ติดค้างคำถามของคุณกุ้งแห้ง ได้เวลาตอบแล้ว เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
ผมเห็นว่า museum ควรเป็นสถานสาธารณะ ก็ในเมื่อมันเป็นองค์กรสนับสนุนทางวัฒนธรรม มันมิควรค้ากำไรครับ
เพราะวัฒนธรรมหมายถึงมรดก(....ด้วย) แต่เป็นมรดกอดีตทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน
การแสวงหาผลกำไรจากการทำ museum จึงเป็นบาป สำหรับผม
ผมยังเห็นต่อไปด้วยซ้ำว่า museum เป็นโครงสร้างพื้นฐานของสังคม ที่ต้องมี
เหมือนไฟฟ้า โทรศัพท์ ปะปา โรงเรียน วัด หรือสุสาน...พวกนี้ มิพึงทำมาหารับประทาน
ถ้าผมเป็นนายก ผมก็จะทำให้ของพวกนี้ ราคาต่ำที่สุด....เย้ และมีมากที่สุดด้วยแหละ
ปัจจุบัน เราแปลคำว่า museum เป็นพิพิธภัณฑ์ เราจะใช้ตามความหมายนี้ไปก่อนนะครับ
ทีนี้คุณสมบัติอีกข้อหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ก็คือ มันเป็นสุสาน มันเก็บของที่ตายแล้ว
จะทำให้มีชีวิตยังไง มันก็เป็นชีวิตที่ตายแล้ว
การที่เราเอาของที่ตายแล้วมาทำให้มีชีวิต ก็เพื่อเหตุผลเดียว คือเพื่อส่องอดีต
อย่างที่คุณธนิต อยู่โพธิ์ท่านเรียกว่า อตีสังคตญาณ
(อาจจะจำมาผิด หนังสือก็ไม่ได้อยู่กับตัว ผู้รู้ ช่วยหน่อยนะครับ)
ผมชอบคำเรียกอยู่คำหนึ่ง ศาลาเครื่องราชย์....ที่จัดแสดงอยู่หลังวัดพระแก้วน่ะ
(พูดอย่างนี้ ต้องอธิบายอีก ว่าทุกวันนี้เราเข้าวัดทางท้าย ไม่ยักเข้าทางประธาน ที่มีศาลาเปลื้องเครื่องอยู่งัยครับ)
ชอบเพราะเขาตั้งแสดงสิ่งของคล้ายพิพิธภัณฑ์ แต่ของที่แสดง ยังไม่ตาย เขาใช้คำว่าศาลา จึงดูเท่มาก
คำว่าศาลานี้ ยังใช้ในอีกหลายที่นะครับ คำดีๆ ทั้งนั้น
ที่บ่นอย่างนี้ เพราะเห็นว่าเรารวย ฝรั่งมันกันดารคำกว่าเรา จึงใช้คำว่า MUSEUM ครอบจักรวาล
ผมจะเล่นตาหลกให้ดู
ผมมีร้านอยู่ในโบ๊เบ๊ ผมเก็บสินค้าไว้มากมาย บางอย่างก็เพราะขายไม่ออก
บางอย่างก็เพราะเหลือ บ้างก็เพราะเป็นตัวอย่าง บ้างก็เพราะชอบ เอาว่าแยะละกัน
ผมทำทะเบียน จดบัญชีไว้ทุกตัว ร้านผมมีที่ทางกว้างขวาง ผมก็เอาชุดพวกนี้แสดงไว้อะดิ
ใส่ตู้บ้าง แขวนบ้าง เอาไฟส่องสวยๆ ใครมาเห็นก็ชื่นชม
ลูกค้าจะมาทั้งขอซื้อ ทั้งขอลอก บ้างก็เช่าไปใช้ ผมก็ตามไปจัดงานให้เขาอีก ทำเอกสารแจกอย่างดี
ทั้งหมดนี่ผมเป็นกุเรเตอร์หรือยังครับ คุณติบอ
ผมขายชุดชั้นในอะครับ
ย้อนมาที่คำว่าพิพิธภัณฑ์ ที่ไม่ใช่ museum
คนไม่น้อยย่อมทราบว่า คำนี้ใครตั้ง แต่ทราบต่อหรือไม่ว่าตั้งเพื่ออะไร
จริงอยู่พระจอมเกล้า ทรงตั้งเพื่อรองรับคำว่า museum แต่ภาระกิจของพิพิธภัณฑ์ของพระองค์ ไม่เหมือน museum ครับ
ทรงเก็บของที่ "มีชีวิต" คือบันดาเครื่องราชบรรณาการทั้งมวลที่นานาประเทศถวายเข้ามา
ทรงเห็นว่า สมควรมีที่ตั้งแสดง ให้เขารู้ว่าทรงรู้ว่าของพวกนี้เป็นอะไร เราไม่โง่ขนาดเอาที่ดินแลกลูกปัดดอกนะ
พี่คอ...คอเคซอย
แล้วทำไมศิลปะสมัยใหม่ จึงไม่ควรไปอยู่ใน museum
เรื่องนี้ เป็นบาปของคุณนายทั้งสี่ฮ่า.....
กาลครั้งหนึ่ง นิวหยอกยังเถื่อนนัก ขนาดสตีกลิตส์ ยอดช่างภาพ Alfred Stieglitz (1864–1946) มาเปิดกิจการที่เลขที่ 291 ถนนสายที่ 5
ทั้งๆ ที่เป็นคนดัง เป็นที่นับหน้าถือตา แกก็ยังร่ำๆ จะถอดใจ กลับไปเล่นศิลปะที่ยุโรป เพราะนิวหยอกเกี้ยน มะรู้เรื่องศินลาปะฮ่า
กริ๊ก กริ๊ก
หลังจากนั้นมาอีกร่วม 30 ปี สี่สาวไฮโซ ก็มาคบคิดกันเรื่องเปิดโมม่า
(ในวิกี้เขาให้ไว้ สามสาว แต่หนังสือประวัติโมมา มีสี่ครับ พร้อมรูปด้วยแหละ)
http://en.wikipedia.org/wiki/Museum_of_Modern_Artการมีชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ ทำให้กลายเป็นเรื่องตลกต่อมาในทุกวันนี้
ในปีที่เปิด คำว่า modern art เป็นคำเฉพาะครับ เฉพาะเหมือนหน้าตาของตึกที่พวกเขาไปตั้งอยู่นั่นแหละ
modern art หมายถึงศิลปะตั้งแต่หลังเซซานมาจนถึงแอปสะแตรค....เท่านั้น จากนั้นเขาเรียกหลังสมัยใหม่ หรืออื่นๆ
เอางี้ละกัน ตึกที่โมม่าสร้างเอง หลังรุ่งเรือง เป็นฝีมือออกแบบของฟิลิปส์ จอห์นสั้น
คนนี้เขาเป็นวิเศษนิยม เอ้ยมะช่าย เขาเป็นสมัยใหม่นิยม ออกแบบอะไรใช้แค่สองเส้น คือตั้งและนอน นานๆ จึงโค้งซะที
ตึกที่เป็นเครื่องหมายการค้าของคตินี้ ก็ตึกสหประชาชาติงัย ทื่อมะลื่อซะไม่มี
เป็นแท่งซื่อบื้อ ตั้งทิ่มท้องฟ้า ดูๆ ไปเหมือนคนสิ้นคิด บังแดดบังลมชาวบ้าน บังเมฆด้วยแหละ
ปิดทึบทั้งตึก กินไฟน่าดู ไฟไหม้ทีจะทำงัย แดดสะท้อนใส่ตาชาวบ้าน ข้าไม่สน
คือว่าไปแล้ว คติศิลปะสมัยใหม่นี่อะนะ คืออภิสิทธิ์ชนของแท้เลยแหละ
เธอจะชอบชั้น เธอต้องปีนกระไดมาหา ชั้นไม่โน้มตัวลงไปหากระดุมพีดอก ชั้นไฮโซฮ่า.....
เจ้าวาร์ฮอล (Andrew Warhola 1928–1987) ถึงได้ทำรูปกระป๋องซูป ตบหน้าไฮโซงัย
ตาหลกก็คือ โมม่า ซื้องานที่ดูถูกตัวเองเข้าในคลังสะสมแฮะ
(เหนื่อย ขอพักก่อนครับ)