าภาพนี้ดอกอะไร อิอิ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 10 มี.ค. 06, 07:57
 ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงทั้งสองท่านครับ
ดอกในความเห็นที่ 25 น่าจะเป็นดอกกระดังงา
ป.ล. ผมชอบขนมกลีบลำดวนอย่างเก่ามากกว่าครับ แบบที่พี่ติบอเอามาให้ไม่เคยเห็นครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 10 มี.ค. 06, 09:25
 ต้องขออภัยเรื่องกาพย์กลอนที่เกิดข้อผิดพลาดในการเรียงลำดับด้วยครับ    ลืมไปว่าการพิมพ์ข้อความในกระทู้ไม่เหมือนกับในเวิร์ด พอ copy&paste มาเลยเลื่อนไปหมด
ขอแก้ไขใหม่ดังนี้

ถึงห้วยอีร้าและระย้าล้วนสายหยุด  ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
กะมองกระเม็งนมแมวเป็นแถวไป   ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง

นิราศเมืองแกลง สุนทรภู่

นางแย้มสาวหยุดพุทธชาด เบญจมาศหลายอย่างต่างสี
พุดซ้อนซ่อนกลิ่นจำปี       มะลุลีสุกรมนมแมว

บทละครเรื่องพระศรีเมือง

ดอกพะยอมผิยอมกู้ นะและกูจะตรึกตรอง
นมแมวฉิแมวมอง ระสัททะดัสกรฯ

เฉลิมเกียรติกษัตรีคำฉันท์ พระนิพนธ์ในพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 10 มี.ค. 06, 09:41
 หุหุ น้องศรีปิงเวียงคงไม่ค่อยได้เห็นดอกไม้ในวรรณคดีเป็นแน่ กระดังงาดอกเป็นอย่างนี้ครับ

ที่น้องติบอนำมาให้ดูนั้น คือดอกลำดวน ของจริงครับ

มาต่อเรื่องลักษณะของผลกันอีกสักนิด สำหรับผลที่เกิดจากรังไข่ของดอกหลายๆดอกในช่อเดียวกันมาฟิวส์รวมกัน เราเรียกว่า "ผลรวม" (multiple fruit) ได้แก่ ขนุน ผลของมัน 1 ผล เกิดจากช่อ 1 ช่อ ส่วนที่เรารับประทานกันคือรังไข่ ส่วนที่เป็นเส้นริ้วๆ (จำไม่ได้ว่าเรียกอะไร) คือเกสรตัวผู้ครับ

ค่ำๆ ดึก เดี๋ยวจะมาเล่าเรื่อง หญ้าหนวดแมว หญ้าที่ไม่ใช่หญ้า กันต่อครับ  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 14:23

มาเฉลยความเห็นเพิ่มเติมที่ 25 เพิ่มเติมจากที่พี่pharmaceutical scientistได้เฉลยไว้นะครับ
ว่าโดยทั่วไปแล้ว คนมักจะเข้าใจว่าพืชในวงศ์กระดังงา (Annonaceae) ต้องมีดอกสีเหลืองอ่อน ส้ม เขียว หรือขาว
แต่ที่จริงมีต้นไม้จากวงศ์นี้อีกหลายชนิดนะครับ ที่ให้ดอกสีชมพู แดง ม่วง หรือมากกว่า 1 สีก็มี

หรือบางชนิด พืชจะมีสีที่แตกต่างกันมากตามแต่ละต้นด้วย เช่น ดอกลำดวนที่ผมยกมาให้ดูนี่ล่ะครับ


ปล. เดี๋ยวผมอาจจะมาเล่าเรื่องพืชวงศ์กระดังงาต่อนะครับ อิอิ

ปล. 2 เอาที่สีแปลกๆมาให้ชมกันครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 14:29

.






ชนิดนี้เรียกว่ามหาพรหมครับ
ดอกสีขาว - ม่วง สวยมาก (เป็นหนึ่งในพืชในวงศ์นี้ที่ผมชอบที่สุดเลยล่ะครับ)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Mitrephora winitii นะครับ
สูงราวๆซัก 10 เมตรได้ กระจายตัวอยู่บนเทือกเขาหินปู 100 - 150 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 14:33
 ชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ เพิ่งค้นพบได้ไม่นานนัก
หน้าตาต่างจากดอกด้านบนเล้กน้อย
เรียกว่ามหาพรหมราชินี


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 10 มี.ค. 06, 14:34

ภาพหลุดนะครับ ลองเทียบกันดูใหม่อีกรอบครับผม


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ศนิ ที่ 10 มี.ค. 06, 17:12
ไม่มีภาพ สมุนไพรมาฝาก
เลยเอาภาพแมว มาฝากแทนค่ะ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: Vivi ที่ 11 มี.ค. 06, 11:38
 เรียน คุณ จขกท
1) ขอเรียนให้ทราบฮะ คุณหยิบรูปจากพันทิปมา 5-6 รูป  หากกระทู้คนละลักษณะ
แม้นหยิบรูปมามากอาจไม่เป็นไรฮะแต่หากกระทู้เรื่องเดียวกัน การหยิบรูปมามาก แม้คุณจะอ้างอิง ก็ผิดหลักการนะฮะ

2) โปรดช่วยกันรณรงค์ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง โดยเฉพาะชื่อกระทู้ ถ้าเป็นนักเรียนมัธยม พออภัยได้ฮะ
สมุนไพรครับ....จะน่าฟังกว่าคับ คับ คับ คับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 11 มี.ค. 06, 17:40
 เรียนคุณ Vivi ครับ

ขอบพระคุณครับ ที่ช่วยท้วงติงผมมา
ขออนุญาตชี้แจงทั้ง 2 ข้อนะครับ

ข้อแรก กระทู้ในพันทิปกระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผมอ่านอยู่เมื่อหลายเดือนที่แล้ว
เมื่อจะตั้งกระทู้นี้ผมได้กลับเข้าไปดูอีกครั้ง แต่ปรากฏว่ากระทู้ไม่ได้มีส่วนให้แสดงความคิดเห็นเสียแล้ว เนื่องจากกลายเป็นกระทู้ในคลังกระทู้เก่าไป (ลองอ่านดูในความเห็นที่ 33 ได้นะครับ)
การหยิบภาพมา หรือ quote ข้อมูลบางส่วนจากในกระทู้ เพื่อความสบายใจของผมเอง ผมจึงใช้วิธีเน้นสี และอ้างอิงแหล่งข้อมูลให้ได้มากที่สุด
แม้แต่การหยิบข้อมูลหรือภาพ จากเวบไซต์หรือเวบบอร์ดอื่นๆผมก็ทำเช่นเดียวกัน ถ้าเห็นว่าไม่ใช่เวบที่ลงภาพไว้ประกอบธุรกิจ
สำหรับกระทู้นี้เพราะเห็นว่าการจะไปเปิดกระทู้ขออนุญาต หรือ ขออนุญาตในกระทู้อื่นดูจะเป็นเรื่องไม่สมควรสำหรับผม
ถ้าคุณ Vivi เห็นสมควรอย่างไร ช่วยชี้แนะด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องชื่อกระทู้ ตอนตั้งผมไม่ได้ใส่ใจครับ
ผมถือว่าชื่อกระทู้ เป็นคำโปรยชนิดหนึ่ง อาจมีลักษณะทางภาษาที่ใช้เพื่อให้ดึงดูดใจผู้อ่านได้
ถ้าชื่อไม่ได้มีความหมายก้าวร้าว - เบี่ยงประเด็นจากข้อมูลของกระทู้ หรือ ใช้คำพูดไม่เหมาะสม ผมก็พออะลุ่มอล่วย
แต่ถ้าคุณเห็นว่าไม่สมควร เกณฑ์ในการตัดสินความเหมาะสมของเราคงไม่เท่ากันมั้งครับ

ลองอ่านดูในกระทู้นะครับ ถ้ามีคับๆๆๆๆ ติดกัน รบกวนคุณquoteข้อความมาแล้วกันนะครับ ผมจะได้ขออนุญาตให้ทางทีมวิชาการเข้ามาช่วยแก้ไข
เพราะแม้แต่คำหลายคำ ที่เด็กวัยรุ่นจำนวนมากพูดกันจนติดปาก ผมก็เห็นว่าไม่สมควรให้มีแทรกอยู่ในภาษากึ่งทางการในการตอบกระทู้ของผมแต่อย่างใด



ปล. รอหญ้าหนวดแมวอยู่นะครับ อิอิ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 11 มี.ค. 06, 19:02



มาโพสต์ตามสัญญาครับ เมื่อวานกลับดึกไปหน่อยเลยไม่มีเวลาค้นข้อมูล

หญ้าหนวดแมว (Cat's Whisker หรือ Java Tea) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Orthosiphon aristatus เป็นพืชในวงศ์ LABIATAE  เช่น เดียวกับ โหระพา กระเพรา แมงลัก ต้อยติ่ง หรือแม้แต่ตำแยแมวและ Catnip อย่างที่ได้กล่าวมาในความเห็นข้างต้น หญ้าหนวดแมวนี้แม้จะเรียกว่าหญ้าแต่ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพืชในตระกูลหญ้าเลย (พืชตระกูลหญ้าคือพืชที่อยู่ในวงศ์  GRAMINACEAE ได้แก่ ข้าว ไม้ไผ่ หญ้าพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว) เหตุที่เรียกว่าหญ้า คงเป็นเพราะคนไทยจะเรียกวัชพืชที่เกิดรวมๆกันในพงหญ้าป่าละเมาะว่า “หญ้า” กันทั้งหมด  โดยไม่สนใจถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดทางวิวัฒนาการ (evolution) หรือแม้แต่รูปพรรณสัณฐาน (morphology) หญ้าหนวดแมวก็เป็นหนึ่งในวัชพืชที่เกิดแซมตามพงหญ้าแถวป่าละเมาะเช่นกัน ส่วนที่มาของชื่อพืชก็ได้จากลักษณะของดอกที่มีเกสรยื่นออกมาเหมือนหนวดแมว ดังรูป (ที่มาของรูป www.kanchanapisek.or.th)


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 11 มี.ค. 06, 19:06

หญ้าหนวดแมวมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ มีโพแทสเซียมสูง ทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง ลดการตกตะกอนของกรดยูริกในปัสสาวะ มีการศึกษาในผู้ป่วยที่เป็นโรคนิ่วทางเดินปัสสาวะ โดยใช้กิ่งและใบแห้งขนาด 4 กรัม กับน้ำเดือด 750 ซี.ซี. ดื่มต่างน้ำตลอดวัน นาน 1-6 เดือน พบว่านิ่วหลุดหายเองร้อยละ 40 และคนไข้มีอาการปวดขัดลดลงร้อยละ 20 ของผู้ป่วยทั้งหมด  http://medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/orthosip.html
เนื่องจากมีฤทธิ์ที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ด้วยเหตุนี้จากวัชพืชธรรมดาจึงกลายมาเป็นพืชเศรษฐกิจตัวหนึ่งซึ่งทำเงินได้เช่นกัน มีการนำมาเตรียมเป็นยาสมุนไพรทั้งในรูปของแคปซูลหรือทำเป็นชาชงขายดาษดื่นทั่วไป อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นพืชสมุนไพรแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยในการบริโภคร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากมีโพแทสเซียมสูงจึงต้องระวังในผู้ป่วยโรคหัวใจ การรับประทานยาสมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบันควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรด้วยทุกครั้ง


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: Vivi ที่ 11 มี.ค. 06, 19:36
 ตอบ ค.ห. 35

1) ก็ได้แต่เตือนฮะ ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ การหยิบภาพและเรื่องมาประกอบเรื่องของตนเอง
ทั้งๆที่ขออนุญาต ก็ยังอาจผิดหลักวิชาการบ้างฮะ เช่น
-โควต มากเกินไป ลองคุณเขียนวิทยานิพนธ์แล้วอ้างอิงซอร์สใดซอร์สหนึ่งมากเป็นพิเศษ ก็เข้าข่าย "เกินงาม" ฮะ
-การขออนุญาต ไม่ได้ทำให้ สิ่งที่ไม่เหมาะสม กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ขึ้นมาฮะ เช่น ในท้องตลาด
มีคนเขียนเรื่องเที่ยวเขมรไว้แล้ว หากคุณจะเขียนเรื่องเที่ยวเขมรอีก ก็ไม่ควรอ้างอิงหรือหยิบภาพของเขามาใช้หลายภาพ
แต่ถ้าคุณเอาภาพเขมรไปใช้ในหนังสืออื่นที่มิใช่ท่องเขมร จะโอเคมากกว่าฮะ

ก็ไม่ได้ติเตียนอะไร เพียงแต่นักศึกษาบางครั้งไม่ทราบฮะ

2) คิดว่าชื่อกระทู้ควรจะใช้ภาษาให้เรียบร้อยเป็นพิเศษฮะ แล้วคำบรรยายต่อจากนั้นจะใช้ภาษาอย่างไร ถึงผิดจะไม่เด่นชัดเท่า
การดึงดูดความสนใจโดยจงใจใช้ภาษาที่ผิดสำหรับหลายๆคน ไม่น่านิยมฮะ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 11 มี.ค. 06, 21:52

ขออนุญาตนำภาพมาเสริมข้อมูลของพี่ pharmaceutical scientist นะครับ
เพราะเท่าที่จำได้หญ้าหนวดแมวมี 2 สี คือขาวและม่วง เหมือนที่กะเพรามีทั้งขาวและแดงไงครับ
ความเห็นเพิ่มเติมนี้ผมก้เลยขออนุญาตนำภาพหญ้าหนวดแมวสีม่วงมาลงไว้แล้วกันนะครับ




สำหรับคุณVivi นะครับ
อย่างที่บอกคุณViviไปแล้ว เกณฑ์ในการตัดสินความไม่เหมาะสมของเราสองคนคงไม่ตรงกันหลายประการมั้งครับ

เพราะถ้าเป็นผม ถึงจะทราบมาอย่างแน่ชัด ว่ามีคนตัดเอาคำพูดของผมส่วนไหนไปเขียนอ้างอิงลงในรายงาน หรือวิทยานิพนธ์ของตัวเองเพื่อกล่าวอ้างสนับสนุนงานเขียนของเขา
ผมจะภูมิใจ ว่างานเขียนของผมเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมได้
และที่กล้าพูด ก็เพราะเคยพบกับตัวเองมาแล้ว ทั้งในลักษณะของการอ้างอิง การลอกเลียน หรือแม้กระทั่งนำไปเสนอว่ามีจุดบกพร่องในส่วนไหน ทั้งภาพและข้อเขียน

อย่างไรก็ตาม ขอบคุณนะครับ ที่หวังดีสมัครสมาชิกเรือนไทย เพื่อกรุณาเข้ามาเตือนผมว่าถ้าผมยังอ้างอิงในลักษณะนี้ต่อไป ผมอาจถึงขั้นชุบมือเปิบเข้าสักวัน


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: Vivi ที่ 12 มี.ค. 06, 11:52
 ตอบ ค.ห. 39
"อย่างที่บอกคุณViviไปแล้ว เกณฑ์ในการตัดสินความไม่เหมาะสมของเราสองคนคงไม่ตรงกันหลายประการมั้งครับ"

-ตรงนี้คิดว่าคุณ จขกท คงพูดผิดฮะ การ "หยิบยืม" นั้นมีกฎเกณฑ์สากลเป็นที่ยอมรับทั่วไปฮะ ที่ติติงขึ้นมา
เพราะคิดว่านักศึกษาบางครั้งไม่ทราบ หรือมองข้ามไปฮะ มันไม่ใช่กฎเกณฑ์ "ของท่าน" "ของฉัน" หรือ "ของเขา" ฮะ

---------------

"เพราะถ้าเป็นผม ถึงจะทราบมาอย่างแน่ชัด ว่ามีคนตัดเอาคำพูดของผมส่วนไหนไปเขียนอ้างอิงลงในรายงาน
หรือวิทยานิพนธ์ของตัวเองเพื่อกล่าวอ้างสนับสนุนงานเขียนของเขา ผมจะภูมิใจ ว่างานเขียนของผมเป็นที่ยอมรับ
ของคนในสังคมได้"

อย่าตะแบงจนผิดประเด็นสิฮะ

1) การ "ขอยืม" มีขอบเขตจำกัดฮะ ถ้า "สมน้ำสมเนื้อ" ไม่มีใครว่าได้ฮะ

2) ที่ จขกท โควตมา ยอมรับได้ในบางส่วนฮะ ไม่ทุกส่วนเพราะคุณไม่ได้บอกว่าเขาโควตไปแค่ไหน

3) ตอบคำถามนี้สิฮะ หากคุณเรียนวิชา "การเขียนรายงาน" หรือวิชาที่ต้องทำสารนิพนธ์ คุณใช้แหล่งอ้างอิงเพียง 3 แหล่ง
รับรองว่าอาจารย์ที่ปรึกษาจะไม่ปล่อยให้คุณผ่านขั้นตอน "ใช้แหล่งอ้างอิงที่เหมาะสม" แต่จะ "กัก" ให้คุณ
หาแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติมฮะ

คุณเขียนกะทู้เหมือนพันทิป ก็เพียงแต่หารูปเอง หรือเท็กซ์เอง ก็หมดเรื่องฮะ ถ้าต้อง "ขอยืม" ก็ดูให้สมน้ำสมเนื้อ เท่านี้เองฮะ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 16:15

ต้องขอบคุณคุณVivi นะครับ อุตส่าห์เข้ามาตอบกระทู้ผมถึง 3 ครั้งเชียว (และมั่นใจว่าหลังจากที่ผมโพสต์ โพสต์นี้ไปแล้ว คงมีครั้งต่อๆไปอีก)

อย่างที่บอกล่ะครับ "เกณฑ์ในการตัดสินความเหมาะสมของเราคงต่างกันมากจริงๆ"
เพราะความหมายของผมทั้งในความเห็นที่ 39 และความเห็นนี้ไม่ได้หมายความถึงแค่เรื่องการขอหยิบขอยืม
แต่หมายรวมถึงวิธีการโต้ตอบ หรือคำพูดต่างๆในกระทู้ด้วย เช่นที่เราคุยกันไปแล้วบ้างผ่านความเห็นเพิ่มเติมที่ 35 และ 38 ตามลำดับนะครับ

ส่วนเรื่องอื่น ผมไม่คิดว่าจะต้องอธิบายอะไร เพราะสำหรับกระทู้นี้ในเนื้อกระทู้เอง ที่ผมหยิบเรื่องตำแยแมวขึ้นมาเป็นเรื่องแรก ก็บอกอยู่เต็มๆ ว่านำกระทู้ไหนมาเล่าใหม่
หรือบางกระทู้ที่ผมตั้ง ผมก็อ้างอิงไว้แล้วว่าที่เปิดเพราะเข้าฟังบรรยายที่ไหน ชมนิทรรศการอะไร ทำไมถึงมีแรงบันดาลใจมาเปิดกระทู้
กระทู้นี้แต่แรกอย่างในเนื้อกระทู้ก็ไม่ได้ตั้งใจเปิด เพียงแต่คิดว่าถ้าจะนำกระทู้นี้ไปเล่าใหม่ในกระทู้อื่นที่ไม่ได้มีหัวเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพร
ก็จะทำให้เนื้อหากระทู้ถูกเบี่ยงประเด็นไปได้ เลยนำมาเปิดไว้เป็นกระทู้ใหม่
และได้พี่ pharmrceutical scientist ซึ่งมีความรู้ในด้านสมุนไพรหลายชนิดมากกว่าผมเข้ามาช่วยเป็นธุระ เล่าเรื่องราวต่างๆ และแก้ไขข้อมูลที่ผมพิมพ์ผิดพลาดไปด้วย (ต้องขอบคุณพี่ที่น่ารักไว้ด้วยนะครับ อิอิ)
ถ้าคุณจะคิดว่าผมนำเอาข้อความของผู้อื่นมาทำเป็นสมบัติส่วนตัว ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของคุณในการ "คิด" นะครับ


เปลี่ยนมาคุยกันเรื่องอื่นดีกว่าครับ
เดี๋ยวกระทู้สมุนไพรจะกลายเป็นกระทู้ที่ผมคุยกับ คุณVivi ไปเปล่าๆ

วันนี้ผมมาเล่าเรื่องพืชในวงศ์กระดังงาแล้วกันครับ (วงศ์โปรดผมอ่ะ อิอิ)


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 16:43
 เล่าง่ายๆละกันนะครับ (แต่ถ้ามีศัพท์ยากๆ ไม่เข้าใจก็ถามกันนะครับ)

วงศ์กระดังงา หรือจะวงศ์น้อยหน่าก็ได้ (แต่คนไทยส่วนใหญ่เห็นติดปากว่าวงศ์กระดังงา)

เรามาเริ่มจากลักษณะคร่าวๆประจำวงศ์ก่อนดีกว่าครับ


พืชในวงศ์กระดังงาเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ในอันดับ Ranales ซึ่งมีอยู่หลายวงศ์
เช่น วงศ์จำปี-จำปา(Magnoliaceae) วงศ์อบเชย(Lauraceae) วงศ์จันทน์ป่า จันทน์แดง(Myristicaceae) เป็นต้น

ดังนั้น ลักาณะร่วใของอันดับ จึงพอจะเห็นได้อยู่บ้างนะครับ

เช่น ดอกส่วนมากเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีวงกลีบดอกจำนวนมาก กลีบดอกและกลีบเลี้ยงแยกออกจากกันไม่ชัดเจน และมักแยกออกจากกัน มีจำนวนน้อยที่เชื่อมติดกันเป็นอันเดียว

เช่นในภาพ เป็นดอก Magnolia จากวงศ์ Magnoliaceae แสดงให้เห็นกลีบดอกซึ่งซ้อนกันหลายวง และแยกออกจากกลีบเลี้ยงได้ยาก


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 16:55
 โคลสอัพอีกซักภาพ ว่ากลีบดอกและกลีบเลี้ยงของพืชในอันดับนี้มักแยกออกจากกันได้ยากครับ
เพราะอย่างที่เห็น นอกจากใบประดับที่มีขนๆที่โคนดอกแล้ว ส่วนที่เกิดจากกลีบดอกและกลีบเลี้ยงรวมกันก็แทงออกจากใบประดับมาประกอบเป็นดอกเลย
มีศัพท์วิทยาศาสตร์เรียกรวมๆกันว่า tepal หรือภาษาไทยใช้คำว่า "กลีบรวม" นะครับ หมายความว่ากลีบดอกและกลีบเลี้ยงแยกออกจากกันได้ไม่ชัดเจน


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 16:58

หลุดนะครับ เอามาลงใหม่ครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:14
 นักวิชาการยังแบ่งพืชในอันดับ Ranales บางชนิดเอาไว้ด้วยกันอีก เช่น พืชในวงศ์จำปี-จำปา และพืชในวงศืกระดังงา หรือวงศ์น้อยหน่า
เนื่องจากเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมียจำนวนมาก และเกสรแต่ละอันแยกออกจากกันแต่ติดบนฐานหรือแกน (Torus) เดียวกัน


เช่นในภาพ เป็นดอกของพืชในวงศ์ Annonaceae ที่ผ่าเพื่อให้เห็นเกสรทั้ง 2 เพศ นะครับ
ส่วนสีเหลืองเป็นเกสรตัวเมีย และส่วนสีขาวเป็นเกสรตัวผู้ ซึ่งติดอยู่บนฐานเดียวกันครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:18
 ส่วนภาพด้านบน เป็นดอกของพืชในวงศ์ Magnoliaceae ที่ผ่าออกเพื่อแสดงให้เห็นส่วนต่างๆของดอก
ซึ่งผมนำมาเปรียบเทียบกันเพื่อให้เห็นความคล้ายคลึงกันของทั้ง 2 วงศ์ นะครับ  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:23
 และเนื่องมาจากมีเกสรตัวเมียลักษณะดังกล่าว จึงทำให้ผลของพืชในสกุลนี้เป็นผลกลุ่มเหมือนที่ได้เล่าไปแล้วในความเห็นที่ 24 นะครับ  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:24

เอาภาพผลกลุ่มมาให้ชมกันอีกนิดหน่อยแล้วกันนะครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:28

สุกแล้วอาจจะแดงๆ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:29

หรือเป็นผลที่รวมกันแน่นจนเป็นลูกแบบน้อยหน่าก็ได้


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:37

หรือผลแตก เมื่อสุกก็ได้เช่นกัน


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:50
 นอกจากลักษณะของดอกแล้ว
พืชวงศ์นี้ยังมีลักษณะพิเศษอื่นๆอีก เช่น ใต้เปลือก(ไม่ใช่เนื้อไม้นะครับ) มีสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 12 มี.ค. 06, 17:51

ยอดอ่อนของหลายชนิดมีขนปกคลุม ใบและเปลือกมีกลิ่นฉุน

เป็นต้นนะครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: Karine!! ที่ 12 มี.ค. 06, 23:46
 .


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ศรีปิงเวียง ที่ 14 มี.ค. 06, 15:17
   หลังจากไม่ได้แวะมานาน เพราะอายที่โพสต์คำตอบผิด  
   ดูแล้วดอกกระดังงาเหลืองคล้ายสายหยุดครับ
ผมขอถามครับว่า ส่วนของต้นกระดังงาที่เอามาลนไฟนี้ คือส่วนไหนครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 14 มี.ค. 06, 17:05
มาอ่านเฉยๆ นานอยู่ เพราะผมไม่มีความรู้พอจะร่วมแจมได้ กะว่าจะแจมเรื่องวรรคสดับ รับ รอง ส่งก็ปรากฏว่ามีผู้ติงและแก้ไขกันไปแล้วนะครับ

มาตอบตรงที่ผมพอตอบได้ดีกว่า ตอบคุณศรีปิงเวียง เขาเอาดอกกระดังงามาลนไฟครับ ว่ากันว่าจะยิ่งหอมแรงจัดขึ้น

"กระดังงา" คำนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นภาษาชวาหรือภาษาอินโดนีเซีย ไม่ใช่คำไทยแต่เดิม เพราะที่เมืองชวาเขาก็เรียกกระดังงาว่ากระดังงาเหมือนกัน และสำเนียงฟังแล้วออกไปทางนั้น


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 14 มี.ค. 06, 17:08
เทียบ นังงา - ขนุน (ไทยเรายังมีขนุนชนิดหนึ่งเรียกว่า "ขนุนหนัง")
จำปาด๊ะ - ตรงกันเลยกับ จำปาดะ ของไทย
บุงงา - ดอกไม้ ไทยเรียก บุหงา และเรายอมรับว่าเราได้ศัพท์นี้มาจากชวา


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 มี.ค. 06, 22:32
 คุณศรีปิงเวียง อย่าอายเลยครับ
ผมสิน่าอายกว่าเยอะครับ ทั้งโพสต์ภาพผิด หรืออ้างอิงจนโดนตำหนิเอาด้วย ยังมาโพสต์ต่อเลยครับ แหะๆ

มาเล่าเรื่องดอกกระดังงาดีกว่ามะ (แต่วันนี้เวลาผมน้อยอ่ะ อาจจะขออนุญาตให้พี่สุดหล่อมาเล่าต่อนะครับ หิหิ)

ดอกกระดังงาก็แหงแหละ เป็นพรรณไม้ในวงศ์กระดังงาชัวร์ หน้าตาก็เหมือนในความเห็นที่พี่pharmaceutical scientist เอามาให้ชมกันนะครับ
แต่อาจจะเขียวกว่านั้นบ้าง เหลืองๆเหมือนในภาพบ้าง ขึ้นกับอายุของดอกไม้
อย่างในภาพที่ผมเอามาให้ชมจะมีทั้งดอกออ่นและแก่อยู่ด้วยกันนะครับ

จาก ctm.mayotte.free.fr/ flore/pages/ylangylang.htm ครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 มี.ค. 06, 22:42
 ภาษาอังกฤษเรียกชื่อสามัญดอกไม้ชนิดนี้ว่า Ylang-Ylang แต่เรียกต้นกระดังงาว่า cananga tree (เหมือนที่พี่นิลกังขาบอกไว้ครับ)
ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ที่แสนจำยากก็คือ Cananga  odorata Hook f. (จะเห็นว่าชือสกุลของพืชชนิดนี้ก็ยังเป็นคำทับศัพท์จากภาษาเดิมครับ)

แต่ของขวัญล้ำค่าจากดอกไม้ชนิดนี้คงหนีไม่พ้นน้ำมันหอมระเหยหยดเล็กๆ ที่ต้องเฝ้าบรรจงกลั่นออกมาจากดอกไม้นับพันๆดอก
นำมาบรรจุขายในขวดเล็กๆ สำหรับผู้ฝักใฝ่ในการรักษาแบบสุคนธบำบัดทั้งหลาย ที่ชื่นชอบกลิ่นแบบเอเชียจ๋า  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 มี.ค. 06, 22:45
 หรือนำมาผสมในเครื่องสำอางคค์สารพัดชนิด

เช่น

สบู่
ครีมอาบน้ำ
โลชั่นประทินผิว
หรือแม้แต่น้ำหอมราคาแพงแสนแพง ที่คุณผู้หญิงทั้งหลายในประเทศผู้ผลิตหัวน้ำมันหอมต้องหอบหิ้วเงินไปซื้อถึงแดนไกล  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 มี.ค. 06, 22:52
 สรรพคุณของน้ำมันหอมจากกระดังงาเนี่ยะ เขาว่า
ช่วยผ่อนคลาย ลดความเครียด ความกังวล ความกลัว หรืออาการเกร็งได้ดี
และที่สำคัญ mild libido enhancing qualities - รบกวนคุณหมอมาแปลดีกว่า (ภาษาอังกฤษผมไม่แตกฉานอ่ะ ฮิ๊ววววววว)  



ภาพจาก www.life.uiuc.edu/ ib/363/perfumeslide.html  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: ติบอ ที่ 14 มี.ค. 06, 22:58
 เพราะฉะนั้น จะเอามาผสมในเทียนหอมสร้างบรรยากาศสองต่อสองให้โรแมนติคยิ่งขึ้นก็ดีนี่นา อิอิ



ปล. มีนัดครั้งหน้า อย่าลืมเทียนหอมกระดังงานะครับ (ถ้าแฟนคุณไม่รำคาญกลิ่นดอกไม้ซะก่อนล่ะ ฮี่ฮี่)  


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: นิลกังขา ที่ 15 มี.ค. 06, 15:06
 กระดังงา พจนานุกรมราชบัณฑิตยฯ ให้สะกดมี ร เรือด้วย เป็น "กระ" ดังงา อันนี้ในภาษาไทย

แต่ภาษามาเลย์เรียก kadanga หรือ cadanga (อันนี้พจนานุกรมราชบัณฑิตยฯ บอกไว้เอง) ส่วนภาษาอินโดฯหรือ บาฮาซา อินโดนีเซีย อย่างน้อยในพจนานุกรมอินโดนิเซีย-ไทยของผม เรียก kedanga ตัว e นั้น ในภาษามาเลย์อินโดบางทีออกเสียงเหมือนสระ อะ เสียงสั้นครึ่งเสียง เช่น Melayu ตรงกับที่ไทยเรียกว่า มลายู

เพราะฉะนั้นที่จริงมันก็น่าจะเป็น กะดังงา ในภาษาไทย แต่ไทยเราเรียกเติม ร. ให้มานานแล้วจนยอมรับกันในภาษาไทยแล้วว่า ดอกไม้นี้เรียก "กระ" ดังงา (คำว่า "กะดังงา" พจนานุกรมราชบัณฑิตยฯ ไม่ได้เก็บไว้ ถือได้ว่าไม่รับรองวิธีสะกดแบบนี้)

อนึ่ง ถ้ามาเลย์บางครั้งเรียกดอกไม้นี้ว่า cadanga จริง ผมก็ยังสงสัยว่าออกเสียงยังไง เพราะเท่าที่ผมทราบ c ในภาษาอินโดมาเลย์มักจะออกเสียงเป็น จ หรือ ช ไม่เป็น ก ครับ เช่น Aceh อะเจห์ เพราะฉะนั้น cadanga จะเป็น จะดังงา หรือ? หรือ ชะดังงา? ไม่ทราบว่ามีบางถิ่นในมาเลเซียหรืออินโดนีเซียออกเสียงเช่นนั้นหรือไม่

สงสัยไปเรื่อยเปื่อยยังงั้นแหละครับ


กระทู้: สมุนไพรเด้อคับ
เริ่มกระทู้โดย: pharmaceutical scientist ที่ 16 มี.ค. 06, 00:26

ไหนๆก็พูดถึงวงศ์กระดังงา (Annonaceae) แล้ว ก็ขอต่ออีกสักหน่อย แต่เอตอนนี้เนื้อหาชักไม่ตรงตามชื่อกระทู้สักเท่าไหร่นะ เพราะพูดกันแต่เรื่องทางพฤษศาสตร์ (botany) มากกว่าในแง่ของการใช้เป็นยาสมุนไพร (herbal medicine) เอาหล่ะมาเข้าเรื่องกันดีกว่า

ประมาณปี 2547 มีเรื่องน่ายินดีว่าไทยเราได้ค้นพบพืชสกุล (genus) ใหม่ในวงศ์กระดังงา โดยฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร (ฝกก.)
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เรื่องนี้แทบจะไม่มีใครทราบกันมากนัก นอกจากเฉพาะในหมู่นักพฤกษศาสตร์
พืชชนิดนี้เรียกว่า "ต้นอนุพรหม"
มีชื่อวิทยาศาตร์คือ Craibella phuyensis โดยชื่อท้ายตั้งตามสถานที่ค้นพบคือ บ้านพุเย อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ลักษณะเด่นของต้นนี้คือ ต้นมีขนาดเล็ก มีดอกไม่สมบูรณ์เพศ คือดอกตัวผู้แยกกับดอกตัวเมีย แต่ยังอยู่ในต้นเดียวกัน นอกจากนี้ผลของมันยังเป็นผลเดี่ยว ซึ่งไม่ค่อยพบลักษณะของผลแบบนี้ได้ในพืชวงศ์เดียวกันมากนัก
ต้นอนุพรหมนี้ยังเป็นพืชชนิดเดียวในสกุลนี้ (unispecific) และยังเป็นพืชที่มีการกระจายในถิ่นเดียว (endemic) คือที่ บ้านพุเย อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ข่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทยของเรา ที่ยังสามารถพบสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ ซึ่งการค้นพบพืชชนิดใหม่ อาจเป็นหนทางหนึ่งในการได้มาซึ่งยาใหม่เพื่อนำมาต่อสู้โรคร้ายคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายอยู่ในปัจจุบัน หากเราเห็นความสำคัญและตระหนักในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพเอาไว้ได้ นั่นก็เท่ากับเราก็รักษาชีวิตของเราไว้ได้เช่นกัน ดังสุภาษิตที่ว่า "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า"

ใครอยากอ่านเพิ่มเติมสำหรับ ต้นอนุพรหม ก็ตามลิ้งค์นี้เลยครับ
http://tndc.tistr.or.th/mpd/files/4704/4704-4.pdf