เรือนไทย

พรุ่งนี้ วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2019  เป็นวันขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐอเมริกา
ส่วนแคนาดาฉลองกันไปก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2019
ทั้งนี้เพราะตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา   วันThanksgiving ในอเมริกานับเอาวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่ 4  ของเดือนพฤศจิกายนเป็นหลัก
ส่วนในแคนาดา  นับวันจันทร์ในสัปดาห์ที่ 2  ของเดือนตุลาคมเป็นหลัก
ยุโรป ไม่มีการฉลองวันนี้ค่ะ

ประวัติของวันขอบคุณพระเจ้าย้อนกลับไปได้ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 หรือเมื่อเกือบ 400 ปีมาแล้ว

ยุคนั้น มีกลุ่มผู่้อพยพจากอังกฤษที่เรียกตัวเองว่า pilgrims (ผู้จารึกแสวงบุญ)  นับถือคริสตศาสนา นิกาย Puritanism เดินทางจากอังกฤษ โดยเรือ Mayflower ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติตมาตั้งหลักแหล่งใหม่ในอเมริกา  ในบริเวณที่เป็นเมือง Plymouth ในรัฐ Massachusetts  ในปัจจุบัน

การเดินทางสมัยนั้นยากลำบากสาหัส    มาตั้งถิ่นฐานในดินแดนใหม่ก็ยากลำบากไม่น้อยไปกว่ากัน  แต่พวกนี้ก็ฝ่าฟันกันมาได้  ทำไร่ไถนาปลูกพืชผลเลี้ยงชีพ จนครบ 1 ปีในฤดูใบไม้ร่วงปีรุ่งขึ้น คศ. 1621 หรือ พศ. 2164

พวกนี้เป็นพวกที่ศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า   เมื่อรอดชีวิตจากความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บและอากาศหนาวจัดมาได้    สามารถปลูกพืชผลเก็บเกี่ยวอาหารพอจะตุนเป็นเสบียงไปตลอดแล้ว พวกพิลกริมส์เลยจัดให้มีงานเลี้ยงฉลองขอบคุณพระเจ้า
พิลกริมส์พบชนพื้นเมืองตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อน  แต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกัน    ชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองกลับมีมิตรจิตมิตรใจ ช่วยสอนพิลกริมส์ ให้เพาะปลูกข้าวโพดและพืชผลพื้นเมืองอื่นๆเป็นอาหารประทังชีวิต  ในวันขอบพระคุณพระเจ้า  อินเดียนแดงจึงได้รับเชิญมาเป็นแขกร่วมงานด้วย
งานเลี้ยงครั้งนั้น นอกจากพืชผลที่ปลูกได้   ก็ยังมีไก่งวงป่า เป็ด ห่าน ปลาค้อดและกวาง    ส่วนหนึ่งอินเดียนแดงก็นำมาให้
ไก่งวงจึงกลายมาเป็นอาหารสัญลักษณ์ของวันขอบคุณพระเจ้า

อาหารเชิดหน้าชูตาจานเด็ดของวันขอบคุณพระเจ้าคือไก่งวงอบ   จนกล่าวกันว่าถ้าวันขอบคุณพระเจ้าไม่มีไก่งวง ก็เหมือนไม่ได้ฉลองกัน

ไก่งวงที่กินกันในวันขอบคุณพระเจ้าครั้งแรก  เป็นไก่งวงป่าซึ่งมีอยู่ชุกชุมในรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา รวมทั้งในแมสสาชูเส็ตต์ที่พวกพิลกริมส์มาตั้งถิ่นฐาน
ไก่งวงป่าเป็นสัตว์เนื้ออร่อย ที่หาได้ง่ายในดินแดนใหม่ แต่หาไม่ได้ในดินแดนเก่าที่จากมา
คงเป็นอาหารชั้นเลิศของพวกพิลกริม   จึงยึดถือสืบกันต่อมาจนทุกวันนี้

ขอแถมหน่อยเรื่องไก่งวง นะคะ
ไก่งวงเป็นอาหารชั้นเลิศของคนอังกฤษมาตั้งแต่ก่อนหน้าพวกพิลกริมอพยพมาอเมริกา      ใช้ในการเลี้ยงฉลองกันในเทศกาลต่างๆเช่นคริสต์มาส     เป็นของแพง ที่คนมีเงินเท่านั้นจะซื้อหามาได้    ส่วนคนจนก็เลือกสัตว์ปีกที่ราคาถูกกว่านี้ คือห่านอบในวันคริสต์มาส

แต่ในยุคที่อพยพมาอเมริกาใหม่ๆ   พวกพิลกริมไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อไก่งวงอย่างสมัยอยู่ในบ้านเกิด   เพราะไก่งวงเป็นสัตว์ป่า  ล่าเอามาเป็นอาหารได้เช่นเดียวกับกวาง และหมี     เมื่อจัดเลี้ยงในวันขอบคุณพระเจ้า  ไก่งวงจึงขึ้นโต๊ะ แล้วก็ขึ้นมาจนปัจจุบันนี้

อาหารอย่างอื่นในวันขอบคุณพระเจ้ายุคแรก นอกจากไก่งวง ก็มีไส้ที่ยัดไก่งวง โดยมากแม่บ้านก็จะหยิบฉวยจากของแห้งที่มีในครัวเช่นเศษขนมปัง   ผสมกับพืชสวนครัวที่ปลูกเอาไว้ในสวนหลังบ้าน  เช่นหัวหอม และ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง  (celery) ผสมสมุนไพรที่ขึ้นเอง  ที่นิยมมากคือใบเสจ  ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย   ทั้งหมดนี้บดรวมกันยัดไส้ในตัวไก่งวง อบไปพร้อมกับไก่ จนสุกดี
เครื่องเคียงที่กินกับไก่ คือลูกแครนเบอรี่เคี่ยวกับน้ำตาลจนกลายเป็นวุ้น     ผลไม้ชนิดนี้ขึ้นเองดาษดื่นในป่า ไม่ต้องปลูก
ส่วนพืชที่ชาวพิลกริมปลูกเองก็คือมันฝรั่ง    เอามาบดละเอียดปรุงด้วยเกลือพริกไทย และอาจใส่พืชสมุนไพรลงไปเล็กน้อยเพิ่มรสชาติ
ฟักทอง ซึ่งปลูกในไร่ตั้งแต่ปลายฤดูร้อน    มาถึงเดือนนี้ก็สุกพอดี ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว   เอามาทำเป็นไส้ของพายฟักทอง
ส่วนข้าวโพด  เรียนรู้การปลูกจากชาวอินเดียนแดง

ในยุคนี้

พายฟักทอง

ในครอบครัวชาวอเมริกัน   พอลูกๆโตเป็นหนุ่มสาว จบจากร.ร.มัธยมแล้วก็โบยบินออกจากรัง   บางคนไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย  บางคนก็ไปหางานทำ    เหลือพ่อแม่อยู่กันสองคน
เมื่อแต่งงาน ก็แยกบ้านไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น  ไม่ค่อยกลับมาอยู่บ้านเดิม
ปีหนึ่ง ก็จะกลับไปเยี่ยมบ้านกันสักทีหนึ่ง  ถ้าไม่ใช่วันขอบคุณพระเจ้าก็วันคริสต์มาส  ที่สมาชิกในครอบครัวจะกลับมาพร้อมหน้ากันสักที

ดังนั้น ก่อนวันขอบคุณพระเจ้า    พวกที่ไปทำงานไกลๆต่างเมือง ต่างรัฐ ก็จะแห่กันกลับไปหาพ่อแม่  ทำให้การจราจรติดกันยาวเหยียดอย่างในภาพนี้ละค่ะ

ภาพวาดของ Norman Rockwell ที่แสดงถึงความหมายของวันขอบคุณพระเจ้า ตามความนิยมของคนอเมริกันตั้งแต่หลังสงครามโลก
ที่พ่อแม่ลูกหลานมานั่งโต๊ะ พร้อมหน้ากัน  เสิฟไก่งวงและอาหารตามตำรับของวันนี้

จะค่อยๆไล่เลียงไปว่าอาหารที่นิยมนำมาตั้งโต๊ะวันขอบคุณพระเจ้า มีอะไรบ้าง
นอกจากไก่งวง  พายฟักทอง แล้วก็มีมันบด
กินเหมือนเรากินข้าวสวย คือกินควบกับอาหารอื่นๆในจาน  ไม่ได้มีไว้กินเปล่าๆ

ซอสแครนเบอรี่ ไว้กินกับไก่งวง   หน้าตาเหมือนแยมมากกว่าซอส

ข้าวโพดเป็นส่วนหนึ่งของอาหารดั้งเดิมที่ฉลองกันในวันนี้     จึงมีอยู่บนโต๊ะอาหารเรื่อยมา ไม่ค่อยจะขาดไปจากมื้อสำคัญ
แต่วิธีทำก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ   ดั้งเดิมอาจทำง่ายๆ คือข้าวโพดเผา  ต่อมาเมื่อความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ขึ้น  ข้าวโพดก็มีเครื่องปรุงแต่งหลากหลาย   ในรูปนี้คือซุปข้าวโพดแบบข้นที่พวกเราคงรู้จักกัน   อีกอย่างคือข้าวโพดใส่ครีม  หรือ creamed corn

ส่วนผักอย่างอื่นๆก็แล้วแต่จะหาอะไรได้     ส่วนใหญ่เป็นถั่ว ซึ่งมีมาแต่ดั้งเดิม
จานนี้เป็นถั่วฝักยาวผัดกับเบคอนหั่นชิ้นเล็กๆค่ะ

อาหารดั้งเดิมอีกอย่างที่ไม่ค่อยจะเห็นในเทศกาลอื่นนักคือ Candied Yams ค่ะ
มันคือมันเทศเชื่อม 
แต่ไม่ได้กินเป็นของหวาน  หลังอาหาร
กินเป็นเครื่องเคียง

บางครอบครัวก็รักษาธรรมเนียมเดิม คือทำเนื้อกวางให้กินในวันขอบพระคุณพระเจ้าด้วย
เนื้อกวางในรูปนี้ ยัดไส้ด้วยค่ะ

พายฟักทองน่ากินมากกกก.... มันบดร้อนๆ ก็ดีนะ

ไก่งวงอร่อยมากเหรอครับอาจารย์ ผมไม่ค่อยชอบกินสัตว์ปีกเท่าไรก็เลยไม่รู้เรื่อง เห็นยกมาเสิร์ฟตัวใหญ่มากในภาพยนตร์แล้วกลัว

วันขอบคุณพระเจ้า หรือ Thanksgiving Day ในอเมริกา กำลังมาถึงในวันพรุ่งนี้

ภัตตาคาร Old Homestead Steakhouse ในนครนิวยอร์ก ได้นำเสนอเมนูอาหารวันขอบคุณพระเจ้า ราคาชุดละ ๑๘๑,๐๐๐ ดอลลาร์ หรือราว ๕.๕ ล้านบาท ในสัปดาห์นี้  ถือว่าเป็นเมนูวันขอบคุณพระเจ้าที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ตามรายงานของ American Farm Bureau Federation ซึ่งแพงกว่าเมนูดินเนอร์วันขอบคุณพระเจ้าตามภัตตาคารทั่วไปถึง ๓,๗๐๐ เท่า เมื่อปีที่แล้ว ร้านสเต็กร้านเดียวกันนี้ทำสถิติขายเมนูอาหารวันขอบคุณพระเจ้าราคา ๑๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์ ได้ถึง ๓ ชุด

เมนูอาหารวันขอบคุณพระเจ้าชุดนี้ประกอบด้วยอาหารหลายรายการที่คัดสรรเครื่องปรุงราคาแพงที่สุดจากทั่วโลก และที่ขาดไม่ได้คือไก่งวงสองตัวที่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระ โรยด้วยผงทองคำและประดับด้วยทองคำแผ่น ไวน์และแชมเปญราคาแพง นอกจากนี้ยังรวมถึงแพคเกจล่องเรือยอร์ชหรู ๗  วัน ๗ คืน ราคา ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์

ทางร้านบอกว่าเมนูราคา ๑๘๑,๐๐๐ ดอลลาร์นี้ สามารถรับประทานได้ทั้งหมด ๑๒ คน คือยกครอบครัวกันมาได้เลย โดยตอนนี้สามารถขายไปได้แล้ว ๑ ชุด จากทั้งหมดที่จำกัดไว้ ๓ ชุด โดยผู้ซื้อคือลูกค้าที่เคยซื้อชุดอาหารนี้ในเทศกาลขอบคุณพระเจ้าเมื่อปีที่แล้ว แต่มิได้เปิดเผยชื่อของเศรษฐีผู้นี้แต่อย่างใด

https://www.voathai.com/a/world-most-expensive-thanksgiving-dish/5182198.html

https://youtu.be/DPR6Noekfmg

เคยกินไก่งวงที่อเมริกา เนื้อหยาบ เลยพบว่าอร่อยสู่ไก่อบของเราไม่ได้ค่ะ    ต่อมาได้กินไก่งวงในเมืองไทย   พบว่าอร่อยมากค่ะ
เลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนอเมริกันอบไก่งวงไม่ถูกปากคนไทย  หรือว่าไก่งวงในบ้านเรามีเนื้ออร่อยกว่า

1   ถ้าเป็นไก่ บ้านเราเรียกว่าไก่บ้าน
2  ทองคำแผ่น = ปิดทองคำเปลว

ไก่งวงบ้านปิดทองคำเปลว  ;D

ภาพจาก https://robbreport.com/food-drink/dining/old-homestead-steakhouse-most-expensive-thanksgiving-2883746/

เอาไว้กินพร้อมเนื้อไก่  หรือเอาไว้ลอกออกแบบฟอยล์ คะ

เห็นไก่งวงปิดทองแล้ว ขอแลกกับจานนี้ดีกว่าค่ะ
ภาพนี้ผู้บรรยายไม่ได้บอกชัดเจนว่าเป็นตัวอะไร แต่ตั้งหัวข้อว่า waterfowl  อาจจะเป็นเป็ดหรือห่านก็ได้
ในยุคที่ต้องล่าสัตว์ปีกเพื่อเอามาขึ้นโต๊ะอาหารกัน   ไม่ได้เอามาจากฟาร์มเลี้ยงเหมือนปัจจุบัน     พิราบหรือหงส์ก็อาจจะถูกนำขึ้นโต๊ะฉลองวันขอบคุณพระเจ้าได้ไม่แปลก

ตัวนี้ก็น่ากินนะคะ  เดาว่าเป็นห่าน  ไม่ทราบคุณเพ็ญชมพูดูออกไหม

อาหารทะเลก็มีสิทธิ์ขึ้นโต๊ะขอบคุณพระเจ้าเช่นกัน   สืบทอดจากประวัติเดิมว่า วันขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกเกิดในรัฐแมสสาชูเส็ตต์ซึ่งอยู่ติดทะเล
เพราะฉะนั้นพิลกริมยุคแรกก็จับปลาขึ้นโต๊ะในเทศกาลได้

เมื่อความเป็นอยู่ของคนในศตวรรษที่ 21 กินดีอยู่ดีกันมากขึ้น  อาหารทะเลหาไม่ยาก  จึงขอบคุณพระเจ้าอย่างในภาพนี้

ผลไม้ปาในท้องถิ่นมีมาก เมื่อพิลกริมมาตั้งถิ่นฐานทางรัฐตะวันออกของอเมริกา    ลูกนัทชนิดต่างๆมีให้เก็บมากมาย ไม่ต้องปลูก
ลูกนัทเผาหรือย่างไฟจึงเป็นของกินเล่นที่รู้จักกันแพร่หลาย  รวมทั้งในเทศกาลต่างๆทั้งขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาส

สำหรับคนที่ชอบอาหารสุขภาพ    อาหารขอบคุณพระเจ้าประเภทผัก  ก็มีตัวอย่างเช่นจานนี้ละค่ะ
ประกอบด้วยแครอท หัวผักกาดแดง  มันเทศ  ผักชีล้อม และหัวหอม  อบในเตาอบแล้วเคล้าเข้าด้วยกัน

 ;)

อิ่มแล้ว นอนพักเก็บแรงไว้ไปดูขบวนพาเหรดของห้าง Macy's NY & shop! shop! shop!
Black Friday sales

เคยประสบกับ Black Friday Sales มาแล้วค่ะ 
ศูนย์การค้าเปิดรอบค่ำไปจนดึก เป็นวันที่ข้าวของลดราคาให้ช็อปกระหน่ำ
คนไปยืนออกันหน้าร้าน แน่นขนัด แถวยาวเหยียด   พอร้านเปิดก็พุ่งพรวดกันเข้าไปราวกับม็อบจะเข้าทลายร้าน แต่ความจริงคือถลาเข้าไปหาสินค้าที่ลดราคามากเกินกว่าจะซื้อหาได้ในยามปกติ
ใครยืนเก้ๆกังๆ ถูกชนกระเด็นไม่รู้ด้วย
ส่วนใหญ่พ่อแม่จะวิ่งไปซื้อของเล่นสำหรับของขวัญคริสต์มาสให้ลูก    เด็กอเมริกันส่วนใหญ่ได้ของขวัญปีละครั้งในวันคริสต์มาส    (ส่วนเด็กไทยได้ตลอดปี)

ร้านแบรนด์อย่าง coach  คนเข้าคิวกันยาวเหยียดกลางหิมะในยามค่ำคืน    นึกเอาเองแล้วกันค่ะว่าหนาวยะเยือกแค่ไหน ยืนกลางลมหนาวและหิมะนานนับชั่วโมง ในอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศา

อธิบายเพิ่มเติม
Black Friday  คือวันศุกร์รุ่งขึ้นจากวัน Thanksgiving คงจำได้ว่าวันขอบคุณพระเจ้านับเอาวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนเป็นหลัก  เพราะฉะนั้นวันถัดจากนั้นก็ต้องเป็นวันศุกร์
วันนี้คือวันช็อปกระหน่ำของอเมริกา    ร้านรวงเปิดจนสองยามเพื่อให้จับจ่ายซื้อของ ลดราคากระหน่ำทั้งร้านค่ะ
เป็นวันที่การจราจรติดขัดสาหัสทั่วทุกรัฐในอเมริกา     เพราะคนอเมริกันนิยมใช้รถส่วนตัว   รถไฟฟ้าใต้ดินหรือบนดินมีเฉพาะในเมืองใหญ่ไม่กี่เมือง
จึงมีการขนานนามวันที่ผู้คนและรถราหลั่งไหลกันมาเต็มถนนในเมือง     เกิดการติดขัดกันยาวเหยียด  จนได้รับการขนานนามว่า เป็น "วันศุกร์มืด"

Black Friday Sales ได้ระบาดออกจากอเมริกาไปยังประเทศอื่นๆ
ภาพนี้เป็นที่บราซิล

ปากีสถานก็ไม่น้อยหน้าใคร  เป็นเหตุการณ์ ปี 2017  ค่ะ

วันต่อมาจาก Black Friday

จากคำเรียกว่า Red Saturday
ทำให้ นึกถึงอีกหนึ่งคำอธิบายที่มาของคำว่า Black Friday ว่า Black นี้หมายถึง'สีบัญชี'
         วันศุกร์ขายดี, มีกำไร ทำให้ตัวเลขบัญชีจากติดลบตัวแดงกลายเป็นสีดำ ส่วนคนช็อปเพลินเกินตัว,
กว่าจะรู้ตัวถึงวันเสาร์บัญชีก็ติดลบตัวแดงแล้ว

 ;D

วันขอบคุณพระเจ้าเวียนมาอีกปีหนึ่งแล้วค่ะ
เป็นวันที่ไก่งวงไม่น่าจะมีความสุข เพราะต้องขึ้นโต๊ะกันมากมาย

Thanksgiving dinner

วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันที่ครอบครัวมีลูกโตแยกครอบครัวไปแล้ว ได้กลับมาพร้อมหน้าที่บ้านเดิมอีกครั้ง  ปีนี้โควิด 19 ในอเมริกายังไม่ลดลง แต่กลับทำสถิติติดเชื้อพุ่งสูงอีกครั้ง
ก็ไม่รู้ว่าวันรวมญาติจะทำให้โควิดได้ท่า  แพร่กระจายเชื้ออย่างหนักอีกหรือเปล่า
พรุ่งนี้คือ Black Friday  วันช็อปกระหน่ำแห่งปี     เศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างหนักเพราะโควิดอาจทำให้ช็อปน้อยลงกว่าสมัยบ้านเมืองยังดี    ต้องรอดูข่าวกันต่อไป

;D

https://www.facebook.com/voathai/videos/2113918845428499/

บรรยากาศยังคึกคักอยู่   รอผลด้วยใจระทึกว่าอีก 2 สัปดาห์ สถิติคนติดเชื้อโควิดจะมากขึ้น มากน้อยแค่ไหน