Wandee
|
จากหนังสืออนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพ
ณ วัดมงกุฏกบัตริยาราม
วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๕
ประวัติของ พ.อ. ประจวบ วัชรปาน และ คัมภีร์ปาริชาติขาดก (บทที่ ๑ - บทที่ ๙)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 15 ก.พ. 12, 11:04
|
|
เป็นบุตรของ อำมาตย์ตรี หลวงระงับประจันตคาม (โป๊ะ วัชรปาณ) และ คุณนายเจิม
มีพี่น้อง ๔ คน คือ
เจ้าของประวัติ
นายประจักษ์ วัชรปาณ ธ.บ.
นายแพทย์ประจำ วัชรปาณ พ.บ.
น.ต. ประจันต์ วัชรปาณ
ขณะที่บิดารับราชการอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ได้เข้ามาเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน
ต่อมาได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ ได้เข้าศึกษาต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทย์ศาสตร์
รับพระราชทานปริญญาแพทศาสตร์บัณฑิต เมื่อปี ๒๔๗๙
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 15 ก.พ. 12, 11:22
|
|
เข้ารับราชการทหาร เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๔๘๐ สังกัดกองเสนารักษ์ มณฑลทหารบกที่ ๑
สมรสกับนางสาวถนอม ฉิมโฉม บุตรีหลวงอุดมภาษี (สง่า ฉิมโฉม กับคุณนายช้วน มีบุตร ๕ คน
นางปฐมพร สมรสกับ นายคำนนท์ สูตะบุตร
ร.อ. ประเทศ
นางประณอม สมรสกับนายเชาวกาญจน์ มิลินทวัต
นายปรเมศวร์
นางสาวปิยรัตน์
ในระหว่างที่รับราชการอยู่ ได้มีโอกาสออกไปรับใช้ชาติ ไปราชการสงครามในคราวพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศส
เนื่องในการเรียกร้องดินแดนคืน พ.ศ. ๒๔๘๔ และในกรณีสงครามมหาเอเชียบูรพา จนเสร็จสิ้นสงคราม
ได้ลาออกเป็นทหารกองหนุน ตั้งแต่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๙
ได้กลับเข้าประจำกรมแพทย์ทหารบกอีก เมื่อ ๒๔๙๕
พ.อ. ประจวบ วัชรปาน มีลักษณะเด็ดเดี่ยว เยือกเย็น สุยุม รอบคอบ ทำให้ต้องมาลำบากตรากตรำคุ้มกันบุคคลสำคัญของชาติอยู่หลายปี
ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๑๔
จะขอคัดย่อเรื่องราวของ พ.อ. ประจวบ จากคำไว้อาลัยของบุคคลสำคัญหลายคนต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 15 ก.พ. 12, 15:28
|
|
พลโทวัลลภ โรจนวิสุทธิ์ เขียนเล่าว่า
ประจวบ วัชรปาณ เป็นหนึ่งในสามเพื่อนตายที่ผมมีอยู่
รู้จักกันเมื่อต้นปี ๒๔๖๙ วันแรกที่ผมเข้าเรียนที่ ร.ร. มัธยมวัดเทพศิรินทร์ ในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนแล้วมี
เพื่อน ๆ นั่งทำการบ้านอยู่หลายคนเช่น สุนทร หงส์ลดารมย์ วันนั้นผมเริ่มเรียนวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกในชีวิต
เรื่อง Specific Gravity ผมเป็นเด็กบ้านอก ถึงจะผ่านมัธยม ๕ มาแล้ว ก็ไม่เคยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เลย
ไม่รู้ว่าวิทยาศาสตร์คืออะไร
"ทำอะไรอยู่ครับ?" ผมถามแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะของประจวบ
"การบ้านวิทยาศาสตร์ฮะ" ประจวบตอบด้วยน้ำเสียงไมตรี พร้อมกับเงยหน้าขึ้นดูผมด้วยแววตาเอ็นดู เป็นแววตาที่มีอยู่ประจำในตัวประจวบ
ตราบจนเปลือกตาปิดสนิทไม่มีวันจะเผยขึ้นมาอีก
"ผมไม่รู้เรื่องเลย ไม่เข้าใจอะไรสักนิด และไม่เคยเรียนมาก่อนเลย" ผมบอกประจวบ "ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ"
ประจวบอิดเอื้อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดกับผมแบบปราณีว่า "ไหนเอาสมุดที่จดมาดูที"
พอเห็นแค่หัวข้อเรื่องกับการบ้าน ประจวบแหงนหน้าดูผมอีกครั้ง แล้วก็ลงมืออธิบายให้ผมฟังเริ่มแต่ต้น ให้ผมทำการบ้านให้ดูด้วย
แถมยังให้ยืมสมุดไปจดที่บ้านอีกด้วย เป็นอันว่าประจวบไม่ได้ทำการบ้านของเขาเลยในบ่ายวันนั้น
ประจวบ วัชรปาณ โอบอ้อมอารีและเมตตาปราณีเพื่อนมนุษย์เพียงไร ใครก็ตามที่บากหน้าแบกความทุกข์มาหาแล้ว ไม่เคยผิดหวังเลย
ประจวบเป็นต้องช่วยเต็มที่เสมอมา จนกระทั่งเมื่อล้มเจ็บก็พยุงกายไปพูดโทรศัพท์ถึงคนนั้นคนนี้ เพื่อปัดเป่าความเดือดร้อน และความ
ทุกข์ยากของผู้ที่มาขอความช่วยเหลืออยู่ไม่วาย
ประจวบอยู่บ้านในซอยสลักหิน ข้างสถานีหัวลำโพง ผมพักอยู่ที่ตึกแถวบนถนนกรุงเกษม เชิงสพานทิพยเสถียร (ตอนนั้นเป็นจุดปลายทาง
ของรถรางสายแดงที่วิ่งระหว่างหัวลำโพง - บางลำพู ดังนั้นเมื่อเลิกเรียนแล้ว เราก็เดินนับไม้หมอนรถไฟจากสพานนพวงศ์มรถึงสถานีหัวลำโพงด้วยกัน
ประจวบจริงจังและจริงใจนักในเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ ในการงานและในแม้ในการกีฬา
ประจวบเล่นกีฬาอย่างจริงจัง เมื่อเข้าในรั้วสีชมพูแล้ว หันมาเล่นกีฬาพุ่งแหลน ขว้างจาน มวยปล้ำ และยิงปืน
ประหลาดนักหนาที่ประจวบผู้มีปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตพ่วงท้าย กลับมาสนใจศาสตร์ลึกลับ เช่นโหราศาสตร์และไสยศาสตร์
ประจบบอกกับผมว่า
"อยากรู้นักว่าศาสตร์ทั้งสองนี้มีมูลฐานความจริงแค่ไหน?"
ประจวบศึกษาโหราศาสตร์ตำรับของอินเดีย จนกระทั่งสามารถถ่ายทอดภาษาสันสกฤตออกมาเป็นภาษาไทยให้ประจักษ์แก่ตาท่านทั้งหลายแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 15 ก.พ. 12, 15:50
|
|
ในระหว่างมหาสงครามเอเชียบูรพา ประจวบเป็นผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ประจำกองพันทหารราบที่ ๓๓ ซึ่งมี
พันตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บังคับกองพัน บุคคลคู่นี้ได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตลอดสงครามมหาเอเชีบบูรพาจนเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี
ข้อนี้เองที่ต่อมาเมื่อผู้บังคับกองพันมีวาสนาสูงขึ้น ผู้บังคับหมวดเสนารักษ์กลับมาใกล้ชิดอีกในฐานะแพทย์ประจำตัวและนายทหารติดตาม
ประจวบถูกตามตัวถึง ๔ ครั้ง ในครั้งที่ ๔ เขาก็ต้องทิ้งอนาคตที่จะทำมาหากินในภูเก็ตขึ้นมา
เขาเล่าให้ฟังว่าการเจรจาครั้งนั้นสั้นนิดเดียว
"ไอ้จวบ! กูไม่มีใครแล้ว มึงมาตายกับกูได้ไหม?"
"ถ้าถึงขนาดนั้นล่ะก้อ เมื่อไรก็เมื่อนั้นล่ะครับ" หมอประจวบตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิดให้เสียเวลาแม้แต่น้อย "ถ้ายังไม่ถึงตาย ผมขออย่างเดียวเท่านั้นครับผม"
"อะไรวะ?"
"ขอมีนายคนเดียวครับผม"
ในคืนวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ ก่อนเวลาลงมือทำรัฐประหารไม่กี่นาที จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก
และผู้นำคณะทหารเข้าทำการโค่นล้มรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กล่าวแก่คณะนายทหารฝ่ายอำนวยการประจำตัวท่านว่า
"ถ้าทำงานคืนนี้ไม่สำเร็จ ไอ้จวบ มึงไปกะกูสองคน นอกนั้นไม่ต้อง"
คนจริงย่อมเข้าใจคนจริงด้วยกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 15 ก.พ. 12, 21:37
|
|
แด่หมอจวบ - เพื่อนรัก - เพื่อนตาย
พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๕
สงครามมหาเอเชียบูรพา ในตอนนั้นผมเป็นนายทหารอยู่ลพบุรียศร้อยโท เราได้รับคำสั่งให้ออกไปตั้งหน่วย
ทหารใหม่ ร. พัน ๓๓ ที่ พิษณุโลก โดยมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ในตอนนั้นเป็นพันตรี เป็นผู้บังคับกองพัน ร้อยโทหมอประจวบเป็นผู้บังคับการหมวดเสนารักษ์
ผมเป็นผู้บังคับกองร้อยกับเพื่อนนายทหารอีกหลายคน นี่คือจุดร่วมต้นของการเดินทางที่เราร่วมตกระกำลำบาก มีทุกข์สุขอยู่ร่วมกันอย่างไม่มีใครยอมทิ้งเพื่อน
รอนแรมอยู่ในป่าเขาดงดิบและควันปืนในสนามรบ เป็นเวลาถึงสี่ปีเต็มจนกระทั่งสงครามสงบ
หักเชิงซามูไร
ในระยะนั้น ทหารญี่ปุ่นมีอยู่ดาษดื่นเต็มเมือง เมื่อกองทหาร ร.พัน ๓๓เพิ่งจะเช้าไปตั้งกองบังคับการใหม่ที่พิษณุโลกได้เดือนเศษ ก็เกิดเรื่องเข้าจนได้
พิษณุโลกเป็นเขตที่กองทหารญี่ปุ่น ยกกำลังเข้าไปตั้งอยู่เป็นจำนวนมากด้วยกัน
วันหนึ่งซึ่งผมยังจำอยู่จนบัดนี้ ตอนนั้นเป็นตอนเย็น ทหารญี่ปุ่นซึ่งมักจะประลองยูโดกันเกือบทุกวันในหมู่กันเอง สถานที่ญี่ปุ่นซ้อมยูโดอยู่นั้น
อยู่ใกล้กับบ้านพักของหมอประจวบ
หมอประจวบตอนนั้นนุ่งโสร่งอยู่บ้าน ทำซึมเซา ทหารญี่ปุ่นเห็นเข้าก็นึกว่าหมูสนาม เข้าไปท้าทายเชิงยูโด หมอประจวบก็ยังทำเซ่อ ๆ
พวกเราสกิดกันไปมา ถูกหยามหนักข้อไปแล้ว วางแผนให้หมอประจวบออกซัดให้ได้ ญี่ปุ่นแสดงศักดากำแหงเต็มที่แล้ว และแล้วการประลอง
ก็เกิดขึ้น ต่อกรกันสุดเหวี่ยง เพราะแม้ไม่ได้ตีตราธงชาติไว้ที่น่าอกก็เหมือนตีตรานั่นแหละ จะแพ้ไม่ได้
นักยูโดเหรียญทองจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ของเรา ทุ่มทับจับหักเสียครู่หนึ่ง จอมยูโดคนแรกของญี่ปุ่นก็หมอบกระแต
การประลองฝีมือหาได้จบลงเพียงเท่านี้ไม่ ญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้กลับลงสู้อีกสามคนติดๆกัน หมอประจวบคนเดียว แม้ต้องสู้ญี่ปุ่น
ถึงสี่คนผลัด ก็สามารถจับทุ่มฟัดหมอบไปเสียทุกคน ตั้งแต่นั้นมานายทหารญี่ปุ่นก็ไม่เคยกล้ากำแหงหาญเข้ามาท้าทายถึงชานเรือนอีกเลย
แม้นจะเป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต แต่พวกเราก็ไม่เคยลืมกันเลย นับเป็นเรื่องราวที่ลูกหลานและญาติมิตร ควรจะรู้กันไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 16 ก.พ. 12, 05:56
|
|
มุ่งเชียงตุง
การศึกในตอนนั้นกำลังเข้มข้น ญี่ปุ่นรุกหนักเข้าพม่าโดยขอให้กองทัพไทยส่งกำลังเข้าสหรัฐไทยเดิม(เชียงตุง)
ร.พัน ๓๓ ซึ่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองเส้นทางลำเลียง ทั้งถนน สะพาน และเส้นทางรถไฟ จากพิษณุโลกไปถึงลำปาง
ได้รับคำสั่งให้มุ่งเข้าสหรัฐไทย (เชียงตุง)
หมอประจวบผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ รู้ดีว่าหนทางข้างหน้าที่เรากำลังมุ่งไปนั้น จะต้องพบกับอุปสรรคในเรื่องยารักษาโรค
เป็นแน่แท้ เพราะสมัยนั้นโรคภัยไข้เจ็บในป่าเมืองเหนือชุมมาก โดยเฉพาะมาเลเรีย ยาควินินและอาเตบรินหายากและมี
ราคาแพงราวกับค่าของทองคำ ได้เสนอให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รวบรวมยารักษาโรคที่จำเป็นเสียก่อนจะเคลื่อนกำลัง
เรามุ่งสู่เชียงใหม่ แหล่งตั้งหลักแหล่งใหม่อันเป็นจุดที่จะมุ่งไปสู่เชียงตุงและการรบอันทรหด ต่อจากนั้นก็เคลื่อนที่ด้วยเท้า
บุกป่าฝ่าดงไปสู่เชียงดาว มุ่งหน้าไปทางเมืองแหง เขตติดต่อกับพม่า เราเดินกันอย่างเดียวเพราะการเดินเป็นพาหนะ
แต่อย่างเดียวที่พาเราบุกป่าฝ่าดงลงห้วยไปได้ เพราะไม่มีทั้งรถทั้งถนน
เรามาพบกับความทารุณของธรรมชาติอย่างหนักอึ้ง ระหว่างยกกำลังมุ่งไปสู่เมืองต่วน ฝนตกอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
ตลอดหลายวันหลายคืนที่เราออกเดินทาง ทหารต้องย่ำอยู่ในโคลนเป็นวัน ๆ แล้วก็ขึ้นเขาสลับกันไป ความจริงการรบทางด้านนี้
อาจกล่าวได้ว่าไม่หนักหนาร้ายแรงอะไรมากนัก แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมากมาย กลายเป็นไข้ป่า(มาเลเรีย)ที่บั่นทอนกำลังของกองทัพ
เป็นอย่างยิ่ง ทหารป่วยอ่อนเปลี้ยเกือบทั้งกองพัน และตายลงเพราะโรคร้ายอย่างน่ากลัว ระหว่างนั้นหมอประจวบนับเป็นกำลังที่เข้มแข็ง
อย่างที่สุด เป็นคนร่างกายแข็งแรงที่ไม่ยอมให้โรคร้ายเข้าคุกคามง่าย ๆ มีความรักชีวิตทหารเป็นชีวิตจิตใจ เอาใจใส่ดูแลและรักษา
ตลอดเวลาไม่ยอมทอดทิ้ง ร.พัน ๓๓ ทหารล้มตายเพราะมาเลเรียน้อยมากเมื่อเทียบกับหน่วยอื่น ๆ
พันเอกประจวบ วัชรปาณ แม้จะเป็นทหารหมอก็จริง แต่ในการรบทุกครั้งจะติดตามผู้บังคับกองพัน ซึ่งบัญชาการรบในแนวหน้า
ไม่ว่าจะเป็นการเข้าตีหรือรับ ถ้ามีทหารได้รับบาดเจ็บ หมอประจวบจะอำนวยการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ทำให้ขวัญทหารดีตลอดเวลา
เสร็จการรบที่เมืองต่วน เราถอนกำลังออกย่ำมุ่งไปสู่แม่แตงแล้วย้อนสู่เชียงราย หมอประจวบคงทำหน้าที่แพทย์และนักรบอย่างเข้มแข็ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 16 ก.พ. 12, 07:10
|
|
(พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา เขียนเรื่องหมอประจวบกับชีวิตท่านในสงครามได้น่าอ่านและเป็นความรู้อย่างยิ่ง ไม่สามารถย่อความได้ เพราะจะขาดความสำคัญไป จึงคัดลอกมาแทบทั้งหมด/วันดี)
ไสยศาสตร์ในการรบ
ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แม้โลกเราจะก้าวมาถึงยุคจรวดส่งดาวเทียมกันแล้ว ผมยังเขียนเรื่องไสยศาสตร์ในการรบ
จุดประสงค์ในการเขียนครั้งนี้ ก็เพื่อระลึกถึงเพื่อนรักร่วมตายคนหนึ่ง ซึ่งขณะที่ออกทำการรบอยู่ด้วยกัน ใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วยในการรบ
เขียนขึ้นเพราะเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ส่วนจะเชื่อหรือไม่นั้นเป็นอีกปัญหาหนึ่ง กับเขียนขึ้นเพราะการรบของไทย
แต่สมับโบราณก็ได้ใช้ไสยศาสตร์เข้าช่วยเหมือนกัน อาทิ การทำพิธีตัดไม้ข่มนาม การเส้นสรวงสังเวยก่อนออกเดินทัพ
พันเอก ประจวบ วัชรปาณ เป็นบุคคลที่หาไม่ได้ง่ายนักในยุคปัจจุบัน เป็นคนที่ให้การศึกษาเล่าเรียนในศาสตร์และวิทยาการมากมาย
ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในตัวเอง เพราะเตรียมชีวิตไว้เข้าศึกษาเล่าเรียนแพทย์แผนปัจจุบันจนจบเป็นแพทย์ปริญญา ยังสนใจใน
การแพทย์แผนโบราณ สนใจวิชาไสยศาสตร์ ภูติผีปีศาจ สิ่งลึกลับและดำมืด ไม่ีตัวตนที่ยากแก่การพิสูจน์ อาจกล่าวได้ว่า
หมอประจวบเป็นทั้งหมอแผนปัจจุบัน, หมอแผนโบราณ, หมอยา, หมอเสน่ห์, หมอผี, หมอดู, หมองู, หมอลงกระหม่อม,
และทำพิธีไสยศาตร์หลายอย่างได้ ในตอนหลัง ๆ ของชีวิตได้ทุ่มเทศึกษาวิชาโหราศาสตร์แบบภารตะเป็นพิเศษ ซึ่งพื้นฐานเดิมมีอยู่บ้างแล้ว
แต่มามุหนักเอาตอนหลัง ๆ จนแตกฉานขนาดศึกษาเล่าเรียนภาษาสันสกฤตด้วยตนเอง เพื่อศึกษาวิชาเกี่ยวกับโหราศาสตร์จากตำราของ
ชาวภารตะ กับยังเป็นผู้นิยมชมชอบการเล่นพระเครื่องชั้นครู ชอบการขี่ม้า ยิงปืนทุกชนิด เฉพาะชอบลองปืนใหม่ที่ประสิทธิภาพสูงชั้นอาจารย์
และดำรงความเป็นนักเลงอยู่จนวันที่จากไป
ระหว่างที่รอนแรมอยู่ในป่าเขาทำการรบอยู่ตลอดสี่ปีนั้น เมื่อไม่มีการรบ ไม่ว่าหน่วยทหารจะอยู่ในที่ตั้งปกติหรือพักแรมอยู่ในป่าก็ตาม
เราสามคนมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, หมอประจวบ และผม ต่างใช้ชีวิตเผ็ดร้อนและดุเดือด ทั้งด้านดีและด้านนักเลง ยืนหยัดอยู่ด้วยกันตลอด
ไม่ว่าสถานการณ์จะคับขันขนาดไหน ทั้งกลางดงนักเลงและในสนามรบ เรามักใช้เวลาว่างขี่ม้าออกไปยังหมู่บ้านไกล ๆ เสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 16 ก.พ. 12, 10:50
|
|
ในการรบครั้งสำคัญ ๆ ร.พัน ๓๓ จะจัดพิธีไสยศาสตร์ก่อนพวกเราจะออกรบเสมอ
อาจารย์หมอประจวบ จะจัดเตรียมพิธีไสยศาสตร์อย่างครบถ้วน ตัวเองอาบน้ำชำระร่างกายอย่างหมดจด
นุ่งขาวห่มขาว นั่งบริกรรมคาถาอย่างมีสมาธิกล้า
จอมพลสฤษดิ์ ในฐานะผู้บังคับกองพัน ร.พัน ๓๓ ก็จะจัดดอกไม้เจ็ดสีพร้อมธูปเทียน หมอบคลานเข้าไปกราบอาจารย์
รับการลงกระหม่อมประพรมน้ำมนต์เพื่อความมีชัยและศิริมงคล ต่อจากนั้นนายทหารทุกคนก็จะเรียงกันเข้าไปรับการทำพิธีทีละคนจนถ้วนทั่วทุกคน
และประหลาดมาก การรบที่เกิดขึ้นนั้น แม้เราจะเพลี่ยงพล้ำขนาดหนัก ก็คลาดแคล้วรอดมาได้ด้วยความเสียหายน้อยทุกที เวลาชนะรุกไล่ข้าศึก
ก็ดูขวัญทหารเริงใจกันดี แม้จะเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 16 ก.พ. 12, 11:01
|
|
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หมอประจวบเอากระโหลกผู้หญิงที่ดูใหญ่โตผิดธรรมดาไปในการรบตลอดเวลา
แม้เมื่อสงครามเลิกแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ในยามบ้านเมืองสงบ กระโหลกดังกล่าวก็อยู่ข้างตัวเสมอ นับเป็น
ผีผู้หญิงที่เฮี้ยนและให้ความคุ้มครองดี กระโหลกผีกระโหลกนี้เป็นที่เลื่องลือถึงความเฮี้ยนในหมู่ทหารโดยเฉพาะในหน่วยเสนารักษ์
หลายคนยอมรับว่าโดนผีหลอก แม้กระทั่งจอมพลสฤษดิ์เองเมื่อตอนอยู่เมืองเหนือก็ยังบอกหมอประจวบอย่าให้กระโหลกไปกระเซ้าเล่น
เพราะไม่ชอบ ได้ทราบว่าในตอนหลัง หมอประจวบได้ให้คนเอาไปฌาปนกิจเสียแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 16 ก.พ. 12, 15:51
|
|
หมอประจวบเดินทางเข้ากรุงเทพปี ๒๔๙๔ มาใช้ชีวิตราวมกันกับพวกเราอีก ระหว่างที่ทำงานร่วมกับจอมพลสฤษดิ์ในชั้นหลังนี้
หมอประจวบมักอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา แต่งทหารทั้งวัน พกปืนสองกระบอก เสียบดาบติดหน้าแข้งสองข้าง พร้อมกับมีชีวิตอย่างนักเลงกว้างขวางมาก
เข้าเหยียบถิ่นเสือแทบทุกแห่งอย่างไม่ยั้ง เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักเลงทั่วหัวระแหง พอ ๆ กับที่คนในระดับธรรมดา และคณาจารย์
รู้จักหมอประจวบในด้านคุณธรรม
หมอประจวบในตอนหลังๆ ได้มุ่งศึกษาเล่าเรียนโหราศาสตร์โดยเฉพาะการผูกดวงระบบภารตะอย่างแตกฉาน
เป็นผู้เรียนภาษาสันกฤตด้วยตนเองจนสามารถอ่านตำราภาษาสันกฤคของอินเดียได้
ชีวิตของ พ.อ. ประจวบ วัชรปาณ เป็นผู้ใฝ่ใจศึกษาศาสตร์และวิชาทุกสาขา มีความรักเพื่อน รักบ้านเกิดเมืองนอนเป็นเยี่ยม
ไม่หวังลาภและสฤงคาร เกิดมาเป็นผู้ให้ ใจคอเด็ดเดี่ยว ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มีทุกข์อยู่เสมอ
ผมระลึกถึงเพื่อนตายอย่างสุดอาลัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 16 ก.พ. 12, 16:15
|
|
เทพย์ สาริกบุตร เขียน
พี่จวบเป็นผู้ที่เลื่อมใสมั่นคงในพระบวรพุทธศาสนาอย่างฝังจิตใจ ได้อุปสมบท ณ พัทธเสมาวัดเทพศิรินทราวาส
โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ)เป็นพระอุปัชฌาย์ และคติที่เลื่อมใสในเรื่องศาสนานี้เอง
เลยทำให้สนใจในเรื่องเครื่องลางของขลัง เช่นพระเครื่องยุคต่าง ๆ ตลอดเวลาที่มีอายุอยู่
นอกจากนั้นยังสนใจเรื่องเวทย์มนต์คาถา แต่เป็นการสนใจที่มุ่งประสงค์จะค้นหาข้อเท็จจริง มิได้ลุ่มหลงไปด้วยอำนาจศรัทธาจริต
เมื่อมุ่งศึกษาศาสตร์ใดก็ตาม ต้องพยายามเรียนให้รู้แจ้งเห็นจริงจนได้ เช่นเรียนวิชาอยู่คงกระพันชาตรี นอกจากจะเสกอาพัท
หมากกิน จนเนิ้อและหนังของตนเอง สามารถคงทนต่อคมซามูไรอันคมกริบได้แล้ว ยังได้รับมอบประสิทธิประสาทจากอาจารย์มากระทำต่อให้ผู้อื่นได้อีก
เรียนวิชาเกี่ยวกับภูติผีปีศาจ ผู้อื่นเขาเรียนกันแค่รู้ พี่จวบเรียนอย่างเอาจริงจัง ขนาดได้ชื่อว่า "หมอผี" เอาเลยทีเดียว เพิ่งจะรามือเอาตอนอายุย่างเข้าปัจฉิมวัยนี่เอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 16 ก.พ. 12, 16:22
|
|
นี่แหละคน "พุธโทนในราศีมังกร" ดวงของกวนอู ใจเดียว สัตย์ซื่อ และมีกตัญญูกตเวที
พลโทวัลลถ โรจนวิสุทธิ์ เขียนเล่าไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|