เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:15



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:15
นักประวัติศาสตร์มักจะแยกการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของจอมพลป.ออกเป็นสองช่วง คือช่วงแรกระหว่างปี2490-2495 ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องกำจัดนักการเมืองคู่แข่งเก่า รุ่นคณะราษฎร์ให้ตกเวทีไป และช่วงหลังตั้งแต่2496-2500 อันเป็นช่วงที่จอมพลป.ชราเกินกว่าจะคุมอำนาจทางทหารไว้ได้โดยลำพังตนเอง จำเป็นต้องพึ่งคนอื่นที่เขาก็หวังจะเอาตนนั้นเป็นบันไดไปสู่อำนาจทางการเมืองเหมือนกัน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:17
เมื่อสงครามยุติลง นักเขียนประวัติศาสตร์ทางค่ายจอมพลป.จะให้ค่าพวกเสรีไทยว่าเป็นปัญหาตัวใหม่ของชาติ เสรีไทยมีสองสาย สายต่างประเทศส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักเรียน เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจที่ทำเพื่อชาติแล้วก็จะกลับไปเรียนต่อกันหมด เสรีไทยกลุ่มนี้ส่วนที่มาจากอังกฤษ ระยะเริ่มต้นได้สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ขณะอยู่ลอนดอนทรงอุปถัมภ์ จึงถูกมองว่าเป็นขบวนการของพวกเจ้า ซึ่งพวกหม่อมเจ้าหลายองค์ในราชสกุลสวัสดิวัตน์ก็เคยเป็นกลุ่มอำนาจเก่าในสมัยรัชกาลที่7มาแล้วจริงๆ พวกนี้จึงถูกมองอย่างไม่ไว้ใจว่าพยายามที่จะเข้ามาวุ่นวายอะไรกับการเมืองไทยอีกหรือเปล่า แต่ผู้ที่มีบทบาทในทางร้ายต่อจอมพลป.จริงๆกลับกลายเป็นอดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ผู้กลับมาเมืองไทยอย่างวีรบุรุษ และเป็นนายกรัฐมนตรีที่เสนอกฏหมายอาชญากรสงครามเข้าสู่สภา เป็นเหตุให้จอมพลป.ตกเป็นจำเลยในคดีที่โทษสูงสุดคือการประหารชีวิต ต้องเข้าไปนอนทนทุกข์อยู่ในตรางของสันติบาลหลายเดือน  ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชไม่ใช่เจ้า แต่ก็ถูกมองว่าเป็นพวกเจ้า และเผอิญเป็นพี่ชายแท้ๆของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้แสดงบทบาทในสภาได้แสบสันกว่าพี่ชายมาก

แต่เสรีไทยสายเจ้าก็มีบทบาทโลดแล่นในระยะแสนสั้น ต่อมาม.ร.ว.เสนีย์ก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับ จากสิงห์เดี่ยวที่หวังพึ่งเสียงส.ส.มุ้งนายปรีดีในสภา ก็กลายพันธุ์ไปรวมกับน้องชายและนายควง ตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเป็นตัวปัญหาของบุคคลและพรรคอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองอย่างแท้จริง
ดังนั้น โดยเนื้อแท้แล้วปัญหา(ถ้ามี)จะอยู่ที่ เสรีไทยสายในประเทศที่อยู่ใต้คาถาของนายปรีดีเท่านั้น

แม้จะประกาศสลายตัว เคลียร์ตัวเองแล้วเคลียร์ตัวเองอีก ก็ยังไม่มีใครเชื่อว่า กองกำลังจัดตั้งที่ฝึกอาวุธไว้ แล้วได้รับการสนุบสนุนยุทธปัจจัยมากมาย ส่งผ่านสนามบินลับเข้ามาจะถูกเก็บส่งทางราชการหมดแล้วตอนสิ้นสุดสงคราม อย่างน้อยสายข่าวทางทหารเองก็ไม่เชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางอิสานที่อยู่ภายใต้การนำของส.ส.ที่มีอุดมการณ์ในแนวสังคมนิยมเช่นเดียวกับตัวอาจารย์หลายคน พวกนี้มีสายโยงใยเข้าไปในบ้านพี่เมืองน้องที่อยู่คนละฟากฝั่งโขง วันดีคืนดีทางโน้นก็ประกาศจะรวมชาติขึ้นมาโดยรวมดินแดนของน้องพี่ทางฝั่งนี้เข้าไปใต้ธงเดียวด้วย เขาประกาศมาอย่างนี้มันก็เหมือนกับตอกลิ่มให้กับคนในชาติไทยอย่างได้ผล เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหารหรือการปราบกบฏที่มีนายปรีดีอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น ฝ่ายสมุนจอมพลป.มักจะอ้างกองกำลังพลเรือน(ผมชอบคำที่ท่านอาจารย์เทาชมพูที่ท่านตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกให้แตกต่างกับคำว่าราษฎรหรือประชาชนที่นักการเมืองชอบอ้างลอยๆมาก) ติดอาวุธ จะเข้ามาปฏิบัติการอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งไม่เคยปรากฏว่ามีจริง หรือถ้ามี ก็คงจะยังไม่มีศักยภาพพอที่จะมาสู้รบกับทหารของชาติในเมืองหลวงได้

ดังนั้น กองกำลังหลักที่สนับสนุนนายปรีดี จะมาจากสายทหารเรือ ในที่สุดทหารเรือกลุ่มน้อยนี้ก็พาทั้งกองทัพเรือไปสู่หายนะได้ ทั้งๆที่มิได้มีอุดมการณ์อะไรๆเหมือนกับนายปรีดีเลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:20
ทหารเรือ ถูกลากเข้ามาพัวพันทางการเมืองก็เริ่มต้นตั้งแต่สมัย2475 เช่นกัน มีนายทหารหนุ่มๆนับสิบมาเป็นผู้ก่อการคณะราษฎรกับเขาด้วย เช่นน.ต.หลวงสินธุสงครามชัย น.ต.หลวงศุภชลาศัย ร.อ.หลวงธำรงนาวาสวัสด์ เป็นต้น  หลวงธำรงนั้นเติบโตทางการเมืองขึ้นมาเป็นถึงพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และจับพลัดจับผลูได้เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การสนับสนุนของนายปรีดีผ่านส.ส.ในมุ้งของตน การมีตำแหน่งใหญ่โตน่าจะทำให้พล.ร.ต.ถวัลย์มีพรรคพวกในกองทัพเรือพอสมควร แต่ทหารเรือส่วนใหญ่แล้วกลับมีความเห็นเหมือนชาวบ้านทั่วไปว่ารัฐบาลมีผลงานย่ำแย่ ประชาชนยากจนลง พล.ร.ต.ถวัลย์ไม่มีความรู้ความสามารถในการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นระดับปากท้องชาวบ้านหรือระดับชาติ ทหารเรือตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการลงมาต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในสภา แต่ไม่ต้องการรัฐประหาร

เมื่อพล.ท.ผินทำการปฏิวัติรัฐประหาร ทหารเรือไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต่อต้านหรือไม่ เพราะเกรงว่าจะคนจะเข้าใจว่าสนับสนุนพล.ร.ต.ถวัลย์ที่ใครๆก็ร้องอี๋ อธิบดีกรมตำรวจซึ่งเป็นนายทหารเรือรุ่นๆพล.ร.ต.ถวัลย์ยังปฏิเสธที่จะเข้าแทรกแซงเมื่อเห็นรายงานของสันติบาลว่าทหารบกจะปฏิวัติ เพราะกลัวว่ารัฐบาลพล.ร.ต.ถวัลย์จะอยู่ยืดนั่นเอง พลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย)ได้ไปหานายทวี บุณยเกตุที่บ้านเพื่อถามตรงๆว่า จะร่วมมือกันต่อต้านคณะปฏิวัติหรือไม่ แต่นายทวีกลัวว่าบ้านเมืองจะกลายเป็นสามก๊ก มีก๊กพล.ร.ต.ถวัลย์และนายปรีดี  ก๊กจอมพลป.และพล.ท.ผิน และก๊กผบ.ทร.และตน จึงตอบปฏิเสธ

เมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากที่จอมพลป. ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย อันเป็นตำแหน่งใหม่เอี่ยมล่าสุด ได้ทำหนังสือถึงผบ.ทร.ขอให้ส่งมอบตัวพล.ร.ต.ถวัลย์และนายปรีดี ตามข่าวว่าอยู่ในความดูแลของกองทัพเรืออยู่ที่สัตหีบ พล.ร.อ.สินธุ์จึงนำหนังสือนั้นให้บุคคลทั้งสองดู ซึ่งท่านก็เข้าใจทันทีว่าท่านจำเป็นต้องไปแล้ว มิฉะนั้นเจ้าของบ้านจะมีปัญหาแน่ๆ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:24
เส้นทางที่อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และอดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ติดตามรวมทั้งหมด5ชีวิตใช้ในการเดินทางออกนอกประเทศ ค่อนข้างจะเหนือชั้นสักหน่อย คือให้ทหารเรือลักลอบพากลับเข้ามากรุงเทพก่อน หลังจากนั้น ด้วยความร่วมมือของเอกอัครราชทูตอังกฤษและเอกอัครราชทูตอเมริกา ได้ติดต่อผู้จัดการใหญ่บริษัทน้ำมันเชลล์ นำบุคคลทั้งห้าขึ้นเรือบรรทุกน้ำมันเดินทางไปสิงคโปรอย่างปลอดภัย
 
ต่อมาเอกอัครราชทูตอังกฤษได้ทำหนังสือชี้แจงต่อรัฐบาลไทยว่าที่ร่วมมือกับเอกอัครราชทูตอเมริกันกระทำการดังกล่าวก็เพราะไม่อยากจะเห็นการนองเลือดในประเทศไทย(สงสัยมั้ย..มีอารายอ๊ะปล่าว) ส่วนนายปรีดีก็โฟนอิน เอ้ย ออนแอร์มาเมืองไทยผ่านวิทยุกระจายเสียงของสิงคโปร ขอร้องให้ผู้ที่เคยร่วมขบวนการเสรีไทยด้วยกันมา อย่าใช้กำลังรุนแรงใดๆอันจะทำให้เกิดการประหัตประหารกันเอง เพราะจุดมุ่งหมายเดิมจะต่อต้านญี่ปุ่นมิใช่คนไทยด้วยกัน “แต่ทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าใคร่ขอร้องต่อผู้ที่ครองอำนาจ ไม่ให้กระทำการใดๆ อันเป็นการท้าทายเพื่อนฝูงของข้าพเจ้า”

คำขอร้องนี้ไม่มีผลต่อครูเตียง ศริริขันธ์ ที่กำลังอยู่ที่เมืองจีน ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะกลับไปอิสานเพื่อเตรียมตัวรบกับรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายนี้ “ผมจะประกาศอิสานอิสระ….จนกว่าเราจะได้รัฐบาลของประชาชนอย่างแท้จริง”

จากนั้นนายเตียงก็หาทางไปสกลนคร เอาอาวุธที่เก็บไว้ออกแจกจ่ายกองกำลังพลเรือน ขึ้นไปตั้งค่ายอยู่บนภูพาน เป็นศูนย์บัญชาการต่อต้านคณะรัฐประหาร อันเป็นที่มาของการกวาดล้างที่เรียกว่า “กบฏแบ่งแยกดินแดน ปี2491” คณะรัฐประหารได้จัดกำลังถึง5กองร้อย ไล่ล่านายเตียงคนเดียวแต่ก็ไม่สำเร็จ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:28
คณะรัฐประหารของพลโทผินด้วยความเห็นชอบของจอมพลป.ที่ยังหาจังหวะที่จะขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลยไม่ได้ เพราะตนเพิ่งหลุดจากข้อหาอาชญากรสงครามมาโดยเนื้อคดีแท้ๆยังมิได้ผ่านการพิจารณาของศาล เกรงว่าอังกฤษและอเมริกาจะไม่ให้การรับรองรัฐบาล  จึงเอาตำแหน่งนี้ไปยกให้นายควง ในฐานะที่ถูกส.ส.กลุ่มนายปรีดีแซะออกไปจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยเทคนิกการเสนอพ.ร.บ. “ปักป้ายราคาข้าวเหนียว” และต่อมานายควงก็นำพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจพล.ร.ต.ถวัลย์7วัน7คืน สั่งสอนวิธีบริหารราชการบ้านเมืองต่างๆจนชาวบ้านเคลิบเคลิ้มตามไปด้วยว่าถ้าพรรคนี้เข้ามาเป็นรัฐบาลแทนแล้วบ้านเมืองน่าจะดีวันดีคืน จอมพลป.เป็นนักการเมืองรุ่นเก๋ากึ่กย่อมอ่านเกมออก พูดโม้ดีนักก็จัดให้เป็นซะเลย พักเดียวเดี๋ยวทำไม่ได้ตามที่โม้ไว้ก็จะเท่ากับฆ่าตัวตายไปเอง
 
นายควงพอเป็นนายกรัฐมนตรีได้ระยะหนึ่งก็จัดการยัดข้อหานายปรีดีในคดีสวรรคตแล้วทำหนังสือไปขอให้อังกฤษส่งตัวแบบผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลอังกฤษไม่เห็นด้วยกับคำขอดังกล่าวแต่ก็แนะนำฝากฝังให้นายปรีดีไปอยู่เมืองจีนเสียดีกว่า นายปรีดีเลยได้ไปอยู่กับรัฐบาลจีนคณะชาติของเจียงไคเช๊กหลายปีก่อนจะกลับมาทำการรัฐประหารในปี2492ที่กลายเป็นกบฏวังหลวง แล้วเลยต้องนิราศจากเมืองไทยไปชั่วนิรันดร์ การที่นายปรีดีไปอยู่เมืองจีนมักจะถูกเอ่ยถึงอย่างห้วนๆให้ดูเหมือนว่าไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้เปื้อนสีแดงหน่อยๆ แต่ความจริงแล้ว ตอนแรกไม่ใช่

รัฐบาลของนายควงชุดนี้มีคณะรัฐมนตรีที่มาจากบุคคลภายนอกเยอะมาก โดยเฉพาะอดีตนักโทษการเมืองที่พ้นโทษจากพ.ร.บ.นิรโทษกรรม จึงมีปัญหาความไม่พอใจของส.ส.ในพรรคที่ไม่ได้รับตำแหน่งเหมือนกับที่เกิดในปัจจุบันนี้นั่นแหละ อย่างไรก็ดีนายควงก็ได้ยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยหวังว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้วรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะได้รับการรับรองจากนานาประเทศ แต่ก่อนจะมีการเลือกตั้ง นายควงและจอมพลป.ก็จับมือกันกวาดล้างอิทธิพลของนายปรีดี เริ่มต้นด้วยการออกพระราชกำหนดคุ้มครองความสงบสุข เพื่อเปิดโอกาสให้คนของคณะรัฐประหารกระทำการตรวจค้น จับกุม ยึดทรัพย์บุคคลจำนวนหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มของนายปรีดี ทั้งพวกที่เป็นส.ส.และพวกที่ไม่ใช่นักการเมือง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:32
ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อปลายเดือนมกราคม 2491 เสร็จสิ้นลง ประเทศมหาอำนาจได้ให้การรับรองรัฐบาลแล้ว คณะรัฐประหารจึงได้ดำเนินการกดดันให้นายควงลาออกโดยส่งนายทหารบกยศนายพัน 4 คน ที่สร้างผลงานถล่มประตูทำเนียบท่าช้างของนายปรีดีด้วยกระสุนปืนนับร้อยๆนัดและใช้รถถังพุ่งชนเข้าไปจะจับตัวนายปรีดี แต่งเครื่องแบบเต็มยศไปพบนายควงที่บ้านตอนเช้าตรู่ เร่งรัดจะพบจนเจ้าของบ้านต้องต้อนรับแขกในชุดกางเกงแพร เมื่อโอภาปราศรัยดิบดีแล้วผู้ที่ติดเครื่องหมายยศศุงสุดก็บอกนายควงด้วยอาการนอบน้อมว่าท่านสมควรลาออกได้แล้ว เพราะค่าครองชีพไม่ลดลงเลย นายควงอ้าปากหวอตอบว่ารัฐบาลเพิ่งจะได้ทำงานจริงๆเพียงเดือนเดียว แต่ก็ตลกต่อไปไม่ออกเพราะแขกขอตัวกลับ โดยบอกว่าให้เวลาคิด24ชั่วโมงแล้วจะมาฟังคำตอบ

นายควงพยายามทำดีที่สุดในวันนั้นด้วยการติดต่อไปยังพลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ แต่ติดต่อไม่ได้ จึงติดต่อไปยังพลอากาศเอก หลวงเทวฤทธิ์พันลึก ผู้บัญชาการทหารอากาศ แต่ไม่ได้รับการตอบรับเนื่องจากผู้บัญชการทหารอากาศกำลังจะอุปสมบท หลังจากเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วนที่บ้านพักในเย็นวันนั้น รัฐมนตรีที่เห็นควรให้ลาออก คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้เหตุผลยอมรับว่า รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จริงๆ ผู้ที่สนับสนุนให้ต่อสู้ก็มี แต่ไม่ได้บอกว่าจะสู้ด้วยวิธีอะไร นายควงจึงยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 6 เมษายน 2491 โดยดี
สภาได้เลือกจอมพลป.พิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่  และแถลงต่อสาธารณะชนว่า นายควงลาออกโดยสมัครใจ ตนเองไม่อยากจะรับ แต่เมื่อเป็นพระบรมราชโองการ ก็ต้องรับไว้

จอมพลป.ยังไม่มีส.ส.อยู่ในมุ้งของตนเลยสักคนเดียว แต่ก็ดำเนินการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแบบสหพรรคขึ้นมา ดูเหมือนสมัยนี้จะเรียกให้ฟังโก้ๆว่ารัฐบาลแห่งชาติ ดึงเอาประชาธิปัตย์ที่ตัวพรรคเปลี่ยนจากมิตรไปเป็นศัตรูแล้ว แต่ส.ส.ประชาธิปัตย์บางคนที่ต่อรองได้ก็ดึงมาเป็นรัฐมนตรี คุมเสียงส.ส.ในมุ้งจำนวนหนึ่งให้ได้ก็แล้วกัน ส.ส.กลุ่มนี้ก็ยกมือสวนกับมติพรรคตลอดเพราะตอนนั้นยังไม่มีมาตรการห้าม เล่นเอาประชาธิปัตย์เกือบพังโดยไม่ต้องคอยลุ้นถึงพ.ศ.นี้ กล่าวกันว่า นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การเมืองไทยเอาระบบโควต้ามาตั้งคณะรัฐมนตรี โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการบริหารบ้านเมือง ขอเพียงให้มีความชำนาญว่าทำอย่างไรจะสั่งเพื่อนส.ส.ในสภาสัก8คน ให้ยกมือหรือไม่ยกมือตามที่ตนจะสั่งได้เท่านั้น ก็สามารถเป็นรัฐมนตรีได้แล้ว ในวันแถลงนโยบายต่อสภานั้น จอมพลป.ชนะในการลงมติด้วยคะแนน 70 ต่อ26 งดออกเสียง 73 จากจำนวนองค์ประชุมในสภา 169 คน ประชาธิปัตย์ก็เป็นฝ่ายค้านที่เดี้ยงๆไปในสภาโดยบัดดล

จอมพลป.พิบูลสงครามได้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นยุคที่2สมอยาก และช่วงระยะ5ปีแรกนี้ ได้เกิดเหตุการณ์กบฏขึ้นแทบจะทุกปีดังนี้


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:36
“กบฏเสนาธิการ”

เมื่อมีระบบเลี้ยงส.ส.ในมุ้ง ก็ต้องมีการหาเงินหาทองมาอัดฉีด พวกนี้ก็กำลังกินจุกำลังนอนกันทั้งนั้น เริ่มต้นก็ด้วยมีเสนอให้ตำแหน่ง หรืออามิสแก่พรรคร่วมโดยเปิดเผย ให้ไปเป็นกรรมการนั่นกรรมการนี่ ทั้งนี้ไม่รวมถึงการเพิ่มเงินเดือนส.ส.ทั้งสภาคนละ1000บาท (ประมาณ30%ของเงินเดือนเดิม)ให้สงบปากสงบคำกันหน่อย ทำให้หนังสือพิมพ์วิจารณ์กันไม่เลี้ยง จนในที่สุดก็เกิดการก่อหวอดกบฏขึ้นเป็นครั้งแรกของรัฐบาลจอมพลป.เรียกว่า “กบฏเสนาธิการ”

ในเดือนตุลาคม 2491 พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต และพล.ต.เนตร เขมะโยธินนายทหารนักเรียนนอกอดีตเสรีไทย เป็นนายพลหนุ่มอายุเพียง37ปี อนาคตกำลังรุ่งโรจน์  เป็นหัวหน้าคณะ ชักจูงนายทหารระดับเสนาธิการกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกคณะรัฐประหารย้ายออกไปจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ลูกน้องของตนเสียบเข้าแทนที่  วางแผนที่จะเข้ายึดอำนาจการปกครอง เพื่อกำจัดพวกทหารนักปฏิวัติเหล่านั้น และจะปรับปรุงกองทัพจากความเสื่อมโทรมต่อไป หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมในคณะนี้คือพ.ท.โพยม จุลานนท์ ที่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยถึงขั้นลาออกจากกองทัพบกไปลงสมัครรับเลือกตั้งที่เพชรบุรี ได้รับเลือกตั้งเข้าสภา เมื่อนายควงถูกคณะรัฐประหารจี้ให้ลาออก พ.ท.โพยมโกรธมาก จึงเข้ามาสมทบ กำหนดวันลงมือปฏิบัติการในวันที่1ตุลาคม2491 ในคืนที่จะเลี้ยงฉลองงานแต่งงานของพล.ต.สฤษดิ์กับนางสาววิจิตรา ชลทรัพย์ ซึ่งประมาณว่าตัวบิ๊กๆในคณะรัฐประหารจะมาพร้อมหน้า ก็จะลงมือจับกุมทุกคน ปรากฏว่ามีคนหักหลังเสียก่อน เอาความลับไปบอกจอมพล ป. นายกรัฐมนตรี ให้ทราบแผนการ จึงจับกุมผู้คิดกบฏในคืนวันที่30กันยายนทั้งหมดยกเว้น พล.ต.เนตรและพ.ท.โพยมหลุดรอดไปได้สองคน

ต่อมารัฐบาลประกาศจับนายทหารทั้งสอง ซึ่งพล.ต.ต.เผ่า ศรียานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจก็ถือโอกาสใส่ร้ายป้ายสีด้วยความชำนาญว่า นายปรีดีเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกบฏครั้งนี้โดยต่อท่อน้ำเลี้ยงผ่านญาติชื่อนายอรรถกิตติ พนมยงค์เป็นเงิน10ล้านบาทเพื่อเป็นทุนก่อการ

ส่วนผู้ต้องหาคดีกบฏนี้ที่ถูกจับได้ คณะรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องราวไปให้กรมตำรวจ หลังจากทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ส่งสำนวนต่อไปให้กรมพระธรรมนูญดำเนินการต่อ แต่เจ้าพนักงานกรมพระธรรมนูญเห็นว่าเป็นเรื่องที่ ยังไม่มีความผิดปรากฎ จึงสั่งไม่ฟ้อง เป็นอันว่า พวกกบฎเสนาธิการถูกปล่อยเป็นอิสระภาพไป.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:46
“กบฎแบ่งแยกดินแดน”

หลังจากเหตุการณ์กบฎเสนาธิการ 1 ตุลาผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ต่อมาในวันที่ 30 ตุลาคม ถึงต้นเดือนเดือนพฤศจิกายน ในปีเดียวกันนั้นเอง ได้เกิด “กบฎแบ่งแยกดินแดน” ขึ้นมาอีก เริ่มจากการจับกุม นายฟอง สิทธิธรรมส.ส.อุบลราชธานี ที่ลักลอบส่งคนไปศึกษาวิชาทหารที่คุนมิง แล้วกลับมาทำการยุยงชาวบ้านให้แยกอีสานเป็นรัฐอิสสระจากราชอาณาจักรไทย

ต่อมาได้จับนายทิม ภูริพัฒน์ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ นายถวิล อุดล นายฟอง สิทธิธรรม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนแล้วก็จะสั่งฟ้องเฉพาะนายเตียง ศิริขันธ์ และ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เท่านั้น ที่เหลือปล่อยไป ซึ่งต่อมานายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ก็ได้รับการปลดปล่อยอีกเพราะไม่มีหลักฐานอะไรจะเอาผิด

อย่างไรก็ดี จอมพล ป. ได้ใช้โอกาสในการจับกุมผู้ต้องหาเป็นกบฎนี้ แถลงทางวิทยุกระจายเสียงเชื่อมโยงกับนายปรีดี และบอกว่า รัฐบาลทราบแผนการณ์ที่นายปรีดีเตรียมการจะปฎิวัติดีอยู่แล้ว และยังเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงจุดปะทะหากรัฐบาลจำเป็นต้องกระทำการเพื่อรักษาความสงบ หลังจากนั้นจอมพล ป.ได้พยายามขอออกกฎอัยการศึกแต่สภาไม่เห็นด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:51
“กบฎ 23 กุมภา”

เช้าวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2492 พ.อ.ศิลป รัตนพิบูลชัย เจ้ากรมรักษาดินแดน ได้เข้ามาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และกระซิบรายงานให้จอมพล ป. ทราบว่า รถถัง 6 คัน พร้อมด้วยทหารอาวุธครบมือ กำลังมุ่งหน้ามายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อหวังสังหารคณะรัฐมนตรีทั้งชุด

แต่เพราะพล.ต.สฤษดิ์ ได้ทราบแผนล่วงหน้าก่อน จึงได้ทำการยับยั้งไว้ได้ หลังการจับกุมทหารชั้นผู้น้อยกลุ่มนั้นแล้ว พล ต.ต.เผ่า ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปรามได้ทำการกวาดล้างจับกุมบุคคลต่างๆที่มีความเข้าใจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเช่น พ.อ.ทวน วิชัยขัทคะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสมัยนายปรีดี และทหารอีกหลายคน เพื่อนำไปสอบสวน

ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลจึงได้มีคำสั่งให้ทั้ง 3 กองทัพเตรียมพร้อม และปิดถนนสายสำคัญๆหลายสาย เช่น ถนนกรุงเทพฯ-สมุทรปราการ บริเวณพระบรมรูปทรงม้า ทำเนียบรัฐบาล ถนนสายบางกระบือ ร. พัน 3 จากสะพานควายถึงบางซื่อ และยังได้นำรถถังออกมาวิ่งเพ่นพ่านตามถนน เพื่อเตรียมการปราบกบฏ
นี่เป็นเหตุการณ์กบฏที่ไม่ปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ เลยไม่ทราบว่าที่ทหารเอารถถังมาขับบนถนนเป็นเรื่องจริงหรือแค่เล่นละครต้มคนดู

อย่างไรก็ดี ทันทีที่มีข่าวเหตุการณ์กบฎเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2492 รัฐบาลก็รีบประกาศภาวะฉุกเฉินในวันเดียวกันนั้น แล้วยังได้ออกแถลงการณ์ตักเตือนหนังสือพิมพ์ให้คำนึงถึงความสงบของประเทศ อย่าเขียนโฆษณาใดๆที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบเป็นอันขาด ถ้าฝ่าฝืน และแสดงตนเป็นปริปักษ์ต่อความสงบสุขของชาติต่อไปแล้ว รัฐบาลจะต้องดำเนินการเท่าที่เห็นสมควร


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 14:56
“กบฏวังหลวง”

ตอนแรกนายปรีดีหลังจากลี้ภัยไปอยู่เมืองจีนได้ระยะหนึ่ง ทราบว่าเมืองไทยมีแต่ข่าวร้ายๆเพื่อป้ายสีให้ตนหลุดวงโคจรทางการเมืองให้ได้ โดยเฉพาะกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ที่นายปรีดีต้องการกลับมาสู้คดี จึงพยายามติดต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลและ ในราชการเช่นพล.ต.ต เผ่า ศรียานนท์ พล.ต. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อขอให้คุ้มครองประกันความปลอดภัยแต่ได้รับการปฏิเสธ จึงตัดสินใจเลือกวิธีโค่นล้มรัฐบาลโดยใช้กำลัง จากทหารเรือ และ"กองทัพพลเรือน"อดีตเสรีไทย

นายปรีดี พร้อมด้วย ร.อ. วัชรชัย ชัยสิทธิเวช เลขานุการส่วนตัว และคณะเดินทาง ออกจากกวางตุ้ง เมื่อ 10 มกราคม 2492 โดยเรือสัญชาติอเมริกัน และมาถึงน่านน้ำไทยทอดสมอนอกเกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 พล.ร.ต. สังวร สุวรรณชีพให้นำเรือยนต์ไปรับเมื่อ 22.00 น. ของวันที่13 กุมภาพันธ์2492 ตามที่ติดต่อประสานไว้

แผนการยึดอำนาจของนายปรีดี เป็นปฏิบัติการแบบสายฟ้าแลบพร้อมกัน เพื่อยึดสถานที่ยุทธศาสตร์ จับกุมบุคคลสำคัญ ปิดล้อมกองพันต่าง ๆ แล้วทำการปลดอาวุธ จากนั้นจึงล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศตั้งรัฐบาลใหม่
 
แผนแรกคือใช้กำลังส่วนหนึ่งเข้ายึดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เอาไว้ เป็นกองบัญชาการเพื่อรวมพล โดยส่งคนไปนัดหมายสมาชิกเสรีไทยประมาณ 50 คน ว่าจะมีงานเลี้ยง ในวันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 เวลา 19.00 น. ที่มหาวิทยาลัย

แผนต่อไปคือ เข้ายึดพระบรมมหาราชวังไว้เป็นกองบัญชาการชั่วคราว เหตุผล เพราะมีกำแพงมั่นคงแข็งแรง และฝ่ายรัฐบาลคงไม่กล้าใช้อาวุธหนักเข้าทำการปราบปราม และที่สำคัญคืออยู่ติดกับกองเรือรบ

ส่วนกองบัญชาการคุมกำลังของทหารเรือ และเป็นคลังสรรพาวุธอันนั้น อยู่ที่กองสัญญาณทหารเรือที่ศาลาแดง กำลังอีกส่วนหนึ่งให้ไปยึดบริเวณวัดพระเชตุพนตรงข้ามกับ ร.พัน1. เพื่อเป็นการตรึงกำลังไว้ เมื่อกำลังส่วนต่างๆเข้ายึดสถานที่ดังกล่าวได้แล้ว กลุ่มเสรีไทยเก่าก็จะเคลื่อนกำลังเข้าสมทบโดยเร็วที่สุด โดยนายชาญ บุนนาค จะเป็นผู้นำพวกเสรีไทยหัวหินเข้าสู่พระนคร นายชวน เข็มเพชร นำพวกเสรีไทยภาคตะวันออกได้แก่ ลาว ญวนอิสระ เข้ามาทางอรัญประเทศ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง นายถวิล อุดล และนายเตียง ศิริขันธ์ จะนำพวกเสรีไทยยึดภาคอิสาน แล้วจะนำพวกเสรีไทยเข้ามาสมทบในพระนคร นายเปลว ชลภูมิ จะนำเสรีไทยจากเมืองกาญจนบุรี เข้ามาสมทบอีก สำหรับทหารเรือที่เป็นฝ่ายนายปรีดีนั้น ก็มี พล.ร.ต. สังวร สุวรรณชีพ  พล. ร.ต. ทหาร ขำหิรัญ จะนำกำลังทหารเรือบางส่วนจากสัตหีบ ชลบุรี ระยอง เคลื่อนมารวมกำลังที่ชลบุรี ต่อจากนั้นจะมุ่งสู่กรุงเทพฯ เพื่อดำเนินตามแผนการณ์ที่วางไว้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:00
ทหารเรือนั้นส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการร่วมมือกับนายปรีดีเลย แต่จากการที่ทหารบกและทหารเรือมีข้อขัดแย้งที่ลึกซึ้งกันมาก่อน จึงได้มีการเคลื่อนพลใหญ่ ทั้งจากหน่วยนาวิกโยธิน กองเรือรบ และกองโรงเรียนชุมพลทหารเรือ อ้างว่าเพื่อทำการซ้อมรบ ส่วนทหารบกก็ไม่น้อยหน้า มีการฝึกซ้อมยิงปืนใหญ่ด้วยกระสุนจริงในระยะเดียวกัน เรียกว่า "การประลองยุทธ์ที่ตำบลทุ่งเชียงราก"

ขณะนั้นรัฐบาลซึ่งพอทราบระแคะระคาย เกี่ยวกับการกลับมาของนายปรีดี ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นแล้วในตอนเย็นของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 มี การเตรียมพร้อมตามกองพันต่างๆ มีการตั้งปืนกลตามจุดที่สำคัญ
 
แผนของนายปรีดีผิดตั้งแต่กำลังนาวิกโยธินจากจังหวัดชลบุรี ที่เตรียมมาปฏิบัติการข้ามแม่น้ำบางปะกงมาไม่ได้ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีสพาน แพขนานยนต์ติดแห้งที่ท่าข้าม ต้องรอน้ำขึ้น

20.30 น เรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวชนายทหารนอกราชการ  ได้เคลื่อนกำลังออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงหน้าประตูวิเศษไชยศรี ก็ร้องเรียกให้ผู้กองรักษาการณ์ ร.พัน.1 ประจำพระบรมมหาราชวัง ออกมาพบแล้วเอาปืนจี้ จากนั้นก็บุกเข้าไปปลดอาวุธทหารที่รักษาการณ์ทั้งหมด เข้ายึดพระบรมมหาราชวังไว้ได้ตามแผนแล้ว นายปรีดี กับพรรคพวกได้พากันเข้าไปในสถานีวิทยุของกรมโฆษณาการพญาไท แล้วใช้อาวุธบังคับเจ้าหน้าที่ให้กระจายข่าวเมื่อเวลา 21.15 น.ว่าได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม และคณะรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง และโปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งนาย ดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง ให้นายทวี บุณยเกต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และได้ประกาศแต่งตั้งและปลดบุคคลสำคัญ อีกหลายคน จากนั้นก็ถอดชิ้นส่วนของเครื่องกระจายเสียงไปด้วย เพื่อป้องกันมิให้รัฐบาลทำการกระจายเสียงต่อไป


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:06
คำแถลงการณ์จากวิทยุดังกล่าวแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว คนกรุงเทพต่างรีบกลับบ้านกันจ้าละหวั่น บรรดาผีเสื้อราตรีทั้งหลายต่างบ่นกันพึม

จุดแรกที่พวกนายปรีดีจะเข้ายึดก็คือ กรมรักษาดินแดน อันอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ. จำรัส จำรัสโรมรัน รองเจ้ากรมรักษาดินแดน ด้วยคำสั่งจากกองบัญชาการของรัฐบาลให้เตรียมรับสถานการณ์จากฝ่ายกบฎ ทำให้ทหารเข้าประจำอยู่ตามจุดต่างๆ อย่างพร้อมเพียง เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ฝ่ายกบฎจึงได้ให้คนยกธงขาวขอเปิดการเจรจาด้วยสันติวิธี แต่ได้รับการปฎิเสธพ.อ.จำรัสยังได้ยื่นคำขาดให้ฝ่ายกบฎถอยออกไปเสียจากวังหลวง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อนรุ่งอรุณเสียด้วย ถ้าไม่ปฎิบัติตามจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อไป

23.00 น. ฝ่ายกบฎใช้เครื่องยิงลูกระเบิด ค. 85 ชุดแรกไปยังวังสวนกุหลาบ อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหาร 4 นัด แต่ลูกกระสุนพลาดเป้า
02.00 น. พล.ต.ต.เผ่า ได้นำกำลังตำรวจ ได้เข้ายึดสถานีวิทยุกรมโฆษณาการ พญาไท และยิงพันตรี โผน อินทรทัต ซึ่งเป็นฝ่ายนายปรีดีตาย แต่ไม่สามารถส่งกระจายเสียงได้ เนื่องจากชิ้นส่วนของเครื่องส่งถูกถอดออก จึงย้ายไปส่งกระจายเสียงประกาศของจอมพล ป. จากสถานีวิทยุกรมจเรทหารสื่อสาร แจ้งว่ารัฐบาลได้แต่งตั้งให้ พล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้อำนวยการปราบปรามกบฎคราวนี้ และให้ประชาชนอยู่ในความสงบ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:13
ในด้านสะพานเฉลิมโลก (ตรงประตูน้ำ) อันเป็นแดนแบ่งเขตรักษาการณ์ที่ตกลงกันแต่ดั้งเดิมระหว่างทหารบกและทหารเรือ หรือเป็นพื้นที่ร่วม ได้เกิดการเข้าใจผิดจนปะทะกันและลุกลามใหญ่โตเป็นสงครามกลางเมือง เมื่อเรือตรี ประภัทร จันทรเขต หัวหน้าสายตรวจทหารเรือ ขอเข้าไปตรวจในเขตนั้นแต่ทหารบกไม่ยอม เกิดการโต้เถียงและยิงกันจนเรือตรี ประภัทร ถูกยิงบาดเจ็บสาหัส ทำให้น.อ.ชลี สินธุโสภณ ผู้บังคับการกองสัญญาณทหารเรือ ซึ่งท่านมีนิสัยรักลูกน้องยิ่ง เกิดความเจ็บแค้น จึงออกอากาศทางสถานีวิทยุของกองสัญญาณทหารเรือ ซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้งว่า ทหารบกกระทำแก่ทหารเรือจนสุดจะทนทานแล้ว ขอให้ทหารเรือกระทำตอบแทนบ้าง โดยให้เรือรบทุกลำเข้ามาในพระนครเพื่อทำการต่อสู้กับทหารบก เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของทหารเรือเอง การปลุกเร้านี้ได้ผล แม้กระทั่งเรือรบที่กำลังฝึกทางทะเลก็ยังบ่ายหน้ากลับเข้ามา

การต่อสู้ที่รุนแรงระหว่างทหารบกและทหารเรือจึงเกิดขึ้นจากความไม่พอใจที่ทหารเรือถูกทหารบกยิง มิใช่อยู่ที่การต่อสู้เพื่อยึดอำนาจการปกครองของนายปรีดีแต่อย่างใด ดังเช่นกองพันนาวิกโยธิน ที่ 4 และ 5 ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการของฝ่ายกบฏ ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับฝ่ายที่กำลังต่อสู้กับรัฐบาลแต่อย่างใด การที่ทหารเรือไม่ได้สนับสนุนเต็มที่ในทุกส่วนนี่เอง เป็นผลให้นายปรีดี ต้องประสพความพ่ายแพ้ในเวลาต่อมา

เวลา 02.00 น.พล.ต. สฤษดิ์ สั่งการให้ปิดล้อมพระบรมมหาราชวัง 3 ด้าน ยกเว้นด้านกองเรือรบ และบุกเข้าไปในพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชย รถถังคันหนึ่งในจำนวนหลายคันถูกปืนบาซูก้ากระหน่ำเสียจนไปต่อไม่ได้ จากนั้นรถถังอีก 2 คันก็พุ่งเข้าชนจนประตูเบื้องซ้ายพังลงมา จากนั้นก็พากันบุกเข้าไปอย่างรวดเร็ว เกิดการยิงต่อสู้กันอย่างรุนแรง

อีกด้านหนึ่งกำลังทหาร ร. พัน 1 สวนเจ้าเชตุ ได้เคลื่อนเข้ายึดวังสราญรมย์ พอเวลา 06.00 น. ได้ระดมยิงปืนใหญ่ใส่ประตูสวัสดิ์โสภาและเทวาพิทักษ์พังลง เปิดทางให้ทหารราบกรูกันเข้าไปในพระบรมมหาราชวังได้อีก ฝ่ายกบฎจึงตกอยู่ในฐานะลำบาก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:23
นายปรีดี ในชุดพันจ่าเอกไว้หนวด ร.อ.วัชรชัยและชนชั้นหัวหน้า พากันหลบหนีออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูเทวาภิรมย์ ด้านท่าราชวรดิษฐ์ แม้ว่าผู้ก่อการชั้นหัวหน้าจะหนีไปแล้ว แต่ทหารบกกับทหาร เรือยังยิงกันต่อไป จนสายก็ยังไม่หยุดกว่าผู้บังคับบัญชาทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดยิงกันได้ก็เป็นเวลา10.15 น. และจากนั้นก็ไกล่เกลี่ยกันจนเป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว แต่ละฝ่ายก็เคลื่อนกำลังกลับสู่ที่ตั้งของตน

นายปรีดี ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยต่อไปอีกประมาณหกดือน จึงได้อาศัยเรือหาปลาเล็ก ๆ ลำหนึ่ง เดินทางไปสิงคโปร แล้วเดินทางโดยเรือเดินสมุทรไปฮ่องกง และต่อด้วยรถยนต์ไปซิงเตา นายปรีดีขอลี้ภัยอยู่ในจีน 21 ปี แล้วต่อมาก็ย้ายไปพำนักที่ฝรั่งเศสอีก 13 ปี จนถึงแก่อสัญกรรม เมื่อ22 พ.ค.2522

ในเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันนี้ ตำรวจได้ถือโอกาสจับนักการเมืองในสายของนายปรีดี4 คน คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ อดีต ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานี และเป็นอดีตรัฐมนตรีถึง 6 สมัย  นายถวิล อุดล อดีต ส.ส.จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นในอดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายทวี บุณยเกตุ นายจำลอง ดาวเรือง อดีต ส.ส.จังหวัดมหาสารคาม ถูกจับกุมตัวในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ส่วนดร.ทองเปลว ชลภูมิ อดีต ส.ส. ซึ่งได้หลบไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ถูกจับในเมื่อ 1 มีนาคม ที่สนามบินดอนเมือง โดยตำรวจตรวจยึดเอกสารระหัสลับเพื่อโทรเลขของฝ่ายกบฏได้ จึงส่งโทรเลขเป็นรหัสไปลวงว่าการปฏิวัติสำเร็จแล้วให้รีบกลับมา บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มก่อการหรือเป็นแกนนำ แต่ถูกวางตัวให้เป็นผู้ร่างกฎหมายและประกาศฉบับต่าง ๆ หากการปฏิวัติสำเร็จ แต่ตำรวจก็เอาไปยิงทิ้งเสียที่หน้าวัดมหาธาตุ บางเขน แล้วป้ายสีให้โจรจีนมลายูอย่างหน้าตาเฉย

อำนาจและอิทธิพลของนายปรีดีในประเทศไทยจึงแทบจะกลายเป็นศูนย์ไปเลยในยกนี้ โอกาสที่จะกลับมาเล่นเกมการเมืองแรงๆอีกจึงไม่มี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:32
"กบฏแมนฮันตัน"

การปะทะระหว่างทหารบกและทหารเรือในเหตุการณ์กบฎวังหลวง ทหารเรือส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าตนเองเข้าข้างฝ่ายกบฏ แต่ถือว่าเป็นการเข้าใจผิดในระหว่างการ ปราบจลาจล ที่มีเหตุมาจากความก้าวร้าวของทหารบก แม้เหตุร้ายจะยุติลงด้วยการไกล่เกลี่ยรอมชอมไปแล้วก็ตาม ความไม่พอใจของทหารเรือที่สะสมเป็นระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 จากการที่ทหารบกเข้ามาคุมอำนาจทางการเมือง และออกคำสั่งที่ทหารเรือไม่สามารถฝืนใจปฏิบัติได้เช่น ในกรณีกบฏบวรเดช ให้เอาเรือปืนไปจอดหน้าสะพานพระรามหกเพื่อระดมยิงสนามบินดอนเมือง และจับผู้บัญชาทหารเรือในข้อหากบฏหลังปฏิเสธคำสั่งนั้นเป็นต้น  ต่อมาทหารบกก็ยังได้ถือโอกาสเข้าแทรกแซงการแต่งตั้งนายทหารเรือเข้ารับราชการในตำแหน่งสูงๆ เอาพรรคพวกของตนมาเป็นใหญ่อยู่ตลอด เมื่อจอมพล ป. ทำการรัฐประหารเข้ามาบริหารประเทศเป็นสมัยที่ 2 ทหารเรือเห็นว่ามิได้กระทำการอะไรเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองเลย นอกจากเป็นเผด็จการแบบเดิมๆ ด้วยการใช้ “กองทัพตำรวจ” ข่มขู่ประชาชน และกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้มนุษยธรรม เช่นดคีสังหาร4นักการเมืองเป็นต้น ความค้างคาใจของทั้งสองฝ่ายจึงรอโอกาสที่จะประทุครั้งใหม่เท่านั้นเอง
 
เหตุการณ์บ้านเมืองต่อมาในปี2493ไม่มีความวุ่นวาย เพราะเป็นปีมงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเสด็จนิวัติประเทศไทยอย่างถาวร

แต่ในปีถัดไป โอกาสที่รอคอยอยู่ก็เกิดขึ้น เมื่อจอมพล ป. จะเหยียบถิ่นของทหารเรือเพื่อเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดลอกสันดอน"แมนฮันตัน" จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในวันที่ 29 มิถุนายน  2494 ที่ท่าราชวรดิตถ์ ต่อหน้าทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ และบรรดาแขกรับเชิญที่จะมาร่วมเป็นเกียรติคับคั่ง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:34
ผู้นำสำคัญในการก่อการกบฏคือ พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกาภา ผู้บังคับการกองสำรองเรือรบ นาวาตรี มนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์ นาวาตรี ประกาย พุทธารี สังกัดกรมนาวิกโยธิน และนาวาตรี สุภัทร ตันตยาภรณ์ สังกัดกรมนาวิกโยธิน นอกนั้นเป็นทหารชั้นผู้น้อย โดยหารู้ไม่ว่าข่าวการรัฐประหารนั้นรั่วไหลไปถึงหูรัฐบาลอยู่ก่อนแล้ว เมื่อถึงกำหนด คงมีแต่จอมพล ป. ยังคงมาเป็นประธานในพิธี แต่นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับสั่งการของรัฐบาลไม่ปรากฏตัวในงานนี้ แต่ได้เตรียมการรับสถานการณ์ไว้แล้วอย่างเงียบๆ

ปฏิบัติการในวันนั้นอุบัติขึ้นภายหลังจากพีธีรับมอบเรือเรียบร้อย จอมพล ป. ก็ได้รับเชิญให้ขึ้นไปชมเรือแมนฮัตตัน เมื่อขึ้นไปแล้ว น.ต.มนัส ก็ถือปืนกลมือ นำทหารเรือกลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นไปถึงตัวจอมพล ป. และบังคับให้ไปลงเรือเปิดหัว วิ่งไปยังเรือรบหลวงศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นจอดลอยลำอยู่ที่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางการตกตลึงของบรรดาทูตานุทูตและผู้เข้าร่วมพิธี ผู้ติดตามจอมพล ป. ทั้งหมดได้แต่มอง ตามโดยมิกล้าเข้าไปช่วยเหลือ

ผู้ที่สนใจในรายละเอียดของเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น ผมขอแนะนำให้เข้าไปอ่าน“เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล” ในเวปนี้ ที่ลงไว้ให้อ่านอย่างจุใจ ครับ


http://www.exnavalcadet.com/sara/view.php?No=1149


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:45
พวกทหารเรือกบฏต้องการจะเอาตัวจอมพล ป. เป็นประกัน ในการตั้งข้อเรียกร้อง ในทางการเมือง แต่คาดผิด ทันทีที่เป็นข่าว คณะรัฐมนตรีมีความเห็นสอดคล้องกันว่า รัฐบาลจะไม่อนุโลมตามข้อเรียกร้องด้วยประการใดๆทั้งสิ้น แถมยังลงมติให้ปราบปรามพวกกบฎด้วยความเด็ดขาดอีกด้วย รัฐบาลจึงได้ออกแแถลงการณ์ข่มขู่ให้พวกกบฎปล่อยตัวจอมพล ป. ให้เป็นอิสระภาพโดยเร็วที่สุด

ดูเหมือนว่า คณะรัฐประหารไม่ห่วงใยชีวิตของจอมพล ป. แม้แต่น้อย จริงอยู่คณะรัฐประหารมิได้ให้ความสำคัญแก่จอมพล ป. เหมือนวันแรกที่ทำการรัฐประหารแล้วทำท่าจะไม่ง่าย ต่อเมื่อจอมพล ป. ปรากฎตัว เหตุการณ์เผชิญหน้ากับทหารของพล.อ.อดุลจึงยุติลงด้วยความเรียบร้อย เวลาต่อมายิ่งนานปี ความเลื่อมใสศรัทธาในตัวจอมพล ป. ก็เริ่มจางลงจนแทบจะไม่มีอิทธิพลเลย ดังนั้นคณะรัฐประหารจึงได้ส่งกำลังรบเข้าปราบปรามทหารเรืออย่างรุนแรงจนต้องแตกกระเจิง หลบหนีกันไปอย่างอลหม่านสับสน โดยไม่กลัวว่าทหารเรือจะแก้แค้นเอากับตัวประกัน

แม้ว่าทหารเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งพระนครจะแตกพ่ายไปแล้วก็ตาม สำหรับทหารเรือบนร.ล.ศรีอยุธยา น.ต.มนัส จารุภายังมั่นใจว่า ตราบใดที่จอมพล ป. ยังถูกอยู่บนเรือแล้ว คณะรัฐประหารคงจะไม่กล้าทำการรุนแรง จึงเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะในรุ่งขึ้นวันที่ 30 มิถุนายนนั้นเอง รัฐบาลได้ส่งเครื่องบินของกองทัพอากาศมายิงปืนกลอากาศรอบๆร.ล.ศรีอยุธยา เพื่อเป็นการเตือนให้ปล่อยจอมพล ป. แต่น.ต.มนัส ยังยืนกรานที่จะไม่ปล่อยจนกว่าจะมีการเจรจา แม่ทัพฟ้า พล.อ.ท.ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนีจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดลงบนร.ล.ศรีอยุธยาที่จอดเป็นเป้านิ่ง โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของจอมพล ป. และความเสียหายที่จะเกิดแก่เรือรบหลวงที่ดีที่สุดของชาติ

จอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี (ยศสุดท้าย) แก้ตัวว่า ระเบิดลูกนั้นตั้งใจเพียงจะขู่ขวัญ เพราะใช้ลูกเล็กที่สุดที่กองทัพมี แต่บังเอิญเป็นโชคร้ายของทหารเรือ ระเบิดตกลงไปพอดีกับปล่องลมระบายอากาศ เลยหลุดลงไประเบิดที่ท้องเรือซึ่งเป็นห้องคลังกระสุน ทำให้เกิดระเบิดต่อเนื่องจนเรือต้องอับปางลงอย่างรวดเร็ว
อ. พิบูลสงครามเขียนในหนังสือปกเขียว บอกพ่อเล่าให้ฟังว่า ขณะนอนอยู่ในห้องนายพลที่อยู่ท้องเรือ มีเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว สะเก็ดระเบิดปลิวว่อนเข้ามาถึงในห้อง จึงลุกขึ้นส่องกระจกดูเพราะรู้สึกคล้ายๆใบหน้าจะโดนอะไรสักอย่าง พอดีลูกระเบิดลูกที่สองหล่นทะลุเพดานมา ตรงกับเตียงที่นาทีที่แล้วนอนอยู่ แล้วทะลุเตียงลงไปทะลุพื้นต่อ หากไม่ได้ลุกขึ้นมาส่องกระจก ก็คงตายอนาถอยู่บนเตียงนั้น
 
ข้อเขียนดังกล่าวจบลงห้วนๆเหมือนไม่จบ ผมสงสัยว่าแล้วระเบิดลูกนั้นมันด้านหรือไฉน เพราะถ้ามันระเบิดขึ้นใต้ห้องนอนนั้นจอมพลป.ก็น่าจะรอดยากอยู่ดี ถ้าลูกนั้นไม่ระเบิด ที่จอมพลอากาศฟื้นบอกว่าทิ้งระเบิดเรือศรีลงไปลูกเดียวก็ไม่จริง

อย่างไรก็ตามไม่กี่วินาทีหลังจากร.ล.ศรีอยุธยาโดนทิ้งระเบิดก็เริ่มเอียง ภายในเรือเกิดการโกลาหลวุ่นวาย ลูกเรือพากันกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาว่ายเข้าหาฝั่ง ทหารเรือคนหนึ่งเอาชูชีพมาสวมให้จอมพล ป. แล้วพากระโดดน้ำหนีรอดออกมาได้ ตอนแรกจะว่ายไปทางฝั่งพระนคร แต่ทหารบกก็ระดมยิงทหารเรือที่ลอยคออยู่ในน้ำอย่างหนาแน่น จึงเปลี่ยนใจว่ายกลับมาฝั่งธนบุรี ลอยคออยู่ใต้ท่าน้ำนานพอสมควรกว่าจะมีทหารเรือมาพบเข้าแล้วช่วยขึ้นจากน้ำ และนำไปส่งตัวคืนกับฝ่ายรัฐบาลอย่างปลอดภัย
 
สำหรับน.ต.มนัส จารุภา เมื่อเอาตัวรอดมาได้แล้วก็หนีไปทางเหนือพร้อมกับเพื่อน แล้วเข้าสู่ประเทศพม่า ตำรวจไทยในยุค"ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้" ระดมกำลังหลายสิบนายเข้าไปยังดินแดนพม่าเพื่อจับตัวกลุ่มทหารเรือกบฏนี้  ทั้งที่พม่าเป็นประเทศอธิปไตยประเทศหนึ่ง ทำให้ทหารเรือกระดูกเหล็กกลุ่มนี้ต้องหลบเข้าสู่ดินแดนมอญอิสระ ปีต่อมาได้แอบกลับเข้ามาเมืองไทย แล้วไปอยู่เมืองลาวพักหนึ่งก่อนกลับทางอีสาน เข้ากรุงเทพและเตรียมจะหนีไปกัมพูชาอีกแต่ถูกจับในปี พ.ศ. 2495

กบฏแมนฮัตตันสิ้นสุดลงด้วยการจับกุมผู้ต้องหาร่วม 1,000 คนไปขังไว้ที่สนามศุ๓ชลาศัย ส่วนใหญ่ปล่อยตัวเพราะหาหลักฐานไม่เพียงพอ จนเหลือฟ้องศาลประมาณ 100 คน ภายหลังนักโทษคดีนี้ส่วนใหญ่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:54
น.ต.มนัส จารุภา รน. ได้บันทึกบทสนทนาระหว่างเขากับจอมพลป. พิบูลสงครามในวันก่อการกบฏแมนฮัตตันในหนังสือ "เมื่อข้าพเจ้าจี้จอมพล" ไว้อย่างชัดเจนดังนี้


ต่อไปนี้เป็นการสนทนาระหว่างท่านจอมพลป. พิบูลสงครามกับข้าพเจ้าสองต่อสอง เท่าที่ข้าพเจ้าจะสามารถทบทวนความทรงจำมาบันทึกเสนอท่านผู้อ่านทั้งหลายได้

ถาม "ในการการกระทำครั้งนี้มีพรรคคอมมิวนิสต์ร่วมด้วยหรือเปล่า"
ตอบ "ไม่มี"

ถาม "แล้วหลวงประดิษฐ์ (นายปรีดี พนมยงค์) ร่วมด้วยหรือเปล่า"
ตอบ "ไม่ได้ร่วม"

ถาม "ได้ซับซิดี้ (เงินสนับสนุน) จากใคร"
ตอบ "พวกที่ทำงานครั้งนี้เป็นพวกคนหนุ่มเกือบทั้งสิ้น ไม่เคยได้รับเงินทองอุดหนุนจากบุคคลหรือคณะใด ๆ มีแต่เงินเดือนของตัวเอง แม้แต่ตัวของผมเองก็มีเงินติดกระเป๋าอยู่ในขณะนี้เพียงพันสองร้อยบาทเท่านั้น"

ท่านจอมพลป. พิบูลสงครามฟังแล้วก็นิ่งอยู่ขณะหนึ่ง แล้วก็พูดว่า "เมื่อได้ทราบอย่างนี้แล้วก็ให้โล่งใจมาก"
ถามต่อไปใหม่ว่า "เหตุใดพวกคุณถึงคิดทำการเช่นนี้ขึ้น"
ตอบ "ที่พวกผมทำขึ้นก็เพราะว่า รัฐบาลคณะนี้มีความเหลวแหลกมากมาย รัฐมนตรีในคณะหลายคนทำความชั่วร้าย ใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต กอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของราษฎรส่วนรวม ตลอดทั้งบุคคลหลายคนในคณะรัฐประหารก็ได้ใช้อภิสิทธิ์แสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าพรรคพวกตนเองเช่นเดียวกัน"

ถาม "แล้วพวกคุณทราบได้อย่างไร มีหลักฐานอย่างไร"
ตอบ "พวกผมทราบจากท่านผู้ใหญ่ในวงราชการ จากบุคคลในคณะรัฐประหารนั่นเอง และจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นปากเสียงของประชาชน"

ถาม "การที่จะไปเชื่อข่าวอย่างนั้นดูจะไม่แน่นอน โดยเฉพาะพวกหนังสือพิมพ์ ถ้ามีจริงก็ควรจะได้จัดการกันตามกฏหมาย"
ข้าพเจ้า "เรื่องอย่างนี้ไม่สามารถจะจัดการได้ตามกฏหมาย ในเมื่อผู้กระทำผิดยังมีอำนาจอยู่ และข่าวต่าง ๆ นั้น พวกผมเชื่อว่าท่านผู้ใหญ่และเชื่อบุคคลในคณะรัฐประหารซึ่งล่วงรู้ข้อเท็จจริง ข่าวทางหนังสือพิมพ์พวกผมไม่ได้เชื่องมงายไปทั้งหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรับฟังจากหนังสือพิมพ์ที่เป็นหลักเป็นฐาน เสนอข่าวตรงไปตรงมาไม่บิดเบือนความจริง"

หนังสือปกเขียวเล่มหนาเบ่อเริ่มของบุตรชายจอมพลป.ไม่กล่าวอะไรๆในเรื่องเบื้องหลัง ตื้นลึกหนาบางของกบฏแมนฮัตตันเล้ย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 15:59
หลังจากกบฎแมนฮัตตันแล้ว กองทัพเรือได้ถูกผ่าตัดขนานใหญ่ นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ที่อดีตเคยเกี่ยวข้องกับคณะราษฎรและนายปรีดีถูกปลดออกจากตำแหน่งหมด นายทหารหลักของกองทัพเรือ รวมทั้ง ผบ.ทร. ถูกปลดประจำการประมาณ70 นาย คณะรัฐประหารได้ส่งพวกของตนของที่ไว้ใจได้ เข้าครอบครองตำแหน่งสำคัญๆ ไว้โดยสิ้นเชิง สถานที่ราชการสำคัญ ๆของกองทัพเรือในกรุงเทพถูกยึด เหลืออยู่แต่สัตหีบ ภารกิจถูกจำกัดให้กระทำเฉพาะทางทะเล กรมนาวิกโยธินถูกยุบ กองบินทหารเรือถูกโอนให้กับกองทัพอากาศ สูญเสียเรือธงของกองทัพ  คือเรือปืนร.ล.ศรีอยุธยา และเรือปราบเรือดำน้ำ ร.ล.คำรณสินธุ จากการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศ


ส่วนกองทัพอากาศพ้นจากการถูกสาปตั้งแต่ครั้งกบฏบวรเดชยึดสนามบินดอนเมือง การก่อตั้งโรงเรียนนายเรืออากาศขึ้นในปี พ.ศ.2496 ก็เป็นรางวัลส่วนหนึ่งในความดีความชอบในครั้งนี้ กลุ่มนายทหารอากาศได้รับโอกาสให้เริ่มมีบทบาทสำคัญในการเมืองการปกครองกับเขาบ้าง เริ่มต้นด้วยการเป็น ส.ส.ประเภทสอง หลังกบฏทหารเรือแล้วการก่อรัฐประหารในไทยได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปด้วย เพราะหากปราศจากความร่วมมือของทุกเหล่าทัพแล้ว การก่อการที่ไม่นองเลือดจะสำเร็จได้ยากขึ้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 16:14
ผมลุยมาใกล้จะจบมิดเทอมของป.2

เป็นเรื่องของการกบฏและปราบกบฏรักษาสถานภาพของตัวเองเสียจนแทบจะไม่มีเวลาทำงานทำการอะไรให้บ้านเมือง
ขออนุญาตหยุดพักตรงนี้แหละครับ

มีเรื่องให้เก็บตกมากมาย เชิญท่านอาจารย์ทั้งหลายช่วยด้วย

^
อ้าว เพิ่งเห็นว่ามีผู้ยกมือประท้วงว่าเร็วไป
ไม่เร็วมั้งครับ เพราะคงจะได้หยุดพักนานหน่อย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 16:23
ตามไม่ทันจริงๆค่ะ   ขอเวลาไล่เก็บเรื่องก่อน
ใครจะแจมก็เชิญนะคะ   อินเทอร์มิชชั่นแล้ว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 16:27
นำรูปน.ต.มนัส จารุภา มาโชว์ให้เห็นค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 01 ส.ค. 10, 17:19
ผมขอเพิ่มจากเหตูการ์ณที่ทหารบกปะทะกับทหารเรือที่สะพานเฉลิมโลกนะครับ   หลังจากที่ปะทะกันทหารบกก็ทุ่มกำลังพร้อมด้วยรถถังระดมยิง จนทหารเรือต้องถอยร่นไปทางโรงพยาบาลจุฬา เพื่อที่จะไปเอาอาวุธเพิ่มที่กองสัญญาณทหารเรือ(สวนลุมไนท์บาร์ซาในปัจจุบัน)      ได้มีทหารเรือ 2 นายพร้อมด้วยปืนยิงทำลายรถถังมาตั้งฐานอยู่ที่สนามหญ้าหน้าตึกโรงพยาบาล โดยมีนางพยาบาลของโรงพยาบาลจุฬาคอยบอกว่ามีรถถังผ่านเข้ามาได้ระยะที่จะยิงหรือยัง  ทหาร2นายนี้สามารถยิงทำลายรถถังได้ ถึง7-8 คัน และ สามารถหยุดกองกำลังของทหารบก  ที่จะบุกไปยึดกองสัญญาณทหารเรือได้ในที่สุดหลังจากที่ปราบกบฎของทหารเรือได้แล้ว     กองสัญญาณทหารเรือก็ถูกยุบกลายเป็นโรงเรียนเตรียมทหาร และสนามมวยลุมพินี แต่ยังมีอนุสรณ์หลงเหลือไว้ในปัจจุบันก็คือ ศาลของเสด็จเตี๋ยกรมหลวงชุมพร ที่อยู่หลังสวนลุมไนท์บาร์ซาครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 17:57
ท่านกูรูใหญ่กว่า  ซิ่งกระทู้เข้าเส้นชัยไปแล้ว ก็ปล่อยให้ครูประจำชั้นกับนักเรียนช่วยกันเก็บตกวิชาเรียนกันไปตามเพลง  
ดิฉันมาทบทวนบทเรียนให้ฟัง  เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ขอให้บอกมาอย่าเกรงใจ   ถือเสียว่าช่วยปั่นกระทู้     ใครเข้าเรียนก็กรุณายกมือ กระแอมกระไอให้เสียงบ้าง ว่ายังเข้าเรียนกันอยู่นะคะ

กบฎแมนฮัตตัน  ถ้าเป็นนิยายก็เหมือนแต่งตาม "ขนบ" นิยายรุ่นพี่ที่ทำมาแล้วตั้งแต่ร.ศ. ๑๓๐ ในรัชกาลที่ ๖   และ พ.ศ. ๒๔๗๕ ในรัชกาลที่ ๗  จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม   คือเริ่มด้วยนายทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่งไม่พอใจผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองในขณะนั้น ว่าทำอะไรไม่ดีไม่ถูกต้อง จะก่อความเสียหายให้บ้านเมืองได้มาก  เมื่อไม่พอใจ  ก็เริ่มหาคนที่คิดตรงกันมากระซิบปรับทุกข์กัน  รวบรวมได้มากพอสมควรจนกระทั่งตัดสินใจลงมือปฏิบัติการ
การปฏิบัตินั้นก็แนวเดียวกันเป๊ะ  คือนอกจากยึดด้วยกำลังทหารแล้ว ยังมุ่งเป้าไปที่บุคคลสำคัญชั้นสุดยอดของบ้านเมือง    ต้องจับตัวมาจัดการให้ได้ก่อน 
แผนของกลุ่มพี่เอื้อย ร.ศ. ๑๓๐ นั้นพังเพราะว่าผู้ร่วมก่อการเกิดไม่เอาด้วย ที่จะทำถึงขั้นปลงพระชนม์    เลยไปทูลฟ้องสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ     ผลคือกลุ่มนี้ถูกรวบตัวหมด รอดโทษประหารแค่โดนส่งเข้าคุกไปหลายปี   ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครกล้าลอกเลียนแบบอีกตลอดรัชกาล

ล่วงมาอีกจนถึงพี่รองออกโรงในพ.ศ. ๒๔๗๕  คราวนี้ทำได้เฉียบขาดกว่าคราวแรกเพราะผู้วางแผนเป็นชั้นเสนาบดีจบวิชาทหารจากเมืองนอก  บวกกับมีมันสมองจากเมืองนอกทั้งนั้นมาร่วม      ชะตาเมืองเป็นใจให้พวกนี้  ความแตกแยกในหมู่เจ้านายมีมากกว่าในรัชกาลที่ ๖ จนพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงติดขัดในการบริหารบ้านเมืองในหลายเรื่อง บวกกับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ  มิได้ทรงเชื่อข่าวลับที่รั่วไหลมาว่าจะมีก่อการกบฏ  อาจจะเป็นเพราะทรงลืมนึกถึงโคลงโลกนิติที่ว่าช้างสารงูเห่าข้าเก่าเมียรักอย่าไว้วางใจ  หรืออย่างไรก็ไม่แน่    เหตุการณ์ก็สุกงอมจนปฏิวัติได้สำเร็จเป็นประวัติการณ์

เมื่อมาถึงพ.ศ.๒๔๙๔  ดิฉันไม่ทราบว่าน.ต.มนัสท่านเอาประวัติศาสตร์มากางอ่านหรือเปล่า   แต่ร่องรอยพอจะมองได้ว่ามาในทางเดียวกัน คือรวบรวมกำลังนายทหารระดับหัวหน้าคุมกำลังได้กลุ่มหนึ่ง     จากนั้นจู่โจมเข้าจับตัวจอมพลป.   แบบเดียวกับผู้ก่อการจู่โจมจับตัวพระบรมวงศานุวงศ์    แต่คราวนี้ง่ายกว่าเพราะจับแค่คนเดียว ไม่ใช่เป็นกลุ่มใหญ่อย่างปี ๒๔๗๕

แต่ก็เหมือนกันแค่นี้    กบฏแมนฮัตตันไม่ได้จบลงด้วยผู้ก่อการทำสำเร็จ   เพราะฝ่ายถูกจับไม่ได้มีนโยบายแบบเดียวกัน     ผลก็เลยกลับตาลปัตร แทนที่จะชนะง่ายๆกลับแพ้ไปได้




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 18:41
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯได้ทรงยอมตามเงื่อนไขของคณะราษฎร์ หลังจากทรงทราบว่าพระบรมวงศานุวงศ์ถูกควบคุมตัวไว้หลายองค์    ทรงมีพระราชดำรัสว่า "ฉันนั่งบนบัลลังก์อันเปื้อนไปด้วยโลหิตไม่ได้"    ก็หมายความว่า ไม่ทรงยอมให้เกิดสงครามกลางเมืองเอาแพ้เอาชนะกัน จนล้มตายกันไปทั้งสองฝ่าย   แม้ว่ามันจะนำชัยชนะกลับคืนมาให้พระราชวงศ์ก็ตาม    จึงทรงเลือกสันติวิธีแทน

แต่ว่าในกบฏแมนฮัตตัน  ดิฉันก็ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการรบฝ่ายรัฐบาลเป็นใคร    แต่ท่านใจเด็ดมาก ทั้งยิงทั้งทิ้งระเบิดเรือศรีอยุธยาตูมๆ  ทั้งที่นายกรัฐมนตรีเป็นตัวประกันอยู่บนเรือนั้น  เหมือนรัฐบาลเชื่อมั่นว่าจอมพลป.เป็นซูเปอร์แมนกระดูกเหล็ก  ยังไงเสียก็ต้องรอด
หรือมิฉะนั้น ถึงท่านจอมพลป.ไม่รอด พวกกบฏก็อย่าหวังว่าจะเอาวิธีนี้มาชนะรัฐบาลได้

จะเป็นเหตุผลข้างบนนี้   หรือข้ออื่นๆนอกเหนือจากนี้ก็ตาม  ก็ทำให้แผนของน.ต.มนัส จารุภา ล้มเหลว    ประกอบกับกองทัพเรือ  มีนายพลหลายคนไม่เข้าข้างกบฏ  การประสานงานจึงมีช่องโหว่มาก  ทำให้จบลงอย่างที่เรารู้ๆกัน

ขอแยกซอยหน่อยว่า  ใครเป็นแฟนหนังสือคุณพนมเทียน หรือเป็นแฟนละครทีวีช่อง ๓ คงจำเรื่อง กัลปังหา บทประพันธ์ของพนมเทียน เมื่อหลายปีก่อนได้     เรื่องนี้พระเอกเป็นนายทหารเรือแต่หลบหนีไปซุ่มซ่อนตัวเป็นหนุ่มชาวเกาะ   ก็จากกบฏแมนฮัตตันนี่เอง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ส.ค. 10, 18:44
คือผมเห็นว่าประวัติศาสตร์ช่วงนี้มันไม่กี่ปีนะครับ จากเหตุการณ์หนึ่งโยงไปอีกเหตุการณ์หนึ่งเป็นลูกโซ่ ปัญหามันมีพัฒนาการของมัน ผมอยากให้ผู้อ่านได้มองเห็นทั้งท้องเรื่องก่อนว่า จอมพลป.กลับขึ้นมาได้อย่างไร แต่สถานภาพเปลี่ยนไปแล้วอย่างไรบ้าง จากผู้ที่คุมอำนาจในมือ แต่อำนาจนั้นหลุดมือไปแล้ว ส่วนหัวโขนยังครอบหัวอยู่และชอบเสียด้วย ทำอย่างไรจะรักษาหัวโขนได้นานที่สุด จึงต้องฉายให้หมดม้วนหนึ่ง ยังไกลจากเส้นชัยครับ อย่างน้อยก็น่าจะมีม้วนสองเต็มๆ แต่ยังไม่ได้ถ่ายทำ

ลองย้อนกลับไปอ่าน จะเห็นสิ่งที่ท่านผู้นี้ง่วนกระทำอยู่ ตั้งแต่

1 จะเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร ให้มหาอำนาจรับรองฐานะว่าเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฏหมาย
2 นายปรีดี และบริวารลูกศิษย์ลูกหายังอยู่ในวงโคจร จะกำจัดให้พ้นทางได้อย่างไร
3 นายควงและประชาธปัตย์ จะจัดให้เป็นฝ่ายค้านถาวรได้อย่างไร
4 พวกคณะรัฐประหาร ที่เป็นนั่งร้านค้ำบัลลังก์ ทำอย่างไรจะให้นิ่งที่สุด ไม่ทะเลาะกันเองให้เสียสมดุลย์

ข้อ4นี่ สำคัญมาก ในเทอมหลังของป.2 ที่สอบตก ก็ตกวิชานี้แหละ

ในเรื่องกบฏแมนฮัตตัน ก็เริ่มแพลมๆออกมาแล้ว ว่าพวกนี้เขาพร้อมที่จะขอหัวโขนที่ท่านสวมอยู่ มาใส่บ้าง จัดให้ตายในสมรภูมิก็จะดูดีสมกับที่เป็นชายชาติทหาร แต่บังเอิญดวงท่านยังแข็งอยู่ The Show Must Go On.


กระทู้: หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 18:55
“กบฏเสนาธิการ”

ในเดือนตุลาคม 2491 พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต และพล.ต.เนตร เขมะโยธินนายทหารนักเรียนนอกอดีตเสรีไทย เป็นนายพลหนุ่มอายุเพียง37ปี อนาคตกำลังรุ่งโรจน์  เป็นหัวหน้าคณะ ชักจูงนายทหารระดับเสนาธิการกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกคณะรัฐประหารย้ายออกไปจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ลูกน้องของตนเสียบเข้าแทนที่  วางแผนที่จะเข้ายึดอำนาจการปกครอง เพื่อกำจัดพวกทหารนักปฏิวัติเหล่านั้น และจะปรับปรุงกองทัพจากความเสื่อมโทรมต่อไป หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมในคณะนี้คือพ.ท.โพยม จุลานนท์ ที่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยถึงขั้นลาออกจากกองทัพบกไปลงสมัครรับเลือกตั้งที่เพชรบุรี ได้รับเลือกตั้งเข้าสภา เมื่อนายควงถูกคณะรัฐประหารจี้ให้ลาออก พ.ท.โพยมโกรธมาก จึงเข้ามาสมทบ กำหนดวันลงมือปฏิบัติการในวันที่1ตุลาคม2491 ในคืนที่จะเลี้ยงฉลองงานแต่งงานของพล.ต.สฤษดิ์กับนางสาววิจิตรา ชลทรัพย์ ซึ่งประมาณว่าตัวบิ๊กๆในคณะรัฐประหารจะมาพร้อมหน้า ก็จะลงมือจับกุมทุกคน ปรากฏว่ามีคนหักหลังเสียก่อน เอาความลับไปบอกจอมพล ป. นายกรัฐมนตรี ให้ทราบแผนการ จึงจับกุมผู้คิดกบฏในคืนวันที่30กันยายนทั้งหมดยกเว้น พล.ต.เนตรและพ.ท.โพยมหลุดรอดไปได้สองคน  

มีบทความอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวถึงพ.ท. โพยม ไว้
http://www.nationweekend.com/weekend/20050301/wed47.shtml

ในฐานะนายทหารเสนาธิการของคณะเสนาธิการกองทัพพายัพ ซึ่งมี พล.ต.หลวงชาตินักรบเป็นเสนาธิการ พ.ท.โพยมก็พอรู้ตัวว่าในฐานที่เป็นลูกชาย พ.อ.หลวงวิเศษการ เป็นลูกเขย พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม อนาคตชีวิตในสายทหารคงจะไม่แจ่มใสนัก หลังสงครามจึงลาออกจากราชการทหาร เบนชีวิตเข้าสู่สายการเมือง

เขาสมัครแข่งขันเป็น ส.ส.ที่เพชรบุรีบ้านเก่า ก็ได้เป็นสหายเก่าของพ่อกับของพ่อตาก็ออกมาจากคุก เขาก็เข้าร่วมกลุ่มด้วย
********************
พ.ท. โพยม จุลานนท์ไม่ใช่ลูกชายของพ.อ.หลวงวิเศษการ    บิดาชื่อ พ.อ.พระยาวิเศษสิงหนารถ  (ยิ่ง จุลานนท์ ) ซึ่งถึงแก่กรรมไปตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๖๘  ปีสุดท้ายในรัชกาลที่ ๖   แต่ท่านเป็นลูกเขยของพ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม จริง
พ.ท. โพยมไม่ได้มีเรื่องราวขัดแย้งกับจอมพล ป.   คดีกบฏที่โดนเข้าไป  เป็นการถูกถากถางให้สิ้นเสี้ยนหนามด้วยฝีมือเพื่อนเก่าที่เริ่มรุ่งโรจน์ขึ้นมาในกองทัพ ขณะนั้น    อาศัยชื่อกบฏมาป้ายหมึกดำเข้าไปให้เข้าคุกหรือถูกประหารได้เนียนๆหน่อยเท่านั้นเอง
ท่านก็ไม่มีทางอื่น ต้องหนี   ตำรวจมาเชิญถึงบ้าน  พอเข้ามาทางหน้าบ้านพ.ท. โพยมก็ล่องหนออกไปทางหลังบ้านเรียบร้อย      ไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินนอกจากไปอยู่ป่า     ความตั้งใจที่จะเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่ใช่ว่ามีมาแต่แรก   แต่เป็นกองกำลังเดียวที่จะอาศัยอยู่ได้ตามตะเข็บชายแดน  เพราะที่อื่นในประเทศไม่ปลอดภัยสำหรับท่าน     ในที่สุด ก็เลยต้องได้ชื่อว่าเป็นคอมมิวนิสต์เต็มตัว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 19:52
ในเรื่องกบฏแมนฮัตตัน ก็เริ่มแพลมๆออกมาแล้ว ว่าพวกนี้เขาพร้อมที่จะขอหัวโขนที่ท่านสวมอยู่ มาใส่บ้าง จัดให้ตายในสมรภูมิก็จะดูดีสมกับที่เป็นชายชาติทหาร แต่บังเอิญดวงท่านยังแข็งอยู่ The Show Must Go On.

เขาเรียกว่าสมบัติผลัดกันชม  ;)
จอมพลป. ได้รับสมญาว่า "นายกกระดูกเหล็ก"   น่าจะเหล็กไหล   ขนาดเรือรบหลวงศรีอยุธยายังไม่รอด แต่ท่านรอด  คิดดูเถอะ

เข้าใจว่าคุณนวรัตนคงจะเล่าเรื่องกบฏแมนฮัตตันไว้แค่นี้  ก็เลยมาเสริมรายละเอียดอีกเล็กน้อย  เผื่อลูกศิษย์อยากรู้  ยกมือถามว่าผลสืบเนื่องจากกบฏที่ล้มเหลวนี้ เป็นยังไง

กบฏแมนฮัตตัน รบกันหนักระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายก่อการ  ระเบิดที่ทิ้งจากเครื่องบินเป็นแบบ Spirt fire และ T6 จนเรือจม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดวงแข็งอย่างน่าอัศจรรย์ ทหารบนเรือช่วยใส่ชูชีพพาว่ายน้ำหนีออกมาได้
การกบฏครั้งนี้ก่อความเสียหายมากที่สุดนับแต่มีรัฐประหารครั้งต่างๆเป็นต้นมา  เพราะยิงพลาดไปโดนสถานที่ต่าง ๆ สงฟากแม่น้ำเสียหาย   ผู้บาดเจ็บล้มตายนับร้อย  ทั้งทหารของทั้ง 2 ฝ่าย และประชาชนที่โดนลูกหลงไปด้วย

น.ต.มนัส จารุภา รน. ผู้จี้จอมพล ป. และพวก ได้หลบหนีไปพม่าได้สำเร็จ  เขากลักลอบกลับเข้าประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2495  จึงโดนจับ

หลังจากจอมพลป.รอดไปแล้ว การกวาดล้างจับกุมผู้ต้องหาร่วม 1,000 คน ก็เกิดขึ้น  แต่คราวนี้ค่อยยังชั่วหน่อย  ไม่เหมือนปี ๒๔๘๒   ตำรวจปล่อยตัวเพราะหาหลักฐานไม่เพียงพอ  จนเหลือฟ้องศาลประมาณ 100 คน ภายหลังนักโทษคดีนี้ส่วนใหญ่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ

หลังจากกบฏแมนฮัตตันแล้ว กองทัพเรือถูก "เช็คบิลล์" อย่างหนัก  ทั้งๆที่นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมก่อการด้วย   กองทัพเรือถูกแช่แข็ง ลดกำลังพลและหน่วยงานต่างๆ แทบว่าจะโงหัวขึ้นมาไม่ได้   ถึงผบ.ทหารเรือคนต่อมาคือพล.ร.ท. หลวงพลสินธวาณัติก์ พยายามฟื้นฟูกำลังสมรรถนะ แต่ก็ไม่สำเร็จจนต้องลาออก
เมื่อผบ.คนเก่าลาออก  ก็เข้าทางจอมพลป.    ส่งนายทหารเรือที่เป็นคนสนิทมาคุมทัพเรือแทน คือพล.ร.ต. หลวงยุทธศาสตร์ โกศล (ประยูร ศาสตระรุจิ) นายทหารนอกราชการ    ส่วนนายทหารชั้นผู้ใหญ่ถูกปลดออกจากตำแหน่งหมด
ในพ.ศ. ๒๔๙๙  คุณหลวงได้เป็นจอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศล


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 19:59
      แยกซอยเลี้ยวออกไปเล่าถึงจอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศล  นายทหารเรือผู้มียศสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของกองทัพเรือ
จอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล นามเดิม ประยูร ศาสตระรุจิ เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2436 ที่ตำบลสำราญราษฎร์ กรุงเทพฯ เป็นบุตรของหลวงวิจิตร์สุนทรการ และ นางเปลี่ยน ศาสตระรุจิ สมรสกับนางสาวประยูร จันทรสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2466 มีบุตรธิดา 5 คน

เรียนหนังสือที่โรงเรียนอนุกรมธยาคาร (วัดสระเกศ) โรงเรียนสวนกุหลาบอังกฤษ สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ เมื่อ พ.ศ.2454 และวิทยาลัยการทัพเรือเมื่อ พ.ศ.2476

รับราชการกองทัพเรือตั้งแต่ พ.ศ. 2454 จนออกจากประจำการเป็นนายทหารกองหนุนมีเบี้ยหวัดเมื่อ พ.ศ. 2487 หลังจากดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมและเข้าประจำเสนาธิการ

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2499 ได้รับพระราชทานยศชั้นสูงสุดเป็นจอมพลเรือ อันนับเป็นประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือเนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่มีผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือได้รับพระราชทานยศถึงชั้นนี้มาก่อน

ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2494 และดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2494-24 มีนาคม 2495

จอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2518 อายุ 82 ปี

มีเกร็ดเล่าเกี่ยวกับท่านนิดหน่อย เอามาลงไว้ด้วยกัน
 
       เมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๔๖๔(ในรัชกาลที่ ๖)  เรือเดินสมุทรชื่อ เรือผ่านสมุทร ซึ่งมีขนาด ๓,๐๐๐ ตัน บรรทุกสินค้าและผู้โดยสารชาวจีนประมาณ ๓๐๐ คน ออกเดินทางจากอ่าวไทยไปฮ่องกง เรือลำนี้มีมิสเตอร์แม็คลีน ชาวอังกฤษเป็นกัปตัน มิสเตอร์เฮ็นนี่เป็นต้นกล ต้นเรือเป็นทหารเรือไทยชื่อเรือโทประยูร

    เมื่อเรือผ่านสมุทรย่างเข้าเขตทะเลจีน ก็เริ่มมืดมนไปทุกทิศทุกทาง กัปตันต้นกลและต้นเรือได้ประชุมกันเพื่อหาทางรับมือกับสถานการณ์อันร้ายแรง ในขณะที่คลื่นลมในทะเลเริ่มแรงขึ้นเป็นลำดับ เรือผ่านสมุทรโยนตัวโต้คลื่นไม่ไหวแล้ว ต้องใช้วิธีมุดคลื่นที่มีขนาดเท่าภูเขาเลากา อากาศมืดลงเป็นลำดับจนเกือบจะเป็นกลางคืน

       เสียงอื้ออึงของพายุหมุนและคลื่นที่สาดซัดเข้ามาท่วมลำเรือ ทำให้ผู้โดยสารชาวจีนเริ่มหลั่งไหลออกมาที่กราบเรือเพราะเกรงเรือจะจม เรือโทประยูรกลัวพวกจีนที่เกะกะอยู่ตามกราบเรือจะถูกคลื่นซัดหรือพายุพัดตกทะเล จึงออกคำสั่งให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในระวางท้องเรือ และให้กลาสีเอากุญแจใส่ไว้อย่างแข็งแรง  พวกจีนเข้าใจว่า เรือไทยลำนี้จะขังพวกตนทั้งหมดให้จมน้ำตาย ต่างพากันตบประตูและร้องตะโกนเสียงดังลั่น เด็กเล็กก็ร้องไห้กันกระจองอแง
        แต่เรือโทประยูรสั่งเด็ดขาดไม่ให้ไขกุญแจปล่อยตัวออกมา เมื่อกัปตันและต้นกลถามถึงเหตุผล   เขาก็ตอบว่า ถ้าเรืออับปางลง ทุกคนก็ต้องฝังร่างกลางทะเลจีนนี้แน่นอน ถึงจะปล่อยจีนพวกนี้ออกมา ก็ไม่มีหวังรอดชีวิตสักคน ถ้าโชคดีเรือรอดพ้นจากการอับปาง คนทั้งลำรวมทั้งพวกจีนที่ถูกขังก็จะรอดชีวิตทั้งหมดไม่มีตกหล่น

      ทันใดนั้น คลื่นขนาดใหญ่กว่าภูเขาก็สาดซัดเข้ามาดังสนั่นหวั่นไหว กัปตันและต้นกลถูกซัดกระเด็นไปฟุบอยู่หัวเรือ โชคดีเหนี่ยวประตูเคบินแห่งหนึ่งไว้ได้ ส่วนเรือโทประยูรกระเด็นออกไปนอกทะเลลึกหายวับไปกับตา

    เมื่อคลื่นยักษ์ผ่านไปแล้ว กัปตันพยายามมองฝ่าไปในทะเลที่กำลังเป็นบ้า เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของต้นเรือ เขาก็น้ำตาคลอ กระทำพิธีส่งวิญญาณทั้งที่ตัวเองเปียกโชกไปหมดด้วยน้ำทะเล พลางพึมพำว่า ต้นเรือได้ปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองผู้โดยสารถูกต้องแล้ว แต่ตัวเองกลับต้องเสียชีวิตลง เขาร้องออกมาเป็นคำสุดท้ายว่า มายก็อด! พระเจ้าไม่ช่วยชีวิตต้นเรือของข้าพเจ้าเสียเลย
   พอขาดคำ คลื่นมหึมาอีกลูกหนึ่งก็ซัดตึงเข้ามาจนกัปตันกระเด็นไปทางหนึ่ง เมื่อลุกขึ้นมาได้ กัปตันขยี้ตาโดยไม่เชื่อสายตาของเขาเอง ร่างที่คลื่นซัดเข้ามานั้น เป็นร่างของมนุษย์ที่ยังเป็นๆ แต่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง หน้าตาเกือบไม่ใช่คน ปากซีด ตัวสั่น นอนคว่ำหน้าอยู่ที่ปลายเท้าของเขา ร่างนั้นคือเรือโทประยูร ต้นเรือที่เขาทำพิธีส่งวิญญาณ ไปเมื่อครู่นี้เอง

   เมื่อกัปตันเข้าไปพลิกตัว ต้นเรือก็ลืมตาขึ้นพลางถามว่า กัปตันและต้นกลปลอดภัยหรือ ? กัปตันกอดเขา และตอบด้วยเสียงกระเส่าว่า พระเจ้าส่งท่านกลับคืนมาเป็นต้นเรืออีกแล้วละ

   หลังจากตกอยู่ในศูนย์กลางของไต้ฝุ่นถึง ๒๐ กว่าชั่วโมง ฟ้าก็สว่าง แดดส่องจ้า เรือผ่านสมุทรก็รอดพ้นอันตรายมาได้ในสภาพที่เอียงกระเท่เร่ เสากระโดงหักสะบั้น เรือโบตทุกลำแตกละเอียดหมด ประตูหน้าต่างเคบินหักวินาศ

   เมื่อพยายามถูลู่ถูกังไปจนถึงฮ่องกง แทนที่จะสาปแช่งต้นเรือ พวกผู้โดยสารชาวจีนกลับพากันกราบไหว้อยู่แทบเท้าของต้นเรือในฐานะที่เอาพวกเขาไปขังไว้จนรอดตายกันถ้วนหน้าและเรี่ยไรเงินจ้างคณะงิ้วชื่อดังของฮ่องกงมาแสดงที่ปากเรือ ๓ วัน เพื่อแก้บน
   ต้นเรือผู้นั้นคือ จอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศล อดีตผู้บัญชาการทหารเรือนั่นเอง
                                                                          (๕๐ บุคคลสำคัญ โดย ไทยน้อย)
        คนสำคัญนี่ต้องดวงแข็งมากๆ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 21:30
ถ้าใครนิยมชมชื่นน.ต.มนัส จารุภา ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะคะ

http://www.thaiwriter.net/forum01/index.php?topic=1771.0


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ส.ค. 10, 22:39
ตอนที่จอมพลป.ถูกจับตัวไว้ในเรือรบศรีอยุธยา   ตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลก็ว่างลงชั่วขณะ   พันเอกนายวรการบัญชา ประธานสภาผู้แทนราษฎรรักษาการณ์นายกรัฐมนตรีแทน และตั้งกองบัญชาการขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล (ในขณะนั้นคือ พระที่นั่งอนันตสมาคม)  ตกลงกันว่าจะไม่ยอมพวกกบฏ   จึงเกิดการต่อสู้ยิงกันอย่างหนักระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายก่อการ
ผู้บัญชาการกองทัพบก คือจอมพลผิน ชุณหะวัน  ส่วนผู้บัญชาการกองทัพอากาศคือจอมพลอากาศ ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี

นายวรการบัญชาเป็นใคร  คำว่าวรการบัญชาเป็นราชทินนาม  เขียนติดกันนะคะ

นามเดิมคือ บุญเกิด สุตันตานนท์ เป็นคนเชียงใหม่ แต่มาศึกษาต่อที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง กรุงเทพมหานคร มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสอบไล่ได้ที่ 3 เมื่อจบมัธยมศึกษาปีที่ 8 ขณะอายุ 15 ปีเศษ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เบิกตัวเข้าเฝ้าฯ และมีพระกระแสรับสั่งแต่งตั้งให้เป็น "นายรองสนิท" ตำแหน่งมหาดเล็กห้องที่พระบรรทม เมื่อปี พ.ศ. 2463 โดยทรงมอบหมายให้อยู่ในความอุปการะอบรมเลี้ยงดูและเป็นบุตรบุญธรรมของพระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) ต่อมามีพระราชดำริให้ส่งตัวไปศึกษาวิชาแพทย์ที่ประเทศอังกฤษด้วยทุนส่วนพระองค์เมื่อปี พ.ศ. 2464 ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อปลายปี พ.ศ. 2468 พันเอก นายวรการบัญชา จึงเดินทางกลับมาภูมิลำเนาเดิมพักอาศัยอยู่ที่เมืองเชียงใหม่

เมื่อกลับมาอยู่เชียงใหม่ ได้รับมอบหมายจากพระพิจิตรโอสถผู้เป็นบิดาให้ดูแลไร่นาและเก็บผลประโยชน์ที่จังหวัดเชียงราย ระหว่างนั้นได้ศึกษากฎหมายจนจบเนติบัณฑิต ด้านชื่อเสียงในสังคมได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่เป็นคนแรกเมื่อปี พ.ศ. 2479 - พ.ศ. 2480 ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายหลายสมัย   
เข้าร่วมตำแหน่งสำคัญ ในคณะรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม เช่น รัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีสั่งการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต่อมาได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและเคยเป็นประธานวุฒิสภาอีกด้วย

ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. ๒๕๑๗


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 02 ส.ค. 10, 06:54
ไม่เข้าห้องเรียนแป๊บเดียว เปิดห้องใหม่แล้ว รีบตามมาลงทะเบียนก่อนเลยค่ะ
ขออนุญาตไปทบทวนบทเรียนหน้าแรกๆก่อนนะคะ  :D ห้องเรียนห้องนี้ไปเร็วมากเลยค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 02 ส.ค. 10, 10:58
นักเรียนมาสาย....กราบขออภัยอาจารย์ทุกท่านด้วยครับ แหะ แหะ.....

อ่านจบแล้วบู๊ดุเดือดอย่างกับหนังฮอลลีวูดเลยครับเนี่ย.....ถล่มกันอย่างไม่สนใจตัวประกันเลยทีเดียว....

นี่ถ้าท่านจอมพลท่านดวงเเข็งน้อยกว่านี้นิดหน่อย....ไม่มีโอกาสกลับมาจาก ร.ล.ศรีอยุธยา ประวัติศาสตร์คงได้จารึกท่านไปอีกแบบ....และคงไม่ต้องมีเคราะห์กรรมต้องจากบ้านไปถึงแก่อนิจกรรมที่เมืองนอก...

อ่านมาแล้วเห็นสัจธรรมของผู้มีบุญทั้งหลาย พอมีอำนาจวาสนาเขาก็ยกย่องเชิดชู ครั้นพอถึงทางลงถ้าไม่เตรียมทางลงของตนเองให้ดีก็คงต้องเตรียมตัวถูกผู้อื่นส่งลงให้.....ซึ่งมักจะเป็นไปในทางหงายท้องหงายไส้กลิ้งโค่โล่ไม่เป็นท่าลงมาเสียมากกว่า.....

น่าแปลกที่ตัวอย่างก็มีให้เห็นหลายต่อหลายท่าน....แต่ผู้ที่มีโอกาสได้รับอำนาจในรุ่นต่อๆมาพอได้รับอำนาจแล้วก็มักลืมสัจธรรมในข้อนี้....

หรือว่าจะเป็นอย่างที่ท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์กล่าวไว้ ว่าอำนาจนั้นก็เหมือนยาเสพติด.....พอลงได้รับเข้าไปแล้วก็เลิกไม่ได้ หากแต่ต้องการเพิ่มขึ้นตลอดเวลา...

ยังคงติดตามต่อและขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งหลายด้วยครับ..... ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 11:39
มาสายไม่เป็นไรค่ะ   นักเรียนวิ่งไล่กวดวิชาดีๆ เดี๋ยวก็ทัน
ชีวิตผู้มีอำนาจวาสนาก็เหมือนเครื่องบิน   มันยากตอนขึ้นกับตอนลง   แต่พอไต่ระดับสูงสุดแล้วก็สบายอยู่บนนั้น   จนลืมไปว่าเครื่องบินต้องร่อนลงจอดในวันหนึ่ง   พอถึงเวลาต้องฝืนใจแลนดิ้ง ถึงมักจะชนรันเวย์พังพินาศกันเป็นประจำ  แต่ถ้านักบินตั้งใจบินลงอย่างระมัดระวัง ก็ปลอดภัย
ก็อย่างว่าละค่ะ  ขึ้นหลังเสือแล้วมันลงยาก  
คนที่รู้จักลงคือคนที่รู้จักคำว่า "พอแล้ว"   อย่างตอนป๋าเปรมเป็นนายกฯ ๘ ปี  ท่านก็ตอบคนไปเชิญด้วยคำนี้   จากนั้นท่านก็ได้เป็นองคมนตรีและรัฐบุรุษ
**********************
มีข้อสังเกต ๒ อย่าง คือ
๑  การวางแผนของน.ต.มนัส จารุภา รั่วไหลก่อนถึงวันจริง    เห็นได้จากจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือแมนฮัตตัน  แต่นายทหาร นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับสั่งการของรัฐบาลไม่ได้เข้าร่วมในงานนี้ และได้เตรียมการรับสถานการณ์ไว้แล้วอย่างเงียบๆ
๒  เชื่อว่า น.ต.มนัส ไม่ได้วางแผนเองกับเพื่อนๆระดับนายพันด้วยกันทั้งทัพเรือและทัพบกเท่านั้น   น่าจะมีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลังด้วย  มีทหารหนุ่มเป็นหน่วยจู่โจม   แต่เมื่อล้มเหลว  น.ต.มนัสไม่ยอมซัดทอดใคร  คงเก็บเป็นความลับไว้ตลอดกาล

มาขยายเรื่องต่อ อาจจะซ้ำกับที่คุณนวรัตนเล่าไว้บ้างก็กรุณาอย่าถือสาว่าซ้ำซาก  ถือว่าติวเข้มก็แล้วกัน

คณะรัฐมนตรีเล่นบทแข็งกร้าวกับฝ่ายกบฏ  ไม่สนใจความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี ก็ทำให้เห็นว่าขณะนั้นจอมพลป.ไม่มีอำนาจมากเท่าเมื่อครั้งก่อนสงครามโลก     คณะรัฐประหารเชิญจอมพลป.ขึ้นเป็นนายกฯ ก็เพราะบารมีเก่าส่วนหนึ่ง และไม่อยากเสียภาพลักษณ์ว่าตัวเองยึดอำนาจเพื่อจะเอามากินเสียเอง    แต่ถ้าจะเกิดอะไรกับท่านนายกฯ ก็คงถือว่าช่วยไม่ได้  มันสุดวิสัยเอง
เพราะเหตุนี้ กองทัพอากาศจึงได้รับคำสั่งให้เล่นบทเฉียบขาด   แม่ทัพอากาศสั่งให้เครื่องบินทิ้งระเบิดบอมบ์ร.ล.ศรีอยุธยา ไม่อั้น จนกระทั่งจมลงก้นแม่น้ำ
แต่ความพยายามของมนุษย์หรือจะสู้ฟ้าลิขิต   จอมพลป. สวมชูชีพลอยคอว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้    ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือได้รับก็คงเล็กน้อย    เมื่อนึกที่บรรยายว่าระเบิดตรงดิ่งลงมาที่ห้องขัง ทะลุลงไประเบิดห้องข้างล่างโดยท่านไม่เป็นอะไรเลย      ท่านก็น่าจะดวงแข็งกว่าแรมโบ้

รายละเอียดของการบอนไซกองทัพเรือ หลังจากกบฏแมนฮัตตันจบลง คือ...

นายทหารหลักของกองทัพเรือ รวมทั้ง ผบ.ทร. ถูกปลดประจำการประมาณ ๗๐ นาย สถานที่ราชการสำคัญ ๆของกองทัพเรือในกรุงเทพถูกยึด กรมนาวิกโยธินถูกยุบ กองบินทหารเรือถูกโอนให้กับกองทัพอากาศ กองทัพเรือต้องสูญเสีย เรือธง อย่าง ร.ล.ศรีอยุธยา และ ร.ล.คำรณสินธุ ซึ่งจมจากการทิ้งระเบิดของเครื่องบินของกองทัพอากาศ
ส่วนกองทัพอากาศได้ความดีความชอบ และเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อการเมืองการปกครองนับแต่นั้น จนในที่สุดก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนนายเรืออากาศขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๙๖

ผลข้างเคียงจากเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เจอข้อหาให้ความร่วมมือกับฝ่ายกบฏ  รัฐบาลจอมพล ป. จึงส่งทหารเข้ายึดมหาวิทยาลัย มีการประกาศกฎอัยการศึก ห้ามชุมนุมทางการเมือง และปิดมหาวิทยาลัย
คณะกรรมการนักศึกษาขณะนั้น ได้ช่วยกันผลักดันให้ฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอนชั่วคราว โดยไปยืมสถานที่ของเนติบัณฑิตยสภาและโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จุฬาฯ มาใช้แทน ทั้งปริญญาตรีและปริญญาโทของคณะต่างๆ อย่างคณะพาณิชย์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์  นักศึกษาเหลืองแดงต้องร่อนเร่ไปหาห้องเรียนชั่วคราว  ในช่วงเย็นนักศึกษาต้องอาศัยเพียงแสงจากตะเกียงเรียนหนังสือกันด้วยความยากลำบาก

"การเดินขบวน" กลายเป็นประเพณีทางการเมือง นักศึกษาธรรมศาสตร์ 3,000 คนร่วมกันเดินขบวนเรียกร้องมหาวิทยาลัยคืน ในวันที่ 11 ตุลาคม 2494 ภายใต้คำขวัญ "รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย" ในที่สุดรัฐบาลทหารก็ยอมคืนมหาวิทยาลัยในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน เรียกว่าวัน "ธรรมศาสตร์สามัคคี"

นักศึกษาเดินขบวนครั้งใหญ่อีกครั้งในพ.ศ. 2500 หลังการเลือกตั้งที่เรียกว่า "การเลือกตั้งสกปรก"  เริ่มโดยนิสิตจุฬาฯ เดินขบวนไปถึงสะพานมัฆวาน   สถานการณ์นี้ก่อให้เกิดวีรบุรุษคนใหม่ขึ้นมา  และร.อ.หนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในกองทัพไทยยุคหลังจากนั้น

ฉายหนังตัวอย่างแค่นี้ก่อน   รอท่านกูรูใหญ่กว่านำทั้งม้วนมาฉายเองค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 02 ส.ค. 10, 15:29
มาลงชื่อว่ายังตามอ่านอยู่เสมอค่ะ ขนาดที่ว่าทำงานไปซุกชั่วโมงก็ต้องแอบเปิดเข้ามาดูว่ามีเลคเชอร์เพิ่มหรือเปล่า

ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยค่ะ  :-[


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 02 ส.ค. 10, 17:46

นักศึกษาเดินขบวนครั้งใหญ่อีกครั้งในพ.ศ. 2500 หลังการเลือกตั้งที่เรียกว่า "การเลือกตั้งสกปรก"  เริ่มโดยนิสิตจุฬาฯ เดินขบวนไปถึงสะพานมัฆวาน   สถานการณ์นี้ก่อให้เกิดวีรบุรุษคนใหม่ขึ้นมา  และร.อ.หนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในกองทัพไทยยุคหลังจากนั้น

ฉายหนังตัวอย่างแค่นี้ก่อน   รอท่านกูรูใหญ่กว่านำทั้งม้วนมาฉายเองค่ะ

รออย่างใจจดใจจ่อ ว่าอาจารย์ท่านไหน จะมาเฉลย  :D

ทำงานไปด้วย แอบเข้าห้องเรียนไปด้วยเหมือนกันเลยค่ะ แต่แอบเข้าห้องเรียนซะทุกวัน
ดีแต่ว่าเพื่อนร่วมงานอ่านภาษาไทยไม่ได้ อิอิอิ โชคดีไปค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 21:37
เล่าถึงน.ต.มนัส จารุภา ไปพลางๆ ไม่ให้กระทู้หยุดนิ่ง
น.ต.มนัสไม่ใช่คนเล็กคนน้อย    เป็นบุตรของพลเรือตรีพระยาปรีชาชลยุทธ( วัน จารุภา) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรือ   พระยาปรีชาฯเป็นหนึ่งใน"คณะกรรมการราษฎร" เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง  2475
คณะกรรมการราษฎรก็คือคณะรัฐมนตรีนั่นเอง    ต่อมาท่านก็ได้เป็นรัฐมนตรี ในชุดของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา  ต่อมาก็ลาออกในพ.ศ. 2476
เป็นอันว่า น.ต.มนัสที่จี้จอมพลป. เป็นบุตรชายของนายทหารใหญ่ผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองมากับจอมพล ป.นั่นเอง

มีเหตุการณ์เล็กๆที่น่าสะเทือนใจ   ในกบฏแมนฮัตตันนี้  ขอลอกมาลงให้อ่านกันค่ะ
เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำซากในสงครามกลางเมืองของไทย ทุกครั้ง  จะเรียกว่ารัฐประหาร  กบฏ  เดินขบวนต่อต้าน หรืออะไรก็ตาม
เมื่อยังมีการปะทะระหว่างคนไทยกับคนไทยด้วยกัน    ก็จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้เสมอ  โดยไม่มีใครเหลียวแล หรือพยายามจะหาทางระงับมิให้เกิดขึ้นแต่แรก

http://aryaforum.freeforums.org/topic-t117.html

ผมไปพบบันทึกของ จ.อ.นิยม สุขรองแพ่ง บันทึกไว้ถึงเหตุการณ์ที่กองเรือรบท่านได้กล่าวถึงศพทหารเรือผู้หนึ่ง ที่นอนตายบนพื้นสนาม หน้ากองเรือรบไว้อย่างน่าสะเทือนใจ ผมขออนุญาตคัดลอกมาเสนอนะครับ

" เขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่า เขาตายในฐานะอย่างไร ?
วีรบุรุษ หรืออาชญากร ? แต่ไม่ว่าเขาจะตายในฐานะอะไร
พรุ่งนี้เช้า ศพของเขาจะซีดและเขียว เลือดจะแข็งและกลายเป็นสีดำ

ร่างที่นอนตายอยู่นี้ ดูราวกับจะดูดเอาชีวิตของเพื่อนที่ยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ให้หมดไปด้วย

ห่อผ้าเล็กๆ กับถุงกระดาษ ที่วางอยู่ชิดกำแพง ไม่ห่างจากศพมากนัก
เมื่อแก้ห่อออกดู...พานธุปแพเทียนแพสำหรับลาบวช !
ส่วนในถุงกระดาษ เป็นการ์ดลาบวชของผู้ตาย และบัตรประจำตัว
ระบุชื่อ นามสกุล และสังกัด

...จ่าโท สุมน ผลาสินธุ์ ขอกราบลาอุปสมบท ณ พัทธสีมา
วัดหงส์รัตนาราม อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี ในวันที่
๑๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ
...ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม....."  


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: natadol ที่ 02 ส.ค. 10, 22:18
หลังจากกบฏแมนฮันตันมีการปลดประจำการของทหารเรือจำนวนมาก ลุงข้างบ้านผมก็เป็นหนึ่งในทหารกลุ่มนั้น หลังออกจากราชการลุงแกก็มาเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ วัดดงมูลเหล็ก ที่สามแยกไฟฉาย และลูกหลานของลุงแกก็แยกย้ายสาขาไปขายอยู่ทั่วกรุงเทพ เคยถามคนขายแถวๆพระราม 7ว่ามีรูปลุงแกใส่ชุดทหารเรือ ยศจ่าเอก หรือเปล่า คุยจนรู้ว่าบ้านอยู่แถวเดียวกันมาก่อน หากไม่มีกบฎแมนฮัตตั้น เราอาจไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าอร่อยนี้ก็ได้นะครับ :P


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 02 ส.ค. 10, 22:42
คุณลุงข้างบ้านของคุณณัฐดลยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าคะ    ถ้ายังมี คุณณัฐดลลองไปชวนคุยเรื่องบรรยากาศของกบฏแมนฮัตตันดูบ้างไหม เผื่อจะมาเล่าให้ชาวเรือนไทยฟัง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 10, 13:24
ความผิดพลาดของกบฏแมนฮัตตันอยู่ตรงไหน  ชาวเรือนไทยที่อ่านบันทึกของน.ต.มนัส จารุภาคงอ่านพบแล้วบ้างไม่มากก็น้อย   แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายๆก็ขอสรุปเป็นข้อๆ ตามนี้

๑  อย่างแรกคือแผนผิดนัดหมาย ผิดกำหนดหลายครั้ง    เรียกว่านัดแล้วไม่เป็นนัด  หรือทำไม่ได้ตามกำหนดไว้   ทหารที่ร่วมก่อการก็ท้อใจกับเรื่องนี้จนถอนตัวกันออกไปหลายราย    ก็เหลือแต่กลุ่มลงมือปฏิบัติการที่กัดฟันสู้ตามแผนต่อไป 
    น.ต.มนัสระบุไว้ชัดเจนว่านายทหารที่ไม่สามารถทำได้ตามแผน คือน.ต.ประกาย พุทธารี แห่งกองพันนาวิกโยธิน   ซึ่งตอนวางแผนก็ไม่รู้ว่าจะขลุกขลักกันขนาดนี้   แต่พอเอาเข้าจริง  น.ต.ประกายเอากำลังทหารนาวิกโยธินออกมาร่วมรบไม่ได้
     เมื่อน.ต.มนัส จี้ตัวจอมพลป.ได้แล้ว   นำเรือรบหลวงศรีอยุธยาล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยาลงมาถึงบริเวณ ม.ธรรมศาสตร์ มุ่งหน้าสู่สะพานพระพุทธ ก็เจอตอเข้าอย่างจังเมื่อสะพานพุทธฯ ไม่เปิด   เหตุผลคือกองพันนาวิกโยธินที่ ๔ และกองกำลังต่อสู้อากาศยานที่จะมาควบคุมสะพาน เกิดมาไม่ได้  เรือศรีอยุธยาจึงเหมือนติดกับ  ดิ้นไม่หลุดอยู่ตรงนั้น
   น.ต. ประกาย แจ้งข่าวว่า ไม่สามารถนำกองพันนาวิกโยธินที่ ๕ ออกมาจากที่ตั้งได้ เนื่องจากว่า น.อ.สุ่น มาศยากุล ผู้บังคับกองพัน ไม่ยอมให้นำกำลังออกมาใช้ และขู่ว่าหาก น.ต.ประกาย ฝ่าฝืนก็จะยิงทิ้งเสีย
   ก็ไม่รู้ว่าตอนวางแผนกัน  ทำไมมองข้ามคนคุมกำลังอย่างผู้บังคับกองพันนาวิกโยธิน  ในเมื่อไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ร่วมมือด้วยแต่แรก   แล้วจะหาทางพากองพันออกมารบได้ยังไง    แล้วทำไมตอนวางแผน น.ต.ประกายถึงเชื่อมั่นตัวเองเอาง่ายๆว่าจะพาทหารออกมาได้แต่แรกโดยไม่ผ่านผู้บังคับกองพัน    ตรงนี้ก็มีอะไรแปลกๆอยู่เหมือนกัน 

๒    นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ ไม่ได้ร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับทหารหนุ่มกลุ่มนี้
        น.ต.มนัส จารุภา เขียนบันทึกไว้ว่า
        "ข้าพเจ้าเดินเข้าไปทางช่องทางเดินด้านขวาของฉากไม้ ทันใดก็เห็นท่านผู้บัญชาการนั่งอยู่ที่โต๊ะประชุม มีนายทหารชั้นนายพลเรือนั่งอยู่แน่นขนัด ทุกๆท่านมองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เกือบจะเป็นอันเดียวกัน
        ข้าพเจ้าเดินไปที่ริมผนังห้องปลดปืนกลมือออกมาจากไหล่ เอาปืนพกออกจากเอววางกับพื้นห้อง...ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความคารวะต่อท่านผู้ใหญ่ แล้วสาวเท้าเข้าไปกระทำความเคารพและรายงานว่า ข้าพเจ้ามาแทน น.อ.อานนท์ ท่านผู้บัญชาการรับการเคารพ แล้วถามว่าเหตุการณ์ทางฝั่งพระนครเป็นยังไง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้เรียนไปตามตรง.....
         ท่านผู้บัญชาการบอกกับข้าพเจ้าว่า มีกำลังทหารบกเคลื่อนมาตามเส้นทางกรุงเทพฯ - นครปฐม ท่านได้ส่งกำลังทหารนาวิกโยธินส่วนหนึ่งไปตรึงไว้ เพื่อเป็นการป้องกันอันตราย ข้าพเจ้าจึงเรียนท่านว่า กำลังทหารบกนั้นมาจากจังหวัดเพชรบุรี และราชบุรี เป็นฝ่ายเดียวกับข้าพเจ้า กำลังเคลื่อนกำลังเข้ามาสมทบ ขอให้ท่านกรุณาสั่งการถอนกำลังทหารนาวิกโยธินกลับไปเสีย ท่านผู้บัญชาการรับฟังแล้วก็นิ่ง
          สุดท้ายท่านถามขึ้นว่า ทำไม ? ข้าพเจ้าจึงเรียนให้ท่านทราบว่า พวกข้าพเจ้าไม่พอใจในความเหลวแหลกของคณะรัฐบาลที่เป็นอยู่ขณะนี้ ต้องการให้มีการปรับปรุงคณะรัฐบาล.....
           ในข้อเขียนอันเดียวกันนี้ยังได้อธิบายต่อไปว่า ผบ.ทร. ได้สั่งให้ น.ต.มนัส ออกไปคอยนอกห้อง สักครู่ท่านก็เดินตามออกมา น.ต. มนัส จึงขอกำลังจากท่านเพื่อไปยึดเอาโรงไฟฟ้าคืน และเพื่อ เปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯให้ ร.ล.ศรีอยุธยา แล่นผ่านออกไป แต่ ผบ.ทร.ให้ไปตกลงกับ พล.ร.ต. กนก นพคุณ ผบ.มณฑล ทร.๑ เอาเอง      
      น.ต.มนัส จึงทำความเคารพ และกลับออกมา รีบมุ่งไปที่ท่าช้าง ราชนาวิกสภา ตรงไป บก.มณฑล ทร.๑ เข้าพบกับ พล.ร.ต.กนก นพคุณ แจ้งความประสงค์ให้ทราบ ซึ่ง น.ต.มนัส ก็ได้บรรยายไว้ในหนังสือว่า ผบ.มณฑล ทร.๑ ตอบปฏิเสธ ไม่สามารถจัดกำลังคนให้ตามที่ข้าพเจ้าขอ ข้าพเจ้าก็เรียนท่านอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าไม่มีกำลังทหารพอ ก็ขอแต่เรื่องอาวุธแล้วไปจัดหากำลังทหารเอาเอง ท่าน ผบ.มณฑล ทร.๑ ก็คงยืนกรานปฏิเสธ......  

           ข้อความสีแดง   บอกให้รู้ว่าทั้งผบ.ทร. และผบ.มณฑล ทร. ๑ ไม่เอาด้วยกับกบฏครั้งนี้      เมื่อไม่เอาด้วย ทหารเรือที่ลงมือก็ต้องแพ้ไปตามระเบียบ    ในตอนหลังก็อ่านพบว่าท่านผบ.ทร. เองก็เสียใจที่ไม่เอาด้วยเสียแต่แรกเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาด้วยกันกับจอมพล ป.   เพราะผลจากการไม่เอาด้วย  แทนที่จอมพลป.จะเห็นแก่กองทัพเรือ    พออกพอใจว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วย   กลับบอนไซทั้งกองทัพไปเสียเลย
           ผลจากนั้นกองทัพเรือก็เหมือนถูกสาปให้หายไปจากการเมืองไทย   เพิ่งมาผงาดขึ้นในช่วงสั้นๆอีกครั้งตอนพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ปฎิรูปการปกครอง ในพ.ศ. 2519     ตอนนั้นลูกดอกประดู่ขึ้นจากน้ำ  มาเข้าเวรถือปืนเฝ้าสถานที่สำคัญๆ ตามถนนหนทางอยู่ทั่วกรุงเทพ 
     แต่เหตุการณ์นี้ ล่วงเลยจอมพลป.ไปไกลแล้วค่ะ   จะเล่าก็สับสนเปล่าๆ  เอาเป็นว่าแล้วแต่ความกรุณาของท่านกูรูใหญ่กว่า  ในอนาคตอันไกลละกัน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 10, 15:17
ในเว็บไซต์ของสถาบันพระปกเกล้า   ระบุชื่อหัวหน้ากบฏไว้ว่า พลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ  นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน   ถ้าเป็นจริงก็หมายความว่านายทหารเรือชั้นผู้่ใหญ่ที่น.ต.มนัส จารุภาไปพบ  ไม่เอาด้วยกับพลร.ต. ทหาร    จะเป็นเพราะไม่เห็นด้วยแต่แรก   หรือว่ามาเปลี่ยนใจทีหลัง  ก็ไม่มีใครทราบได้   
ก็น่าแปลกว่า นายพลนอกราชการซึ่งย่อมไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือ    ซ้ำไม่ได้รับความร่วมมือจากนายพลในราชการ  แต่ก็กล้าทำถึงขนาดนี้  แต่จะเป็นอย่างไรก็ตาม  ผลคือนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ถูกปลด  ถ้าไม่ปลดก็ถูกส่งตัวเข้ากรุกันระนาว
เช่น พลเรือเอก สินธ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือโท หลวงเจริญราชนาวา (เจริญ ทุมมานนท์) รองผู้บัญชาการทหารเรือ พลเรือโท ผัน นาวาวิจิต ผู้บัญชาการกองเรือรบ พลเรือตรี ชลิต กุลกำม์ธร รองผู้บัญชาการกองเรือรบ พลเรือตรี กนก นพคุณ ผู้บังคับการมณฑลทหารเรือที่ 1 พลเรือตรี ประวิศ ศรีพิพัฒน์ เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือ พลเรือตรี ดัด บุนนาค เจ้ากรมสรรพาวุธทหารเรือ พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือฝ่ายยุทธการ พลเรือตรี ชลี สินธุโสภณ ผู้บังคับการกองสัญญาณทหารเรือ และ พลเรือตรี สงวน รุจิราภา นายแพทย์ใหญ่ทหารเรือ
ส่วนผู้ถูกปลดออกจากราชการ คือผู้ปฏิบัติการ  นาวาเอก อานนท์ บุณฑริกาภา และนาวาตรี มนัส จารุภา นอกจากนี้ ยังมีนายทหารเรืออีกประมาณ 70 นายถูกปลดออก
เมื่อเทียบกัน โทษเบากว่าปี 2482  คือไม่มีใครถูกประหารชีวิต    เมื่อเทียบกับโทษที่พี่ภรรยาของพระยาทรงสุรเดชเจอ คือแค่ขึ้นเหนือไปของานทำจากน้องภรรยา   ก็โดนถึงประหาร    ถือว่านายทหารเรือหนุ่มกลุ่มนี้ยังโชคดีกว่ามาก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 10, 15:25
การทิ้งระเบิดและยิงถล่มกันไม่ยั้ง ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับทหารเรือ   ทางผู้ปฏิบัติการก็ยิงฝั่งเจ้าพระยาหนักหนาเอาการ    ชาวบ้านบาดเจ็บและล้มตายกันไปมาก  ประชาชนเสียชีวิต 118 คน บาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัส 191 คน พิการ 9 คน ทหารเรือเสียชีวิต 43 นาย บาดเจ็บ 87 นาย ทหารบกเสียชีวิต 43 นาย บาดเจ็บ 87 นาย ทหารบกเสียชีวิต 17 นาย บาดเจ็บ 115 นาย และตำรวจเสียชีวิต 9 นาย บาดเจ็บ 38 นาย
ทางราชการได้แถลงว่าทรัพย์สินของประชาชนที่เสียหายมีจำนวนถึง 670,000 บาท ไม่นับทรัพย์สินที่ถูกลักขโมยไปในช่วงที่เกิดความวุ่นวายและค่าทำศพของราษฎรอีกเป็นจำนวนมาก โดยรัฐบาลจ่ายให้แก่ผู้เสียชีวิตคนละ 1,500 บาท ผู้ทุพพลภาพคนละ 1,200 บาท และผู้บาดเจ็บสาหัสคนละ 400 บาท ทางด้านความสูญเสียและความเสียหาย กองทัพบกเสียหายประมาณ 6,000,000 บาท กองทัพเรือเสียหายมากที่สุด เป็นทรัพย์สินประมาณ 5,000,000 บาท
ห้าล้านบาท ไม่นับรวมมูลค่าเสียหายของเรือหลวงศรีอยุธยาและเรือคำรณสินธ์ที่อับปางลง เรือหลวงศรีอยุธยานั้นเป็นเรือรบที่เรียกว่าเรือปืนหนัก เป็นเรือที่สั่งต่อพิเศษจากประเทศญี่ปุ่น เรือคำรณสินธ์เป็นเรือขนาดเล็ก นอกจากนี้ กรมอู่ทหารเรือยังถูกไฟไหม้วอด มีเชื้อเพลิงและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่สูญหายอีกจำนวนมาก
เหล่าที่สูญเสียน้อยที่สุดคงเป็นกองทัพอากาศ ซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็น “ อัศวินขี่ม้าขาว ” ที่ทำให้กบฏครั้งนี้จบลงเร็วขึ้น ส่วนกรมตำรวจเสียหายประมาณ 380,000 บาท
งบประมาณที่ใช้ปราบกบฏมีมูลค่าเป็นเงินทั้งหมด 15 ล้านบาท   ในพ.ศ. 2494 ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่   สมัยนี้เห็นจะต้องเอา 100 หรือใกล้ๆ 100 คูณเข้าไป





กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 03 ส.ค. 10, 16:43
มีผู้ทำนายดวงของบ้านเมืองขณะนั้นไว้ว่า ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2492 - เดือนตุลาคม พ.ศ.2494 เป็นช่วงเวลาที่ดาวเสาร์ได้โคจรเข้าไปทำมุม 90 องศากับดาวเสาร์เดิม เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศ สภาวะเศรษฐกิจของประเทศเสื่อมโทรม ผู้บริหารของประเทศมีการเล่นพรรคเล่นพวกเกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง คอร์รัปชั่น
จนกระทั่งคณะทหารเรือกลุ่มหนึ่งทนดูต่อไปไม่ได้ จึงทำการปฏิวัติแต่ไม่สำเร็จครั้งนี้
(โดย พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ จาก http://www.dabos.or.th/pr24.html )

สงสัยดาวเสาร์ไม่ค่อยขยับมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 10, 00:44
จากภาคขยายในเรื่องของกบฏแมนฮัตตั้น จะเห็นว่าความไม่พอใจของคณะผู้ก่อการกบฏพุ่งเป้าไปในเรื่องของการคอร์รัปชั่น แม้จะไม่ได้ระบุลงไปชัดว่าใคร ทำอะไร อย่างไร เราก็พอจะค้นหากันเองได้

ตอนที่พลโทผิน ชุณหวันปฏิวัติรัฐประหารเสร็จถึงกับร้องไห้ในระหว่างการแถลงข่าวว่าไม่สามารถทนเห็นการโกงกินที่เกิดขึ้นในวงการรัฐบาลพล.ร.ต.ธำรงได้ คนใกล้ชิดค.ร.ม.จากที่กระจอกๆก็ร่ำรวยกันใหญ่ ส่วนตนนั้นขนาดเป็นนายพลยังยากจน กางเกงที่นุ่งอยู่ก็เก่า ขาดแล้วก็ยังต้องปะใช้อยู่  บ้านก็ต้องอาศัยหลวง แต่ตอนที่ได้เลื่อนเป็นจอมพลผินแล้วก็ฐานะอื่นๆท่านผู้นี้ก็ดีขึ้นมากมาย เป็นปฐมบุรุษของนักการเมืองกลุ่มซอยราชครูที่ช่วงหลัง สามารถลงทุนส่งคนในค่ายขึ้นไปชิงแชมป์เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งได้หนึ่งคนคือ พลเอกชาติชาย ชุณหวัน ก่อนหน้านั้นมีเหมือนกันที่คั่วตำแหน่งรองนายกอยู่หลายสมัย คือ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร ลูกเขยจอมพลผิน แต่ไม่มีวาสนาได้เป็นนายกเพราะเสียเชิงมวยในค่ายให้นายบรรหาร หลงจู้จากสุพรรณ มาซิวตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทยที่กลุ่มราชครูสร้างมากับมือไปครองเสียก่อนอย่างน่าเจ็บใจ

กลุ่มราชครู ถือกำเนิดได้จากการกุมอำนาจในกองทัพของจอมพลผิน  ภายหลังการทำรัฐประหาร 2490 ตอนแรกรู้จักกันในนามของกลุ่มผิน-เผ่า (ผิน ชุณหะวัณพ่อตา และเผ่า ศรียานนท์ ลูกเขย) เริ่มด้วยการกำจัดกลุ่มปรีดีออกไปจากคณะกรรมการบริหารบริษัทข้าวไทย ตอนนั้นการใช้หนี้สงครามให้พันธมิตรด้วยข้าวได้จบสิ้นไปแล้ว เศรษฐกิจก็กระเตื้องขึ้นโดยอัตโนมัติ ไทยเริ่มส่งออกข้าวได้ตามปกติ แต่ใครจะส่งออกข้าวได้ก็ต้องมีโควต้า พ่อค้าจีนต่างก็วิ่งเต้นตีนขวิดเพื่อให้ได้โควต้าในการส่งออกให้มากที่สุด สมัยนั้นรัฐก็กดราคาข้าวที่ชาวนาพึงจะขายได้ด้วยการตั้งภาษีขาออก เรียกว่าค่าพรีเมี่ยมข้าว ทำให้ราคาข้าวที่ชาวนาได้รับต่ำกว่าราคาข้าวที่ส่งออกไปตลาดโลกมากมาย คนฮ่องกงต้องซื้อข้าวไทยในราคาแพงลิบ เป็นเศรษฐีจึงจะกินได้ แต่ชาวนาไทยก็ยังยากจนค่นแค้นใส่กางเกงตูดปะยิ่งกว่าตัวที่พล.ท.ผินยังโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีเสียอีก คนไทยที่รวยก็คือพ่อค้า ตั้งแต่คนกลางยี่ปั้ว ซาปั๊ว ที่รวมข้าวมาให้พ่อค่าส่งออก และคนอนุมัติโควต้าว่าเจ้าโน้นส่งได้เท่านั้นตัน คนนี้ส่งได้เท่านี้ตัน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 10, 00:48
นอกจากเรื่องข้าว ก็เข้าไปในไทยนิยมพาณิชย์ที่เป็นห้างสรรพสินค้าของรัฐบาล เดิมตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายว่าจะหาสินค้าราคาถูกจากผู้ผลิตมาขายให้ผู้บริโภคในราคายุติธรรม ร้านค้าของไทยนิยมแน่นขนัดเพราะขายถูกกว่าอาเฮียจริงๆ แต่ต่อมาก็เจ้งไปตามที่อาเฮียทั้งหลายคาดไว้ไม่ผิด เพราะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการจำนวนมหึมาจนทำให้ขาดทุนยับเยิน

ส่วนในรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ก็แต่งตั้งคนในคาถาเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการ ที่ไหนมีแนวโน้มดีก็ตั้งธุรกิจในตระกูลมาร่วมผลประโยชน์ หรืออาศัยอภิสิทธิ์แห่งรัฐ ในการดำเนินธุรกิจลักษณะผูกขาด   ไม่นานกลุ่มราชครูก็ตั้งบริษัทการค้าใหม่ๆ อีกหลายแห่งมีที่ทำธุรกิจส่งออกข้าวแทนบริษัทข้าวไทย ก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าขึ้นอื่นๆมาแทนที่บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ นอกจากนั้นยังเข้าร่วมดำเนินงานในธนาคารสองแห่ง คือ ธนาคารเอเชียเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่เคยเป็นของกลุ่มนายปรีดีเสียเอง

แต่แล้วธุรกิจของกลุ่มผิน-เผ่าแห่งซอยราชครูก็สับหลีกกลุ่มสี่เสาไปไม่พ้น ธุรกิจกลุ่มสี่เสาเป็นของจอมพลสฤษดิ์ ไม่เกี่ยวกับบ้านสี่เสาหรือท่านที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นแต่ประการใด

ในป.2 เทอมแรก การใช้นโยบายแอบแฝงผลประโยชน์ของคนในรัฐบาลที่น.ต.มนัสทนไม่ได้ เอามายกเป็นข้ออ้างเพื่อก่อการกบฏนั้น ธุรกิจของทั้งสองกลุ่มเพิ่งจะเริ่มต้นเบาะๆด้วยซ้ำ ครั้นพอเข้าเทอมปลายทั้งสองกลุ่มขยายกิจการซ้อนทับกันมากขึ้น ทำให้เสถียรภาพของจอมพลป.สั่นคลอนไปด้วย เพราะนั่งร้านชักไม่สามัคคีกันเสียแล้ว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 10, 13:50
^
  ดอกไม้เศรษฐกิจน่าจะได้ราคาดีนะคะ
 :D

จำชื่อห้างไทยนิยมได้รางๆ  ว่าอยู่ที่ถนนราชดำเนิน  แถวผ่านฟ้า  เข้าใจว่าอยู่ฟากตรงข้ามกับลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์  แต่ไม่ใช่หอศิลป์ ต้องข้ามถนนด้านหอศิลป์ไป  แต่จำอะไรเกี่ยวกับห้างนี้ไม่ได้เลย
อีกห้างหนึ่งที่เป็นของรัฐคือห้าง อ.จ.ส.   อยู่ตรงอนุสาวรีย์วีรชนปัจจุบันนี้   ยังจำได้ว่าตอนเล็กๆเคยเดินเข้าไป ชั้นล่างเป็นห้างกว้างด้านหน้าเป็นทางเข้าเปิดโล่งตลอด   มีสินค้าพวกเครื่องกระป๋องวางเรียงจัดเป็นระเบียบ ไม่ได้อยู่ในตู้  แต่โชว์ไว้เป็นตั้งๆ   ต่อมาก็เลิกกิจการไป  กลายเป็นสถานีวิทยุ ท.ท.ท.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 10, 14:00
บิ๊กทั้งสี่ในสมัยนั้น
จากซ้าย จอมพลป. พิบูลสงคราม  จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์  พลต.อ. เผ่า ศรียานนท์  จอมพลอากาศฟื้น รณากาศ ฤทธาคนี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 05 ส.ค. 10, 15:09
มาขยายความเรื่องซอยราชครู
ซอยราชครูคือพหลโยธินซอย 5      สมัย 60  ปีก่อนเป็นสวนชานเมืองปลูกผัก   ที่ตรงนี้เดิมเป็นที่ดินของพระราชครู ผู้ทำพระราชพิธีในวัง (ไม่ทราบว่าท่านไหน)   จอมพลผินมีบุตร 5 คน  ซึ่งท่านนิยมให้ปลูกรวมอยู่รวมในรั้วเดียวกัน    เป็นครอบครัวขยายขนาดใหญ่
เมื่อที่ดินเดิมที่เทเวศร์ชักจะคับแคบเพราะจำนวนลูกหลานมีมาก  ท่านก็ไปซื้อที่ดินชานเมืองอยู่  ให้ลูกหลานปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆในซอยเดียวกัน
ลูกและหลานของจอมพลผินเป็นนักการเมืองกันต่อมาหลายคน  ได้ชื่อว่ากลุ่มซอยราชครู หรือกลุ่มราชครู
 
รุ่นลูกคงได้อ่านจากคุณนวรัตนแล้วว่ามีใคร    รุ่นหลานก็คุณกร ทัพพะรังสี  คุณปองพล อดิเรกสาร  คุณไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็นต้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 10, 23:25
การแก้ปัญหาค่าครองชีพขึ้นไปไม่หยุดที่ไปโจมตีรัฐบาลก่อนไว้นั้น ช่วงแรกหลังการรัฐประหารได้ออกประกาศกำหนดราคาสินค้าหลายอย่างให้ขายในราคาควบคุม ว่ากันว่ารวมถึงน้ำแข็งเปล่า โอเลี้ยง ก๋วยเตี๋ยวข้าวผัดด้วยว่าไม่ให้ขายเกินราคาเท่าไหร่ ซึ่งก็ทำได้ในบัดดล ของทุกอย่างราคาลดฮวบตามสั่ง แต่ประชาชนยิ้มยังไม่ทันหุบปาก ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเหมือนเดิม แถมบางตัวราคาเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะของที่ต้องนำเข้าจากเมืองนอก

แต่ต่อมา เงินที่ได้จากการค้าข้าว ไม่ว่าจะตกอยู่ในมือใครเท่าใดก็ตาม แต่เมื่อเริ่มหมุนออกมาในระบบเศรษฐกิจ คนก็เริ่มมีเงินจับจ่ายใช้สอยขึ้น เสียงบ่นก็ค่อยๆเบาลงไปได้บ้าง

ในขณะเดียวกัน อเมริกันก็เข้ามามีอิทธิพลในทางการเมืองและเศรษฐกิจ อาศัยภาพพจน์พระเอกที่ช่วยไทยไว้มากมายในการเจรจากับอังกฤษและฝรั่งเศสในคราวยุติสถานภาพสงคราม เริ่มจากการเสนอโครงการเงินกู้เข้ามาพัฒนาประเทศ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยจอมพลป.2นี้ รัฐบาลไทยกู้เงินกองทุนระหว่างชาติที่อเมริกันอยู่ข้างหลังมาพัฒนาระบบชลประทาน เช่นสร้างเขื่อนเจ้าพระยาขึ้นเป็นเขื่อนขนาดใหญ่เขื่อนแรก เริ่มต้นการทำถนนหลวงเชื่อมภาคต่างๆ เช่นถนนสุขุมวิท ถนนเพชรเกษม แม้จะเป็นทางลูกรังแค่รถบรรทุกสวนกันได้ ก็นับว่าดีที่ได้ริเริ่ม รัฐบาลต่อมาได้อเมริกันมาสร้างถนนมิตรภาพให้เชื่อมอิสานจากสระบุรีไปโคราช เป็นถนนลาดยางไร้ฝุ่นวิ่งเรียบสี่เลนเป็นถนนแรกของประเทศ ตอนผมเด็กๆเคยฟังพวกผู้ใหญ่โม้กันว่า โอ้ย.ถนนมิตรภาพน่ะผมไปลองมาแล้ว มันเรียบจริงๆ เอาน้ำใส่ไว้เต็มแก้วถึงโคราชแล้วน้ำยังไม่กระฉอกสักหยด ครั้นผมได้ไปด้วยตนเองมั่งจึงสงสัยว่า แกคงไม่ได้ขับรถไป น่าจะเดินถือแก้วน้ำแล้วค่อยๆย่องไปข้างถนนมากกว่ามั้ง อย่างไรก็ดี ผมยอมรับว่า โครงการที่ใช้เงินกู้มาทำโครงสร้างมูลฐานก็เป็นประโยชน์จริงๆ แต่หลายโครงการที่กู้มาทำโรงงานอุตสาหกรรมของรัฐเพื่อแข่งขันกับภาคเอกชน แม้จะมีความมุ่งหวังที่ดีว่าจะผลิตของมาขายให้กับประชาชนได้ในราคาที่ถูกกว่า แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่รอดสักราย ไม่ว่าจะเป็นโรงงานกระดาษ โรงงานน้ำตาล ฯลฯ ที่ผมเห็นว่าอยู่ได้เห็นจะมีโรงงานยาสูบแห่งเดียว แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่กิจการค้าผูกขาดห้ามเอกชนเข้ามาผลิตแข่ง ก็คงจะเจ๊งเหมือนกัน

อย่างไรก็ดี เงินกู้ก้อนใหญ่ที่เม็ดเงินแม้จะไปตกหล่นที่ใครบ้าง แต่เมื่อกลับเข้ามาหมุนเวียนในประเทศ ก็ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเป็นของตาย แต่ก็นั่นแหละ เจ้าของเงินเขาไม่ได้ให้กู้มาเฉยๆ นอกจากจะต้องคืนเขาทั้งต้นทั้งดอกแล้ว ยังฉุดเราเข้าไปในค่ายของเขาด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 05 ส.ค. 10, 23:28
ในสมัยจอมพลป.2 ไทยส่งทหาร แต่งเครื่องแบบเหมือนทหารอเมริกัน ไปรบกับกองทัพคอมมิวนิสต์ในสงครามเกาหลีในนามของสหประชาชาติ อเมริกันเข้ามาติดอาวุธให้กองทัพไทยแทนอาวุธเก่าๆที่เคยซื้อจากอิตาลี่บ้างญี่ปุ่นบ้าง ถึงตรงนี้ผมยังอยากจะเดาเล่นๆเลยว่า ที่ขุนทหารทั้งหลายยอมให้ทหารอากาศทิ้งระเบิดใส่เรือปืนศรีอยุธยานั้น ถามว่าไม่เสียดายหรือ เขาอาจจะตอบว่าเสียดายทำไม จะปลดประจำการขายเป็นเศษเหล็กอยู่วันสองวันนี้แล้ว เพราะล้าสมัยออกรบก็แพ้แน่นอนหนึ่ง เพราะซ่อมไม่ได้ไม่มีอะไหล่หนึ่ง เพราะกระสุนหมดแล้วหนึ่ง ญี่ปุ่นเลิกผลิตอาวุธพวกนี้แล้วไทยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนอเมริกันก็มีเรือรบ และเครื่องบินเหลือใช้จากสงครามเยอะ แบ่งให้กองทัพไทยเอามาเล่นบ้างก็ดูดีกว่าของไทยที่เคยมีเยอะ ทหารไทยไปเกาหลีคราวนี้ พร้อมๆกับยอมให้จัสแมคมาตั้งบก.อยู่ในไทย เอาเงินดอลล่าเข้ามาใช้อีก จึงถือว่าประเทศได้ทั้งเงินทั้งกล่อง

ทั้งนี้ โดยแลกกับที่รัฐบาลต้องออกพระราชบัญญัติการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และล้างบางพวกหัวเอียงซ้ายซะทีหนึ่ง อันเป็นที่มาของ “กบฏสันติภาพ”


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 08:58
ก่อนคุณนวรัตนจะพาเหล่าพระเอกชุดใหม่มาขึ้นเวที ในชื่อ "กบฏสันติภาพ" ขอแยกซอยออกไปเรื่องสงครามเกาหลี คั่นเวลาตามเคยนะคะ

พวกเราบางคนที่มีญาติผู้ใหญ่เป็นทหาร  อาจเคยได้ยินท่านเล่าว่าเคยไปร่วมรบในสงครามเกาหลี   ต้องระดับปู่ตาหรือทวด เพราะมันเกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีก่อนโน้น
เกาหลีตอนนั้นเริ่มแบ่งเป็น 2 ประเทศแล้ว   คือเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้    

แต่เดิมมา  เกาหลีเป็นประเทศเล็กๆที่ถูกบีบอยู่ตรงกลาง ระหว่างพี่เบิ้มใหญ่แห่งเอเชีย คือจีนอยู่ข้างบน   ญี่ปุ่นอยู่ข้างล่าง     เมื่อญี่ปุ่นเริ่มขยายอำนาจจะเป็นเจ้าเอเชียก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2  ก็กรีฑาทัพไปบุกจีน  ตามเส้นทางต้องลุยผ่านเกาหลี   แน่นอนว่าเมื่อช้างสารจะไปชนกับช้าง หญ้าแพรกตรงกลางก็แหลกลาญ
เกาหลีโดนญี่ปุ่นทำสาหัส ไม่แพ้ The Rape of Nanking   ผู้ชายถูกฆ่า ถูกจับเป็นเชลย ใช้ทำไร่ไถนาสร้างข้าวปลากระยาหารให้กองทัพ  ส่วนผู้หญิงถูกลากเข้าค่ายเป็นนางบำเรอ    เกาหลีเก็บความแค้นไว้ในอกมาหลายสิบปี เพิ่งระเบิดออกมาให้โลกรู้ไม่กี่ปีนี้เอง   ก่อนหน้าระเบิดก็ชังน้ำหน้าญี่ปุ่นเอามากๆอยู่แล้ว

หลังสงครามโลก    ประเทศที่ผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจคือสหรัฐอเมริกา  เพราะเป็นตัวชี้ขาดแพ้ชนะในสงครามยุโรป   ถ้าอเมริกาไม่ทุ่มกำลังทหารเข้าช่วยพันธมิตรก็มีหวังว่าพันธมิตรจะลำบากไปอีกนาน     ข้อได้เปรียบอีกอย่างคืออเมริกาส่งคนไปรบในยุโรป  แม้ว่าทหารตายไปเยอะ แต่ประเทศไม่บอบช้ำเพราะไม่ได้เป็นสมรภูมิอย่างอังกฤษหรือฝรั่งเศส     เว้นแต่โดนถล่มเพิร์ลฮาเบอร์นิดเดียว ไกลหัวใจที่เมนแลนด์หรือแผ่นดินใหญ่อยู่มาก
สงครามจบ  อเมริกาก็ยึดญี่ปุ่นในฐานะประเทศแพ้สงคราม   แล้วขยายอิทธิพลมาทางเอเชียอาคเนย์ รวมฟิลิปปินส์ซึ่งกลายเป็นอเมริกันเต็มตัว
และเกาหลี ซึ่งตอนนั้นเป็นประเทศเดียวแต่ความคิดทางบริหารประเทศแตกเป็น 2 ค่าย
เกาหลีเหนือซึ่งใกล้จีนมากกว่า เห็นดีเห็นงามกับระบอบคอมมูนของจีน  หรือเราเรียกว่าคอมมิสนิสม์ ซึ่งมีพี่เอื้อยใหญ่คือโซเวียตหนุนหลังอีกที  
ส่วนทางใต้ที่ใกล้ญี่ปุ่นรับอิทธิพลอเมริกา คือระบอบทุนนิยมและมีรัฐสภา  ที่อเมริกาเรียกว่าประชาธิปไตย

เมื่อมีพี่ใหญ่นอกประเทศหนุนหลัง  เกาหลีประเทศเดียวก็แตกเป็น 2 ดินแดน  มีเส้นคั่นกลางที่ไม่ให้ล่วงล้ำกัน  คือเส้นขนานที่ 38


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 07 ส.ค. 10, 09:53
ที่เกาหลีเพิ่งมีงานครบรอบ 60ปีสงครามเกาหลีไปเมื่อเดือนก่อนนี้เองค่ะ มีนิทรรศการขอบคุณทหารต่างชาติ
ที่เข้ามาร่วมรบ เห็นธงไทยด้วยค่ะ ...


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 09:55
สงครามเกาหลีเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกาหลีเหนือไม่ยอมหยุดอยู่แค่เส้นแบ่งที่ 38  แต่ว่ายกทัพพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาตีกองทัพเกาหลีใต้ที่รักษาเขตแดนอยู่จนแตกพ่าย  แล้วตะลุยเข้ามายึดกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ได้   แทบจะไม่มีใครทันรู้เนื้อรู้ตัว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่  25 มิย. 2493  หลังสงครามโลกจบลง 5 ปี

หลังสงครามโลก  นานาชาติรวมตัวขึ้นตั้งองค์การสหประชาชาติ  คอยดูแลประเทศต่างๆทั่วโลกที่เข้าเป็นสมาชิก  ประเทศไหนเดือดร้อนอะไร ทะเลาะตบตีกันหรือตกลงไม่ได้ยังไงก็มาฟ้ององค์การสหประชาชาติ   มีอเมริกาเป็นพี่ใหญ่หนุนหลังอยู่  สนง.ใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค  
แต่ความเดือดร้อนนี้ต้องเป็นระดับประเทศต่อประเทศ  ไม่ใช่เอกชนต่อเอกชน หรือเอกชนต่อประเทศ
ถ้าไทยขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นสมาชิกด้วยกัน อย่างนี้ร้องเรียนสหประชาชาติได้
แต่ถ้านายกฯประเทศไหนมาทะเลาะกับคุณอภิสิทธิ์ เป็นส่วนตัว     อย่างนี้ไปฟ้องไม่ได้   หรือประชาชนไทยไปทะเลาะกับรัฐบาลไทย  ต่างฝ่ายต่างก็ไปฟ้องสหประชาชาติไม่ได้เช่นกัน
ยุคก่อนหน้านี้มีองค์การสันนิบาตชาติที่ทำงานแบบเดียวกัน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะเยอรมันไม่ฟังเสียง  ก็เลยต้องยุบเลิกไป

พอเกาหลีใต้ทำท่าจะโดนเกาหลีเหนือกลืนกินหัวกินหางกินกลางตลอดตัวเข้าไปหมด  อเมริกาก็เต้น  สหประชาชาติก็เต้น
คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ เปิดประชุมฉุกเฉิน เมื่อ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ เวลา ๑๔.๐๐น. ที่นครนิวยอร์ค ประณามการกระทำนี้ว่าเป็นการทำลายสันติภาพ และยื่นคำขาด คือ
 ๑.  ให้ทั้งสองฝ่ายหยุดรบทันที
  ๒.  ให้ฝ่ายเกาหลีเหนือ ถอนกำลังกลับไปอยู่เหนือเส้นขนานที่ ๓๘
   ในการประชุมครั้งนี้ ผู้แทนสหภาพโซเวียตไม่ยอมเข้าร่วมประชุม  แต่อ้างเหตุผลเรื่องอื่น เกี่ยวกับจีนแผ่นดินใหญ่ที่เข้าเป็นสมาชิกไม่ได้ เพราะตอนนั้นอเมริการับรองไต้หวันอยู่แล้ว  โซเวียตหนุนหลังจีนแผ่นดินใหญ่ เลยงอนไม่เข้าประชุม

   กลับมาที่เรื่องสงครามเกาหลี
   ในเมื่ออ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว   เรื่องอะไรเกาหลีจะยอมคาย แค่องค์การมาดุเอาเฉยๆ    คณะมนตรีความมั่นคงก็เลยต้องพูดกับกองทัพเกาหลีเหนือด้วยกำลัง    คือรวบรวมจากกองทัพนานาประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ส่งทหารไปช่วยเกาหลีใต้ และผลักดันให้กองทัพเกาหลีเหนือถอยร่นกลับไป
แม่ทัพใหญ่ของทัพเฉพาะกิจชื่อพลเอก ดักลาส แมคอาร์เธอร์ (General of the Army Douglas Mac Arther) เป็นนายพลทหารอเมริกัน ทำหน้าที่ผู้บัญชาทหาร   ได้รับอนุมัติให้ใช้กำลังทั้งทางอากาศ และกำลังทางเรือ ถล่มเกาหลีเหนือ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 10:10
ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ  คงจำได้นะคะ  จากกระทู้คุณหลวงพิบูลและคุณหลวงอดุลว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร   เมื่อสงครามเกาหลีระเบิด  นานาชาติเข้าร่วมรบ  คณะมนตรีฯก็ส่งสารมาด่วนถึงรัฐบาลไทยให้เข้าไปร่วมด้วยช่วยกัน
ตอนแรกรัฐบาลไทยไม่อยากไปรบ  เลยอิดออดบอกว่าขอแค่ส่งเสบียงข้าวไปให้ทหารนานาชาติดีกว่า เพราะเราปลูกข้าวมีกินมีใช้ได้เหลือเฟืออยู่แล้ว  แต่คณะมนตรีฯตอบกลับมาว่าเสบียงอาหารได้จากหลายประเทศไม่ขาดแคลน   สิ่งที่ต้องการคือกำลังคน  จึงยืนยันขอทหาร ไม่ขอข้าว

เมื่อเจอคำยืนกรานแบบนี้  รัฐบาลไทยก็ต้องตกลง    ตอนแรกตัดสินใจว่าส่งกำลังทหาร ๑ กรมผสม มีกำลังพลประมาณ ๔,๐๐๐ คน ไปร่วมรบในเกาหลี มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการ  มีพันเอก บริบูรณ์  จุลละจาริตต์ หัวหน้าแผนกที่ ๓ กรมจเรทหารราบ เป็นผู้บังคับหน่วยทหาร  จัดกำลังเป็นรูปกรมผสม คือทหารราบ ๓ กองพัน ทหารปืนใหญ่ ๑ กองพัน พร้อมทั้ง ๑ กองสื่อสาร ๑
กองช่าง และ ๑ กองลาดตระเวณ สำหรับกองพันทหารราบ ให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศให้เตรียมกำลังเหล่าทัพละ ๑ กองพัน เพื่อประสานงานกับกองทัพบก
ต่อมาพบว่าไม่พอ   กระทรวงกลาโหมรับสมัครทหารอาสาไปด้วย  มาสมัครทั้งสิ้น ๑๔,๙๙๘ คน
ทหารไทยก็ไปประจำการเกาหลีกันพักใหญ่  ด้วยความเป็นมาอย่างนี้        และเราก็รู้จักเพลง "อารีดัง" กันมานับแต่นั้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 10:31
กบฎสันติภาพ

กบฎสันติภาพมีเหตุมาจากสงครามเกาหลีแท้ๆ น่างงไหมครับ ทำไมกลุ่มคนที่ไฝ่สันติภาพจึงกลายเป็นกบฏไปได้

เมื่อสงครามในรูปแบบจบลง สงครามกองโจรก็ได้เกิดขึ้นแทนในดินแดนเมืองขึ้นทั้งหลายที่ต้องการปลดแอกจ้าวอาณานิคมเดิมของอังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดาเป็นต้น ฝ่ายที่หยิบยื่นอาวุธให้กองทัพประชาชนเจ้าของประเทศคือรัสเซีย จ้าวลัทธิคอมมิวนิสต์ที่อยู่ตรงกันข้ามกับประเทศเสรีทุนนิยม ในเอเซียนั้น การพ่ายแพ้ของเจียงไคเช๊กต่อกองทัพแดงของเมาเซตุงสั่นสะเทือนโลกเสรีมาก เท่านั้นยังไม่พอจีนแดงก็ยังเหลือศักยภาพมากมายที่จะหนุนโฮจิมินท์ให้ขับไล่กองทัพฝรั่งเศสออกไปจากญวนอย่างกับหมูกับหมา ถึงกับเข็ดเขี้ยวยอมทิ้งญวนให้อเมริกันเข้าไปสวมบทแทนด้วยการสนับสนุนเงินทองและอาวุธแก่รัฐบาลเบาได๋ใ ห้คนญวนต่อสู้กับคอมมิวนิสต์กันเองต่อไป  สงครามปลดแอกจากนักล่าอาณานิคมจึงกลายพันธ์ไปเป็นสงครามระหว่างลัทธิ ทางค่ายคอมมิวนิสต์ที่มีเทคโนโลยีทางทหารของรัสเซียและกำลังพลของจีน กับค่ายเสรีนิยมโดยมีอเมริกายืนนำ ส่วนมหาอำนาจอื่นๆถึงจะประกาศสนับสนุนแข็งขัน แต่การกระทำกลับดูจะเบาๆชอบกล ในที่สุดอเมริกาเลยกลายเป็นเจ้าภาพไปเต็มๆ องก์การสหประชาชาติที่มหาอำนาจช่วยกันตั้งมาก็ดู้จะไร้ผลดังที่ท่านอาจารย์เทาชมพูเล่าไปแล้ว

สงครามที่ไม่ได้ประกาศนี้เรียกว่า “ สงครามเย็น ” รวมไปถึงการแข่งขันกันสร้างอาวุธนิวเคลียร์ไว้เพื่อข่มขู่ต่อรองกันด้วย เหตุการณ์ใหญ่ที่เป็นเรื่องก็ที่เกาหลี พอกองทัพเกาหลีเหนือทำท่าจะได้เปรียบ สามารถบุกเข้าไปยึดกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ได้ อเมริกันก็ส่งแสนยานุภาพเข้าไปช่วยเกาหลีใต้ ตีโต้ลึกขึ้นไปหวังเผด็จศึก กองทัพจีนแดงที่เรียกว่ากองทัพมดก็ฮือข้ามแดนลงมา ยิงตายไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด ถึงตรงนี้อเมริกันก็ต้องถอยกรูด ออกหมายเกณฑ์บรรดาเมืองออกทั้งหลายในภาคีของสหประชาชาติ ให้จัดทัพส่งไพร่พลไปช่วยเสียงตายแทนคนอเมริกันหน่อย

ประมาณช่วงนี้แหละที่เกิดความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสรีชนทั่ว โลก รวมทั้งพวกกวี นักเขียน และศิลปินที่สำคัญ อาทิ เช่น ปิคัสโซ่  เนรุด้า และหลุยส์ อารากอง เป็นต้น เกรงว่าสงครามเย็นทั้งในยุโรปและเอเซียที่รุนแรงขึ้นนี้ อาจจะบานปลายไปเป็นสงครามโลกครั้งที่3ได้ จึงได้ร่วมประชุมกันจัดตั้ง “ คณะกรรมการสันติภาพสากล ” ขึ้น โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สต๊อกโฮล์ม เพื่อรณรงค์ให้หยุดรบราฆ่าฟันกันเสียที  คนไทยกลุ่มหนึ่งที่มีความรู้สึกนึกคิดคล้ายกันนี้ก็ไปร่วมประชุม ก็กลับมาจัดตั้ง “ คณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย ”ขึ้นด้วย โดยเป้าหมายในการคัดค้านการที่รัฐบาลไทยส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี

ยุค2ของจอมพล ป. ครั้งนี้ได้บริการของอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ แทนหลวงอดุลที่ปลดประจำการไปแล้ว บุคคลคนนี้นามกรว่าพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ดุเดือดโฉ่งฉ่างกว่ามาก จับนักเคลื่อนไหว นักเขียน นักนักหนังสือพิมพ์ที่คิดต่างกับรัฐบาลในเรื่องส่งทหารไปเกาหลี รวมทั้งนักการเมืองเก่าสายอิสานที่เคยหลบเข้าป่าไป เอามาตั้งข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ตามพ.ร.บ.ฉบับใหม่ คณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทยถูกจับหมดด้วยในข้อหาว่าเป็นพวก แนวร่วมคอมมิวนิสต์


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 10:33
ความจริงรัฐบาลป.2ก็มีเหตุอันควรหวั่นไหวอยู่ดอก

เมื่อหนังสือพิมพ์ "การเมือง" ที่นำทีมโดยนายอัศนี พลจันทร์ดำเนินการรณรงค์สันติภาพด้วยการเรียกร้องให้ลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้อง สันติภาพสต๊อกโฮล์ม ภายใน 5 สัปดาห์สามารถระดมรายชื่อได้ถึง 38,315 รายชื่อ ซึ่งกว่า 2,000 ชื่อในนั้นมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และในเวลา 2 เดือนก็สามารถหารายชื่อได้มากกว่า 150,000 รายชื่อ

นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเพิ่งมีพระราชบัญญัติประกาศเปลี่ยนชื่อจาก"มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง"พร้อมกับยกเลิกตำแหน่ง"ผู้ประศาสน์การ"เพื่อล้างชื่อนายปรีดี แล้วตั้งตำแหน่ง"อธิการบดี"ให้จอมพล ป.ขึ้นมาแทน นักศึกษาก็ยังบังอาจกระทำการให้บ่จอยด้วยการจัดตั้ง "คณะกรรมการสันติภาพนักศึกษา" มีนายทวีป วรดิลก และนายอาทร พุทธิสมบูรณ์ เป็นเลขาธิการขึ้นมาคัดค้านเรื่องนี้

ขณะนั้น บังเอิญตำรวจจับนายประสิทธิ์ เทียนศิริ สมาชิกคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ จึงขยายผลเป็นปฏิบัติการวันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 แบ่งสายเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสิ้น 104 คน ที่ดังๆก็มีพวกบ.ก.และเจ้าของหนังสือพิมพ์เช่น นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ นายอารีย์ ลีวีระ นายสุภา ศิริมานนท์  นายอุทธรณ์ พลกุล นายแสวง ตุงคะบริหาร นายบุศย์ สิมะเสถียร นายฉัตร บุณยศิริชัย นายสมุทร สุรักขกะ นายสุวัฒน์ วรดิลก นักคิดนักเขียนเช่น นายสมัคร บุราวาศ นายเปลื้อง วรรณศรี นายฟัก ณ สงขลา นายสุ่น กิจจำนงค์ นายสุภัทร สุคนธาภิรมย์ พลตรีเนตร เขมะโยธิน นายสุพจน์ ด่านตระกูล นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช่น นายมารุต บุนนาค นายลิ่วละล่อง บุนนาค เหตุผลที่ถูกจับนั้นเป็นที่ทราบกันว่าพวกเหล่านี้เป็นผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับพณ.ฯ และมีการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลด้วย
นอกจากนั้นยังมีแถมข้อหาให้ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี และนายปาล พนมยงค์ บุตรชายไปด้วยตามประเพณี



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 10:38
บุคคลเป้าหมายที่เป็นส.ส.จะมีเอกสิทธิ์ได้รับการคุ้มครอง ก็ใช้วิธีให้ตำรวจไปเชิญตัวออกมาจากรัฐสภา มี นายเตียง ศิริขันธ์, นายเล็ก บุนนาค, นายผ่อง เขียววิจิตร, นายสง่า ประจักษ์วงศ์ และนายชาญ บุนนาค  พวกเหล่านี้เข้าใจว่าหลังจากให้ปากคำแล้ว ตำรวจก็ต้องปล่อย จึงยิ้มย่องผ่องใสยอมไปโดยดี ที่ไหนได้ อีก2 วันต่อมามีผู้พบทั้ง4ศพ ถูกสังหารและนำไปเผาทิ้งในถังน้ำมันที่ ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

เนื่องจากไม่ใช่ศาลพิเศษ จำเลยหลายคนจึงหลุดจากคดีเพราะศาลสถิตย์ยุติธรรมท่านไม่เล่นด้วย แต่ต่อมานายอารีย์ ลีวีระ เจ้าของหนังสือพิมพ์สยามนิกรและพิมพ์ไทย ซึ่งหลังจากถูกปล่อยตัวและเข้าพิธีมงคลสมรสกับนางสาวกานดา บุญรัตน์ ก็ถูกยิงเสียชีวิตที่เรือนพัก ขณะที่อยู่ระหว่างระยะการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ชายทะเลหัวหิน ฝีมือตำรวจยศสิบโทและพลตำรวจอีก 4 นาย จากกองกำกับการจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอ้างคำสั่งของนายตำรวจยศพันโทที่เป็นอัศวินแหวนเพชร เครื่องหมายของสมุนรับใช้คนหนึ่งของพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 07 ส.ค. 10, 11:14
บุคคลเป้าหมายที่เป็นส.ส.จะมีเอกสิทธิ์ได้รับการคุ้มครอง ก็ใช้วิธีให้ตำรวจไปเชิญตัวออกมาจากรัฐสภา มี นายเตียง ศิริขันธ์, นายเล็ก บุนนาค, นายผ่อง เขียววิจิตร, นายสง่า ประจักษ์วงศ์ และนายชาญ บุนนาค  พวกเหล่านี้เข้าใจว่าหลังจากให้ปากคำแล้ว ตำรวจก็ต้องปล่อย จึงยิ้มย่องผ่องใสยอมไปโดยดี ที่ไหนได้ อีก2 วันต่อมามีผู้พบทั้ง4ศพ ถูกสังหารและนำไปเผาทิ้งในถังน้ำมันที่ ต.แก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี

เนื่องจากไม่ใช่ศาลพิเศษ จำเลยหลายคนจึงหลุดจากคดีเพราะศาลสถิตย์ยุติธรรมท่านไม่เล่นด้วย แต่ต่อมานายอารีย์ ลีวีระ เจ้าของหนังสือพิมพ์สยามนิกรและพิมพ์ไทย ซึ่งหลังจากถูกปล่อยตัวและเข้าพิธีมงคลสมรสกับนางสาวกานดา บุญรัตน์ ก็ถูกยิงเสียชีวิตที่เรือนพัก ขณะที่อยู่ระหว่างระยะการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ชายทะเลหัวหิน ฝีมือตำรวจยศสิบโทและพลตำรวจอีก 4 นาย จากกองกำกับการจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอ้างคำสั่งของนายตำรวจยศพันโทที่เป็นอัศวินแหวนเพชร เครื่องหมายของสมุนรับใช้คนหนึ่งของพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์


หรือว่าโดนโจรมลายูกันอีกแล้วคะ :-\


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 12:09
^
ตอนนั้นเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปอ้างใครแล้วละครับ

สมัยจอมพลป. เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะสมัยไหน จะถูกกล่าวพาดพิงอยู่เสมอว่าเป็นยุคเผด็จการครองประเทศ  รัฐบาลป.2 อันเป็นยุคที่ตำรวจไทยมีอธิบดีกรมตำรวจชื่อ พลตำรวจเอกเผ่า  ศรียานนท์  ถือว่าตำรวจมีอิทธิพลเรืองอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ มีศักยภาพทัดเทียมกองทัพบกเพราะมีทั้งตำรวจพลร่ม ตำรวจน้ำ ตำรวจรถถัง นั่นเอาไว้คานอำนาจพลเอกสฤษดิ์ ส่วนที่พลเมืองเลวและพลเมืองดีทั้งหลายกลัวกันหัวหดก็คือตำรวจสันติบาล เพื่อสนองนโยบายอำนาจนิยม พล.ต.อ.เผ่าได้เลี้ยงนายตำรวจมือเก่งใจกล้าไว้จำนวนมาก ผู้ใดสามารถสนองคำสั่งได้อย่างเข้มแข็งเด็ดขาด  จะได้บำเหน็จความชอบเป็นแหวนเพชรให้สรวมนิ้ว  ขนานนามว่า“อัศวินแหวนเพชร” สำหรับเป็นตำรวจประดับบารมีจอมอัศวินคือตัวพล.ต.อ.เผ่าเอง  มีอยู่ทั้งสิ้น30คนไม่ขาดไม่เกิน แต่ที่ถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดติดกายจริงๆมีแค่4 (อาหารที่ชื่อว่า บะหมี่อัศวิน ของร้านสีฟ้า เกิดขึ้นจากกลุ่มอัศวินแหวนเพชรพวกนี้ เวลาสั่งบะหมี่แห้ง จะต้องเอาพิเศษโรยหน้าสารพัดทั้งก้ามปู เซี่ยงจี้ กุ้งสดสารพัดสารพันรวมกัน กลายเป็นอาหารแพงประจำร้านต่อมา) นี่เป็นยุคอัศวินผยอง   พล.ต.อ.เผ่าถึงกับประกาศอย่างอหังการว่า    “ภายใต้ดวงอาทิตย์      ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้”

แต่คำประกาศดังกล่าวก็ฟีบไปโดยปริยายเพราะ กรมตำรวจได้จัดให้ร.ต.ท. จำเริญ ทรงกิตรัตน์ ขึ้นชกมวยชิงแชมปี้ยนโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในรุ่นแบนตั้มเวทกับจิมมี่ แคแรทเทอร์ นักมวยออสซี่ คนไทยลุ้นกันมากแต่จำเริญก็ทำได้แค่เกือบชนะ จิมมี่บอบช้ำมากก็เลยแขวนนวม จำเริญจึงได้สิทธิ์ได้ขึ้นชิงแชมป์อีกครั้งหนึ่งกับ โรเบิตร์ โคฮังนักมวยฝรั่งเศสในเวลาติดๆกัน คนไทยก็ทุ่มใจลุ้นกันอีกยกหนึ่ง ก็หวังว่าภายใต้ดวงอาทิตย์ จะไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้จริงๆ คราวนี้ย่ำแย่กว่าเก่า จำเริญถูกถลุงยับเยิน แม้จะไม่แพ้น็อค แต่ก็บอบช้ำสุดๆ ไม่นานก็ต้องแขวนนวมตามจิมมี่ไป

เรื่องนี้คุณมานิตถ้าเข้ามาคงช่วยขยายความได้ หากผิดก็ขออภัยล่วงหน้าเพราะผมเขียนขึ้นตามความจำแท้ๆ  ตอนเด็กๆนั่งเฝ้าวิทยุฟังการถ่ายทอดเสียงกับพวกผู้ใหญ่ จำได้อีกว่า เขาชกกันบนเวทีกลางแจ้งที่สนามศุภฯ ขณะชกเกิดพายุฝน ไฟฟ้าบนเวทีตกลงมาหลอดแตกกระจาย มืดตึ๊ดตื๋ออย่างนั้นจึงกวาดเศษแก้วไม่หมด พอแก้ไขให้ชกต่อได้ จำเริญซึ่งถอดรองเท้าชกก็เหยียบแก้วเลือดสาด อันเป็นเหตุให้ต้องแพ้อย่างผิดรูป
แต่หลังจากนั้นแล้ว รู้สึกว่าการโฆษณาคำขวัญนี้ก็ชักจะเพลาๆลง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 12:13
หลังจากการกำจัดนักการเมือง และนักคิดนักเขียนที่เป็นฝ่ายซ้ายจนสลบซบเซา ก็เข้าสู่ยุคอันธพาลครองเมือง จอมอัศวินก็หันมาเล่นฝ่ายขวาด้วยกัน ผู้ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเลง  นักธุรกิจที่เป็นคู่แข่งทางการค้าทั้งที่ชอบ หรือไม่ชอบด้วยกฏหมาย  นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองหรือข้าราชการที่ไม่ยอมอยู่ในอำนาจ จะถูกขึ้นบัญชีเป็นบุคคลอันธพาล โดนมาตรการศาลเตี้ยดำเนินคดีตามอำเภอใจโดยไม่ต้องคำนึงถึงความชอบธรรม จนบัดนี้ยังมีผู้ไม่แน่ใจว่า อาชญากรรมที่เป็นข่าวบ่อยๆเกิดขึ้นเพราะฝีมือพวกโจร หรือพวกตำรวจผู้มีอำนาจเสียเอง

แต่ตำรวจดีๆก็มีครับ นี่คัดเอาเรื่องพล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจที่มีชื่อเสียงของนครศรีธรรมราชคนหนึ่ง ที่หาได้ไม่ยากจากเวปมาให้อ่าน


แม้ในช่วงหลังๆสมัยพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เป็นอธิบดีกรรมตำรวจ ชื่อเสียงของขุนพันธ์ฯยังมีคำเล่าขานกันไม่จบสิ้น


สมัยอธิบดีฯเผ่า ศรียานนท์เป็นยุคที่ตำรวจมีอิทธิพลเท่ากองทัพบก การจับฝิ่นและการค้าฝิ่นอยู่ในอำนาจของอัศวินเผ่าฯ ว่ากันว่าพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ บงการจับฝิ่นและค้าฝิ่นเสียเอง เป็นเรื่องที่รู้กันในยุคนั้น

ยุคอัศวินเผ่า ศรียานนท์ เป็นยุคปลายชีวิตขุนพันธ์ฯ แต่ท่านยังเป็นใหญ่อยู่ทางปักษ์ใต้ ตอนนั้นเองที่ขุนพันธ์ฯจับฝิ่นเถื่อนของอธิบดีกรมตำรวจนามบุรุษเล็กแห่งเอเชีย พล.ต.อ เผ่า ศรียานนท์ ท่านจับทั้งๆที่รู้ว่าเป็นฝิ่นของอัศวินเผ่า...

เมื่อลูกน้องรายงานว่าขุนพันธ์ฯ จับฝิ่นของตนที่ปักษ์ใต้ อธิบดีเผ่าศรียานนท์จึงมีคำสั่งเรียกตัวขุนพันธ์ฯเข้าพบ วันที่ขุนพันธ์ฯเดินทางมาจากเมืองปักษ์ใต้มาพบอธิบดีกรมตำรวจ เขาไม่แต่งเครื่องแบบ ปริศนาการไม่สวมเครื่องแบบของขุนพันธ์ฯทำให้อธิบดีฯ เผ่า อดประหลาดใจไม่ได้

ท่านขุนรู้หรือไม่ว่า ฝิ่นที่จับน่ะเป็นของใคร?
"ผมจับเพราะผมเป็นตำรวจ"

ขุนพันธ์ฯตอบอย่างไม่สะทกสะท้านต่ออิทธิพลแห่งบุรุษเอกเอเชีย สั้นและเข้าใจง่าย ท่านอธิบดีฯเผ่า ศรียานนท์ อึ้ง...นึกนับถือน้ำใจของขุนพันธ์ฯว่ากล้าหาญและเป็นตำรวจที่แท้จริง ใจนักเลงดีนัก ท่านขุนเป็นนายตำรวจเข้ามาพบผู้บัญชา

เหตุใดจึงไม่แต่งเครื่องแบบมา?
อธิบดีเผ่า ศรียานนท์ถามตามที่ค้างคาใจมาแต่แรก
"ผมไม่แต่งเครื่องแบบมา เพราะเตรียมใจไว้พร้อมตั้งแต่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ถ้าผิด ผมพร้อมที่จะเป็นพลเรือน"

ดูเหมือนคำตอบของขุนพันธ์ฯช่วยไขปริศนาการถอดเครื่องแบบได้อย่างดี ขุนพันธ์ฯรู้ดีว่าอธิบดีเผ่าไม่เอาไว้แน่ แต่การที่ท่านจะให้ใครมาถอดเครื่องแบบผู้พิทักษ์ สันติราษฎร์ออกจากเนื้อตัว ไม่ใช่วิสัยคนอย่างขุนพันธ์ฯ ท่านถอดของท่านเองมาจากบ้าน

การเผชิญหน้าระหว่างบุรุษแห่งเอเชียกับขุนพันธ์ฯ วีรบุรุษมือปราบเหล็กน้ำพี้ในครั้งนั้น ลือลั่นกันไปทั่วกรมตำรวจ ว่ากันว่า พล ต.อ. เผ่า ศรียานนท์นับถือน้ำใจขุนพันธ์ฯมาก อยากจะได้มาใช้ใกล้ชิด ขอให้ขุนพันธ์ฯมาอยู่ด้วย แต่ขุนพันธ์ฯปฎิเสธว่า " ขออยู่อย่างที่เคยเป็น"


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 12:21
เรื่องสืบเนื่องจากที่คุณPTBTพาดพิงขึ้นมา ผมขอเอาผลของเรื่องจากบลอคของมติชนนี้มาลงให้เป็นบทสรุป


การถอดยศ"พลตำรวจจัตวา-พล.ต.จ."  เป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 12 กันยายน 2505 ลงนามโดย พล.อ.ถนอม กิตติขจร รองนายกรัฐมนตรี ให้ถอดยศตำรวจ "พล.ต.จ. ทม  จิตรวิมล "และ"พล.ต.จ. ผาด ตุงคะสมิต" ประจำกรมตำรวจ กระทำความผิดในคดีอาญาฐานสมคบกันฆ่าคนตาย ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต คดีถึงที่สุดแล้ว

จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ถอด"พล.ต.จ. ทม  จิตรวิมล "และ"พล.ต.จ. ผาด ตุงคะสมิต" ออกเสียจากยศตั้งแต่บัดนี้เป็นไป
น่าสนใจว่า คดีที่ 2 นายพลตำรวจสมคบกันก่อขึ้นคือ คดีอะไร
 
จากการตรวจสอบพบว่า เป็นคดีดังและอื้อฉาวสุดๆ เมื่อเกือบ 60 ปี ในยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ และสมุน"อัศวินแหวนเพชร" เรืองอำนาจ เนื่องจากมีการอุ้มฆ่าอดีตรัฐมนตรี 4 คน ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของจอมพล ป.  พิบูลสงคราม

ข้อเท็จจริงของคดีโดยสรุปมีดังนี้ ก่อนเกิดเหตุอดีต รัฐมนตรี  4 คน คือ ดร. ทองเปลว ชลภูมิ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายจำลอง ดาวเรือง นายถวิล อุดล ได้ถูกจับกุมในคดีกบฎยึดวังหลวงในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2492 และถูกควบคุมตัวไว้ แล้วนำไปแยกขังตามสถานีตำรวจนครบาลต่างๆ
ต่อมาวันที่ 3 มีนาคม 2492 พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจในฐานะผู้อำนวยการสอบสวนพิเศษ ได้สั่งให้ พล.ต.จ.ผาด ตุงคะสมิต กับพวก นำตัว 4 อดีตรัฐมนตรีซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาไปขังที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน
 
พล.ต.จ.ผาด ตุงคะสมิต กับพวกจึงไปรับตัว 4 อดีตรัฐมนตรีที่กองตำรวจสันติบาล สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง และที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสน เพื่อจะพาผู้ต้องหาทั้ง 4 ไปขังที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน ขณะควบคุมตัวไปโดยรถยนต์หลายคันถึงบริเวณที่เกิดเหตุ ถนนประชาธิปัตย์ (พหลโยธิน) หลักกิโลเมตรที่ 14  ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร ใกล้กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ขณะนั้นเวลาประมาณ 01.00 น. วันที่ 4 มีนาคม 2492  อดีตรัฐมนตรีและเจ้าพนักงานตำรวจได้ยิงต่อสู้ ต่อมาคนร้ายได้หลบหนีไป ปรากฏว่า4  อดีตรัฐมนตรีซึ่งอยู่บนรถยนต์ดังกล่าวถูกยิงถึงแก่ความตายขณะถูกใส่กุญแจมือ แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม สอบสวนดำเนินคดีกับ พล.ต.จ.ผาด ตุงคะสมิต กับพวก ซึ่งควบคุมอดีตรัฐมนตรีไปขณะเกิดเหตุ มีการส่งฟ้องศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต
สำหรับนายตำรวจยศพันตำรวจเอกคือ พ.ต.อ.ทิพย์เจริญ ชูเวช อดีรองผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ต้องคดีอาญา ถูกประกาศถอดยศเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2523  


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 17:33
จากบันทึกของนายสำเภา สิริสัมพันธ์ ผมเห็นว่าสะท้อนภาพพวกอัศวินระดับหัวแถวได้ดี จึงเอามาลงไว้ ส่วนเรื่องพุทธคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลกันเองนะครับ ขอให้ดูว่าผลมันเกิดจากเหตุอะไรประกอบไปด้วย อย่างไรก็ดีสมัยนั้นพระสมเด็จมิได้มีราคาเป็นล้านๆเช่นปัจจุบัน มิฉนั้นคุณสำเภาคงจะได้ตายเพราะราคาพระนี่แหละ ไม่ใช่อื่น


….เหตุการณ์วันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 ได้มีการจับกุมนักการเมืองครั้งใหญ่ 276 คน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยในข้อหากบฏ พวกอัศวินของกรมตำรวจ สมัย พล.ต.อ.เผ่า ทำเรืองเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่กวาดล้างคอมมิวนิสต์เพราะงบประมาณจากอเมริกา เข้ามาจำนวนมาก ข้าพเจ้าเลยถูกจับไปด้วยทั้งๆที่ ไม่รู้จักนักการเมืองเลยเพียงมีเพื่อนเป็นนักปฏิวัติเท่านั้น

อัศวินของกรมตำรวจ ชื่อ พ.ต.ท.อรรณพ พุกประยูรซึ่งความจริงก็เป็นเพื่อนเทพศิริทร์ของข้าพเจ้าพร้อมด้วย ร.ต.ท.ประชา พูนวิวัฒน์ มาเบิกตัวข้าพเจ้าหลังจากจับมา 2 เดือน ไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลย ข้าพเจ้าจะไม่ยอมไปเพราะเป็นเวลากลางคืน และไม่สบายอยู่ด้วยอีกอย่างได้ข่าวว่ามีการนำตัวไปสอบสวน และซ้อมให้รับสารภาพหรือฆ่าทิ้งไปก็หลายคน แต่ก็ไม่กลัวเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันมาคงไม่ทำอะไรจึงแต่งตัวและไม่ลืมพระสมเด็จติดตัวไปด้วย

เมื่อขึ้นรถของพ.ต.ท.อรรณพ พุกประยูร เขาก็พูดขึ้นว่า ต่อไปนี้ข้ากับเอ็งหมดความเป็นเพื่อนกันแล้ว มีอะไรก็ให้การไปอย่าคิดว่าจะได้รับการช่วยเหลือ ถ้าบอกความจริงและยอมเซ็นชื่อแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย แต่ถ้าไม่ยอมก็มีเรื่องกันละวันนี้ ข้าพเจ้านิ่งพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะมาไม้นี้ตอบได้เพียงว่า ผมไม่รู้เรื่องเลยจริงๆเขาพูดว่าปากแข็ง ดีแล้วไม่ยอมให้การจนถึงท่าวาสุกรี มีเรือชื่อพิชิตธุรการเป็นเรือตรวจฝั่งของตำรวจจอดอยู่เขาสั่งว่า เอามันไปลงเรือ แล้วก็แล่นเรือออกปากแม่น้ำเจ้าพระยา ในเรือมีตำรวจอัศวินหลายคน คือ พ.ต.อ.พันศักดิ์ วิเศษภักดี พ.ต.ท.อรรณพ พุกประยูร พ.ต.ท.พุฒ บูรณสมภพ พ.ต.ท.วิชิต รัตนภานุ ร.ต.ท.ประชา พูนวิวัฒน์ และพวกตำรวจสันติบาลเด็กๆประมาณ 3 คน คอยรับใช้อยู่นอกห้องเคบิน

อัศวินอรรณพ เริ่มสอบสวน ให้ข้าพเจ้าเซ็นชื่อในคำให้การที่พิมพ์มาแล้วและจะให้ประกันตัว กันเป็นพยาน ข้าพเจ้ารู้ดีว่าถ้าเซ็นไปจะมีคนเดือดร้อนอีกมากเช่น น.ต.มนัส จารุภา กับพวกทหารเรือ น.อ.ต.พร่างเพชร บุณยรัตพันธ์ กับพวกทหารอากาศพ.ท.สาลี่ ร.อ.พิมพ์ กับพวกทหารบกซึ่งถูกจับรวมกันตั้งข้อหาว่า ร่วมกันกับขบวนการนักศึกษาธรรมศาสตร์อีก 30 คนพร้อมด้วยท่านผู้หญิงพูนศุขกับลูกๆ และพวกอิสานสัมพันธ์ ข้อหาแบ่งแยกดินแดน
นอกจากนี้ยังมี นักหนังสือพิมพ์ เช่น อารีย์ ลีวีระ นายสละ ลิขิตกุล นายอุทร พลกุล นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ นายเจริญ สืบแสงในข้อหาว่าเป็นหัวหน้าแบ่งแยกดินแดนจังหวัดปักษ์ใต้ พร้อมพวก อีก 30 คน

เมื่อข้าพเจ้าไม่เซ็นคำให้การ พ.ต.ท. อรรณพ ก็ตบหน้าข้าพเจ้าอย่างแรงแล้วพูดว่า มึงปากแข็งดีนัก ดีแล้วอย่าอยู่เลย จะจัดการเสีย แล้วทุกคนก็ออกจากห้องเคบิน สักครู่ เขาก็เข้ามาด้วยอาการเมา มีคนโยนมีดโกนเป็นสนิมอันหนึ่งลงมาเขาพูดว่า สส.พร ก็ตายด้วยมีดโกนอันนี้ แล้วถูกใส่กระสอบถ่วงน้ำไว้ในทะเลแถวนี้ มึงอยากตายตามสส.พรใช่ไหม ใคร ๆ เขาว่ามึงมีพระดีใช่ไหม แล้วเขาก็เอามีดโกนเขี่ยสร้อยพระสมเด็จที่คอแล้วพูดต่อว่า จะได้รู้กันว่าพระจะแน่หรือมีดโกนจะแน่กว่าถ้ามึงไม่ยอมเซ็น ก็จะได้รู้กันละ ทันใดนั้น ร.ต.ประแสร์ อุณจิตร ต้นกลเรือ พร้อมด้วยลูกเรือ 6 คน เข้ามาอ้อนวอนว่า ท่านรองผมขอเถอะครับ คนๆนี้มีบุญคุณกับพวกผม ถ้าจะทำอะไรไปทำลำอื่นเถอะครับ

ในเวลานั้นเอง เกิดพายุพัดกระหน่ำเรือพวกอัศวินทั้งหลายวิ่งเข้ามาในเรือ เมาเรืออ้วกแตกสลบไปทุกคน ผมจึงรอดมาได้

http://romphosai.com/forums/forum10/thread6297.html


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 17:49
คดีสี่รัฐมนตรี มีเงื่อนงำที่ยังน่าสงสัยอยู่บางประการ  เคยเล่าไว้ในอีกกระทู้หนึ่ง เมื่อเอ่ยถึงพ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ    ขอยกมาเล่าในกระทู้นี้เพื่อความต่อเนื่อง
คดีนี้ตอนแรกเงียบ   จนจอมพลป.หมดอำนาจจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คดีจึงถูกรื้อฟื้นดำเนินคดีในปี พ.ศ. 2502 ผู้ต้องหา 5 ราย ได้แก่ พลตำรวจจัตวาผาด ตุงคะสมิท, พล.ต.จ.ทม จิตรวิมล, ร้อยตำรวจโทจำรัส ยิ้มละมัย, ร.ต.ท.ธนู พุกใจดี และสิบตำรวจเอกแนบ นิ่มรัตน์ โดยศาลพิพากษาในปี พ.ศ. 2504 จำคุกตลอดชีวิตผู้ต้องหา 3 ราย คือ พล.ต.จ.ผาด, พล.ต.จ.ทม และส.ต.อ.แนบ ส่วน ร.ต.ท.จำรัส และร.ต.ท.ธนู ศาลยกฟ้อง แต่ก็ยังมีเสียงกระซิบดังๆว่า ผู้ต้องหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาตัวจริง ตัวจริงยังลอยนวลเป็นแขนขาให้จอมพลสฤษดิ์อยู่

ในหนังสือ "13 ปี กับบุรุษเหล็กแห่งเอเซีย" ของ พันตำรวจเอกพุฒ บูรณสมภพ นายตำรวจคนสนิทของ พล.ต.อ.เผ่า ตอนหนึ่งได้บันทึกถึงคดีนี้ว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด ยิ่งโดยเฉพาะ ส.ต.อ.แนบ เป็นเพียงนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่รู้จักกับผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งตน (พ.ต.อ.พุฒ) ทราบว่า ผู้ลงมือสังหารจริง ๆ คือใคร แต่ไม่ขอเปิดเผย
การสั่งสังหารบุคคลสำคัญระดับสี่รัฐมนตรี ต้องผ่านการประชุมในขั้นสูง และที่ประชุมต้องตัดสินร่วมกันว่าต้องใช้วิธีเด็ดขาด คือถึงขั้นจบชีวิตผู้ต้องหา

อ่านแล้ว  ก็คงพอจะมีคนเดาออกว่าตัวการตัวจริงที่รอดไปได้ น่าจะเป็นใคร
****************
ยกค.ห.ข้างล่าง ของดิฉัน ต่อจากของคุณนวรัตน    ขึ้นมาต่อท้ายค.ห.นี้แทน  เพราะมันควรอยู่ก่อนที่คุณนวรัตนเล่า   ไม่งั้นสลับที่กัน คนอ่านจะงง

ขอขยายพื้นที่หน่อยค่ะ
กบฏสันติภาพ ถูกปราบปรามโดยรัฐบาลจอมพล ป. ในปี 2495 ก็จริง  แต่แม่ทัพที่เป็นหัวหอกทะลวงฟันคือกรมตำรวจ รวบผู้ต้องหาในวันเดียวถึง 104 คน  แล้วแถลงการณ์ว่า

 "ด้วยปรากฏจากการสอบสวนของกรมตำรวจว่า มีบุคคลคณะหนึ่งได้สมคบกันกระทำผิดกฎหมาย ด้วยการยุยงให้มีการเกลียดชังกันในระหว่างคนไทย เพื่อก่อให้เกิดการแตกแยก เกิดการทำลายกันเอง โดยใช้อุบายต่างๆ เช่น ปลุกปั่นแบ่งชั้น เป็นชนชั้นนายทุนบ้าง ชนชั้นกรรมกรบ้าง ชักชวนให้เกลียดชังชาวต่างประเทศที่เป็นมิตรของประเทศบ้าง อันเป็นการที่อาจจะทำให้เสื่อมสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ ยุยงให้ทหารที่รัฐบาลส่งออกไปรบในเกาหลี ตามพันธะที่รัฐบาลมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ ให้เสื่อมเสียวินัย เมื่อเกิดการปั่นป่วนในบ้านเมืองได้ระยะเวลาเหมาะสมแล้ว ก็จะใช้กำลังเข้าทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบอื่น ซึ่งมิใช่ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการชักจูงชาวต่างประเทศเข้าร่วมทำการยึดครองประเทศไทย..."  

จากนั้น  ก็ทะยอยจับกุมประชาชนเพิ่มอีกหลายระลอกจนถึงกลางปี พ.ศ. 2496    ผู้ต้องหามีพระภิกษุรวมด้วยคือพระมหาดิลก สุวรรณรัตน์ ถึงขั้นจับสึกกันเลยทีเดียว  เพราะท่านไปเป็นรองประธานคณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย  ที่ตั้งขึ้นเพื่อคัดค้านสงครามเกาหลี ร่วมกับชาติอื่นๆที่เกรงสงครามโลกครั้งที่ 3  จะเกิดขึ้นอีก

กลับจากประชุม  คณะกรรมการสันติภาพเลยเจอข้อหาหนัก  โดนกวาดล้างในข้อหากบฏ  รายชื่อคุณนวรัตนนำมาลงไว้แล้ว  จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นปัญญาชนและนักหนังสือพิมพ์      นับเป็นการปราบปรามสื่อครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ของไทย     ชนิดที่ว่าหนังสือพิมพ์แทบจะไม่เหลือกันให้อ่าน นอกจากฉบับที่ปลอดภัยเพราะยึดนโยบายลงข่าวอื่น ไม่ได้คัดค้านรัฐบาล

พูดถึงหนังสือพิมพ์ในยุคนี้   ก่อนหน้านี้รัฐบาลเล็งสื่ออยู่แล้วในฐานะกลุ่มที่สามารถเผยแพร่ความคิดคัดค้านรัฐบาลได้กว้างไกลกว่าชาวบ้านธรรมดา  จึงมีการเซนเซอร์งานเขียนแต่ละฉบับอย่างเข้มงวด    คนหนังสือพิมพ์ก็ฮึดสู้  รวมตัวกันตั้ง  “คณะกรรมการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพหนังสือพิมพ์” เพื่อต่อต้าน   ควบคู่ไปกับเรียกร้องสันติภาพและต่อต้านสงครามเกาหลี
ผลก็ที่รู้กัน  อย่างในย่อหน้าข้างบนนี้ คือชาวสื่อก็โดนข้อหาอุกฉกรรจ์ - กบฏภายในราชอาณาจักร   ผู้ที่ถูกจับกุมได้แก่ "ศรีบูรพา"  อารี  ลีวีระ  สุภา  สิริมานนท์  อุทธรณ์  พลกุล  เปลื้อง  วรรณศรี  นเรศ  นโรปกรณ์  สุพจน์  ด่านตระกูล  ผู้ถูกจับกุมเหล่านี้ได้รับนิรโทษกรรม  ในปี พ.ศ.2500  เนื่องในโอกาสฉลองกึ่งพุทธกาล


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 17:59
ใน "กบฏสันติภาพ" ที่คุณนวรัตนเล่า  มีผู้ต้องหาซ้อนอยู่ชุดหนึ่งเรียกว่า "กบฏแบ่งแยกดินแดน"   ถัดจากกบฏเสนาธิการเพียงเดือนเดียว คือ รัฐบาลได้ควบคุมตัว นายทิม ภูริพัฒน์ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อดุล นายฟอง สิทธิธรรม นายเตียง ศิริขันธ์ กลุมส.ส.ภาคอีสาน ในข้อหา "กบฏแบ่งแยกดินแดน" เป็นอันผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้ว่า พระราชอาณาจักรไทยจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้ใดจะทำการแบ่งแยกมิได้
ตำรวจได้กล่าวหากบฏเหล่านี้ว่า..... ชักชวนชายฉกรรจ์ส่งออกไปศึกษาวิชาการทหารที่คุนหมิง ประเทศจีน แล้วกลับมาดำเนินการแบ่งแยกดินแดนภาคอีสานให้เป็นรัฐอิสระ แต่สภาผู้แทนราษฎรขอให้ทางตำรวจปล่อยตัวนายฟอง สิทธิธรรม เนื่องจากอยู่ในสมัยการประชุมสภาผู้แทน จึงได้รับเอกสิทธิ์ทางกฎหมายนี้ ส่วนนายทิม ภูริพัฒน์ ตำรวจสอบสวนแล้วเห็นไม่มีหลักฐานอะไร จึงปล่อยตัวไป คงเหลือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ ที่นำตัวฟ้องศาลต่อไป
    ขณะที่ทำการจับกุมกบฏแบ่งแยกดินแดนนั้น รัฐบาลโดยจอมพล ป.ได้กล่าวคำปราศรัยทางวิทยุแจ้งให้ประชาชนว่ามีผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองคบคิดกันเพื่อทำกบฏ รัฐบาลพยายามชักจูงคนเหล่านี้ให้กลับมาช่วยกันสร้างชาติ แต่ไม่เป็นผล การนองเลือดเป็นหนทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้        รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อความสงบของประเทศและรักษาไว้แห่งรัฐธรรมนูญ อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
       จากนั้นนายทองอินทร์ นายเตียงและอีก ๒ คน ที่รู้ชื่อกันแล้ว   ก็ถูกตำรวจนำตัวไป     ระหว่างทางโจรที่ไหนไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้ เกิดจู่โจมเข้ามา  เกิดยิงต่อสู้กันเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาถูกกระสุนตายเรียบ   ฝ่ายตำรวจปลอดภัย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 18:20
"บันทึกนักโทษการเมือง"

ไพศาล มาลาพันธ เป็นตนปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบอาชีพค้าขาย แต่มีใจรักการอ่าน รวมทั้งได้เขียนเรื่องต่างๆ โดยได้ทำงานใกล้ชิดกับกุหลาบ สายประดิษฐ์ จนได้รับฉายาว่า “อารักษ์ประจำตัว”ใน พ.ศ. 2485 ถูกจับกุมในคดีกบฏสันติภาพ ร่วมกับนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์คนอื่นๆ  และลี้ภัยการเมืองเข้าป่าเป็นเวลานานถึง 25 ปี ซึ่งขณะอยู่ในป่าก็ยังทำหน้าที่บรรณาธิการหนังสือ ไฟลามทุ่ง

ไพศาล มาลพันธ์ กลับคืนสู่เมือง ตามนโยบาย 66/23 และมีผลงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา ทั้งเรื่องสั้น บันทึก สารคดี และวิชาการ หลายเรื่อง เช่น จากนาครสู่วนา วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ ตำราแทงเข็ม-รมยา และสรุปบทเรียนจากประสบการณ์  ที่มีชื่อเสียงอีกเล่มหนึ่งคือ บันทึกนักโทษการเมือง
ผู้ใดได้อ่านวิธีการซ้อมผู้ต้องหาสมัย 2496 จากหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ต้องหาทางการเมือง ที่รัฐมองว่าเป็นศัตรูของชาติ หรือยัดเยียดข้อหา "คอมมิวนิสต์" ให้.. เพราะ มีตั้งแต่ จับหัวกระแทกกับโต๊ะ ใช้มีดกรีดหนังหัว ชกลม(มัดมือด้วยเชือก ให้ตัวห้อยเป็นกระสอบทราย)  ชมวิว(พานั่งรถออกไปนอกสถานีตำรวจตอนกลางคืน แล้วพูดทำนองว่าจะยิงทิ้งเหมือนนักการเมือง 4 คน ที่โดนจัดการไปแล้ว)  ลงน้ำ(ใส่ถังทิ้งทะเล เหมือน นายพร มะลิทอง หรือ หะยี สุหรง แห่งปัตตานี) และการซ้อมนักโทษในยุคทรราช ถีบลงเขา เผาลงถังแดง เป็นต้น

ตอนหนึ่งจากหนังสือเล่มนั้น

ดึกคืนหนึ่ง เขา (ประสิทธิ์ เทียนศิริ เด็กหนุ่มปักษ์ใต้ วัย 23 ปี ที่ถูกจับในข้อหา ทำการเป็นคอมมิวนิสต์) ถูกเบิกตัวไปสอบสวนอีกเขานั่่่่่่่่่่่่่งเก้าอี้หน้าโต๊ะพนักงานสอบสวน สอบไปสอบมา พ.ต.ต. พันธ์ศักดิ์ วิเศษภักดี (ยศขณะนั้น) ลุกขึ้นมานั่งบนโต๊ะ ห้อยเท้ายันหัวเข่าของเขาไว้ มือซ้ายจิกผมแน่น มือขวาจับมีดซุยเงื้อขึ้นเหนือหัว...
"มึงเอาหนังสือนี้มาจากใคร ?!"
".................................."
ฉึก !
มีดปลายแหลมปักลงกลางหัว แล้วกรีดลงไปถึงต้นคอ เลือกทะลักปรี่ไหลลงไปบนเสื้อสีขาว แดงฉาน...
"มึงจะบอกม่าย !"
"..................."
ฉึก ! ฉึก !
เลือดไหลเปื้อนเสื้อทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
"อ้าว เอามันไปขังต่อไป ให้มันนอนคิดอีกคืน คืนพรุ่งนี้พาไป ชมวิว มันจะรู้จักกูเสียที !"...


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 19:17
วันนี้ โพสต์ชนเข้ากับคุณนวรัตน หลายโป๊กด้วยกันในกระทู้นี้    ถือโอกาสตอนค่ำ ท่านคงกำลังกินดินเนอร์ มาเล่าแยกซอยออกไปอีกหน่อย
ถ้าไม่เล่าถึงพลต.อ. เผ่า ศรียานนท์ กระทู้จะขาดสีสันเข้มข้นไปมาก

อธิบดีตำรวจคู่ใจของจอมพลป.  เป็นลูกเขยจอมพลผิน ชุณหะวัน  เท่ากับท่านมีแบ๊คชั้นเยี่ยมทั้งนายและพ่อตา    เป็นคนที่ปรับโครงสร้างกรมตำรวจให้กว้างใหญ่ไพศาลเป็นประวัติการณ์  มีทั้งตำรวจน้ำ ตำรวจพลร่ม ตำรวจรถไฟ ตำรวจม้า ตำรวจรถถัง ถึงขั้นมีธงไชยเฉลิมพลเช่นเดียวกับกองทัพ    พูดง่ายๆคือในยุคนั้น  เรียกว่าเรามีกองทัพตำรวจก็ไม่ผิดนัก

นอกจากจับกุมกวาดล้างปรปักษ์ของรัฐบาลอย่างแข็งแกร่ง  อาจจะยิ่งกว่าสมัยพลต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส    ตำรวจในยุคนี้สาดน้ำมันขยายกองเพลิงใหญ่ในภาคใต้ คือจับหะยีสุหลง อับดุลกอเดร์หัวหน้าใหญ่ของปัตตานีไปถ่วงน้ำหลังจากติดคุกอยู่ 3 ปี  6 เดือน   เพื่อจะดับไฟใต้ให้สงบ  แต่กลับเป็นตรงกันข้าม
รายละเอียดดิฉันจะข้ามไป รอท่านกูรูใหญ่กว่าเผื่อท่านจะมาเล่าเอง     ถ้าท่านไม่เล่าก็ไม่เป็นไร   เรื่องของจอมพลป. มีให้เล่าได้สนุกได้อีกแยะ

นโยบายอีกอย่างที่ไม่ได้ประกาศเป็นทางการ แต่รู้ๆกันคือตำรวจเลี้ยงนักเลงไว้ปราบนักเลง    นักเลงฝ่ายตำรวจเดินเข้าออกกองปราบปรามสามยอดเป็นว่าเล่น   คนกลุ่มนี้เอง เป็นที่มาของคำว่า "นักเลงเก้ายอด"
นักเลงในสมัยนั้นแบ่งเป็น 2 พวกคือนักเลงจีนกับนักเลงไทย     นักเลงจีนมาจากคนจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ามาไทยแบบเสือผืนหมอนใบ      ส่วนใหญ่มาอยู่กันย่านเยาวราช บางส่วนก็ไปเป็นคนงานเมืองแร่ที่ภูเก็ต  ใช้แรงงานและค้าขาย  หาเงินตั้งตัวได้ไม่อดตาย  
ในเมื่อหลั่งไหลกันมามากเข้าเพราะเมืองไทยอุดมสมบูรณ์   พวกคนชั่วที่เข้ามาด้วยก็สบช่องทาง ไม่ต้องทำมาหากิน   แต่ตั้งแก๊งค์รีดไถ เก็บส่วยเอากับคนจีนที่มาทำมาหากิน เรียกว่าเก็บกันเป็นรายหัวไปเลย ไม่ให้ก็ใช้วิชามาร ทำร้ายร่างกาย ต่อมาก็ตัดนิ้วบ้าง ท้ายสุดก็ฆ่าทิ้ง
ในเมื่อเมืองไทยเป็นถิ่นทำมาหากินคล่อง  คนจีนสุจริตจะหนีก็ไม่ได้ ต้องจำใจจ่ายค่าคุ้มครอง   ปล่อยคนชั่วลอยนวล จนพวกนี้ได้ใจส่งข่าวไปยังสมัครพรรคพวก ให้แห่กันมาเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นก๊อดฟาเธอร์จีน เรียกว่าแก๊งค์ "ลั้กกั้ก"

พวกนี้มีอิทธิพลไม่น้อย  ตำรวจไทยปราบไม่สำเร็จ  ก็เลยใช้วิธีโจรปราบโจรแทน

นักเลงไทยเป็นเจ้าถิ่นมาแต่เดิม  เห็นนักเลงจีนกำแหงหนักขึ้น ก็รวมตัวเป็นแก๊งค์นักเลงไทย เรียกตัวเองว่า "เก้ายอด" คือสักที่ท้ายทอยเป็นยันต์เก้ายอด

(http://img56.imageshack.us/img56/2317/123ha8.jpg)


หลังจากรวมพลได้ ก็ยกพวกเข้าตะลุยเยาวราช ตีกันฆ่ากันบาดเจ็บล้มตายกันมากทั้งสองฝ่าย  ฝ่ายเก้ายอดชนะ  ตำรวจไทยก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จับแต่พวกแก๊งค์จีน  ไม่จับแก๊งค์เก้ายอด
จากนั้นนักเลงเก้ายอดก็กลายมาเป็นพันธมิตรของตำรวจไทย   ไปไหนมาไหนได้ตามสบาย ชาวบ้านเกรงกลัว  เพราะพวกเขาเป็นมือเป็นขาให้ตำรวจ  ในยุคปลายรัฐบาลจอมพลป.ถึงกับเลื่องลือกันว่า อันธพาลเกลื่อนเมือง

อำนาจถ้าหากว่าตะแคงลงไปข้างหนึ่ง  ไม่มีดุลย์มาถ่วงให้พอดีๆ  ก็ย่อมตะแคงได้ไม่นาน ยังไงก็ต้องพาคันชั่งคว่ำคะมำลงไป
ผู้ที่มาคว่ำ  ก็คือกองทัพที่เงียบสงบมาตลอดในยุคอัศวินผยอง     มีอัศวินควบม้าสีเขียวขี้ม้าขึ้นเวทีมาคนหนึ่ง   รังสีเจิดจรัสขึ้นทุกทีในช่วงปลายรัฐบาล    
แต่จะเป็นใคร  ไม่ใช่หน้าที่คนอื่นที่จะเล่า   ต้องเจ้าของกระทู้มาเองค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 07 ส.ค. 10, 20:38
^
ขอเก็บตกแถวนี้อีกหน่อยครับ
.
.
ยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม กับเผ่า ศรียานนท์  ผู้บริหารประเทศบางคนเป็นผู้ค้าฝิ่นเสียเอง  ..ใครขัดขวาง เป็นต้องถูกกำจัด  เช่น กรณีการสังหาร ผู้การสันติบาล พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข  ซึ่งมีที่มาที่ไปดังนี้

ท่านผู้อ่านคงจำเรื่องราวของกบฏวังหลวงได้ เหตุการณ์นั้นมีนายตำรวจชื่อพ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข เคยร่วมงานกับนายปรีดี พนมยงค์ ได้ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นพวกกบฏ โดยเช้าตรู่วันที่ 29 กุมพาพันธ์ 2492 กองกำลังฝ่ายจอมพล ป.เข้าตรวจค้นภายในบ้าน พลันเกิดเสียงปืนดังหลายนัด ผู้เข้าจับกุมให้การว่า พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ขัดขืนจึงกลายเป็นศพ และก็เหมือนหลายๆคดีที่ตำรวจมักกล่าวว่าผู้ต้องหาต่อสู้เจ้าหน้าที่พนักงาน สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป

สมัยผู้การบรรจงศักดิ์ ฯรับราชการที่จังหวัดลำปาง มีการจับฝิ่นเถื่อนจำนวน ๑ ตัน(๑,๐๐๐ กก.) มูลค่าประมาณล้านบาท นับเป็นจำนวนเงินมหาศาลในตอนนั้น    ฝิ่นจำนวนดังกล่าว ถูกลำเลียงโดยอาศัยใบคุ้มครองที่กรมสรรพสามิตออกให้บริษัทไทยสามิต แต่เป็นการลำเลียงเกินพิกัด และ เคยใช้ใบคุ้มครองลักลอบนำฝิ่นเกินจำนวนหลายครั้ง  มีการตรวจค้นจับกุมนายทุนได้ ทำการสอบสวนเป็นเวลา ๔ วัน  ปรากฎว่าตลอดเวลา มีผู้แทนบริษัทไทยสามิต และ นายทหารยศนายพัน ติดต่อ พ.ต.ต.บรรจงศักดิ์ ฯให้คืนฝิ่นจำนวนดังกล่าว  จนครั้งล่าสุดมีจดหมายจากพล.อ.เผ่า ศรียานนท์ ขอร้องให้คืนฝิ่น แต่ไม่เป็นผล ผู้การท่านนี้กลับดำเนินการตามหน้าที่อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ พล.อ.เผ่า ศรียานนท์ เป็นอย่างมาก
 
เหตุการณ์ล่วงเลยมา จนกระทั่งพล.อ.เผ่า(ยศเดิมเป็นทหารต่อมาน่าจะเปลี่ยนเป็นพล.ต.อ.)ขึ้นครองอำนาจในกรมตำรวจ ได้เกิดกบฎวังหลวง  พล.ต.อ.เผ่า ฯจึงได้อาศัยเหตุการณ์นั้น สั่งการให้สังหารผู้การสันติบาล พ.ต.ต.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข

อ้างอิง  เพลิง ภูผา.ม.ป.ป.จอมพลผู้พลิกแผ่นดิน:สฤษดิ์ ธนะรัชต์. สำนักพิมพ์ไพริน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 07 ส.ค. 10, 21:53
อ้างถึง
เหตุการณ์ล่วงเลยมา จนกระทั่งพล.อ.เผ่า(ยศเดิมเป็นทหารต่อมาน่าจะเปลี่ยนเป็นพล.ต.อ.

เส้นทางอาชีพของพลต.อ.เผ่า คล้ายกับพลต.อ.อดุลมาก  คือข้ามจากทหารมาเป็นตำรวจ    ท่านเป็นทหารมาจนเป็นพ.อ. จากนั้นก็ข้ามห้วยมาเป็นเสือใหญ่ของกรมตำรวจ

เส้นทางราชการ น่าทึ่งมาก
อายุ 34  ปี  ได้รับพระราชทานยศเป็นพันเอก
อายุ  35 ปี   เป็นเจ้ากรมเชื้อเพลิง และลาออกจากราชการเป็นการชั่วคราว
อายุ  38  ปี  กลับเข้ารับราชการ โดยโอนมาอยู่กรมตำรวจ
อายุ  39 ปี    ได้รับพระราชทานยศเป็น พันตำรวจเอก และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิบดี รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปราม
อายุ  42 ปี     เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ได้รับพระราชทานยศเป็น พลตำรวจโท

ตอนท่านเป็นพ.ต.อ.  ขึ้นเป็นรองอธิบดีแล้ว   แล้วพวกพลต.ต. ทั้งหลาย ของกรมตำรวจเขาได้ตำแหน่งอะไรกัน  ???
เป็นอธิบดีตำรวจที่หนุ่มมาก    พอๆกับพลต.อ.อดุลเลยทีเดียว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 08 ส.ค. 10, 06:46

 "ผมจับเพราะผมเป็นตำรวจ"

ขุนพันธ์ฯตอบอย่างไม่สะทกสะท้านต่ออิทธิพลแห่งบุรุษเอกเอเชีย "

ได้ใจไปเต็มๆเลยค่ะ นับถือท่านขุนพันธ์ฯจริงๆ... ;D


เพียงเพราะ"อำนาจ"หรือยังไงคะ ผู้ยิ่งใหญ่บางท่านในแต่ละสมัย ถึงไม่กลัวเวรกรรมกันเลย...


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 10, 07:44
^
คำถามของคุณคือคำตอบครับ คุณPTBT


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 10, 08:27
จากความคิดเห็นที่ 62 

อ้างถึง
คดีสี่รัฐมนตรี มีเงื่อนงำที่ยังน่าสงสัยอยู่บางประการ  เคยเล่าไว้ในอีกกระทู้หนึ่ง เมื่อเอ่ยถึงพ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ    ขอยกมาเล่าในกระทู้นี้เพื่อความต่อเนื่อง
คดีนี้ตอนแรกเงียบ   จนจอมพลป.หมดอำนาจจากการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คดีจึงถูกรื้อฟื้นดำเนินคดีในปี พ.ศ. 2502 ผู้ต้องหา 5 ราย ได้แก่ พลตำรวจจัตวาผาด ตุงคะสมิท, พล.ต.จ.ทม จิตรวิมล, ร้อยตำรวจโทจำรัส ยิ้มละมัย, ร.ต.ท.ธนู พุกใจดี และสิบตำรวจเอกแนบ นิ่มรัตน์ โดยศาลพิพากษาในปี พ.ศ. 2504 จำคุกตลอดชีวิตผู้ต้องหา 3 ราย คือ พล.ต.จ.ผาด, พล.ต.จ.ทม และส.ต.อ.แนบ ส่วน ร.ต.ท.จำรัส และร.ต.ท.ธนู ศาลยกฟ้อง แต่ก็ยังมีเสียงกระซิบดังๆว่า ผู้ต้องหาเหล่านี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องหาตัวจริง ตัวจริงยังลอยนวลเป็นแขนขาให้จอมพลสฤษดิ์อยู่

ในหนังสือ "13 ปี กับบุรุษเหล็กแห่งเอเซีย" ของ พันตำรวจเอกพุฒ บูรณสมภพ นายตำรวจคนสนิทของ พล.ต.อ.เผ่า ตอนหนึ่งได้บันทึกถึงคดีนี้ว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด ยิ่งโดยเฉพาะ ส.ต.อ.แนบ เป็นเพียงนายตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่รู้จักกับผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งตน (พ.ต.อ.พุฒ) ทราบว่า ผู้ลงมือสังหารจริง ๆ คือใคร แต่ไม่ขอเปิดเผย

การสั่งสังหารบุคคลสำคัญระดับสี่รัฐมนตรี ต้องผ่านการประชุมในขั้นสูง และที่ประชุมต้องตัดสินร่วมกันว่าต้องใช้วิธีเด็ดขาด คือถึงขั้นจบชีวิตผู้ต้องหา

อ่านแล้ว  ก็คงพอจะมีคนเดาออกว่าตัวการตัวจริงที่รอดไปได้ น่าจะเป็นใคร

(http://su-usedbook.tarad.com/img-lib/spd_2010053095125_b.jpg)

พันตำรวจเอกพุฒ บูรณสมภพเป็นหนึ่งในสี่อัศวินแหวนเพชรที่เดินล้อมเผ่าเหมือนจตุรงคบาท ประกอบด้วย

1 พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
2 พ.ต.อ. อรรณณพ พุกประยูร
3 พ.ต.อ. พันศักดิ์ วิเศษภักดี
4 พ.ต.อ. วิชิต รัตนภาณุ

บางครั้งจะปรากฏชื่อพ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์ ผู้เด็กที่สุดแต่ห้าวหาญพอๆกับรุ่นใหญ่เป็นคนที่5 หลังสิ้นอาชีพตำรวจ พ.ต.ต.ประชาได้ผันตัวมาเป็นนักเขียนปากกาทองมีผลงานมากมายในบรรณพิภพเหมือนกัน ส่วนใหญ่เขียนเรื่องราวผจญภัยที่ผ่านมาของตนอ่านแล้วดูเป็นพระเอก ตอนวัยรุ่นผมติดหนังสือของพ.ต.ต.ประชางอมแงมอยู่เหมือนกัน แต่แล้วอยู่ๆพี่ท่านก็ผันตนเองอีกทีไปอยู่บางขวางในข้อหาค้ายาเสพย์ติด เกือบโดนประหารชีวิต เล่นเอาแฟนหนังสือหงายหลังตกเก้าอี้ไปตามๆกัน หากขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่จากโทษจำคุกตลอดชีวิตก็คงจะเป็นรุ่นปู่ของนักโทษที่นั่น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 10, 08:31
ผมเอาคำให้การของพยานในศาลมาให้ดูก็แล้วกัน ได้มาจากหนังสือเล่มข้างล่างนี้ครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 10, 08:32
.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 10, 08:34
.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 10, 08:37
จากคำให้การข้างต้น จะเห็นว่าพยานปากเอกไม่กล้าระบุว่าใครเป็นคนยิง อ้างว่าตนไม่เห็นตอนนั้น แต่หนังสือชุดนี้ เขียนออกแนวดราม่าหน่อยจึงทำให้ความเชื่อถือลดลงไปนิดนึง เพราะคนอ่านจะตะหงิดๆว่า พี่แกจะนั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองหรือเปล่า ผมเอาแค่ตัวอย่างมาให้ดูก็แล้วกัน ท่านผู้อ่านก็อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าสนใจจริงๆก็พลิกไปอ่านคำให้การในศาล เปรียบเทียบกันไปเปรียบเทียบกันมาเสียก่อน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 10, 09:58
ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่านักเขียนบรรยายราวกับอยู่ในเหตุการณ์ตอนฆ่ากันด้วย     เขาเป็นใครคนหนึ่งในจำนวนนั้น หรือว่าฟังมาจากใครในจำนวนนั้น ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน
ร.ต.อ. พุฒ ไม่ได้ถูกส่งขึ้นศาลในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลย     ดูเหมือนจะไม่เคยโดนคดีอะไรเลย    ตอนบั้นปลายชีวิต ลี้ภัยการเมืองไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์

ขอแยกซอยเรื่องพ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์   เป็นที่เล่าลือในฐานะ "นักเขียนบรรทัดละ 8 บาท" ถือว่าแพงที่สุดในบรรดานักเขียนยุคนั้น  เมื่อก่อนดิฉันก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร    มีแต่คนมาถามว่านักเขียนเขานับบรรทัดขายกันจริงหรือ   ก็ตอบว่าของคนอื่นไม่รู้ แต่ของดิฉันไม่เคยนับแบบนั้น
ได้คำเฉลยมาจากในเว็บไซต์ของคุณวินทร์  เลียววาริณ

เมื่อคุยถึงเรื่องค่าเรื่องของนักเขียนแล้ว ก็อด วกไปยังตำนาน 'บรรทัดละ 8 บาท' ของนักเขียน พตต.ประชา พูนวิวัฒน์ เสียมิได้ พตต.ประชา พูนวิวัฒน์ โด่งดังมาจากนวนิยาย "ผมไม่อยากเป็นพันโท" (ยังจำชื่อตัวเอกได้เลยว่าชื่อ ฟ้าลั่น บุญบันดาล!) ผมสังเกตว่างานเขียนของตำรวจนักเขียนท่านนี้แต่ละบรรทัดสั้นมาก เป็นเพราะบรรทัดละ 8 บาทหรือเปล่า อา 'รงค์ บอกว่า นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดในวงการมานานแล้ว พตต.ประชา พูนวิวัฒน์ ไม่เคยได้รับค่าเรื่องบรรทัดละ 8 บาท

เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง พตต. ประชา พูนวิวัฒน์ ขอเบิกค่าเรื่องล่วงหน้าจากบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่ง เพื่อผ่อนดาวน์รถให้ลูกสาว ได้มาหลายหมื่น วันนั้นเลยเปรยกับเพื่อนในวงเหล้าว่า ได้เงินมาเท่านี้กับเรื่องที่เขียนไปตอนสองตอน คิดเป็นบรรทัดละ 8 บาทเชียวนะ เท่านี้แหละ ก็เลยเป็นที่มาของฉายา 'นักประพันธ์บรรทัดละ 8 บาท' คนที่เดือดร้อนก็คือบรรณาธิการนิตยสาร เพราะบรรดานักเขียนเก่าบอยคอต ขอขึ้นค่าเรื่อง ต้องชี้แจงวุ่นวายกันไป ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ ในวงการที่เข้าใจมาโดยตลอดว่า พตต.ประชา พูนวิวัฒน์ เป็นนักเขียนที่ราคาแพงที่สุดในสมัยนั้น  
  


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 08 ส.ค. 10, 10:41
ท่านอาจารย์เทาชมพูเล่าไว้ เรื่องตำรวจเลี้ยงนักเลงไว้ชนกับนักเลงดังนี้

อ้างถึง
นโยบายอีกอย่างที่ไม่ได้ประกาศเป็นทางการ แต่รู้ๆกันคือตำรวจเลี้ยงนักเลงไว้ปราบนักเลง    นักเลงฝ่ายตำรวจเดินเข้าออกกองปราบปรามสามยอดเป็นว่าเล่น   คนกลุ่มนี้เอง เป็นที่มาของคำว่า "นักเลงเก้ายอด"
นักเลงในสมัยนั้นแบ่งเป็น 2 พวกคือนักเลงจีนกับนักเลงไทย     นักเลงจีนมาจากคนจีนแผ่นดินใหญ่ เข้ามาไทยแบบเสือผืนหมอนใบ      ส่วนใหญ่มาอยู่กันย่านเยาวราช บางส่วนก็ไปเป็นคนงานเมืองแร่ที่ภูเก็ต  ใช้แรงงานและค้าขาย  หาเงินตั้งตัวได้ไม่อดตาย  
ในเมื่อหลั่งไหลกันมามากเข้าเพราะเมืองไทยอุดมสมบูรณ์   พวกคนชั่วที่เข้ามาด้วยก็สบช่องทาง ไม่ต้องทำมาหากิน   แต่ตั้งแก๊งค์รีดไถ เก็บส่วยเอากับคนจีนที่มาทำมาหากิน เรียกว่าเก็บกันเป็นรายหัวไปเลย ไม่ให้ก็ใช้วิชามาร ทำร้ายร่างกาย ต่อมาก็ตัดนิ้วบ้าง ท้ายสุดก็ฆ่าทิ้ง
ในเมื่อเมืองไทยเป็นถิ่นทำมาหากินคล่อง  คนจีนสุจริตจะหนีก็ไม่ได้ ต้องจำใจจ่ายค่าคุ้มครอง   ปล่อยคนชั่วลอยนวล จนพวกนี้ได้ใจส่งข่าวไปยังสมัครพรรคพวก ให้แห่กันมาเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นก๊อดฟาเธอร์จีน เรียกว่าแก๊งค์ "ลั้กกั้ก"

พวกนี้มีอิทธิพลไม่น้อย  ตำรวจไทยปราบไม่สำเร็จ  ก็เลยใช้วิธีโจรปราบโจรแทน

นักเลงไทยเป็นเจ้าถิ่นมาแต่เดิม  เห็นนักเลงจีนกำแหงหนักขึ้น ก็รวมตัวเป็นแก๊งค์นักเลงไทย เรียกตัวเองว่า "เก้ายอด" คือสักที่ท้ายทอยเป็นยันต์เก้ายอด
หลังจากรวมพลได้ ก็ยกพวกเข้าตะลุยเยาวราช ตีกันฆ่ากันบาดเจ็บล้มตายกันมากทั้งสองฝ่าย  ฝ่ายเก้ายอดชนะ  ตำรวจไทยก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จับแต่พวกแก๊งค์จีน  ไม่จับแก๊งค์เก้ายอด
จากนั้นนักเลงเก้ายอดก็กลายมาเป็นพันธมิตรของตำรวจไทย   ไปไหนมาไหนได้ตามสบาย ชาวบ้านเกรงกลัว  เพราะพวกเขาเป็นมือเป็นขาให้ตำรวจ  ในยุคปลายรัฐบาลจอมพลป.ถึงกับเลื่องลือกันว่า อันธพาลเกลื่อนเมือง

สมัยนั้น ในแก็งเก้ายอดมีอยู่ 2 ท่านที่เอาตัวรอดจากแรงดึงดูดจากวงโคจรของโจรมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมได้อย่างน้อยสองคนก็คือ อาจารย์ สิทธิผล พลาชีวิน และผู้ว่ากทม.นายธรรมนูญ เทียนเงิน ที่นักหนังสือพิมพ์จะพ่วงท้ายดีกรีของท่านเข้าไปด้วยเสมอว่า ธรรมนูญ เทียนเงิน นักเลงเก้ายอด

ปีพ.ศ. 2497 อาจารย์ สิทธิผล พลาชีวิน ได้เข้ามาเป็นอาจารย์ใหญ่ ที่ช่างกลปทุมวัน ขณะนั้นนักเลงหัวไม้ได้ลามลงในหมู่วัยรุ่น เกิดแก๊งค์อันธพาลขึ้นในสังคมเป็นจำนวนมาก ตัวหัวหน้าที่มีชื่อดังๆก็เช่น แดง ไบเล่-แหลม สิงห์-ดำ เอสโซ่-ปุ๊ ระเบิดขวด-จ๊อด ฮาวดี้-แอ๊ด เสือเผ่น เป็นต้น พวกนี้จะยกพวกเข้าตะลุมบอน ไล่ตีรันฟันแทงกันเป็นประจำ ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนร่วมถนนเป็นอันมาก ช่วงนั้นนักเรียนช่างกลก็มีพวกเกเรที่เลื่อมใสลัทธิอันธพาลรวมอยู่ด้วยมาก พวกนี้สถาปนาตนเองเป็นนักเรียนนายร้อยเจริญผล แห่งปทุมวัน  ยกพวกตีกันกับช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ประกาศตัวเป็นอริกันตลอดกาลนับจากนั้น อีกแห่งหนึ่งที่ตีกันประจำก็คือช่างกลพระนครเหนือ ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงยกระดับขึ้นไปแล้วก็เลิกเรื่องนักเลงไป ว่ากันว่าถ้าอาจารย์ใหญ่ช่างกลปทุมวันไม่ใช่อดีตนักเลงเก้ายอด ก็คงเอาลูกศิษย์ไว้ไม่อยู่ แต่ถึงขนาดนั้น ถ้าใครเห็นบรรดานักเรียนชายวัยฉกรรจ์เดินจับกลุ่มกันมาบนถนน หลบได้ก็ต้องรีบหลบโดยเร็ว(รวมทั้งสมัยปัจจุบันด้วย)

เมื่ออยู่นอกโรงเรียน พวกนี้จะแต่งเดรื่องแบบจิ๊กโก๋ ซึ่งสังเกตุได้ดังนี้

1) ใส่เสื้อสีแดง(ไม่เกี่ยวกับการเมืองนะคะรับ)
2) ใส่เสื้อแขนยาวแต่พับแขนเสื้อสูงไปเหนือข้อศอก
3) ใส่กางเกงขาลีบ โดยวัดขนาดเอาขวดเป๊บซี่ยัดเข้าปลายขากางเกง หากยัดไม่เข้าถือว่า ขาลีบ
4) นั่งตามราวสะพาน
5) มั่วสุมจับกลุ่มตามร้านกาแฟ เกินกว่าสี่คนขึ้นไป
6) ไว้ผมไม่มีแสก และใช้น้ำมันตันโจ
7) พกหวีไว้ที่กระเป๋าหลังและปล่อยให้โผล่ออกมา

พวกนี้จะเป็นแนวร่วมสังกัดแก๊งค์อันธพาลอาชีพ หากินในการคุมบ่อน คุมซ่อง
อย่างแดง ไบเล่ เกิดที่ตรอกสลักหินข้างหัวลำโพง หรือที่นิยมเรียกว่าตรอกไบเล่ เพราะเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตน้ำอัดลมยี่ห้อไบเล่ เป็นลูกกำพร้าพ่อของ โสเภณีในย่านนั้น เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาแดงก็เป็นหัวโจกของบรรดาวัยรุ่นทั้งหลายในยุคนั้น จนมีชื่อเสียงโด่งดังขนาดว่า แดง ไบเล่ สามารถกอดคอกับ พล.ต.อ.เผ่า ได้เลยทีเดียว ก่อนจะจบบทบาทลงที่คุก และตายเพราะรถชนกัน

เรื่องราวของแดง ไบเล่ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งหนึ่งในชื่อ 2499 อันธพาลครองเมือง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 10, 11:38
            แดง ไบเล่ตัวจริงและพรรคพวกของเขาเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มนักเลงเก้ายอด    เข้าใจว่าเป็นแก๊งค์หัวโจกวัยรุ่นในยุคปลายๆของรัฐบาลจอมพล ป. 2    เมื่อหนัง "2499 อันธพาลครองเมือง" ดังขึ้นมาในช่วงออกฉาย  ก็มีการเชิญวัยรุ่นยุคนั้นซึ่งกลายมาเป็นคุณปู่คุณตาในยุคนี้มาสัมภาษณ์กันทางทีวี
      อ่านข่าวกับดูข่าวแล้ว  ดิฉันก็สับสนอยู่เหมือนกัน    เพราะบางคนบอกว่าพวกเขาไม่ได้เลวร้ายเป็นนักเลงหัวไม้อย่างในหนัง   เป็นพวกวัยคะนอง จับกลุ่มกันเฮฮา เต้นรำ แต่งตัวตามแฟชั่น แต่ก็มีบางคนบอกว่าเคยยกพวกตีกันกับนักเรียนเหมือนกัน  เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไงกันแน่  เลยสรุปว่าเป็นแก๊งค์ซ่าในสมัยนั้น  ประวัติแต่ละคนก็คงแตกต่างกันไป  บางคนพออายุมากขึ้นก็เลิกซ่า   ไปได้ดีในอาชีพต่างๆ อย่างที่ท่านกูรูใหญ่กว่า ท่านเล่าข้างบนนี้    บางคนก็จมอยู่ในวังวนต่อไป
    แดง ไบเล่เห็นทีจะผันตัวเองเป็นนักเลงเต็มตัว ใจถึงจนเป็นที่พอใจของพลต.อ. เผ่า    ถ้าแกไม่อายุสั้นเพียง 24 ปี  อาจจะก้าวขึ้นถึงขั้นเจ้าพ่อในวัยกลางคนได้  แต่ว่าต้องกระดูกเหล็กรอดมือท่านจอมพลคนต่อไปจากจอมพลป. ให้ได้เสียก่อน   เพราะท่านเกลียดอันธพาลนัก   อ้าว เผลอเล่าหนังตัวอย่างอีกแล้ว
       เกร็ดที่จำได้จากเบื้องหลังหนังเรื่องนี้คือบรรดาอดีตวัยรุ่นสมัยนั้นออกมาโวยว่า ไม่มีคนชื่อเปี๊ยก วิสุทธิกษัตริย์ที่ในหนังบอกว่าเป็นเพื่อนรักแก๊งค์เดียวกับแดง ไบเล่      สุริยัน ศักดิ์ไธสงผู้แต่งว่าตัวเองคือเปี๊ยกในเรื่อง  ที่จริงสมมุติขึ้นมาเอง      วัยรุ่นชื่อเปี๊ยกในสมัยนั้นมีเหมือนกันแต่เป็นคนละคน      เปี๊ยกคนนั้นคือผู้กำกับละคร  พิศาล อัครเศรณี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 10, 14:32
มาสรุปคั่นเวลาไปก่อน

ในกระทู้ก่อน   ดิฉันเคยแบ่งกลุ่มพลังต่างๆทางการเมืองของไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น 3 กลุ่ม  คือกลุ่มทหารบก    กลุ่มพลเรือน  และกลุ่มรัฐสภา   
กลุ่มที่มีอำนาจเข้มแข็งที่สุดคือทหารบก เป็นหลัก  มีทหารเรือคอยเสริม  ครองอำนาจมาได้  จนกระทั่งผ่านสงครามโลกมาถึงพ.ศ. 2494  มาถึงกบฏแมนฮัตตัน
ผลจากการพ่ายแพ้ของฝ่ายกบฏซึ่งเป็นนายทหารเรือ    ทำให้กองทัพเรือทั้งกองทัพถูกบั่นทอนพลัง  จนกระทั่งไม่มีกำลังพอจะทำอะไรทางการเมืองได้อีก    กองทัพอากาศขึ้นมาเป็นดาวรุ่งแทนที่ แต่ก็ไม่มีบทบาททางการเมืองอยู่ดี

ส่วนกลุ่มพลังพลเรือน  ซึ่งมีนายปรีดีเป็นหัวหน้า   ถูกกวาดล้างเหี้ยนเตียนในรูปแบบต่างๆ  โดยมากจะเป็นการเน้นข้อหาคอมมิวนิสต์ จนไม่เหลือหลอ   แม้แต่ตัวหัวหน้าเองก็ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างแดน  ไม่มีโอกาสกลับมา

กลุ่มรัฐสภา  ถูกกวาดล้างไปด้วย  เช่นในคดีโจรมลายูปล้น ๔ รัฐมนตรี    เสรีไทยที่ไม่ได้กลับไปเรียนหนังสือแต่มาเล่นการเมือง ก็อักเสบด้วยพิษการเมือง  อาการหนักมากบ้างน้อยบ้าง  จนตกเวทีการเมืองไปหมดก็ว่าได้

กลุ่มทหารบกยังอยู่ยงคงกระพัน เป็นกลุ่มพลังหนุนหลังจอมพลป. ผู้ยังมีบารมีในกองทัพบก แม้ไม่เท่ากับยุคก่อนสงครามโลก   แต่กลุ่มที่เป็นอาวุธหนักคู่มือของจอมพลป.อย่างแท้จริง คือตำรวจ      กองทัพตำรวจในสมัยพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ยิ่งใหญ่สูสีกับกองทัพทหาร หรืออาจจะบารมีใหญ่กว่าเสียอีก

นายตำรวจยุค "อัศวินผยอง" มีแขนขาคือเหล่านักเลง ทั้งเก้ายอดและนักเลงวัยรุ่นที่คุณนวรัตนเล่าไว้   พวกนี้ได้รับชื่อใหม่ ว่า "ผู้กว้างขวาง"  ถ้ามือถึง ก็รับจ๊อบต่างๆแล้วแต่จะนายตำรวจจะมอบหมาย      ถ้าเป็นงานการเมืองก็รับงานรังควานฝ่ายตรงข้าม และถากถางเสี้ยนหนามให้นาย   

ส่วนประชาชนผู้เป็นที่มาของชื่อ "ประชาธิปไตย" ก็มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล  และรักษาตัวให้รอดปลอดภัยในการดำเนินชีวิต


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 08 ส.ค. 10, 16:38
นักเรียนหายไปหลายวัน....เข้ามาเช็คชื่อว่ายังคงติดตามอยู่เสมอครับท่านอาจารย์.....

ยุคที่สองของท่านจอมพลนี่ก็ดุเดือด แสดงนำโดยตำรวจอีกเช่นเคยนะครับ.....แต่คราวนี้มีผู้ช่วยเป็นพวกนักเลงอีก....ผมยังเด็กนึกภาพบ้านเมืองสมัยนั้นไม่ออกเลยครับ.....
 :D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 08 ส.ค. 10, 17:28
ขอกลับมาพูดเรื่องรัฐสภาบ้าง   
เริ่มต้นด้วยพรรคการเมือง    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (2489-2494) ไทยมีสิบกว่าพรรค  ที่สำคัญคือ พรรคสหชีพ พรรคแนวรัฐธรรมนูญและพรรคประชาธิปัตย์
พรรคแนวรัฐธรรมนูญเป็นของพลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์   มีนายทองเปลว ชลภูมิเป็นเลขาธิการ คนสำคัญในพรรคเป็นเสรีไทยสายเมืองหลวง    พรรคสหชีพเป็นอดีตเสรีไทยสายอีสานที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์     ทั้งสองพรรคมีอุดมการณ์คล้ายกันแต่ว่าไม่ได้ทำงานร่วมกัน    ต่างคนต่างมีกลุ่มของตัวเอง    ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช   มีแกนนำสำคัญคือม.ร.ว.คึกฤทธิ์ผู้น้องชาย  ในระยะแรก
ถ้าพูดถึงคุณภาพของส.ส.นักการเมือง  ส่วนใหญ่ก็มีภูมิรู้และผลงานเป็นที่น่านับถือ     แต่ว่าไม่มีอำนาจ     ต่อมานักการเมืองหลายคนของทั้ง 2 พรรค  ถูกโจรจีนมลายูยิงตายไปอย่างลึกลับ  ทำให้พลังของพรรคการเมืองอ่อนลงมาก   ก็ทำได้เพียงรักษาระบบรัฐสภาเอาไว้ให้เห็นเป็นรูปธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่

ผู้มีอำนาจในสังคม ก็คือพลต.อ.เผ่า  ท่านรักษาดุลย์ของอำนาจไว้ได้ ในความหมายที่ว่า รัฐสภาก็ต่อต้านไม่ได้   กองกำลังตำรวจของท่านก็เป็นปึกแผ่นแน่นหนา ไม่มีแตกแยกกันเลยในช่วงที่ท่านเป็นอธิบดีตำรวจ     และอย่างที่สามคือท่านรู้จักสร้างฐานทางเศรษฐกิจให้มั่นคง ยากจะหาใครเปรียบได้
ดิฉันไม่พบรายละเอียดว่าท่านสร้างฐานะขึ้นมาจากธุรกิจบริษัทห้างร้านไหน    แต่พบว่าในบั้นปลายเมื่อท่านต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ  ก็สามารถปักหลักอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งได้ชื่อว่าค่าครองชีพแพงมหาศาล     ที่นั่น ท่านมีบ้านช่องอยู่อย่างโอ่อ่าก็แสดงว่าฐานะการเงินของท่านมั่นคงเอาการ     คุณวิกี้ได้อ้างด้วยว่าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศจัดอันดับท่านเป็นมหาเศรษฐีท็อปเท็น    แต่ไม่บอกว่าหนังสือพิมพ์อะไรหรือท็อปเท็นของอะไร   ก็เลยไม่ฟันธงตามนั้น  เอาเป็นแต่ว่าท่านมีเงินพอพำนักอยู่ในสวิส ไม่ขาดแคลน   จนถึงแก่กรรมก็แล้วกัน

ที่คุณ PTBT ถามว่าอำนาจใช่ไหมเป็นสาเหตุ  คำตอบคืออำนาจไม่ได้มาพร้อมบารมีเท่านั้น    แต่มีลาภทรัพย์สินเงินทองเดินตามหลังมาด้วยอย่างกระชั้นชิด      คนถึงชอบแสวงหาอำนาจอย่างเดียวพอแล้ว  อย่างอื่นมันของอัตโนมัติ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Son Of The Dawn ที่ 08 ส.ค. 10, 20:49
อ่านสนุกแถมได้ความรู้ขอบคุณฮ่ะ ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 10, 10:37
เริ่มต้นวันจันทร์ด้วยการคั่นโปรแกรม ตามเคย

เคยตั้งข้อสงสัยว่า กบฏแมนฮัตตันที่ว่ากันว่าหัวหน้าใหญ่คือพลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ นายทหารเรือนอกราชการ น่าจะมีมากกว่านั้น  เพราะนายทหารนอกราชการย่อมไม่มีขุมกำลัง หรือเครือข่ายที่จะก่อรัฐประหารขึ้นมาได้
ไปเจอในเว็บที่รวบรวมบทความ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕  บอกไว้ว่า เมื่อกบฏวังหลวงสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ทางฝ่ายนายปรีดีและทหารเรือบางส่วน    คนที่ช่วยให้ที่หลบซ่อนแก่นายปรีดี คือน.ต.มนัส จารุภา  
ถ้าจริง ก็แปลว่ามีสายใยโยงใยกันอยู่ระหว่างผู้ร่วมกบฏวังหลวง และกบฏแมนฮัตตัน    แต่ทหารเรือส่วนที่ไม่ร่วมก็มีเหมือนกัน คือส่วนคุมกำลังในปี 2494  ร่วมกันปฏิเสธน.ต.มนัส จารุภา จนทำให้เขาพ่ายแพ้ไป

กลับมาที่พลต.อ. เผ่า ศรียานนท์
นอกจากสถาปนากำลังตำรวจให้ยิ่งใหญ่ไพศาลเป็นประวัติการณ์แล้ว  พลต.อ.เผ่ายังถากถางเสี้ยนหนามการเมืองให้รัฐบาลจอมพล ป. อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย      คนที่เจอเข้าคือพวกกบฏเสนาธิการ อย่างที่เล่าไว้ในค.ห.บนๆไปแล้ว  พ.ท.โพยม จุลานนท์ก็เป็นคนหนึ่งที่โดนเข้าเต็มๆจนต้องหลบหนีลงจากเวทีการเมืองไป

อีกคนหนึ่งที่เจออิทธิฤทธิ์พลต.อ.เผ่าเช่นกัน  คือพลโทหลวงกาจ กาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง)  อดีตสมาชิกคณะราษฎร์ฝายยทหาร ฯร่วมเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปี 2475    หลวงกาจมีความดีความชอบในการปราบปรามกบฏบวรเดช จนบาดเจ็บ  จึงเลื่อนตำแหน่งการงานขึ้นเป็นลำดับ  ขึ้นเป็นถึงแม่ทัพภาคที่ 1  
ในช่วงสงครามโลก  พลโทกาจ กาจสงคราม ก็เข้าร่วมเป็นเสรีไทยสายนายปรีดี พนมยงค์ด้วย  สนิทสนม ทำงานเคียงข้างนายปรีดีหลังสงครามโลกจบลง ถึงกับร่วมก่อตั้งพรรคสหชีพ   แต่เมื่อเกิดกรณีสวรรคตขึ้น   พลโทหลวงกาจฯก็ผละจากนายปรีดี  และโจมตีนายปรีดีว่าวางแผนก่อตั้ง "มหาชนรัฐ" (น่าจะหมายถึงระบบ Republic หรือระบบสาธารณรัฐ  ซึ่งไม่มีกษัตริย์อีกต่อไป)
พ.ศ. 2490 หลวงกาจหันกลับไปร่วมมือกับจอมพลผิน และพลต.อ.เผ่า(ตอนนั้นเป็นแค่พ.ต.อ.หนุ่ม คนสนิทของจอมพลป.) ทำรัฐประหาร เชิญจอมพลป.กลับมาเป็นนายกฯ      ระหว่างเตรียมแผน  พลโทหลวงกาจเป็นคนยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 เตรียมไว้เพื่อนำออกมาใช้หลังรัฐประหารสำเร็จ    ที่ๆท่านเก็บซ่อนเอาไว้ไม่ให้ฝ่ายบ้านเมืองหาเจอ คือซ่อนไว้ใต้ตุ่มน้ำที่บ้าน   เพราะเชื่อว่าไม่มีใครจะไปยกตุ่มขึ้นมาค้น
พอรัฐประหารสำเร็จ  นำออกมาใช้   จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ารัฐธรรมนูญฉบับ “ใต้ตุ่ม” หรือ “ตุ่มแดง” (ตุ่มน้ำทั่วไปในสมัยนั้นเป็นสีแดง)  หลวงกาจ กาจสงคราม จึงได้รับฉายาจากการรัฐประหารครั้งนี้ว่า “นายพลตุ่มแดง”
ในเมื่อเป็นแกนนำสำคัญ  พลโทหลวงกาจสงครามได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากจอมพลป. จนกระทั่งรุ่งเรืองระดับแถวหน้าในรัฐบาลจอมพลป. 2  
ตัวท่านเกิดไม่เข้าตาพลต.อ.เผ่า อย่างแรง   เรื่องจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบแต่มีข่าวลือว่าแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว    ผลก็คือในปี 2493  ตำรวจอ้างว่าได้สืบทราบว่ามีแผนการก่อกบฏ (เรียกกันว่ากบฏน้ำท่วม)ของหลวงกาจ กาจสงคราม วางแผนอาศัยสถานการณ์น้ำท่วมพระนครเพื่อเข้ายึดอำนาจรัฐ   ซึ่งเป็นแค่แผนอะไรก็ไม่รู้  ยังไม่มีการลงมือ  ไม่มีกองพลกองพันทหารคนอื่นร่วมมือด้วย  
แต่เมื่อทางตำรวจอ้างออกมา พลโทหลวงกาจสงครามก็ไม่มีทางอื่นนอกจากลี้ภัยการเมืองออกนอกประเทศ  คือถูกเนรเทศไปอยู่ฮ่องกง  แต่บั้นปลายชีวิตก็ได้กลับมา  ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2510

นับว่าจบบทบาทเสือร่วมถ้ำอีกตัวหนึ่ง และเป็นการตัดกำลังพรรคสหชีพให้หมดเรี่ยวแรงไปได้อีกด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 09 ส.ค. 10, 16:25
ขอฉายภาพเหตุการณ์ในวันที่หลวงกาจสงครามถูกจับ  ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓  ให้คุณเทาชมพูได้ทราบรายละเอียดว่าในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับหลวงกาจฯ

ขณะที่หลวงกาจสงครามนั่งโต๊ะทำงานอยู่ที่วังสวนกุหลาบ มีนายทหารฝ่ายเสนาธิการยศพันโทผู้หนึ่งเข้าไปรายงานว่ามีคนจะพูดโทรศัพท์ด้วย หลวงกาจฯ จึงยกหูโทรศัพท์ขึ้นฟังแล้วตอบไปว่า

"นี่ผมหลวงกาจฯ พูด"

มีเสียงตอบมา หลวงกาจฯ จำได้ว่าเป็นเสียงนายกรัฐมนตรี

"อ้อ คุณหลวงกาจฯ หรือ บ่าย ๒ โมงวันนี้ขอเชิญมาประชุึมที่ทำเนียบรัฐบาลหน่อย มีเรื่องทางภาคเหนือที่เกี่ยวกับทหารจีน ควรจะได้ปรึกษากัน"  

หลวงกาจฯ ตอบไปทันที่ว่า

"ผมจะไปประชุมตามกำหนดนั้น"

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายกับนายกรัฐมนตรี ก่อนที่หลวงกาจฯ จะถูกจับโดยรองอธิบดีกรมตำรวจที่ทำเนียบรัฐบาล  

รองอธิบดีกรมตำรวจถือปืนพกรีวอลเวอร์จ่อตรงศีรษะหลวงกาจฯ แล้วกล่าวว่า

"โดยราชการ ข้าพเจ้าขอจับท่านบัดนี้"  

หลวงกาจฯ ถามว่า จับเรื่องอะไรกัน ตอบว่า จับฐานขบถ ถามว่า มีหลักฐานอะไรหรือ ตอบอย่างสั้นคำเดียวว่า มี ถามว่า ขอให้พอไปพบนายกรัฐมนตรีหน่อยได้ไหม ตอบ ไม่ได้ ไม่ยอมให้ไปพบ หลวงกาจฯ ว่า ถ้าเช่นนั้นจะเอาตัวไปไหนก็เอาไป

หลวงกาจฯ ถูกคุมขังไว้ที่ตึกใหญ่ในวังปารุสกวันชั้นบน  ห้องนี้ธรรมดาจัดไว้สำหรับนายสิบตำรวจนอน สกปรกมาก  สามชั่วโมงหลังจากที่หลวงกาจฯ ถูกส่งมาขังที่นี่ มีผู้มาตามหลวงกาจฯ ไปพบรองอธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งอยู่ที่ห้องทำงานชั้นบนของตึกในวังปารุสกวันเหมือนกัน  รองอธิบดีถามว่า จะไปอยู่ที่ใดในต่างประเทศ คำตอบของหลวงกาจฯ คือ แล้วแต่จะให้ไป ไปอังกฤษ สวิส ฝรั่งเศส อเมริกา ปีนัง หรือสิงคโปร์ ก็ได้

แต่ในที่สุด  ข่าวสารที่หลวงกาจฯ ได้รับในคืนวันนั้นคือ ทางการจะส่งตัวไปอยู่ฮ่องกง พรุ่งนี้ ๗ โมงเช้า จะต้องออกเดินทางจากวังปารุสกวัน

หลวงกาจฯ รำพึงกับตนเองว่า

วโส อิสสิรยฺ โลเก

อำนาจเป็นใหญ่ในโลก


เก็บความจาก หนังสืออนุสรณืในงานรับพระราชทานเพลิงศพ พลโท กาจ กาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง) ปช.,ปม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๑๐


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 10, 16:51
เห็นภาพชัดปาน DVD ทีเดียวค่ะ คุณเพ็ญชมพู :D

เกิดสมัยนั้น ต่อให้เป็นคนใหญ่คนโต ก็เหมือนไต่เชือกข้ามเหวกันทุกคน
เสียศูนย์เมื่อไร ก็ร่วงลงไปได้ทั้งนั้น

อ้อ  ไม่ลืมให้กิ๊ฟ นะคะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 09 ส.ค. 10, 19:20
มีเหตุการณ์เล็กๆเหตุการณ์หนึ่ง ที่ท่านกูรูใหญ่กว่ายังไม่ได้เขียนถึง  อาจเห็นว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาลจอมพลป. 2 ที่สอบตกไม่ได้ขึ้นชั้นป. 3  หรือท่านกำลังซุ่มเขียนอยู่ก็ไม่แน่   ดิฉันขอเดาว่าไม่ได้ซุ่มเพราะท่านเลยมาถึงกบฏสันติภาพปี 2495 แล้ว  
แต่ถ้าดิฉันไปตัดหน้าท่านก็ขออภัยด้วย  จะลบหรือจัดคิวใหม่ให้ไม่ต้องวอรี่

    เหตุการณ์นั้นคือรัฐประหาร  29 พฤศจิกายน 2494   เป็นรัฐประหารกะจ้อยร่อย  เงียบเชียบเรียบร้อยเสียจนนักประวัติศาสตร์เกือบจะลืมว่ามันมีตัวตนอยู่จริง
   รัฐประหารครั้่งนี้ไม่มีอะไรมาก    ตื่นขึ้นมาเช้าวันที่ 29 พ.ย.  ประชาชนก็ได้ยินประกาศจากสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย  เป็นคำแถลงว่า...
   บัดนี้คณะนายทหารส่วนใหญ่จากคณะรัฐประหาร พ.ศ. 2490 อาทิ เช่น พลเอกผิน ชุณหะวัณ พันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นต้น ได้กระทำการยึดอำนาจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อผดุงไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศชาติ จากภัยคอมมิวนิสต์ที่กำลังคุกคามอย่างรุนแรง โดยเรียกตัวเองว่า "คณะบริหารประเทศชั่วคราว" และได้ความร่วมมือจากทั้ง 3 กองทัพ และตำรวจ ซึ่งมีคำปรารภในการรัฐประหารครั้งนี้ว่า
    เนื่องจากสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันตกอยู่ในความคับขันทั่วไป  ภัยแห่งคอมมิวนิสต์ได้ถูกคุกคามเข้ามาอย่างรุนแรง ในคณะรัฐมนตรีปัจจุบันนี้ก็ยังดี ในรัฐสภาก็ดี มีอิทธิพลของคอมมิวนิสต์เข้าแทรกซึมอยู่เป็นมาก  แม้ว่ารัฐบาลจะทำความพยายามสักเพียงใด ก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ได้ ทั้งไม่สามารถปราบการทุจริตที่เรียกว่า คอร์รับชั่นดังที่มุ่งหมายว่าจะปราบนั้นด้วย ความเสื่อมโทรมมีมากขึ้น จนเป็นทีวิตกกันทั่วไปว่า ประเทศชาติจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในสถานการณ์การเมืองอย่างนี้
   จึงคณะทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คณะรัฐประหาร พ.ศ. 2490  พร้อมด้วยประชาชนผู้รักชาติ มุ่งความมั่นคงดำรงอยู่แห่งชาติ ศาสนา  พระมหากษัตริย์บรมราชจักรีวงศ์ และระบอบรัฐธรรมนูญ ได้พร้อมกันเป็นเอกฉันท์ กระทำการเพื่อนำเอารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475 กลับมาใช้ให้เป็นความรุ่งเรืองสถาพรแก่ประเทศชาติสืบไป  
       ประชาชนงงเป็นไก่ตาแตก  หันหน้าเข้าถามกันว่ามันอะไรกันนี่  ผ่านไปวันสองวันก็ได้คำตอบว่า จอมพลป. นายกรัฐมนตรี ท่านรัฐประหารตัวเองน่ะไม่มีอะไรมาก      หลังรัฐประหารท่านก็ยังนั่งเก้าอี้ตัวเดิม   มีพลต.อ.เผ่าเป็นอธิบดีตำรวจเหมือนเดิม "คณะบริหารประเทศชั่วคราว"  ก็ค.ร.ม.คณะเดิม    
       อย่างเดียวที่ไม่เหมือนเดิมคือรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2492 ที่ใช้กันอยู่ถูกฉีกทิ้ง   หันกลับไปใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรก
           รัฐประหารครั้งนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการกระทำที่ประหลาดที่สุดในโลก และเป็นเหตุให้พรรคฝ่ายค้าน เช่น พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศคว่ำบาตรรัฐบาลทุกด้าน เช่น ไม่ร่วมเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2495 เป็นต้น
        สาเหตุนั้นนักประวัติศาสตร์เจาะลึกกันไปลงหลายด้าน    แต่พอสรุปได้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2492 ค่อนข้างจะให้เสรีภาพมากเกินไป    จนรัฐบาลอึดอัดขัดใจในการบริหารงานหลายๆเรื่องว่าไม่สะดวกราบรื่น   ขนาดโจรจีนมลายูช่วยลดจำนวนส.ส. ไปหลายคนแล้วก็ยังไม่สะดวกอยู่ดี    จึงหันกลับไปใช้่รัฐธรรมนูญฉบับเดิมที่ให้อำนาจผู้บริหารประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ   จะได้ไม่มีใครหือขึ้น  แต่จะประกาศใช้เฉยๆก็ทำไม่ได้  จึงต้องรัฐประหารเสียก่อนให้ถูกหลักการ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 09 ส.ค. 10, 21:23

ผมขอเวลาอีกสักเล็กน้อยที่จะเดินกระทู้ต่อนะครับ ระหว่างนี้ขอส่งบทความดีๆ ที่สะท้อนให้เห็นบ้านเมืองในยุคจอมพลป.2ได้อย่างสรุป ผู้เขียนบันทึกคือนายราชัน กาญจนะวณิช อดีตเสรีไทยสายอเมริกา ท่านผู้นี้เป็นวิศวกรเหมืองแร่ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของภูเก็ต ท่านเล่าเหตุที่ท่านไปอยู่ที่นั่นเป็นบทนำในเรื่องของท่าน ลองอ่านดูนะครับ

ทุพพลภาพ
ราชัน กาญจนะวณิช
-----------------

นับตั้งแต่ผมกลับมาเข้ารับราชการในประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2490 เหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้รู้สึกว่าไม่มีความสงบในวงราชการของไทย ในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ได้มีรัฐประหารโดยคณะทหารร่วมกับนักการเมืองอนุรักษ์นิยมซึ่งได้ทำให้วงราชการปั่นป่วนยิ่งขึ้น เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ก็ย่อมีการเปลี่ยนตัวอธิบดีและข้าราชการสำคัญ ๆ ไปด้วย วงการเมืองของไทยแตกเป็นสี่ก๊ก คือฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ร่วมกับหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ฝ่ายคณะรัฐประหาร ฝ่ายอนุรักษ์นิยมของนายควง อภัยวงศ์ซึ่งประกอบด้วยข้าราชการเก่าและนักการเมืองใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ และคณะทหารฝ่ายจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยที่ทั้งสามฝ่ายหลังได้พยายามกำจัดอิทธิพลฝ่ายแรก รวมทั้งหัวหน้าเสรีไทยจากภาคอีสานที่สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์
 
ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2491 ได้มีการปราบปรามนายทหารเสนาธิการที่พยายามเปลี่ยนระบบทหารไม่ให้เข้าไปค้าขาย และต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 ก็มีการพยายามล้มอำนาจรัฐบาลที่เรียกกันว่า กบฏวังหลวง จนกระทั่งได้เกิดฆาตกรรมอดีตรัฐมนตรี 4 นายและบุคคลสำคัญอื่น ๆ อีก 2-3 นาย เมื่อกำจัดอำนาจของนายปรีดี พนมยงค์ได้สำเร็จแล้ว คณะรัฐประหารก็ลงมือปราบปรามกองทัพเรือ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 เพราะกองทัพเรือไม่สนับสนุนคณะรัฐประหาร

ความแตกแยกในคณะรัฐประหารเองก็เริ่มเป็นรอยร้าวมากขึ้น เพราะการใช้อำนาจแย่งกันทำมาหากินโดยมิชอบ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2493 จอมพลผิน ชุณหวัณ และพลเอกเผ่า ศรียานนท์ ในสำนักราชครูจึงได้ชักชวนให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลเอกสฤษดิ์ ธนรัตน์ จับหลวงกาจสงครามส่งตัวออกนอกประเทศ
การปราบปรามกองทัพเรือนั้นปิดฉากลงในช่วง 29 มิถุนายน ถึง 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 เมื่อเกิด กบฏแมนฮัตตันขึ้น คณะรัฐประหารจึงมีอำนาจเด็ดขาดในระยะต่อมา

ผมเดินทางมาฝึกหัดงานที่ภูเก็ตในต้นเดือนกรกฎาคม ในระหว่างที่เหตุการณ์ยังไม่สงบดี และรีบไปรายงานความเคลื่อนไหวทางการเมืองให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตทราบเพราะเคยทำงานร่วมกันมาในระหว่างสงคราม ภายในปีเดียวกันนั้นเองก็มีเครื่องบินของทางราชการขนยาเสพติดไปส่งขึ้นเรืออเมริกันที่ข้างสนามบินไม้ขาว นายเหมืองชาวภูเก็ตคนหนึ่งได้ออกไปช่วยเหลือ จนได้แหวน “เกียรติยศ” เป็นเครื่องตอบแทน ผู้ว่าเองก็บอกว่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้

อย่างไรก็ดี หลังจากรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 มานั้น ประเทศไทยได้ใช้รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2492 เป็นหลัก ซึ่งยังเปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาวิจารณ์ความไม่ชอบธรรมของคณะรัฐมนตรีได้อยู่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 คณะรัฐประหารจึงได้ถือโอกาสในระหว่างที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงเสด็จกลับประเทศไทย ทำการรัฐประหารตัวเองทางวิทยุเพื่อล้มอำนาจรัฐสภาและพระราชอำนาจ กลับมาใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 โดยมีสมาชิกสภาประเภท 2 ขึ้นอีก บรรดาข้าราชการประจำที่ขวนขวายจะก้าวหน้าในตำแหน่งหรือหาทรัพย์สินจึงต้องเข้าไปอยู่ในอาณัติหรือสังกัดของผู้นำคณะรัฐประหารคนหนึ่งคนใดเพราะทหารและตำรวจได้เข้าไปแทรกแซงในหน่วยราชการ การธนาคาร และบริษัทการค้าต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

ในสภาวะทางการเมืองเช่นนี้ ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องรับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ และไม่ต้องเข้าไปอยู่ใต้อำนาจของผู้นำคณะรัฐประหารคนหนึ่งคนใด เพื่อน ๆ ของผมที่มีการศึกษาดี ก็ยังทนทานอิทธิพลของผู้ใหญ่ที่ชอบทำมาหากินโดยมิชอบในยุคนั้นไม่ได้ การย้ายมาอยู่ภูเก็ตจึงเป็นการหลีกภัยมาหาความสงบ อย่างน้อยก็จนกว่าความผันผวนทางการเมืองและความเสื่อมโทรมทางจริยธรรมจะบรรเทาลง………….



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ส.ค. 10, 09:09
ไหนๆคุญเพ็ญชมพูก็เอาดีวีดีมาฉายให้ท่านผู้อ่านดูตอนจบของหลวงกาจแล้ว ผมจะขอย้อนไปเก็บตอนต้นมาเล่าให้ฟังเพิ่มอีกสักหน่อย

หลวงกาจสงครามมีชื่อปรากฏในทำเนียบนักการเมืองตั้งแต่สมัยปฏิวัติ2475 ตอนนั้นเป็นนายร้อยเอก เมื่อเกิดกบฏบวรเดช หลวงกาจได้รับคำสั่งให้คุมทหารขึ้นรถไฟไปแนวหน้า พอดีฝ่ายกบฏส่งหัวรถจักรเปล่าๆที่เรียกว่าตอร์ปิโดบกลงมาปะทะขบวนรถทหารรัฐบาลที่วิ่งขึ้นไป ลงเค้เก้ไปข้างทางทหารเสียชีวิต2นาย บาดเจ็บระนาว หลวงกาจกระเด็นตกรถไฟหน้าแหวะต้องตัดหูทิ้งไป1ข้าง จึงได้ฉายาใหม่ว่านายพันหูเดียว เวลาถ่ายรูปจะต้องเอียงข้างหล่อให้ถ่าย

เสร็จศึกได้รางวัลปลอบใจให้ไปเป็นใหญ่ในกรมอากาศยานที่กำลังปรับขึ้นเป็นกองทัพอากาศ เพราะผลจากกบฏบวรเดชทำให้นายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่หลายคนมีอันจะต้องเป็นไป ถูกปลดจากราชการกันระนาว จึงได้เลื่อนยศพรวดๆขึ้นไปเป็นนาวาอากาศเอก ตำแหน่งเสนาธิการกองทัพอากาศ ทำให้เกิดขัดแย้งกับนายทหารอากาศแท้ๆมากมายแต่ก็ทนอยู่ได้ กระทั่งได้คั่วตำแหน่งผู้บัญชาการอยู่แล้ว หลวงกาจก็เอาเครื่องบินทิ้งระเบิดมาร์ตินที่จอมพลป.เห่อมากเพราะสั่งเข้ามาใหม่ๆ ไปตกเสียหายยับเยินข้างรันเวย์ระหว่างร่อนลง หนังสือพิมพ์โจมตีว่าเครื่องบินถูกนำไปใช้ในภารกิจส่วนตัวไม่เป็นที่เปิดเผย หลวงกาจยอมรับและบอกว่าจะให้หักเงินเดือนตนเองใช้หลวงแต่ก็ถูกท่านผู้ชมโห่กันเกรียว เพราะแม้ว่าจะหัก100%ทุกเดือนจนตายก็ยังไม่ได้ครึ่งค่าเครื่องบินลำนั้น หลวงกาจจึงถูกย้ายออกจากกองทัพอากาศ แต่โดยปรานีให้ไปเป็นอธิบดีกรมศุลกากร

หลวงกาจเป็นที่โปรดปรานของจอมพล.ป ได้เป็นรัฐมนตรีในคณะหลวงพิบูลบ่อยครั้ง และสนิทกับนายปรีดีด้วยจนถึงขั้นร่วมมือกันก่อตั้งขบวนการเสรีไทยสายในประเทศเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ได้ลาออกจากรัฐมนตรีและลักลอบเดินทางไปจีนด้วยเรื่องของเสรีไทยจนจบสงครามจึงได้กลับมาบ้าน

หลวงกาจเป็นคนแรกที่คิดจะทำรัฐประหารในปี2490 ถึงขนาดร่างรัฐธรรมนูญไว้แล้วและซ่อนไว้ใต้ตุ่มแดงดังที่เล่ากันในกระทู้ก่อนๆ เมื่อชวนจอมพลผินกระทำการสำเร็จแล้ว หลวงกาจได้ไปบังคับอธิบดีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังขอเบิกเงิน8ล้านบาทเป็นค่าทำรัฐประหาร กลายเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาปฏิเสธ ต่อมารัฐบาลควงจำเป็นต้องอนุมัติเงินจำนวนนี้ให้ถูกต้องตามกฏหมายไป หลังรัฐประหาร หลวงกาจได้เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พอหนังสือพิมพ์ขอสัมภาษณ์เรื่องการได้รับเลื่อนยศทีเดียวจากพันเอกเป็นพลโท  หลวงกาจก็ประกาศอมตะวาจาด้วยเสียงอันดังฟังชัดว่า “ใครอยากได้เลื่อนยศเร็ว ก็ทำรัฐประหารเอา”
ต่อมาหลวงกาจก็ตกม้าตายเพราะใช้อำนาจเบิกเงินจากกระทรวงการคลังอีก อ้างว่าจะเอาไปใช้จ่ายในกองทัพ แต่หลวงกาจเอาเงินดังกล่าวไปแลกเงินปอนด์กับเงินรูปีในตลาดมืดเสียก่อนที่จะเอาเงินสองสกุลนั้นมาคืนให้กลาโหมในอัตราแลกเปลี่ยนที่รัฐบาลกำหนด ทำให้หลวงกาจได้กำไรไปจากส่วนต่างอันนี้ถึง3,738,030.00บาท เลยโดนวุฒิสมาชิกตั้งกระทู้ถามในสภาและรัฐมนตรีกลาโหมต้องยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบจริง ต่อมากระทรวงกลาโหมได้สั่งระงับการแลกเปลี่ยนและสั่งตั้งกรรมการสอบสวน ปรากฏว่ากรรมการมีมติว่าหลวงกาจผิดจริงให้ดำเนินคดี แต่เรื่องไปดองอยู่ที่กรมพระธรรมนูญและกรมอัยการนานและกลับความเห็นว่าไม่สั่งฟ้อง

หลวงกาจเลยรอดคดีอาญาไป
แต่โทษที่โฉ่งฉ่างให้เขาจับได้ ทำความอับอายให้คณะรัฐประหารยังมีอยู่ ไล่เรี่ยกันนั้นหลวงกาจจึงโดนจอมพลป.ปลดออกจากราชการและโดนเนรเทศดังเนื้อความตามกระทู้ก่อนหน้านี้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ส.ค. 10, 14:06
เสร็จศึกได้รางวัลปลอบใจให้ไปเป็นใหญ่ในกรมอากาศยานที่กำลังปรับขึ้นเป็นกองทัพอากาศ เพราะผลจากกบฏบวรเดชทำให้นายทหารอากาศชั้นผู้ใหญ่หลายคนมีอันจะต้องเป็นไป ถูกปลดจากราชการกันระนาว จึงได้เลื่อนยศพรวดๆขึ้นไปเป็นนาวาอากาศเอก ตำแหน่งเสนาธิการกองทัพอากาศ ทำให้เกิดขัดแย้งกับนายทหารอากาศแท้ๆมากมายแต่ก็ทนอยู่ได้ กระทั่งได้คั่วตำแหน่งผู้บัญชาการอยู่แล้ว หลวงกาจก็เอาเครื่องบินทิ้งระเบิดมาร์ตินที่จอมพลป.เห่อมากเพราะสั่งเข้ามาใหม่ๆ ไปตกเสียหายยับเยินข้างรันเวย์ระหว่างร่อนลง หนังสือพิมพ์โจมตีว่าเครื่องบินถูกนำไปใช้ในภารกิจส่วนตัวไม่เป็นที่เปิดเผย หลวงกาจยอมรับและบอกว่าจะให้หักเงินเดือนตนเองใช้หลวงแต่ก็ถูกท่านผู้ชมโห่กันเกรียว เพราะแม้ว่าจะหัก100%ทุกเดือนจนตายก็ยังไม่ได้ครึ่งค่าเครื่องบินลำนั้น หลวงกาจจึงถูกย้ายออกจากกองทัพอากาศ แต่โดยปรานีให้ไปเป็นอธิบดีกรมศุลกากร

พล.อ.อ. ทวี จุลทรัพย์ ได้เล่าถึงหลวงกาจสงคราม ขณะดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพอากาศว่า

วันหนึ่งข้าพเจ้าเป็นนายทหารเวรประจำสนาม เห็นนักบินผู้หนึ่งนำเครื่องฮอว์คสามลงมา เสื้อที่สวมเป็นเสื้อสีเนื้อซึ่งผิดข้อบังคับการบิน ข้าพเจ้าก็เดินรี่เข้าไปข้างเครื่องบินเพื่อจะไปสอบสวนว่าเรื่องอะไรจึงได้อุตริสวมเสื้อสีเนื้อขึ้นไปทำการบิน พอเดินเข้าไปใกล้เครื่องจึงได้ทราบว่านักบินผู้นั้นคือเสนาธิการทหารอากาศ และเสื้อที่ข้าพเจ้าเห็นแต่ไกลว่าเป็นเสื้อสีเนื้อนั้น ความจริงไม่ใช่เสื้อ  แต่เป็นเนื้อจริง ๆ เสนาธิการมิได้สวมเสื้ออะไรเลย บินไปด้วยตัวล่อนจ้อนเช่นนั้นเอง ข้าพเจ้าก็ถามท่านว่า ท่านไม่หนาวดอกหรือ ท่านบอกว่า หนาวก็ต้องทน เพราะท่านจะไปนอกในวันสองวันนี้ ทราบว่าอากาศทางเมืองนอกหนาวมาก ดังนั้นท่านจึงทดลองทำการบินขึ้นไปสูงถึง ๓,๐๐๐ เมตร เพื่อทดลองความต้านทานของร่างกายของท่าน เพราะอากาศในขณะที่บินอยู่สูง ๓,๐๐๐ เมตรนั้นหนาวมาก และเครื่องบินสมัยนั้นเราทำการบินโดยไม่ปิดประทุน ท่านลงจากเครื่องบินน้ำมูกน้ำตาไหล เพราะหนาวมาก เรียกบรั่นดีมาแก้หนาวแล้วก็เดินกลับบ้าน

นี่แหละข้าพเจ้าจึงได้กล่้าวไว้แล้วว่า ท่านเป็นมนุษย์เหล็กจริง ๆ ....

คราวหนึ่งมีจ่าคนหนึ่งนำหมู่แล้วบินต่ำ พาลูกหมู่ขนดินตาย ตัวเองบาดเจ็บสาหัส ท่านไปเยี่ยมและด้วยความเสียดายเครื่องบินซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น ท่านก็บอกว่าบินเสียวินัยอย่างนี้แล้วทำให้คนอื่นตาย และของหลวงเสียหาย ควรจะยิงตัวตายเสียดีกว่าอยู่ จ่าผู้นั้นก็มิได้โต้ตอบประการใดเพราะผิดไปแล้ว ได้แต่ยกมือไหว้ท่านประหลก ๆ  ต่อมาไม่นานมีเหตุร้ายเกิดแก่ตัวท่านเอง โดยขณะที่ท่านทำการบินเครื่องมาร์ตินบอมเบอร์ ท่านได้นำเครื่องลงนอกสนาม เพราะเครื่องยนต์ดับปรากฏว่าเครื่องบินเครื่องนั้นเสียหายใช้การไม่ได้ ตัวท่านบาดเจ็บเล็กน้อย หมอพาไปตรวจที่ห้องพยาบาล เผอิญไปนอนอยู่ใกล้จ่าผู้นั้น จ่าทราบเรื่องเกี่ยวกับท่านนำเครื่องบินลงนอกสนาม ทำให้เครื่องเสียหาย จ่าคนนั้นก็บอกกับท่านว่า

"เสนาธิการครับ ปืนของผมได้เตรียมมาแล้วตามที่เสนาธิการได้สั่งเอาไว้ จะเอาไปใช้ก่อนก็ได้ครับ"


 ;D  ;D  ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 10 ส.ค. 10, 14:42
^
^
ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในห้องเรียนละก็ อยากจะกรี๊ดให้กับจ่าท่านนี้เหลือเกินค่ะ ;)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ส.ค. 10, 15:38
^
^
อนุญาตให้กรี๊ดได้ครับ ผมจะได้ถือโอกาสกระทืบเท้าเป่าปากพร้อมๆกันไปด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ส.ค. 10, 17:38
ยุคจอมพลป. 2  มีนักการเมืองดีๆพอจะหยิบยกมาชมกันได้บ้างไหมคะ?


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ส.ค. 10, 18:45
^
^
ผมถือว่าข้างบนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ประโยคคำถามแทนคำบ่นครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ส.ค. 10, 19:11
งั้นคำตอบก็คือเพลงนี้

http://www.youtube.com/watch?v=3t4g_1VoGw4

อย่างน้อยยุคจอมพลป. 2   เราก็ยังมีม.ร.ว.เสนีย์ และม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในวงการเมืองแล้วนะคะ
นึกอะไรไม่ออก บอก(ถึง)คึกฤทธิ์ ก่อนดีกว่า

ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดประเทศอังกฤษ  สาขาปรัชญา  เศรษฐศาสตร์และการเมือง  เข้าวงการเมืองเมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่ 2  ด้วยการก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ  “ก้าวหน้า”  เมื่อพ.ศ. 2488 
ต่อมาก็ยุบพรรคไปรวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการชักชวนจากนายควง  อภัยวงศ์  หัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ได้เป็นเลขาธิการพรรค 
อยู่ในสภา 2 ปี ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดนายควง  อภัยวงศ์  ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2490 พลโทผิน ชุณหะวัณ  ทำรัฐประหาร  แต่ยังไม่พร้อมจะจัดตั้งรัฐบาลของตนเองจึงไปชวนนายควง  อภัยวงศ์  กลับมาเป็นนายยกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอย  สั่งราชการกระทรวงการคลัง  แต่อยู่ได้เพียง 5 เดือน  จอมพลป.พิบูลสงคราม  ก็ขึ้นบริหารประเทศแทน         
16 กันยายน พ.ศ. 2491 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร  และลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพราะคัดค้านการขึ้นเงินเดิอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร  ในขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ยอมรัฐบาล 

ตลอดช่วงรัฐบาลจอมพลป. 2  และยุคต่อมา  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ออกจากวงการมาเฝ้าดูอยู่ขอบเวที     ตั้งหนังสือพิมพ์สยามรัฐขึ้นมา  เขียนนิยายและคอลัมน์ประจำลง   ผู้คนติดกันงอมแงมทั้งเมือง
ดิฉันยังเสียดายที่ท่านหวนกลับไปเล่นการเมืองอีกครั้ง  แม้จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 10 ส.ค. 10, 20:41
ด้วยความเคารพ ผมเห็นว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านเป็นอะไรก็เลิศทุกอย่าง ยกเวันอย่างเดียว คือเป็นนักการเมือง

เอาแค่เรื่องนี้นะครับ
อ้างถึง
จอมพลป.พิบูลสงคราม  ก็ขึ้นบริหารประเทศแทน         
16 กันยายน พ.ศ. 2491 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร  และลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพราะคัดค้านการขึ้นเงินเดิอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร  ในขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ยอมรัฐบาล


ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ลาออกจากส.ส.ครั้งนั้นถูกมองแต่แรกว่าอยากดังมากกว่าจริงใจ เพราะไม่นานจอมพลป.ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ก็มีชื่อม.ร.ว.คึกฤทธิ์เข้าไปเสียบเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์แทนคนในที่ถูกปลดออก ทั้งๆที่เป็นคนนอก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลุ่มส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไม่พอใจ ก่อหวอดประท้วงขึ้น เหตุผลคือม.ร.ว.คึกฤทธิ์คัดค้านการขึ้นเงินเดือนของส.ส.และลาออกจากส.ส.เป็นการประท้วง โดยแจ้งในใบลาออกว่าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ดังที่ประชาชนไว้วางใจให้กระทำได้ แต่แล้วไฉนจึงกลับมายอมร่วมเป็นรัฐมนตรีกับรัฐบาลที่ตนประท้วงอีกเล่า

เหตุการณ์ในการคัดค้านขยายตัวบานปลายไปใหญ่โต จนในที่สุดม.ร.ว.คึกฤทธิ์ทนความร้อนรุ่มไม่ไหว จึงต้องลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี มารู้ทีหลังว่าเสียทีเสือเฒ่าเข้าแล้ว จอมพลป.ยั๊วะมากตอนที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ลาออกจากส.ส.เพราะถือว่าหักหน้ากัน แต่อาศัยหน้านิ่ง ทิ้งระยะนิดนึงแล้วเอาตำแหน่งรัฐมนตรีเกี่ยวเบ็ดล่อเข้าไป ปลาตัวสำคัญก็ฮุบเหยื่อ หลังจากนั้นจอมพลป.ก็ขยิบตาให้ส.ส.ในพรรคออกมาประท้วง แฉโพยเสียจนม.ร.ว.คึกฤทธิ์เสียศูนย์ไปพักนึงเต็มๆ
 
เมื่อมาเล่นการเมืองในยุคหลังในนามพรรคกิจสังคม ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจหมาย แต่ได้ฉายาว่า เฒ่าสารพัดพิษ ไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่ ผมจึงว่าท่านอยู่เป็นปราชญ์ผู้พหูสูตรของประเทศน่ะ จะดีกว่ามากมายเลย

แต่เอ๊ะ ผมชักสงสัยเหมือนกันว่า มาตรฐานของนักการเมือง “ดีๆ” ของท่านอาจารย์เทาชมพูจะอยู่ที่แห่งใด ถ้าคิดว่า ถ้าอยู่ที่ไม่คดโกงอย่างเดียว นอกจากพี่น้องสองท่านแล้ว ก็คงมีหลายคนอยู่ และผมกำลังนึกถึงพวกรัฐมนตรีของรัฐบาลจอมพลป.ที่เป็นเทคโนแครต อย่างนายดิเรก ชัยนาม เป็นต้น มีกลายคนที่เก่งและสัตย์ซื่อมือสะอาด แต่พวกท่านเหล่านี้ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นนักการเมือง ที่สำคัญ คนประเภทนี้ก็ทนสังฆกรรมกับพวกนักการเมืองที่ปากอย่างใจอย่าง ทำอีกอย่าง ไม่ได้นาน เมื่อมาทำงานให้บรรลุเป้าหมายเฉพาะกิจแล้ว แล้วก็เปิดหมวกอำลา



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 10 ส.ค. 10, 21:03

แต่เอ๊ะ ผมชักสงสัยเหมือนกันว่า มาตรฐานของนักการเมือง “ดีๆ” ของท่านอาจารย์เทาชมพูจะอยู่ที่แห่งใด ถ้าคิดว่า ถ้าอยู่ที่ไม่คดโกงอย่างเดียว นอกจากพี่น้องสองท่านแล้ว ก็คงมีหลายคนอยู่ และผมกำลังนึกถึงพวกรัฐมนตรีของรัฐบาลจอมพลป.ที่เป็นเทคโนแครต อย่างนายดิเรก ชัยนาม เป็นต้น มีกลายคนที่เก่งและสัตย์ซื่อมือสะอาด แต่พวกท่านเหล่านี้ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นนักการเมือง ที่สำคัญ คนประเภทนี้ก็ทนสังฆกรรมกับพวกนักการเมืองที่ปากอย่างใจอย่าง ทำอีกอย่าง ไม่ได้นาน เมื่อมาทำงานให้บรรลุเป้าหมายเฉพาะกิจแล้ว แล้วก็เปิดหมวกอำลา

ไม่เรียกร้องคุณสมบัติอะไรมากค่ะ  เกรงว่าหาไม่ได้
เอาเป็นว่าไม่เคยได้ชื่อว่ากินหรือโกงก็พอแล้ว ข้อเดียว   น่าจะมีได้หลายคนนะคะ
อีกอย่างคือไม่จำเป็นต้องเป็นนายกฯอย่าง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช   เป็นรัฐมนตรีสักพักหนึ่งก็ได้ อย่างนายดิเรก ชัยนาม ที่คุณนวรัตนว่ามา


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 07:43
เผอิญคุณดิเรกเป็นในสมัยหลวงพิบูลน่ะครับ

แต่เมื่อโจทย์แคบลงเช่นนี้ ผมก็ย้อนกลับไปดูรายชื่อรัฐมนตรีคณะต่างๆในรัฐบาลป.2ตั้งแต่ต้น นี่ไม่ใช่ว่าผมพยายามจะทำตนเป็นตรายางประทับรับรองใครนะครับ แต่ผมคิดว่า ชุดแรกเลยหลังจากที่ทำรัฐประหารน่าจะเป็นค.ร.ม.ชุดที่ดีที่สุด ดีพอที่จะสยบกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจการรัฐประหารได้ รายชื่อข้างล่างความจริงผมก็ไม่ได้รู้ซึ้งในประวัติของแต่ละท่านทุกคน ที่รู้บางคนผมก็ไม่ได้ชอบเสียด้วย แต่เอาเถอะ การที่รายชื่อท่านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ใช่นักการเมือง ผมก็สันนิฐานไว้ก่อนว่าท่านเก่งอยู่ในวงการของท่าน แล้วถูกส่งเทียบไปเชิญมาให้ช่วยกู้บ้านกู้เมืองอะไรทำนองนั้น ลองดูชื่อซีครับ รัฐมนตรีเหล่านี้น่าจะเข้าสเปกที่คราวนี้ท่านอาจารย์เทาชมพูวางไว้อย่างหลวมๆหลายคนทีเดียว

ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2491 มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ดังนี้

1.   พลโท หลวงชาตินักรบ (ศุข นักรบ) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
2.   พลเรือตรี หลวงสินธาวณัติก์ (เหล่ว ทีปะนาวิน) เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
3.   พระยาโทณวนิกมนตรี (วิสุทธิ โทณะวณิก) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
4.   พลตรี หม่อมเจ้าปรีดิเทพพงษ์ เทวกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
5.   นายพจน์ สารสิน เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
6.   พระยาบริรักษ์เวชชการ (ไล่ฮวด ติตติรานนท์) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
7.   พันเอก หม่อมสนิทวงศ์เสนี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
8.   นาวาเอก หลวงประสิทธิ์จักรการ (พ้วน โหตรภวานนท์) เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
9.   พระยาพนานุจร (เปล่ง สาครบุตร) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
10.   พันเอก น้อม เกตุนุติ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
11.   พันเอก พระยาศรีพิชัยสงคราม (เจริญ จันฉาย) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
12.   พระยามไหสวรรย์ (กวย สมบัติศิริ) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
13.   จอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
14.   พระยาจินดารักษ์ (จำลอง สวัสดิ - ชูโต) เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
15.   นายเลียง ไชยกาล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
16.   พระมนูภาณวิมลศาสตร์ (ชม จามรมาน) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
17.   พลโทมังกร พรหมโยธี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
18.   นาวาอากาศเอก หม่อมเจ้ารังษิยากร อาภากร เป็นรัฐมนตรี
19.   นายกิจจา วัฒนสินธุ์ เป็นรัฐมนตรี
20.   นายเขมชาติ บุณยรัตพันธุ์ เป็นรัฐมนตรี
21.   นายเจ๊ะ อับดุลลา หลังปูเต๊ะ เป็นรัฐมนตรี
22.   นายปฐม โพธิ์แก้ว เป็นรัฐมนตรี
23.   นายฟื้น สุพรรณสาร เป็นรัฐมนตรี
24.   นายวรการบัญชา เป็นรัฐมนตรี
25.   นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรี
26.   นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีมีการแต่งตั้งเปลี่ยนแปลง คือ

•   วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491
o   พระยามไหสวรรย์ (กวย สมบัติศิริ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง
o   พลตรี เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แทน
•   วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 นาวาเอก หลวงประสิทธิ์จักรการ (พ้วน โหตรภวานนท์) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง
•   วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491
o   พระยาโทณวนิกมนตรี (วิสุทธิ โทณะวณิก) พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
o   พระยาพนานุจร (เปล่ง สาครบุตร) พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
o   พันเอก พระยาศรีพิชัยสงคราม (เจริญ จันฉาย) พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
o   นายเจ๊ะ อับดุลลา หลังปูเต๊ะ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี
o   หม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
o   พระช่วงเกษตรศิลปการ (ช่วง โลจายะ) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ
o   พลโท พระยาเทพหัสดิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
o   พลตรี สวัสดิ์ สวัสดิ์รณชัย สวัสดิเกียรติ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ
o   หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
•   วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2492 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 08:03
แต่ค.ร.ม.ชุด ป.2/1 ก็มีอายุยืนยาวไม่ถึงปี ก็เชิญทุกคนออกไปเกือบหมดแล้วแต่งตั้งบรรดาสมาชิกคณะรัฐประหารและพรรคพวกเข้ามาเต็มไปหมด ในค.ร.ม.ชุด ป.2/2 ผมเห็นชื่อที่พอจะน่าเชื่อว่าตรงสเป็กได้อยู่สองท่านคือ นายพจน์ สารสิน ที่ได้รับเทียบให้มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายสุกิจ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

แต่ก็อยู่ไม่นาน มีการปรับใหญ่ค.ร.ม.ทั้งคณะ ในชุด ป.2/3 ก็เห็นอยู่เพียงหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง  เพราะท่านเป็นเทคโนเครต

เมื่อปรับเปลี่ยนเป็นค.ร.ม.ชุด ป.2/4 นายสุกิจ นิมมานเหมินท์ ที่หลุดชุดป.2/3ก็กลับเข้ามาใหม่ในตำแหน่งเดิม

เมื่อปรับเปลี่ยนอีกทีเป็นค.ร.ม.ชุด ป.2/5 ก็มีพระนามเดียวที่ผมเห็นว่าตรงสเป็กคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
 
ส่วนท่านอื่นๆที่ผมมิได้เอ่ยถึง ลูกหลานที่เข้ามาอ่านก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจไปนะครับ คือผมไม่รู้จัก ไม่ทราบว่าท่านเข้ามาจนแต่ออกไปรวยหรือไม่ ถ้าใครคิดว่ามีคนอื่นที่ตรงสเป็กนี้อีกก็เชิญเสนอเข้ามาได้ ผมยินดีจะรับฟังครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 08:33
ขอบคุณสำหรับข้อมูลอันหาได้ยากค่ะ   อ่านแล้วก็รู้สึกว่าเป็นวงจรที่คุ้นๆยังไงชอบกล   เหมือนกับว่าถ้าเกิดรัฐประหารขึ้นมาทีไร  ค.ร.ม.ก็มักจะมีบุคคลภายนอกที่มีเกียรติน่าเชื่อถือเข้ามาเป็นความหวังของประชาชนว่า การบริหารจะดีขึ้น
อ้าว ก็ต้องดีขึ้นซีคะ   เพราะเหตุผลในรัฐประหารทุกครั้ง คือบ้านเมืองกำลังจะย่ำแย่ ประเทศเผชิญปัญหาหนักแก้ไม่ตก ถ้าไม่รัฐประหาร    รัฐนาวาก็มีสิทธิ์ล่ม
แต่สักพักบุคคลภายนอกเหล่านั้นก็พ้นตำแหน่งไป    แล้วก็มีใครที่ไม่ไกลตัวรัฐประหารเข้ามาแทนที่   มองในแง่ดีถือว่าท่านภายนอกเหล่านั้นมาแก้ปัญหาได้เรียบร้อยแล้วก็จากไป    มองในแง่ร้ายคือแขกรับเชิญก็งี้ละ  จะนั่งอยู่นานเท่าเจ้าของบ้านได้ไง

ทีนี้มาถึงคำถาม
กลับไปพลิกตำรารัฐประหาร พบว่าหลังกบฏสันติภาพ  2495   ก็ไม่มีรัฐประหารอะไรอีก 
เมื่อพิจารณาในด้านความมั่นคงตั้งแต่ 2496-2500  ก็ทำให้ดิฉันมองว่าจอมพลป. 2 ถือว่ามั่นคงจนไม่มีอะไรโยกคลอนได้   ค.ร.ม. ป.2/1-2-3-4-6 ฯลฯ  ปรับได้ก็ปรับกันไป เพราะท่านนายกฯก็ยังคนเดิม   มีสิทธิ์ขาดเหมือนเดิม   ใครหือขึ้นมาก็ถูกปราบปรามราบคาบไปหมด  ไม่ว่าทหารหรือพลเรือน  เสี้ยนหนามเดิมครั้งเสรีไทยก็ถูกถอนออกไปเกลี้ยงแล้ว
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ถึงกับเขียนเรื่อง โจโฉ นายกตลอดกาล   ให้คนอ่านได้ประจักษ์กัน   
ถ้าอย่างนั้น  ก็น่าสงสัยว่าอะไรทำให้จอมพลป. 2 ไม่อาจจะขึ้น ป. 3  ได้  ทั้งๆรูปการณ์เหมือนท่านจะพาสชั้นขึ้นมหาวิทยาลัยได้ไม่ยากเย็น

ดิฉันเคยเขียนไว้ข้างบนนี้ว่ามาจากทหารบก  แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจเสียแล้ว   ต้องรอคำเฉลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 09:18
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๐๐ วันครบรอบวันเกิด ๖๐ ปี ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้าอวยพรวันเกิดและนำลูกสุนัขตัวหนึ่งมอบให้เป็นของขวัญ พร้อมกล่าวว่าจะจงรักภักดีต่อจอมพล ป. เช่นเดียวกับสุนัขตัวนี้

๑๕ กันยายน ๒๕๐๐  พล.อ.สฤษดิ์ และคณะนายทหารในบังคับบัญชา ได้มีแถลงการณ์ขอให้ จอมพล ป. และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด

http://th.wikipedia.org/wiki/รัฐประหารในประเทศไทย_ พ.ศ._ 2500 (http://th.wikipedia.org/wiki/รัฐประหารในประเทศไทย_ พ.ศ._ 2500)


นี่หรือคือสุนัข            ที่บอกรักและภักดี
ขุนเลี้ยงจนอ้วนพี       แท้งูพิษฤทธิ์ร้ายแรง


 ;D




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 09:31
คุณเพ็ญฯมาเฉลยบางส่วนเสียแล้ว

คำถามคือ รัฐบาลจอมพลป. มีจุดอ่อนให้รัฐประหารได้  ทั้งๆมีกองทัพตำรวจหนุุนหลัง    หรือว่าไม่ได้อ่อน แต่ฝ่ายรัฐประหารแข็งกว่า?
ที่ดิฉันสนใจคือจอมพลสฤษดิ์หรือพลเอกสฤษดิ์ในยุคปลายรัฐบาลจอมพลป. 2  เติบโตมาอย่างไร  พลต.อ.เผ่าถึงต้องแพ้ในรัฐประหาร โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อกันเลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 11 ส.ค. 10, 09:45
ที่คุณเพ็ญชมพูกรุณาเล่าเรื่องลูกสุนัขทำให้นึกถึงสำนวนจีนที่โกวเล้งชอบใช้ในนิยายบ่อยๆ ว่า สุนัขป่าไปอวยพรไก่..

หน้าตายิ้มแย้ม แต่อยากจับกินจะแย่อยู่แล้ว..


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 09:56
จากกระทู้ข้างบนเห็นจะต้องอ่านอะไรยาวๆหน่อยแล้วละครับ

แรกๆก็ยินยอมให้จอมพลป.จัดตั้งรัฐบาลดรีมทีมอย่างว่า แต่อยู่ๆไปทั้งเงินและอำนาจที่เบ่งบานของกลุ่มผิน-เผ่า ก็สามารถต่อรองหนุนให้กลุ่มซอยราชครูเข้าไปเป็นรัฐมนตรีได้ถึง4คน6ตำแหน่ง นอกจากพล.อ.ผินผู้บัญชาการทหารบกจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรแล้ว ยังมีพต.ต.ศิริ ศิริโยธินเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร พล.ต. ประมาณ อดิเรกสารเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์อธิบดีกรมตำรวจควบรัฐมนตรีอีกสองตำแหน่งคือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง  หลังผ่านเหตุการณ์กบฎหลายครั้งจนการเมืองเริ่มจะนิ่งพล.ต.อ.เผ่าเห็นว่าสถานะของกลุ่มตนพร้อมแล้ว ก็ล็อบบี้ขอปรึกษาคณะรัฐประหารที่เป็นเงาอยู่หลังจอมพลป.ให้สนับสนุนพล.อ.ผินขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจะได้ไหม พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์รองผู้บัญชาการทหารบกที่คุมกำลังทหารหน่วยสำคัญอยู่รู้ข่าวเข้าหูก่อน จึงได้เรียกประชุมตัดหน้ากับผู้นำทหารเป็นการลับ มีซี.ไอ.เอ.เท่านั้นที่ได้ล่วงรู้ และบันทึกรายงานไปอเมริกาว่า ทหารไม่เอาด้วย และผู้ร่วมประชุมให้มีตัวแทนไปแจ้งมตินี้แก่ผู้บังคับบัญชาทั้งหลายในภูมิภาคต่างๆด้วย เมื่อกลุ่มผิน-เผ่าเช็คกำลังพลแล้วก็เข้าใจ ยอมรอออกไปก่อนโดยไม่กำหนด

สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ไม่ใช่ว่ามือเก๋าอย่างจอมพลป.จะไม่รู้สึก ดังนั้นเมื่อโดนเผ่าขอตำแหน่งจอมพลให้พ่อตาหลายทีเข้า ก็เลยตั้งทีเดียวซะ3คนรวดเลย นอกจากจอมพลผินแล้ว ยังมีจอมพลอากาศฟื้น รณนภากาศ ในฐานะที่ท.อ.ได้รับเครื่องบินฝูงใหม่ๆสดๆที่อเมริกาเพิ่งจะโล๊ะทิ้ง คราวนี้จะสั่งให้ทิ้งระเบิดใส่กันเองที่ไหนก็จะได้แม่นยำขึ้น ไม่เหมือนคราวที่แล้วกะจะทิ้งขู่ๆดันพลาดไปโดนจุดตาย และมีแถมจอมพลเรือหลวงยุทธศาสตร์โกศลผู้แทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลยก็ได้เป็นกับเขาด้วย ทั้งที่กองทัพเรือถูกเด็ดครีบเด็ดหางเสียเดี้ยงไปแล้ว สงสัยในสังคมทหารทั่วโลกตอนนั้นคงจะขำกลิ้งกับข่าวแต่งตั้งนี้ เพราะขนาดมหาอำนาจบางประเทศยังไม่มีนายทหารยศจอมพลสักคนเดียว นี่พี่ไทยล่อเข้าไป4  แต่ไม่รู้ละ มันทำให้จอมพลป.อุ่นใจขึ้นก็แล้วกัน เพราะเมื่อก่อนแท่นนายกของตัวมี2ขา บัดนี้เพิ่มเป็น4ขา แต่ขยับๆดูขาที่เพิ่มขึ้นมาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเวิกค์สักเท่าไร ฉะนั้นจอมพลป.จึงต้องหาหลักสักตัวหนึ่งมาค้ำไว้ด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 10:02
หลักตัวนี้คืออเมริกาที่จอมพลป.แตะๆไว้นานแล้ว จากการยอมประกาศให้ประเทศไทยสังกัดค่ายประเทศเสรีประชาธิปไตย แม้จะทำให้สูญเสียเสรีภาพในการดำเนินนโยบายโดยอิสระ ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดได้อย่างที่เคย ประเทศคอมมิวนิสต์ก็ออกอากาศด่าไทยลอยมาตลอดว่าเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกา เพราะยอมรับความช่วยเหลือทางการทหาร และให้อเมริกาส่งจัสแมค หรือที่ปรึกษาทางทหารและเศรษฐกิจเข้ามาตั้งบ.ก.ในกรุงเทพ หลังจากส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลีแล้ว ช่วงหลังนี้ จอมพลป.ยึดอเมริกามั่นด้วยการนำไทยไปผูกกับมหาอำนาจฝ่ายตะวันตกอีกเปลาะหนึ่งในการร่วมเป็นสมาชิกในองค์การซีอาโต้ ที่มีพันธกรณีย์ในการร่วมรบหากประเทศในกลุ่มถูกรุกรานจากประเทศคอมมิวนิสต์ จอมพลป.ถึงกับแถลงด้วยตนเองว่า หากประเทศไทยถูกรุกรานจากประเทศคอมมิวนิสต์ ไทยก็จะยอมให้อเมริกาส่งทหารเข้ามาช่วยต่อต้าน นี่เป็นอีกข้อหาหนึ่งที่ฝ่ายซ้ายได้โจมตีจอมพลป.ว่าเป็นนักขายชาติ ตอนโน้นขายให้ญี่ปุ่นก็ทีนึง ตอนนี้ขายให้อเมริกาอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฐานะของไทยก็ดูดีขึ้นในสายตาของมหาอำนาจตะวันตก ถึงตอนนี้ฝรั่งก็ลืมไปแล้วเรื่องจอมพลป.เคยร่วมเป็นพันธมิตรสงครามกับญี่ปุ่น จึงจัดทัวร์ให้ตนเองเดินทางรอบโลกในฐานะนายกรัฐมนตรีไปเยี่ยมชมกิจการต่างๆใน17ประเทศ ทั้งเอเซีย อเมริกาและยุโรปอย่างเป็นทางการสองเดือนกว่าตั้งแต่14เมษายนถึง22 มิถุนายน2498 กลับมาแล้วถึงกับฟิตใหญ่โตในเรื่องของประชาธิปไตยดังที่ผมจะเล่าต่อไปในฉากหน้า

แต่อยากจะบอกตอนจบว่า เซียนอั้งม้ออย่างอเมริกาหรือจะเล่นไพ่หน้าเดียว เขาถือถือไพ่ทั้งเผ่าและสฤษดิ์อยู่ในมืออยู่แล้ว ทั้งสองคนนั้น อเมริกาได้มาคราวที่ติดอาวุธหนักเบาให้ทั้งกองทัพบกและกองทัพตำรวจ เป็นของเล่นในเกมแห่งอำนาจ นี่อเมริกาได้จอมพลป.มาเสียบไว้เป็นไพ่บนมืออีกใบหนึ่ง ก็นั่งยิ้มรอดูสถานะการณ์ไป ถึงตรงนี้ยังไงก็ไม่มีขุนพลคนอื่นจะปฏิวัติเอารัสเซียหรือจีนเข้ามามีบทบาทในเมืองไทยเหมือนดังในเวียตนามหรือเกาหลีได้ ดังนั้นที่จอมพลป.หวังพึ่งว่าอเมริกาจะค้ำตนให้อยู่ในอำนาจชั่วกาลนานนั้น ถึงเวลาเข้าจริงๆ อเมริกากลับเลือกเล่นไพ่ตัวสฤษดิ์ เพราะชัวร์กว่า ก่อนพล.อ.สฤษดิ์จะปฏิวัตินั้น ได้หารือกับอเมริกาแล้ว อเมริกาบอกว่าขอวางตัวเป็นกลาง ซึ่งก็เท่ากับเปิดไฟเขียวให้รถถังทหารบกชิงวิ่งออกมาจากฐานได้ก่อนรถถังของตำรวจ
จอมพลป.และเผ่าจึงต้องกระเจิงไป


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 10:05
ที่คุณเพ็ญชมพูกรุณาเล่าเรื่องลูกสุนัขทำให้นึกถึงสำนวนจีนที่โกวเล้งชอบใช้ในนิยายบ่อยๆ ว่า สุนัขป่าไปอวยพรไก่..

หน้าตายิ้มแย้ม แต่อยากจับกินจะแย่อยู่แล้ว..

พลเอกสฤษดิ์อุ้มสุนัขไปอวยพรวันเกิดจอมพลป.    ;D ;D   จอมพลป.ไหวทันหรือเปล่าว่า ท่านเกิดปีไก่     ท่านพลเอกเล่นอุ้มสุนัขมาส่งให้ไก่  แล้วไก่จะเหลืออะไร   
ใครอยากรู้  ลองอุ้มหมาไปใส่ในกรงไก่ดูเป็นตัวอย่าง   อย่าเอาหมาชิสุนะคะ   เอาหมาไทยก็ได้  ไม่ต้องถึงขั้นบางแก้วหรอก
ส่วนคำอวยพร ก็แค่คำอวยพร  :(


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 10:09
เอารูป ใครจะกินใคร มาประกอบ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 10:11
การไปทัศนศึกษาและได้พบปะพูดคุยกับคนระดับผู้นำทั่วโลกครั้งนั้นได้เปิดหูเปิดตาให้จอมพลป.ได้มาก ถึงกับปิ๊งขึ้นมาว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต่างหากที่จะทำให้ชาติอยู่รอด และพลังประชาชนเท่านั้นที่จะช่วยพยุงบัลลังก์ของตนได้ กลับมาคราวนี้จึงได้เริ่มฟื้นฟูภาพพจน์ในการเป็นนักประชาธิปไตยของตนเป็นการใหญ่ เริ่มจากการให้อิสระเสรีแก่หนังสือพิมพ์ด้วยการจัดรายการ “เพรสคอนเฟอร์เรนส์” หรือนายกพบสื่อสัปดาห์ละครั้ง และเผยว่ารัฐบาลจะจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นใหม่โดยตนเองจะลงเลือกตั้งด้วย ข่าวนี้สร้างความฮือฮายกใหญ่ เพราะท่านผู้นี้เป็นนายกมาแล้วหลายสมัย และตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีที่ครองอำนาจ ไม่เคยลงเลือกตั้งเองแม้แต่ครั้งเดียว คนไทยจึงยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

ดังนั้นจอมพลป.จึงเสี่ยงดำเนินนโยบายสุดยอดที่คิดว่าจะได้ใจประชาชนก็คือ การอนุญาตให้มีไฮปาร์คที่ท้องสนามหลวง นัยว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนส่งเสียงสะท้อนความไม่พอใจต่างๆมายังรัฐบาลได้

หลักการของไฮปาร์คต้นแบบก็ดีจริงอยู่ เมื่อจอมพลป.ไปคราวนี้อังกฤษได้ไปเยี่ยมชมสวนสาธารณะใหญ่กลางกรุงลอนดอนในส่วนที่เขาจัดให้นักชอบพูดทั้งหลายไปยืนแสดงวาทะอะไรก็ได้ จะด่าว่ารัฐบาลไปถึงหมูหมากาไก่ก็เอา จะมีคนฟังหรือไม่มีคนฟังก็ว่าไป บางคนยืนพูดอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าก็มี ถือเป็นสิทธิเสรีภาพที่มนุษย์พึงระบายออกตามวิถีประชาธิปไตยได้ ตราบเท่าที่ไม่ไปกระทบกระเทือนสิทธิของผู้อื่น จอมพลป.ท่านเกิดความเลื่อมใสมากถึงกับอิมพอร์ตยี่ห้อไฮปาร์คมาเปิดที่ท้องสนามหลวง ประชาชนชาวกรุงเทพก็สนุกกันใหญ่เพราะเป็นเอนเทอร์เทนเมนต์แบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ปกตินั้นแค่นินทารัฐบาลในสภากาแฟนิ๊ดเดียว ตำรวจได้ยินเข้าก็จับเข้าตะรางแล้ว โอ้พระเจ้ายอช์จ นี่จะเปิดโอกาสให้ด่าฟรีๆกันยาวๆทีเดียว  ตอนแรกไฮปาร์คเปิดทุกบ่ายวันเสาร์ เรื่องก็เบาๆเช่นด่าแบบเรียนใหม่ของกระทรวงศึกษายังงิ๊ เรื่องตำรวจรีดไถชาวบ้านยังงิ๊ จอมพลป.ท่านก็พอใจมากสั่งให้ขยายออกไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดจัดไฮปาร์คให้คนพูดคนฟังด้วย

ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน จากที่พูดอาทิตย์ละครั้งก็กลายเป็นพูดทุกวันเพราะมีคนอยากจะระบายแยะ ดาวไฮปาร์คก็เพิ่มจากไม่กี่คนกลายเป็นหลายสิบคน เรื่องที่ด่าคนเล็กๆก็เลื่อนขั้นขึ้นไปด่าคนใหญ่ๆเข้าให้บ้าง คนฟังจากจำนวนพันก็เพิ่มเป็นจำนวนหมื่น วันสุดสัปดาห์ก็หลายหมื่น คนฟังชื่นชอบที่จะเห็นตัวด่าทั้งหลายกระทำการด่าทหารว่าเป็นเผด็จการทำลายประชาธิปไตย ด่าตำรวจ ด่าพล.ต.อ.เผ่าและบรรดาอัศวิน แบบแฉกันกระจะๆทั่งคดียิงทิ้ง ขังลืม ค้าฝิ่น ค้าธนบัตรปลอม

ถึงตรงนี้ก็พออ่านความคิดจอมพล.ปได้รางๆแล้วว่าต้องการจะเบรคใคร แต่พลังประชาชนเป็นของใหม่ที่จอมพล.ปยังไม่รู้จัก ไม่เคยเล่น การเปิดจุกขวดให้ยักษ์ออกมาแล้ว จะใช้ยักษ์ไปทำลายศัตรูไม่ใช่หันกลับมากระทืบคนเปิดจุกขวด จอมพลป.ยังไม่ซึ้งในศิลปะวิทยานี้เลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 10:15
หลักตัวนี้คืออเมริกาที่จอมพลป.แตะๆไว้นานแล้ว จากการยอมประกาศให้ประเทศไทยสังกัดค่ายประเทศเสรีประชาธิปไตย แม้จะทำให้สูญเสียเสรีภาพในการดำเนินนโยบายโดยอิสระ ไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใดได้อย่างที่เคย ประเทศคอมมิวนิสต์ก็ออกอากาศด่าไทยลอยมาตลอดว่าเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกา เพราะยอมรับความช่วยเหลือทางการทหาร และให้อเมริกาส่งจัสแมค หรือที่ปรึกษาทางทหารและเศรษฐกิจเข้ามาตั้งบ.ก.ในกรุงเทพ หลังจากส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลีแล้ว ช่วงหลังนี้ จอมพลป.ยึดอเมริกามั่นด้วยการนำไทยไปผูกกับมหาอำนาจฝ่ายตะวันตกอีกเปลาะหนึ่งในการร่วมเป็นสมาชิกในองค์การซีอาโต้ ที่มีพันธกรณีย์ในการร่วมรบหากประเทศในกลุ่มถูกรุกรานจากประเทศคอมมิวนิสต์ จอมพลป.ถึงกับแถลงด้วยตนเองว่า หากประเทศไทยถูกรุกรานจากประเทศคอมมิวนิสต์ ไทยก็จะยอมให้อเมริกาส่งทหารเข้ามาช่วยต่อต้าน นี่เป็นอีกข้อหาหนึ่งที่ฝ่ายซ้ายได้โจมตีจอมพลป.ว่าเป็นนักขายชาติ ตอนโน้นขายให้ญี่ปุ่นก็ทีนึง ตอนนี้ขายให้อเมริกาอีกแล้ว

จิตร ภูมิศักดิ์ เคยเล่าถึงประวัติตนเองที่มีประสบการณ์กับพวกจักรวรรดินิยมอเมริกาไว้ตอนหนึ่งสมัยที่เขารับทำงานแปลร่วมกับ ดร.วิลเลียม จอห์น เก็ดนีย์ (William John Gedney) ว่า

ต่อมาก็มีการแปลสุนทรพจน์ของผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในเมืองไทย เช่น ครั้งหนึ่ง อเมริกามอบหัวรถจักรดีเซลให้การรถไฟไทย จะจัดพิธีมอบ ในพิธีนั้นทางอเมริกากล่าวมอบ และทางไทยกล่าวตอบรับขอบใจ องค์การร่วมมือของอเมริกาก็จะส่งสำเนาคำปราศรัยของทั้งสองฝ่ายมาให้แปล ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ คำปราศรัยกล่าวมอบของฝ่ายอเมริกานั้น ต้องแปลออกเป็นภาษาไทย เพื่อเอาไปให้ รมต.คมนาคมไทยอ่านล่วงหน้าจะได้รู้ว่าผู้มอบจะพูดว่าอย่างไร ส่วนคำตอบรับของ รมต.ไทยนั้น ฝ่ายอเมริกาก็เขียนให้เสร็จเรียบร้อยแต่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าเป็นผู้แปลออกเป็นภาษาไทยที่ไพเราะสละสลวย ซึ่งองค์การร่วมมือของอเมริกาจะนำไปพิมพ์ดีดเรียบร้อยใส่ซองเตรียมไว้ใน รมต.ไทยอ่านตอบรับตามนั้น พูดง่าย ๆ ว่าอเมริกาต้องการจะให้ รมต.ไทยพูดสรรเสริญบุญคุณอย่างไรให้ประชาชนไทยฟัง ก็เขียนลงไป รมต.ไทย ต้อง อ่านตามนั้น ทำท่าเหมือนว่าตนเขียนมาอ่านเอง หรือเหมือนว่า ครม.ไทย ลงมติกันมาให้พูดเช่นนั้นเอง

อีกตัวอย่างหนึ่งคือคำปราศรัยของท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ซึ่งจะปราศรัยเกี่ยวกับปัญหาวัฒนธรรมในนามของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง ในโอกาสวันฉลองรัฐธรรมนูญ คำปราศรัยนั้นไม่เกี่ยวข้องกับอเมริกาเลย เป็นเรื่องของวัฒนธรรมไทยล้วน ๆ แต่ร่างคำปราศรัยกลับเขียนเป็นภาษาอังกฤษ องค์การ่วมมือของอเมริกาเป็นผู้ร่างและส่งมาให้สำนัก  ดร.เก็ดนีย์แปลออกเป็นภาษาไทย ข้าพเจ้าก็แปลและใช้ถ้อยคำให้สละสลวยสำหรับท่านผู้หญิงละเอียดเอาไปอ่านในวันงาน

เอกสารทำนองนี้มีอีกมาก แม้บริการข่าวสาร เช่น บทบรรยายภาพยนตร์ ข่าวเสด็จพระราชดำเนิน ต้นบทก็เป็นภาษาอังกฤษส่งมาจากองค์การร่วมมือของอเมริกา ข้าพเจ้าเป็นผู้แปลออกเป็นภาษาไทย หรือบางครั้งก็มีเจ้าหน้าที่ในสำนักวัฒนธรรมแปลออกเป็นภาษาไทยแล้ว แต่องค์การร่วมมือของอเมริกาก็ยังส่งทั้งฉบับอังกฤษและไทยมาให้สำนักดร.เก็ดนีย์ตรวจสอบว่าแปลตรงตามภาษาอังกฤษอย่างแท้จริงหรือไม่ จนที่สุดแม้จดหมายติดต่อบางฉบับ ก็ส่งมาให้แปล ทั้ง ๆ ที่อัตราค่าแปลสูงมาก (ชั่วโมงละ ๗๕ บาท)

ประสบการณ์เช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกถึงการแทรกแซงและเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของอเมริกาที่มีต่อไทย รู้สึกว่าอเมริกาไม่วางใจวงการรัฐบาลไทยเลย ไม่ว่าอะไรก็ต้องขีดเส้นให้เดินทั้งสิ้น อีกด้านหนึ่งก็รู้สกว่าพวกคณะรัฐบาลของไทยมีแต่คนโง่ และบ้านเมืองถ้าอยู่ในมือของคนพวกนี้ไปเรื่อย ๆ ก็คงจะหายนะสักวันหนึ่ง ความจริงข้าพเจ้าน่าจะมองเห็นทีเดียวว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้แสดงว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของอเมริกาชัด ๆ แต่ในขณะนั้นความรู้สึกของข้าพเจ้ายังไม่พัฒนาถึงขั้นนี้ และยังไม่รู้สึกตรง ๆ อย่างจังเช่นนี้




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 11:17
ได้โอกาสแยกซอยอีกแล้วค่ะ

ไฮปาร์ค ที่เราเรียกกันจนกลายเป็นทั้งคำนามและคำกริยา มาจากคำว่า Hyde Park สวนสาธารณะใหญ่ในกรุงลอนดอน   เคยได้ยินคำนี้มานานแล้ว ก็อยากรู้ว่าของจริงเป็นยังไง   
พอไปเจอเข้าจริงๆ รู้ได้อย่างเดียวว่าเดินขาลากกว่าจะข้ามสวนไปได้ ถ้าไปอีกหน คงเดินไม่ไหวแล้ว
ส่วนที่เขาพูดกันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ มองไม่เห็น  หรือว่าเลิกกันไปนานแล้วก็ไม่ทราบค่ะ  ใครทราบช่วยบอกด้วย

(http://www.viajarlondres.info/images/hide-park-1.jpg)

ตอบคุณเพ็ญชมพู   อะไรๆที่จิตรเขียนเกี่ยวกับอเมริกา จำได้ว่าคุณสุลักษณ์เองก็เคยเขียนหรือพูดทำนองนี้เหมือนกัน
จบสงครามโลก ก็เริ่มยุคสงครามเย็นระหว่างประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์  หรืออเมริกากับโซเวียต   ประเทศเล็กประเทศน้อยถูกดึงเข้าสังกัดไม่พี่เบิ้มคนนี้ก็พี่เบิ้มอีกคน     ไทยเราถือทางฝ่ายอเมริกาเต็มตัว   จึงมีองค์การ SEATO ซึ่งเริ่มมาจากกฎบัตรแปซิฟิค

กฎบัตรแปซิฟิคประกาศ ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2497 เป็นสนธิสัญญาป้องกันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ( Southeast Asia Defense Treaty-SEATO ) ประเทศที่ลงนามเป็นภาคีในสนธิสัญญา คือ ออสเตรีย ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ไทย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา
สาระของสนธิสัญญา SEATO (ซีโต้) คือ ประเทศเหล่านี้ตกลงร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม  เพื่อจะก้าวหน้าไปด้วยกันอย่างดี  แต่จุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดคือร่วมมือกันต่อต้านคอมมิวนิสต์
สำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพ  มีนายพจน์ สารสิน เป็นเลขาธิการทั่วไปคนแรก   มายุบเลิกเมื่อพ.ศ. 2520  หลังอเมริกาพี่เบิ้มใหญ่พ่ายแพ้ในสงครามเวียตนาม ลาวและกัมพูชา

ปัจจุบัน เมื่อไปค้นหาชื่อ ซีโต้ หรือซีอาโต้  ในกูเกิ้ล  เจอแต่ชื่อบริษัท และชื่อผลิตภัณฑ์แท้งค์น้ำ   :-\  ยังมีใครจำความหมายขององค์การนี้ได้บ้างไหมนี่?


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 11:57
ได้โอกาสแยกซอยอีกแล้วค่ะ

ไฮปาร์ค ที่เราเรียกกันจนกลายเป็นทั้งคำนามและคำกริยา มาจากคำว่า Hyde Park สวนสาธารณะใหญ่ในกรุงลอนดอน   เคยได้ยินคำนี้มานานแล้ว ก็อยากรู้ว่าของจริงเป็นยังไง  
พอไปเจอเข้าจริงๆ รู้ได้อย่างเดียวว่าเดินขาลากกว่าจะข้ามสวนไปได้ ถ้าไปอีกหน คงเดินไม่ไหวแล้ว
ส่วนที่เขาพูดกันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ มองไม่เห็น  หรือว่าเลิกกันไปนานแล้วก็ไม่ทราบค่ะ  ใครทราบช่วยบอกด้วย

บริเวณที่คุณเทาชมพูสนใจในสวนไฮด์ปาร์ค์เรียกว่า "มุมนักพูด" Speakers' Corner อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบริเวณสวน

คุณวิกกี้ http://en.wikipedia.org/wiki/Speakers%27_Corner เล่าเกี่ยวกับเรื่องมุมนักพูดนี้ไว้ว่า

Speakers there are allowed to speak as long as the police consider their speeches lawful. Contrary to popular belief, there is no immunity from the law, nor are any subjects proscribed, but in practice the police tend to be tolerant and therefore only intervene when they receive a complaint or if they hear profanity.

Historically there were a number of other areas designated as Speakers' Corners in other parks in London, (e.g. Finsbury Park, Clapham Common, Kennington Park and Victoria Park) as well as other countries.

(http://www.beaconhillparkhistory.org/graphics/87_Speakers_Corner_rival_14K250.jpg)  (http://www.beaconhillparkhistory.org/graphics/86_Speakers_Corner_14K250.jpg)

คุณวิกกี้เล่าถึงเรื่องไฮด์ปาร์คในประเทศไทยว่า จัดขึ้นครั้งแรกที่ท้องสนามหลวง

An area was set up in Bangkok in the 1930s, and quickly became known as Hyde Park, to enable freedom of speech and the airing of political views in Thailand. The area was shut down after student rioting and the lethal intervention of the army and it is not discussed openly today.

In 1955, Marshal Plaek Pibulsonggram had visited the London as part of an international tour. He became impressed with the 'Speakers' Corner' in Hyde Park. Upon his return to Thailand a 'Hyde Park' space for free speech and assembly was instituted at the Phramane Grounds in Bangkok. The experiment was well received and effectively stimulated political debate. The experiment was not appreciated by the government though, and in February 1956 restrictions were imposed on the Phramane 'Hyde Park'. However, during this period the Hyde Park Movement Party had evolved, upholding the legacy of the Hyde Park experiment.

การไฮด์ปาร์คมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่  ๒๗  สิงหาคม ๒๔๙๗ ณ ท้องสนามหลวง  เป็นการอภิปรายปัญหาแบบเรียนเบสิคของหลวงพรหมโยธี จากนั้นมาทุกเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ก็จะมีการวิจารณ์ทางการเมือง  อภิปรายความผิดพลาดของรัฐบาล ไฮด์ปาร์คเฟื่องฟูอยู่ได้ไม่นานก็ถูกทางการห้ามเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๙  แต่ต่อมาก็อนุญาตให้ไฮด์ปาร์คได้อีกจนปัจจุบัน

ข้อมูลจาก หนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม สำนักพิมพ์สารคดี

 ;D



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 12:17
คราวหน้า ถ้าเดินไหวจะไปหามุมนี้ดูนะคะ   :D

กลับมาเรื่องการเมือง 
ทีแรกนึกว่าพอหมดกบฏสันติภาพแล้ว  ก็ไม่มีกบฏอะไรอีกจนรัฐบาลจอมพลป. 2 อวสานในปี 2500    แต่กลับไปเจอว่า มีกบฏเล็กๆ แทรกเข้ามาอีก  2  รายด้วยกัน
รายแรก  เรียกว่า "กบฏอดข้าว"  สืบเนื่องมาจากไฮปาร์คที่กลายเป็นจอมพลป.เปิดจุกขวดปล่อยยักษ์ออกมา
ยักษ์ตัวหนึ่งในขวดชื่อ  นายทองอยู่ พุฒพัฒน์ เป็นนักไฮปาร์คชื่อดัง  เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเช่นยกเลิก ส.ส.ประเภท 2  คือพวกที่แต่งตั้ง ไม่ใช่เลือกตั้ง  และเลิกทำรัฐประหารกันเสียที   วิธีประท้วงคือไปนั่งอดข้าวหน้าทำเนียบรัฐบาล  แบบเดียวกับร้อยเอกฉลาด วรฉัตร ในยุคหลัง
นายทองอยู่ถูกจับกุมพร้อมคณะ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล  ถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏภายในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2499

รายที่สอง เรียกว่า "กบฏทัศนาจร" เกิดขึ้นวันเดียวกัน กับกบฏอดข้าว  คือมีคณะผู้แทนราษฎรและนักเขียน นำโดยนายเทพ โชตินุชิต อดีตรัฐมนตรี และ ส.ส.ศรีสะเกษ ได้รับเชิญไปยังประเทศจีน  เดินทางกลับถึงประเทศไทย สันติบาลได้ไปควบคุมทั้งคณะเนื่องจากแจ้งขอหนังสือเดินทางว่าจะไปฮ่องกง แต่กลับไปจีน ทางการไทยห้ามเดินทางไปประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 12:29
ผมไปลอนดอนทีไร เดินผ่านไฮปาร์คก็เห็นมีคนพูดอยู่ทุกครั้ง แค่มีลังไม้สักอันก็ขึ้นไปยืนพูดได้แล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครฟัง ผมเคยหยุดดูคนที่ยืนพูดอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจ พอแกเห็นผมสนใจก็ทำท่าจะลงมาจากลังสบู่เอาเอกสารอะไรไม่รู้จะมาให้ผม จึงต้องรีบสาวท้าววิ่งไปสมทบกับเพื่อนที่เดินล่วงไปแล้ว สิบปีหลังนี่ไม่ได้ไปลอนดอนเลย แต่คิดว่าคงจะมีอยู่ แต่คนอังกฤษคงไม่ค่อยสนใจเสียแล้ว

กลับมาที่ท้องสนามหลวงต่อ เมื่อถูกด่าฝั่งเดียวมากๆเข้า เผ่าก็วีนแตก บุกมาขึ้นเวทีไฮปาร์คเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาบ้าง วันที่เผ่ามาพูดนั้น ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมากันเพียบ ท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังที่อยู่ ณ ที่เกิดเหตุต่างต้องพากันสงบนิ่ง ฟังจอมอัศวินแก้ตัวไปทุกข้อกล่าวหา พอพูดเสร็จลงเวทีมาเห็น นายเพิ่ม วงศ์ทองเหลือ ส.ส.พิจิตร ตัวด่าคนสำคัญคนหนึ่ง เผ่าก็พลั้งปากไปว่า ไอ้เพิ่ม มึงมันเป็นแค่เกือกนายควง มึงเอาลูกพี่ของมึงมาโต้กับกูดีกว่า เท่านั้นเอง หนังสือพิมพ์ก็ได้ข่าวไปพาดหัวว่า “เผ่าท้าควงพูดไฮปาร์ค”

เอ้อ ผมเล่าข้ามไปหน่อย ตอนที่รัฐบาลจอมพลป.เอารัฐธรรมนูญฉบับ2475มาใช้ แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น พรรคประชาธิปัตย์บอยคอตด้วยการไม่ร่วมลงสมัครเข้ารับเลือกตั้งด้วย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพรรคนี้ แต่ก็มีกบฏในพรรคไปลงสมัครในนามของพรรคและได้รับเลือกตั้งมา7-8คน ถือว่าน้อยเป็นประวัติการณ์เหมือนกัน พวกพรรคประชาธิปัตย์รุ่นเดอะๆก็มาเล่นการเมืองนอกสภา การที่จอมพลป.เปิดเวทีไฮปาร์คขึ้น ก็เท่ากับปล่อยผีให้ส.ส.พวกนี้ออกมาด่ารัฐบาลได้โดยไม่มีประธานสภาคอยคุมเกม ประชาชนไม่ได้ฟังคารมของฝ่ายค้านมานานแล้วจึงได้ฟังอย่างจุใจ

เมื่อเผ่าท้าควงขึ้นเวทีไฮปาร์ค จึงเหมือนกับการประกบคู่มวยระดับแม่เหล็กโลก ผู้คนฮือฮาอยากจะฟังทั้งสองฝ่ายโต้กัน นายควงนั้นเป็นนักพูดที่ไม่กลัวใครอยู่แล้ว แต่เผ่าจะเอาฝีปากอะไรมาสู้ แหม มันช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร ยิ่งใกล้ถึงเวลานายควงก็ออกข่าวยั่วยุคู่กัดผ่านหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ถึงวันจริงท้องสนามหลวงว่าใหญ่ๆก็ยังไม่พอจุท่านผู้ชมและท่านผู้ฟังที่หลั่งไหลกันมา

วันนั้นตรงกับวันที่ 7มกราคม 2499 บ่ายโมงเศษ พล.ต.อ.เผ่าก็เดินทางมาถึงในชุดสากลสีอิฐ ห้อมล้อมด้วยบรรดาอัศวินทั้งระดับจตุรงคบาท ตลอดจนกองระวังหน้า ระวังข้าง และระวังหลัง แสงจากแหวนเพชรวูบวาบเมื่อกระทบกับแสงแฟรชจนฝูงชนจังงังกันไปหมด หลีกทางให้ขบวนผู้ยิ่งใหญ่เยื่องย้ายไปสู่เวทีโดยดี และแล้วจอมอัศวินเผ่าก็ขึ้นไปประจันหน้ากับโฆษกบนเวที ผู้ซึ่งร่ายยาวอารัมภคาถาโน้มน้าวให้คนเลือดร้อนใจเย็นลงด้วยการขอให้สาบานต่อพระแก้วมรกตเบื้องหน้าว่าจะพูดแต่ความจริง ว่าแล้วก็จุดธูปจุดเทียนยัดเยียดใส่มือพล.ต.อ.เผ่า แล้วก็ว่านำให้พล.ต.อ.เผ่าว่าตาม พอว่าหมดยังไม่ได้สาธุก็มีห่อกระดาษที่ดูมีน้ำหนักพอควรถูกโยนขึ้นไปบนเวที พร้อมกับเสียงตะโกนให้เข้าไม้ค์ด้วยว่า

  “ เฮ้ย ระเบิดโว้ย”

เท่านั้นเองผู้คนทั้งบนเวทีและหน้าเวทีต่างก็กระเจิงกระเจิงเอาตัวรอด เวทีถล่ม คนข้างหลังเห็นท่าไม่ดีก็ออกวิ่งบ้าง เหยียบกันระนาว เพราะไม่รู้จะหนีไปข้างไหน หาบเร่แผงลอยซวยที่สุดเพราะที่ถูกชักดาบไม่เท่าไร แต่เครื่องมือหากินบรรลัยไปหมดในคราวนี้ เหตุการณ์วุ่นวายกินเวลาประมาณ20นาที มีผู้เห็นอัศวินทั้งหลายช่วยกันพานายหลบขึ้นรถออกไปจากสนามหลวงได้โดยปลอดภัยตั้งแต่นาทีแรก  รองเท้าหลายร้อยข้างถูกทิ้งไว้เกลื่อนกลาด ตำรวจช่วยคนขึ้นมาจากคลองหลอดได้หลายสิบ แต่ละคนบอกไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองลงไปได้อย่างไร โดดลงไปเองหรือถูกถีบลงไปก็ยังงงๆอยู่

รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์พาดหัวว่า ฟ้าถล่มสนามหลวงบ้าง ไฮด์ปาร์คถล่ม คนบาดเจ็บเป็นร้อยบ้าง ถึงวันนี้ ไม่ทราบว่าเป็นแผนของเผ่าที่จะหนีการปะทะคารมกับนายควงอย่างมีชั้นเชิงหรือเปล่า


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 12:30
ในเหตุการณ์ "กบฏอดข้าว" มีบางเรื่องที่อ่านแล้ว หลายคนในเรือนไทยก็คงขำว่า ทำกันได้ขนาดนี้เชียวหรือ  แต่ยุคโน้นเขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องขำ แต่เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสถึงกบฏในพระราชอาณาจักร
อย่างที่เกริ่นข้างบนนี้แล้วว่ากลุ่มนักไฮปาร์ค(ประมาณ 10 คน) นำโดยนายทองอยู่ พุฒพัฒน์  ไปนั่งอดข้าวประท้วงอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล   ตอนแรกตำรวจก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่พวกนี้เอาจริง  อดไปได้ยาวนานร่วม 3 – 4 วัน  ประชาชนก็เริ่มฮือฮากันขึ้นมาก
พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ชักทนไม่ได้กับวิธีประท้วง   ก็วางกลศึกแบบประนีประนอมก่อน   สั่งอาหารโต๊ะจีนจากเหลาซึ่งถือว่าเป็นอาหารหรูหราของคนรวยในสมัยนั้น      เอาเชฟซึ่งสมัยนั้นเรียกว่ากุ๊ก มาผัดมาทอด  ปรุงอาหารจีนกันสดๆ  ให้หอมยั่วน้ำลายกันไปทั้งหน้าทำเนียบ  ทำกันต่อหน้าผู้อดอาหาร   คิดว่าพวกนี้อดมาหลายวันคงหิวเต็มที   เจออาหารฮ่องเต้เข้าก็คงใจอ่อน ยอมประนีประนอม  กินข้าวอิ่มแล้วก็กลับบ้านไป
ที่ไหนได้นักประท้วงใจเด็ดไม่ยอมแตะโต๊ะจีนท่าเดียว    พล.ต.อ.เผ่าฉุนขึ้นมา   จึงให้ตำรวจไปจับหมาข้างถนนมา 4 – 5 ตัว แล้วยกอาหารที่เตรียมไว้ เทให้หมากินหมด เป็นการประชดประชัน   ก็เหมือนสาดน้ำมันเข้ากองไฟ   นักไฮปาร์คฮือกันขึ้นกระหน่ำ พล.ต.อ.เผ่าเสียไม่มีดี

พล.ต.อ.เผ่า จึงได้สั่งให้จับนักไฮปาร์ค   ตั้งข้อหาร้ายแรงว่าเป็นกบฏ  เพราะถือว่าอดข้าวเป็นการแทรกแซงของคอมมิวนิสต์  


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 14:37
อ้างถึง
ปัจจุบัน เมื่อไปค้นหาชื่อ ซีโต้ หรือซีอาโต้  ในกูเกิ้ล  เจอแต่ชื่อบริษัท และชื่อผลิตภัณฑ์แท้งค์น้ำ     ยังมีใครจำความหมายขององค์การนี้ได้บ้างไหมนี่?


The Southeast Asia Treaty Organisation (SEATO) was an international organisation for collective defense which was signed on September 8, 1954. The formal institution of SEATO was established at a meeting of treaty partners in Bangkok in February 1955.[1] It was primarily created to block further communist gains in Southeast Asia. The organization's headquarters were located in Bangkok, Thailand. SEATO was dissolved on June 30, 1977.
Members

Australia
France
New Zealand
Thailand
Pakistan (including East Pakistan, now Bangladesh)
Philippines
United Kingdom
United States


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 11 ส.ค. 10, 15:17
การกระทำของเผ่าในวันฟ้าถล่มดังกล่าวเท่ากับการยั่วยุนักไฮปาร์คให้ด่าตำรวจมากขึ้นไปอีก วันหนึ่งขณะที่การประโคมด่าตำรวจกำลังดำเนินไปอย่างถึงพริกถึงขิง รถฉลามบกเป็นฝูงก็มาเปิดหวอวิ่งวนรอบสนามหลวงพร้อมประกาศให้คนรีบสลายการชุมนุมแล้วกลับบ้าน มิฉะนั้นจะลำบาก ตัวด่าบนเวทีขณะนั้นชื่อบุญยัง ประกาศว่าไม่กลัวเว้ย แล้วก็บอกประชาชนว่าอย่าไปกลัว ให้ฟังตนด่าต่อไปให้จบ

พอจบ นายบุญยังก็เดินลงเวทีมา มีกลุ่มบุคคลแต่งกายคล้ายตำรวจก็เดินสวนขึ้นไป คนหนึ่งเอามีดแทงนายบุญยังล้มลง อีกคนหนึ่งถือดาบขึ้นไปบนเวทีแล้วฟันไมโครโฟนเกือบขาด ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะเดินลงมาอย่างลอยนวล ไม่มีใครกล้าเข้าไปจับ แล้วอาศัยจังหวะที่คนเกิดอลหม่านกันหน้าเวที หายตัวไปอย่างลึกลับ ปล่อยให้เพื่อนๆนำนักด่าผู้กล้าไปส่งโรงพยาบาลต่อไป
 
การที่เผ่าเป็นตกเป็นเป้าของการถูกด่า และนานๆนักด่าจะแวะไปแขวะจอมพลป.เสียทีหนึ่งจนเลยเถิดไปเกิดเหตุการณ์กบฏเล็กๆครั้งสองครั้งนั้น คนที่ยิ้มมุมปากอยู่อย่างสบายใจคือผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และถนอม ประภาส ลูกน้องคู่ใจ เวลาเขาด่าคณะทหารว่าแทรกแซงรัฐบาล ก็ฟังดูว่าเขาด่าจอมพลผิน ดังนั้นผู้ที่คุมอำนาจขาใหญ่ขานี้จึงยังลอยตัวอยู่ และพยายามซุ่มตัวอย่างเงียบเชียบอย่างที่สุด ปล่อยให้จอมพลป.เดินเกมเข้าไปสุ่มุมอับแต่โดยลำพัง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 21:08
พูดถึงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ที่พลเอกสฤษดิ์ได้ไป     มีอะไรบางอย่างที่ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจอยู่เหมือนกัน   เมื่ออ่านจากบันทึกของจอมพลผิน
จอมพลผินเล่าว่าในรัฐบาลจอมพลป. หลังกบฏสันติภาพ คือปี 2496  ท่านนั่งถึง ๓ เก้าอี้พร้อมกัน คือผู้บัญชาการทหารบก    รองนายกรัฐมนตรี และรมว.เกษตร ซึ่งเป็นตำแหน่งล่าสุด       เมื่อได้มา ท่านรำพึงว่าตัวเองอายุมากถึง ๖๓ ปีแล้วควรจะสละเก้าอี้ผบ.ทบ.เสียที เหลือไว้แค่ ๒ เก้าอี้พอ
เมื่อจอมพลป.ทราบก็บอกว่า ถ้าจอมพลผินสละเก้าอี้ผบ.ทบ.  ท่านนายกฯก็พร้อมจะรับเก้าอี้นี้มานั่งเสียเอง     แต่จอมพลผินคิดไปคิดมา ไม่ยักกะยกเก้าอี้ให้ท่านนายกฯ ทั้งๆท่านก็ออกปากบอกโต้งๆว่าท่านอยากนั่ง  เพราะท่านเห็นว่าสองจอมพลกอดคอกันมาทำรัฐประหารจนอยู่มาได้ทุกวันนี้    ถ้าตำแหน่งหลุดไปถึงคนอื่น  เราสองคนจะเดือดร้อน
ทั้งๆจอมพลป. ท่านก็พูดออกชัดเจนขนาดนี้   จอมพลผินก็ไม่ยักกะเอออวย  แต่กลับไปเห็นว่ารองผบ.ทบ.คือพลเอกสฤษดิ์ แสดงเจตนาอยากนั่งมานานแล้ว    ยังหนุ่มแน่นมีเรี่ยวแรงออกตรวจราชการทหารได้คล่องตัวกว่า    ท่านก็เลยแถลงต่อที่ประชุมรัฐมนตรี ขอเวนคืนตำแหน่งผบ.ทบ. และมอบให้รองผบ.ทบ. คือพลเอกสฤษดิ์  ขึ้นเป็นผบ.ทบ.ต่อไป    ส่วนจอมพลผินด้วยใจรักในราชการทหาร ก็ไม่ได้ไปแล้วไปลับ แต่ขอตำแหน่งจเรทหารทั่วไปเอาไว้นั่งเก้าอี้เอง
ผลก็เป็นอย่างที่คิด   คือเมื่อตำแหน่งผบ.ทบ.พ้นไปสู่มือคนอื่น   สองจอมพลก็เดือดร้อนจริงๆ     แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจอมพลผินท่านถึงตัดสินใจแบบนี้   หรือจะมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลังมากกว่านี้ ก็ไม่อาจเดาได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 11 ส.ค. 10, 22:20
จอมพลผิน เขียนบันทึกเอาไว้ถึงเหตุการณ์ช่วงปลายรัฐบาลจอมพลป. 2   ว่าในตอนนั้น  ผู้มีอำนาจแตกเป็น 3 พวก   ท่านแบ่งเป็นพวกขวา กลาง และซ้าย    ตัวท่านกับค.ร.ม.อยู่ในพวกกลาง   
พวกขวาได้แก่จอมพลป. และกรมตำรวจ ซึ่งก็คือพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์    ส่วนพวกซ้ายคือพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผบ.ทบ. กับกองทัพบกและเรือ
ท่านยังบอกอีกว่าเพื่อความสมานฉันท์   จอมพลป.ตั้งบิ๊กทหารเป็นรัฐมนตรีกันหลายนาย   พลเอกสฤษดิ์เป็นรมว.กลาโหม และยังเป็นผอ.สลากกินแบ่งอีกด้วย    พลเรือเอกหลวงชำนาญอรรถยุทธเป็นรมช.คมนาคม  พลเอกถนอม กิตติขจร เป็นรมช.สหกรณ์ และพลเอกประภาส เป็นรมว. มหาดไทย     แต่ความพยายามของจอมพลป. ไม่ได้ผล
จอมพลผินยังบันทึกไว้ด้วยว่า มีข่าววิพากษ์วิจารณ์ว่าพลเอกสฤษดิ์เอาเงินสลากกินแบ่งมาใช้สุรุ่ยสุร่าย    จนอาจจะต้องถึงขั้นถูกสอบสวน   แล้วก็ถึงขั้นจะโดนออกจากราชการ      คนที่จุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมาก็คือพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์
แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน  คือพลเอกสฤษดิ์อยู่ยงคงกระพันกว่า  แต่ข่าวนี้ก็ทำให้ทั้งพลเอกสฤษดิ์  พลเอกถนอม และพลเอกประภาสลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีทั้ง ๓ คน   แต่ยังอยู่ในตำแหน่งประจำในกองทัพบกเช่นเดิม


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ส.ค. 10, 09:08
การเมืองภายในประเทศก็วุ่นวายพอดู แต่นโยบายด้านต่างประเทศของจอมพลป.ก็เป็นตัวนำท่านไปสู่จุดจบ ไม่สามารถสอบผ่านไปป.3เหมือนกัน

ด้วยประสพการณ์ที่โชกโชนระหว่างสงครามกับญี่ปุ่น สอนให้ท่านผู้เฒ่าตระหนักว่าการเอาประเทศชาติไปผูกขาไว้กับมหาอำนาจด้านใดด้านหนึ่งนั้น เป็นการกระทำที่เขลาอย่างยิ่ง เมื่อท่านตัดสินใจอยู่ข้างอเมริกา ก็ต้องหาทางเล่นการทูตใต้ดินกับจีน

โชดดีที่ครั้งนั้นไทยเรามีพระองค์วรรณหรือพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ (พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) เป็นประธานสมัชชาใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ของสมัยประชุมที่11 ระหว่างทรงอยู่ในตำแหน่งได้มีการประชุมนานาชาติครั้งสำคัญเกิดขึ้นระหว่างผู้นำประเทศในเอเซียและอาฟริกาในปี 2498 ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย เป้าหมายคือรวมตัวต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมในรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมๆกับสงครามเย็น
พระองค์วรรณ ทรงเป็นผู้ที่ได้รับความนับถือจากผู้นำชาติต่างๆทั้งฝ่ายเสรีนิยมและสังคมนิยม ดังจะเห็นได้จากเสียงโหวตที่ที่ประชุมสหประชาชาติยกมือสนับสนุนให้ท่านเป็นประธานสมัชชาใหญ่อย่างเป็นเอกฉันท์ ท่านต้องไปเป็นบุคคลสำคัญในการประชุมที่บันดุงด้วย แต่จอมพล ป.ก็กลัวๆกล้าๆที่จะฝากการบ้านให้ท่านแสดงบทบาทอะไรเป็นพิเศษเพื่อประเทศไทย เพราะเกรงว่าอเมริกาถ้ารู้จะไม่พอใจ และเนื่องจากการประชุมครั้งนั้นมาจากความคิดของจีน ซึ่งไทยเองก็เพิ่งจะท้าทายจีนด้วยการลงนามในสนธิสัญญาซีอาโต้ได้เพียงปีเดียวก่อนหน้า

ในการประชุมครั้งนี้ นายโจวเอินไหล นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีโอกาสพบปะสนทนากับพระองค์วรรณและสื่อให้ไทยรู้ว่าจีนแดงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทั้งบุคคลิกภาพของพระองค์วรรณเองก็มีส่วนช่วยให้บรรยากาศการเจรจานอกรอบระหว่างผู้นำชาติต่างๆให้เป็นไปอย่างมีไมตรีจิตมิตรภาพต่อกันอย่างดี  โจวเอินไลถึงกับยอมรับในพระอัจฉริยภาพของท่านที่ช่วยลดความขัดแย้งในกลุ่มประเทศเอเซียอาฟริกาได้อย่างไม่คาดคิดมาก่อน หลายปัญหาที่หาข้อยุติไม่ได้ในที่ประชุมใหญ่ ก็มาตกลงกันได้บนโต๊ะจีนที่พระองค์วรรณทรงนั่งหัวโต๊ะเป็นคนกลางอยู่ การประชุมครั้งนี้จึงทำให้จีนเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนไทยและประเทศไทยดีขึ้นด้วย

โจวเอินไหลได้แสดงความขอบคุณด้วยการทูลเชิญพระองค์วรรณไปร่วมรับประทานอาหารค่ำเป็นการส่วนตัว และแสดงอัธยาศัยอันดีด้วยการส่งของขวัญมาให้หม่อมของท่านในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วย  ซึ่งท่านก็ได้ประทานหีบบุหรี่ถมส่งไปให้เป็นการตอบแทน

เมื่อจอมพล ป. ได้รับรายงานดังกล่าวจึงเริ่มสนใจที่จะติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน แรงอื่นที่กระตุ้นก็เกิดไม่กี่เดือนหลังจากนั้น จากข่าวที่ว่าอเมริกาได้เจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับจีน เพื่อหาทางลดความขัดแย้งในเอเชียและการปล่อยเชลยศึกชาวอเมริกันในสงครามเกาหลี ซึ่งก็ยุติด้วยดี  และอาจนำไปสู่การปรับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกาด้วย จอมพลป.จึงตระหนักชัดในสัจธรรมว่า การเมืองนั้น ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร นโยบายต่อต้านจีนและปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างเต็มสูบของไทย อาจไม่สอดคล้องกับทิศทางการเมืองระหว่างประเทศในอนาคตเสียแล้ว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ส.ค. 10, 09:14
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2498 จอมพล ป.จึงได้มอบหมายปฏิบัติการลับให้นายสังข์ พัธโนทัย ซึ่งเป็นคนสนิท ให้หาคนที่รู้ภาษาจีนและไว้ใจได้เป็นล่าม เพื่อเดินทางร่วมกันไปหาทางติดต่อกับรัฐบาลจีน นายสังข์ได้นายอารี ภิรมย์ เพื่อนเก่าแก่ซึ่งเคยทำงานฝ่ายหนังสือพิมพ์จีนที่กรมโฆษณาการ นำคณะทูตใต้ดินซึ่งประกอบด้วยนายกรุณา กุศลาสัย และสมาชิกรัฐสภาอีก 2 คน โดยมีนายเลื่อน บัวสุวรรณ คนสนิทของพล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายลักลอบออกไปเมืองจีนด้วยกัน ไม่ให้คนจีนในเมืองไทยซึ่งเป็นฝ่ายใต้หวันแทบทั้งนั้นระแคะระคายได้เป็นอันขาด

เมื่อถึงแล้วนายอารีได้ถูกนำตัวไปพบคนระดับผู้นำจีนหลายคน ต่างก็ต้องการทราบจุดมุ่งหมายของคณะทูตใต้ดิน นายอารีได้ตอบว่า ผู้นำไทยใช้ให้มาติดต่อกับจีนเพื่อหาลู่ทางในการเปิดความสัมพันธ์ในอนาคต และให้มาแจ้งกับรัฐบาลจีนว่า จอมพล ป.จะนำคณะไปร่วมประชุมกึ่งพุทธกาลที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่าในปลายปี ระหว่างนั้นจะมอบหมายให้นายสังข์และนายเลื่อนเป็นตัวแทนในการติดต่อกับเอกอัครราชทูตจีนในพม่า เพื่อเจรจาหลักการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีต่อไป

 นายกรัฐมนตรี โจวเอินไหล ได้จัดให้คณะทูตใต้ดินพบกับเหมาเจ๋อตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ทำเนียบจงหนานไห่ เหมาเจ๋อตุงกล่าวว่า ประเทศไทยกับประเทศจีนสามารถแลกเปลี่ยนการค้าและวัฒนธรรมได้ แม้ประเทศจีนจะไม่เจริญนัก แต่ประเทศจีนก็สามารถช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาในอุตสาหรรมบางอย่างได้ หากประเทศไทยเห็นว่าเป็นประโยชน์ จีนก็ยินดีช่วย และเมื่อ โจวเอินไหลจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่คณะทูตใต้ดิน และได้กล่าวกับนายอารีว่าประตูเมืองจีนเปิดต้อนรับคนไทยเสมอ อีกทั้งยังฝากความเคารพและระลึกถึงมาถวายพระองค์วรรณโดยกล่าวยกย่องว่า ปริ้นส์วรรณทรงเป็นนักการทูตและรัฐบุรุษทรงพระปรีชาสามารถ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ส.ค. 10, 09:25
ครั้นเมื่อจอมพลป.เดินทางไปพม่า ก็ได้หาโอกาสพบกับนายเหยาจงหมิง  เอกอัครราชทูตจีนอย่างลับๆเพื่อยืนยันแสดงเจตนารมณ์ ส่วนการประชุมหารือระหว่างนายสังข์ พัธโนทัย และนายเลื่อน บัวสุวรรณ กับนายเหยาจงหมิง ก็เป็นไปด้วยดี เมื่อติดปัญหาอะไรนายสังข์ก็โทรปรึกษาจอมพลป.ซึ่งอยู่ที่นั่นได้ตลอด จีนและไทยได้ออกแถลงการณ์ร่วม แต่มิได้เปิดเผยต่อสาธารณะเพราะไม่มีความจำเป็น สาระสำคัญมีว่า ประเทศทั้งสองยินดีจะใช้วิธีการและกาลเวลาที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการติดต่อขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมให้นำไปสู่ความสัมพันธ์ต่อกันในระดับปกติ และเห็นพ้องต้องกันว่า ควรรักษาการติดต่อสัมพันธ์กันไว้อย่างสม่ำเสมอ

ดังนั้นในช่วง 2 ปีต่อมาระหว่างพ.ศ. 2499 ถึงพ.ศ.2500 จึงได้มีคณะผู้แทนไทยหลายคณะเดินทางไปจีนอย่างเปิดเผย เช่น คณะของนายเทพ โชตินุชิต หัวหน้าพรรคเศรษฐกร พร้อมด้วยผู้แทนราษฎร นักธุรกิจ และนักหนังสือพิมพ์ รวม 12 คนเดินทางไปในฐานะแขกของสถาบันการต่างประเทศของจีน คณะผู้แทนศิลปินไทย ซึ่งมีนายสุวัฒน์ วรดิลก เป็นหัวหน้าคณะและศิลปินนักแสดง 48 คน อาทิ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี สุพรรณ บูรณพิมพ์ สุเทพ วงศ์กำแหง บุญยง เกตุคง เป็นต้น เดินทางไปเปิดการแสดงเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในจีนระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม พ.ศ. 2500 ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น นายโจวเอินไหลก็ยังได้มาชมด้วย ต่อมาคณะนักหนังสือพิมพ์ไทย 9 คน นำโดย นายอิสรา อมันตกุล  ได้ไปในเดือนพฤษภาคม และได้เข้าพบนายโจวเอินไหลด้วย โดยส่วนตัวนายสังข์ได้ส่งลูกของตนเองคือ ด.ช. วรรณไว และด.ญ. นวลนภา พัธโนทัย ไปเป็นลูกบุญธรรมของโจวเอินไหล ที่แสดงตนเป็นกัลยาณมิตรของไทย แต่โดยความหมายอีกนัยหนึ่งตามธรรมเนียมของชาติเอเซียแต่โบราณ การส่งลูกไปอยู่กับเขาก็เท่ากับการส่งไปเป็นตัวประกันความจริงใจนั่นเอง แต่โจวเอินไหลก็เมตตาเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่เด็กทั้งสองเป็นอย่างดี และได้กลับเข้ามามีบทบาทในเมืองไทยเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ในด้านการค้านั้น นายอุทัย ตุงผลิน ผู้เชี่ยวชาญจากโรงงานยาสูบของรัฐบาล และนายประเสริฐ ศิริพิพัฒน์ ผู้แทนจากธนาคารกรุงเทพ ได้ไปเจรจาขายใบยาสูบซึ่งฝ่ายจีนก็ตกลงซื้อเป็นมูลค่า 150 ล้านบาท จ่ายเงินผ่านธนาคารกรุงเทพ สาขาลอนดอน พระยามไหสวรรย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานกรรมการบริษัทพืชกสิกรรม ซึ่งเป็นบริษัทค้าข้าวที่รัฐบาลมีหุ้นส่วนอยู่ ให้เดินทางไปเจรจาขายข้าวในนามของรัฐบาลไทยกับจีนอย่างลับ ๆ แต่ตกลงราคากับกระทรวงการค้าต่างประเทศจีนไม่ได้ เมื่อนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลทราบ จึงได้สั่งให้รับซื้อเป็นกรณีพิเศษในราคาที่ฝ่ายไทยเสนอมา เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจแห่งความเป็นมิตร นอกจากนั้น เมื่อรัฐบาลจีนจัดงานฉลองกึ่งพุทธกาลขึ้น มีพระสงฆ์ไทย4องค์ที่กำลังศึกษาอยู่ที่อินเดีย ได้ร่วมเดินทางกับคณะสงฆ์นานาชาติไปร่วมงานฉลองด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ส.ค. 10, 09:29
ความเคลื่อนไหวอย่างผิดสังเกตุดังกล่าวมิได้รอดพ้นจากสายข่าวของซีไอเอไปได้ การคิดกบฏของจอมพลป.ต่ออเมริกาในครั้งนี้ถือว่าเป็นโทษอุฉกรรจ์ เอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นการปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงเกิดขึ้น และหลังจากนั้นอเมริกาก็ใช้อิทธิพลบีบให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนที่กำลังชื่นมื่นกลับตึงเครียดขึ้นมาอีก เพราะจอมพลสฤษดิ์ดำเนินนโยบายต่อต้านและปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง ผู้นำคณะคนไทยไปเยือนจีนที่ผมได้เอ่ยข้างต้น ก็ถูกจับกุมขังคุกในข้อหาฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ มีประกาศคณะปฏิวัติซึ่งถือว่าเป็นกฏหมาย ห้ามการค้าขายติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยเด็ดขาด และห้ามคนไทยเดินทางไปเมืองจีนอีกด้วย ต่อมารัฐบาลไทยก็ถลำลึกลงไปอีกด้วยการส่งทหารไปช่วยรบในเวียตนาม ซึ่งในที่สุดก็นำมาถึงจุดที่ต้องยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพในเมืองไทยหลายแห่ง เพื่อความสะดวกในการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเวียดนามและลาว ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนสนับสนุนเวียดนามเหนือและลาวฝ่ายซ้ายเต็มที่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ทวีความช่วยเหลือแก่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ผ่าน ขบวนการไทยอิสระ (Thai Independent Movement) ซึ่งจัดตั้งโดยนายมงคล ณ นคร และแนวร่วมกู้ชาติไทย (Thai United Patriotic Front) จัดตั้งขึ้นโดยพ.อ. โพยม จุลานนท์ ที่กรุงปักกิ่ง  ซึ่งตอนนั้นจีนประกาศว่าจะเปิดสงครามกองโจรขึ้นต่อต้านรัฐบาลไทยภายใน 1 ปีหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ

การปะทะกันด้วยกำลังอาวุธระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับฝ่ายรัฐบาลไทยหลังจากนั้น ยืดยาวมาหลายสมัยนายกรัฐมนตรี ทำให้ไทยมองจีนด้วยความเป็นศัตรู ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ทวีความตึงเครียดมาก

อย่างไรก็ดี ความแข็งกร้าวของสาธารณรัฐประชาชนจีนต่อค่ายตะวันตกได้ถึงจุดเปลี่ยนหลังจากที่จีนได้มีการปะทะทางทหารกับสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2512 ที่บริเวณพรมแดนของทั้งสองประเทศที่แม่น้ำอุสซูรี (Ussuri River) ทำให้จีนเห็นสัจธรรมเรื่องมิตรแท้และศัตรูถาวร ต้องยอมเจรจาปรับความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาที่พ่ายแพ้คอมมิวนิสต์ยับเยินในสงครามเวียตนามเพราะอาวุธทันสมัยที่โซเวียตติดให้เวียตนามเหนือ ทั้งสองฝ่ายมีความต้องการแนวร่วมกันที่จะคานอำนาจโซเวียต หลังจากคุยกับอเมริกาแล้ว จีนได้แสดงท่าทีผ่อนปรนด้วยการย้ำถึงการอยู่ร่วมกันโดยสันติในภูมิภาคนี้  ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มคลายความวิตกเรื่องจีนลง แต่ก็ใช้เวลาอีกหลายปีที่ไทยจะปรับความคิดได้ ในยุคที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการนำคณะไปเมืองจีนเพื่อสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศทั้งสองขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2518  ซึ่งยั่งยืนมาจนปัจจุบัน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 12 ส.ค. 10, 10:24
ย้อนกลับมาเรื่องการเมืองในประเทศที่นำไปสู่การหมดเทอมปลายของรัฐบาลป.2บ้าง

ในปี2498 จอมพลป.ได้ประกาศฟื้นฟูประชาธิปไตย และออกพ.ร.บ.พรรคการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่พรรคการเมืองทั้งหลายถูกยุบไปตามรัฐธรรมนูญ2475 ที่ย้อนยุคไปเอามาใช้ใหม่ จอมพลป.เองได้จดทะเบียนตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาขึ้นโดยมีตนเองเป็นหัวหน้าพรรค พล.ต.อ.เผ่าเป็นเลขาธิการพรรค บรรดาบิ๊กทหารทั้งหลาย ทุกเหล่าทัพตั้งแต่ ระดับผู้บัญชาการไปจนถึงหน่วยคุมกำลัง รวมทั้งพล.อ.สฤษดิ์ได้เข้ามาเป็นกรรมการพรรคพรึ่บราวกับเรียกแถวทหาร มีพรรคการเมืองอื่นๆมาจดทะเบียนถึง22พรรค ประชาธิปัตย์นั้นแน่นอนอยู่แล้วจึงไม่น่าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ที่จอมพลป.ต้องเขม่นตามองก็คือพรรคสหชีพ ที่ขอจดทะเบียนท้ายสุดในปี2500  คือก่อนจะเกิดปฏิวัติเพียง2เดือน หัวหน้าพรรคคือนายสงวน จันทรสาขา น้องชายต่างบิดาของจอมพลสฤษดิ์ ที่ประกาศสนับสนุนพี่ชายอย่างสุดขั้ว การเกิดขึ้นของพรรคนี้ทำให้ส.ส.ที่สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลาลาออกจากพรรคไป10คน และอีก4คนจากพรรคธรรมาธิปัตย์ที่เป็นแนวร่วมของจอมพลป.

ตรงนี้เองที่เกิดปัญหาว่า พรรคสหภูมิได้เงินมาทำพรรค(ซึ่งต้องจ่ายค่าตัวให้พวกส.ส.มาก)มาจากไหน โฟกัสก็ไปจับอยู่ที่เงินกองสลากที่สฤษดิ์เป็นประธานอยู่ จอมพลป.ก็เลยให้ค.ร.ม.มีมติแต่งตั้งนายปุ่น จาติกวนิช เลขาคณะรัฐมนตรีไปเป็นรองผู้อำนวยการกองสลาก นัยว่าเพื่อจะให้ไปคุมเรื่องการเงิน เรื่องนี้สฤษดิ์ถึงกับควันออกหู และระบายใส่พล.ต.ประมาณ อดิเรกสารรัฐมนตรีช่วยคลังแห่งค่ายราชครูไปว่า เล่นกันอย่างนี้ ไม่เอาด้วยนะโว้ย (พยางค์หลังเป็นแค่การสันนิฐานของผมเอง เพราะถ้าใส่คำว่าครับ พล.ต.ประมาณ ก็คงจะยักไหล่เฉยๆ แต่ท่านผู้อ่านอย่าได้ไปจริงจังอะไรกับตรงนี้นะครับ)

เมื่อนายปุ่นไปทำงาน จึงปรากฏว่าไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง พูดกับใคร ใครก็ไม่พูดด้วยแม้กระทั่งภารโรง นายปุ่นจึงคำนับ3ที ลากลับไปนอนบ้านดีกว่า

แต่ไหนแต่ไรมาสฤษดิ์มิได้มีท่าทีที่จะสนใจการเมือง ทุกคนจึงมองข้ามไปหมด แม้แต่เผ่ายังหลุดปากว่า สฤษดิ์มันโง่ เอาแต่หาเงินลูกเดียว คือสฤษดิ์สนใจแต่ที่จะไปนั่งเป็นประธานกรรมการบริษัทและธนาคารของคนจีน ดูเหมือนจะเป็นประมาณ24บริษัท เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้เส้นติดต่อกับภาครัฐ คำพูดนี้ออกจากปากต่อปากไปเข้าหูสฤษดิ์เข้าจนได้ วันหนึ่งในระหว่าเพรสคอนเฟอร์เร้นส์ของจอมพลป. ที่มีเผ่านั่งอยู่ด้วย นักข่าวแยงๆอย่างไรไม่ทราบ สฤษดิ์ก็โพล่งว่าเขาหาว่าผมโง่ มีแต่กำลังน่ะดีแล้ว คนอื่นจะได้สบาย สักพักก็ว่าต่อเบาๆ ถ้าผมฉลาดขึ้นมาวันไหน คนอื่นจะลำบาก

เล่นเอาทั้งห้องเงียบกริบกันไปเลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ส.ค. 10, 20:16
คุณนวรัตนเปิดตัวพระเอกควบม้าสีขี้ม้ามาแล้วค่ะ   ลองเอาสปอตไลท์ของเรือนไทยจับท่านดูหน่อยเป็นไร

เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475  ร้อยตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังเป็นแค่นายทหารหนุ่มโนเนม  ไม่มีบทบาทอะไรมากนัก    แต่ในปีต่อมา เมื่อเกิดกบฏบวรเดช   เขาเป็นผู้บังคับหมวดปราบปรามกบฏ ขึ้นตรงกับพันเอกหลวงพิบูลสงคราม  จึงได้ความดีความชอบ เลื่อนยศขึ้นอย่างรวดเร็วแค่ 2 ปีต่อมาก็เป็นร้อยเอก
จากนั้น เส้นทางของร้อยเอกสฤษดิ์เติบโตขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ถึงกับพุ่งแรงเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่สะดุดหยุดนิ่งกับที่     เขาวางตัวเป็นทหารอาชีพจริงๆ การเมืองไม่ยุ่งมุ่งแต่งาน   จนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  ขึ้นถึงพันเอก   ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นหน่วยกำลังสำคัญ   
ดาวประจำตัวของพันเอกสฤษดิ์เริ่มรุ่ง  เมื่อตัดสินใจถูก  เข้าร่วมกับรัฐประหารของจอมพลผินที่เชิญจอมพลป.กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง     ผลงานของพันเอกสฤษดิ์เป็นที่เข้าตาของท่านจอมพลอย่างมาก   เมื่อปราบกบฏวังหลวงของนายปรีดี พนมยงค์ได้ราบคาบในปี 2493   จอมพลป.เห็นว่า นายทหารคนนี้ฝีมือดี และยังเคารพเลื่อมใสท่าน   ท่านก็เลยเรียกตัวมาใช้ใกล้ชิด
ไม่มีอะไรยั้งให้หยุดฉุดให้อยู่ได้อีก  พันเอกสฤษดิ์ขึ้นลิฟต์ปรู๊ดเดียว จากพลตรีเป็นพลโท แม่ทัพภาคที่ 1   ตำแหน่งนี้เป็นที่รู้กันว่าใครได้เป็น  ตำแหน่งแม่ทัพบกก็ลอยมาแค่มือเอื้อม
ในปี พ.ศ. 2495 เลื่อนขึ้นเป็นพลเอก  รองผู้บัญชาการทหารบก  ด้วยวัย 44 ปี   ต่อมาได้เป็นรมช.กลาโหมในรัฐบาลจอมพล ป.

ในยุคอัศวินผยอง  เมื่อกำลังกองทัพตำรวจเริ่มแผ่ไพศาลไม่แพ้กองทัพทหาร    พลเอกสฤษดิ์ก็ยังวางตัวเงียบๆ ไม่ได้ดังโฉ่งฉ่างอย่างใดในบ้านเมือง  ปล่อยให้อธิบดีตำรวจอย่างพลต.อ.เผ่าดังนำหน้าไปก่อน    ประชาชนทั้งบ้านเมืองรู้จักชื่ออธิบดีตำรวจดีกว่ารองผู้บัญชาการทหารบกเป็นไหนๆ    แต่บารมีในกองทัพที่พลเอกสฤษดิ์สร้างขึ้นอย่างเงียบๆ ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามกันไม่ได้   พลต.อ.เผ่าจึงมองเขม็งหาจังหวะฟันอยู่   จนเกิดเหตุกองสลากอย่างที่คุณนวรัตนเล่ามาข้างบน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ส.ค. 10, 20:29
เราก็รู้กันว่า จอมพลป.ท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพลต.อ.เผ่า มาแต่แรก    เมื่ออธิบดีตำรวจเริ่มยืนคนละฟากกับรองผบ.ทบ.  นายกฯทำอย่างไร  ไกล่เกลี่ยอย่างไหน  เพราะนั่นก็คนสนิท  นี่ก็คนสนิท  ค้ำจุนอุ้มชูกันมาทั้งคู่  ควรจะให้สามัคคีกันด้วยดี

พ.ต.ท. พุฒ บูรณสมภพ  อดีตอัศวินแหวนเพชรของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เคยเขียนว่าจอมพล ป.ท่านไม่ได้คิดจะไกล่เกลี่ยให้ประนีประนอมทั้งสองฝ่าย    ท่านปล่อยให้เขม่นกันอยู่ยังงั้น ตามนโยบาย “แบ่งแยกแล้วปกครอง (divide and rule)”  นโยบายแบบนี้มีหลักกว่า ถ้าลูกน้องไม่แตกกัน ก็ต้องเสี้ยมให้แตก  เพราะมันรวมตัวสามัคคีกันเมื่อไร ก็จะรวมหัวกันช่วงชิงอำนาจให้นายหล่นจากเก้าอี้ได้ง่ายๆ    จึงต้องทำให้ต่างคนต่างอยู่ มองหน้ากันไม่ติดได้ยิ่งดี

แต่นโยบายแบบนี้ จะให้แตกกันจนลุกขึ้นห้ำหั่นกัน ก็ไม่ดีอีก   ถ้ายังงั้นก็จะต้องมีฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ   ซึ่งนายกฯเองย่อมลำบากในการเล็งว่าฝ่ายไหนชนะ   เผื่อทายผิดไป นายกฯก็เสร็จไปด้วย         ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้สองฝ่ายฮึ่มๆเข้าหากัน   แล้วท่านนายกฯ ก็ไกล่เกลี่ยไปเป็นครั้งคราว  เพื่อถ่วงดุลอำนาจเอาไว้ให้คงเดิม  และรักษาเก้าอี้นายกฯให้อยู่ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

ปัจจัยที่จะทำให้การเมืองสุกงอมจนแตกปริระเบิดออกมา   มักจะไม่มีปัจจัยเดียว     แต่มีหลายปัจจัยช่วยกันส่งเสริมหรือซ้ำเติมให้จุดจบมาถึงในที่สุด     นอกจากปัจจัยภายในที่มีเสือหลายตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันแล้ว  ก็มีปัจจัยภายนอกดังที่ท่านกูรูใหญ่กว่าเล่าไว้ในค.ห.บนๆ ย้อนหลังไป 3-4 ค.ห.    กลับไปอ่านอีกทีก็จะมองเห็นค่ะว่าราวๆปี 2499 สถานการณ์ก็สุกงอมเต็มทนแล้ว





กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 12 ส.ค. 10, 21:10
ขอเลี้ยวออกซอยเล็กไปอีกครั้ง  เรื่องพ.ท.โพยม จุลานนท์  บิดาของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ชีวิตการเมืองของท่านแบ่งออกเป็น 2 ช่วง   ในค.ห.นี้จะเล่าถึงช่วงแรกในยุครัฐบาลจอมพลป. 2  ก่อน

พ.ท.โพยม เมื่อครั้งยังรับราชการ เข้าร่วมในรัฐประหาร 2490  เป็นโฆษกชั่วคราวฝ่ายรัฐประหาร  เมื่อจอมพลผินรัฐประหารสำเร็จ  พ.ท.โพยมก็ลาออกจากราชการทหารลงเล่นการเมืองเต็มตัว สมัครเป็นส.ส. เพชรบุรี  สอบผ่านได้รับเลือกตั้ง   ปี 2491 ได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกบีบให้ลาออก
พ.ท.โพยมเป็นคนมีอุดมคติ  เมื่อเป็นส.ส.ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างแข็งขัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน    ข้อหนึ่งที่พ.ท.โพยมไม่เห็นด้วยเลยก็คือการขึ้นเป็นใหญ่แล้วใช้อำนาจหน้าที่คอรัปชั่น ทั้งทางตรงทางอ้อม  ผลจากเป็นส.ส.ปากกล้า กล้าทำงานตรงไปตรงมาตามอุดมคติ คือถูกหมายหัวเอาไว้จากผู้เป็นใหญ่    ไปไหนมาไหนถูกสันติบาลตามแจ
ด้วยผลงานที่ระคายใจผู้ใหญ่    จึงถูกยัดข้อหากบฏเสนาธิการว่ามีเจตนาจะโค่นล้มรัฐบาล   เมื่อวันที่ ๑  ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เมื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภา พ.ท.โพยมก็มาเปิดเผยตัวต่อสู้ในสภา  เมื่อปิดสมัยประชุม  ก็เล็ดรอดเงื้อมมือสันติบาลหลบหนีเอาชีวิตรอด    จนจบรัฐบาลจอมพลป. 2  ถึงกลับมาเปิดเผยตัวต่อสู้คดี  จนศาลพิพากษายกฟ้อง
แต่ชะตาของพ.ท.โพยมก็ไม่จบลงแค่นี้     ยังต้องระหกระเหินหลบหนีไปอีกยาวนาน    แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลจอมพลป. 2  จึงขออินเทอมิชชั่นไว้แค่นี้ก่อนค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 10, 10:35
หยุดสัปดาห์ยาวเช่นนี้ ผู้คนในเรือนไทยดูจะโหรงเหรง แต่ผมไม่ได้ไปไหนเพราะติดฝนอยู่กับบ้าน ก็จะว่าไปเรื่อยๆก็แล้วกันนะครับ ท่านใดเข้ามาจะย้อนกลับไปขยายความตรงไหนบ้างก็เชิญตามสบาย

อาวุธที่ฝ่ายการเมืองต่างๆใช้ป้องกันตัวและโจมตีคู่ต่อสู้ก็คือหนังสือพิมพ์ สมัยก่อนยังไม่มีดีเจวิทยุและทีวีที่ทุกบ้านในสมัยนี้มีกันหมด หนังสือพิมพ์ถือว่าเป็นสื่อที่ชาวบ้านชาวเมืองติดกันงอมแงม แต่ที่ลงทุนควักกระเป๋าซื้อเองจะเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะคอยอ่านฟรีที่ที่ทำงานหรือตามสภากาแฟ หนังสือพิมพ์อิสระจริงๆจึงอยู่ได้ยาก จะมีแค่ฉบับสองฉบับเช่น พิมพ์ไทย สยามนิกรและสยามรัฐของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซึ่งแขวนนวมจากเวทีการเมืองในช่วงนั้นออกไปลงทุนทำ เป็นต้น นอกนั้นต้องสังกัดค่ายการเมืองเพื่อให้มีเงินมาสนับสนุนการดำเนินงาน สฤษดิ์เองมีหนังสือพิมพ์ก่อนเผ่า และดังๆมีอยู่ถึง2ฉบับ คือสารเสรี และไทรายวัน นายสังข์ที่สนับสนุนจอมพลป.มี เสถียรภาพ เมื่อค่ายราชครูถูกโจมตีมากๆก็ต้องมีหนังสือพิมพ์บ้าง เช่นเผ่าไทย ไทยเสรี และหนังสือพิมพ์ที่ชื่อเก๋ว่า 2500 แต่วงการหนังสือพิมพ์ด้วยกันเปลี่ยนชื่อให้เก๋ซะยิ่งกว่าว่า กิโลรายวัน เพราะขายไม่ค่อยออกเนื่องจากเชียร์รัฐบาลตะบี้ตะบันเหมือนข่าวแจกจากกรมกร๊วก แผงส่งคืนกลับไปให้โรงพิมพ์ชั่งขายเจ็กเป็นกิโลๆทุกวัน นอกสังกัดก็มีอีกหัวหนึ่งชื่อ หนังสือพิมพ์เช้า ที่บรรดาอัศวินทั้งหลายลงขันกันชเลียร์นายเผ่าด้วยการขุดคุ้ยเรื่องทุจริตของสฤษดิ์ โดยเฉพาะเรื่องเงินกองสลาก มานำเสนอทุกวี่ทุกวัน จนสารเสรีต้องตอบโต้ด้วยการเปิดโปงบทบาททางร้ายๆของอัศวินและนายเผ่าบ้าง เช่นเรื่องการไล่ล่าสังหารนักการเมืองแบบละเอียดเหมือนนั่งอยู่ในเหตุการณ์ เรื่องค้าฝิ่นเถื่อน ทองคำเถื่อน ของหนีภาษี และเรื่องสดๆร้อนๆเบื้องหลังการปล้นเงินจากธนาคารเอเซียสาขาวิสุทธิกษัตริย์ที่สฤษดิ์นั่งเป็นประธานกรรมการอยู่ บ่งบอกว่าตำรวจเป็นผู้ร้ายเสียเองเพื่อต้องการหักหน้าคนบางคนที่ว่าแข้งใหญ่นัก

พอดีเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตตรวจยึดฝิ่นเถื่อนจำนวนถึง20ตันได้ที่สถานีรถไฟเป็นข่าวใหญ่ นักข่าวถามจอมพลป.ในเพรสคอนเฟอร์เร้นส์ทันทีว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไง จอมพลป.ท่านก็ตอบไปซื่อๆว่านั่นมันเรื่องของคุณเผ่าเขา บราๆๆๆ  คนฟังก็เข้าใจว่าท่านหมายถึงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับท่านโดยตรง อยากรู้ก็ต้องไปถามเผ่าเองเพราะเป็นอธิบดีตำรวจ แต่วันรุ่งขึ้นสารเสรีของสฤษดิ์ก็พาดหัวไม้ว่า ฝิ่น20ตันของเผ่า แต่เนื้อข่าวข้างในก็เขียนอย่างที่ผมว่าไปแล้ว

เรื่องทีเล่นกันโต้งๆถึงขนาดนี้ทำเอาเผ่าเลือดขึ้นหน้าจนแทบจะกระอักออกมาทางปาก แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมีคนจัดเวรให้นายจ่ามานั่งประกบบ.ก.ของสารเสรีอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนเดินจากโต๊ะเหล้าไปเข้าส้วม จึงต้องขอพึ่งบารมีศาล ฟ้องสารเสรีในข้อหาหมิ่นประมาท คดีนี้ในที่สุดศาลท่านเห็นว่าจำเลยผิดจริง พิพากษาให้จำคุก6เดือน ปรับ2000บาท ลดฐานสารภาพให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก3เดือน ปรับ1000บาท แต่ลดหย่อนฐานไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน โทษจำให้รอลงอาญาไว้2ปี คงปรับ1000บาท เมื่อสิ้นคำพิพากษาก็มีชายแต่งตัวดูเหมือนจะเป็นทหารเอาเงินชำระค่าปรับให้กับศาลทันที  บ.ก.สารเสรีก็เป็นอิสระก่อนที่จะแยกย้ายกันไปกินเหล้าตามกิจวัตร


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 10, 10:56
เรื่องฝิ่น20ตันที่เป็นเรื่องขึ้นนี้ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ อัศวินแหวนเพชรคนสนิทของพล.ต.อ.เผ่า ได้เขียนเล่าไว้ว่า

"สมัยนั้นเมืองไทยยังมีโรงยาฝิ่น ประชาชนเข้าโรงยาฝิ่นไปพักผ่อนนอนสูบฝิ่นกันได้อย่างเสรีในนั้น พวกนักเลงขี้ยาและนักเลงต่างๆ ก็ใช้โรงยาเป็นที่พบปะกันเหมือนกัน ตำรวจจึงทำตัวเป็นนักเลงฝิ่นเข้าไปคลุกคลีหาข่าวได้ง่ายๆ วิธีหนึ่ง รัฐบาลไทยมีสัญญากับประเทศอิหร่านที่สมัยนั้นเรียกว่าเปอร์เซียในการซื้อฝิ่นดิบจากที่นั่นแห่งเดียวจะไปซื้อที่อื่นไม่ได้ สัญญานี้เป็นสัญญาระยะยาว นอกเสียจากถ้าทางเราจับกุมฝิ่นเถื่อนได้ ก็ให้ใช้ฝิ่นเถื่อนที่จับได้นั้นได้ แต่ถ้าจะซื้อเข้าประเทศจะต้องซื้อจากเปอร์เซียแห่งเดียว ระยะนั้น กระทรวงการคลังเกิดขาดเงินงบประมาณซื้อฝิ่น และฝิ่นดิบก็กำลังจะหมดคลังอยู่อีกไม่เท่าไหร่ ทำยังไงจึงจะหาฝิ่นมาเข้าสต็อกได้ เงินหมด ไม่มีงบซื้อเข้า ทางการก็ประชุมกันคิดหาทางแก้ไข ผลการประชุมมีออกมาว่า จะต้องขนฝิ่นเองโดยไปหาซื้อเอาจากกลุ่มชาวเหนือที่เป็นชาวเขา ที่นั่นเป็นดงฝิ่นของพวกหากินกับฝิ่นเถื่อน หาซื้อที่นั่นราคาถูกกว่า แล้วทำเป็นจับมาได้ ขนเป็นของกลางมาเข้าคลังสรรพสามิต

ที่ประชุมตกลงกันแล้วก็สั่งการลงมาลับๆ ใครล่ะจะเป็นคนทำงานชิ้นนี้ คำสั่งก็มาตกตูมลงที่กรมตำรวจที่มีอธิบดีเป็นบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย เมื่อคำสั่งมาจากท่านผู้ใหญ่ มีหรือที่ท่านบุรุษเหล็กจะปฏิเสธ ยิ่งเป็นงานที่ไม่มีใครรับทำเพราะไม่มีกำลังคนที่จะทำงานใหญ่เช่นนี้ได้ ตำรวจไทยก็ต้องทำได้ ผม(พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ)ถูกเรียกตัวเข้าพบ พล.ต.อ.เผ่า สั่งว่า มึงไปจัดการให้สำเร็จทีเถอะวะ เอาพวกมึงไปช่วยด้วย มึงไปจัดการเอาเอง สั่งการแค่นั้นก็หมดคำสั่ง นอกจากนั้นให้ผมไปคิดเอาเอง ผมถามไปทางสรรพสามิตว่ามีงบประมาณให้ผมเท่าไหร่ สรรพสามิตให้ถามไปทางกระทรวงการคลัง เขาไม่รู้เรื่อง มีหน้าที่แต่เพียงคอยรับของกลางที่จับได้เท่านั้น ถามไปทางกระทรวงการคลังก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คงจะเป็นที่รู้กันเฉพาะเบื้องสูง คือ ระดับรัฐมนตรีและสูงไปอีก ต่อมาผมให้เจ้านาย(พล.ต.อ.เผ่า)ถามไป มีคำตอบมาคือ มีงบพอสำหรับจำนวนขนาดสิบตัน แต่ต้องไปแลกเป็นทอง พวกฮ่อเจ้าของฝิ่นเขาไม่รับเงินไทย รับแต่ทองน้ำหนักราคาเท่าราคาฝิ่น

ผมชวนเพื่อนรักของผมไปด้วย ก็ไอ้อ้วน(พ.ต.อ.พันศักดิ์ วิเศษภักดี)นั่น และเอาตำรวจที่ไว้ใจได้ใช้งานกันสนิทไปห้าคน มีอาวุธพร้อมเผื่อมีอะไรที่ต้องแก้ไขในดินแดนนอกเขตไทยนั้น ไว้ใจไม่ได้ว่าจะมีอะไร ผมมีพวกงานลับฝ่ายจีนของผมอยู่ในแดนนั้นอยู่แล้ว ตั้งสำนักงานอยู่ในถิ่นนั้น ผมเรียกเขามาคนหนึ่ง ไม่บอกว่าจะไปทำอะไร เพียงแต่บอกว่าผมจะขึ้นเหนือเข้าเชียงตุงไปดูสำนักงานของเราที่นั่นให้เขาเตรียมที่ทางและคนไว้ จะเดินทางทันทีที่วิทยุไปบอก การเดินทางบินไปลงจังหวัดลำปางต่อรถไปเชียงรายเข้าอำเภอแม่สาย คืนนั้นเข้าไปในแดนพม่าที่พวกฮ่อยึดครองอยู่ เข้าไปที่หน่วยของผมที่นั่นมีนายพลจีนคนสำคัญคอยผมอยู่แล้ว เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกกองพล ๙๓ คุมพวกฮ่อส่วนใหญ่

ในคืนนั้นเอง ขบวนฬ่อบรรทุกฝิ่นก็เดินมากันเป็นแถวยาวประมาณ ๕๐-๖๐ ตัว มีการขนฝิ่นที่บรรจุในกระป๋องขนาดใหญ่ลงจากหลังล่อและจ่ายเงินให้ผู้ที่เป็นหัวหน้า หลังจากนั้นขนฝิ่นขึ้นรถบรรทุกกลับเข้าเขตไทย เดินทางเข้ากรุงเทพฯ สมัยนั้นยังไม่มีการตัดถนนจากเชียงรายเข้าเชียงใหม่ จึงต้องใช้เส้นทางผ่านจังหวัดลำปาง ถึงลำปางเมื่อตอนสาย มีการติดต่อนายสถานีรถไฟบอกว่ามีการจับฝิ่นมาได้ และจะนำไปเก็บที่คลังกรมสรรพสามิต นายสถานีได้จัดตู้รถไฟให้ ๒ ตู้ นำฝิ่นขึ้นใส่ตู้บรรทุกเข้ากรุงเทพฯ โดยผมกับคณะนั่งคุมฝิ่นเข้ากรุงเทพฯด้วย แต่เกิดปัญหาเมื่อขบวนรถไฟมาถึงสถานีจังหวัดอุตรดิตถ์ หัวหน้าหน่วยสรรพสามิตอุตรดิตถ์จะขอตรวจค้นและดูฝิ่น แต่ผมไม่ยอม มีการโต้เถียงกันและตกลงว่า หัวหน้าสรรพสามิตจะนั่งไปด้วยเพื่อคุมฝิ่นไม่ให้มีการสูญหาย เมื่อถึงสถานีบางซื่อ รถของกรมสรรพสามิตมารับฝิ่นไป เป็นอันเสร็จสิ้น แต่ในวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวโจมตีทันทีว่า "ตำรวจไทยค้าฝิ่น”

(จากบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย,พ.ต.อ.พุฒ บูรณะสมภพ)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 10, 10:59
พอประกาศว่าตนจะลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์ความเป็นนักประชาธิปไตยแท้จริง ไม่ใช่เผด็จการตามที่หนังสือพิมพ์ทั้งหลายและดาวไฮปาร์คกล่าวหา ยักษ์อีกตนหนึ่งที่จอมพลป.เปิดจุกให้ออกมาโลดแล่นคือพรรคกรรมกร ซึ่งตั้งขึ้นภายใต้การผลักดันของนายสังข์ พัธโนทัย โดยมีฐานจากสมาคมเสรีแรงงานภายใต้การอุปถัมภ์ของพล.ต.อ.เผ่า ซึ่งนายเลื่อน บัวสุวรรณเป็นนายกสมาคมอยู่ มีสมาชิกจากรัฐวิสาหกิจเยอะพอสมควร  เมื่อปี2499จอมพลป.ได้ปล่อยพ.ร.บ.แรงงานออกมาเป็นครั้งแรก กับประกาศให้วันที่1พฤษภาคมเป็นวันกรรมกร รัฐสนับสนุนงบประมาณให้กรรมกรจัดงานฉลองยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวง จอมพลป.ไปปราศัยเปิดงานเองในวันนั้น ยกย่องผู้ใช้แรงงานว่าชาวโลกล้วนเป็นหนี้พวกท่าน

จากพ.ร.บ.ดังกล่าวทำให้เกิดสหภาพแรงงานโดยถูกกฏหมายขึ้นมาเป็นร้อย จ๊อบแรกๆที่ผู้นำสหภาพพึงกระทำเพื่อสร้างผลงานให้ปรากฏแก่สมาชิกก็คือ ตั้งข้อเรียกร้องจากนายจ้างในเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการต่างๆ เมื่อไม่ได้ก็นัดหยุดงานที่เรียกว่าสไตร้ค์ เมื่อแห่งหนึ่งได้ผลอีกแห่งหนึ่งก็ต้องเรียกร้องบ้าง ลุกลามไปทั่ว และนายสังข์ในนามของนายกสมาคมกรรมกรไทย ที่คนทั่วไปรู้อยู่ว่าเป็นหน้าม้าของใครก็ดูเหมือนจะมีบทบาทไปทั่ว ที่เหลือบ่ากว่าแรงตนนายสังข์ก็ไปดึงจอมพลป.มาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกับนายจ้าง ทำให้ทุกเรื่องจบแบบลูกจ้างได้ประโยชน์ แม้จะไม่ได้ทุกอย่างที่ต้องการทุกครั้งก็ตาม ทำให้จอมพลป.เป็นขวัญใจ ได้คะแนนนิยมจากบรรดาคนรากหญ้าอย่างเป็นกอบเป็นกำ ในขณะที่กลุ่มนายจ้างก็มึนว่านี่ท่านนายกท่านเล่นอะไรของท่านอยู่ฟร๊ะ บ๊ะแล้วกัน

แต่ถึงตอนนี้ จอมพลป.ท่านก็คิดว่าคะแนนเสียงของท่านจะเป็นต่อนายควง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้วนิดๆ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 10, 11:04
การเลือกตั้งถูกกำหนดขึ้นในวันที่20เดือนกุมภาพันธ์ปี 2500 ปีนี้เป็นปีที่สำคัญมากทางพระพุทธศาสนา ทั่วโลกจะมีการฉลองกึ่งพุทธกาลกันใหญ่โต รวมทั้งประเทศไทยที่จอมพลป.ท่านมีแผนและดำเนินไปแล้วอย่างใหญ่โตมโหฬาร ดังนั้นท่านจึงควรจะต้องอยู่เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเพื่อเป็นประธานในงานฉลองนี้ กุศลผลบุญจะได้ส่งให้ท่านได้เป็นจ้าวคนนายคนเป็นนายกรัฐมนตรีอีกทุกชาติไป

แต่นับวันนับเดือนใกล้การเลือกตั้งเข้ามา อะไรๆมันดูจะไม่ค่อยลงตัว ลูกน้องข้างกายที่ปกครองแบบกะจะให้แบ่งแยกซ้ายขวากันพองาม ก็ถ่มวาจาข้ามศรีษะท่านในหน้าหนังสือพิมพ์ เละเทะมาแปดเปื้อนใบหน้าของลูกพี่ด้วยทุกครั้ง นายควงและทีมด่าก็ไม่เคยเว้นเลยซักครั้งที่จะไม่นำไปขยายผลในไฮปาร์คท้องสนามหลวง เลยทำให้พวกไม่เคยคิดจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้รับฟังความข้างเดียว พรรคเสรีมนังคศิลาที่มาตั้งเวทีประชันยังฝั่งตรงข้ามก็มีคนฟังโหรงเหรง แถมไม่จ้าง มันก็ไม่ยอมมานั่งฟังพวกประธานเชียรนำทีมเชลียรรัฐบาลจืดชืด สู้เรื่องด่าของฝ่ายโน้นไม่ได้ คนฟังเป็นหมื่นๆ เฮๆกันทีไรกลบเสียงทางฝ่ายนี้หมด ต้องหาตัวด่ามาด่าพรรคฝ่ายค้านบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยมีเรื่องจะให้ด่านอกจากเรื่องเก่าๆล้าสมัยคนลืมกันไปแล้ว และเผ่าซะเองที่พลาดปากบนเวทีไปแขวะนายควงว่า รูปร่างอย่างกับขี้ยา ไม่น่าจะมาเสนอตัวเป็นนายกกับเขา ควรเลือกจอมพลป.ดีกว่าเพราะมีสง่าราศีกว่าเยอะ นายควงก็ขึ้นเวทีโน้นสวนกลับมาว่า ที่ตนรูปร่างเหมือนขี้ยาก็เพราะเสพย์ฝิ่นเข้าไป20ตัน เสียดายได้ข่าวว่าตำรวจจะเอาฝิ่นไปถ่วงน้ำซะแล้ว ปลาคงจะเมาฝิ่นกันแประ หนังสือพิมพ์ก็เอาไปประโคมอีก จอมพลป.ชั่งน้ำหนักดูเห็นว่าตนเข้าเนื้ออีกแล้ว จึงเรียกเผ่ามาเบรคว่าอย่าพูดอะไรเลยเห็นจะดีกว่า

เมื่อตั้งเวทีเผชิญหน้าแล้วดูถ้าจะเหนื่อย ฝ่ายเสธ.ของพรรคเสรีมนังคศิลาจึงจัดให้จอมพลป.ออกไปหาเสียงแบบดาวกระจายบ้าง เช่นไปเปิดเดี่ยวไมโครโฟนที่คลองเตย กรรมกรอยู่กันเยอะๆ ที่สุเหร่ามหานาคหาเสียงกับพวกมุสลิมบ้าง ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หาเสียงกับปัญญาชนบ้าง คนระดับดาราดังไปปรากฏตัวเช่นนี้คนก็มาฟังกันล้นหลามเหมือนกัน ยิ่งจอมพลป.ได้ชื่อว่าเป็นคนปากหวานนุ่มนวล มีวาทะศิลป์สามารถโน้มน้าวใจได้ดีติดอันดับต้นๆของจู้คบอกซ์ คะแนนจึงเริ่มตีตื้นขึ้นมาได้บ้าง

แต่เมื่อใกล้วันตัดสิน พล.ต.อ.เผ่าเลขาธิการพรรคประเมินแล้ว ถ้าปล่อยให้การเลือกตั้งดำเนินไปตามครรลองของมัน คะแนนเสียงของพรรคเสรีมนังคศิลาคงจะไล่กวดไม่ทัน ในกรุงเทพสงสัยพรรคประชาธิปัตย์จะนอนมาเป็นแน่แท้ จอมพลป.เองถ้าชนะก็คงจะหลุดเข้าไปคนเดียวแบบหืดจัด ส่วนท่านผู้หญิงละเอียดนั้นคงได้แน่ เพราะไปลงที่นครนายกโดยตนเองเป็นเอกภรรยาของนายก (ณ ที่นี้แปลว่าภรรยาคนเดียว ไม่ใชเมียหลวงของนายกนะครับท่านผู้อ่าน)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 10, 12:50
เรื่องฝิ่น20ตันที่เป็นเรื่องขึ้นนี้ พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ อัศวินแหวนเพชรคนสนิทของพล.ต.อ.เผ่า ได้เขียนเล่า ในหนังสือจากบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย,พ.ต.อ.พุฒ บูรณะสมภพ

ถ้าหากว่าข้อเขียนของพ.ต.อ.พุฒ เป็นเรื่องข้อเท็จจริงล้วนๆ ไม่ได้สร้างขึ้นมา   อ่านแล้วก็ได้ความรู้จากข้อเขียนนี้ ด้วยความอัศจรรย์ใจ  ว่า
๑   ฝิ่นสมัยนั้น เป็นของถูกกฎหมาย เหมือนบุหรี่หรือเหล้าในสมัยนี้
๒   ทางราชการค้าขายและควบคุมฝิ่นเอง
สองข้อนี้ไม่อัศจรรย์ใจเท่าไร   เพราะจำได้ว่ามีโรงยาฝ่ิ่นมาก่อนตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์  ใครใคร่สูบก็สูบ   ผู้ใหญ่เล่าว่าคนสูบฝิ่นสมัยก่อนสูบแล้วติด มีอาการซึมเลื่อนลอย   ผอมแห้ง ผิวเหลืองซีด  ถ้าอดไม่ได้ก็ลงแดงตายไป   แต่พวกนี้ไม่อาละวาดคลุ้มคลั่งอย่างพวกติดยาบ้าในสมัยนี้  
   แต่ที่อัศจรรย์ใจมากๆคือข้อต่อไป ที่แสดงว่า
๓   รัฐบาลจอมพล ป.  ค้าฝิ่นเถื่อน    กระทำกันในนามรัฐบาล ไม่ใช่ส่วนตัวของค.ร.ม. คนใดคนหนึ่ง  เพราะมีการประชุม และผลการประชุมมอบหมายให้อธิบดีตำรวจเป็นคนจัดหาฝิ่นเถื่อน     ไม่ใช่ซุบซิบทำกันอยู่ที่บ้านเป็นส่วนตัว ระหว่างนาย ก. และนาย ข.
๔      
อ้างถึง
"ผมถามไปทางสรรพสามิตว่ามีงบประมาณให้ผมเท่าไหร่ สรรพสามิตให้ถามไปทางกระทรวงการคลัง เขาไม่รู้เรื่อง มีหน้าที่แต่เพียงคอยรับของกลางที่จับได้เท่านั้น ถามไปทางกระทรวงการคลังก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คงจะเป็นที่รู้กันเฉพาะเบื้องสูง คือ ระดับรัฐมนตรีและสูงไปอีก ต่อมาผมให้เจ้านาย(พล.ต.อ.เผ่า)ถามไป มีคำตอบมาคือ มีงบพอสำหรับจำนวนขนาดสิบตัน"
      อ่านหลายเที่ยวเพื่อจับให้ได้ว่างบประมาณไปซื้อฝิ่นนั้นเอามาจากกระทรวงไหน   ก็สังเกตว่าหน่วยงานรัฐไม่ว่าสรรพสามิต หรือกระทรวงการคลังล้วนแต่หนีไม่เอาด้วยทั้งนั้น     แต่เมื่อพลต.อ.เผ่าถามไปถึงเบื้องสูง คือระดับค.ร.ม.และหัวหน้า    ก็กลับมีงบมาให้สำหรับฝิ่นสิบตัน     ก็แปลว่าเป็นงบประดับนายกรัฐมนตรีสั่งจ่าย

ข้อสงสัยต่อไปจากการอ่านข้อเขียนของพ.ต.อ.พุฒก็คือ  ฝิ่นแค่สิบตัน  มันจะใช้สูบกันทั่วประเทศได้สักกี่วันกัน
สมมุติว่าขบวนการซื้อฝิ่นอย่างนี้มีจริง   คือมีการคุ้มกันและดำเนินงานจากเจ้าหน้าที่ของรัฐทำให้ไม่มีใครแตะต้อง     ถ้ามีผู้ประสงค์จะสมทบทุนซื้อเพิ่มอีกสัก 10 ตัน เป็น 20 ตัน       เงินสมทบทุนนี้ก็ไม่เกี่ยวกับรายได้ของรัฐบาล แต่ไปเข้ากระเป๋าเอกชนใช่ไหม?
อีกอย่างคือ ไหนๆจะขนกันแล้ว   ขนเที่ยวเดียวก็ไม่คุ้ม  แจ้งเป็นทางการว่าขน 1 ครั้งแต่จริงๆขนสัก 10 ครั้งก็ยังได้

เมื่อนายตำรวจตงฉินอย่างพ.ต.อ.บรรจง ชีพเป็นสุข มองเห็นขบวนการโจรขนฝิ่นที่แอบแฝงอยู่ในอะไรก็ตามที่อ้างว่าถูกต้อง   ไปขัดขวางจับกุมเข้า   ท่านก็ถูกขจัดให้พ้นทางไปด้วยข้อหากบฏวังหลวง  ได้ไม่มีใครรื้อฟิ้นคดีขึ้นมาได้อีกว่าของจริงคืออะไรกันแน่


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 13 ส.ค. 10, 16:44
คอมพิวเตอร์ไม่อำนวยให้เข้ามาลงชื่อเข้าห้องเรียนได้สะดวก แต่ยังแอบอยู่หลังห้องได้อยู่นะคะ
ยังแอบเข้าห้องเรียนทุกครั้งที่มีโอกาสค่ะ เดี๋ยวอาจารย์คิดว่านักเรียนหายไปไหน  :-[


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: bookaholic ที่ 13 ส.ค. 10, 17:23
มายกมือลงชื่ออีกคนครับ ติดตามเสมอแต่ไม่ค่อยมีโอกาสจะแสดงความเห็น

ฝิ่นในอดีตมาจากจีน   ก่อนสามเหลี่ยมทองคำจะกลายเป้นแหล่งเป็นล่ำเป็นสัน     รัชกาลที่ 1 - 3 พยายามปราบปรามเท่าใดก็ไม่เป็นผล   เกิดเรื่องอั้งยี่จนต้องฆ่ากันเป็นเบือ ก้มาจากฝิ่น      จนรัชกาลที่ 4  ทรงตั้งภาษีฝิ่นขึ้นมาถึงเลิกปราบปราม    เก็บเงินค่าภาษีเข้าคลังได้มาก    ใน  รัชกาลที่ 5  พยายามจะจำกัดให้ลดน้อยลง แต่ก็ทำได้แค่ให้ลด ละ แต่ชาวบ้านยังไม่เลิก    จนมาถึงยุคที่เล่ากันเนี่ยละครับ 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 10, 19:01
ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ที่จอมอัศวินอย่างเผ่าคิดว่าตนทำไม่ได้ เรื่องฝิ่นข้างบนถือเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเอาไว้ว่ากันใหม่ทีหลังเมื่อการเลือกตั้งเสร็จ  ครั้งนี้เห็นทีจะเอาชนะประชาธิปัตย์ด้วยคะแนนมนุษย์ไม่ได้ เผ่าก็คิดจะเอาคะแนนผีมาช่วยลูกพี่ให้ได้เป็นนายกอีกสักสมัยนึงให้สมปรารถนา

บรรดาหัวคะแนนของพรรคเสรีมนังคศิลานั้น เผ่าได้ทำแหนบเครื่องหมายตราไก่ประจำตัวของจอมพลป.ให้เสียบกระเป๋าโดดเด่น ไม่ใช่จะให้ไปใช้เบ่งกินข้าวมันไก่ฟรีที่ไหน แต่เอาไว้ให้พวกข้าราชการเห็นว่าข้านี่แหละโฟ้ย เด็กนาย แหนบนี้ใช้ได้ดีกับพวกตำรวจสำหรับการกระทำผิดเล็กๆน้อยๆ เช่นขับรถฝ่าไฟแดง หรือจอดในที่ห้ามจอด ตำรวจจะจับก็สามารถบอกว่าจะรีบไปหาเสียงให้นาย ขอให้ช่วยอำนวยความสะดวกหน่อย ไม่ว่าหมวดหรือจ่าก็ต้องตาเบ๊ะเชิญครับท่าน

พอนักหนังสือพิมพ์ตั้งข้อสังเกตุว่า บรรดาหัวคะแนนของพรรคเสรีมนังคศิลาล้วนแต่เป็นพวกนักเลงทั้งนั้น เผ่าก็ยอมรับว่าเป็นความจริง แต่การเป็นนักเลงไม่ได้เสียหายอะไรไม่ใช่รึ ในสมัยโบราณพวกนี้หมายถึง“ผู้กว้างขวาง”ในสังคมไง  คำว่าผู้กว้างขวางจึงติดมาจนถึงปัจจุบัน เวลาที่หนังสือพิมพ์จะเรียกใครสักตัวหนึ่ง แต่ไม่กล้าระบุว่าเป็นนักเลงอันธพาลอย่างตรงๆ ก็จะใช้ศัพท์นี้

ผู้กว้างขวางของเผ่าระดับมือเท่านั้นที่จะได้รับแหนบ แต่ระดับตีนจะได้รับเป็นบัตรพิมพ์เครื่องหมายตราไก่ ซึ่งถือเป็นบัตรประจำตัวของทีมงานพรรค แต่ผู้พกบัตรนี้ส่วนหนึ่งเป็นนักเลงอันธพาลที่ผมเล่าไปแล้ว สามารถเอาไปใช้ได้ดีในการประกอบอาชีพคุมบ่อนคุมซ่อง สร้างความอิดหนาระอาใจให้แก่ตำรวจแท้ๆที่ยังมีอยู่เป็นอันมาก

บรรดาผู้กว้างขวางเหล่านี้ได้ทยอยถูกเรียกไปรับจ๊อบสำคัญอย่างเป็นความลับ ทำอย่างไรพรรคของจ้าวนายจึงจะได้รับการเลือกตั้ง แต่ความลับดังกล่าวก็รั่วออกมาท่วมหัวท่วมหูหนังสือพิมพ์เสียอีกว่าจะมีทั้งพลร่ม เวียนเทียนและไพ่ไฟ ข่าวนี้ทำให้นายชลอ วนะภูติ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครผู้รับผิดชอบในการดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรมต้องออกมาปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ รวมทั้งลงทุนสาบานว่าจอมพลป.เองท่านเรียกตนไปสั่งนักสั่งหนาให้ช่วยดูแลการเลือกตั้งให้ดีที่สุด อย่าให้มีทุจริต

พล.อ.สฤษดิ์นั้น บอกกับหนังสือพิมพ์ว่าได้ข่าวดังกล่าวมาเช่นนั้นเหมือนกัน และรู้สึกเป็นทุกข์จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำไมคนช่างไปเข้าใจว่าคุณเผ่าจะโกงเสียเรื่อย ตนขอบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า เลขาธิการเผ่าไม่เคยสั่งให้ตนในฐานะกรรมการพรรคให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้หรือให้อยู่เฉยๆเลย แต่หากลูกน้องของเผ่าบางคนที่ภักดีเกินไปจะเล่นอย่างนั้น ตนก็ไม่รู้ด้วย

เพื่อให้เห็นว่าพูดจริงทำจริง สฤษดิ์ก็เรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั่วประเทศ ขอให้ทุกคนวางตนเป็นกลาง ในฐานะที่ทหารของชาติ ห้ามไม่ทำตามคำสั่งของพรรคการเมืองใดเป็นอันขาด พอหนังสือพิมพ์ลงข่าวไป สฤษดิ์ก็ได้เป็นพระเอกอีก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 13 ส.ค. 10, 19:08
ผู้สมัครส.ส.ของพรรคเสรีมนังคศิลามีดังนี้  1 จอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี 2 พล.อ.ท มุนี มหาสันทนะ เวชยันต์รังสฤษดิ์ รองนายกรัฐมนตรี  3 พล.อ.เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีคลัง 4 พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์  รัฐมนตรียุติธรรม 5 พลเอก มังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีศึกษาธิการ 6 .พลโท บัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รัฐมนตรีคมนาคม 7 พลเอก หลวงสวัสดิ์สรยุทธ์ รัฐมนตรีช่วยวัฒนธรรม 8 พล.อ. เดช เดชประติยุทธ รัฐมนตรีช่วยมหาดไท 9 พ.ต. รักษ์ ปันยารชุน รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศและมีตำแหน่งใหญ่อีกตำแหน่งหนึ่งคือ เป็นลูกเขยหัวหน้าทีม

เพื่อให้จำง่าย จึงเรียบเรียงให้คล้องจองกันว่า พิบูล-เวชยันต์-บริภัณฑ์-ลัดพลี-โยธี-บัญญัติ-สวัสดิ์-เดช-รักษ์ เจ้าบทเจ้ากลอนซะไม่มีใครเกิน

เมื่อวันเลือกตั้งมาถึง พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งตั้งให้หลวงอังคณานุรักษ์ เป็นหัวหน้าหน่วยจับโกงเลือกตั้ง ระดมคนของพรรคมาช่วยกันทำงานอย่างมีระบบ โดยได้นักศึกษาจากธรรมศาสตร์กลุ่มใหญ่มาช่วย ออกประจำทุกหน่วยเลือกตั้ง กะจะไม่ให้พรรคเสรีมนังคศิลานำพลร่มมาเวียนเทียนเข้าหย่อนบัตรซ้ำซากได้

น่าประหลาดที่หน่วยเลือกตั้งทั้งหลายจะมีบุรุษในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล ติดแหนบตราไก่เป็นคนคุมอยู่ ไม่รู้ว่ามีหน้าที่อะไรอย่างเป็นทางการ ส่วนผู้กว้างขวางประจำถิ่นก็ติดแหนบตราไก่อย่างเดียวกันนี้ มีหน้าที่ขนชาวบ้านออกมาลงคะแนนเสียงเป็นระรอกๆ พอมีคนทักว่าเมื่อกี้มีคนหน้าอย่างนี้มาลงคะแนนไปหมู่นึงแล้ว นี่เป็นชุมชนคนฝาแฝดหรืออย่างไร ผู้กว้างขวางก็จะมาช่วยตอบคำถามให้และข่มขู่บรรดาผู้สังเกตุการณ์ไม่ให้สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นจนเกินงาม

ที่หน่วยเลือกตั้งอุรุพงษ์ ซึ่งตั้ง ณ สมาคมสตรีไทยอันท่านผู้หญิงละเอียดเป็นนายิกาสมาคมอยู่ก็ทำอะไรๆปัญญาอ่อนให้เขาจับได้ ก่อนจะเริ่มเปิดให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเข้าหย่อนบัตร กรรมการไม่ยอมเปิดหีบให้ประชาชนดูตามระเบียบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นหีบเปล่า นอกจากนั้นผู้สังเกตุการณ์ยังได้เห็นบัตรลงคะแนนกองอยู่บนโต๊ะกรรมการ7 ปึกใหญ่เลยขอให้เปิดดูด้วย  กรรมการไม่ยอมอีกจนเกิดโต้เถียงกันเอะอะ ประชาชนก็เฮเข้าข้างประชาธิปัตย์ ผู้กว้างขวางติดแหนบก็ตีรวนทันทีหาว่าประชาธิปัตย์พยายามก่อกวนการเลือกตั้ง เกือบจะประทะกันอยู่แล้ว แต่ไม่ทราบใครโทรแจ้งเหตุให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครทราบ และผู้ว่าชะลอพร้อมสารวัตรทหารอาวุธครบมือ3นายก็บึ่งมาหย่าศึกทันเหตุการณ์พอดี เมื่อตรวจดูก็พบว่าบัตรเลือกตั้งทั้ง 7 ปึกนั้น กาหมายเลข 25-33 ของทีมเสรีมนังคศิลาไว้เรียบร้อย กะรอจังหวะที่จะยัดลงในหีบเท่านั้น พอผู้ว่าชลอสั่งให้กรรมการเปิดหีบเจ้าปัญหา กรรมการก็กระซิบว่าท่านผู้ว่าอย่าดูเลย ในนั้นมีไพ่ไฟที่ท่านเผ่าสั่งให้ใส่ไว้ทั้งนั้น ผู้ว่าชลอบอกไม่ดูก็ไม่ดู แต่ขอยึดบัตรทั้งหมด พร้อมขอหีบคะแนนนั้นไปเก็บไว้ที่มหาดไทย โดยเอาหีบใบใหม่มาสลับให้แทน

พอกลับมาถึงที่ทำงาน บัดเดี๋ยวอึดใจหนึ่งก็มีลูกน้องเอาหูโทรศัพท์มายื่นให้ พอฮาโล่ว์ไปยังไม่ทันสิ้นพยางค์ เสียงตวาดก็ลั่นสวนมาว่าไอ้ลอ มึงเอาหีบบัตรของกูกลับมาหา..อะไร ท่านผู้ว่าได้เตรียมกาย วาจา ใจ ไว้แล้วก็แถลงเหตุผลกลับไป เสียงทางโน้นก็ส่งตามสายกลับมาชัดแจ๋วว่า งั้นมึงเตรียมตัวตาย กูต้องเอามึงออกให้ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวตั้งแต่คืนนั้น ผู้ว่าก็ไม่กลับไปนอนบ้าน แต่ไปนอนที่ไหนบ้างคุณหญิงก็ยังไม่ทราบได้ เพราะแนบเนียนไปหมด

ไม่เท่านั้น ท่านยังทำหนังสือลาออกสั้นๆไปถึงจอมพลป.ในฐานะที่ควบรัฐมนตรีมหาดไทยด้วย เหตุผลนั้นคือ ไม่สามารถจะรักษาสถานการณ์แห่งการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม และไม่สามารถจะปกครองนายอำเภอบางคนได้ แต่ปลัดกระทรวงได้ช่วยขอให้จอมพลป.ระงับใบลาออกและส่งไปดูงานต่างประเทศแทน อ้างว่าเป็นการเนรเทศเพราะกะจะให้ไปเป็นปี แต่แล้วไม่กี่เดือนก็ได้กลับมานอนบ้านใหม่เพราะพล.อ.สฤษดิ์ปฏิวัติ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 10, 19:29
ท่านกูรูใหญ่กว่า ส่งศัพท์เทคนิคการเมืองเข้ามาในเลกเชอร์ครั้งนี้หลายคำ  เช่นไพ่ไฟ พลร่ม เวียนเทียน     คนที่เกิดทันก็คงเข้าใจว่าคืออะไร  แต่นักเรียนรุ่นเยาว์  โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองอาจนึกไม่ออก
เลยขอทำเชิงอรรถไว้ให้ค่ะ
๑   ไพ่ไฟ  คือบัตรปลอมหรือเรียกกันว่าบัตรผี      เตรียมไว้เป็นฟ่อนอย่างค.ห.ข้างบนนี้ที่เล่าไว้    สมมุติว่าเขตนี้มีผู้มีสิทธิ์ 7000 คน  ยังไงก็รู้ว่ามาลงไม่ถึงครึ่ง   เพราะหัวคะแนนบอกแล้วว่าจูงมาลงให้พรรคเป้าหมายได้แค่ 2000 คนอย่างมาก    ก็เตรียมไพ่ไฟไว้อีก 2000 ล้วนแต่ลงคะแนนให้พรรคที่ต้องการ  ถึงเวลาก็ใส่บัตรลงหีบนับรวมกันไป  ยังไงก็ต้องชนะ
๒   พลร่ม  คือกลุ่มคนจากถิ่นอื่น โดดมาจากไหนก็ไม่รู้ ถึงเวลาก็ดิ่งมาลงคะแนนในเขตเป้าหมายได้เลย  เพิ่มคะแนนเสียงให้ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ลง
๓     เวียนเทียน  คือลงคะแนนแล้ว  เวียนกลับมาลงคะแนนอีก   นับเพิ่มเข้าไปตามจำนวนหนที่ลงคะแนน ทำให้คะแนนน้อยกลายเป็นคะแนนมาก  คนจำนวนน้อยก็กลายเป็นจำนวนมาก

ชื่อคุณหลวงอังคณานุรักษ์ เหมือนจะคุ้นๆนะคะ  :)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 13 ส.ค. 10, 19:32
คุณชลอ วนะภูติ คุ้นชื่อท่าน   ไม่ใช่ในฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของมหาดไทยก่อนเกษียณราชการ   แต่เป็นเพราะท่านเขียนหนังสือเก่งมาก  สำบัดสำนวนพลิ้ว และลื่นไหล อ่านสนุก
ใครเคยอ่าน "เขาหาว่าข้าพเจ้าเป็นมาเฟีย" บ้างคะ  ในเล่มนั้นท่านเล่าเรื่องการจัดทัพของรามเกียรติ์ด้วย เป็นมุมมองที่แปลกและคมคาย น่าหาอ่าน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 14 ส.ค. 10, 01:38
มาลงชื่อว่าตามอ่านอยู่ครับ

ช้วงนี้ เดินทาง งานยุ่ง อยู่ใน สลังงอร์ ครับ


ขออภัยที่ไม่ได้เข้ามาเช็คชื่อครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 14 ส.ค. 10, 02:31
มาเซ็นชื่อว่าเข้าเรียนอยู่อย่างสม่ำเสมอค่ะ

ฝนตกทั้งวันเลย อาจารย์และเพื่อนๆ นักเรียนรักษาสุขภาพด้วยนะคะ  :)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 10, 08:43
^

เวลาตีสองครึ่ง นี่โพสต์มาจากเมืองนอกหรือเมืองไทยละครับนั่น
ขอบคุณทุกๆท่านที่ส่งข้อความมาเป็นเพื่อนคุยนะครับ
.
.
ผมนำเรื่องที่มีทั้งชื่อของหลวงอังคณานุรักษ์และท่านชลอ วนะภูติจากเวปของสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาให้อ่านประกอบ จากเรื่องนี้ทำให้เราทราบว่าทำไมท่านผู้ว่าชลอจึงต้องรีบมาถึงจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว และแก้ไขสถานการณ์ให้อาจารย์อย่างทันท่วงที
.
.

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง นายปรีดี พนมยงค์มีดำริจะจัดตั้งโรงเรียนการเมืองตามแนวทางของตนขึ้นมา ดังนั้น เมื่อวันที่20มีนาคม 2476 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งมาตรา5 แห่งพระราชบัญญัติว่า“ให้โอนคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ตลอดจนทรัพย์สินและงบประมาณของคณะเหล่านั้นมาขึ้นต่อมหาวิทยาลัยนี้ก่อน วันที่ 1เมษายน พุทธศักราช 2477”เป็นอันว่าคณะรัฐศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ซึ่งได้สถาปนาและมีวิวัฒนาการอย่างยืนยาวมาถึง3แผ่นดิน ได้ถึงกาลอวสานลงอย่างฉับพลัน โดยถูกสั่งยุบให้ไปรวมกับมหาวิทยาลัยวิชาการธรรมศาสตร์และการเมือง นั้นย่อมก่อให้เกิดความสะเทือนใจแก่บรรดา ศิษย์เก่าอาจารย์และนิสิตยิ่งนัก “ชลอ วนภูติ” ได้เคยเขียนบรรยายความรู้สึกเอาไว้ว่า“การที่เราเรียนอยู่ดีๆแล้วมีประกาศทางราชการให้ยุบคณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทั้งๆที่เรียนค้างอยู่ และไปยุบเอารุ่นที่เรียนปี2แล้วเข้าด้วยกันเช่นนี้ ต่อมาพวกเราทั้งหมดที่ถูกลอยแพ จึงมีผู้ขนานนามว่านักเรียนรัฐศาสตร์รุ่นแพแตก คือแตกเหมือนแพแตกแล้วลอยเปะปะไปทั้งแผ่นดิน”
        
“หลวงอังคณานุรักษ์” ซึ่งเลือดรัฐศาสตร์อยู่เต็มตัวเพราะเคยเป็นทั้งนิสิตและอาจารย์สอนวิชาการปกครองอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในยามวิกฤตินั้น สุดจะนั่งดูดายเพราะคิดว่าคณะรัฐศาสตร์ได้ก่อกำเนิดมา แต่ดึกดำบรรพ์ชาวคณะได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาลเป็นลำดับผลของงานได้ปรากฎให้เห็นประจักษ์ชัดอยู่ทั่วไป แต่ต้องทลายลงในทันทีทันใดเพื่อผลทางการเมือง  เป็นเรื่องที่น่าสังเวชจึงได้พยายามวิ่งเต้นอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อร้องขอผู้มีอำนาจให้นิสิตชุดที่กำลังศึกษาอยู่ได้เรียนต่อไปจนจบหลักสูตร แต่ว่าไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากท่านผู้ใด ดังนั้นนิสิตรัฐศาสตร์ขณะนั้นจึงทีทางเลือกเพียง ๒ ประการ คือ ถ้าไม่ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ออกไปรับราชการเป็นปลัดอำเภอทั้งๆที่เรียนครึ่งๆ กลางๆ

เมื่อคณะรัฐศาสตร์ฯ ถูกยุบหลวงอังคณานุรักษ์ก็พ้นจากชีวิตอาจารย์ โดยในปลายปี ๒๔๗๖ ทางราชการได้มีคำสั่งให้หลวงอังคณานุรักษ์ไปดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดมหาสารคามแต่ความคิดที่จะรื้อฟื้นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยังอยู่ในจิตใจของท่านตลอดเวลา ต่อมาภายหลังหลวงอังคณานุรักษ์ได้เข้าสู่วงการเมือง ทำให้ความคิดหวังที่จะรื้อฟื้นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ขึ้นใหม่ก็คืบใกล้เข้ามา ท่านมีโอกาสได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอ่างทอง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ปรึกษาตกลงกันในหลักการเรื่องการที่จะรื้อฟื้นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ขึ้น แต่ยังไม่ทันลงมือทำอะไร รัฐบาลชุดนั้นก็มีอันต้องสิ้นสุดลง

ต่อมาเมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลอีกวาระหนึ่งในปี พ.ศ.2491ในวันแถลงนโยบายฯ หลวงอังคณานุรักษ์ได้พยายามชี้ให้รัฐบาลเห็นว่าการยุบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไร และเห็นสมควรที่จะฟื้นฟูคณะรัฐศาสตร์ตามแนวคิดเดิมขึ้นใหม่ คณะรัฐมนตรีจึง ตั้งคณะกรรมการปรับปรุงมหาวิทยาลัย เพื่อพิจารณาว่าแผนกรัฐศาสตร์ควรที่จะอยู่ที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองหรือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการชุดนี้มีรัฐมนตรีสามท่านกับคุณวิจิตร ลุลิตานนท์ รักษาการผู้แทนประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และหม่อมเจ้ารัชฎาภิเศก โสณกุล อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีหลวงอังคณานุรักษ์ผู้เป็นเจ้าของเรื่องร่วมเข้าประชุมปรึกษาด้วย

ซึ่งผลของการประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้จัดตั้งคณะรัฐศาสตร์ขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเช่นเดิมคณะกรรมการปรับปรุงมหาวิทยาลัยจึงเสนอคณะรัฐมนตรีว่าแผนกรัฐศาสตร์ควรอยู่ที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยโดยคณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบด้วยและให้ดำเนินการต่อไป
        
ขั้นตอนที่สำคัญคือ การเสนอกฎหมายขอจัดตั้งคณะรัฐศาสตร์ ฯ เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๔๙๑ เวลา๑๑ นาฬิกาเศษ โดยมีพลเอกมังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้เสนอในนามรัฐบาล ปรากฎว่าที่ประชุมที่ได้มีการ
อภิปรายกันอย่างกว้างขวางและมีผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งพักการประชุมเมื่อเวลา12.40นาฬิกาหลวงอังคณานุรักษ์เล่าว่า “ระหว่างสภาหยุดพักกลางวันข้าพเจ้าต้องเที่ยวได้ไหว้วอนสมาชิกผู้คัดค้านกฎหมายฉบับนี้”

ในที่สุด ตอนบ่ายวันนั้นเองสภาผู้แทนราษฎรก็ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ฉบับที่ 3) ที่ให้ตั้งคณะรัฐศาสตร์ขึ้นใหม่ โดยได้พิจารณาและได้รับความเห็นชอบรวดเดียวทั้ง3วาระ หลังจากนั้นร่างกฎหมายได้ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา และคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงพระนามและลงนามประกาศให้กฎหมายในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเมื่อวันที่17 สิงหาคม2491

จึงถือว่าหลวงอังคณานุรักษ์คือบุคคลที่ได้ชื่อว่ามีบทบาทสำคัญที่สุดคนหนึ่งในการจัดตั้งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯยุคใหม่ที่ควรแก่การรำลึกถึงบุญคุณและประทับอยู่ในความทรงจำของชาวสิงห์ดำทุกคนตลอดไป





กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 10, 10:08
การเลือกตั้งเพื่อความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยครั้งนั้นมีหลายฉายาที่นักข่าวตั้งให้ เช่นเลือกตั้งมหาประลัย เลือกตั้งมหากาฬ  เลือกตั้งโสโครกเป็นต้น วิธีการต่างๆที่ชายผู้เหน็บแหนบนำมาใช้ นอกจากพลร่ม ไพ่ไฟ เวียนเทียนด้วยวิธีการตามที่ท่านอาจารย์เทาชมพูขยายความไปแล้ว เทคนิกอื่นๆที่นำมาใช้ก็มีการสลับเบอร์คู่แข่งขันอื่นๆไม่ให้เรียงกัน แต่ของเสรีมนังคศิลาเรียงแถวตั้งแต่เบอร์25ถึง33ให้เห็นง่ายๆ บางหน่วยมีการถ่วงเวลาบอกขัดข้องไอ้โน่นไอ้นี่ คนมายืนรอจะรับบัตรเลือกตั้งเบื่อหน่ายหนักเข้าก็กลับไปโดยไม่รอ แต่ตอนเปิดหีบกลับมีบัตรเต็มใบ ที่พื้นๆอีกอย่างหนึ่งคือ คนที่มาเลือกแต่ไม่ได้เลือกเพราะกรรมการอ้างว่าชื่อนี้มาแสดงตนเอาบัตรไปลงคะแนนแล้ว เหตุการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ดำเนินไปอย่างโต้งๆ โจ่งแจ้ง ไม่ต้องอาย มีประชาชนร้องเรียนไปยังพรรคประชาธิปํตย์มากมายจนนายควงตลกไม่ออก ได้แต่กุมขมับร้องขอให้หนังสือพิมพ์ช่วยเก็บหลักฐานให้ด้วย แต่ช่างภาพนักหนังสือพิมพ์เองก็ทำงานยาก จะถ่ายอะไร ชายในชุดสีน้ำตาลสามสี่คนก็คอยมาบังกล้องไว้  ช่างภาพบางคนถูกล้อมกรอบแล้วโดนเชิญให้กลับบ้านไป

รายที่เป็นเรื่องดังที่สุดเห็นจะเป็นคดีที่นายสมนึก วงศ์กระจ่างช่างภาพนสพ.ไทรายวัน แจ้งความว่าโดนปล้นโดยนายปรีชา เอมะตาน ที่ใช้ชื่อในการแสดงว่าเกชา เปลี่ยนวิถี หรือชื่อในวงการผู้กว้างขวางว่าเกชา หัวลำโพง  นำพวกมาล้อมกรอบแล้วยึดกล้องไปถอดฟิล์มที่เขาอุตส่าห์ตระเวณถ่ายหน่วยเลือกตั้งต่างๆมาได้หลักฐานดีๆกระจะๆ เกชาตอนนั้นรูปหล่อจัด และได้เป็นพระเอกหนังไทยประเภทจอมยียวนได้หลายเรื่องแล้ว พอถูกตำรวจเรียกไปสอบสวนก็บอกว่าไม่ได้ปล้น เพียงแต่ขอพี่เขาดีๆเท่านั้น และตนยังหอมแก้มนายปรีชาไปฟอดนึงเป็นการขอบคุณด้วย คดีนี้ทำท่าจะเงียบไปเพราะผู้ต้องหาแสดงบัตรตราไก่ แต่ครั้นจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ เกชาและเพื่อนผู้กว้างขวางทั้งหลายก็มีอันจะต้องย้ายนิวาศสถานไปอยู่ลาดยาวหลายปีโดยไม่มีการแจ้งข้อหา พอพ้นตรงนั้นมาได้ก็เลยพ้นบทพระเอกไปด้วย แสดงหนังทีไรคราวนี้กลายเป็นผู้ร้ายซะทุกเรื่องไป


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 10:36
ได้โอกาสจะแยกซอยเรื่องคุณเกชานี่เอง

มาเห็นบทบาทในจอตอนคุณเกชาอายุมากเข้าขั้นผู้อาวุโสแล้ว แต่ก็ยังหล่อไม่สร่าง  เล่นหนังก็แต่งตัวดี มาดดีอยู่เสมอ เหมาะจะเล่นบทเจ้าพ่อ    เคยขอคุณแดงแห่งช่อง 7 ให้คุณเกชาเล่นบทในละครเรื่องหนึ่ง   แต่มีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับสคริปต์  ทำให้บทนี้ไปตกอยู่กับดามพ์ ดัสกร แทน
ไปเปิดประวัติดู พบว่าฝีมือและรูปร่างหน้าตาของคุณเกชาเมื่อวัยหนุ่มคงไม่เบาเลย   เห็นได้จากพระองค์ชายใหญ่ทรงเลือกให้รับบทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในหนัง " นเรศวรมหาราช" ถ่ายทำในปี 2500 คู่กับรัตนาภรณ์ อินทรกำแหง
แต่ยังไม่ทันได้แสดง  คุณเกชาเจอโรคพิษตราไก่ ต้องไปพักผ่อนนอกจอด้วยคำสั่งจอมพลสฤษดิ์เสียนานหลายปี   ส่วนภาพยนตร์นเรศวรมหาราชนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์ชายใหญ่หรือพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลทรงคัดเลือก ชูชัย พระขรรค์ชัย นักมวยดังที่คุณมานิตคงรู้จักดี  มารับบทแทน

ลูกสาวคุณเกชา ที่ชื่อนาตาลี (เปลี่ยนวิถี) สัจจะกุล  เป็นนางแบบสวยที่สุดคนหนึ่งในวงการ เท่าที่เคยเห็นมา


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 10, 11:33
ออกจากซอยไปเข้าคูหาเลือกตั้งต่อ

ตอนลงคะแนนเลือกตั้งก็ไม่อายอยู่แล้ว ตอนนับคะแนนก็ยิ่งด้านหนักเข้าไปใหญ่ แต่ละหน่วยมีหน้าที่นับกันเองทีหนึ่งก่อน โดยให้เวลาถึง3วัน แล้วจึงจะเอาคะแนนที่นับได้ไปรวมกันอีกทีที่กระทรวงมหาดไทย ถึงแม้จะมีเวลารวมกันแล้ว41ชั่วโมง คือเริ่มตั้งแต่16.30น.ของวันที่26 จนเช้าของวันที่27เลยเรื่อยข้ามวันข้ามคืนไปจบเอาเวลา10.00น.ของวันที่28 แต่กว่าจะนับกันได้ ต้องโอ้เอ้ศาลาราย หีบหายบ้าง กรรมการไม่ครบบ้าง บางแห่งอู้ไปจนมืดค่ำ กว่าไฟฟ้าจะมาปรากฏว่าเปิดหีบแล้วพบบัตรที่ลงให้พรรคเสรีมนังคศิลาลอยหน้าอยู่เต็ม ขานคะแนนกันเมื่อยกว่าจะถึงตอนล่างๆของหีบที่คะแนนของพรรคประชาธิปัตย์จะเริ่มวิ่งขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่มีทางจะทัน บางแห่งนับกันอยู่จนเกือบจะหมดหีบแล้วไฟฟ้าดับ พอไฟมาอีกทีหีบเต็มอีกแล้ว คะแนนของประชาธิปัตย์ที่เมื่อกี้นำโด่งก็โดนคะแนนผีของพรรคเสรีมนังคศิลานำติดๆกันขึ้นมาจนทิ้งขาดลอย บางหน่วยกว่าจะเริ่มนับได้ก็ตอนกลางดึกที่ชาวบ้านอยู่เฝ้าไม่ไหวแล้ว ยังไงก็ตาม ทุกแห่งก็ไม่มีใครกล้าทักท้วงรุนแรง เพราะผู้กว้างขวางในชุดเสื้อสีน้ำตาล กระจายกำลังกันยืนหน้าถมึงทึง บางทีก็กอดอกให้เสื้อรัดรูป เห็นอะไรพกอยู่ตุงๆที่เอว พลเมืองดีทั้งหลายก็ต้องรักษาบทบาทของผู้รักสงบ เพราะหือไปก็คงจะหือไม่ขึ้น

ผลการเลือกตั้งจึงเป็นไปตามคิด ทว่าไม่เป็นไปตามความรู้สึก จากจำนวนเก้าอี้ส.ส.ทั้งหมด160ที่นั่ง พรรคเสรีมนังคศิลาได้83ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ได้28ที่นั่ง พรรคเสรีประชาธิปไตยได้11ที่นั่ง พรรคธรรมาธิปัตย์ได้10ที่นั่ง พรรชาตินิยม3ที่นั่ง พรรคขบวนการไฮด์ปาร์คได้2ที่นั่ง พรรคอิสระได้2ที่นั่ง และไม่สังกัดพรรครวม13ที่นั่ง

ในกรุงเทพมหานครนั้นพรรคเสรีมนังคศิลาได้7ที่นั่งจาก9  คือ พิบูล-เวชยันต์-บริภัณฑ์-ลัดพลี-โยธี-บัญญัติ-สวัสดิ์ ส่วนเดชกับรักษ์ ไม่ได้รับเลือก สงสัยว่าเป็นเพราะชื่อไม่สัมผัสคล้องจองกับเขา ปล่อยให้ประชาธิปัตย์ได้ไป2 คือนายควง กับน.ท.พระประยุทธชลธี ท่านหลังนี้ชื่อคุ้นมากเพราะจำได้ว่าท่านเป็นญาติผู้น้องของคุณยาย ไปมาหาสู่ที่บ้านผมเป็นประจำ แม่ผมเรียกท่านว่าคุณน้าและให้ผมเรียกท่านว่าคุณตา ผมยังเด็กมากแต่ยังจำได้ดีว่าท่านเป็นชายชราที่มีบุคคลิกสง่างามมาก นี่เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าท่านเป็นนักการเมืองลงชนะเลือกตั้งครั้งนี้กับเขาด้วย

ชัยชนะอย่างขาดลอยของพรรครัฐบาลสร้างความยินดีให้แก่จอมพลป.และเผ่าได้เพียงชั่วข้ามคืน หลังจากนั้นก็มีแต่เสียงก่นด่าจากสื่อต่างๆและประชาชนทุกวงการ นิสิตนักศึกษาพร้อมใจกันเคลื่อนไหว ธรรมศาสตร์น่ะไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว เพราะเล่าเรียนวิชาเกี่ยวกับการเมือง และนักศึกษาหลายร้อยก็เป็นอาสาสมัครสังเกตุการณ์เลือกตั้ง ประจักษ์ข้อเท็จจริงต่างๆด้วยตนเองอยู่ แต่การที่นิสิตจุฬาที่ปกติจะไม่ค่อยยุ่งกับการเมืองนักเพราะเรียนกันคนละด้าน คราวนี้ทนไม่ได้ถึงกับก่อหวอดชุมนุมเดินขบวน มีการชักธงชาติลงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยให้แก่การเลือกตั้งสกปรกนี่ซิ ที่สะท้อนพลังเงียบของคนในชาติอันรัฐบาลจะประมาทไม่ได้

นักหนังสือพิมพ์ได้โอกาสถามส.ส.กรุงเทพคนใหม่ที่รักษาการนายกรัฐมนตรีอยู่ว่าท่านมีตวามเห็นอย่างไรที่นิสิตนักศึกษาเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง

ท่านจอมพลแปลกของผมตอบหน้าตาเฉยด้วยคาถาเดิมที่ไม่เคยแปลก “ความไม่เรียบร้อยที่เกิดขึ้น เพราะถูกคอมมิวนิสต์เข้ามาแทรกแซง”


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 12:37
ขอแยกซอยใหม่อีกครั้ง
ตอนเลือกตั้งสกปรก พ.ศ. 2500 ดิฉันยังอยู่ชั้นประถม  เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่  จำได้ว่าเพื่อนๆคุณพ่อมาหาที่บ้าน  ผ่านไปแล้วก็ยังเล่าเรื่องนี้อยู่หลายวัน ท่าทางตื่นเต้น   เป็นเหตุให้เราตื่นเต้นไปด้วยทั้งๆไม่ค่อยรู้เรื่อง     เพื่้อนคนหนึ่งนามสกุลเดียวกับคุณหญิงเผชิญในอีกกระทู้    เล่าให้คุณพ่อฟังว่า ผมไปลงคะแนน เขาบอกว่ามีคนมาลงไปแล้วในชื่อผม ลงซ้ำอีกไม่ได้  ผมเลยไม่ได้ลงคะแนน !!! %^&!$% (เครื่องหมายแทนคำพูดคุณอา ที่เอามาลงไม่ได้)

ต่อมาอีกนานสิบกว่าปี  ไปเรียนไกลบ้าน เจอพี่จุฬาคนหนึ่งไปเรียนอยู่   เคยเดินขบวนกับเขาด้วย   เธอเล่าว่าตอนนั้นประธานนิสิตหรือหัวหน้าคณะอะไรทำนองนี้พาน้องใหม่ไปเดินขบวนประท้วงรัฐบาลเรื่องเลือกตั้งสกปรก     นิสิตก็แห่กันไปทั้งคณะ  ไปสมทบกับคณะอื่นๆที่ไปกันเหมือนกัน    แต่เธอเดินยังไม่ทันถึงทำเนียบหรอก ไปหยุดอยู่กลางทางแถวสะพานมัฆวาน แล้วพี่ๆมาบอกว่าเขาสลายตัวกันแล้ว  ก็เลยเดินกลับกัน  

ดิฉันโตขึ้นในยุคที่คำว่า "คอมมิวนิสต์" เป็นคำน่าสะพรึงกลัว      มีผลพอๆกับคำขู่ว่าตุ๊กแกจะมากินตับ สำหรับเด็กเล็ก    หนังสือหนังหาอะไรเกี่ยวกับฝ่ายซ้าย เราไม่เคยเห็นเลยว่ามีอยู่ในโลก    พ่อเป็นคนชอบอ่านหนังสือ มีตู้กระจกใส่หนังสือให้ลูกอ่านได้   แต่หนังสือที่เกี่ยวกับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่สมัยนั้นเรียกว่าจีนแดงพ่อต้องเก็บไว้ในตู้ทึบที่หัวเตียง ใส่กุญแจปิดสนิท     ดิฉันไปเจอก็เมื่อพ่อถึงแก่กรรมไปแล้ว  เดาว่าคงมีใครให้มาอ่าน แล้วพ่อเสียดายถ้าจะทิ้งไป    โดยหน้าที่การงานพ่อไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเมือง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 10, 12:58
^
ก็เป็นอย่างนั้นนั่นเอง พอจอมพลป.ตอบแบบโยนบาปของตนให้คอมมิวนิตส์จึงเหมือนเอาน้ำมันไฟราดกองเพลิง นักการเมืองก็ได้โอกาสขึ้นเวทีไฮปาร์คปลุกระดมมวลชน พาเดินขบวนไปวางพวงหรีดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยตามสูตร แต่ก็ยังดีที่กลับไปปักหลักด่ารัฐบาลที่สนามหลวงดังเดิม ไม่ได้ทันสมัยถึงกับยึดถนนตั้งเวทีปราศรัย แต่ไม่แน่ ถ้าตอนนั้นมีใครต่อท่อน้ำเลี้ยงให้ถึงๆก็คงจะได้มีชุมนุมใหญ่เถือกทั้งแผ่นดินไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น รัฐบาลก็หาได้รอช้าไม่ เพียงแค่3วันหลังการเลือกตั้ง ก็ประกาศแถลงการณ์ฉบับที่1ทันทีว่ามีคณะบุคคลบางส่วนและด้วยการส่งเสริมสนับสนุนจากชาวต่างชาติ กำลังจะก่อกวนและดำเนินการร้ายขึ้นในประเทศ…ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาด พอแถลงการณ์ฉบับที่2 ก็กลายเป็นประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วพระราชอาณาจักร ด้วยใจความคล้ายกับที่แถลงการณ์ไปแล้ว และต่อด้วยประกาศสำนักนายก แต่งตั้งให้พล.อ.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผบ.ทบ.เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร เพื่อดำเนินการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย สฤษดิ์ก็เอารถถังออกมาวิ่งเข้าไปจอดตามหน้าอาคารสถานที่ที่สำคัญทั่วกรุงเทพ

แทนที่จะกลัว นิสิตจุฬากลับประกาศเรียกให้มาชุมนุมกันหน้าหอประชุม เพื่อเตรียมตัวจะเดินขบวนออกไปนอกมหาวิทยาลัย ระหว่างปราศรัยปลุกใจคนนับพันอยู่นั้น ในทันใด พล.อ.สฤษดิ์ ก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมนายทหารคู่ใจซ้ายขวา คือพล.ท.ถนอม กิตติขจร และพล.ต.ประภาส จารุเสถียร บรรดานิสิตเห็นเข้าก็โห่ร้องต้อนรับอย่างใสซื่อ ก็ผมบอกแล้วว่าเผ่าเองที่ทำให้ภาพของสฤษดิ์ตอนนั้นดูเป็นพระเอก ผู้นำนิสิตได้เชิญสฤษดิ์ขึ้นไปยืนกล่าวหน้าเสาธงที่มีธงชาติชักอยู่แต่ครึ่งเสา สฤษดิ์ก็ร่ายแบบสั้นๆใจความสรุปว่า หากไม่จำเป็นแล้วก็อย่าเดินขบวนเลย ให้จัดส่งตัวแทนไปเจรจากับผู้ที่มีความรับผิดชอบกับการเลือกตั้งโดยตรง เช่นที่กระทรวงมหาดไทยดีกว่า จะได้รับการชี้แจงให้หายข้องใจ ถึงตรงนี้เสียงของนิสิตที่นั่งฟังอย่างสงบตั้งแต่แรกก็อื้ออึงขึ้นด้วยความผิดหวัง ใครไม่รู้ตะโกนขึ้นว่า ตัวแทนไม่เอา เราจะไปกันทั้งหมด เสียงขานรับก็ปประสานหนักแน่นเข้าหูทั้งสองข้าง สฤษดิ์ได้ยินแล้วก็ชูมือขึ้นให้สงบเสียงพร้อมกับกล่าวต่ออย่างหนักแน่นว่า แต่เมื่อพวกท่านตั้งใจจะเดินขบวนกันจริงๆ ถ้าท่านจะเดินไปทางซ้าย ข้าพเจ้าก็จะเดินไปทางขวา เท่านั้นเอง เสียงเฮรับของนิสิตก็ดังกึกก้อง

สายข่าวของจอมพลป.และเผ่าก็ยังงงๆอยู่ จะกลับไปรายงานนายว่าอย่างไรดี ตกลงสฤษดิ์ตั้งใจจะเดินคู่กับขบวนของนิสิตเพื่อคอยประกบกันท่า หรือจะเดินคู่เพื่อร่วมขบวนประท้วงของนิสิตกันแน่ ส่วนนายฟังรายงานแล้ว ก็ตีความไม่ออกเหมือนกันว่าสฤษดิ์จะเอาอย่างไร ต้องรอลุ้นกันต่อไป

ท่านอาจารย์เทาชมพูบอกใบ้ให้แล้ว เดี๋ยวถึงสพานมัฆวานก็จะรู้



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 14 ส.ค. 10, 14:45
มาลงชื่อว่าตามอ่านอยู่เกือบทุกวันครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 15:22
ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย  เรื่องการเลือกตั้งสกปรก  มองเห็นคำว่า "ไพ่ไฟ" ตัวใหญ่พาดหัวข่าว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 10, 16:16
รูปขบวนของจุฬาถูกจัดอย่างรีบเร่งหลังพล.อ.สฤษดิ์คล้อยหลังกลับไปแล้ว นายกสโมสร สรวง ภูวตานนท์ ณ มหาสารคามประกาศจะนำนิสิตเดินขบวนไปกระทรวงมหาดไทย โดยให้แยกย้ายเป็นกลุ่มๆ แบบต่างคนต่างไปเพื่อไม่ให้ตำรวจเบรคอ้างว่าขัดขวางการจราจร พอใกล้ถึงก็มีขบวนของธรรมศาสตร์นำโดยประธานนักศึกษา สุวิช เผดิมชิต และประชาชนร่วมสมทบ เมื่อมาถึงกระทรวงมหาดไทยแล้วมีจำนวนรวมกันหลายพันคน แกนนำนิสิตเรียกร้องให้จอมพลป.หรือเผ่าออกมาพบ แต่ทั้งคู่ไม่อยู่ พระยารามราชภักดี ปลัดกระทรวงอยู่ แต่ตัวเองมีชะนักติดหลังเพราะเป็นข้าราชการประจำ แต่ไปขึ้นเวทีหาเสียงให้รัฐบาล กำลังเป็นข่าวว่าจะถูกฝ่ายค้านฟ้อง เลยไม่กล้าออกมามีบทบาท พล.ต.อ.หลวงชาติตระการโกศล รองปลัดกระทรวงเป็นผู้ออกมาเผชิญหน้ากับนิสิตนักศึกษาแทน โดยขอร้องว่าให้ส่งข้อเรียกร้องมาเป็นลายลักษณ์อักษร ถึงตรงนี้ประธานนักศึกษาธรรมศาสตร์ที่ทำการบ้านมาดีกว่าก็ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลทันทีว่า

1 ให้ประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินทันที และให้แจ้งว่าต่างชาติที่ว่ามาแทรกแซงนั้น คือชาติใด
2 ให้ประกาศให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วเลือกตั้งใหม่
3 ให้นิสิตนักศึกษาเป็นกรรมการการเลือกตั้ง และเป็นกรรมการในหน่วยเลือกตั้งด้วย
4 ให้สอบสวนและลงโทษผู้กระทำความผิดในการเลือกตั้งโดยด่วน
5 ให้รัฐบาลตอบภายใน24ชั่วโมง

หลวงชาติรับข้อเสนอไปแล้วถึงกับสะอึก แต่ก็เจรจาเลี่ยงๆว่าขณะนี้นายควง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลให้สั่งให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะแล้ว ขอให้ทุกคนรอฟังคำสั่งศาลจะดีกว่า นิสิตนักศึกษาได้ยินก็โห่กันสนั่น

ขณะที่สถานการณ์ทำท่าจะแย่ลง เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยคนหนึ่งก็ได้ประกาศขอให้นิสิตนักศึกษาสงบลงเพราะขณะนี้ได้ส่งข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลแล้ว ขอให้กลับบ้านไปรอฟังคำตอบ พลันก็มีเสียงตะโกนสวนขึ้นไปว่า เอ้า พวกเรา ถ้ายังงั้นเราไปฟังคำตอบที่ทำเนียบกันเลย

ทุกคนเฮรับแล้วเริ่มเคลื่อนขบวน ซึ่งบัดนี้เพิ่มเป็นหมื่นคนแล้วเพราะประชาชนเข้ามาร่วมสมทบ ต่างตะโกนบอกต่อๆกันว่า ไปทำเนียบ ไปทำเนียบ ขบวนก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆเมื่อเคลื่อนมาบนถนนราชดำเนิน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 10, 16:24
แนวรับของรัฐบาลด่านแรกอยู่ที่สพานผ่านฟ้า มีตำรวจปราบการจลาจลตั้งแถวรอรับอยู่ และมีตำรวจม้า และตำรวจสุนัขอยู่ข้างหลัง ด่านสองคือสพานมัฆวาน มีรั้วเหล็กมาตั้งขวางถนนไว้ หลังรั้วนั้นคือแนวทหารติดดาบปลายปืนเงาวับ ถัดออกไปมีรถถัง และตำรวจดับเพลิงคอยสนับสนุนเมื่อได้รับคำสั่ง

เบื้องหลังเหตุการณ์ตอนนี้มีผู้บันทึกไว้ว่า อำนาจการสั่งการเด็ดขาดนั้น จอมพลป.จำเป็นต้องมอบให้ทหาร ดังนั้นเผ่าจึงต้องเชื่อฟังสฤษดิ์ในเรื่องนี้ เมื่อเผ่าเสนอให้ตำรวจใช้อาวุธทันทีที่สกัดขบวนด้วยสันติวิธีไม่อยู่ แต่สฤษดิ์ไม่เห็นด้วย เผ่าขอใช้เพียงกระสุนซ้อมรบ สฤษดิ์ก็บอกว่าอย่าเลยเดี๋ยวเขาจะนึกว่าเรามีแต่กระสุนเก๊ รอให้ทหารจัดการดีกว่าและขอให้ทุกคนฟังคำสั่งของตนแต่ผู้เดียวเท่านั้น เผ่าก็เลยต้องเงียบ

เมื่อคลื่นมหาชนมาถึงสพานผ่านฟ้า ตำรวจปราบจลาจลที่มีอยู่น้อยนิดก็ถูกดันโล่ห์จนกระเจิง สฤษด์ไม่ยอมสั่งให้ตำรวจม้าเข้าลุย แนวรับนี้จึงยอมถอยให้คลื่นมหาชนผ่านและเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เบื้องหน้าทุกคนแลเห็นอยู่ ทหารในเครื่องรบและรถถังรออยู่ด้วยอาการสงบนิ่งราวกับปฏิมากรรม

พอแนวหน้าต่อแนวหน้าตั้งประจันกัน ทหารก็ถูกทักทายด้วยก้อนอิฐ ท่อนไม้ และกระป๋องนม เสียงนายร้อยเอกผู้บังคับกองร้อยตะโกนบอกให้ทหารอดทน สุดท้ายแล้วทั้งสองฝ่ายก็เข้าประชิดกัน แม้จะมีรั้วเหล็กขวางกั้น ลมหายใจของอีกฝ่ายหนึ่งก็ปะทะหน้าของอีกฝ่ายจนรู้สึกได้ และเริ่มดันกันไปดันกันมา ทหารนั้นตวัดดาบปลายปืนกลับไปอยู่ด้านหลังตามคำสั่งนายร้อยเอกและเอาพานท้ายปืนยันรั้วไว้ คลื่นมหาชนที่เนืองแน่นอัดตัวเข้ามาทำให้รั้วที่กั้นไม่อาจต้านทานได้ ทหารกำลังจะแตกกระเจิงหากไม่ทำอะไรสักอย่าง พอแถวหน้าถูกดันฮือทำท่าจะแตก ทหารในแนวตั้งรับข้างหลังก็กระชากลูกเลื่อนโดยสันชาติญาณ จากเสียงดังแคร๊กเดียวกลายเป็นหลายสิบแคร๊กราวกับนัด กราวไปทั่วจนได้ยินถนัด เสียงประชาชนคนหนึ่งร้องว่า มันจะยิงแล้ว  พวกเราบุกเข้าไป ยิงเป็นยิง บุกเข้าไปพวกเรา ขณะนั้นแนวหน้าของทหารต้านกำลังจะเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ทันใดนั้นเสียงดังฟังชัดของนายร้อยเอกก็ดังขึ้นก้องกังวานไปทั่ว

“ทหารหยุด อย่าทำร้ายประชาชน” ทุกอิริยาบทของทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักลงทันที และก่อนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะขยับ เสียงนั้นก็ออกคำสั่งสำทับ
“ทหาร ถอดแหนบกระสุน ปฏิบัติ” เสียงแกร่กของเหล็กที่ถูกับเหล็กพร้อมกันได้ยินไปทั่ว
“ทหาร ถอดดาบปลายปืนเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ” เสียงแกร่กของเหล็กที่ถูกับเหล็กดังขึ้นอีกทีหนึ่ง รับด้วยเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจของประชาชน

“ไชโยทหารปลดอาวุธแล้ว ไชโย” เสียงนี้ดังต่อๆกันไปจนท้ายขบวน การขว้างปา ทุบตีที่ประชาชนกระทำต่อทหารก็ยุติลง เหลือแต่เป็นการลองกำลังดันกันไปดันกันมาของทหารที่มีปืนแต่เหมือนกระบองลูกเสือเอาไว้กั้น กับฝูงชนที่มีจำนวนมากกว่ามาก จนแนวทหารต้องถอยร่นใกล้ทำเนียบเข้ามาเรื่อยๆ นาทีต่อไปนั้น พล.อ.สฤษดิ์ที่รีบเดินทางออกจากที่ประชุมมาถึงพร้อมด้วยขุนทหารใหญ่ทั้ง3กองทัพ และสั่งด้วยเสียงอันทรงพลังอำนาจของตนว่า
“ทหาร เปิดทางให้ประชาชนผ่านไปได้”

ยกนี้ ประชาชนชนะ.
.
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีผู้เรียกอย่างแพร่หลายว่า เมื่ออาทิตย์ขึ้นที่มัฆวาน


และที่มัฆวานนี้มีตรอกมีซอยอยู่เยอะแยะ ขอเชิญท่านมัคคุเทศน์พาท่านผู้อ่านไปเยี่ยมชมให้ครึกครื้นหน่อยครับ ส่วนผมจะขอพักยกไปเวิ้งนาครเขษมสักครู่


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 17:25
กำลังอ่านเพลินๆ   ท่านหยุดที่ไคลแมกซ์  ลงจากเรือนไปเสียแล้ว

สะพานมัฆวานอันเป็นจุดเกือบปะทะถึงเลือดถึงเนื้อ   ท่านนวรัตนชี้แผนที่ให้ดูว่ามีซอยแยกอยู่หลายซอย   แล้วปิดแผนที่ลงจากเรือนไปดื้อๆ
มัคคุเทศก์ต้องหาอยู่หลายซอย   ตกลงเอาซอยที่ชื่อ "พระอาทิตย์ขึ้นที่สะพานมัฆวาน"  ก่อนดีกว่าค่ะ
เชิญตามมาเลย
ขอเริ่มแบบนวนิยายละกัน เปลี่ยนบรรยากาศช่วงคั่นโปรแกรม  

กองทัพนิสิตหนุ่มสาวและประชาชนนับหมื่นเคลื่อนผ่านถนนราชดำเนินนอก เข้ามาอย่างแช่มช้า   เรียงกันมาเป็นขบวน    เสียงร้องเพลงมาร์ชจุฬากระหึ่มขณะชะลอตัวเมื่อถึงสะพานมัฆวาน   เสียงตะโกนบอกทาง และสรรพสำเนียงของนักข่าวที่ติดตามข่าวอย่างอลหม่านวุ่นวาย  อันเป็นธรรมดาทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ดังปะปนกันฟังไม่ได้ศัพท์   บรรดาทหารนับร้อยพากันคึกคักเข้าประจำการ เตรียมการต่อต้านความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นทุกรูปแบบ
มันเป็นการเดินขบวนครั้งใหม่ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยนับแต่พ.ศ. 2475    ไม่เคยมีครั้งใดที่นิสิตนักศึกษารวมใจกันพร้อมเพรียงเท่าครั้งนี้  แม้แต่การเดินในช่วงเรียกร้องดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงกลับคืนเมื่อสิบสี่ปีก่อนก็ไม่อาจเทียบได้       บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดตั้งแต่สะพานมัฆวานไปจนถึงหน้าทำเนียบ    ไม่มีใครเดาได้ว่าเหตุการณ์นองเลือดจะเกิดขึ้นในวินาทีใด

นายทหารหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำ ในเครื่องแบบร้อยเอก ยืนอยู่ข้างหน้าทหารใต้บังคับบัญชา   นัยน์ตาสีเหล็กหรี่มองดูขบวนนิสิตที่เคลื่อนใกล้เข้ามา จนประชิดเข้ากับกำแพงทหารซึ่งปักหลักขวางหน้าตรงแนวสะพาน      มีเพียงรั้วกั้นเอาไว้บางๆระหว่างมหาชนกับทหาร  ก้อนอิฐ  ท่อนไม้และกระป๋องนมเริ่มปลิวว่อน  พร้อมเสียงโห่ร้องอย่างฮึกเหิม จนมาถึงจุดแคบของสะพาน

การเผชิญหน้ากันระเบิดขึ้น   เสียงถอดลูกเลื่อนดังสนั่นแทรกเข้ามาในเสียงโห่ร้อง     อีกวินาทีเดียว  จุดแตกหักจะอยู่ตรงนั้น  เพราะทหารจะยอมถูกทำร้ายต่อไปอีกไม่ได้   เมื่อกระสุนลูกแรกทะลุร่างนิสิตหรือชาวบ้านเข้าสักคน   สะพานมัฆวานจะกลายเป็นสมรภูมิเลือด    ประชาชนจะล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วง

นายทหารหนุ่มก้าวออกไป..
เขาเผชิญหน้ากับผู้นำขบวน   สร้างรอยยิ้มกว้างแจ่มใสเป็นมิตรบนดวงหน้าคล้ำเกรียมด้วยเปลวแดด พร้อมกับเสียงตะโกนสั่ง
“ทหารหยุด อย่าทำร้ายประชาชน”
ทุกอิริยาบทของทั้งสองฝ่ายหยุดชะงักลงทันที และก่อนที่ใครคนใดคนหนึ่งจะขยับ ร้อยเอกหนุ่มก็ออกคำสั่งสำทับ
“ทหาร ถอดแหนบกระสุน ปฏิบัติ”
เสียงแกร่กของเหล็กที่ถูกับเหล็กพร้อมกันได้ยินไปทั่ว
“ทหาร ถอดดาบปลายปืนเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ”
เสียงแกร่กของเหล็กที่ถูกับเหล็กดังขึ้นอีกทีหนึ่ง รับด้วยเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจของประชาชน
“ไชโยทหารปลดอาวุธแล้ว ไชโย”
เสียงนี้ดังต่อๆกันไปจนท้ายขบวน การขว้างปา ทุบตีที่ประชาชนกระทำต่อทหารก็ยุติลงในพริบตา

ความตึงเครียดถึงจุดระเบิด คลี่คลายลงทันที    นายทหารหนุ่มกล่าวกับหัวหน้านิสิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
" ทหารไม่ทำร้ายประชาชนครับ  ผมขอรับรองด้วยเกียรติยศ"
เขาหันไปสั่งทหารในบังคับบัญชาให้ปลดอาวุธลงจากบ่าที่อยู่ในท่าเตรียมยิง มาอยู่ในท่าปกติ เขากล่าวทักทายผู้ที่นำขบวนต่อไปอีก ๒-๓ คำเหมือนไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไร
บรรดานักข่าวผ่อนลมหายใจที่สะกดกลั้นไว้ออกมาอย่างโล่งอก  
" จริงของเขา"  
หนึ่งในนักข่าวครางออกมา
" ยศเขายังเล็กก็จริง   แต่ฝีมือและน้ำใจไม่เล็กเลย   ถ้าจะให้รางวัลผมสักแสน  ให้ผมเดินเข้าไปเผชิญซึ่งๆหน้าในสถานการณ์ตึงเครียดจวนระเบิดขนาดนี้   ก็เห็นจะไม่รับประทาน"
"ผมชอบวิธีพูดของเขาจริงๆ" อีกคนหนึ่งเสริม " ผมเชื่อว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษและนักกีฬาคนหนึ่ง  ถ้ามือเขาไม่ดีจริง อาจถูกขว้างก้อนอิฐหัวเละไปแล้ว"
" ผมจะไปสืบหาชื่อเขาเดี๋ยวนี้ละ  วีรบุรุษแห่งสะพานมัฆวานผู้นี้เป็นใคร    เขาสามารถทำให้เหตุที่เกือบจะนองเลือดในเสี้ยววินาที กลายเป็นสันติภาพอย่างไม่มีใครนึกถึง"
ใครคนหนึ่งคงไปถามทหารที่ลดอาวุธลงแล้ว   เสียงจึงบอกต่อๆกันไปว่า
" เขาชื่อร้อยเอกอาทิตย์ กำลังเอก"

ถ้าใครมองเห็นเค้าของเพชรพระอุมาบทแรก  ก็นั่นละค่ะ ใช่เลย  
ขอคุณพนมเทียนมาหน่อย     รู้ว่าท่านใจดี  คงไม่ว่าดิฉันหรอกนะคะที่ขอยืมรพินทร์ ไพรวัลย์ มาสวมบทพลเอกอาทิตย์  กำลังเอก  ผู้บัญชาการทหารบกในอีก ๒๔  ปีต่อมา


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 18:27
มาอ่านประวัติท่านแบบจริงจังกันหน่อย

ในวันที่ร้อยเอกอาทิตย์  กำลังเอก ตัดสินใจด้วยสันติวิธีที่สะพานมัฆวาน  เขาอายุ ๓๒  ปี  เป็นนายทหารฝ่ายยุทธการและการฝึก กองพันทหารราบที่ ๒ กรมผสมที่ ๒๑
ปีต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นพันตรี เป็นนายทหารกองพันที่ ๔ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์

เป็นชาวกรุงเทพโดยกำเนิด  บิดาชื่อร้อยตรีพิณ มารดาชื่อนางสาคร   เป็นศิษย์เก่าร.ร.วัดเบญจมบพิตร   จบการศึกษาจากร.ร.นายร้อย จปร.   รุ่นเดียวกับ พลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์ พลเอกบรรจบ บุนนาค และพลอากาศเอกประพันธ์ ธูปะเตมีย์

เส้นทางทหารของพันตรีอาทิตย์ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่หวือหวา  ติดยศพลตรีเมื่ออายุ ๕๒ ปี    ในพ.ศ. ๒๕๒๔ เมื่ออายุ ๕๕  เขาได้เป็นรองแม่ทัพภาคที่ ๒ ประจำอยู่ที่โคราช  ก็พอดีเกิดรัฐประหารที่เรียกว่า กบฏเมษาฮาวาย ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔   นำโดยพลเอกสัณห์ จิตปฏิมา  

คณะรัฐประหารตั้งกองบัญชาการอยู่ที่หอประชุมกองทัพบก  ส่งกำลังทหารเข้ายึดควบคุมสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานครหลายแห่งรวมทั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย    พอยึดสถานีได้ก็ออกประกาศแถลงการณ์เป็นระยะๆ   อ้างเหตุผลสำคัญที่ต้องรัฐประหาร (หรือเรียกกันว่าปฏิวัติ) ว่ามีความจำเป็นที่ต้องทำ    ด้วยข้อหาคุ้นๆสำหรับคนอ่านกระทู้นี้มาแต่แรก  คือ "เนื่องจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลขณะนั้น มีการเล่นพรรคเล่นพวกกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน มีการฉ้อราษฏร์บังหลวงคอรัปชั่นในวงราชการทั่วไป เศรษฐกิจและสังคมของประเทศประสบความเสื่อมโทรมลงอย่างหนัก"

ในเมื่อยึดการสื่อสารได้  วันแรก ประชาชนก็ได้ฟังแต่แถลงการณ์ของฝ่ายกบฏฝ่ายเดียว  จึงเข้าใจว่ารัฐบาลถูกล้มไปเรียบร้อยแล้ว  เพราะไม่มีเสียงโต้ตอบจากรัฐบาลเลย
แต่ในความเป็นจริง พลเอกเปรมไม่ได้ยอมแพ้  แต่ถอยจากพวกกบฏซึ่งมีกำลังอยู่ในเมืองหลวงไปตั้งหลักที่นครราชสีมาซึ่งเป็นถ้ำเดิมของพญาเสืออย่างท่าน   พลตรีอาทิตย์รองแม่ทัพภาค ๒ ปักหลักสู้พวกกบฏ ไม่ยอมเข้าข้างพลเอกสัณห์  ทั้งๆกำลังทหารส่วนใหญ่ในเมืองหลวงเป็นฝ่ายกบฏไปแล้ว  
ด้วยความร่วมมือของพลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์  อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ก็หาทางถ่ายทอดเสียงจากสถานีวิทยุกระจายเสียงของกองทัพภาคที่ ๒ ซึ่งเป็นสถานีแม่ข่ายของฝ่ายรัฐบาล  ผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงทั้งระบบเอ็ฟเอ็มและเอเอ็มของกรมไปรษณีย์โทรเลข ( สถานีวิทยุกระจายเสียง ๑ ปณ.) จำนวนหลายสถานี มาออกอากาศทางกรุงเทพมหานครให้ประชาชนรับฟังได้ชัดเจน ไม่แพ้สถานีวิทยุกระจายเสียงของฝ่ายรัฐประหาร

กบฏครั้งนี้ ไม่เสียเลือดเนือ  รบกันทางจิตวิทยา ผลัดกันโต้ตอบดุเดือดทางวิทยุกระจายเสียง    รัฐบาลยืนยันประกาศสถานการณ์ให้ประชาชนรู้ความเป็นจริงว่ารัฐบาลยังไม่ได้แพ้     ปรากฏว่าประชาชนเริ่มเข้าข้างฝ่ายรัฐบาล ทหารบางส่วนในกรุงเทพก็เริ่มแอนตี้ฝ่ายรัฐประหาร   เสียงของฝ่ายรัฐประหารก็แผ่วลงเป็นลำดับ

เมื่อกองกำลังทหารของฝ่ายรัฐบาลได้เคลื่อนย้ายกำลังจากจังหวัดนครราชสีมาทางอากาศมาถึงกรุงเทพมหานครในเช้าตรู่วันที่ ๔ เมษายน จึงสามารถเข้ายึดกรุงเทพมหานครคืนได้โดยไม่มีการปะทะถึงขั้นนองเลือดล้มตาย  พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมาหลบหนีออกนอกประเทศไปพม่า    ภายหลังรัฐบาลก็ออกนิรโทษกรรมให้ฝ่ายกบฏ

ผลงานปราบกบฏทำให้พลตรีอาทิตย์ย้ายจากโคราชมาเป็นแม่ทัพภาค ๑ ในปีเดียวกัน เลื่อนยศเป็นพลโทและพลเอก  และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ในปีต่อมาคือพ.ศ.๒๕๒๕ ผู้บัญชาการทหารบก และควบรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ปีพ.ศ.๒๕๒๖ เป็นทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ควบผู้บัญชาการทหารบกเช่นเดิมอีกด้วย

จะเล่ามากกว่านี้  ก็เกรงว่าซอยจะกว้างกว่าถนนกระทู้      เพราะเรื่องพลเอกอาทิตย์มีให้เล่าอีกมาก แต่หาอ่านไม่ยากทางลุงเกิ้ล    ใครสนใจไปหาอ่านต่อเอาเองนะคะ  
เชื่อว่าหลายท่านในเรือนไทยเกิดทันกบฏเมษาฮาวาย  และจำได้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 19:22

เบื้องหลังเหตุการณ์ตอนนี้มีผู้บันทึกไว้ว่า อำนาจการสั่งการเด็ดขาดนั้น จอมพลป.จำเป็นต้องมอบให้ทหาร ดังนั้นเผ่าจึงต้องเชื่อฟังสฤษดิ์ในเรื่องนี้ เมื่อเผ่าเสนอให้ตำรวจใช้อาวุธทันทีที่สกัดขบวนด้วยสันติวิธีไม่อยู่ แต่สฤษดิ์ไม่เห็นด้วย เผ่าขอใช้เพียงกระสุนซ้อมรบ สฤษดิ์ก็บอกว่าอย่าเลยเดี๋ยวเขาจะนึกว่าเรามีแต่กระสุนเก๊ รอให้ทหารจัดการดีกว่าและขอให้ทุกคนฟังคำสั่งของตนแต่ผู้เดียวเท่านั้น เผ่าก็เลยต้องเงียบ

 
นับว่าโชคดีมากที่จอมพลป.สั่งงานปราบจลาจลให้ทหารทำ    ไม่ใช่ตำรวจ   ถ้าหากว่าตำรวจลงมือใช้อัศวิน หรือใช้ผู้กว้างขวางมาปราบนิสิตนักศึกษาและประชาชน   อาจจะนองเลือดกันทั้งถนนราชดำเนินนอก   เหตุการณ์ก็จะลุกลามไปใหญ่โตเกินกว่าจะคาดคิดได้
เชื่อว่านิสิตนักศึกษาคงตายกันไปมาก  เพราะไม่มีอาวุธ  

เอารูปมาฉายตัวอย่างเหตุการณ์ตอนต่อไป  รูปนี้จอมพลสฤษดิ์ผบ.ทบ. กลายเป็นขวัญใจนิสิตนักศึกษา ยืนอยู่ข้างพวกเขาเมื่อเดินขบวนประท้วงรัฐบาลเรื่องเลือกตั้งสกปรก

ส่วนอีกรูปหนึ่ง สฤษดิ์ได้ลงปกหนังสือไลฟ์


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 10, 20:42
ผมไปเวิ้งนาครเขษมในกระทู้ข้างๆเสร็จก็ออกไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตาไม่ให้ตาแฉะเพราะนั่งจ้องจอคอมสลับกับหน้าหนังสืออยู่ทั้งวัน แล้วก็ทานข้าว พอแวะกลับเข้ามาก็เห็นหัวขบวนกำลังนำจะคณะท่านผู้อ่านออกจากซอยพระอาทิตย์ พอดีซอยนี่มีอีกซอกหนึ่งน่าสนใจแบบฉีกแนวประวัติศาสตร์ทีเดียว

ผมขอเอาบทความที่พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์เป็นผู้ที่เขียนไว้เองมาให้อ่าน (ตัวสะกดบางคำคงไว้ตามของผู้เขียน)

ขอเชิญติดตามครับ

เมื่อ ๑๗ ปีที่แล้ว(ของวันที่เขียน) ในวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๔ ได้มีเหตุการณ์สำคัญซึ่งได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเป็นบทเรียนทางการเมืองแก่อนุชนรุ่นหลังไว้อีกวันหนึ่ง วันนี้มีชื่อเรียกติดปากกันในหมู่คนไทยที่ได้อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นว่า "วันกบถเมษาฮาวาย" เหตุการณ์ "วันกบถเมษาฮาวาย" นี้ได้เกิดขึ้นเมื่อเวลา๐๒.๐๐ น. ของวันที่ ๑  เมษายนพ.ศ.๒๕๒๔ เมื่อคณะทหารบกกลุ่มหนึ่งนำโดย พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา รองผู้บัญชาการทหารบก ได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลในขณะนั้น   ซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

คณะปฏิวัติได้ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่หอประชุมกองทัพบกแล้วส่งกำลังทหารเข้ายึดควบคุมสถานที่สำคัญในกรุงเทพมหานครหลายแห่ง   รวมทั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย   กับได้ทะยอยออกประกาศแถลงการณ์และคำสั่งคณะปฏิวัติผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ เป็นระยะๆ โดยมีสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเป็นแม่ข่าย โดยที่คณะปฏิวัติได้ทำการยึดสถานีวิทยุกระจายเสียง และโทรทัศน์ที่ตั้งในเขตกรุงเทพมหานครไว้ทั้งหมด จึงอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบเพราะประชาชนทั่วไปสามารถรับฟังข่าวจากคณะปฏิวัติได้เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นจึงทำให้หลงเชื่อว่า การปฏิวัติครั้งนี้ได้ประสบความสำเร็จลงแล้วอย่างแน่นอน ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จฯแปรพระราชฐานไปประทับยังกองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๒ จังหวัดนครราชสีมาตามคำกราบบังคมทูลเชิญของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี

ผมเองในขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เมื่อได้ทราบเหตุ จึงได้ตัดสินใจเสี่ยงต่อตำแหน่งหน้าที่เดินทางไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จังหวัดนครราชสีมา และได้รับมอบหมายจากพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ให้ดำเนินการทางเทคนิคถ่ายทอดเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงของกองทัพภาคที่ ๒ ซึ่งเป็นสถานีแม่ข่ายของฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้นมาออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงทั้งระบบเอฟเอ็มและเอเอ็มของกรมไปรษณีย์โทรเลข (สถานีวิทยุกระจายเสียง ๑ ปณ.) จำนวนหลายสถานีในกรุงเทพมหานคร ได้อย่างชัดเจนแจ่มใสไม่แพ้สถานีวิทยุกระจายเสียงของฝ่ายปฏิวัติ การปฏิบัติสงครามทางจิตวิทยา ระหว่างสถานีวิทยุกระจายเสียงของทั้งสองฝ่ายจึงเกิดขึ้น และในที่สุด สถานีวิทยุกระจายเสียงต่าง ๆ ที่ได้ร่วมทำการถ่ายทอดเสียงข่าวของฝ่ายปฏิวัติอยู่แต่เดิม จึงเริ่มเข้าใจสถานการณ์ได้กระจ่างชัดขึ้นโดยลำดับและเริ่มทะยอยเปลี่ยนใจมาเข้ากับฝ่ายรัฐบาลทำการถ่ายทอดเสียงจากสถานีวิทยุกระจายเสียง ๑ ปณ.แทน ทั้งกองกำลังทหารฝ่ายปฏิวัติและประชาชนจึงหูตาสว่างขึ้น

ดังนั้น เมื่อกองกำลังทหารของฝ่ายรัฐบาลได้เคลื่อนย้ายกำลังจากจังหวัดนครราชสีมาทางอากาศมาถึงกรุงเทพมหานครในเช้าตรู่วันที่ ๔ เมษายน จึงสามารถเข้ายึดกรุงเทพมหานครคืนได้โดยไม่มีการปะทะถึงขั้นนองเลือดล้มตาย เป็นอันว่า การปฏิวัติของพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา กับคณะได้ประสบความล้มเหลวพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง  
เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ข้างต้นปรากฏอยู่ในหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ชาติไทยในตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชด้วยเช่นกัน ดังนี้

".....พระยาสรรค์ได้นำกองทัพพวกกบฎลงมาที่เมืองธนบุรีในวันแรม ๑๑ ค่ำ  เดือน ๔ เป็นปลายปี๒๓๒๔ แล้วเข้าล้อมกำแพงวังไว้....ในวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ พระยาสุริยอภัยก็นำกองทัพไทยลาว ๑,๐๐๐ ยกลงมาจากนครราชสีมา....."
("การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี",นิธิ เอียวศรีวงศ์,ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ)

เหตุการณ์ครั้งนี้ สรุปได้ว่า พระยาสรรค์ ซึ่งเป็นหัวหน้ากบฎกับพวกได้ถูกกองทัพของ พระยาสุริยอภัย ที่ยกมาจาก นครราชสีมาปราบอย่างราบคาบ ขอให้ท่านผู้อ่านสังเกตดูตารางเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ กบถเมษาฮาวายเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๔ ต่อท้ายบทความนี้ประกอบจากตารางนี้ จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ทั้งสองครั้งเกิดขึ้นห่างกัน ๒๐๐ ปีพอดี

หัวหน้ากบถกรุงธนบุรี พระยาสรรค์    หัวหน้ากบถเมษาฮาวาย พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา
ผู้ปราบกบถกรุงธนบุรี พระยาสุริยอภัย ผู้ปราบกบถเมษาฮาวาย พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก (สุริย=อาทิตย์)
จุดที่ตั้งของกองทัพปราบกบถ นครราชสีมา    
วันเดือนปีที่เกิดกบถกรุงธนบุรี  แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ พ.ศ.๒๓๒๔  
วันเดือนปีที่เกิดกบถเมษาฮาวาย ๓๑ มี.ค ๒๕๒๔ ตรงกับแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔พ.ศ.๒๕๒๕
 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ส.ค. 10, 21:17
อ่านความบังเอิญแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน  อะไรจะบังเอิญเป๊ะๆ  นึกไปถึงความบังเอิญเรื่องคดีลอบสังหารประธานาธิบดีลินคอล์นกับเคนเนดี้ขึ้นมาทันที
ไม่รู้ว่าพวกกบฏเมษาฮาวาย มีใครวางฤกษ์ให้หรือเปล่านะคะ   ถ้ามี คนวางเพชฌฆาตฤกษ์ของวันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔  นี่ก็พลาดอย่างจัง :-\

ในเมื่อท่านยังไม่ออกจากซอย ก็ขอแยกซอยย่อยไปอีกหน่อยเรื่องกบฏ   
บางคนเรียกว่ากบฏเมษาฮาวายว่ากบฏยังเติร์ก เพราะผู้ร่วมมือกับพลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา คือนายทหารหนุ่มชั้นนายพันเอกระดับคุมกำลัง ใช้กำลังพลถึง 42 กองพัน แต่รัฐประหารไม่สำเร็จ    นายพันรุ่นนี้จบจปร. หลักสูตรเวสปอยท์ รุ่นที่ 7 ซึ่งได้รับฉายาว่า "กลุ่มยังเติร์ก
คนดังในรุ่นที่รู้จักกันมาถึงวันนี้คือพล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ประธานวุฒิสภา, พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี  พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ส่วนอีกคนที่เสียชีวิตไปแล้วคือพ.อ. (พิเศษ) ประจักษ์ สว่างจิตร

เมื่อลงมือทำรัฐประหาร  แผนคือพ.อ. ประจักษ์รับหน้าที่ไปจี้ตัวพล.อ.เปรม ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศน์ แต่พล.อ.เปรม ชั้นเชิงเหนือกว่า หลอกล่อจนหลุดจากการควบคุมตัวได้   พ.อ.ประจักษ์เองกลับถูกทหารราบ 21 นำโดย พ.ท.ณรงค์เดช นันทโพธิ์เดช (เสียชีวิตแล้ว) จับตัวไว้ได้  จนพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี (หรือพันเอกพัลลภ ยศขณะนั้น) ตัดสินใจบุกเดี่ยวไปช่วยเหลือ  ขอเจรจากับ พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ (ยศในขณะนั้น) จน พ.อ.ประจักษ์ ปลอดภัยรอดมาได้

เมื่อมีพ.ร.บ. นิรโทษกรรม   ผู้ร่วมก่อรัฐประหารได้โอกาสกลับเข้ารับราชการใหม่ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายพลทั้งพลต.มนูญกฤตและพลเอกพัลลภ ส่วนพ.อ.ประจักษ์ไปทำธุรกิจส่วนตัว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 07:44
NAVARAT.C
 
อ้างถึง
เบื้องหลังเหตุการณ์ตอนนี้มีผู้บันทึกไว้ว่า อำนาจการสั่งการเด็ดขาดนั้น จอมพลป.จำเป็นต้องมอบให้ทหาร ดังนั้นเผ่าจึงต้องเชื่อฟังสฤษดิ์ในเรื่องนี้ เมื่อเผ่าเสนอให้ตำรวจใช้อาวุธทันทีที่สกัดขบวนด้วยสันติวิธีไม่อยู่ แต่สฤษดิ์ไม่เห็นด้วย เผ่าขอใช้เพียงกระสุนซ้อมรบ สฤษดิ์ก็บอกว่าอย่าเลยเดี๋ยวเขาจะนึกว่าเรามีแต่กระสุนเก๊ รอให้ทหารจัดการดีกว่าและขอให้ทุกคนฟังคำสั่งของตนแต่ผู้เดียวเท่านั้น เผ่าก็เลยต้องเงียบ

เทาชมพู
อ้างถึง
นับว่าโชคดีมากที่จอมพลป.สั่งงานปราบจลาจลให้ทหารทำ    ไม่ใช่ตำรวจ   ถ้าหากว่าตำรวจลงมือใช้อัศวิน หรือใช้ผู้กว้างขวางมาปราบนิสิตนักศึกษาและประชาชน   อาจจะนองเลือดกันทั้งถนนราชดำเนินนอก   เหตุการณ์ก็จะลุกลามไปใหญ่โตเกินกว่าจะคาดคิดได้
เชื่อว่านิสิตนักศึกษาคงตายกันไปมาก  เพราะไม่มีอาวุธ   

ไม่ทราบท่านผู้อ่านจะยังจำตอนนี้จากกระทู้พระยาทรงสุรเดชได้หรือไม่

อ้างถึง
พ.อ. พระยาทรงสุรเดชที่ยอมรับกันว่าปราดเปรื่องเฉียบคมเป็นมันสมองของคณะราษฎร เป็นบุคคลที่หัวหน้าสายทหารกลุ่มหนุ่มไม่ใคร่ชอบ แต่ยังแซงขึ้นมาได้ติดด้วยอาวุโสและบารมี พระยาทรงฯถือตัวอาวุโสว่าเป็นครูบาอาจารย์ ชอบใช้วิธีอธิบายเชิงสอน และออกจะพูดแรงตรงไปตรงมาสั้นๆ อย่างเรื่องแผนและวิธีปฏิบัติสำหรับวันที่ 24 มิถุนายน พระยาทรงฯ ถามในที่ประชุมว่า ถ้าราษฎรรวมตัวเข้าต่อสู้ขัดขวางด้วยความจงรักภักดีในราชบัลลังก์ คณะราษฎรจะทำอย่างไร นายทหารหนุ่มเหล่าปืนใหญ่ท่านหนึ่งตอบว่า "ยิง" ตามแบบคนหนุ่มไฟแรงใจร้อน
พระยาทรงสุรเดชสวนทันควัน “ยังงี้บรรลัยหมด กำลังเรามีเท่าไหร่ กำลังราษฎรกับทหารหน่วยอื่นเท่าไหร่ ….ทำไมไม่เตรียมวิธีการประนีประนอมปลอบให้เข้าใจจุดมุ่งหมายของคณะราษฎร”

 ถึงท่านจะไม่ระบุชื่อ แต่คนที่สนใจประวัติศาสตร์ช่วงนี้ก็ทราบได้โดยไม่ยากว่านายทหารหนุ่มดังกล่าวคือนายพันตรี หลวงพิบูลสงคราม


ผมก็ไม่ทราบว่าพันตรี หลวงพิบูลสงครามเมื่อมาเป็นจอมพลป.พิบูลสงครามแล้วนี้ จะยังคงมีทัศนคติเดิมๆอีกหรือไม่ แต่การปราบกบฏทุกครั้งที่ท่านเกี่ยวข้อง ก็มักจะกระทำด้วยความเด็ดขาด รุนแรง แบบถึงเลือดถึงเนื้อทุกครั้ง แม้ใหญ่ขึ้นมาจนไม่ได้เป็นแม่ทัพอยู่แนวหน้า ก็ใช้คนอย่างสฤษดิ์ที่ดุเดือดเลือดพล่านพอกัน ทั้งคราวกบฏวังหลวงที่นายปรีดีไปยึดที่นั่นเพราะคิดว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้อาวุธหนัก เพราะพระบรมมหาราชวังอาจเสียหาย ไหนได้ สฤษดิ์เอาปืนใหญ่ยิงถล่มประตูวังหลายด้าน กระสุนพลาดไปโดนตึกข้างในเสียหายเยอะ แล้วเอารถถังวิ่งชนประตูวิเศษชัยศรีพังทะลาย เปิดทางให้ทหารราบบุกเข้ายิงทหารเรือที่มีแต่อาวุธประจำตัวจนแพ้พ่าย ยิ่งคราวกบฏแมนฮัตตั้นด้วยแล้ว ทหารบกที่สฤษดิ์บัญชาการยิงบดขยี้ทหารเรือที่อาวุธด้อยกว่าราวกับไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน
 
คราวนี้ ผมยังติดใจอยู่หน่อยๆว่า จอมพลป.คงลุ้นให้สฤษดิ์ปราบประชาชนเหมือนดังที่ตนเคยคิดอยู่เหมือนกัน ที่ไม่มอบอำนาจให้เผ่า เพราะศักดิ์ของผบ.ทบ.สูงกว่าอธิบดีกรมตำรวจ ถ้าให้เผ่าเป็นนาย สฤษดิ์คงไม่ยอมและอาจดัดหลังได้เพราะยังไงๆอาวุธของทหารก็หนักกว่า แต่ถ้ามอบอำนาจให้สฤษดิ์แล้วสฤษดิ์ไม่อยากมือเปื้อนเลือดในงานนี้ ก็ยังลอยตัวโดยไฟเขียวให้เผ่าสั่งกองทัพตำรวจกระทำแทนก็ยังได้

แต่เกมส์ไม่เป็นไปอย่างที่วาดไว้ สฤษดิ์กลับทำตรงกันข้ามหมด เรื่องนี้น่าคิด..น่าคิด


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 10, 09:15
NAVARAT.C
 
คราวนี้ ผมยังติดใจอยู่หน่อยๆว่า จอมพลป.คงลุ้นให้สฤษดิ์ปราบประชาชนเหมือนดังที่ตนเคยคิดอยู่เหมือนกัน ที่ไม่มอบอำนาจให้เผ่า เพราะศักดิ์ของผบ.ทบ.สูงกว่าอธิบดีกรมตำรวจ ถ้าให้เผ่าเป็นนาย สฤษดิ์คงไม่ยอมและอาจดัดหลังได้เพราะยังไงๆอาวุธของทหารก็หนักกว่า แต่ถ้ามอบอำนาจให้สฤษดิ์แล้วสฤษดิ์ไม่อยากมือเปื้อนเลือดในงานนี้ ก็ยังลอยตัวโดยไฟเขียวให้เผ่าสั่งกองทัพตำรวจกระทำแทนก็ยังได้

แต่เกมส์ไม่เป็นไปอย่างที่วาดไว้ สฤษดิ์กลับทำตรงกันข้ามหมด เรื่องนี้น่าคิด..น่าคิด


จริงของคุณนวรัตน   วิธีปราบแบบลำหักลำโค่นของจอมพลป. มีมาตั้งแต่ตอบโต้กบฏบวรเดช  ซึ่งไม่คิดว่ารัฐบาลจะเล่นดุเดือดเลือดพล่านขนาดนั้น  การรบที่ทุ่งบางเขนเป็นพยานได้  วิธีนี้เองก็ทำให้พันโทหลวงพิบูลขึ้นสู่อำนาจได้ลิ่วๆจนถึงจอมพล

อาจารย์ประจำชั้นเปิดทางให้ดิฉันแยกซอยออกไปอีกได้ตั้ง ๓-๔ ซอย     ถ้าหากว่าเรื่องนี้เป็นนิยาย  ก็วางพล็อตตอนจบได้หลากหลาย
๑   ถ้าเชื่อว่าขุนศึกผู้เคยชินกับการชนะศึกแบบไหน   ก็จะใช้ยุทธวิธีซ้ำๆกัน      ก็เป็นได้ว่าจอมพลป. ใช้จอมพลสฤษดิ์เพื่อใช้กำลังทหารบดขยี้การเดินขบวนของนิสิตนักศึกษา และประชาชน  แบบเดียวกับทำกับกบฏวังหลวงและกบฏแมนฮัตตัน    ง่ายกว่าด้วยเพราะพวกเดินขบวนไม่มีอาวุธ  ยิงให้ตายไปสักแถวสองแถว กับจับกุมอีกสักร้อยสองร้อย   ก็จะกระจายสลายตัวกันหมด
๒   ทำไมใช้พลเอกสฤษดิ์ ไม่ใช้พลต.อ.เผ่า  ก็เพราะจอมพลป. มองว่าพวกนี้เป็นกบฏกลางเมือง   ปราบกบฏก็ต้องใช้ทหาร ไม่ใช่ตำรวจ
ถ้าทำไม่สำเร็จจะด้วยอะไรก็ตาม  ก็มีกองทัพตำรวจคอยทีอยู่อีกทั้งกองทัพ
      สองข้อนี้ตรงกับคุณนวรัตนคิด
       ต่อไปคือดิฉันคิด     แยกซอยออกไปอีก
๓   จอมพลป. ดูออกว่าจอมพลสฤษดิ์ชักจะยังไงๆไม่สู้ดีกับตัวเอง    เพราะพลต.อ.เผ่าก็กระซิบอยู่ตลอดเวลา   สายสืบก็น่าจะรายงานอะไรมาบ้าง  โดยเฉพาะตั้งพรรคการเมืองและออกน.ส.พ.     จึงใช้ให้ไปตายในงานนี้   ถ้าปราบนิสิตนักศึกษาได้  ผลดีก็ตกกับจอมพลป. แต่จอมพลสฤษดิ์ย่อมจะถูกไฮปาร์คสาปแช่งทุกสารทิศ เพราะฆ่าลูกหลานประชาชน    ที่สำคัญคือจอมพลป.ตลบหลังเล่นบทเสียอกเสียใจกับประชาชน  หันไปลงโทษสฤษดิ์ฐานทำเกินเหตุ   ถอดจากผบ.ทบ.ไปเลย  เรียกว่ายิงนัดเดียวได้นกหลายตัว
๔   ถ้าจอมพลสฤษดิ์ไหวทัน  ไม่ยอมฆ่านิสิตนักศึกษา    จอมพลป.ก็พร้อมจะถอดออกจากตำแหน่งฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนาย  ข้อหลังนี้ต้องทำให้เร็วก่อนจอมพลสฤษดิ์จะไหวตัวขึ้นมา      จอมพลป.เชื่อว่ากองทัพตำรวจน่าจะคานกองทัพทหารไว้ได้
        ข้อ ๔ นี่แหละที่จอมพลป. พลาด   จอมพลสฤษดิ์ก็ไม่ได้มีแค่กองทัพโดดๆ   อเมริกาหนุนหลังอยู่ไม่ใช่หรือ?

   ส่วนเรื่องร้อยเอกอาทิตย์ กำลังเอก  ดิฉันเดาว่าจะมีไฟเขียวเข้ามาเร่งด่วน  สั่งให้ปล่อยขบวนประชาชนผ่านเข้าไปได้ รู้กันเงียบๆในหมู่นายทหาร   ไม่งั้นร้อยเอกคงไม่กล้าห้ามลูกน้อง  แสดงความเป็นมิตรกับพวกเดินขบวนอย่างมั่นอกมั่นใจขนาดนี้    ดาวหลุดเชียวนะคะ

      คุยกันในกระทู้สนุกๆ  ไม่ซีเรียสอะไรมาก   ถ้านักเรียนคนไหนอยากออกความเห็นด้วยก็ขอเชิญ    ห้องเรียนจะได้ครึกครื้นขึ้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 09:58
^
^
3 และ 4 ลึก ชัด คม

น่าคิด น่าคิด


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 10, 10:11
ไปหารูปท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์มาได้แล้วค่ะ

(http://dekisugi.net/wp-content/uploads/2010/03/salit2.jpg)

ในยุคที่จอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี   ดูข่าวทีวีรอบค่ำ เห็นท่านผู้หญิงวิจิตราออกงานคู่กับท่านเสมอ   ไม่ว่างานพิธีการหรือไปเปิดงานอะไรที่ไหนก็ตาม ก็จะมีท่านผู้หญิงสวมชุดไทยจิตรลดา  เกล้าผมเป็นมวยเรียบ ซึ่งเป็นชุดที่ท่านแต่งออกงานประจำ เดินไปกับสามี  เป็นผู้หญิงรูปร่างดี สวยและดูสาวมากเมื่อเทียบกับสามี  
มารู้ทีหลังว่าเมื่อจอมพลสฤษดิ์ขึ้นเป็นนายกฯ ท่านผู้หญิงอายุ 36 เท่านั้นเอง  ส่วนจอมพลอายุ 49 แต่ดูสูงวัยพอๆกับ 59  อาจเป็นเพราะตรากตรำงานมามาก
ท่านผู้หญิงวิจิตราไม่แสดงบทบาททางการเมืองหรือวัฒนธรรม แบบท่านผู้หญิงละเอียด     ไม่เคยได้ยินว่าท่านให้สัมภาษณ์  หรือลงข่าวในด้านส่วนตัวทางหนังสือพิมพ์   ค่อนข้างจะจำกัดตัวอยู่เงียบเชียบพอสมควรสำหรับตำแหน่งภริยานายกรัฐมนตรี
มารู้ข่าวอีกทีก็หลังจากจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมไปแล้ว   กลายเป็นข่าวระเบิดทั่วบ้านทั่วเมือง เรื่องมรดกและอนุภรรยา   พอจบเรื่องนี้ ท่านก็เก็บตัวเงียบเชียบจากสังคมอีก  
จนมาได้ข่าวว่าท่านถึงแก่กรรมแล้วเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 10, 11:13
ขอขอบคุณท่านผู้อนุเคราะห์ ส่งรูปท่านผู้หญิงวิจิตรามาให้ เลยได้เพิ่มอีกหลายรูป
ใครอยากเห็นรูปจริง   ไปหาดูได้จากหนังสือที่ลงไว้ในรูปสุดท้าย ค่ะ

ไหนๆก็เอารูปท่านผู้หญิงมาลงแล้ว  ขอแยกซอยย่อย  ฉายซ้ำเรื่องซึ่งเคยเล่าไว้ในกระทู้อื่นแล้ว ถึงความรักโรแมนติคของท่านจอมพลกับท่านผู้หญิงวิจิตรา  เอามาลงในกระทู้นี้ให้อ่านกันสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่าน  ใครอ่านแล้วกรุณาข้ามไปได้ ได้ไม่เสียเวลา

ท่านจอมพลได้ชื่อว่าเป็นยอดขุนพล   ฟังแล้วจะนึกถึงขุนแผนหรือจะเด็ดก็ตามใจนะคะ     เป็นเหตุให้ครั้งหนึ่งท่านผู้หญิงงอน ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ  บอกว่าจะไปรักษาสุขภาพ   ทางนี้จอมพลสฤษดิ์ก็ให้คนไปตามยอดขุนพลเพลงแห่งยุคที่ชื่อ ครูเอื้อ สุนทรสนาน มา ให้แต่งเพลงใหม่รีบด่วน  เพื่อทันท่านผู้หญิงกลับ   จะได้คุมวงดนตรีมาบรรเลงรับขวัญท่านเมื่อลงจากเครื่องบิน
ปกติครูเอื้อเป็นผู้แต่งทำนองอันอมตะ แต่ไม่ได้แต่งเนื้อ  ต้องมีขุนพลด้านเนื้อเพลงทำงานประสานกัน  ครูเอื้อจึงไปตามนักประพันธ์สตรีชื่อดัง ซึ่งแต่งนิยายได้หวานจ๋อย และแต่งเนื้อเพลงได้ละเมียดละไมสุดๆ ให้สุนทราภรณ์มาแล้วหลายเพลง  ชื่อคุณชอุ่ม ปัญจพรรค์ มาใส่เนื้อโดยรีบด่วน
ตอนไปตาม  คุณชอุ่มกำลังหย่อนใจ จั่วไพ่อยู่กับญาติมิตร    ถูกตามจากวงไพ่อย่างกะทันหันให้ไปแต่งเพลง    ด้วยจิตวิญญาณของศิลปินแท้   ท่านก็ไม่ได้พะวงกับตัวเก็งหรือสี่มะเขืออีก   แต่สามารถเนรมิตเนื้อร้องอันแสนอ่อนหวานซาบซึ้ง ถ่ายทอดความในใจของท่านจอมพลมาได้ทันที
กลายเป็นเพลงอมตะเพลงหนึ่งของสุนทราภรณ์ มาจนทุกวันนี้   คือ หนึ่งในดวงใจ  หาฟังได้จากยูทูปค่ะ
หลายคนในเรือนไทยน่าจะร้องตามได้

พี่นี้มีน้องหนึ่งในดวงใจ เท่านั้น
หญิงอื่นหมื่นพันจะมาเทียมทัน ที่ไหน
แต่รักของพี่ซ่อนอยู่กลางใจ ข้างใน
หนึ่งในดวงใจคือเธอคนเดียว แท้เทียว

หากน้องได้รู้ว่าพี่รักน้อง หนักหนา
ขอได้เมตตาแก่ดวงวิญญา โดดเดียว
ผิดบ้างพลั้งบ้างก็ไม่จืดจาง ขาดเกลียว
น้องเป็นคนเดียว หนึ่งใน ดวงใจ

* หากอาทิตย์ลับโลกโศกสลด
จะมืดหมดทุกชีวิต ยังทนได้
หากขาดน้องที่พี่ปอง หนึ่งในดวงใจ
ทนไม่ได้จักต้องตาย ลงไปพลัน


พี่นี้มีน้องอยู่ในดวงใจ เสมอ
รักแต่เพียงเธอยิ่งกว่าชีวัน เชื่อฉัน
พี่ปองรักเจ้าเฝ้าแต่ผูกพัน แจ่มจันทร์
มีเธอเท่านั้นที่เป็นที่หนึ่ง ครองใจ

กลับไปอ่าน 2 บรรทัดแรกดีๆ   คุณชอุ่มน่าจะแต่งได้ชนิดเข้าถึงหัวใจท่านจอมพลมากๆ  ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 14:20
เอาครับ..เอา แอบไปโอเกะกันมาหวานจ๋อย ดื่มน้ำกลั้วคอหน่อยนึงก่อน เดี๋ยวมีเรื่องต้องเชียร์แล้วคอจะแห้ง
.
.
พล.อ.สฤษดิ์มาถึงสพานมัฆวานตอนที่ร้อยเอกอาทิตย์ กำลังเอกได้แย่งซีนสำคัญไปแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้เตี๊ยมกันมาอย่างไรเพราะมันดูเป็นธรรมชาติเช่นเดียวหนังระดับฮอลิวู๊ดไม่ใช่หนังไทย ตอนนั้นถ้าสั่งช้าไปอีกนิดเดียวทหารอาจถูกเอาไม้ฟืนฟาดหัว แล้วเลยลั่นกระสุนเปรี้ยงเข้าให้ ก็คงจะเกิดกลียุคเข้าแผนใครต่อใครพอดี เมื่อตะโกนผ่านไมโครโฟนให้ทหารเปิดทางให้ประชาชนแล้ว สฤษดิ์ก็ลงจากรถทหารเดินตรงเข้าหากลุ่มแกนนำโดยมีนายทหารยศเบ้งจากสามเหล่าทัพตามไปติดๆ เมื่อเผชิญหน้ากันก็ถามด้วยเสียงอันดังว่า พวกคุณจะไปไหน

สุวิช(ที่ในรูปสะกดว่าสุวิทย์)ประธานนักศึกษาธรรมศาสตร์แก่พรรษากว่าสรวง นายกสโมสรของจุฬามาก ธรรมศาสตร์ตอนนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเปิดเช่นเดียวกับรามคำแหงตอนนี้ จะเฒ่าเท่าไหนถ้ามีเงินค่าเทอมก็มาลงชื่อเป็นนักศึกษาได้โดยไม่ต้องสอบเอนท์ จะเข้าฟังเลกเชอร์หรือไม่ก็สุดแล้วแต่ ดังนั้นธรรมศาสตร์จึงมีพวกเขี้ยวลากที่เข้ามาตีตราตนเองว่าป็นนักศึกษาเพื่อหางานเข้าทางการเมืองอยู่ เป็นที่เพ่งเล็งของสันติบาลและสายลับประเภทต่างๆมาก สุวิชเองก็มีงานประจำอยู่โดยเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์สยามนิกร เลยมีประสพการณ์ในการประจันกับคนระดับบิ๊กมาแล้ว จึงเป็นผู้ตอบคำถามว่าพวกเราจะไปทำเนียบ เพื่อฟังคำตอบเรื่องเลือกตั้งสกปรก สฤษดิ์ชั่งใจอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีแล้วประกาศก้องต่อฝูงชนว่า เมื่อพวกท่านจะไปทำเนียบก็ขอให้ไปอย่างสงบ อย่าทำลายทรัพย์สินของชาติ เราจะเปิดทางให้ ฝูงชนทั้งนั้นได้ยินไปทั่วก็เฮรับ ขบวนก็เคลื่อนตัวไปโดยทหารได้จัดแถวใหม่ ปล่อยให้คลื่นมหาชนผ่านไปได้อย่างสะดวกโยธิน

เวลานั้นความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา พระอาทิตย์หลบขอบฟ้าไปแล้ว ร้อยเอกอาทิตย์ก็หลบขอบเวทีไปดูดโอเลี้ยงคลายเครียดด้วย

ที่ทำเนียบรัฐบาล ประตูเหล็กได้เปิดแง้มไว้เล็กน้อย เพราะมีคำสั่งจากเลขาครม.ให้เฉพาะนิสิตนักศึกษาเท่านั้นที่จะเข้าไปภายในได้ ประชาชนต้องอยู่ข้างนอก ก็คำสั่งที่ใช้ปากไม่ใช้สมองยั่งงี้เองที่ทำให้ทรัพย์สินของทางราชการต้องเสียหายจนได้ พอทัพหน้ามาติดแหง่กอยู่ที่ประตู กว่าจะเล็ดเข้ามาได้เหมือนกระท่อกน้ำปลาออกจากขวด คนข้างหลังใจร้อนก็ฮุยเลฮุย พักเดียวประตูเหล็กก็พังโครม ผู้คนไม่รู้ใครเป็นใครก็หลั่งไหลเข้าไปในสนามหน้าทำเนียบเหมือนเขื่อนแตก ทำท่าจะวุ่นวายเกินขอบเขตอยู่แล้วพอดีกับเจ้าหน้าที่ประกาศขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และนั่งลง นายกรัฐมนตรีจะได้ออกมาพบ ระหว่างประกาศย้ำอยู่นั้น ทีมงานช่างก็ได้มาจัดสปอร์ตไลท์ส่องแสงพรึ่บพรั่บ พอตั้งไมโครโฟนเทสต์เสียงฮัลโหลๆ ก็เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่คนรู้สึกว่างิ้วจะออกโรงแล้ว ถ้าไม่รีบนั่งลงจะบังคนข้างหลัง แล้วอาจโดนของแข็งเขวี้ยงกบาลเอาได้ ความวุ่นวายก็สงบลง

จอมพลป.ก็ถือจังหวะนี้ก้าวออกจากตึกสู่แสงสปอร์ตไลท์ทันที ติดตามด้วยพล.อ.สฤษดิ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ราวกับฉากโจโฉยกทัพ ผู้คนตบมือเป่าปากต้อนรับเกรียวกราว แต่บัดเดี๋ยวเดียวก็มีเสียง สงสัยจะเป็นพวกประธานเชียร์ที่ร้องนำว่า ซา-หลิด  ซา-หลิด นิสิตนักศึกษาก็ขานรับตามว่าซา-หลิด ซา-หลิด ประชาชนก็เลย ซา-หลิด ซา-หลิด ซา-หลิดไปด้วย ซา-หลิดเอ้ยยสฤษดิ์ก็โบกมือรับด้วยมาดพระเอก ในขณะที่จอมพลป.ที่ยืนอยู่หน้าไมค์ทำท่าเหมือนอยากจะเปลี่ยนจากบทจากโจโฉ-นายกตลอดกาล ไปเป็นจิวยี่ ผู้อิจฉาริษยาจนกระอักเลือด

เสียงของสุวิชที่ขอร้องให้ฝูงชนเงียบเสียงลงเพื่อฟังนายกพูดก็เปิดโอกาสให้จอมพลป.ร่ายยาวออกไปแก้ตัวตามบทที่กุนซือวางพล็อตไว้ให้ ฝูงชนก็ฮือฮือด้วยความไม่พอใจ พอจอมพลป.บอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้สะอาด นิสิตนักศึกษาไปเชื่อพวกให้ร้ายป้ายสีเอง เสียงโห่ก็ดังขึ้น ท่านก็สวนออกไปว่า ท่านยินดีจะขึ้นศาลพิสูจน์การเลือกตั้งนี้ เท่านั้นเองเสียงโห่ก็ดังกึกก้องกัมปนาท ดูเหมือนจะมีเสียงตะโกนด่าเป็นคำหยาบคายด้วย แต่ผู้สันทัดกรณีย์ได้ยินไม่ชัดเพราะหูอื้อไปแล้ว เลยไม่ได้บันทึกไว้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 14:25
เสียงซา-หลิด ซา-หลิดดังสลับขึ้นมาอีก จอมพลป.จึงได้ก้าวถอยหลังให้พล.อ.สฤษดิ์เข้ามายืนแทนที่ เสียงมหาชนที่สนั่นจนฟังไม่ได้ศัพท์ก็เงียบลง สฤษดิ์เริ่มต้นด้วยการขอร้องไม่ให้ทุกคนวู่วาม ข้อข้องใจทั้งหลายที่ถามรัฐบาลคงตอบในวันนี้ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าจะเป็นตัวแทนของพวกพี่น้อง กระตุ้นรัฐบาลในเรื่องนี้เอง ขอให้พี่น้องไว้ใจข้าพเจ้า

น้ำเสียงที่ดูจริงใจ ไม่อ้อมค้อม และท่าทีสมชายชาติทหาร ได้กล่อมให้ทุกคนนิ่งฟังเหมือนถูกมนต์สะกด

เมื่อได้น้ำได้เนื้อตามควรแล้ว ท่านก็พูดสรุปว่าเหตุการณ์วันนี้ น่าเสียใจที่มีผู้บาดเจ็บหลายคนเมื่อประตูทำเนียบพัง บัดนี้ ถึงเวลาที่ทุกคนจะแยกย้ายกลับบ้านกันได้แล้ว ทิ้งให้เป็นภาระของข้าพเจ้าที่จะเร่งเร้ารัฐบาลแทนพวกท่านเถิด พอถึงตรงนี้ก็มีเสียงตะโกนแหวกขึ้นมาว่า “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จงเจริญ ไชโย”  ทุกคนก็ไชโย…ไชโยตามโดยไม่รู้ว่านักศึกษาหน้าแก่เป็นม้าคนนั้นเป็นใคร

อย่างไรก็ตามที่ชายผู้นั้นตะโกนนำว่า “จอมพลสฤษดิ์” ทำให้ผมต้องรีบเปิดคุณวิกี้ดูโดยพลัน แล้วจึงพบว่าท่านได้เป็นจอมพลตั้งแต่ปี2497พร้อมๆกับจอมพลคนอื่นๆโน้น เป็นอันว่าผมตกข่าวไม่รู้ว่าไปเซอะซะอยู่ที่ไหน เรียกท่านโดยลดยศเป็นแค่พลเอกมาตลอดนมนาน

 
ขายหน้าจริงๆ ขออภัยอย่างสูงครับ ขออภัย ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 10, 15:11
*  ดิฉันไปลดยศท่านเข้าเหมือนกัน  เข้าใจผิดว่าท่านได้เป็นจอมพลเมื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี  ต้องรีบย้อนกลับไปแก้ให้หมด  :-[

อ่านฉ็อทเด็ด ณ ลานหน้าทำเนียบ ของข้างบนนี้    เสียงเชียร์อุ่นหนาฝาคั่งจนไม่น่าเกิดตามธรรมชาติ      คงจะมีกองเชียร์ของจอมพลสฤษดิ์ปะปนอยู่ในหมู่มหาชน
เป็นไปได้ว่ามีการวางแผนส่งสายเข้าไปประกบในขบวนล่วงหน้าแล้ว   พวกนี้รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง  ถึงออกมาเชียร์พร้อมเพรียง ได้จังหวะถูกต้องกับสถานการณ์


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 15:30
คืนนั้นกว่าจะสลายตัวกันเรียบร้อยจริงๆก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่า นักข่าวช่างภาพหนังสือพิมพ์ต่างหอบข่าวหอบรูปไปอัดไปปั่นต่อที่โรงพิมพ์โดยไม่ต้องกินข้าวกินปลากันละ ขณะกำลังจะป้อนกระดาษขึ้นแท่นเตรียมพิมพ์อยู่แล้ว วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยก็ออกอากาศคำสั่งจากรัฐบาล ย้ำประกาศภาวะฉุกเฉิน ห้ามไม่ให้ผู้ใดกระทำการโฆษณาหรือพิมพ์เอกสารใดๆเกี่ยวกับการเมือง อันจะกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เป็นอันว่าจบกัน ข่าวทั้งหมดลงพิมพ์ไม่ได้เพราะคำสั่งรัฐบาลที่ประกาศย้ำมานั้น เช้าวันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ข่าวเช้ายักษ์ใหญ่อย่างน้อย3ฉบับที่ปกติจะออกแต่ก่อนสว่างก็ไม่มีขายในตลาด เพราะกลับตัวไม่ทัน

ในตอนสาย แถลงการณ์ฉบับที่6ของรัฐบาลก็ออกมาอีกใจความสรุปว่า ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลได้ยุยงปลุกปั่นให้คนจำนวนหนึ่งมีการเดินขบวน กล่าวประนามโดยปราศจากความจริงและเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกทั้งชุด เพราะเลือกตั้งคราวนี้สกปรก ข่มขู่ให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ออกจากยศทั้งหมด ยุยงให้ประชาชนฝ่าฝืนกฏหมายด้วยการไม่ให้เสียภาษีอากร ให้ทหารตำรวจแข็งข้อต่อรัฐบาล และคุกคามขู่เข็ญจะทำร้ายและจะใช้กำลังล้มล้างรัฐบาลชุดนี้เสียด้วย การกระทำเช่นนี้เข้ากันกับแผน7ขององค์การคอมมิวนิสต์สากล รัฐบาลจำเป็นต้องปราบปรามเพื่อรักษากฏหมายมิอาจหลีกเลี่ยงได้ บรา บรา บรา บรา..

วันรุ่งขึ้นนิสิตนักศึกษาก็ด้ท้าทายข้อห้ามไม่ให้ชุมนุมทางการเมืองเกิน5คนขึ้นมาอีกทันที โดยจัดประชุมกันที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วมีมติให้จัดผู้แทนไปมอบกระเช้าให้จอมพลสฤษดิ์  เพื่อขอบคุณที่ได้ให้ความคุ้มครองในการเดินขบวนเมื่อวันก่อน และเปลี่ยนข้อเสนอใหม่ แทนที่จะให้ส.ส.พระนครลาออกหมด ก็ให้จอมพลป.ลาออกเพียงคนเดียว
 
นอกจากนั้น นิสิตนักศึกษาจึงได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้รัฐบาลว่า การที่เข้าพบนายกรัฐมนตรีก็เพื่อประนามการเลือกตั้งสกปรกที่เกิดจากทุกฝ่าย ไม่ได้มุ่งหวังจะกระทำอย่างอื่น ที่ว่ามีต่างชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศนั้น ก็รู้อยู่ว่ามีการให้การสนับสนุนพรรคบางพรรค หนังสือพิมพ์บางฉบับ นิสิตนักศึกษาพร้อมที่จะช่วยป้องกันการทำลายประเทศตามนั้น และขอยืนยันว่า ได้กระทำทุกสิ่งด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ที่ว่ามีนักการเมืองเข้าแทรกแซงเพื่อหาผลประโยชน์และสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง ก็จริง แต่เราได้ทำลายการแทรกแซงเหล่านี้หมดไปสิ้นแล้ว

สงสัยประโยคท้ายๆนี่คงมีใครเข้ามาเห็นกระทู้ก่อนหน้านี้ในเรือนไทย จึงไปกระซิบบอกให้นิสิตนักศึกษาเขียนออกตัวไว้ด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 10, 17:42
 ;D

ดูหนังมาถึงม้วนจบ   มองเห็นว่าผู้กำกับชะตาการเมืองไทย  บอกใบ้ให้คนดูเห็นชัดๆ ว่าฝ่ายไหนเป็นพระเอก   ชนะแน่ๆตอนจบ
เพราะออร่าของจอมพลสฤษดิ์ ฉายสว่างจ้ายิ่งกว่าสปอตไล์ที่สนามหญ้าหน้าทำเนียบ    ใครๆก็อาจมองเห็นความมั่นใจในท่าที แสดงออกอย่างเปิดเผย ผ่านทางหน้าม้าว่าข้าขี่ม้าขาวมาแล้ว  ไม่ต้องยำเกรงใครทั้งสิ้น
จอมพลป.อาจเป็นโจโฉก็จริง แต่ถูกสวมบทโจโฉตอนแตกทัพเรือ ไม่ใช่โจโฉนายกตลอดกาล

ถ้าไม่แน่ใจว่าจะชนะขาดลอย  จอมพลสฤษดิ์คงไม่คว้าซีนเอาไปกินในงานนี้  ซีนแล้วซีนเล่า  ตั้งแต่หอประชุมจุฬา  สะพานมัฆวาน  จนถึงทำเนียบ  ต่อหน้าต่อตานายกฯ   เสียงเชียร์สะหลิดแล้วสะหลิดอีก ปกติมีแต่จะนำพิษภัยมาสู่ตน   เพราะใครๆก็รู้ว่าผู้ใหญ่มักจะเมตตาผู้น้อยที่ด้อยกว่า แต่ทนคนเก่งกว่าไม่ได้   ใครที่เก่งจริงจึงต้องทำเป็นไม่เก่งเพื่อความอยู่รอด   ต่อเมื่อชัวร์ว่ารอดแน่ และชนะด้วย จึงสำแดงความเก่งออกมาให้เต็มที่

ก่อนหน้านี้จอมพลสฤษดิ์ท่านก็ทำเป็นไม่ยุ่งมุ่งแต่งาน(และเงิน)มาหลายปีเต็มที   จนบัดนี้คงรู้จากหลังโรงแล้วว่าอำนาจของจอมพลป.เสื่อมถอยลงถึงที่สุด   กองทัพตำรวจก็ไม่อาจหนุนหลังได้อย่างเมื่อก่อน  พลต.อ.เผ่าเองก็สู้ไม่ไหว   ท่านก็เลยประกาศให้เห็นทั่วกันว่า ข้าพเจ้าคือฮีโร่ตัวจริง   สถานการณ์ที่จอมพลป.ตั้งใจว่าจะดับอีกฝ่าย   ก็เลยกลายเป็นสถานการณ์สร้างวีรบุรุษคนใหม่ขึ้นมา

จบละค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 18:55
ยังครับท่านอาจารย์เทาชมพู ยังจบหาได้ไม่
.
.
ขณะที่นิสิตนักศึกษาประชุมกันอยู่ที่หอประชุมจุฬานั้น จอมพลสฤษดิ์ก็เปิดแถลงข่าวที่หอประชุมกองทัพบกด้วย แม่ทัพทั้ง3เหล่ามากันครบ เผ่าไม่มาแต่ให้รองอธิบดีตำรวจมา เมื่อเริ่มต้นท่านได้กล่าวนำว่า การตั้งกองบัญชาการทหารนี้ไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งก็ไม่เกี่ยวกับทหาร รัฐบาลตั้งขึ้นเพราะก่อนประกาศภาวะฉุกเฉิน เพราะทางการสืบได้ว่าจะมีการก่อการร้ายจริง จึงต้องการใช้ทหารไปสะกัดกั้น ตำรวจจะรักษาการณ์ระดับนี้ไม่ได้

 “บางคนบอกว่าจอมพลสฤษดิ์ถูกต้มเสียแล้ว แต่ขอบอกว่าไม่ใช่เรื่องต้มหรอก จะหาว่าผมโง่ก็โง่เถอะ แต่เพื่อประเทศชาติจึงต้องเข้ามารับหน้าที่ ผมนั้นเคยพูดเสมอว่า ยอมเป็นนักการเมืองที่เลว แต่ขอเป็นนักการทหารที่ดี”

นักข่าวยิงคำถามทันที

 “มีข่าวว่า ถ้ามีการจัดตั้งรัฐบาลคราวนี้ ท่านจะได้เป็นนายกใช่ไหม”

“ข่าวลือน่ะ ตราบใดที่จอมพลป.ท่านอยู่ ผมก็ต้องเคารพท่านสูงสุด ไม่สามารถลบรอยเท้าท่านได้ ผมเคยพูดอีกเหมือนกันว่า ในชีวิตนี้ขอมีนายคนเดียวเท่านั้น คือท่านจอมพล”

“การเดินขบวนในภาวะฉุกเฉิน เป็นการทำลายความศักด์สิทธิ์ของกฏหมายใช่ไหม”

“คุณจะให้ผมทำยังไง ถ้าจะทำให้เด็ดขาดก็ต้องยิงกันเท่านั้น พูดกันไม่เชื่อก็ต้องใช้อาวุธ ผมสังเกตุดูแล้ว พวกเดินขบวนนี่ก็มีพวกลูกเจ๊กอยู่มาก พลตรีประภาสเขายังจะถูกชก แต่พอหันมาให้เห็นว่าเป็นใครเขาก็เลยหัวเราะแหะๆ บอกว่าขอโทษ ผมถามคุณประภาสว่าไม่กลัวหรือ คุณประภาสก็บอกว่าเขาเป็นนักมวยเก่า”

นักข่าวหัวเราะกันครืนในขณะที่ประภาสเขินหน้าแดง

 “ผมมีอำนาจจะยิงก็ได้ แต่ดูในประวัติศาสตร์ ในฝรั่งเศสยิงแล้วเกิดอะไรขึ้น การทำลาย ทำร้ายประชาชนผมไม่ทำ จะเดินขบวนก็เดินกันไป เดินให้ถึงที่สุด ขอกันอย่างเดียวอย่าทำลายทรัพย์สินของประชาชนก็แล้วกัน ผมกลัวแต่ว่าทหารชั้นพลๆจะอดกลั้นไว้ไม่ไหว แต่ผมต้องของชมเชย เขามีความอดทนเป็นเยี่ยม จะให้ผมเอาตำรวจม้าออกไปน่ะเรอะ ผมไม่ทำหรอก ประเดี๋ยวจะเป็นอย่างคุณเผ่าไปอีกคน  เมื่อวันเดินขบวนคุณเผ่ามาขอกระสุนซ้อมรบ ผมบอกอย่าเอาไปเลย ประเดี่ยวเขาจะหาว่ามีแต่กระสุนเก๊ๆ…….
……อ้อ ขอบอกหน่อย จอมพลป.ท่านส่งจดหมายใส่ซองเหลืองมาให้ บอกว่าขอบใจที่รักษาสถานการณ์ไว้ได้ รู้สึกว่า จอมพลป.จะรักผมขึ้นอีกนิด”

เรื่องอื่นๆก็ยาวและไม่คุ้มที่ผมจะจิ้มดีดพิมพ์ทีละตัว เอาเป็นว่าเวลาให้สัมภาษณ์จอมพลสฤษดิ์ก็ดูจะพูดทีเล่นทีจริง แต่หลังจากนั้นก็เอาเรื่องที่เดียว เช่นนักข่าวบอกว่า หลังจากวันเดินขบวน ทางยูซิส(สำนักข่าวสารอเมริกัน)ได้แทรกแซงด้วยการแจกใบปลิวเรื่องการปะทะระหว่างทหารกับนักศึกษาในฮังการี จอมพลสฤษดิ์บอกเหรอเดี๋ยวจะให้เรียกเขามาถาม ว่าแล้วก็หันไปสั่งเจ้ากรมข่าวทหารบกให้ทำหนังสือด่วนเชิญเอกอัครราชทูตอเมริกันมาพบหน่อย  นายแมค วัลโด บิชอบ ได้รับหนังสือก็รีบมาพบ และแจ้งว่า เอกสารดังกล่าวเป็นจดหมายเหตุรายวันที่ออกตามปกติ ที่เผอิญลงข่าวที่เกิดขึ้นในฮังการีเป็นการเตรียมต้นฉบับไว้ก่อนหน้า แต่มาสอดคล้องกับเหตุการณ์วันนั้นโดยมิได้ตั้งใจ ไม่ได้มุ่งหมายจะยุยงนักศึกษาไทยแต่อย่างใด

เรื่องลูกเจ๊กก็เรียกนายสหัส มหาคุณ นายกสมาคมคนจีนมาพบ พูดเรื่องวันเดินขบวนที่มีไอ้ตี๋มาแจมกับเขาด้วย แล้วยังเอากระป๋องนมขว้างปาทหาร สมัยก่อนเป็นโลหะนะท่าน หาใช่กล่องกระดาษหรือขวดพลาสติกไม่  ให้ปรามๆกันเสียบ้าง นายสหัสแย้งว่าที่ท่านเรียกไอ้ตี๋หน่ะ คนไทยตามกฏหมายทั้งนั้นนะคะรับ จอมพลสฤษดิ์ก็บอกว่าก็เตือนให้มันไปเรียนหนังสือสิ อย่าปล่อยมาเป็นกุ้ยข้างถนน  เดี๋ยวบั๊ด..!

แต่ที่ถือว่าเจ็บแสบไม่ไว้หน้ากันก็คือ ให้ประภาสสั่งให้รองผู้บังคับการกองปราบสามยอด และรองผกก.1กองปราบ ที่นักข่าวร้องเรียนว่าเป็นนายใหญ่ของบรรดานักเลงอันธพาลทั้งหลายให้มาพบ พอสอบถามเสร็จตามกระบวนการก็เชิญออกมาให้นักข่าวสัมภาษณ์สอบถามข้อข้องใจเอาเอง นักข่าวได้ทีก็ทั้งปิ้งทั้งย่างด้วยคำถามที่ทั้งสองอยากจะกระอักออกมาเป็นโลหิต ได้แต่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวฟาดงวงฟาดงาฆ่าตัวตายไปจนนักข่าวเลิกราคำถามไปเอง

เรื่องนี้เผ่าโกรธมาก อีกไม่กี่วันต่อมามีการประชุมคณะรัฐประหารรุ่นพระเจ้าเหา ตั้งมาครั้งจอมพลผินปฏิวัติโน่น ยังไม่ยอมเลิก การประชุมคราวนี้ก็เพื่อจะเสนอชื่อส.ส.ประเภท2เข้าไปเป็นฝักถั่วในสภา เผ่าและสฤษดิ์นั่งอยู่กันคนละมุม ไม่พยายามสบสายตากัน พอเริ่มประชุม เผ่าก็ช๊อคทุกคนด้วยการประกาศลาออกจากทุกตำแหน่ง จอมพลป.ได้สติก่อนก็พูดว่า เฮ่ย..ออกอะไรกัน  ออกทุกตำแหน่งเผ่ายืนยัน มีเหตุผลอะไรจอมพลป.งง   ไม่มีเหตุผล เผ่ากระแทกเสียงพร้อมชำเลืองไปทางสฤษดิ์ พอสบตากันสฤษดิ์ก็ยิ้มๆ แต่ไม่ว่ากระไร แล้วลาออกจากคณะรัฐประหารด้วยหรือเปล่าจอมพลป.ชักรำคาญ   เปล่า เผ่าตอบและก็ไม่พูดอะไรอีก เลิกประชุมแล้วก็หลบนักข่าวออกไป

การลาออกของเผ่าเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ สองสามวันต่อมานักข่าวจึงได้มีโอกาสถามจอมพลป.
 “ผมยังไม่ได้รับใบลาของคุณเผ่าเลย การลาออกเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ต้องทำให้ถูกระเบียบคือต้องทำใบลามายื่น จึงจะพิจารณากันได้ แต่ก็นั่นแหละคุณ คนทำงานด้วยกันมา ช่วยทำประโยชน์ให้ก็มากด้วย พอรับใบลา จะสั่งให้ออกปังก็ดูกระไร”

ชาวบ้านชาวเมืองที่รอลุ้นว่าเมื่อไหร่จะมีคำสั่งเป็นทางการในเรื่องนี้ออกมา มิได้ต้องรอนาน เพราะวันรุ่งขึ้นนั้นเอง คำสั่งถอดอำนาจก็ออกมาปรากฏ แต่แทนที่จะเป็นเผ่า..กลับกลายเป็นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถูกถอดถอนออกจากการเป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 15 ส.ค. 10, 20:49
อ้างถึง
ยังครับท่านอาจารย์เทาชมพู ยังจบหาได้ไม่

อ้าว หน้าแตก   :-[  ใจเร็วมือไปดึงสายปิดม่านเวทีไปก่อนได้ไง    พระเอกเพิ่งควบม้ามาอยู่กลางเวที  ยังไม่ได้วิ่งลงจากเนิน  หายลับไปในแสงตะวันสักหน่อย

จอมพลสฤษดิ์เป็นคนพูดจาเก่ง   มีลูกล่อลูกชน  สมัยนี้เรียกว่าพริ้ว    แต่พริ้วคนละแบบกับจอมพลป. รายนั้นท่านหวานด้วยมธุรสวาจา แต่ประมาทไม่ได้เลย
อ่านเหตุการณ์ตอนเสือปะทะกับสิงห์แล้วก็ระทึกใจดีค่ะ   ทั้งๆรู้ตอนจบจากประวัติศาสตร์แล้ว   นึกถึงจอมพลสฤษดิ์  คนเล่นการเมืองต้องสติแข็ง หลายเท่าของประชาชนทั่วไป เพราะมักจะเจอเหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจวายได้ง่ายมาก อยู่บ่อยๆ

ดิฉันเตรียมบันทึกของจอมพลผินไว้อีกตอนหนึ่ง ว่าท่านเขียนถึงจอมพลสฤษดิ์กับจอมพลป. ไว้ว่ายังไงบ้าง  แต่ตอนนี้ขอถอยไปนั่งหลังชั้น ให้อาจารย์ใหญ่ตัวจริงท่านเลกเชอร์ให้จบตอนสำคัญเสียก่อน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 21:50
ท่านผู้อ่านพักทำใจสักนิดนะครับ อ่านเรื่องของผมมันก็ต้องพลิกไปพลิกมา ไม่แน่นะครับ เผ่าอาจจะชิงปฏิวัติก่อนสฤษดิ์ก็ได้ แต่ตอนนี้ผมขอฆ่าเวลาของท่านด้วยการพาเข้าซอยบ้าง ลึกหน่อยนะครับซอยนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ฟ้องคึกฤทธิ์หมิ่นทูตสหรัฐฯ "กุ๊ยมะริกัน"

โดย โรม บุนนาค


หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2500 มีคำฮิตอยู่ 2 คำ คือ "การเลือกตั้งที่สกปรก" กับคำว่า "อันธพาล" ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการเลือกตั้งที่สกปรกนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บรรณาธิการ นสพ.สยามรัฐรายวันจึงเอาคำว่า "อันธพาล" มาตั้งเป็นชื่อคอลัมน์ที่เขียนเอง

"คอลัมน์อันธพาล" เป็นล้อมกรอบเล็กๆ นำข่าวและข้อเขียนในหนังสือพิมพ์ต่างๆ มาตบท้ายแบบหยิกแกมหยอก เพื่อให้อารมณ์ขันแก่ผู้อ่านตามแต่เรื่องของแต่ละวันจะพาไป

แต่แล้วคอลัมน์เล็กๆ ของสยามรัฐนี้ ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ถึงขึ้นโรงขึ้นศาล ประชาชนให้ความสนใจกันทั้งเมือง สมาคมหนังสือพิมพ์ 2 สมาคมต้องเปิดประชุมร่วมกัน และนักหนังสือพิมพ์อาวุโสหลายคน แม้บางคนจะเคยมีความคิดเห็นขัดแย้งกับ คึกฤทธิ์ มาก่อน ก็หันมาเป็นพยานให้ในศาลผนึกกำลังต่อสู้กับอิทธิพลของนักการเมือง

คอลัมน์ที่เป็นต้นเหตุนี้อยู่ในหน้า 2 ของสยามรัฐฉบับวันที่ 12 มีนาคม 2500 โดยลอกเอาข่าวในสยามรัฐเองมาล้อว่า คอลัมน์อันธพาล

จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขออย่าให้พูดว่า "การเลือกตั้งที่สกปรก" ขอบัญญัติให้ใช้ว่า "การเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อย" เพราะเหตุดังกล่าวไม่ใช่มีแต่ประเทศเรา เอกอัครราชทูตบิชอปแห่งสหรัฐอเมริกาเอง ได้บอกให้ทราบเมื่อวานนี้ว่า การเลือกตั้งในอเมริกานั้น ที่นครชิคาโกยังมีการแย่งหีบบัตรลงคะแนน

ข่าว"สยามรัฐ"
 
มันช่างสั่งช่างสอนกันดีจริงวะ เพราะคบกุ๊ยมะริกันยังงี้นี่เอง ถึงได้มาเสียคน มี "ชื่อเสียงที่ไม่เรียบร้อย" เอาเมื่อตอนแก่จะเข้าโลง
"บก.หน้าใหม่"

ข้อเขียนนี้เป็นที่สะใจคนอ่าน แต่คงทำให้ จอมพล ป. นายกรัฐมนตรี ขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย ฉะนั้น ในวันที่ 2 เมษายนต่อมา พ.ต.ต.สุรพงษ์ นาคะเสถียร สารวัตรใหญ่โรงพักชนะสงคราม เจ้าของท้องที่โรงพิมพ์สยามรัฐ ก็บุกมาถึงโรงพิมพ์กางคอลัมน์อันธพาลในสยามรัฐฉบับวันที่ 2 มีนาคม ให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ดู แล้วถามว่า

"คุณชายเป็นคนเขียนใช่ไหม?"

เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์รับว่า "ใช่" จึงเชิญตัวไปสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จากนั้นก็แจ้งข้อหา "ตีพิมพ์ข้อความดูหมิ่นตัวแทนรัฐต่างประเทศ ตาม กม.อาญามาตรา 134" ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000 บาท โดยอ้างว่าสถานทูตสหรัฐฯ ได้ประท้วงมา แต่ก็ให้ประกันตัวไปในวงเงิน 44,000 บาท


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 21:52
การจับ บก.สยามรัฐครั้งนี้ ทำให้สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวเรียประชุมร่วมกันเป็นการฉุกเฉิน ปรากฏว่า มีสมาชิกไปประชุมคับคั่ง หลังจากการอภิปราย 3 ชั่วโมงมีการลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นหนังสือประท้วงรัฐบาล เพราะการจับกุม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เป็นการคุกคามเสรีภาพหนังสือพิมพ์

ในวันที่ 5 เมษายน เรื่องนี้ถูกนำขึ้นสู่ศาลอย่างรวดเร็ว และศาลได้สืบพยานนัดแรกในบ่ายวันนั้นทันที โดยมี พลตำรวจจัตวาปั้น โชติพุกกณะ เป็นผู้ว่าคดีฝ่ายโจทก์ ส่วนฝ่ายจำเลย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ขอว่า ความให้ตัวเอง

โจทก์ได้นำ พ.ต.ต.สัมพันธ์ รัญเสวะ สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ กองกำกับการสันติบาลเป็นพยานปากแรก ซึ่งคำซักค้านของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้เรียกเสียงเฮฮาเป็นที่สนุกสนานของผู้เข้าฟังคดี

สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ให้การว่าเป็นผู้ตรวจข่าวในหนังสือพิมพ์ทุกวัน และเมื่อได้อ่านคอลัมน์อันธพาลในสยามรัฐฉบับนี้แล้ว ก็ได้บันทึกความเห็นเสนอไปยังผู้บังคับบัญชาว่า ข้อความที่ นสพ.สยามรัฐลงนี้ เป็นการกล่าวหา นายแม็กซ์วิลโด บิชอป เอกอัครราชทูตอเมริกันเป็น กุ๊ย เป็นการดูหมิ่น นายบิชอป ซึ่งเป็นผู้แทนรัฐต่างประเทศ และมีความเห็นว่า "กุ๊ย" หมายถึงคนเลวทรามต่ำช้า ไม่น่าคบ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักถามว่า พยานรับราชการตำรวจมานาน เคยรู้จักอันธพาลบ้างไหม สารวัตรแผนกเอกสารหนังสือพิมพ์ตอบว่าไม่รู้จัก เห็นเขาว่าๆ กัน หลังเลือกตั้งครั้งนี้หนังสือพิมพ์เอามาลงกันหนาหู

พยานให้การว่า ถ้าไม่มีนายกรัฐมนตรีหรือ นายบิชอป เข้ามาเกี่ยวข้อง ข้อความที่เขียนในคอลัมน์อันธพาลก็รับกับหัวเรื่องดี พยานถือว่าบุคคลที่ถูกระบุอยู่ในคอลัมน์อันธพาลเป็นอันธพาลไปหมดด้วย คึกฤทธิ์ ซักว่า ถ้าเช่นนั้น ในคอลัมน์อันธพาลลงข้อความว่า พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มีบัญชาให้อันธพาลด้วยหรือ พยานตอบว่า มันแล้วแต่เจตนา ต้องอ่านข้อความอื่นประกอบด้วย จะว่า พล.ต.อ.เผ่า เป็นอันธพาลไม่ได้

คึกฤทธิ์ ถามว่า บุคคลที่แย่งหีบบัตรลงคะแนนในนครชิคาโก เป็นบุคคลที่ทำถูกต้องใช่ไหม พยานตอบว่าไม่ถูก ทำผิด และไม่ควรทำ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักต่อไปอีกว่า ควรจะเรียกว่าเป็นคนเลวทรามได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นอเมริกันหรือไทย
 
พยานตอบว่าก็ทำผิดกฎหมายล่ะ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า คนทำผิดกฎหมายนั้นจะดีหรือเลว
 
พยานตอบว่าจะเลวเสมอไปก็ไม่ได้ พยานเห็นว่าเป็นคนฝืนกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า คนที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือคนทำผิดกฎหมายไม่เรียกว่าคนเลวหรือ
 
พยานตอบว่าคนทำผิดกฎหมายบางครั้งก็ไม่มีเจตนา จะเรียกว่าเป็นคนเลวเสมอไปไม่ได้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า คนที่ไปแย่งหีบบัตรเลือกตั้งนั้นพยานเห็นว่ากระทำโดยประมาทไม่เจตนาด้วยหรือเปล่า พยานไม่ตอบ

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ถามว่า สมมติคนอื่นไปเห็นผู้กระทำความผิด แล้วนำเรื่องมาเล่าให้คนอื่นฟังคนที่เล่าผิดไหม
 
พยานตอบว่าไม่ผิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักว่า ฉะนั้น ที่ นายบิชอป นำความมาบอก จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ใช่ผู้ผิดใช่ไหม
 
พยานตอบว่า ใช่
 
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ซักต่อไปอีกว่า จะเรียก นายบิชอป ตามพฤติการณ์ที่ว่านี้ เป็นคนเลวทรามได้ไหม
 
พยานตอบว่าไม่ได้ จะเรียกว่า กุ๊ย ก็ไม่ได้

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ถามว่า เมื่อปรากฏว่าผุ้ผิดคือผู้แย่งหีบบัตรในนครชิคาโก เหตุใดพยานจึงเข้าใจว่าผู้เขียนหมายถึง นายบิชอป จะหมายถึงพวกทำผิดแย่งหีบบัตรเลือกตั้งได้หรอื
 
พยานตอบว่าได้ทั้ง นายบิชอป และผู้แย่งหีบบัตร แต่เพราะข้อความนั้นกล่าวถึง นายบิชอป เป็นอันดับแรกพยานจึงเข้าใจว่ากุ๊ยหมายถึง นายบิชอป

ศาลได้นัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 9 เมษายนซึ่งข่าวที่แพร่ออกไปถึงความสนุกสนานจากการชักพยานของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ทำให้นักศึกษาประชาชนมาฟังการพิจารณาคดีกันแน่นศาลจนล้นห้องพิจารณาคดี ในนัดนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เบิกตัวเองเป็นพยาน ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังได้ตลอดเวลาเช่นกัน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 15 ส.ค. 10, 21:53
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ให้การว่า พยานอายุ 46 ปี อาชีพทำหนังสือพิมพ์ อยู่บ้านเลขที่ 144 ซอยสวนพลู เป็นบรรณาธิการและผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน พยานเป็นผู้ประพันธ์บทความเรื่องคอลัมน์อันธพาลในฉบับลงวันที่ 2 มีนาคม 2500 ข้อความในคอลัมน์นี้ ตอนแรกเป็นการตัดข่าวที่ จอมพลแปลก ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มาลง

ส่วนข้อความตอนหลัง เป็นข้อความที่เขียนขึ้นด้วยสำนวนที่เจตนาจะล้อเลียน เพราะระยะนั้นปรากฏเป็นข่าวว่าจังหวัดพระนครมีอันธพาลชุดชุมและการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ก็ปรากฏเป็นข่าวว่าอันธพาลเข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายมาก เกล้ากระผมจึงใช้ถ้อยคำในคอลัมน์อันธพาลนี้ให้ดูเหมือนว่าอันธพาลพูดกัน มีความหมายจะตักเตือน จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ว่า อายุของตัวก็เข้าปูนชราแล้ว จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่แน่ จึงควรประพฤติตนให้ดีต่อไป ไมีควรจะไปนำแบบอย่างที่ไม่ดีมาใช้ในการเลือกตั้ง

ข้อความทั้งหมดนั้นเกล้ากระผมไม่มีเจตนาจนะดูหมิ่นผู้ใดให้เห็นเป็นคนเลวต่ำช้า ที่เกล้ากระผมเขียนไปว่า เพราะคบกุ๊ยมะริกันยังงี้นี่เองนั้น เนื่องจากรัฐบาล จอมพลแปลก ที่ดำเนินการเลือกตั้งในครั้งนี้คบหาเป็นมิตรสนิทสนมกับอเมริกามากกว่าชาติอื่น และรัฐบาลก็ได้รับความช่วยเหลือต่างๆ จากอเมริกาเป็นอันมาก จอมพลแปลก ก็ได้ไปทัศนาจรอเมริกา และเมื่อกลับมาก็อ้างว่าได้ไปศึกษาระบอบประชาธิปไตยมา

เกล้ากระผมจึงเห็นว่า จอมพลแปลก อาจไปจำแบบอย่างที่ไม่ดีของอเมริกา เช่น การทุจริตเลือกตั้งมาใช้ในเมืองไทย ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์นั้นสกปรก ครั้นเมื่อคนทั่วไปทราบว่าการเลือกตั้งครั้งนั้นสกปรกแล้ว จอมพลแปลก ก็ขอให้เปลี่ยนให้เรียกว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อย โดยอ้างการเลือกตั้งของอเมริกาเป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้น คำว่า กุ๊ยมะริกัน ในบทความเกล้ากระผมจึงไม่ได้หมายถึงตัว นายบิชอป แต่หมายถึงคนแย่งหีบบัตรเลือกตั้งในอเมริกาที่นครชิคาโก อันเป็นแบบอย่างที่ไม่ดี จอมพลแปลก ไม่ควรนำมาอ้าง

พยานให้การต่อไปว่า ตามความเข้าใจของเกล้ากระผม จอมพลแปลก คบกุ๊ยมะริกันมาก่อน การเลือกตั้งครั้งวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งถึงได้สกปรก ไม่ใช่ว่าเพราะ จอมพลแปลก คบ นายบิชอป เพราะ นายบิชอป เป็นทูตไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และเรื่องที่ นายบิชอป พูดกับ จอมพลแปลก เกี่ยวกับเลือกตั้งก็พูดเมื่อหลังการเลือกตั้งแล้ว ดังปรากฏในคำสัมภาษณ์ของ จอมพลแปลกว่า เอกอัครราชทูตอเมริกันได้มาพูดเกี่ยวกับการเลือกตั้งเมื่อวานนี้ คำว่าวานนี้ก็หมายถึงหลังการเลือกตั้งแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้อยคำในตอนท้ายของคอลัมน์อันธพาล เกล้การะผมจึงไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่น นายบิชอป ถ้าจะมีจิตใจจะดูหมิ่นผู้ใด ก็เห็นจะเป็น จอมพลแปลก พิบูลสงคราม

พยานฝ่าย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้น ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นบรรณาธิการอาวุโสของวงการหนังสือพิมพ์ ซึ่งแต่ละคนล้วนให้การเหน็บแนม จอมพล ป.สะใจคนฟังเข้าไปอีก อย่าง นายสนิท ธนะรักษ์ บก.ประชาธิปไตย ให้การว่า ในฐานะที่ทำข่าวใกล้ชิดกับ จอมพล ป.มานาน รู้ว่าที่ จอมพล ป. โกรธมากสั่งให้ฟ้อง ก็เพราะไปจี้จุดอ่อนเข้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ชักว่าจี้ตรงไหน นายสนิทก็บอกว่า ตรงเสียคนเอาตอนแก่จะเข้าโลง เพราะท่านไม่อยากแก่ เลยสั่งฟ้องเปะปะ

เมื่อสอบพยานทั้งสองฝ่ายจบแล้ว ศาลก็นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 มิถุนายน 2500 และตัดสินให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 เดือน ปรับ 500 บาท ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้ยกโทษจำคุก คงปรับอย่างเดียว

ในที่สุดของคดีที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตกเป็นจำเลยฐานหมิ่นตัวแทนรัฐต่างประเทศว่าเป็นกุ๊ยมะริกัน ก็สรุปลงที่ถูกปรับไป 500 บาท


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 ส.ค. 10, 08:29
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3438.0;attach=12978;image)

จำได้ว่าเป็นภาพของท่านนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศสารขัณฑ์ และท่านเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา มาร์ลอน แบรนโด  ในเรื่่อง  Ugly American ภาพยนตร์ใน พ.ศ. ๒๕๐๖

 ;D

(http://www.siamrath.co.th/sites/default/files/u3/d3625a-1_7-tile.jpg)



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 10, 09:47
คุณเพ็ญชมพูเข้ามาพาไปซอยแยก     ก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย

The Ugly American เปิดรอบปฐมฤกษ์ในประเทศไทย ที่โรงภาพยนตร์เฉลิมไทย    เสียดายว่าคนไทยสมัยนั้นไม่ชอบดูหนังการเมือง ชอบดูมิตรเพชรามากกว่า   เรื่องเลยทำรายได้ไม่ดีนัก    เรื่องนี้ไปถ่ายทำที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ  ใช้คณะเป็นทำเนียบรัฐบาล
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต้องไปพักที่ฮอลลีวู้ดชั่วขณะหนึ่งเพื่อถ่ายหนังเรื่องนี้  ท่านเลยเขียนเรื่อง "เมืองมายา" มาได้เล่มหนึ่ง   
เคยดูเรื่องนี้มาฉายทางทรูวิชั่น   รูัสึกว่ามันเครียดแบบหนังการเมือง  ในเรื่องพูดถึงถนนมิตรภาพซึ่งในหนังเรียกว่า Freedom Road  จำได้แค่นั้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 16 ส.ค. 10, 10:21
พาคุณเทาชมพูเดินเข้าไปในซอยอีกนิด

คำนำในหนังสือ "เมืองมายา"

หนังสือรื่องนี้ส่วนมากเขียนขึ้นจากประสบการณ์อันมิได้คาดฝันซึ่งเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิตของผู้เขียน ที่ว่ามิได้คาดฝันนั้นเป็นความจริงเพราะผู้เขียนเรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นคนชอบดูหนังอย่างยิ่งคนหนึ่งแต่ก็มิเคยนึกฝันว่าตนเองจะมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งของฮอลิวูดอย่างใกล้ชิด เมื่อภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ได้ยกกองเข้ามาถ่ายทำในเมืองไทยนั้นบังเอิญผู้เขียนไปอยู่เสียญี่ปุ่น จึงมิได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรู้จักมักคุ้นกับคณะที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เลย แต่ต่อมาวันหนึ่งหลังจากที่พวกเราทำหนังจากฮอลีวูดได้กลับไปจากเมืองไทยนานแล้ว ผู้เขียนก็ได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งจากนายยอร์ช อิงลันด์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ขอให้ผู้เขียนเดินทางไปยังเมืองฮอลลีวูด เพื่อทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางเทคนิคของภาพยนตร์เรื่องนั้น โทรเลขฉบับนั้นได้บอกเงื่อนไขแห่งการว่าจ้างเสร็จ ว่าจะได้ค่าจ้างสัปดาห์ละเท่าไหร่ จะต้องถึงฮอลลีวูดเมื่อไร

เมื่อได้รับโทรเลขฉบับนั้นผู้เขียนก็ยังงง ๆ อยู่ ทำตัวไม่ถูกเมื่อทำอะไรไม่ถูกก็ต้องไปถามคนอื่น ผู้เขียนได้ไปถามชาวอเมริกันที่รู้จักเป็นเพื่อนฝูงกันคนหนึ่งว่าจะทำอย่างไรดี เขาก็บอกว่าสิ่งแรกที่ต้องทำกับฮอลลีวูดก็คือขึ้นค่าอีกสี่หรือห้าเท่า ผู้เขียนก็ส่งโทรเลขตอบไปเรียกค่าตัวเพิ่มขึ้นอีกเท่าเดียว แล้วก็ทำใจว่าเขาคงไม่จ้าง แต่แล้วก็ไดรับโทรเลขตอบมาว่าตกลงตามนั้น เป็นอันว่าได้เริ่มรู้จักกับฮอลลีวูดตั้งแต่โทรเลขฉบับนั้น ถึงแม้ว่าเมื่อไปฮอลลีวูดจะไปในฐานะอื่นเพื่อทำหน้าที่อย่างอื่นผู้เขียนมิได้ลืมตัวว่าเป็นคนเขียนหนังสือ เพราะฉะนั้นเมื่อไปถึงฮอลลีวูดด้วยตาคนเขียนหนังสือ และฟังสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ยินด้วยหูของคนเขียนหนังสือเมื่อได้เห็นและได้ยินแล้วก็จดจำไว้ด้วยใจของคนเขียนหนังสือ ไม่ว่าจะได้ พบเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรในฮอลลีวูดก็นึกอยู่ในใจตลอดเวลาว่าจะเอาเขียนหนังสือให้คนไทยด้วยกันอ่าน ผลที่เกิดขึ้นก็คือหนังสือเล่มนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าเป็นรูปร่างขึ้นมาช้าไปบ้างก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย ผู้เขียนได้พบมิตรที่ดีหลายคนในฮอลลีวูด ซึ่งได้ให้ความรู้และความเห็นเกี่ยวกับเมืองฮอลลีวูดไว้มาก ความรู้ความเห็นที่ได้รับมานั้นก็ได้เอามาใส่ไว้ในหนังสือตามที่เห็นสมควร จึงต้องขอขอบใจไว้ในที่นี้

คึกฤทธิ์ ปราโมช


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 10, 10:36
อ้างถึง
เมื่อภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ได้ยกกองเข้ามาถ่ายทำในเมืองไทยนั้นบังเอิญผู้เขียนไปอยู่เสียญี่ปุ่น จึงมิได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องหรือรู้จักมักคุ้นกับคณะที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์เลย แต่ต่อมาวันหนึ่งหลังจากที่พวกเราทำหนังจากฮอลีวูดได้กลับไปจากเมืองไทยนานแล้ว ผู้เขียนก็ได้รับโทรเลขฉบับหนึ่งจากนายยอร์ช อิงลันด์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่อง "อั๊กลี่อเมริกัน" ขอให้ผู้เขียนเดินทางไปยังเมืองฮอลลีวูด เพื่อทำหน้าที่ที่ปรึกษาทางเทคนิคของภาพยนตร์เรื่องนั้น

เอาเข้าจริง  ท่านก็ไม่ได้ไปเป็นที่ปรึกษาอย่างเดียว  แต่ได้ไปเล่นเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองสารขัณฑ์เลยทีเดียว   ติดอันดับดารานำของหนังเรื่องนี้
มีประวัติอยู่ใน www.imdb.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์รวบรวมหนังทั้งหลายแหล่ของฮอลลีวู้ด  บอกประวัติและผลงานของบุคลากรทั้งหลายตั้งแต่ดารา ผู้กำกับ ผู้เขียนบทฯลฯ
ขอลอกมาให้อ่านกันค่ะ

Biography for   Kukrit Pramoj

Date of Birth                     20 April 1911, Singburi, Thailand
Date of Death                    9 October 1995, Bangkok, Thailand (heart disease and diabetes)


Mini Biography
Kukrit Pramoj was the son of a Thai prince. He attended Oxford University in England and became active in Thai politics after World War II. Pramoj worked as a journalist and banker while military juntas ruled Thailand over the next several decades. He starred in the 1963 film "The Ugly American" as the prime minister of a fictional Asian country. A decade later he became prime minister of Thailand, serving in that office from March of 1975 until April of 1976. Pramoj's brother, Seni, also held the position of prime minister several times in the 1970s. Kukrit remained a leading figure in Thai politics until his death in October of 1995.

ภาพม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช  ถ่ายโดยรงค์ วงษ์สวรรค์

                                     (http://www.osknetwork.com/albums/album15/kukrit.jpg)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 10, 13:49
ขออยู่ในซอยม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช อีกหน่อย  จนกว่าท่านอาจารย์ประจำชั้นจะมาทวงกระทู้คืน

http://www.siamrath.co.th/?q=node/37819

        60 ปีแห่งความทรงจำ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับ “อั๊กลี่ อเมริกัน”
        ได้รับโจทย์จากทาง บก. ว่า “สยามรัฐ” ฉบับครบรอบ 60 ปี ในวันที่ 25 มิถุนายน 2553 นี้ ให้ทุกหน้าทำสกู๊ปโดยมีคอนเซ็ปต์เดียวกันคือ เรื่องราวสำคัญในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา
     สำหรับหน้า “บันเทิง”  ประเด็นแรกที่นึกถึง อยู่ในความทรงจำเสมอ และสมควรได้รับการจดจำต่อไปอย่างมิควรลืมเลือนก็คือ

    การที่ครั้งหนึ่ง พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้มีโอกาสร่วมแสดงในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง “อั๊กลี่ อเมริกัน”  Ugly American ภาพยนตร์ในปี 1963 ผลงานกำกับของ George England ที่สร้างความฮือฮาในระดับ ปรากฏการณ์ที่ต้องจดจำของประเทศไทย

        “อั๊กลี่ อเมริกัน”  สร้างจากหนังสือชื่อ The Ugly American ที่เขียนโดย 2 นักเขียน William J. Ledere and Eugene Burdick ฉบับภาษาไทยแปลโดย  รัตนะ ยาวะประภาษ และ ถาวร ชนะภัย  พิมพ์ครั้งแรกในปี   พ.ศ.2501 โดย สุธรรม โพธแพทย์

        นักเขียนสองท่านนี้ ได้ร่วมกันเขียนหนังสือเอาไว้สองเรื่อง  เรื่องแรกคือ The Ugly American (1958  /2501)   และ  Sarkhan (1965/2508)   มีบันทึกว่า ทั้งสองประพันธ์งานเขียนชิ้นนี้โดยที่ทั้งสองอยู่ห่างกันเป็นพันๆไมล์ ติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์ทางไกล และ จานเสียงที่บันทึกคำพูด และกลายเป็นนวนิยายที่ได้รับการยกย่องไปทั่วโลกมาช้านาน

         หนังสือ The Ugly American มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการปฏิบัติของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในประเทศในย่านเอเชียอาคเนย์  โดยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นประเทศสมมุติที่ใช้ชื่อว่า  Sarkhan  หรือ “สารขัน”  บางสื่อเขียนว่า “สารขัณฑ์”   ที่สมมุติว่า เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่าง พม่า กับ ไทย ปกครองโดยระบบกษัตริย์ ภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับกับที่ราบ  การเดินทางในประเทศใช้แม่น้ำเป็นหลัก ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อถือโชคลาง ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และ การทำนายทายทัก

        โดยในคำนำ ผู้เขียน ระบุไว้ว่า เรื่องทั้งหมดเป็นนิยายที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนอเมริกันที่กระจัดกระจายกันอยู่ในประเทศต่างๆ ได้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับคนท้องถิ่น โดยสมมติชื่อประเทศ ชื่อสถานที่ และ ชื่อบุคคลทั้งหมดขึ้นมาทั้งสิ้น  ทั้งหมดไม่ได้มีปรากฏอยู่จริง และสมมติเหตุกาณณ์ต่างๆในหลายประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ ขึ้นมาเป็นข้อเสนอให้คนอเมริกันได้นำไปคิดและปรับปรุงตัว

         ด้วยเหตุที่ผู้สร้างภาพยนตร์เลือกใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำฉาก เมืองสารขัน ทั้งเนื้อหาที่พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับการเมือง  ฉะนั้นในเวลาต่อมา เมื่อนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนของไทย เมื่อต้องการจะกล่าวถึงประเทศไทยในเชิงประชดประชันจึงมักจะเลี่ยงไม่เอ่ยชื่อตรงๆ ด้วยการใช้เลี่ยงเป็น ประเทศสารขัน ที่กลายเป็น  ชื่อฮิตในช่วงนั้น

         ภาพยนตร์  Ugly American นำแสดงโดย  มาร์ลอน แบรนโด  ซูเปอร์สตาร์สุดฮิตในยุคนั้น  โดยมี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับเกียรติให้ร่วมแสดงด้วย ในบทบาท  นายกรัฐมนตรีของประเทศสารขัน  (ก่อนที่ท่านจะดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีประเทศไทย)  ซึ่งเป็นข่าวดังในช่วงนั้น  โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้เขียนถึงเรื่องราวประสบการณ์เมื่อครั้งท่านเดินทางไปให้คำปรึกษาด้านเทคนิค และ ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ เอาไว้ในหนังสือชื่อ “เมืองมายา”

         The Ugly American  และ  Ugly American  ล้วนเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จ ได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง  ทั้งในฐานะของ  หนังสือนวนิยาย และ ภาพยนตร์  ที่พูดถึงการเมืองอเมริกัน  คำว่า “Ugly American”  และคำว่า  “สารขัน”  เคยเป็นคำฮิตในช่วงนั้น

   ในการเป็น นักคิด นักเขียน นักแสดง นักการเมือง นักพูด  พลตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับการประกาศยกย่องจาก องค์กรยูเนสโก ให้เป็น  บุคคลสำคัญของโลก ถึง 4 สาขา คือ ด้านการรณรงค์รักษาศิลปวัฒนธรรมไทย ด้านการศึกษา ด้านสังคมศาสตร์ และ สื่อสารมวลชน  ในวาระที่ท่านครบรอบอายุ 100 ปี ใน ปีพ.ศ. 2554 ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโลกที่จะได้รับการยกย่องมากมายหลายด้านขนาดนี้   

           60 ปีแห่งความทรงจำ ขอรำลึกถึง พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักปราชญ์ นักการเมือง และ ศิลปิน คนเก่งที่โลกต้องจดจำ ผู้ให้กำเนิด หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ ด้วยหัวใจแห่งชื่นชมและศรัทธาอย่างแท้จริง.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ส.ค. 10, 13:58
ตอนหนึ่ง จาก "เมืองมายา"


“สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรียม
ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา
ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภา
แสงคงคาก็พราวราวกับพลอย”

ที่คัดเอามาลงไว้บนนี้เป็นภาษาของกวี  จากนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่  และเป็นคำพูดซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดและความรู้สึกในภาพธรรมชาติ  โดยใช้การเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นทำให้ผู้ที่ได้อ่านได้ยินแลเห็นภาพนั้นได้ชัดแจ้ง
ผู้สร้างภาพยนตร์  ก็มีภาษาของตนโดยเฉพาะ  ซึ่งจะต้องใช้เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนให้ปรากฎแก่ผู้ดู  เช่นเดียวกับกวีหรือศิลปินอื่นๆ แต่ภาษาของผู้สร้างภาพยนตร์นั้น  เป็นภาษาแสดงออกด้วยภาพมิใช่ด้วยถ้อยคำ  แต่ถึงอย่างนั้น  ภาษาของภาพยนตร์ก็ยังสามารถเปรียบเทียบ  อุปมาอุปมัย  เพื่อให้คนดูได้เข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไม่น้อยไปกว่าภาษาแห่งกวี  หรือภาษาแห่งศิลปินอื่น  ตัวอย่างในเรื่องนี้จะหาดูได้เสมอในภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เช่น  ในหนังเรื่องหนึ่งจะปรากฎภาพผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งซุบซิบนินทาคนอื่นกันอยู่  จากนั้นภาพผู้หญิงหลายคนนั้นก็จะละลายออกไปเป็นภาพแม่ไก่หลายตัว  แสดงให้เห็นด้วยการเปรียบเทียบว่า  เสียงนินทาของผู้หญิงนั้นก็เหมือนกับเสียงไก่ร้องหาสาระอะไรมิได้  หรือมิฉะนั้น  เราก็ได้เคยเห็นภาพกำปั้นซึ่งทุบลงไปบนแผนที่ของประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง  คนดูก็เข้าใจจากภาพนี้ว่าข้าศึกได้รุกรานเข้าไปยึดเอาประเทศนั้นไว้ด้วยกำลังทหาร  หรือในภาพยนตร์สงครามอีกเรื่องหนึ่ง  ผู้ดูได้เห็นผู้หญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง  นำเอากาแฟใส่กาออกมาเลี้ยงทหารอเมริกัน  ในตอนต่อไป  คนดูจะได้แลเห็นภาพหมู่บ้านนั้นถูกระเบิดทำลาย  ฉากต่อไปเป็นฉากภายในครัวซึ่งถูกระเบิดด้วย  กาแฟซึ่งผู้หญิงฝรั่งเศสคนนั้นถืออยู่เมื่อสักครู่นี้  ตกลงมาแตกอยู่บนพื้นห้อง  คนดูก็เข้าใจว่า  หญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนนั้นได้ถูกระเบิดตายเสียแล้ว
ภาษาที่ไม่มีคำพูด  แต่แสดงด้วยภาพนี้เป็นภาษาใหม่  แต่ก็เป็นภาษาที่มีพลังอำนาจมากเช่นเดียวกับภาษาที่ใช้คำพูด
ในปัจจุบันนี้  ปรากฎว่าเด็กและคนหนุ่มสาวสนใจภาษาภาพนี้มากยิ่งขึ้นทุกวัน  จนสามารถกล่าวได้ว่าในสัปดาห์หนึ่ง  เด็กๆ และคนหนุ่มสาวใช้เวลาหลายชั่วโมงในการดูหรือฟังภาษานี้.....  


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 16 ส.ค. 10, 21:11
เรียนอาจารย์ NAVARAT

นักเรียนอ่านอยู่ในกรุงเทพนี่ละคะ แต่บางวันเข้ามาดึกๆเท่านั้นเอง

อ่านสนุกจนไม่อยากให้จบกระทู้เลย ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านอีกครั้งค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 10, 07:27
^
มาทันเชคชื่อทุกที เอาคะแนนไปเพิ่ม 1 คะแนน

...มาต่อกันในคืนวันที่กลับมาจากทำเนียบหลังการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษา เป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนานยากที่จอมพลป.พิบูลสงครามจะข่มตาให้หลับลงได้ แม้ร่างกายสุดจะอ่อนเพลียอยากหลับใจจะขาด แต่จิตยังตื่นโพลงอยู่ เคลิ้มลงทีไหร่เสียงซา-หลิด ซา-หลิดก็หลอนหลอกก้องอยู่ภายในกระโหลกศรีษะ วันต่อมา เมื่อเผ่ามาแสดงความไม่พอใจประชดประชันท่านต่อหน้าสฤษดิ์ท่ามกลางผู้คนภายนอก ประหนึ่งบอกใบ้ดังๆว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่สองดังแต่ก่อน ท่านจึงปลงใจคิดตก อะไรมันจะเป็นไป ก็ให้มันเป็นกัน

แต่ก่อนที่จะประกาศเสี่ยงเป็นเสียงตายฉบับนั้นจะออกมา จอมพลป.ได้เรียกประชุมพรรคเสรีมนังคศิลาเป็นการด่วน ท่านต้องการจะขอฟังเสียงของลูกพรรค เริ่มต้นก็พูดเปิดใจว่า ท่านจะขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเพียงครั้งเดียว สัก5ปีเท่านั้น เพราะเป็นห่วงอภิมหาโปรเจคที่อยากจะทำให้สำเร็จตามที่คาดหวังไว้ ถ้าผ่าน5ปีไปแล้ว ทำได้ไม่ได้ เสร็จไม่เสร็จ ก็จะขอเปิดหมวกอำลา แขวนนวมไม่ขึ้นชก ทานโทษ ไม่ขึ้นเวทีการเมืองอีก พวกท่านทั้งหลายจะว่าอย่างไร
บรรดาอัศวพักตร์ที่ฝึกไว้ก็รู้หน้าที่ รีบยืนขึ้นปรบมือนำ ทุกคนในห้องนึกอะไรไม่ออกก็ตบมือตาม ผู้บรรยายข้างเวทีบอกว่าตบกันนานมากเหมือนตอนที่วงคอนเสริตท์ฝรั่งเล่นจบแล้วคอนดั๊กเตอร์หันมาโค้ง กว่าจะนั่งลงกันได้ก็มือระบมไปหมด

จอมพลสฤษดิ์ที่อยู่ในห้องประชุมด้วยก็คงจะรู้สึกอะไรบางอย่างได้

บ่ายวันนั้น จอมพลป.ก็เรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทุกเหล่าทัพ และมีเผ่าที่หน้าบานเพราะหายงอนแล้ว เนื่องจากจอมพลป.ได้เรียกไปเผยไต๋ให้ฟังล่วงหน้าเข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนจอมพลสฤษดิ์ก็ราวกับเป็นนกรู้ ให้คนมายื่นใบลาป่วยในชั่วโมงสุดท้าย

ในฐานะนายกรัฐมนตรี จอมพลป.ได้แจ้งกับที่ประชุมว่า ได้รับรายงานจากจอมพลสฤษดิ์ว่าสถานการณ์กลับคืนสู่ปกติเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ บรา บรา บรา บรา ดังนั้น ตนจึงขอเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายทหาร ให้ทุกฝ่ายกลับเข้ากรมกองตามเดิม รัฐบาลจะยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน อนุญาตให้มีการชุมนุมทางการเมืองได้ต่อไป และจะจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย บรา บรา บรา บรา…เลิกประชุม

คืนนั้น วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยก็ได้ออกอากาศคำสั่งสำนักงานคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายทหาร เมื่อโฆษกอ่านประกาศจบ เสียงที่ห้าว ทุ้ม เต็มไปด้วยพลังอำนาจไม่มีใครเหมือนก็ติดตามมา เป็นโทนเสียงและจังหวะจะโคนที่กระตุ้นโสตประสาทผู้ฟัง ชนิดที่บางคนขนลุกไม่รู้ตัว ผมโตทันพอจะได้ฟังสุ้มเสียงของจอมพลสฤษดิ์เวลาปราศัยออกวิทยุหรือโทรทัศน์ จำได้ว่าเสียงดุกว่าผู้บังคับการโรงเรียนเก่าของผมเสียอีก คนนั้นน่ะเพียงแค่เรียกชื่อให้เข้าไปใกล้ๆรัศมีมือตบ เด็กก็เข่าอ่อนแล้ว  แต่นี่จอมพลสฤษดิ์ เวลาพูด ทุกคนจะเงียบกริบ โดยเฉพาะเมื่ออ่านคำสั่งประหารชีวิตคนโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา17 ..เอื๊อกก..อย่าให้เซด

ท่านลองอ่านข้างล่างนี้แล้วสร้างจินตนาการภาพและเสียงดู


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 10, 07:38
คำปราศัยข้างต้นมิได้โดนใจเฉพาะพวกทหารและตำรวจ ประชาชนก็มีภาพพจน์ที่ดีต่อการทำหน้าที่ของผู้รักษาความสงบด้วย หลังจากนั้นคืนนั้น คำว่า “พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ” ก็กลายเป็นศัพท์ฮิตติดวงการขึ้นมาทันที ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่จะไม่โค๊ดคำนี้ในหน้ากระดาษของตน

น่าแปลกนะครับ การเดินขบวนที่ปุบปับก็เกิด และขยายตัวจนกลายเป็นมหาชนเรือนหมื่น(s) ทำท่าจะกลายเป็นม๊อบแบบเอาไว้ไม่อยู่ แต่พอโดนจอมพลสฤษฏ์สะกดทัพเข้าทีเดียว ยอมเลิกลาแบบว่า ยอมให้จอมพลป.จะทำอะไรต่อไปก็เชิญ นี่จะตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสกปรกกันแล้ว และยังย่ามใจไม่กลัวใครจะก่อม็อบอีก ขนาดประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉินไปเฉยๆ ยอมให้เปิดไฮปาร์คได้ตามปกติ อะไรจะมั่นใจกันขนาดน้าน

วันแรกที่สนามหลวงเปิดให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่ นายอัมพร อำพันวงศ์ดาวไฮปาร์ครุ่นเดอะและมีดีกรีเป็นหัวหน้า“พรรคปราบคอร์รัปชั่น” เอกลักษณ์เฉพาะตัวก็คือชอบแต่งสูตรผูกเทคไทหะรูหะราแม้จะมายืนกลางแดดร้อนตับละลาย และต้องแบกจอบมาด้วยทุกครั้ง คงจะเอามาประชดด่าพวกกินจอบกินเสียมมั้ง ก็สมัยโน้นเขาเรียกพวกคอร์รับชั่นว่าพวกกินจอบกินเสียมไม่เหมือนสมัยนี้ที่ใช้วิธีไฮเทคกว่าแยะ วันนั้นนายอัมพรมาถึงเวทีเป็นคนแรก แต่ก็มีคนมารอฟังร่วมพันคนแล้ว นายอำพันฟันจอบฉึกลงบนดินต่อหน้าฝูงชนพร้อมทั้งประกาศว่า ผมขอเสนอญัตติต่อสภาไฮปาร์คของเรา ณ บัดนี้ ขอให้เรามีมติขับผู้ที่มีรายนามต่อไปนี้ออกจากตำแหน่ง  ถ้าท่านเห็นชอบก็ขอให้เปล่งเสียงออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ชัดด้วย

พลเอกมังกร พรหมโยธี….. เฮฮฮฮฮ

พลตรีประมาณ อดิเรกสาร…… เฮฮฮฮฮฮฮฮ

พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์….. เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

และผมจะขอตั้งชื่ออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนนี้ใหม่ ในฐานะที่ออกอากาศแต่ข่าวบิดเบือน เป็นกระบอกเสียงรับใช้รัฐบาล โดยไม่ได้เป็นเสียงของประชาชนเลย ชื่อใหม่นี้ ชื่อว่า ไอ้กร๊วก ถ้าที่ประชุมนี้เห็นด้วย ขอให้ทุกคนเปล่งเสียงคำนี้ขึ้นพร้อมๆกันเพื่อแสดงประชามติด้วย

นึง….ส่อง….ซั้ม…. ไ  อ้ ก  ร๊  ว ก เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อธิบดีกรมนี้ก็ถูกหนังสือพิมพ์เรียกว่านายกร๊วก กรมประชาสัมพันธ์ถูกเรียกว่ากรมกร๊วก แม้อธิบดีท่านนั้นจะพ้นตำแหน่งไปแล้ว กรมประชาสัมพันธ์ก็ยังกร๊วกอยู่ทุกยุคทุกสมัยสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ภาพพจน์ของการเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาลก็มัวหมองลง เมื่อนายทุนของสยามนิกรถูกใครไม่ทราบเรียกไปบีบ แล้วจึงมาบีบต่อในสำนักพิมพ์ จนถึงตัวคนที่เป็นเป้าหมายแท้จริงของการบีบ ซึ่งได้แก่นายสุวิช เผดิมชิต ประธานนักศึกษาที่บังอาจไปทำซ่าจนหยดสุดท้ายกับท่านนายกรัฐมนตรีในคืนก่อนโน้น สุวิชถูกเรียกไปลดเงินเดือน เพราะเป็นนักข่าวแต่ไม่ทำหน้าที่ตามข้อกำหนด เบียดบังเอาเวลาไปทำกิจกรรมนอกหลักสูตรของนักศึกษา ใช้ไม่ได้ สุวิชโดนเช่นนั้นเข้าก็ประกาศลาออก และมีคนดังในสนามนิกรยกทีมลาออกด้วยเพื่อเป็นการร่วมประท้วงด้วยคือ นายประจวบ อัมพเศวต  นายสำราญ เทศสวัสดิ์  นายทวีป วรดิลก  และนายทองใบ ทองเปาด์เจ้าของรางวัลแมกไซไซที่ยังแข็งแรงอยู่จนทุกวันนี้ และยังมีบทบาทเช่นเดิมอย่างไม่รู้จักเหน็ดหน่าย

ผมเดาว่า น่าจะมีอะไรทำนองนี้กับทางพวกแกนนำนิสิตจุฬาด้วย อย่างน้อยๆก็คงโดนคณบดีเรียกเข้าไปคุย เธออยากจะเรียนให้จบปีนี้หรืออยากจะออกไปทำกิจกรรมการเมือง ชีวิตของเธอๆมีสิทธ์เลือกนะ อาจารย์ไม่ได้บังคับหรอกเพราะเธอโตแล้ว ที่เรียกมาคุยเพราะว่าปรารถนาดีเท่านั้น ก็สิบกว่าปีหลังจากยุคจอมพลป.ผมยังเคยถูกเรียกไปพบท่านคณบดีด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ส่วนใครจะเชื่อฟังท่านหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอให้เชื่อไอ้เรืองเถิดว่าตำรวจลับคงเข้ามาเพ่นพล่านเต็มมหาวิทยาลัย

นอกจากนี้ยังมีนักหนังสือพิมพ์อีกคนหนึ่งถูกตำรวจจับในข้อหาหมิ่นประมาททูตมะกัน คือบ.ก.สยามรัฐ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมท ใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องของท่านในกระทู้แล้วๆ โปรดย้อนไปอ่านเสียโดยดีนะครับ เพราะเดี๋ยวข้อสอบจะออกตรงนั้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 10, 08:48
แผนปฏิบัติได้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว พล.อ.พระประจนปัจจนึกประธานสภาผู้แทนราษฎรผู้มีอำนาจนำความขึ้นกราบบังคมทูล เสนอชื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีให้ทรงลงพระปรมาธิไธยตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็ได้รีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน และออกจากวังมาก่อนเที่ยง แต่ได้ไปสีซออู้อยู่ที่ไหนไม่ทราบ กะกลับมาถึงบ้านให้ค่ำหน่อย นึกว่าจะไม่มีนักข่าวแล้ว ไหนได้กองทัพนักข่าวมาเฝ้ารออยู่พร้อม

คุณพระประจนปัจจนึกท่านเป็นคนละคนกับเจ้าคุณปัจจนึกในพลนิกรกิมหงวนของป.อินทปาลิต ผมเอารูปข้างล่างมายืนยันว่าท่านหล่อกว่ากันมาก นักข่าวชอบซี้ซั้วเอาท่านไปสลับกับตัวตลกดังกล่าวเรื่อย คืนนั้นท่านตอบนักข่าวว่า จริง ท่านไปเข้าเฝ้ามาเพื่อให้ทรงลงพระปรมาธิไธยแต่งตั้งจอมพลป.ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และจะประกาศทางวิทยุกระจายในคืนวันนี้แหละ ขอให้รอฟังกันเอง

นักข่าวถามถึงเหตุผล ท่านก็บอกว่าอ้าว อาศัยผลการเลือกตั้งตามหลักฐานของกระทรวงมหาดไทยไง ก็พรรคเสรีมนังคศิลาเขาได้รับเลือกมาเกินกึ่งหนึ่งของสภา ใครจะรวมกันยังไงก็ไม่เท่าเขา หัวหน้าพรรคก็ต้องได้เป็นนายก อังกฤษเขาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

แล้วทำไมต้องทำแบบว่ารวบรัด ในเมื่อผลการเลือกตั้งประชาชนไม่ยอมรับเพราะว่ามันสกปรก นักข่าวยิงคำถามต่อ ท่านก็ยิ้มยอมรับว่ารวบรัดจริง เพราะประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาลบริหาร ตามรัฐธรรมนูญใหม่เราเล่นการเมืองกันในระบบพรรคแล้ว ก็ไม่มีระเบียบว่าจะต้องมีการหยั่งเลือกนายกกันในสภาอย่างที่ผ่านๆมา พรรคไหนคะแนนเป็นที่หนึ่ง หัวหน้าพรรคก็ต้องเป็นนายกก่อน แล้วต่อมาจะคุมเสียงข้างมากได้หรือไม่ก็ค่อยว่ากันอีกที ….จบ

เป็นอันว่าจอมพลป.พิบูลสงครามได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งสมใจหมาย และสามารถคุยได้ด้วยว่าป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แม้จะมีข้อครหาว่าเป็นการเลือกตั้งที่ทุจริตผิดจริยธรรมมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ตาม

ผมไม่อยากจะพูดเล้ย มันมีสัจจธรรมข้อหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ก็ว่าอย่างนั้น อะไรที่มันขึ้นได้ก็ตกได้ ไอ้ที่ตั้งได้ มันก็ล้มได้
ท่านจอมพลป.จะเป็นผู้พิสูจน์ให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายเห็นเป็นอุทาหรณ์


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ส.ค. 10, 09:27
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3438.0;attach=13107;image)

ภาพนี้น่าจะเป็น จิตร ภูมิศักดิ์

ข้างล่างเป็นภาพทองใบ ทองเปาด์ ถ่ายภาพร่วมกับเพื่อนร่วมสถาบันลาดยาว รวมทั้ง จิตร ภูมิศักดิ์ ด้วย

(http://www.9dern.com/pic/jit2.jpg)

 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 10, 10:18
นายทองใบสมัยจอมพลป.อยู่นอกคุก สมัยจอมพลสฤษดิ์อยู่ในคุก ออกมาดีกรียิ่งแรง


หนังสือพิมพ์ได้พยายามไป“แซะ”ทางจอมพลสฤษดิ์เพื่อหาข่าวไปขายต่อตามอาชีพว่าท่านจะร่วมในรัฐบาลใหม่ แค่ไหนอย่างไร

ผมมีจดหมายถึงท่านจอมพลป.ไปแล้วว่าผมมีเจตนารมณ์แน่วแน่ว่าผมไม่สนับสนุน ไม่ร่วมงานกับรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่ต้องการอย่างเด็ดขาดไม่ว่ากรณีย์ใดๆ  และไม่ขอยอมรับตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย ประโยคหลังนี้ท่านต้องออกตัวไว้หน่อย เกิดรายชื่อค.ร.ม.ออกมาไม่มีชื่อจอมพลสฤษด์ ท่านจะได้ไม่หน้าแตกดังโพล๊ะ

เพราะการสัมภาษณ์ครั้งนี้เองที่ทำให้จอมพลป.ต้องหลบไปอยู่เซฟเฮาส์ชั่วคราว ไม่ให้นักข่าวรู้ว่าท่านอยู่ที่ไหนจะได้ไม่ต้องตอบคำถามซ้ำซากเรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรี ส่วนท่านผู้หญิงที่บ้านจะทราบว่าท่านหลบไปอยู่บ้านไหนหรือไม่ ท่านจอมพลคงจำได้แม้จะนานมาแล้วว่า วีรสตรีตัวเล็กๆนี้แหละที่เปิดแผลให้ท่านคราวกลับจากตระเวนดูงานทางภาคเหนือ นี่แม้แต่ทหารฝ่ายตรงข้ามยังไม่เคยเรียกเลือดจากท่านได้แม้แต่แค่ซิบๆนะท่านผู้อ่าน ครั้งกระนั้นท่านถึงขนาดต้องงอน ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อขู่ศรีภรรยา จะได้ตกจากการเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศไปพร้อมๆกัน ซึ่งท่านรู้จุดอ่อนนี้ดีว่าท่านผู้หญิงกลัวมาก แต่คราวนี้ ยังไงๆท่านก็ต้องระมัดระวังยิ่งขึ้นเนื่องจากเพิ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งใหม่มาหมาดๆ จะเล่นไม้เดิมประกาศลาออกเดี๋ยวลูกน้องมันจัดการให้ไปแล้วไปลับ จะเสียแผน จึงได้แต่กำชับผู้ใกล้ชิดว่าอย่าให้ใครมันรู้ไปเชียวนะว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่ เราก็เลยไม่รู้จนบัดนี้ไง

พอครบ10วัน ค.ร.ม.ใหม่ก็คลอดออกมาชมโลก ผมจะเสนอตามสมควรนะครับ ขี้เกียจลอก
 
จอมพลป.นายก รองนายก แม่ทัพเรือและวัฒนธรรม  แม่ทัพอากาศ และสาธารณะสุข
สฤษดิ์ กลาโหม ถนอมช่วยกลาโหม
เผ่า มหาดไทย ประภาสช่วยมหาดไทย
กรมหมื่นนราธิป ต่างประทศ  ลูกเขยจอมพล ช่วยต่างประเทศ
ผิน เกษตร ละม้าย คนเอารถถังไปถล่มทำเนียบนายปรีดี ช่วยเกษตร
ประมาณ อุตสาหกรรม
ฯลฯ มีหน้าเก่าๆหลุดไปไม่กี่คน ประชาชนต่างเหม็นหน้าคณะรัฐมนตรีต่างตอบแทนซึ่งกันและกันของคณะรัฐประหาร 2491 อย่างเต็มทน แต่วันแถลงนโยบาย แม้ประชาธิปัตย์จะช่วยกันประนามอย่างไรก็ตาม ท่านนายกรัฐมนตรีก็ให้ระบายเต็มที่ แถมผูกขาดการลุกขึ้นโต้ตอบเพียงคนเดียว คนอื่นไม่ต้องเปลืองน้ำลาย  พอลงคะแนนเสียงจะรับรองหรือไม่รับรอง รัฐบาลก็ชนะได้รับความไว้วางใจขาดลอยแบบไม่เห็นฝุ่นถึง 144 ต่อ 6 คะแนน

สฤษดิ์และเผ่าก็ได้มานั่งคู่กันอีก ท่านผู้อ่านอย่าได้กระพริบตานะครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 10, 11:21
พยายามจะเดาเป็นการบ้านส่งอาจารย์ใหญ่ประจำชั้น ว่าทำไมจอมพลสฤษดิ์ถึงได้มีรายชื่ออยู่ในค.ร.ม.ใหม่อีก    ในเมื่อเห็นๆกันว่าจอมพลสฤษดิ์ฉายสปอตไลท์ขึ้นมาอย่างไม่กลัวเกรงจอมพลป.     มันน่าจะโดนปลดกลางอากาศจากทุกตำแหน่ง   แล้วทำยังไงก็ได้ให้ดับไปจากวงการเมือง แบบเดียวกับนายปรีดี ม.ร.ว.เสนีย์ และคนอื่นๆก่อนหน้า
ข้อที่เดา
๑  ถอดสลักอำนาจด้วยการถอดจอมพลสฤษดิ์จากตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร   เพื่อยุติอำนาจสั่งการทหาร    ข้อนี้น่าจะเป็นการติดเพาเวอร์เบรคได้ดีที่สุด
๒    ตำแหน่งรมว.กลาโหมคือการเตะโด่งจอมพลสฤษดิ์     ตำแหน่งนี้แม้จะสูงยิ่ง แต่ก็รู้ๆกันว่าไม่ใช่ตำแหน่งคุมกำลังทางทหาร  แต่พอจะมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องงบประมาณและการบริหารทั่วไป  พอชดเชยได้บ้าง
      ถ้าจำไม่ผิดจอมพลสฤษดิ์อยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ค.ร.ม.ก่อน  ก็อะลุ้มอล่วยให้รักษาตำแหน่งเอาไว้
๓    จอมพลป. ยังไม่กล้ากระทำการหักหาญกับจอมพลสฤษดิ์   จะเป็นเพราะท่านไม่มีอำนาจมากเท่าเมื่อก่อน  หรือว่ายังไงก็ต้องเอาสฤษดิ์ไว้คานอำนาจกับพลต.อ. เผ่าอยู่ดี     ถ้าไม่มีสฤษดิ์ มีแต่เผ่า  จอมพลป.ก็ไม่เหลือใครไว้คาน     เหมือนขงเบ้งจำต้องหาทางปล่อยโจโฉให้หลุดรอดไปเมื่อทัพเรือแตก   เพราะถ้าโจโฉถูกกำจัดไป เหลือซุนกวนก๊กเดียว  ซุนกวนก็จะหันมาเล่นเล่าปี่   เล่าปี่ก็จะไม่รอดจากซุนกวน 

๔    จอมพลป.คิดว่าทัพตำรวจที่มีค้ำเก้าอี้อยู่ อาจทำให้จอมพลสฤษดิ์ทำอะไรไม่ถนัดนัก    ก็เลยทำแค่นี้พอ   รุนแรงมากกว่านี้อาจกลายเป็นรัฐประหารขึ้นมาได้

อาจจะส่งเสียงมากหน่อยในห้องเรียน   เห็นนักเรียนอื่นๆเงียบกริบ ฟังเลกเชอร์แบบไม่กระโตกกระตากออกมาเลย    เดี๋ยวท่านอาจารย์จะใจน้อยกว่านอนหลับกันหมด   ใครอยู่ในห้องช่วยส่งเสียงบ้างก็ดีค่ะ   ดิฉันคอแห้งแล้ว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: CVT ที่ 17 ส.ค. 10, 11:38
นักเรียนกำลังติดตามแบบเงียบๆ ตามสไตล์นักเรียนไทยที่รอรับ spoon feeding without responding ครับ  :)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 17 ส.ค. 10, 12:37
เอาเถิดครับท่านทั้งหลาย ผมชักจะชินกับบรรยากาศที่เรือนไทยนี่แล้ว   ไม่เหมือนเรือนที่เขากำลังเล่นเรื่องสำเพ็งกันนิคุณหมอนิ

4ข้อที่ท่านอาจารย์เทาชมพูท่านวิเคราะห์ ผมก็ว่าไม่ผิดพลาดขนาดวืดเป้าหรอกครับ อย่าลืมเป็นอันขาดว่าตำแหน่งที่ใช้ในการต่อรองอำนาจได้เฉียบขาดก็คือผู้บัญชาการทหารบก พูดภาษาทหารก็ต้องบอกว่าเพราะอำนาจการยิงที่เหนือกว่า จอมพลสฤษดิ์ท่านมิได้ลาออก และใครก็ไม่กล้าปลดในเมื่อระดับรองลงมาตั้งแต่เบอร์2ถึงเบอร์ยี่สิบกว่า ก็เดินตามท่านแบบไม่ยอมทิ้งแถว หากจะยึดอำนาจโดยการเปลี่ยนตัวเอาท่านออก ก็คงจะเหลือนายทหารเด็กๆที่จะให้พิจารณาเอามาแทน แต่ก็มีลาวเท่านั้นแหละครับที่นายทหารยศร้อยเอก ชื่อร้อยเอกกองแลที่ปฏิวัติสำเร็จสามารถยึดอำนาจบรรดานายพลทั้งหลายขึ้นไปบัญชาการทหารและเป็นนายกรัฐมนตรีได้ งานนี้จอมพลป.ท่านยังต้องรอจังหวะดีๆ....เดี๋ยวครับ เดี๋ยวมีอีก ผมบอกแล้วอย่าเพิ่งกระพริบตา แต่อนุญาตให้ไปห้องน้ำได้
.
.
เรื่องอภิมหาโปรเจกของจอมพลป.นั้น  ที่ท่านต้องการจะทำให้สำเร็จก็คือ โครงการพุทธมณฑล ผมนับถือท่านจอมพลป.อย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าคนข้างเคียงของท่านจะเป็นอย่างไร หรือท่านจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ที่ไหน แต่ท่านก็มิได้ตะกละตะกรามโกงกินชาติอย่างวินาศสันตะโรดังเช่นนักการเมืองของไทยเป็นจำนวนมากเวลาดำเนินโครงการอภิมหาโปรเจก ไม่ปรากฏว่าท่านไปมีบัญชีลับ หรือบริษัทเฉพาะกิจซุ่มไว้ที่ใดในโลก เมื่อต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน แม้จะไม่ลำบากสาหัสเหมือนผู้ก่อการ2475ด้วยกันที่ท่านทำกับเขา แต่ก็มิได้มีภาพความเป็นอยู่ระดับเศรษฐีมหาเศรษฐี เผ่าเสียอีกที่มีข่าวว่าพอไปถึงสวิตเวอร์แลนด์ก็ซื้อคฤหาสน์ริมทะเลสาปเจนีวา มีพ่อบ้านระดับบัตเลอร์ชาวอังกฤษ มีบอดี้การ์ดฝรั่งคอยติดตามอารักขา จอมพลป.นั้นมรดกที่ท่านทิ้งไว้ให้ลูกหลานแม้จะไม่ถือว่าน้อย แต่ก็ไม่มากอย่างน่าเกลียด อภิมหาโปรเจกพุทธมณฑลของท่านไม่ได้ปลุกปั้นขึ้นเพื่อจะแสวงหาช่องทางกอบโกยเงิน แต่เป็นการจะกอบโกยบุญ และเพื่อสะเดาะเคราะห์ ล้างบาป ในสิ่งไม่ดีที่ได้กระทำไปแล้วโดยตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจก็ตาม ท่านจึงแสดงตนเป็นเจ้าของงาน ออกหน้าออกตาอย่างเต็มที่ นอกจากจะเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์พุทธมณฑล สร้างพระพุทธรูปปางห้ามญาติองค์มหึมาที่ศาลายาแล้ว ยังมีเทศกาลฉลอง25พุทธศตวรรษที่จัดถึง10วัน10คืน ณ ท้องสนามหลวง  ซึ่งใช้เงินรัฐบาลทุ่มทุนจัดขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬารงานช้าง เชิญแขกผู้มีเกียรติชาวโลกให้มาร่วมงานต่างๆมากมาย มีการนำเรือพระราชพิธีออกมาแปรกระบวนพยุหยาตราโดยชลมารค เพื่อแห่พระไตรปิฏกไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาจากสะพานพุทธถึงสะพานพระราม6 แม้ว่างานนี้จะจัดขึ้นในเดือนเศษๆหลังการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม

ผมอายุประมาณ10ขวบในตอนนั้น ได้ไปนั่งเกาะราวสะพานพระราม6ดูเรือหงส์ ซึ่งฝีพายรำพายเฉิบๆ ไปถึงที่นั่น คนแน่นมากเบียดกันตัวลีบ เพราะครั้งสุดท้ายที่เรือหงส์ปรากฏตัวก็คราวเปิดสะพานพุทธยอดฟ้าในสมัยรัชกาลที่7 กว่า25ปีมาแล้ว ชาวกรุงเทพจึงตื่นเต้นกันใหญ่ ผมได้นั่งกับพื้น มือเกาะราวสะพานห้อยขาลงไป เลยเสียรองเท้าแตะไปข้างนึง จำได้ว่าขากลับทารุณมากเพราะถนนร้อนชะมัด ต้องสลับเท้าใส่เกือกทีละข้างเดินกระย็อกกระแย็กกว่าจะกลับมาถึงรถได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 10, 13:05
ท่านอาจารย์อะลุ้มอล่วยไม่ประกาศตก  ให้อย่างมากก็ D  ดิฉันขอแก้เกรดตัวเองเป็น F   เพราะไปเข้าใจว่าปลดจากผู้บัญชาการทหารคือปลดจากผู้บัญชาการทหารบก

ถ้างั้นรังสีของจอมพลสฤษดิ์ในตอนนั้นก็เจิดจ้าเกินกว่าราหูจะมาอมง่ายๆ    จอมพลป.คงต้องหาวิธีต่อไป

ขอย้อนกลับไปพูดถึงวาทศิลป์ของจอมพลสฤษดิ์หน่อยค่ะ   พอคุณนวรัตนพูดถึงน้ำเสียงท่าน ดิฉันจำน้ำเสียงไม่ได้แต่จำถ้อยคำได้  ท่านพูดออกทีวีตอนไทยแพ้คดีเขาพระวิหาร   ศาลโลกตัดสินให้ตกเป็นของเขมร
จำได้ว่าท่านพูดแบบตัวท่านเองพูด ไม่ใช่สคริปต์พูด     คือมีสคริปต์หรือเปล่าไม่ทราบ แต่เดาว่ามีเพราะท่านพูดยาวเหลือเกิน    ถ้อยคำหนักแน่นเป็นจังหวะจะโคน  ที่จำได้คือท่านน้ำตาคลอด้วย  สีหน้าบอกความอัดอั้นตันใจและเข้มข้น   ท่านบอกว่าจะเอาเขาพระวิหารคืนมาให้ลูกหลานให้ได้    จำได้แค่นั้น  ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องว่าจะเอากลับมาทำไม    เพราะแม่บอกว่าต่อให้อยากไปเห็น แม่ก็พาเดินทางไปดูไม่ไหว มันอยู่ในป่า  แถมต้องปีนขึ้นบนเขาชันอีกด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 10, 20:50
คั่นโปรแกรมรายวัน ให้ท่านอาจารย์ได้ไปพักผ่อนหย่อนใจ  นั่งยานเวลากลับไปชมกรุงเทพเมื่อวันวาน

ในประเทศไทยมีพิพิธภัณฑ์จอมพล ป. พิบูลสงคราม ตั้งอยู่ภายในศูนย์การทหารปืนใหญ่      มีห้องพิบูลสงครามอนุสรณ์ อยู่ที่ชั้น 2 ของอาคารกองวิทยาการ เป็นสถานที่รวบรวมชีวประวัติและผลงาน, สิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัว, ภาพที่ระลึกและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ ฯลฯ สิ่งของต่่างๆ ได้รับความอนุเคราะห์จากท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามและคณะทายาท มีดังนี้

          1. รถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด รุ่นธันเดอร์เบิร์ด ปี 1960 (ตรงกับ พ.ศ. 2503) จากประเทศแคนาดา        
          2. วิทยุ ยี่ห้อ SIEMENS และโทรทัศน์ ยี่ห้อ RCA วิกเตอร์ เป็นวิทยุและโทรทัศน์เครื่องแรกของประเทศไทย
          3. ปืนพกขนาด .38 นิ้ว ใช้เป็นอาวุธประจำตัว
          4. ที่นอนยาง วิทยุทรานซิสเตอร์ และพระพุทธสิหิงค์
          5. โต๊ะและเก้าอี้ทำงานส่วนตัว
          6. ปากกาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ ใช้เซ็นบันทึกสั่งการหรือคำสั่งต่างๆ เกี่ยวกับการปกครอง
          7. ตู้เครื่องแต่งกายทหารราชองครักษ์, เสื้อครุยปริญญาต่างๆ, สายยงยศ, ของที่ระลึก ฯลฯ
          ฯลฯ
       ประวัติศาสตร์เล่าว่า  จอมพลป. ท่านมีรถฟอร์ดธันเดอร์เบิร์ด แปลไทยว่าวิหคสายฟ้า  เป็นรถโก้มากในสมัยนั้น  ชาวบ้านทั่วไปไม่สามารถซื้อได้  หรือแม้แต่คนมีฐานะค่อนข้างดีก็ไม่ใช้กัน    ต้องระดับพระเอกอย่างท่านชายพจน์     ความสำคัญของรถวิหคสายฟ้าเป็นอย่างไร อาจารย์ประจำชั้นจะเฉลยข้อสอบเองนะคะ
       แต่ที่แปลกใจ   หรือหาเรื่องแปลกใจจะได้มีอะไรมาโพสต์ ก็คือรถในพิพิธภัณฑ์ ระบุว่าเป็นรุ่นปี 1960  หรือ 2503  
             ก็ปีพ.ศ. 2503 จอมพลท่านไปอยู่ญี่ปุ่นแล้ว   ท่านซื้อรถคันใหม่ที่นั่้นหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ   ความจริงน่าจะเป็นรุ่น 1957 หรือพ.ศ. 2500  ที่ท่านใช้อยู่ในประเทศไทยมากกว่า
         ไปหารูปรถรุ่นนั้นมาดูเพราะไม่สามารถจะไปถึงพิพิธภัณฑ์ได้     ไม่รู้ว่ามีออพชั่นพิเศษหรือเปล่า เพราะเห็นมีหลายแบบ  เดาว่าถึงไม่เหมือนทีเดียวก็คงคล้ายๆคันนี้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 17 ส.ค. 10, 23:48
ขออนุญาติเช็คชื่อและกราบขออภัยอาจารย์ทุกท่านด้วยครับ.....ลูกศิษย์ขี้เกียจคนนี้ได้แต่ตามอ่านและไม่ได้ส่งเสียงเลย.....

ว่าแต่ว่า.....ฟอร์ดธันเดอร์เบิร์ดวิหคสายฟ้านั่นใช่รถที่พาท่านผู้นำหนีภัยลูกน้องของท่านออกต่างประเทศใช่ไหมครับ?

ขออภัยในความช่างซักด้วยครับ......แหะ แหะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 10, 08:23
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3438.0;attach=13118;image)

ภาพนี้น่าจะเป็นงานเดียวกันกับภาพข้างล่าง

(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/12/K7296683/K7296683-140.jpg)

เป็นภาพจากหนังสือ LIFE February 1955

คำบรรยายภาพมีว่า

Police Chief Gen. Phao Sriyanond sitting in full dress uniform, discussing plans for security for upcoming SEATO conference with an associate.


(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/12/K7296683/K7296683-138.jpg)

Eight-nation SEATO council meeting in throne room of Ananda Samakom Palace

 ;D



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ส.ค. 10, 08:53
^
ขอบคุณครับคุณเพ็ญชมพู ผมไม่เคยเห็นเหมือนกัน บรรยากาศตอนโน้นทั้งคู่ยังม่วนชื่นกันอยู่ แต่ตอนหลังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสฤษดิ์กับเผ่าได้กลายเป็นน้ำกับน้ำมันไปเสียแล้ว

จอมพลป.ท่านกลายเป็นฤษีเลี้ยงลิง จอมพลสฤษดิ์นั้นวางตัวเป็นลิงขาวมานานแล้วด้วยโลโก้ประจำตัวเป็นรูปหนุมาน4กรทรงเครื่องยศ หาวเป็นดาวเป็นเดือน ฉะนั้นพล.ต.อ.เผ่าจึงต้องเป็นพญานิลนนท์ลิงดำ บัดนี้พญาลิงทั้งสองไม่กินกล้วยเครือเดียวกันซะแล้ว รอเพียงจะฟัดกันเมื่อไหร่เท่านั้น ฤษีเองก็หมดปัญญา

งานฉลอง25พุทธศตวรรษจบไปโดยจอมพลป.เองรู้สึกว่า ตนไม่ค่อยจะได้บุญเท่ากับความมุ่งหวังตั้งใจสักเท่าไหร่ จอมพลสฤษดิ์ก็ให้เวลาหายใจหายคอพักเหนื่อยแค่เดือนเศษเท่านั้น การแจ้งเกิดของพรรคสหภูมิที่ผมเคยเอ่ยถึงครั้งหนึ่งก็ทำให้ท่านขุ่นข้องหมองใจขึ้นมาอีก นายสงวน จันทรสาขาน้องชายต่างบิดาของสฤษดิ์ที่มีบทบาทเป็นที่รู้จักของสังคมดี หลังจากที่ได้ประกาศลาออกจากพรรคเสรีมนังคศิลาไปเป็นหัวหน้าพรรคสหภูมิที่จดทะเบียนเสร็จปั๊บ ก็มีส.ส.ในพรรคลาออกปุ๊บ ไปอยู่ด้วยถึง9คน บางคนก็แสบสุดๆ ทำทีมาสารภาพกับเผ่า เลขาธิการพรรคว่าเกล้ากระพ้มจำเป็นจะต้องไปตามที่เขามาชวนแล้วขอรับท่าน เลือกตั้งคราวนี้เกล้ากระพ้มได้เข้าเนื้อไปมากมายจนเป็นหนี้เค้าท่วมหัว เงินที่ท่านกรุณาให้ไปคราวที่แล้วมันไม่พอแจกชาวบ้านจริงจริ้ง  แม้เผ่าจะตัดบทว่ามึงไม่ต้องรำพันมากจะเอาเท่าไหร่ก็ว่ามาไอ้… แต่หมอนี่ได้ไปแล้วก็ยังลาออกไปอยู่กับสงวนอยู่ดี มันเล่นสองต่อน่าเจ็บใจ นอกนั้นสหภูมิยังทุ่มเก็บสแปร์ เอากบฏประชาธิปัตย์ออกมาได้อีก2คน กับพวกส.ส.อิสระรวมกันแล้วถึง22คน ประกาศกันเซ็งแซ่ว่าจะสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์คนเดียว มันแย่ตรงที่คราวนี้เสียงของประชาธิปัตย์เมื่อรวมกับของสหภูมิแล้วก็สามารถยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้สบายๆ ทั้งจอมพลป.ทั้งเผ่าถึงเวลาจะต้องร้อนหูให้พวกตัวด่า ถลกหนังกำพร้าเอาขึ้นย่างอีกแล้ว
 
เรื่องส่งคนไปคุมกองสลาก หวังตัดท่อน้ำเลี้ยงไม่ให้จอมพลสฤษดิ์ไซฟ่อนเงินมาให้สหภูมิใช้ ก็ถูกจอมพลสฤษดิ์วีนจนคนที่ส่งไปปอดแหก จอมพลป.ขัดเคืองมากอยู่ แต่พอดีวันเกิด 14กรกฎาคมได้เวียนมาถึง จอมพลสฤษดิ์ยิ้มแต้ไปอวยพรนายโดยอุ้มลูกหมาตัวหนึ่งไปให้เป็นของขวัญด้วย ตอนที่ทั้งสองพบกันไม่มีใครได้ยินหรอกว่าเขาพูดอะไร แต่นักตีความก็สนุกกันใหญ่ การอุ้มลูกหมาไปมันเป็นระหัสปริศนาอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะแปลว่าผู้ให้จะจงรักภักดีต่อผู้รับเหมือนหมากับเจ้าของฉะนั้น แต่นักตีความอาวุโสจะแกะระหัสแปลกออกไปว่า ผู้ให้ต้องการให้ผู้รับหาประสพการณ์จากการเลี้ยงหมาดูด้วยตนเองว่า หมามันจะจงรักภักดีต่อคนที่ให้ข้าวให้น้ำมันกินเท่านั้น ส่วนผู้ที่สักแต่ว่าเป็นเจ้าของ ทว่าไม่เคยสนใจใยดีกับมัน เผลอๆเดินเข้าบ้านก็อาจถูกเห่าหรือกัดเข้าได้

แต่แทนที่จอมพลป.จะได้สัจจธรรมอะไรจากลูกหมาตัวนั้นบ้าง กลับกระทำการประดุจจะลองของอีก คราวนี้ประกาศมติค.ร.ม. ให้รัฐมนตรีทุกคนถอนตัวจากการค้าและอุตสาหกรรมให้หมด หรือมิฉะนั้นก็จะต้องลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี
 เอาละซี ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านคิดอะไรอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร หรือว่าแก่แล้วเครียดหนักไป สมองเลยเพี้ยนไปเชื่อเผ่าว่าจะเป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดี ว่ารัฐบาลนี้จะไม่หานอกหาในด้วยการไปเซ็งลี้กับพวกพ่อค้านักธุรกิจ เผ่าเองไม่นิยมเสียเวลาไปนั่งเป็นบอร์ดในกรรมการบริษัทอยู่แล้ว จะไปนั่งให้เมื่อยทำไม แค่แจกซองผ้าป่าให้อัศวินนำไปให้ ก็ได้เงินไปทำอะไรต่อมิอะไรเหมือนกัน

แต่มีหรือที่คนอย่างจอมพลสฤษดิ์จะยอมเดินตามเกมของคู่ปรับ ดังนั้นอีก5วันต่อมาก็เป็นหัวหน้าทีมนำ พล.ท.ถนอม พล.ต.ประภาส พล.อ.ท.เฉลิมเกียรติ วัฒนางค์กูร พล.ต.ศิริ สิริโยธิน ยื่นใบลาออกจากค.ร.ม.พร้อมกันเลย

เหตุผลหรือ ก็ท่านบอกแล้วว่าท่านจะไม่อยู่ร่วมคณะกับรัฐมนตรีบางคนที่ประชาชนไม่เอาด้วยไง ไหนนะ คุณว่าท่านเป็นห่วงเรื่องเซ็งลี้เหรอ อย่าคิดอย่างนั้นน่า ถ้าท่านห่วงตำแหน่งรัฐมนตรี ท่านก็ตั้งนายเหียกอะไรไปเป็นโนมีนี่ก็ได้ ใครเค้าก็หน้าด้านทำกันอย่างงั้นทั้งนั้นคุณก็รู้  แล้วใครจะทำไม

นักข่าวจึงเฮไปถามจอมพลป.ว่าได้รับใบลาของจอมพลสฤษดิ์หรือยัง ท่านก็ตอบว่าได้รับแล้ว แต่จะเก็บไว้ก่อน สักพักพวกนี้อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้

ดังนั้น 3วันหลังจากยื่นใบลาออกจากเป็นทางการ จอมพลสฤษดิ์จึงมีจดหมายส่วนตัวไปหาจอมพลป. ท่านอ่านแล้วอ่านอีกหลายรอบ มีรอบแถมอ่านดังๆให้จอมพลผินฟังด้วยว่า ที่ทำอย่างนี้เพราะไม่ชอบใครคนหนึ่ง แต่ส่วนตัวยังเคารพนับถือท่านนายกอยู่เสมอ ถ้าคิดมิดีมิร้ายต่อท่านประการใด ก็เท่ากับเป็นสัตว์เดรัจฉาน อ่านให้ฟังจบ จอมพลป.ก็ชมกับจอมพลผินว่าสฤษดิ์เขายังซื่อสัตย์อยู่ ให้จอมพลผินลองเป็นกาวใจให้ทั้งคู่ดูบ้าง ถ้าสำเร็จ คณะรัฐประหารของจอมพลผินก็จะไม่แตก จอมพลผินก็รับไปลองทำดู ปรากฏว่ากาวหมดอายุแล้วใช้ไม่ได้ เชิญใครมาพบก็ไม่มีใครมาสักคน กระทั่งคนที่เป็นลูกเขยอยู่บ้านซอยเดียวกันแท้ๆ

ขณะที่ยักแย่ยักยัน ท่านนายกก็มิได้ประกาศแต่งตั้งให้ใครมาดำรงตำแหน่งแทนรัฐมนตรีที่ประกาศลาออกไป สถานการณ์กลับเลวลงในเมื่อประชาธิปัตย์กับสหภูมิก็ร่วมมือกันตามสูตร ระดมฝ่ายค้านทั้งหมดยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะทันที แต่กว่าจะอภิปรายกันจริงๆก็ในวันที่ 29 สิงหาคมโน่น การอภิปรายคราวนี้เป็นไปตามมาตรา 75 จึงไม่มีการลงมติ และรัฐบาลไม่ให้ถ่ายทอดเสียง

อ้อ ผมเอารถวิหกสายฟ้าของท่านจอมพลป.มาให้คุณ prickly heat ดูก่อน รถคันนี้ ท่านได้อาศัยความเร็วของมันคุ้มค่ากับราคาเชียวครับ



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ส.ค. 10, 09:36
ผลของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มันก็เหมือนสมัยนี้ ฝ่ายค้านจริงๆไม่ได้หวังสูงที่จะสามารถล้มรัฐบาลกลางสภาได้ เพราะเสียงรัฐบาลยังไงๆก็ขาดอยู่ แล้วจริยธรรมของส.ส.เขาก็มีว่า แม้ข้อมูลฝ่ายค้านจะแน่นปึ่กขนาดรัฐมนตรีดิ้นไม่หลุด ถ้าหมอนั่นเป็นรัฐมนตรีจากพรรคของคุณ คุณก็ต้องหลับหูหลับตายกมือให้มันไป หลังจากนั้นจึงค่อยไปว่าต่อกันในพรรค  แหละคราวนี้ด่ากันสองวันสองคืนไม่ต้องมีการลงมติ แม้จะไม่มีการถ่ายทอดเสียง หนังสือพิมพ์ก็นำไปเขียนรายงานละเอียดยิบ ประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์ต่ออย่างเมามันในอารมณ์ บรรดาฝ่ายค้านก็ตรวจข่าวไปยิ้มไปด้วยความสะใจ บัดเดี๋ยวมันก็จะมีคลื่นใต้น้ำในพรรครัฐบาลขึ้นมาเอง ก็ทุกคนเป็นนักฉวยโอกาสทั้งนั้นนี่นา อะไรเป็นโอกาสให้ฉกฉวยสร้างประโยชน์ให้แก่ตนได้ มีหรือมนุษย์ผู้มีกิเลศจะละวางสิ่งนั้น

5 กันยายน 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นคนแรกที่ยื่นใบลาออกจากพรรคเสรีมนังคศิลา พร้อมกับแถลงว่า
“แต่ผมไม่ลาออกจากตำแหน่งจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเด็ดขาด ผมต้องการทำให้เป็นตัวอย่างให้แยกข้าราชการประจำกับการเมือง ใครอยากเป็นข้าราชการประจำก็ต้องออกจากการเมือง ใครอยากมีตำแหน่งทางการเมืองก็ต้องออกจากข้าราชการประจำ”

จอมพลสฤษดิ์จะพูกกระทบใครบ้างก็ไม่ทราบ แต่5วันต่อมา นายทหาร3เหล่าทัพรวมกัน46นาย ได้ทำหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลาเหมือนกัน ด้วยเหตุผลตามหนังสือลาออกนี้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 18 ส.ค. 10, 11:59
ขอบพระคุณครับอาจารย์.......ที่จำได้ก็เพราะเคยอ่านประชาธิปไตยบนเส้นขนานครับ....

ตอนนี้เหตุการณ์เริ่มงวดขึ้นทุกที.....ท่านอาจารย์เนาวรัตน์และอาจารย์ทุกท่านกรุณาอย่าเพิ่งรีบจบเลยนะครับ.....

เพราะตอนนี้ก็รู้สึกตัวได้ว่าติดเสียแล้ว.....(หากรบกวนก็ขออภัยด้วยครับ...แหะ แหะ ) ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ส.ค. 10, 12:08
^
แหะ แหะ...เอื๊อกกก
.
.
เจอดอกนี้เข้า จอมพลป.ถึงกับร้อนฉ่าวูบวาบไปทั่วสรรพางค์กาย โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย แต่ก็พยายามดิ้นด้วยการออกหนังสือเชิญเป็นทางราชการ ให้รัฐมนตรีที่ลาออกมาประชุมเพื่อปรับความเข้าใจ แต่ทั้งหมดก็ไม่มีใครปรากฏกายตามที่นัดหมายสักคนเดียว
วันที่12กันยายน รัฐบาลจึงกระจายข่าว เรื่องพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า รัฐมนตรีที่มีรายชื่อต่อไปนี้ พ้นจากหน้าที่ ..จอมพลสฤษด์ ธนะรัชต์ พลโทถ………….กูร นับจากบัดนี้เป็นต้นไป จอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ผู้สนองพระบรมราชโองการ

วันที่ 13 กันยายน ที่หอประชุมกองทัพบก จอมพลสฤษดิ์ ผู้บัญชาการทหารบกได้เป็นประธานในการประชุมนายทหารที่คุมกำลังทั้งหมด
และในเวลาเดียวกัน ที่ห้องประชุมกรมตำรวจ พล.ต.อ. เผ่าก็เป็นประธานในการประชุมนายตำรวจระดับอัศวินทั้งแผง
และทั้งสองฝ่ายก็ได้ยื่น “คำขาด” ให้แก่นายกรัฐมนตรีในเวลาไล่เรี่ยกัน

ท่านผู้อ่านลองคิดตามไปด้วยนะครับ  อัลติเมตั้มของพญาลิงขาวกับพญาลิงดำครั้งนี้ ฤษีแก่ได้รับแล้วจะแก้ไขอย่างไร

คำขาดของทหาร ลงนามโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และนายทหาร58คนคือ ให้จอมพลป.พิบูลสงคราม นำคณะรัฐบาลลาออกตามเสียงเรียกร้องของประชาชนอันสืบเนื่องมาจากการเลือกตั้งสกปรก และการบริหารประเทศโดยมีรัฐมนตรีที่ประชาชนไม่ไว้ใจ จนไม่ได้รับผลสำเร็จเท่าที่ควรประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง ให้พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ออกจากอธิบดีกรมตำรวจ ตามหลักการแยกข้าราชการประจำออกจากการเมือง

คำขาดของตำรวจ ขอประทานโทษเรียกคำขาดคงไม่ได้ เพราะเป็นเพียงการขออนุมัติจับกุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับคณะทหารและสมาชิกประเภท2ซึ่งลาออกจากตำแหน่งทุกคน ในข้อหาฐานบ่อนทำลาย  สร้างความกระด้างกระเดื่องในแผ่นดิน เข้าข่ายกระทำการกบฏเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่มาโดยชอบด้วยกฏหมาย  ดังรายงานผลการประชุมของกรมตำรวจที่แนบมาพร้อมกับหนังสือนี้

ผมขออนุญาตวิเคราะห์นิดนึง คำขาดของสฤษดิ์ให้รัฐบาลลาออกน่ะ ไม่ได้แปลว่าให้ยุบสภาแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่ให้บริสุทธิ์ยุติธรรมนะคะรับ อ่านดูดีๆ เพียงแต่นายกนำคณะรัฐมนตรีทั้งคณะลาออก แล้วตามรัฐธรรมนูญก็กำหนดให้ประธานสภาเป็นผู้เลือกหัวหน้าพรรคที่สามารถคุมเสียงข้างมากในสภา นำชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงโปรดเกล้าฯให้เป็นนายกรัฐมนตรี มิได้มีข้อห้ามสักนิดว่าจะเสนอนายกคนเดิมที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งมิได้ ดังนั้นโอกาสที่จอมพลป.จะกลับมาจัดตั้งค.ร.ม.ป2/(อะไรล่ะ-ลืมไปแล้ว)ก็ยังมี เพียงแต่ทหารไม่ต้องการเผ่าเท่านั้น อย่าตั้งเข้าไปเป็นรัฐมนตรีอีกก็แล้วกัน

แต่คำขาดของฝ่ายทหารก็ขี้โกงนิดๆ กล่าวคือ จอมพลสฤษดิ์ลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมือง ด้วยเหตุผล ต้องการแยกข้าราชการประจำออกจากการเมือง แต่ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ กับเผ่า กลับยื่นคำขาดให้เผ่าออกจากอธิบดีกรมตำรวจ และไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นรัฐมนตรีด้วย ถ้าเป็นเลขาพรรคมีหน้าที่คอยจ่ายน้ำเลี้ยงให้ส.ส.ก็คงไม่ว่ากัน

ส่วนข้อเสนอของเผ่า ถ้าจะบังคับให้ผมวิเคราะห์จริงๆ ผมก็คงจะว่าพล.ต.อ.เผ่า กล้าหาญมาก และนอกจากนั้น ยังบ้ามากอีกด้วย ถามจริงๆ ตำรวจหน้าไหนจะกล้าบุกเข้าไปจับนายทหารตั้งครึ่งร้อยในกรมกองของแต่ละท่าน ต่อให้พวกอัศวินแหวนเพชร สวมเสื้อยันต์ฝังเพชรยิงไม่ออกฟันไม่เข้าด้วยก็ตาม

ท่านจอมพลป.ที่น่าสงสารของผม ท่านเรียกประชุมค.ร.ม.ด่วนเพื่อพิจารณาเรื่องที่ท่านตัดสินใจโดยลำพังไม่ได้ แต่แทนที่คณะรัฐมนตรีจะยอมเสียสละลาออกตามที่คณะทหารต้องการ ก็เป็นห่วงว่าถ้าออกไปแล้วไม่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นใหม่ล่ะ ไม่บรรลัยหรือ เพิ่งเป็นได้แปร๊บเดียว ยังไม่ทันจะเห็นเนื้อเห็นหนังเลย จึงมีมติเสียงส่วนใหญ่ให้ทำหนังสือตอบไปว่า นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะดำรงตำแหน่งต่อไป แต่รัฐมนตรีทั้งหลายที่มีตำแหน่งข้าราชการประจำ จะเลือกลาออกจากทางใดทางหนึ่ง ส่วนพล.ต.อ.เผ่า ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะพ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจตามที่ขอ

คำตอบนี้ไม่เป็นที่พอใจของจอมพลสฤษดิ์ ดังนั้น คณะทหารจึงมีคำขาดข้อความเดิมๆส่งออกไปเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้ จอมพลป.ท่านเลือดขึ้นหน้า เกิดทิษฐิมานะขึ้นมาอย่างแรง เรียกเผ่ามาพยักหน้าให้ดำเนินการตามแผนที่เสนอไว้ทันที


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 10, 12:16
มีเสียงเรียกร้องจากหน้าเวที ว่าอย่าเพ่อจบ  อย่าเพ่อจบ
ถ้าเป็นละครหลังข่าวละก็  มีสิทธิ์ยืดจาก 12 ตอนเป็น 30 ตอน 

คุณนวรัตนจะมีอะไรแทรกโปรแกรมไปก่อนไหมคะ
ดิฉันยังคิดไม่ออก  ถ้าจะไปจับตำนานลิงขาวลิงดำตอนพระรามจองถนน  ก็จะไกลสุดกู่เกินไป  เดี๋ยวกลับไม่ถูก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ส.ค. 10, 12:39
เนื่องจากมีผู้เรียกร้องไม่ให้จบเร็วๆ ผมก็สนองท่านด้วยการอู้ให้ช้าลงนิดนึงด้วยการขอลากิจหนึ่งวันครับ

มีนัดไปต่างจังหวัดอยู่แล้วลืมไปเลย มัวแต่ติดอินเทอเนตเอาเรื่องหลอนสารพัดมาบรรจุลงในเนื้อสมองแทนเรื่องเป็นงานเป็นการ
เขาโทรมาเมื่อกี้ ตามตัวให้รีบไปด่วนเพราะว่ายังทัน เอ้าไปก็ไป

เห็นไหมครับ จบช้าลงไปหน่อยนึงแล้ว เดี๋ยวผมจะบอกลิงขาวลิงดำให้เอารถถังกลับเข้าอู่ไปก่อน พร้อมเมื่อไหร่จะเรียกอีกที ฮะ...อะไรนะ...เบี้ยเลี้ยงหรือ..โน่นไปบอกท่านเจ้าของวิกโน่น ไม่ใช่พ้ม ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 10, 12:46
เจ้าของกระทู้ควบธันเดอร์เบิร์ดรุ่น 2010 ไปต่างจังหวัดเสียแล้ว    ทางนี้ เกิดสูญญากาศในกระทู้   ดิฉันก็จะกระชับพื้นที่เข้ายึดละค่ะ
อยากคุยเรื่องอะไรเกี่ยวกับจอมพลสฤษด์ หรือเรื่องอื่นๆ ก็บอกมา   จะเล่าเท่าที่จำได้   
ขอเปิดวงให้คุณมานิต คุณศรีสยาม คุณร่วมฤดีและอีกหลายท่านที่โตพอจะจำความสมัยนั้น มาเม้าท์กันจนกว่าจะเจ้าของจะกลับมายึดพื้นที่กลับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 18 ส.ค. 10, 12:51
ครับอาจารย์เนาวรัตน์ เดินทางปลอดภัยนะครับ.....

หากอย่างนั้นผมก็ขอต่อคิวเบิกเบี้ยเลี้ยงกับท่านเจ้าของวิกเลยครับ แหะ แหะ ;D

ชนกันกลางอากาศกับท่านอาจารย์เทาชมพูพอดีเลย.....


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 10, 17:32
คั่นเรื่องด้วยรูป ระหว่างที่อาจารย์ NAVARAT ไม่เข้าสอน ครับ

เลือกจอมพลป.๒ เบอร์ ๒๕


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 10, 17:36
ชุมนุมประท้วงต่อต้านเลือกตั้งสกปรก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 10, 17:37
พลังนักศึกษาประชาชน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 10, 17:39
กำลังทหารม้า


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 10, 17:41
รถถัง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 10, 17:46
อ้างถึง
จอมพลสฤษดิ์ผบ.ทบ. กลายเป็นขวัญใจนิสิตนักศึกษา ยืนอยู่ข้างพวกเขาเมื่อเดินขบวนประท้วงรัฐบาลเรื่องเลือกตั้งสกปรก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 10, 17:49
ภาพแต่ละภาพ ชัดเจน เยี่ยมมากค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 18 ส.ค. 10, 18:01
ขอบคุณครับ

ภาพสุดท้ายของชุดนี้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 19 ส.ค. 10, 08:24
มาเช็คชื่อตอนเช้าค่ะ แอบโล่งใจที่อาจารย์ประจำชั้นยังไม่มา เพราะถ้าถูกเรียกให้ตอบคำถาม เกรงว่าจะตอบไม่ได้ จะโดนหักคะแนนเสียเปล่าๆ

ด้วยความเคารพจากนักเรียนที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 19 ส.ค. 10, 10:03
เข้ามาเช็คชื่อเข้าห้องเรียนเหมือนกันค่ะ ปกติเข้าเรียนเงียบๆทุกวัน เพราะคอมพ์ฯไม่อำนวยให้โต้ตอบได้
แต่ยังไง ก็เข้าเรียนเสมอค่ะ  :D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 20 ส.ค. 10, 01:53
กระทู้นี้...........แฟนประจำติดกันงอมแงม...แถมร้องระงม.....อย่ารีบจบ...อย่ารีบจบ...

ยิ่งมาเห็นภาพจากกรุคณSILA และอ.เพ็ญชมพูชัดแจ๋วเข้าอีก..........จุใจจริงๆ...
นักเรียนนั่งเงียบ..อ้าปากหวออีกตะหาก.........ก็ท่านบรรยายได้เห็นภาพชัดเจน...ไดอะล็อคยังกะคนอ่านไปนั่งแอบฟังในเหตุการณ์
ใครที่ไหนจะกล้าคุยกันในห้องเรียนละครับละครับ


ช่วงนั้นผมยังเด็ก...เล็กนัก....จำได้เพียงว่าสมัยสฤษดิ์...มือวางเพลิงถูกยิงเป้า....จนไฟไม่กล้าไหม้???
และกรณีเขาพระวิหาร..ทุบกระปุกไปช่วยชาติ...หกบาทห้าสิบสตางค์ทั้งๆที่จนมากๆ....แต่ทำไมเก็บตังค์ใส่กระปุกได้เยอะไม่รู้??

 ;D :D

ขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาให้ความรู้เป็นวิทยาทานครับ






กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 08:21
อาจารย์ประจำชั้นยังไม่กลับ  ขอนำภาพมาลงคั่นเวลาไปพลางๆก่อน

จอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่ประกาศให้ประชาชนเลิกสูบฝิ่นอย่างสิ้นเชิง   เมื่อนำฝิ่นมาเผาที่สนามหลวง  ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัดอื่นๆก็สนองนโยบายกวาดล้างฝิ่นมาเผาเช่นกัน  รูปนี้คือเผาฝิ่นที่ท่าแพ จ.เชียงใหม่





กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 08:38
ช่วงนั้นผมยังเด็ก...เล็กนัก....จำได้เพียงว่าสมัยสฤษดิ์...มือวางเพลิงถูกยิงเป้า....จนไฟไม่กล้าไหม้???

 ;D :D

เมื่อเอ่ยถึงจอมพลสฤษดิ์ต้องนึกถึงมาตรา ๑๗

มาตรา ๑๗ แ่ห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๐๒ ให้อำนาจฝ่ายบริหารโดยนายกรัฐมนตรีอย่างไม่มีการถ่วงดุล ทำให้ฝ่ายบริหารมีความเฉียบขาดในการจัดการเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดความฉับไวในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน แต่ก็นำมาซึ่งการใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิดโดยมีการสั่งลงโทษประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปแล้วเป็นจำนวนมาก

จอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจตามมาตรา ๑๗ นี้อย่างเต็มที่ เช่น การปราบปรามฝิ่น มีการเผาฝิ่นที่ท้องสนามหลวงเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๒ มีเหตุเพลิงไหม้ติดกันถึง ๓ ครั้ง เป็นที่ฝั่งธน ฯ ๒ ครั้ง และที่บางขุนพรหมอีก ๑ ครั้ง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ จอมพลสฤษดิ์ เป็นผู้อำนวยการดับเพลิงเอง ต่อมาได้มีการจับกุมผู้วางเพลิงได้ทั้งหมด ๓ ราย เป็นคนไทยเชื้อสายจีน จอมพลสฤษดิ์สั่งประหารชีวิตบุคคลทั้ง ๓ ในที่สาธารณะ

นอกจากนี้ยังได้ประหารบุคคลที่สงสัยว่าจะก่อความไม่สงบหลายรายหรือข้อหาคอมมิวนิสต์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสาน เช่น นายศิลา วงศ์สิน และ นายศุภชัย ศรีสติ ในข้อหาผีบุญ นายครอง จันดาวงศ์ และ นายทองพันธ์ สุทธิมาศ ในข้อหาเดียวกัน ที่สนามบินอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร เป็นต้น

จิตร ภูมิศักดิ์สรรเสริญจอมพลสฤษดิ์เรื่องการใช้มาตรา ๑๗ ดังนี้

เมืองไทยยุคคลั่งเพ้อ                            พัฒนา นี้ฤๅ
บังเกิดผู้นำมหา-                                 บุรุษแท้
บุรุษเหล็กทุกยุค-บา                            เผยอทาบ เขาฤๅ
เหล็กเท่าเหล็กล้วนแพ้                          พ่ายสิ้นทุกสมัย ฯ

อำนาจบาตรใหญ่เหี้ยม                          โหดหืน
ย่ำระบบยุติธรรมยืน                             เหยียบเย้ย
ปืนคือกฎหมาย…ปืน                            ประกาศิต
"ผิดชอบอั๊วเองเว้ย"                             "ชาตินั้นคือกู" ฯ

ถือ ม. สิบเจ็ดใช้                                ประหารชน
เหมือนหนึ่งหมากลางถนน                       หนักหล้า
เห็นคนบ่เป็นคน…                               ควายโง่ (โอยพ่อ)
กดบ่ให้เงยหน้า                                 "นิ่งโว้ย…ม่ายตาย" ฯ

 ;D



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 20 ส.ค. 10, 09:20
อ่านยอวาทีของจิตร ภูมิศักดิ์แล้ว ไม่ทราบไปนึกถึง  จอมยุทธ  -นิรนาม-  และจิ๋ซีฮ่องเต้ในหนังเรื่อง Hero ของจางอี้โหมวได้ไง?

คนไม่น้อยในสังคมไทยที่เอือมนักการเมืองเลวบางคนในปัจจุบัน..........จึงคิดถึงสฤษดิ์ใจจะขาด.........แต่ต้นทุนค่าความสงบสุขแบบราบคาบในสมัยนั้น..ช่างสูงนัก
แม้คนอย่างจอมพลสฤษดิ์....ยังจำกัดอาณาเขตของการเพิ่มเงินเดือนตนเองอยู่ที่เงินจากกองสลาก?
ข้อดีที่เห็นชัด............หลังจากเรียนรู้คนอย่างดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ แล้ว..........จอมพลสฤษดิ์เรียกอ.ป๋วยกลับมาคุมแบ็งค์ชาติดังเดิม...ทั้งๆที่เพิ่งปลดไปกับมือตัวเองสดๆร้อนๆ

และไม่ยุ่งกับการบริหารนโยบายการเงินของแบ็งค์ชาติอีกเลย..................ไทยสมัยนั้นจึงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงมาก



เปรียบเทียบกับปัจจุบัน....?


 :( 8)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 09:57
อะไรที่มีคุณอนันต์ ก็มักจะมีโทษมหันต์

ได้ยินผู้ใหญ่เล่าว่าสมัยจอมพลสฤษดิ์ ระหว่างพ.ศ. 2500-2506   บ้านเมืองปลอดภัยมาก    ชาวบ้านไม่ต้องกลัวการเผาไล่ที่   เผาเอาประกัน หรือเผาล้างหนี้ซึ่งมักจะเกิดเป็นประจำก่อนตรุษจีน     เพราะบ้านเรือนสมัยนั้นเป็นไม้ ปลูกติดๆกัน   พอไฟไหม้เข้าบ้านหนึ่งก็ลามไปหมดทั้งตลาด หรือทั้งถนน   ชาวบ้านสิ้นเนื้อประดาตัวกันง่าย เนื่องจากไม่มีประกันภัย   แต่พอยิงเป้าเข้าสองสามที  ไฟก็สงบราบคาบ ไม่ไหม้อีก
บรรดาผู้กว้างขวางซึ่งเคยเตร็ดเตร่ทำตามอำเภอใจในยุคอัศวินผยอง  ต้องย้ายไปอยู่บางขวางลาดยาวกันหมด   ที่รอดได้ก็หัวหดอยู่ในที่ในทาง   บ้านเมืองจึงปลอดภัยมาก    คนเดินในที่เปลี่ยวๆก็ไม่โดนจี้ปล้น  คดีข่มขืนรายวันอย่างสมัยนี้ ไม่เคยได้ยินเลย

สมัยจอมพลสฤษดิ์ ความมั่นคงในอาชีพและทรัพย์สินของประชาชนมีมากกว่าสมัยนี้   จอมพลสฤษดิ์มีนโยบายพัฒนาประเทศไปในทางทุนนิยม  คำขวัญ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ" คงจะสะท้อนได้ดีถึงนโยบายนี้

ตรงข้ามกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ  ก็คือความคลอนแคลนทางเสรีภาพด้านการเมือง      จิตร ภูมิศักดิ์เป็นตัวอย่างชัดเจนของความคับข้องใจของประชาชน ว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะเห็นต่างจากรัฐบาลไม่ได้   หรือเห็นข้อดีของการเมืองแบบอื่นก็ไม่ได้
โดนจำคุกเสีย 7 ปีข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง

ถ้าจิตรมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้   มองเห็นเสรีภาพทางการเมืองที่เกือบจะไม่มีข้อจำกัด    คุณเพ็ญชมพูคิดว่าเขาจะชื่นชมโสมนัสได้หรือยัง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 10:43
ถ้าจิตรมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้   มองเห็นเสรีภาพทางการเมืองที่เกือบจะไม่มีข้อจำกัด    คุณเพ็ญชมพูคิดว่าเขาจะชื่นชมโสมนัสได้หรือยัง

ขออนุญาตคุณนวรัตน เดินตามคุณเทาชมพูเข้าซอยจิตร ภูมิศักดิ์ สักก้าว ๒ ก้าว

คำถามว่า ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่ จะคิดอย่างไร จะทำอะไร เป็นคำถามซึ่งฮิตเสมอในหมู่ผู้สนใจประวัติของจิตร

เคยได้อ่านคุณ  AntiSpam สหายคนหนึ่งจากพันทิป เธอวิเคราะห์วิจารณ์โดยอ้างหนังสือ "ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่ - บทวิเคราะห์ปัญญาชนนักเขียน - นักคิดแห่งยุคสมัย" โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล ด้วยสำบัดสำนวนที่น่าติดตามยิ่ง

เธอว่าดังนี้

เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พบหนังสือเล่มหนึ่งคือ "ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่ - บทวิเคราะห์ปัญญาชนนักเขียน - นักคิดแห่งยุคสมัย" โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล สำนักพิมพ์สามัญชน ดูจากชื่อ ข้าพเจ้าคาดหมายว่า จะได้อ่านเรื่องราวอันเป็นบทวิเคราะห์ของผู้เขียนถึงบทบาทของจิตรในวันนี้ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่

จากชื่อเรื่อง
ข้าพเจ้าคิดเรื่อยเปื่อย (เอาเอง) ตามประสาว่า

จิตรจะอยู่ข้างไหนนะ ระหว่างชินจังกับแป๊ะลิ้ม
(จิตรอาจจะไม่อยู่ข้างไหนเลย และ "เม้งแตก" ทั้งสองข้าง)

จิตรจะวิพากษ์ "ทุนนิยมสามานย์" กับ "ศักดินาล้าหลัง" อย่างไร
(แอบคิดต่อ แล้วจะด่าใครมันส์กว่ากัน)

จิตรจะเล่นพันทิปไหมหนอ
(เพื่อความยุติธรรม จิตรห้ามตั้งชื่อตัวเองว่า จิตร ภูมิศักดิ์ จิตรต้องคิดชื่อที่กิ๊บเก๋อย่างยิ่งยวดไม่แพ้นามปากกาอื่นๆ ของจิตร เพื่อความวิวาทะบันเทิงของคนดู)

ถ้าจิตรมาเล่นห้องภาษาไทย....ห้องนี้คงครึกครื้นน่าดู
(จิตรคงมีประเด็นที่น่าขบมากมาย แต่กลัวจิตรสนุกอยู่คนเดียวน่ะสิ เฮ่อ...)

โน่นนี่นั่นนู่น

ที่สำคัญกว่า ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่ เราจะรู้จักเขาดังเช่นที่เราได้รู้จักในวันนี้หรือไม่ เขาอาจจะเป็นคนที่ไม่น่าสนใจเลยสำหรับข้าพเจ้า

วรศักดิ์อ้างถึงคำพูดของ สุชาติ สวัสดิ์ศรีว่า "โชคดีที่จิตรตายก่อน"

อ่าว ทำไมล่ะ
(เปิดหนังสืออ่านเพราะเครื่องหมายคำถาม ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ ทำไมหนอ)

นิสัยจิตรนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนดื้อและเชื่อมั่นในความคิดของตนอย่างที่สุดคนหนึ่ง

ถ้าจิตรยังไม่ตาย ไปถึงภูพาน และไปถึงประเทศจีน การไปถึงของจิตรน่าจะเป็นช่วงก่อนเกิดปฏิวัติวัฒนธรรมไม่นานนัก หรืออาจจะไปถึงในช่วงนั้นพอดี

จิตรจะเป็นอย่างไร จิตรจะอยู่ดีกับศูนย์กลางของขบวนการคอมมิวนิสต์อย่างจีนหรือไม่ หรือ ความคิดในเชิงวิชาการของจิตรจะถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงจากจีน

วรศักดิ์ กล่าวว่า แนวคิดปัญญาชนไทยหลายต่อหลายประการทีเดียวที่ถูกมองว่าเป็นลัทธิแก้ ไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ของพรรค (แม้แต่เสกสรรและปัญญาชนไทยในยุคหลังก็เผชิญกับสภาพเช่นนี้) และถ้าจิตรไม่สามารถสมานฉันท์กับจีน และ พคท. ได้ จิตรจะเป็นอย่างไร จะถูก "วิพากษ์" จนเสียผู้เสียคนตามที่วรศักดิ์กล่าวไว้หรือไม่ ในทางกลับกัน ถ้าจิตรเกิดเออออไปกับแนวคิดการปฏิวัติวัฒนธรรมเข้าจริงๆ สวัสดิภาพของจิตรก็อาจจะไม่ดีนัก ดังเช่นซ้ายไทยที่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิวัติวัฒนธรรมคนอื่น ๆ

ถ้าจิตรไม่ตาย....จิตรอาจถูกลดบทบาท และจากไปอย่างเงียบๆ โดยที่เราอาจจะไม่ได้รู้จักเขาดังเช่นวันนี้

วรศักดิ์ให้ความเห็นว่า จิตรอาจจะไม่แน่ใจบทบาทของ พคท. ทำให้จิตรเลือกที่จะฝากต้นฉบับ "ความเป็นมาของคำฯ" ไว้กับสุภา ศิริมานนท์ และนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะมันอาจจะเป็นไปได้วา พคท. ไม่เห็นค่างานชิ้นนี้ของจิตร และอาจจะไม่ใส่ใจอีกเลยหลังจากที่จิตรสิ้นชีวิตไปแล้ว  

คำถามนี้ชวนให้คิดต่อถึงว่า ถ้าจิตรยังไม่ตาย และเข้าสู่ขบวนการซ้ายไทยในประเทศไทย จิตรจะรุ่งหรือจิตรจะร่วง นั่นก็ยังให้ต้องคิด

"การออกจากป่า" กลายเป็นปริญญาสำหรับนักการเมืองยุคนี้ไปเสียแล้ว จิตรที่เคยผ่านทั้งคุกทั้งป่า ถือเป็นดุษฎีบัณฑิตในกระบวนการวีรบุรุษต้านอำนาจเถื่อนอย่างจิตรจะเป็นอย่างไรในวันนี้

จิตรจะกลายเป็นนักวิชาการด้านภาษาและนิรุกติศาสตร์ที่มีบทบาทสูงในมหาวิทยาลัย หรือเป็นที่ปรึกษาบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างที่คนอื่น ๆ เขาเป็นกัน

หรือจิตรจะแปลงกายเป็นเสี่ยจิตร (อันนี้นึกไม่ออกอย่างแรง)

หรือจิตรจะเข้าสู่วงการเมือง และวุ่นวายกับการหาเสียงเข้าพรรคเหยง ๆ ดั่งเช่นคนที่เราเชื่อว่าดีและเสียคนไปแล้วเรียบร้อยเพราะการเมือง

ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่.......

จิตร ภูมิศักดิ์ : เขาตายเหมือนไร้ค่าแต่ต่อมาก้องนาม ผู้คนไถ่ถามอยากเรียน ความคิดเห็นที่ ๘๙-๙๑
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/05/K5378590/K5378590.html#89

 ;D



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 11:09
^
ขอออกความเห็นตอบกลับไปบ้าง  ชักมัน
ไหนๆอาจารย์ยังควบธันเดอร์เบิร์ดกลับมาไม่ถึง   ห้องเรียนก็ไม่ควรเงียบสนิท  จริงไหมคะ

จิตร เป็นคนหนึ่งที่เหมาะสมกับคำว่า "เกิดก่อนยุคสมัย" หรือ "เกิดผิดยุคสมัย"    รุ้ง จิตเกษมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เหมาะกับสองคำนี้  ต่างกันว่าคนหนึ่งอยู่ในโลกจริง อีกคนอยู่ในจินตนาการ  แต่ก็จบชีวิตก่อนเวลาอันควรทั้งสองคน

ดิฉันขอแบ่งจิตรออกเป็น 2 ภาค   คือจิตรที่เป็นปัญญาชนนักวิชาการ   กับจิตรที่เป็นนักต่อสู้ทางการเมืองเพื่ออุดมการณ์     สองบทบาทนี้ ถ้ามองดีๆจะแยกออกจากกันได้
ถ้าจิตรคงคุณสมบัติข้อแรก  รอดตายจากพ.ศ. 2509 มาได้    เขามุ่งไปทางพัฒนาฝีมือสติปัญญาในเรื่องวิชาการให้ต่อเนื่อง ด้านภาษาและประวัติศาสตร์ อย่างสุขุมลุ่มลึกตามวัย  เขาคงจะได้รับเชิญไปเขียนคอลัมน์ประจำ เป็นเกียรติแก่ค่ายมติชนมาหลายปีแล้ว  
อาจจะได้รับการประกาศชื่อเป็นนิสิตเก่าดีเด่นของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เช่นเดียวกับดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์    และเช่นเดียวกับดร.นิธิ   จิตรอาจปฏิเสธเกียรติเรื่องนี้   จิตรอาจได้รับเชิญไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเป็นประจำ นอกเหนือจากที่ธรรมศาสตร์  สถาบันพระปกเกล้า และที่อื่นๆ  

สวรรค์ส่งให้จิตรเกิดมาเพื่อเป็นนักวิชาการผู้มีคุณค่า     เขาจงเห็นอะไรหลายอย่างที่ปรมาจารย์หลายท่านยังมองไม่เห็น หรือไม่ได้ดูตามเส้นทางนั้น   ชายหนุ่มอย่างจิตรสร้างงานค้นคว้าหลายชิ้นที่น่าทึ่ง  เป็นนวัตกรรมของชาวอักษรศาสตร์  ซึ่งในฐานะที่ดิฉันจบมาจากที่นั่นก็บอกได้ว่า กาลเวลาในคณะอักษรศาสตร์ แน่วแน่ แต่แน่วนิ่ง   พูดภาษาง่ายกว่านี้คือเดินได้ช้ามาก   อาจจะเร็วในยุคนี้ แต่ไม่ใช่ยุคก่อน
จิตรเป็นนิสิตอักษรศาสตร์ที่ไวกว่ายุคมาก   จึงน่าเสียดายว่า จิตรอาจจะไม่รู้ว่าคนอย่างเขาเกิดมาเพื่อควรทำงานอะไรให้เต็มร้อย    เขาจึงแบ่งชีวิตไปให้อีกภาคหนึ่ง คือภาคที่สอง

ภาคที่สองของจิตรในฐานะนักต่อสู้ทางการเมืองที่มีอุดมการณ์   มีชะตากรรมที่ไม่ได้ต่างจากนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อื่นๆ ทั่วโลก   คือสร้างแบบอย่างไว้ให้เป็นอนุสาวรีย์แก่คนรุ่นหลัง    แต่ตัวเองไม่เคยทันเห็นการบรรลุผล   สิ่งตอบแทนคือความคับแค้นใจ ขมขื่น  เดือดร้อนแก่ตัวเองและครอบครัว     เหมือนแบกรับผลร้ายเอาไว้หมด เพื่อผลดีให้คนรุ่นหลังชื่นชมศรัทธา   แต่จนแล้วจนรอดอุดมการณ์นั้นก็ไม่มีวันเป็นจริง
เป็นชะตากรรมที่เดินเข้าไปแล้วร้อยทั้งร้อยเหมือนกันหมด   แต่พวกนี้ก็เต็มใจเดินเป็นเทียนที่เผาไหม้ตัวเองให้ความสว่างแก่คนอื่น    คนอื่นได้ดีจากผลงานของเขา แต่ตัวเขาไม่เคยได้อะไรเลยตลอดชีวิต    

ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน และยังไม่แสวงหาเส้นทางเป็นหัวหน้าพรรคจิตราธิปไตย หรือเสี่ยจิตรเจ้าของสื่อ น.ส.พ. หรือสื่ออื่นๆอะไรก็ตาม    ดิฉันลงความเห็นว่าจิตรไม่สวมเสื้อสีไหนเลย   แถมอาจจะสวดยับอีกด้วย   เพราะมันไม่ใช่อุดมการณ์ของเขา  จิตรอาจมองเห็นว่ามันไม่ใช่อุดมการณ์อะไรเลยด้วยซ้ำ

จิตรไม่ได้โชคดีที่ตายก่อน หรือตายทีหลังเมื่ออายุ ๑๐๐ ปี   คนอย่างจิตรไม่เคยโชคดีเลยตั้งแต่เกิดมา  สังคมต่างหากที่โชคดี ได้มีคนอย่างจิตร


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: srisiam ที่ 20 ส.ค. 10, 11:12
เดาเอาว่า...จิตรคงไม่เอาทั้งเหลืองและแดง..........คนดื้ออย่างจิตรอาจมีโอกาสสอนหนังสือที่ใดที่หนึ่งกระมัง...

เคยไปบ้านในสวนของจิตรที่เมืองนนท์..........บ้านชั้นเดียวหลังคามุงสังกะสี....หนังสือเต็มบ้าน..ไม่ทราบพอรู้ไหมว่ายังอนุรักษ์ไว้หรือเปล่าครับ?



 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 11:46
คุณเพ็ญชมพู   ไม่เห็นออกความเห็นอะไรบ้างเลย

จิตรคงเห็นว่าตัวเองเกิดมา เพื่อสิ่งนี้กระมัง?

เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์
สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน
จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 12:00
^
^
^
บทกวีข้างบนถือเป็นสัญลักษณ์ของจิตรทีเดียว

จิตรถอดความมาจากบทกวีของ อาเวตีก อีสากยัน AVETIK ISAKYAN กวีประชาชนแห่งอาร์เมเนีย ในนามปากกา "ศรีนาคร"

TO BANISH THE TRACE OF A TEAR  FROM YOUR EYE,
A THOUSAND DEATHS WOULD I GLADLY DIE ;
IF ONE MORE LIFE WERE GRANTED ME,
I'D SPEND THAT LIFE IN SERVING THEE.

สิ่งที่่จิตรต้องการจริง ๆ อยู่ในคำปณิธานข้างล่าง

(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/05/K9207572/K9207572-57.jpg)

ป.ล.   ชื่นชมในความเห็นของคุณเทาชมพูต่อจิตร ภูมิศักดิ์

 ;D

 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 10, 13:52
สวัสดีทุกท่านครับ
ขอขอบคุณที่มาให้กำลังใจและนำสิ่งของบรรเทาทุกข์มามอบให้แก่กระทู้นี้ เพราะกำลังขัดสนปัญญาที่ผมจะลากให้ยาวออกไปโดยมีสาระเจ้มจ้นเหมือนเดิม รูปที่ท่านเอามาเสริมกันเป็นรูปที่น่าสนใจทุกรูป เรื่องของจิตร ภูมิศักดิ์ก็ทำให้ท่านผู้อ่านได้ข้อคิดไปตามสมควรว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรดีหมดหรือเลวหมด อะไรได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง นั่นเรียกว่าไม่เที่ยง คนดีๆที่เราชื่นชอบอยากให้อยู่ไปนานๆก็อยู่ไม่ได้ ไอ้ที่เลวๆอยากให้ไปเร็วๆมันก็ไม่ไป นั่นเรียกว่าอนัตตา แล้วเราก็มานั่งวิตกวิจารณ์ บางคนจะเป็นจะตายกับสิ่งที่เป็นไปในบ้านเมือง เพราะมันไม่ถูกใจตัวเอง นั่นเรียกว่าทุกข์ ถ้าเป็นชาวพุทธจริง ไม่ใช่พุทธไหว้พระเก้าวัดเพื่อขอให้รวย ขอให้รวยก็ต้องรู้ทันนะครับท่านผู้อ่าน จะโกรธจะเกลียดใครก็ได้ แต่ต้องให้รู้ด้วยว่าตนกำลังโกรธกำลังเกลียดเค้าอยู่ อย่าถึงกับให้ขาดสติ

ง่า..ไม่ต้องสาธุก็ได้ครับ ผมกำลังจะพากลับเข้าเรื่องแล้ว

ขอเริ่มต้นอุ่นกระทู้ด้วยภาพเปรียบเทียบรถถังของทั้งสองฝ่าย ถ้าเป็นนักมวยตอนเปรียบมวยจะขึ้นชกกันเขาก็จะชูกำปั้นให้คนดูวัดด้วยสายตาว่าของใครใหญ่กว่าของใคร แต่ตอนชกจริงของใครหนักกว่า ชกแม่นกว่าก็คงจะได้รู้กันทีหลังบนเวที

รถถังของทั้งสองฝ่ายเป็นของเล่นที่อเมริกามอบให้ทั้งนั้น รถล้อยางเป็นของตำรวจที่สามารถเคลือนตัวว่องไวในเมือง ถ้ามาให้ปราบจราจลก็วิเศษ รถกองร้อยนี้จอดอยู่ในวังปารุสก์ไม่ไกลจากบ้านผมตอนเด็กๆ เวลานั่งรถผ่านไปประตูด้านถนนที่คั่นกับสวนอัมพร ผมจะต้องกวาดสายตาอันอยากรู้อยากเห็นเข้าไปมองพวกมันที่จอดขนานกันเป็นแถวในโรงเก็บ ปฏิวัติคราวนั้น ผมได้ชมใกล้ชิดเพราะเขาเอามาจอดไว้ข้างสะพานวิศสุกรรมนฤมาณ ที่เชื่อมถนนประชาธิปไตยสองฝั่งคลองคลองผดุงกรุงเกษม เดินจากบ้านอึดใจเดียวก็ถึง ตำรวจรถถังจะแต่งเครื่องแบบสีกรมท่าสวมหมวกเบเรท์สีเลือดหมู ผมชื่นชอบตัวละครที่ชื่อสารวัตรแผน ในหนังสือการ์ตูนเรื่องหนูเล็กลุงโกร่งที่เอาแซมเปิลมาให้ดูข้างล่าง แต่ที่ออกเป็นชุดยาว ผู้ร้ายชื่อนายพลเสฉวนมีแผนยึดครองประเทศไทย ต้องสู้กับสารวัตรแผนหลายตอนกินเงินค่าขนมของผมไปจมบ้อง ตอนจบสารวัตรแผนเอารถถังนี้แหละไปปราบอยู่หมัด ผมไปเดินรอบๆเบียดกับเด็กๆแถวบ้าน เห็นเขาปีนเหล็กกระไดโหนตัวเข้าไปดูห้องคนขับผ่านช่องหน้าต่างเล็กๆก็เอาอย่างเขามั่ง เห็นข้างในเป็นห้องสีฟ้าๆยังไม่ทันซึ้ง เสียงจ่าที่หันมาเห็นเข้าตวาดผมลั่น ตกใจแทบจะตกลงมา เท้าถึงพื้นได้ก็หมดบ่จอยแล้ว กลับบ้านดีกว่า

ส่วนรถถังของทหารเป็นตีนตะขาบ ทำให้เคลื่อนตัวสะดวกในพื้นที่ที่ไม่มีถนน ถ้ามาวิ่งในเมืองก็ได้แต่ไม่คล่องเท่าล้อยาง ดังนั้น ถึงปืนจะใหญ่กว่ายิงไกลกว่า แต่ถ้าเข้าระยะแม่นยำด้วยกันทั้งคู่ ใครยิงเร็วกว่าก็ชนะ ดังนั้นหากซัดกันในเมืองก็ไม่แน่ เรียกว่าใครดีใครอยู่

ตอนเด็กๆ ผมปรารถนาจะได้ดูรถถังอย่างใกล้ชิดสักครั้ง เขามาจอดให้ดูในวันเด็กก็ไม่มีสิทธิ์จะไปเบียดแย่งกันดูกับเขา จนใกล้จะแก่แล้ว เพื่อนผมที่ฉีกแนวไปเป็นทหารได้เป็นถึงผบ.กรมทหารม้ายานม้ายานเกราะที่สระบุรี เจอกันงานเลี้ยงผมคุยกับเขาว่าเคยอยากดูรถถังมาก เขาบอกว่า…(ที่มีความหมายสุภาพว่าท่าน)ไปหา…(ที่มีความหมายสุภาพว่าข้าพเจ้า)เมื่อไร จะพาไปขับ จะลองยิงปืนใหญ่ด้วยก็ได้ แต่อนิจจังสังขาร ตอนนั้นผมก็อายุเกินที่จะอยากรู้อยากเห็นเรื่องอย่างนี้เสียแล้ว

อาวุธของตำรวจที่เท่ๆอีกก็มีตำรวจม้า ดังในรูปที่ผ่านมาบอกว่าเป็นทหารม้านั่นแหละครับ เอาเข้าจริงๆตำรวจม้าสู้กับปืนกลของทหารเป็นเละแน่นอน เอาไว้ลุยม็อบก็ยังไม่แน่เลยที่จะปราบได้ ถ้าคนบนหลังม้าไม่เอาดาบไล่ฟันคนแบบไม่ยั้งแบบที่เขาเคยทำกันในประเทศอื่น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 10, 13:59
วันที่15 กันยายน  บรรดาแกนนำไฮปาร์คก็ปลุกระดมมวลชนตั้งแต่บ่ายต้นๆ สมัยโน้นไม่มีใครจัดตั้งม็อบเอามากินอยู่หลับนอนกันหน้าเวทีได้นะครับ พอดึกก็แยกย้ายกันกลับ เช้าไปทำงาน บ่ายคล้อยหน่อยจึงจะโดดร่มมาร่วมชุมนุมได้อีก แต่วันนั้นพอหลังอาหารกลางวันก็มีม็อบมาเป็นหมื่น สาระในการอภิปรายก็เรื่องเดิมๆ เรื่องจริงก็พูดแฉไปหมดแล้ว ถ้าพูดซ้ำพูดซากเกรงคนดูจะเบื่อก็แต่งเรื่องโกหกมาพูดบ้าง แล้วเรื่องโกหกบางเรื่องก็เนียนเสียจนคนแต่งเองยังเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงก็มี พอเครื่องร้อนถึงขนาด มนุษย์ไมโครโฟนคนหนึ่งก็เสนอให้ประชาชนไปช่วยกันจับเผ่ามาแขวนคอที่ต้นมะขามข้างเวทีไฮปาร์ค คนก็ฮือๆเห็นด้วยๆ

ครั้นตกค่ำอารมณ์ของม็อบกล่ำได้ที่แล้ว แกนนำก็ชวนกันออกเดินไปบ้านจอมพลสฤษดิ์ที่สี่เสา ก็หลังเดียวกับบ้านสี่เสาสมัยนี้แหละครับ เขาใช้เป็นบ้านประจำตำแหน่งผบ.ทบ. แม้ตอนนั้นม็อบจะเดินไปด่าเจ้าของบ้านเหมือนกัน แต่ทว่าคนละมู๊ด คือจะไปด่าจอมพลสฤษดิ์ว่าทำอะไรยึกๆยักๆ ไม่ดำเนินการกับเผ่าให้เด็ดขาดเสียที แต่ไปถึงจอมพลสฤษดิ์ไม่อยู่ แกนนำเลยนำขบวนต่อไปทำเนียบเพื่อขับไล่จอมพลป. เมื่อไปถึงก็ปักหลักด่าๆๆๆๆ แล้วพังประตูเข้าไปในทำเนียบ แกนนำก็ขึ้นไปบนหลังคาป้อมยาม ตะโกนเรียกร้องให้จอมพลสฤษดิ์ใช้กำลังปลดจอมพลป. แล้วจับจอมอัศวินเผ่ามาแขวนคอตามความต้องการของประชาชน(ที่ก่อม็อบ)

ขณะนั้นมีเสียงตะโกนบอกต่อๆกันว่าจอมพลสฤษดิ์กลับมาที่บ้านสี่เสาแล้ว ทำเนียบรัฐบาลก็เลยรอดจากเหยียบย่ำให้บรรลัยไปกว่านั้น ขบวนก็ฮือไปหาจอมพลสฤษดิ์ พอปักหลักเสร็จ แกนนำก็ขึ้นไปด่าๆๆๆๆๆจอมพลป.ให้จอมพลสฤษดิ์ฟังอยู่หน้าบ้าน ขณะนี้ข้อเรียกร้องเหลืออย่างเดียว คือให้จอมพลป.ลาออกจากนายกรัฐมนตรี
ขณะนั้นก็เป็นเวลากว่าสี่ทุ่มแล้ว ทหารจัดไมโครโฟนเสร็จ จอมพลสฤษดิ์ก็ปรากฏตัวท่านกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับ จะด้อยกว่าพวกเอเอฟหน่อยเดียวตรงที่ไม่มีเสียงจิ๊กกี๋กรี๊ดถล่มแก้วหู

“ข้าพเจ้าได้รับทราบข้อเสนอของพี่น้องประชาชนทั้งหลายแล้ว…ห้าว ๆ ๆ ๆ  ..ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า จะเสียสละทุกอย่างเพื่อประชาชน และได้กระทำอยู่แล้วตลอดมา ขอให้พวกท่านปฏิบัติตามความประสงค์ของพวกท่านต่อไปก็แล้วกัน ส่วนข้าพเจ้ากับคณะก็ขอปฏิบัติตามทางของมติมหาชน”

ผมเปรียบเทียบข้อความสำคัญที่โค้ดมานี้กับหนังสือหลายเล่ม เห็นถูกต้องตรงกันไม่ผิดเพี้ยน คำว่า “พวกท่าน”ในประโยคดังกล่าว จอมพลสฤษดิ์มิได้หมายถึงม็อบ แต่หมายถึงพวกจอมพลป.และเผ่านั่นเอง

ถ้าวิเคราะห์ด้วยใจเป็นกลางสักหน่อย ท่านจะเห็นว่าการที่สฤษดิ์กระทำการปฏิวัติโค่นล้มจอมพลป. มันเป็นไปตามเหตุตามควรของมันเองในเรื่องข้อขัดแย้งที่ลุกลามจากการขัดผลประโยชน์ ใช้เวลายาวนานที่จะพัฒนามาเป็นการขัดใจถึงขนาดอยู่ร่วมรัฐนาวาด้วยกันไม่ได้  ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างมีอาวุธ เหมือนคาวบอยที่คาดปืนเดินจ้องหน้าเข้าหากัน ยังไงๆก็ต้องเข้าระยะพอจะยิงกันได้แน่นอน และใครชักปืนไวกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ เหตุผลอื่นๆ ถ้าจะมีก็เป็นสาระรอง ไม่มีน้ำหนักเท่าปัญหาความขัดแย้งที่สะสมมานับสิบปีของ2บุคคล ซึ่งบุคคลที่3สร้างขึ้นตามกลยุทธแบ่งแยกและปกครอง ซึ่งในที่สุดก็ต้องเลือกอยู่ดีว่าจะเอาข้างไหนไว้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 10, 14:03
วันที่16 กันยายน มีคำสั่งด่วนของนายกรัฐมนตรีให้จอมพลสฤษดิ์ และผู้นำเหล่าทัพเข้าประชุมที่ทำเนียบ ซึ่งคราวนี้ทหารระดับขุนศึกยกไปกันเพียบพร้อมหน่วยคุ้มกันเป็นกองทัพ หากเผ่าจะเอาอัศวินมาล้อมจับคงได้ยิงกันเป็นจุล จอมพลป. แต่งเครื่องแบบเต็มยศมา บอกว่าเตรียมตัวจะเข้าเฝ้า โดยจะชวนจอมพลสฤษดิ์ไปด้วย เมื่อทราบผลการประชุมแล้ว ไม่นานนักจอมพลป.ซึ่งดูหน้าแก่ลงไปอีกห้าปีก็นั่งรถออกไปคนเดียวโดยบอกนักข่าวสั้นๆว่าจะไปเฝ้าในหลวง

จอมพลสฤษดิ์และขุนทหารทยอยออกมาบ้าง บอกกับฝูงนักข่าวที่รอคอยข่าวอย่างหิวโหยเหมือนฝูงปลาหน้าวัดรออาหารที่คนใจบุญโยนไปให้
“เราเสนอให้รัฐบาลลาออกตามมติมหาชน ท่านกลับบอกว่าจะปรับปรุงคณะรัฐมนตรี หรือไม่ก็จะยอมลาออกแต่ให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วชวนผมไปเข้าเฝ้าในหลวงด้วยกัน ผมไม่ไป มันไม่ใช่เงื่อนไขของเรา”

นักข่าวสายวังรอจนจอมพลป.หน้าบอกบุญไม่รับออกมา นักข่าวถามว่า ท่านนายกเข้าเฝ้าเรื่องอะไร จอมพลป.บอกว่าไม่มีอะไร นักข่าวถามว่าในหลวงรับสั่งว่าอะไร จอมพลป.ก็บอกว่าไม่มีอะไร ถึงจังหวะนี้ท่านก็เคลื่อนตัวหลุดจากนักข่าวมาได้

อันธรรมเนียมในวังนั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีจะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลถวายรายงาน หรือขอพระราชทานคำปรึกษาในข้อราชการใดก็ตาม ผู้อื่นจะอยู่ในห้องในระยะหูได้ยินมิได้ทั้งสิ้น และถือเป็นยิ่งกว่าจรรยาบรรณที่นายกรัฐมนตรีจะไม่นำใจความที่รับสั่งไปเปิดเผยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม  นายอานันท์ ปัญญารชุนอดีตนายกรัฐมนตรีเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ ท่านไปหาอ่านกันเองนอกห้องนะครับ ดังนั้น ใครที่เขียนบรรยายขณะเข้าเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์ภายใต้เครื่องหมายคำพูดตรงนี้ ผมก็อ่านประดับความรู้ไว้เหมือนกัน และเลือกที่จะไม่เชื่อ ไม่อยากพูดถึงด้วย คืนนั้นจอมพลสฤษดิ์ก็ได้เข้าเฝ้าเหมือนกัน นายบุญชนะ อัตถากร รัฐมนตรีคู่บารมีในสมัยสฤษดิ์ได้บันทึกไว้ว่าก่อนทำการปฏิวัติ ท่านเล่าว่าท่านได้ไปขอเข้าเฝ้าเพื่อกราบบังคมทูลเหมือนกัน แล้วก็เท่านั้น ไม่มีคำบอกเล่าใดๆอีก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 10, 14:08
หลังจากการเข้าเฝ้าแล้ว ในบ่ายวันนั้น จอมพลป.เรียกประชุมแกนนำฝ่ายรัฐบาลด่วนที่ๆทำการพรรคเสรีมนังคสิลา การประชุมถูกปกปิดเป็นความลับให้นักข่าวรู้ และไม่ให้ใครออกมานอกห้องประชุมได้ มีแต่เติมเข้าไป เช่นพวกอัศวินที่ทยอยมาร่วมประชุม แม้ประชุมเสร็จแล้วก็ยังไม่ให้ไปไหน สั่งอาหารมื้อเย็นเข้าไปเลี้ยงดูกันถึงในห้องนั้น แม้จะระมัดระวังอย่างยิ่งยวดอย่างไร เรื่องที่ประชุมกำหนดแผนกันก็ออกมาเข้าหูสายลับทั้งของทหารและC.I.A.ไม่ทราบว่าใช้บริการเจมส์ บอนด์คนเดียวกันหรือเปล่า แต่กรองแล้ว จอมพลสฤษดิ์ก็ได้รับรายงานด่วนว่า ตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของเผ่าจะดำเนินการจับกุมตัวท่านในเวลา03.00น.ของคืนวันนี้ หลังจากนั้นก็จะกระจายกำลังกันออกจับนายทหารการเมืองอีกทั้ง58นายที่เหลือด้วย ในข้อหากบฏ

จอมพลสฤษดิ์เพิ่งจะตัดสินใจตอนนั้นให้ตามโหรใหญ่แห่งยุคที่มีฉายาว่าบิดาของโหรการเมือง มาตรวจดูดวงเมืองและดวงชะตาของตนและฝ่ายตรงข้าม คำทำนายของโหรสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในรายงานลับที่ท่านยังอุบไว้มิได้บอกใคร โดยโหรทำนายว่า ถึงภาคบังคับแล้วที่ท่านจะรุ่งโรจน์ทางการเมือง แต่จำเป็นต้องจับอาวุธ โดยมีฤกษ์ดีที่สุดเพียงเวลาเที่ยงคืนของคืนนี้ หากพ้นไปแล้ว โอกาสจะหมดไป และจะถูกทำลายโดยฝ่ายตรงข้าม

ดังนั้น หลังจากรีบเข้าเฝ้าในหลวง กลับมาถึง ทหารทุกเหล่าซึ่งเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว ก็ได้รับคำสั่งจากจอมพลสฤษดิ์ให้เคลื่อนกำลังพร้อมกันในเวลา24.00น.ตรง
พล.ท.ประภาส ผบ.กองพลที่1 ก็นำรถถัง พร้อมทหารราบอาวุธครบมือระดับทำสงคราม เข้ายึดสถานที่สำคัญตามตำราพิไชยสงครามฉบับปฏิวัติไว้ได้หมด เช่นสถานีวิทยุกระจายเสียง โทรศัพท์ไฟฟ้าประปา สถานที่ราชการที่เกี่ยวกับความมั่นคง และจุดสำคัญตามเสันทางคมนาคมทุกจุด  โรงเรียนของผมมีทหารนับร้อยมาอาศัยใต้ถุนหอประชุมอยู่ คงเพราะใกล้เขตพระราชฐานที่ประทับ มีอะไรเกิดขึ้นข้ามถนนไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว ผมเอนจอยกับการได้ดูบาซูก้า ปืนกลหนัก ปืนกลเบา ทหารในเครื่องแบบสนามห้อยลูกระเบิดมือ นั่งๆนอนๆกันระเกะระกะ  โอ้โหย จะตายซะให้ได้ เท่โครตๆ
 
แต่ครั้งนั้นก็เป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ผมเคยเห็นทหารยกกองทัพออกมาทำการปฏิวัติแบบทรงเครื่องใหญ่ขนาดหนัก การปฏิวัติหรือการปฏิบัติการของทหารหลังจากนั้นมา ไม่ว่า14ตุลาหรือ6ตุลา หรือในทศวรรตนี้ก็ตาม ผมไม่เคยเห็นทหารขนอาวุธหนักออกมามากมายเต็มบ้านเต็มเมืองราวกับเกิดศึกสงคราม ตอนนั้นขนาดรถป.ต.อ4กระบอกแฝด ยังเอาออกมาจอดข้างถนนสำคัญๆหลายสาย ไม่รู้จะเอาไว้รอสอยตำรวจพลร่มของเผ่าหรือเปล่า

กองบัญชาการของพ.ต.อ.พันศักดิ์ วิเศษภักดีที่กองปราบสามยอด ถูกทหารเข้าไปล้อมไว้ถึง2ชั่วโมง จนตำรวจที่นั่นเห็นอาวุธหนักที่ทะยอยกันเอาไปขู่แล้ว ยอมขอตาเบ๊ะลาไปตากแดดจับสามล้อดีกว่า เข้าท่ากว่ากันแยะเลย ทหารบุกเข้าไปยึดกองปราบได้โดยละม่อมและขนอาวุธปืนชนิดที่ใช้ในการสงครามไปเก็บไว้ถึง2คันรถบรรทุก

พล.จ.(อ่านว่าพลจัตวา)กฤษณ์ สีวะรา รองผู้บัญชาการพล.1 นำทหารม้ายานเกราะพร้อมรถถังตีนตะขาบ บุกเข้าล้อมวังปารุสกวัน และเจรจาทำสงครามจิตวิทยากับตำรวจถ่วงเวลาตรึงรถถังของตำรวจทั้ง48คันไว้ โดยไม่ให้กระสุนลั่น พอรุ่งเช้า ผู้บังคับบัญชาตำรวจรถถังเห็นว่าใครเป็นหมู่ใครเป็นจ่าแล้ว ก็ยอมยกธงขาว อีกสี่ห้าวันต่อมา จึงใช้รถถังตำรวจเหล่านี้ออกไปตรึงกำลังบนถนนร่วมกับฝ่ายทหารซะเลยตามที่ผมเล่าไปเมื่อกี้นี้ รถถังบนถนนอยู่กันร่วมเดือนมั้ง กว่าจะทยอยกันวิ่งกลับเข้ากรม

อีกจุดหนึ่ง แม้จะเป็นจุดเล็กๆ ทหารก็ให้ความสำคัญเข้าไปบุกยึด เป็นบริษัทเอกชนชื่อซีซัพพลาย ซึ่งคนของซีไอเอตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือเผ่า ในด้านส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และเป็นที่ปรึกษา นอกจากอิมพอร์ตเอาของที่ว่าเข้าประเทศแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเอกซพอร์ตสินค้าของเผ่าออกไปด้วย แต่อย่างที่ผมบอก อะไรๆที่ว่าลับสุดยอด ซีไอเอรู้หมด กว่าทหารจะไปถึงคนของซีซัพพลายก็หายไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่เถ้าถ่านของเอกสารกองใหญ่บนดาษฟ้าตึก

ทหารกระจายหน่วยเคลื่อนที่เร็วหาเผ่าควั่กไปหมด แต่ล้มเหลว มารู้ที่หลังว่าเผ่านั่งเสพย์สุราฮะกึ้นรอเวลาอยู่ในร้านเหล้าแถวซอยสารสิน ใกล้ๆกับบ้านจอมพลป. สุดการคาดคะเนของแมวมองทุกคน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 10, 14:26
จอมพลป.เองท่านก็ไม่อยู่บ้านซอยชิดลม หลังจากออกจากห้องประชุมพรรค ท่านก็ไปที่ทำเนียบ ที่ทำงานของท่านมีห้องนอนส่วนตัวที่ท่านสามารถใช้หลบพักผ่อน หรือหาความสุขเล็กๆน้อยๆของท่านเวลาเครียดๆบนที่นอนที่ประพรมน้ำหอมฝรั่งเศสชื่อ “เจอเรอเวียงส์”ตั่งแต่หมอนจนสุดปลายเตียง ข้อมูลเรื่องน้ำหอมนี่มาจากหนังสือปกเขียวที่บุตรชายคนโตท่านเขียนนะครับ ไม่ได้ปั้นเรื่องขึ้นมาใส่ไข่ให้ท่าน แต่คืนนั้นท่านเครียดเกินกว่าที่จะทำกิจกรรมคลายเครียดตามถนัด จึงนอนรอเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นโดยมีนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กับพ.ต.อ.ชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจติดตามอยู่ในห้องด้วยเป็นเพื่อน

พอเลยเที่ยงคืนได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เผ่านั่นเองที่สายตรงถึงท่าน
“ท่านครับ ไอ้หริดปฏิวัติ ส่งทหารยึดที่สำคัญหมดแล้ว”

ก็มิใช่เหนือความคาดหมายไปเสียเลย คนอย่างท่านคงเตรียมใจอยู่แล้ว เมื่อเสี่ยงโยนเหรียญขึ้นไปบนอากาศแล้ว ถ้ามันตกลงมาไม่ออกหัว ก็ต้องออกก้อย ท่านถามไปสองสามคำแล้วก็วางหู หันมาบอกเพื่อนร่วมลุ้นว่า สฤษดิ์ปฏิวัติสำเร็จแล้วผมจะต้องไปก่อน แล้วท่านก็รีบเก็บของที่เตรียมๆไว้บ้างแล้ว มองลูกน้องที่บัดนี้กลายเป็นเพื่อนตายของท่าน เพราะทั้งคู่ยืนยันจะไม่ยอมทิ้งให้ท่านโลดแล่นไปเผชิญโชคชะตาแต่ลำพังเป็นอันชาด ท่านไปไหนก็จะขอไปด้วย ท่านพยักหน้าอย่างตัดใจแล้วทั้งหมดก็รีบไปลงไปขึ้นรถ……


อ้าว! ท่านผู้อ่านขอรับ!! ท่านไม่ยอมขึ้นเจ้าธันเดอร์เบริด์ตัวโปรด เดี๋ยวๆๆครับผมขอสอดหูเข้าไปฟังให้ถนัดหน่อย อ้อ..ครับๆๆๆ ท่านผู้อ่านครับ ท่านบอกว่ารถคันนี้ใครๆก็จำได้ ท่านชี้ให้คุณชุมพลไปขับรถซีตรองครับ คันนี้คันใหม่เอี่ยมคนยังไม่รู้กันครับ รุ่นท๊อปID19 SAEเชียวนะครับท่านผู้อ่าน โหย..น้ำลายหยด ผมขอเช็ดปากสักกระเดี๋ยว ฮะแอ้ม..ฮะแอ้ม แค็กๆ ..ท่านที่รอจะชมความงามที่รวดเร็วปานสายฟ้าของนกสี่ล้อ เสียใจด้วยนะครับที่ผิดหวัง ..ไหนครับ..ปล่าวออกข่าวหลอกครับ ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ทราบจริงๆ โดนเขาหลอกว่าวิหกสายฟ้าจะเป็นตัวที่เข้าวินเหมือนกันครับ คนปล่อยข่าวออกมาคนแรกไม่ใช่ผมครับ แต่ท่านอย่าไปโทษใครเลย ท่านนายกท่านเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายของท่านเองครับ ขออภัยท่านผู้อ่านที่ผิดหวังด้วยครับ อ้า…รถของท่านควบตะบึงออกจากทำเนียบไปแล้วคร้าบบบบ


บัดนั้น เชิด


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 14:35
ประกาศ ประกาศ

ต่อไปนี้ขอเชิญรับฟังประกาศจากทางราชการ

(http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9501503/K9501503-2.jpg)

ต่อไปเป็นประกาศของผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร

(http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K9501503/K9501503-3.jpg)

 :o :o :o


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 20 ส.ค. 10, 14:59
สนุกเข้มข้น จนอ่านอย่างเงียบๆ นิ่งๆ ไม่ได้

ต้องแสดงตัวว่ากำลังติดตามอยู่ ครับ 

อ้างถึง
อาวุธของตำรวจที่เท่ๆอีกก็มีตำรวจม้า ดังในรูปที่ผ่านมาบอกว่าเป็นทหารม้านั่นแหละครับ

อาจารย์ คงไม่ปรับตกวิชานี้นะครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 15:19
ขออนุญาตคุณนวรัตนต่อตรงนี้

รถซีตรองห้อตะบึงไปทางถนนสุขุมวิท ผ่านสัตหีบบ่ายหน้าไปทางจังหวัดตราด จุดหมายปลายทางอยู่ที่ชายแดนเขมร  พล.ต.ท. ชุมพล โลหะชาละเช่าเรือหาปลาขนาดกลางในอัตรา ๒,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นพาหนะข้ามไปยังเกาะกง เรือออกจากท่าประมาณบ่าย ๒ โมงเย็น ผู้โดยสารเรือมีด้วยกัน ๓ คนคือ จอมพล ป., นายฉาย วิโรจน์ศิริ และพล.ต.ท. ชุมพล โลหะชาละ ระหว่างทางมีทั้งคลื่นทั้งลม ฝนตกกระหน่ำอย่างหนัก ต้องช่วยกันวิดน้ำฝนออกเพื่อมิให้เรือรับน้ำหนักมาก ซึ่งอาจจมลงได้ เหตุุการคับขันขึ้นเรื่อย ๆ เครื่องยนต์เรือยังมาดับเสียอีก การหาทิศของชาวเรือโดยวิธีอาศัยดาวใช้การไม่ได้ เพราะท้องฟ้ามีเมฆหนาและฝนตกหนัก มองหาดาวไม่เจอ เรือลอยสเปะสปะไปตามยถากรรมเหมือนกาบมะพร้าวลอยอยู่กลางทะเล พล.ต.ท. ชุมพล นั่งมองจอมพล ป. อย่างสงสารและเห็นใจ แต่ท่านจอมพลกลับนื่งสงบไม่มีทีท่าร้อนรนหรือกระวนกระวายใจแม้แต่น้อย

เดชะบุญที่หลังจากนั้นไม่นาน ลมสงบ ฝนหยุดตก ดาวเกลื่อนท้องฟ้า คนเรือเริ่มเห็นทิศทาง ทั้งสามช่วยกันวิดน้ำออกจากเรือจนหมด เช็ดเครื่องจนแห้งและเริ่มติดเครื่องได้ประมาณเจ็ดโมงเช้า เรือก็แล่นเข้าสู่เขตเกาะกง

พล.ต.ท. ชุมพล เข้าไปแจ้งกับนายทหารที่ค่ายทหารเขมรว่า ขอลี้ภัยการเมือง และขอให้แจ้งต่อผู้บังคับบัญชาของเขาด้วย นายทหารเขมรคนหนึ่งเข้ามาดูหน้าท่านจอมพลในเรือ เมื่อแน่ใจแล้วจึงไปแจ้งที่กองบัญชาการ  ผู้ลี้ภัยทั้งสามค้างอยู่ที่ค่ายทหารเขมรเป็นเวลา ๒ คืน จากนั้นจึงมีเรือรบมารับตัวไปยังเมืองชายทะเลใกล้กรุงพนมเปญ ขณะนั้นกษัตริย์สีหนุไม่อยู่ ไปรักษาพระองค์อยู่ที่ฝรั่งเศส นายทหารนำทั้งสามไปพักที่พระตำหนักกษัตริย์สีหนุและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มีนายตำรวจสันติบาลเขมรมาคอยอารักขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

ข้อมูลจากหนังสืออนุสรณ์ในงานเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ป.จ., ม.ว.ม., ป.ช. ณ เมรุวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร วันอังคารที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๗

 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 15:24
แล้ววิหคสายฟ้าของท่าน...หายไปไหน  :-\


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 15:45
คุณอำพล  โหตระกิตย์แห่งชมรมซีตรองแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลว่า

จอมพล ป. มื Ford Thunderbird และ Citroen DS 19 ปี ๑๙๕๖ แต่เลือกใช้  DS 19 หนืรัฐประหารเพราะสมัยนั้นถนนสุขุมวิทยังขรุขระมืหลุมช้างเหยืยบตลอดทางจากเมืองชลไม่ใช่ทาง divided highway อย่างปัจจุบีน ถ้าเป็น Ford Thunderbird ถีงจะวิ่งเร็วแต่คงไปไม่ถีง  และ DS 19 ชนะ Montrcarlo Rally ปื ๑๙๕๕ เป็นเครึ่องรับประกันอยู่แล้ว

ท่านจอมพล ป.ใช้ซีตรองรุ่นไหนหนีเมื่อ ปี 2500
http://www.citroenthai.org/forum/lofiversion/index.php/t3087.html

 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 20 ส.ค. 10, 15:52
แปลกใจ  เคยได้ยินมาว่าท่านขับวิหคสายฟ้า    ไม่เคยได้ยินว่าซีตรอง
ถ้าอย่างนั้น วิหคสายฟ้ารุ่น 1960 ที่ทางครอบครัวท่านมอบให้พิพิธภัณฑ์ของกรมทหารปืนใหญ่  ก็คือคันที่ท่านทิ้งไว้ในบ้านกรุงเทพ

ขอแยกซอยไปหาคำบอกเล่าของคุณจีรวัสส์ ปัณยารชุน

      "เขาปฏิวัติคุณพ่อปี 2500 คุณพ่ออายุ 60 พอดี เราก็ทำบุญวันเกิดที่บ้านชิดลม 14 ก.ค. วันนั้นพวกนายทหารเต็มมาที่บ้าน จอมพลสฤษดิ์ ใครต่อใครมาอวยพร พอ 16 ก.ย.ปฏิวัติ"

     "ตอนนั้นพี่อยู่สวิตเซอร์แลนด์ อยู่กับคุณแม่ ประชุมสมาคมสหประชาชาติ คุณแม่เป็นประธาน อยู่ที่สวิสกับหลวงวิจิตรฯ นี่แหละ ก็รู้ว่าจะมีปฏิวัตินะ เพราะพี่อนันต์รายงานตลอดเวลาว่านายทหารมา demand คุณพ่ออย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพูดถึงอันตรายพี่ว่าคุณพ่อไม่รู้หรอก แต่รู้ว่าจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติ ปฏิวัติตอนนั้นคงจะเกลียดคุณเผ่ามากกว่า คือคุณเผ่ากับจอมพลสฤษดิ์ต้องถือว่าเป็นลูกคุณพ่อทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นมือซ้าย คนหนึ่งข้างขวา แล้วคุณหญิงวิจิตราเรียนชั้นเดียวกับพี่นะ ที่สตรีวิทย์ สมัยนั้นเรารักกัน สมัยนั้นทหารสามัคคีกันจะตาย คุณพ่อออกไปเท่าที่ท่านเล่าให้ฟังเพราะไม่ต้องการให้รบกัน ตำรวจเขาก็มีอาวุธ จนกลายเป็นกองทัพตำรวจ ก็ C SUPPLY ของพวกอเมริกันที่เขาสนับสนุนตำรวจ ถ้าต่อสู้กันก็ยุ่งแน่"

     "พี่เพิ่งเขียนหนังสืองานศพคุณเฉลิมชัย (พล.อ.เฉลิมชัย จารุวัสตร์) เล่าเรื่องคืนวันที่ 16 ก.ย. พี่อนันต์เป็นเพื่อนรักกับคุณเฉลิมชัย ซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทจอมพลสฤษดิ์ คืนวันที่ 16 ก.ย. พี่อนันต์ไปที่กองทัพ ที่เขากำลังวางกองกำลังจะปฏิวัติ ไปบอกเขาว่าให้กลับไปเสียเพราะการปฏิวัติผิดกฎหมาย ตอนนั้นเป็น พ.อ. เกือบ 2 ยามแล้วนะ คุณเฉลิมชัยเขารายงานขึ้นไปถึงจอมพลสฤษดิ์ จอมพลสฤษดิ์ก็ให้คุณเฉลิมชัยออกมาบอกว่าให้พี่อนันต์ให้กลับไปเสีย ไม่งั้นก็ให้จับตัวไปกักไว้ เพราะเวลานั้นเขาเตรียมพร้อมแล้ว ทหารอยู่เต็มที่แล้ว ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว พี่อนันต์ก็เลยกลับ"

     พล.อ.เฉลิมชัยก็เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม "ลูกสาวเขาก็คุณชฎาทิพย์ จูตระกูล ที่ทำสยามพารากอนไง"

     อย่างนี้แปลว่าจอมพล ป.ก็รู้อยู่แล้วว่าจอมพลสฤษดิ์จะปฏิวัติ

     "ในที่สุดก็รู้ว่าเขาจะปฏิวัติ แต่ทำอย่างไรได้ จอมพลฟื้น (ฤทธาคณี) ซึ่งเป็น ผบ.ทหารอากาศ ก็ถูกจับไป 3 วัน ท่านชอบเล่นบิลเลียด เขาก็เอาตัวไปเล่นบิลเลียด 3 วันไม่ให้กลับบ้าน คุณพ่อให้โทร.ไปถามหาจอมพลฟื้นก็ไม่เจอ คุณหลวงยุทธศาสตร์ ผบ.ทร.ก็ติดต่อไม่ได้ ใครๆ ก็ไม่ได้ คุณเผ่าก็ตามตัวไม่ได้"

     จริงไหมที่มีคนสันนิษฐานว่ามาจากนโยบายด้านต่างประเทศ อเมริกาอยากเปลี่ยนผู้นำ

     "อันนี้ไม่จริงเลย เพราะขณะปฏิวัติทูตชื่อ บิชอฟ กับเรานี่ดีมากเลย ตอนนั้นสามีพี่เป็นรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเราติดต่อกันดีมาก บิชอฟมาเป็นทูตหลังจากพิวริฟอยด์ พิวริฟอยด์เป็นทูตที่แข็งมาก เขาพูดกับพี่เลย กินข้าวที่สถานทูตอเมริกา ดินเนอร์ เขาบอก tell your father that I'm against to make your father stay."

     มองกันว่าตอนท้ายจอมพล ป.เปิดความสัมพันธ์กับจีน อเมริกาเลยไม่ค่อยชอบ

     "แต่เวลานี้เราก็เปิดสัมพันธไมตรีกับจีน ถ้าเผื่อเป็นความจริง เราควรจะยกย่องจอมพล ป.ไหมว่า เป็นคนเปิดประตูเพื่อที่เจรจากับเมืองจีน แต่เราไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์นี่ เราไม่เป็นคอมมิวนิสต์แน่"

     "เรื่องสีแดงนี่มีเกร็ดนะ สามีพี่เอาโคคา-โคลาเข้ามาประเทศไทย ป้ายโคคา-โคลาสีแดงนะ สมัยนั้นเราเอาป้ายสีแดงโฆษณาผูกตามรถราง คุณพ่อบอกให้เปลี่ยนเป็นสีเขียว เราก็ต้องเปลี่ยน" ป้าจีเล่าพร้อมกับหัวเราะ ตรงนี้เป็นเกร็ดความรู้ว่าคุณรักษ์เป็นผู้นำโคคา-โคลาเข้ามา ต่อมาทำไม่ไหวจึงขายให้ตระกูลสารสิน

     "ต้องไปอ่านหนังสืองานศพที่คุณประดับ ภรรยาจอมพลฟื้นเขียน มีรายละเอียดเรื่องที่เขาไปบอมบ์เรือตอนกบฏแมนฮัตตัน จอมพลฟื้นเป็นคนไปบอมบ์ คุณพ่ออยู่ในเรือรบศรีอยุธยา จอมพลฟื้นบอกว่าขอให้ท่านเสียสละ ตอนนั้นคุณพ่อถูกจับไปใส่เรือรบศรีอยุธยา จอมพลฟื้นทิ้งระเบิด เคราะห์ดีระเบิดตกไปในปล่อง แต่เรือก็จม คุณพ่อต้องว่ายน้ำ ต้องเลือกว่าว่ายน้ำมากรุงเทพฯ ไม่ได้เพราะเขายิง ก็ว่ายไปทางฝั่งทหารเรือ ทหารเรือเขาเลยส่งตัวมา"

     กบฏแมนฮัตตันนองเลือดรุนแรง ป้าจีบอกว่าที่สวนลุมฯ ก็รบกัน

     "สวนลุมพินีเมื่อก่อนเป็นของกองวิทยุทหารเรือ พอหมดแมนฮัตตันในที่สุดก็ถูกยึดไป กบฏแมนฮัตตันคุณพ่อยังบอกนึกว่าจะตายเพราะถูกจับไป เลยบอกชาตินี้คงไม่ได้เจอลูกเจอเมียแล้ว เพราะฉะนั้นขอฝากลูกเมียไว้กับพระพุทธเจ้า ในหนังสือที่คุณประดับเขียนบอกว่า จอมพลฟื้นคงไม่ได้นึกว่าจะฆ่าจอมพล ป. จอมพลฟื้นบอกว่าเคยพูดกันไว้แล้วว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่เสียสละเพื่อชาติเราต้องทำ บอกว่าจอมพล ป. กับจอมพลฟื้นเคยพูดกัน แต่พี่ไม่เชื่อ เพราะจอมพลฟื้นนี่คล้ายๆ กับลูกศิษย์คุณพ่อ แต่ตอนหลังคุณหญิงสะอาดจิต ซึ่งเป็นภรรยาคนแรกของจอมพลฟื้นพูดกับพี่ว่า หลังจากนั้นหม่อมคึกฤทธิ์ไปหาจอมพลฟื้น ไปบอกว่าท่านเป็นฮีโร่ ผมเอารูปท่านมาตั้ง และผมดื่มเหล้ากับท่านทุกเย็น จะแปลว่าอะไร"

     หม่อมคึกฤทธิ์ชอบใจ

     "เบื้องหลังการเมืองมันลึกซึ้ง"

     หลังจากนั้นจอมพล ป. กับจอมพลฟื้นยังดีกันไหม

     "จอมพลฟื้นเหมือนกับเป็นลูกหลาน หลวงยุทธศาสตร์ จอมพลสฤษดิ์ คุณเผ่า พวกนี้เด็กๆ ทั้งนั้นแหละ อยู่ด้วยกันมาเป็นลูกหลาน"

     เชื่อกันว่าที่จอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติมีผู้อยู่เบื้องหลัง ป้าจีไม่ตอบตรงๆ บอกว่าเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปหาจอมพล ป. เล่ารายละเอียดหมด

     "พี่เขียนจดหมายฉบับนี้ไปให้คุณพ่อ เล่าให้ฟัง พี่ก็โง่เขียนซะละเอียดเลย และจำไม่ได้ว่าฝากใครไปให้คุณพ่อที่ญี่ปุ่น พี่ไปถามคุณพ่อท่านไม่ได้รับ และพี่ก็จำไม่ได้ว่าพี่ให้ใคร"

     เขียนว่าใครอยู่เบื้องหลังสฤษดิ์-อย่างนั้นหรือ

     "ไม่ใช่อยู่ข้างหลัง อยู่ด้วยกัน"


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 ส.ค. 10, 19:13
สวัสดีตอนค่ำครับ
เข้ามาแก้ตัวเรื่องรถซีตรองก่อน คือผมก็เข้าใจแต่แรกว่ารถที่จอมพลป.จะใช้หนีไปคือธันเดอร์เบิร์ดตัวดัง คิดว่าเคยอ่านเจออย่างนั้นเหมือนกัน แต่พอถึงตอนเขียนกระทู้ แบบอ่านไปเขียนไปทีละหน้า พอถึงตอนนี้ เอ้า หนังสือเล่มที่กำลังเอาข้อมูลมาใช้อยู่เขาว่าเป็นซีตรอง หยิบอีกเล่มนึงมาดู ก็เป็นซีตรองอีก แต่ไม่มีรายละเอียดสักเล่มเดียวว่าเป็นรุ่นอะไร พอดีผมเคยเป็นแฟนรถซีตรอง ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนท้าย เลยเข้าเวปซีตรองหาดูว่ารุ่นล่าสุดที่จอมพลป.จะใช้ในทริปสำคัญปี2500นั้นควรจะเป็นรุ่นไหน แล้วก็หยิบตัวท็อปมาลงไว้ ไม่นึกว่าจะเป็นรุ่นDS 19 เพราะเป็นแค่รถบ้านเท่านั้น แต่เมื่อมีหลักฐานของคุณอำพล  โหตระกิตย์แห่งชมรมซีตรองแห่งประเทศไทย ผมก็ขอสารภาพครับว่าเดาผิด

ซีตรองเป็นรถวิเศษอย่างที่คุณอำพลว่าไว้จริงๆ เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ผมไปซื้อรถมือสองของท่านเศรษฐีคนหนึ่งมาใช้เป็นรถประจำตัวของผม เป็นซีตรอง รุ่นเพรสตีจตัวท็อปที่เคยอิมพอร์ตเข้ามาในประเทศไทย ถามว่าทำไมเจ้าของเดิมจึงขาย เขาบอกว่าโรงรถที่บ้านเขาจอดรถได้แค่10คัน พอดีไปออกรถใหม่มาก็ต้องขายทิ้งเสียคันหนึ่ง ผมเห็นสภาพกับราคาแล้วไม่ต้องคิด ถ้าไปซื้อรถป้ายแดงจะได้แค่รถญี่ปุ่นตัวเล็กสุดเท่านั้น
 
เส้นทางที่วิ่งประจำคือกรุงเทพ-กระบี่ สมัยโน้นสภาพถนนทางใต้ก็เหมือนอย่างที่คุณอำพลว่า เป็นลูกรังก็มี แต่ถึงจะลาดยางแล้วก็ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ ซีตรองเป็นรถล้ำสมัยที่ระบบกันสะเทือนเป็นไฮโดรลิก ระบบการทรงตัวดีมาก เข้าโค้งไม่มีหวาดเสียว ล้อหายไปล้อหนึ่งเหลือ3ล้อก็ยังวิ่งได้ และไม่สะเทือนเหมือนแหนบหรือโชคอัพ แต่จะประคองตัวถังให้ลอยขึ้นๆลงๆเหมือนเรือมากกว่ารถ นั่งสบายมาก แต่ที่คนไม่นิยมเพราะระบบนี้มันเสียทีนึง เจ้าของแทบร้องไห้ และ“เขาว่า”เสียบ่อย ผมใช้สมบุกสมบันไม่จริงเรื่องเสียบ่อย แต่จริงเรื่องค่าซ่อมแพง อาศัยต้นทุนตัวรถถูก ก็ทนได้

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมคิดว่าผมตัดสินใจเลือกรถคู่กายถูก ครั้งนั้นเป็นขากลับจากกระบี่ในคืนหนึ่ง ปกติผมจะมีลูกน้องนั่งไปด้วย เขาเป็นสารพัดช่างไม่ใช่คนขับรถ ผมจึงจะขับเองนอกจากง่วงจัดขึ้นมา ก็สลับให้เขาขับ นอนสักชั่วโมงสองชั่วโมงหายง่วงแล้วผมก็ขอขับต่อ  มาตีสามกว่าๆใกล้ถึงเพชรบุรีแล้ว เขานอนหลับสนิท ผมก็ขับมาด้วยความเร็วประมาน100-110 รู้สึกมีเสียงดังปุแล้วพวกมาลัยกระดิกนิดนึง ผมนึกว่ารถทับพวกกระป๋องนมหรืออะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้เสียความเร็วอะไร วิ่งมาอีกสักพักใหญ่ๆก็เห็นด่านตำรวจที่ผมต้องชะลอรถผ่านด่าน ตำรวจให้สัญญาณผมลดกระจกลงแล้วเดินเข้ามา ผมก็ถามออกไปก่อนว่าผมทำอะไรผิดหรือครับ ตำรวจยิ้มๆบอกว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่จอดรถแอบก่อนแล้วเชิญลงมาดูรถพี่สักหน่อย ผมรีบทำตามตำรวจสั่ง มองไปทางที่เขาชี้ โอ้ย-โหย่ย-โย้ ล้อหน้าขวาของผมมีแต่กระทะล้อกับเศษยางนอกรุ่งริ่งติดขอบอยู่นิดเดียว นี่ผมวิ่งซีตรอง3ล้อด้วยความเร็วร้อยกว่ามาอย่างน้อย15นาที ผ่านโค้งซ้ายขวาไม่ทราบกี่โค้งโดยไม่รู้ตัวเลย ตำรวจมามุงรถผมกันใหญ่บอกว่าเกิดมาไม่เคยเห็น ตอนนี้ลูกน้องผมตื่นแล้วและหายง่วงสนิท เขาเปลี่ยนยางอะไหล่แล้วก็เป็นคนขับต่อกลับบ้าน

ตอนนี้ซีตรองสีทองคันนี้ผมยังเก็บไว้ เพราะทำใจไม่ได้ที่จะขายทิ้ง เล่นตีราคาให้ผมถูกๆ เลยทำสีใหม่เบาะใหม่อย่างดี เอี่ยมอ่องเสร็จก็ไม่ได้วิ่ง จอดคลุมผ้าไว้เฉยๆ



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 21 ส.ค. 10, 00:25
โอ้โห

คุณอา Navarat.C ยังเก็บเจ้าซีตรองสีทองคันนี้ไว้อยู่หรือครับนี่

ผมขอยืนยัน นั่งยันครับว่า เจ้ารถสีทองคันนี้ นั่งแล้วนิ่มจริงๆ จะขึ้นรถที ต้องปรับตั้งน้ำหนักกันที
เมื่อปี 2536 ผมได้ลองนั่งมาแล้ว

ผ่านมา สิบกว่าปี ผมยังจำได้ถึงความนุ่มละมุน ของโช้คอัพรถซีตรองสีทองคันเก่งของท่านอยู่

แต่ต้องเรียนทุกท่านตามตรง ผมไม่คิดว่าท่านยังเก็บรถคันนี้ไว้ได้อยู่
นับว่า คุณอา ยังคงอนุรักษ์ของเก่าไว้ได้อย่างดี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 21 ส.ค. 10, 03:16
sawasdee ka  :)

wow...so nice car!!!...
sorry that cannot type in Thai naka..just wanna say hello to all.
still come to class oftenly, but cannot comment any :(


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 07:18
sawasdee krab khun PTBT และคุณDiwali

คุณDiwaliเป็นเพื่อนของลูกชาย ผมเคยเอาหนุ่มโขลงนี้นั่งรถไปกันหลายคน คนหนึ่งชื่อนายป่านป๊าน เป็นเด็กรื่นเริงมากคุยสนุก แต่อยู่ๆก็เงียบสนิท ผมมองกระจกหลังเห็นหายจ้อยไปแล้ว หันไปดูปรากฏว่าลงนอนอยู่กับพื้นรถสองคนเพราะนั่งบนเบาะไม่ได้ เกิดอาการเมาเรือ ไม่ทราบว่าคุณDiwaliอยู่ในทริปนั้นหรือเปล่า

ซีตรองเมื่อจอดอยู่ระบบไฮโดรลิกจะไม่ทำงาน ตัวถังจะอยู่ต่ำห่างพื้นถนนแค่ฝ่ามือเดียว พอติดเครื่องไฮโดรลิกจะค่อยๆยืดตัวยกรถขึ้นโดยอัตโนมัต ไม่ใช่จะออกรถทีก็ต้องปรับน้ำหนักกันทีดังที่คุณDiwaliเข้าใจ แต่มีปุ่มให้ปรับระดับได้อยู่เหมือนกัน หรือว่าผมลองโชว์ให้เด็กๆดูเลยติดตา แต่การยกตัวถังให้ขึ้นไปสูงมากๆ(เกือบฟุต)ก็จะกระด้างวิ่งไม่นิ่มนวลแล้ว เหมาะสำหรับเมื่อเจอถนนน้ำท่วมที่วิ่งเร็วไม่ได้

ซ๊ตรองเพรสตีจของผมเป็นรุ่นท็อปของท็อป เขาสั่งมาจะให้เป็นรถประจำตำแหน่งคนใหญ่คนโตเพราะขยายตัวถังยาวออกไปเป็นleg roomถึง35เซนต์ ป่านป๊านจึงนอนสบาย แต่รถรุ่นนี้ก็ทำให้บริษัทรถยนต์ซีตรองของฝรั่งเศสเจ้งไปเลยเพราะทุ่มทำการวิจัยพัฒนาใช้เงินไปมหาศาล ถึงรถดีก็ยังขายไม่คุ้มทุนที่ลงไปเพราะเกิดoil crisis รถใหญ่คนยุโรปเลิกใช้ ต่อมารัฐบาลฝรั่งเศสต้องเข้าไปอุ้มกิจการเพื่อรักษาหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไว้ แต่ซีตรองก็ผลิตเฉพาะรถเล็กๆแต่บัดนั้น

ผมทำนุบำรุงรถคันนี้อย่างดี เมื่อเลิกใช้(คือผมชอบขับรถเอง แต่ขับคันนี้ไปไหนคนเดียวจะเกิดอุปาทานว่าคนมองเป็นคนขับรถไม่ใช่เจ้าของ)และน้ำมันแพง คุณภรรยาแนะนำให้ขาย มีเซียนมาตีราคาให้สี่หมื่น ผมเลยจำใจต้องอนุรักษ์ไว้ไปทีนึงก่อน เมื่อไหร่ใครคิดเอาน้ำมาเติมแทนน้ำมันได้จะเอากลับมาวิ่งใหม่ คุณDiwaliจะไปลองเครื่องกับผมไหม


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 07:56
ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูนะครับที่เข้ามาเดินเรื่องให้จอมพลป.เดินทางไปถึงเขมรโดยปลอดภัย ผมจะกลับมาที่เผ่าก่อน แล้วจึงจะพาท่านผู้อ่านติดตามท่านจอมพลไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตท่านในต่างแดน


ในซอยสารสินติดกับรั้วของสวนลุมพินีสุดซอยหลังสวนนั้น มีร้านเหล้าที่มีห้องหับส่วนตัวมิดชิด พล.ต.อ.เผ่ามานั่งดื่มวิศกี้รอเวลาอยู่พร้อมอัศวินคู่ใจ พ.ต.อ.พันศักดิ์ วิเศษภักดีและพ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ เมื่อวิทยุออกประกาศแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติฉบับที่1 ซึ่งคุณเพ็ญชมพูเอาสำเนามาลงให้ท่านดูไปแล้วนั้น เป็นเวลาสองยามกว่าแล้ว ทั้งสามคนหายเมาเป็นปลิดทิ้ง เมื่อโทรศัพท์ตรวจสอบ สายโทรศัพท์ที่เชื่อมเข้าไปยังขุมกำลังของตำรวจก็ถูกตัดขาด กว่าจะติดต่อกับลูกน้องแล้วรู้ว่าสถานการณ์สายเกินแก้แล้วเผ่าก็รีบโทรรายงานจอมพลป. แล้วก็ไม่มีอะไรจะทำต่อนอกจากนั่งกินเหล้าระงับอารมณ์ เสียงวิทยุประกาศให้จอมพลป.เข้ามาที่กองบัญชาการคณะปฏิวัติเพื่อปรับความเข้าใจ และให้บุคคลหลายคนไปรายงานตัว ซึ่งมีชื่อเผ่าและอัศวินทั้งสองรวมอยู่ด้วยดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเผ่าก็ลุกขึ้นพยักหน้าเรียกลูกน้อง ทุกคนกระดกเหล้าแก้วสุดท้ายเข้าปาก เสียงวิทยุดังขึ้นอีก เผ่าถึงกับสบถเออกูจะไปเดี๋ยวนี้ ไอ้หริด ไอ้ลิงเผือก ไอ้เวร ไม่ต้องเรียกมาก

รถที่คนทั้งสามนั่งไป ผ่านรถถังตีนตะขาบและรถรบต่างๆตลอดทาง เมื่อเห็นแสนยานุภาพที่ทหารงัดออกมาสำแดงเดชครั้งนี้ เผ่าก็สงบลงเพราะเริ่มประมาณตนเองได้ ความวิตกว่าจะเผชิญชะตากรรมอย่างไรเริ่มเข้ามาแทนที่ความโกรธเกลียด

เมื่อจอดรถที่หน้าหอประชุมกองทัพบกที่เป็นกองบัญชาการของคณะปฏิวัติ นายทหารรักษาการณ์เมื่อเห็นเผ่าและสองอัศวินคู่ใจก็ออกคำสั่งให้ทั้งหมดอยู่นิ่งๆ เอามือกุมหัวไว้ แล้วค่อยๆลงมา หลังจากนั้นการตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียดยิบก็เริ่มขึ้น
 
ระหว่างนั้นจอมพลสฤษดิ์ก็ออกจากห้องมาหยุดยืนอยู่ที่หัวกระไดแล้ว
“อั้วมาแล้วโว้ย มาตามที่ลื้อเรียก อั้วไม่กลัวว่าลื้อจะฆ่าอั้ว” เผ่าทักเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยทหารบกที่เคยเรียนร่วมห้องกันมาด้วยเสียงอันดังตามวิสัย
“ทำไมต้องค้นตัวกันด้วยวะไอ้หริด” เผ่าบ่นเมื่อสฤษดิ์เดินลงมาหา
“เพื่อนกัน เจอกันก็ต้องมือเปล่าซีวะ อั๊วยังไม่มีปืนสักกระบอก”
“ลื้อไม่มี แต่ลูกน้องลื้อมีเต็มไปหมด ทั้งปืนเล็กปืนใหญ่”
“เขามีตามหน้าที่ แต่ไม่ทำอะไรลื้อแน่ถ้าอั๊วไม่สั่ง แล้วอั๊วจะไม่มีวันสั่งให้ใครฆ่าลื้อด้วย เราเป็นเพื่อนตายกันนี่หว่า เพื่อนย่อมไม่ฆ่าเพื่อนแน่ ใจเย็นเถอะไอ้เผ่า”
ทั้งคู่จับมือกัน แล้วสฤษดิ์ก็กอดคอเผ่า ซึ่งเดินไหล่ตกตามเข้าไปในห้องรับรองโดยดี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 08:00
ที่นั่นมีทั้งวิสกี้ โซดาและน้ำแข็ง สฤษดิ์สั่งทหารให้นำมาเลี้ยงดูเผ่าเต็มที่ รวมถึงอัศวินคู่ใจทั้งสองด้วย บรรยากาศเป็นกันเองเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลูกผู้ชาย เมื่อรู้แพ้รู้ชนะกันแล้ว จะไม่เหยียบย่ำซ้ำเติมหัวใจกันอีก

“มึงมีซิการ์ไหม ไอ้หริด” พอสบายใจขึ้นแล้ว สรรพนามก็เริ่มเปลี่ยนให้มันสนิทสนมขึ้น
“กูสูบแต่บุหรี่  ใครมีซิการ์มั่ง” สฤษดิ์หันไปถามนายทหาร ทุกคนเงียบ
“ของกูมีเป็นหีบที่วังปารุสก์”
“เฮ้ยกฤษณ์” สฤษดิ์หันมาร้องเรียกลูกน้องที่บังคับบัญชาทหารที่ยึดวังปารุสก์อยู่ “ไปเอาให้มันหน่อยวะ แค่นี้เอง”
ทั้งสองกินเหล้าไปคุยไป บรรยากาศก่อนหน้าตอนทหารเข้ามารายงานสฤษดิ์ในห้องว่าเผ่ามาถึงแล้วนั้น นายทหารที่รับผิดชอบสถานที่บอกนายว่า ด้านหลังหอประชุมมีรังปืนกลเตรียมพร้อมอยู่ หากนายถีบเผ่าออกไปเมื่อไหร่ก็จะจัดการให้เรียบร้อย บัดนี้ความจำเป็นดังกล่าวไม่มี เผ่าดูจะเข้าใจที่สฤษดิ์บอกว่า ยังไงๆก็ต้องไปต่างประเทศประชาชนไม่เอาแล้วเพราะฆ่าคนไว้เยอะ อยู่เมืองไทยถ้าไม่ติดคุกชีวิตก็อยู่ลำบาก
“มึงเลือกเอาไอ้เผ่า จะไปประเทศไหนกูจัดการให้ได้ นึกว่าไปเที่ยวสักพัก เหตุการณ์มันซาลงแล้ว มึงก็อาจขอกลับมาได้”
“แล้วลูกน้องกูตั้งหลายคนล่ะ”
“สองคนนี่” สฤษดิ์หันมามองสองอัศวินที่จ๋องไปแล้ว “ให้มันตามไปอยู่กับมึง คนอื่นๆกูว่า มันคงจะเผ่นเอาตัวรอดถ้ารู้ว่ามึงออกไปเมืองนอกแล้ว”
“เมื่อมันจำเป็นจริงๆ กูก็ขอไปสวิสก็แล้วกัน” เผ่าปลงตก พูดเสียงอ่อยลง คิดข้ามช๊อตไปยังเงินบัญชีลับของตนในธนาคารที่เจนีวา
“ตกลง กูจะจัดการให้”

ขณะนั้นดึกมากแล้ว หัวหน้าคณะปฏิวัติยังมีเรื่องต้องทำอีกหลายเรื่อง จึงฝากเผ่าและลูกน้องให้กฤษณ์ดูแล ทั้งคู่จับมือกันเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต เผ่าอยู่ในห้องรับรองนั้นโดยไม่มีโอกาสพบใครอีก นอกจากได้รับอนุญาตโทรสั่งเสียศรีภรรยาได้เมื่อใกล้จะต้องออกเดินทางไปสนามบินแล้ว กำหนดเครื่องบินเที่ยวแรกสุดที่จะออกจากสนามบินดอนเมืองไปเจนีวาเป็นของบริษัทเคแอลเอ็ม ในเวลา13.30น. เผ่าและลูกน้องยังเซๆด้วยฤทธิ์ของน้ำระงับอารมณ์ จอมอัศวินที่เคยยิ่งใหญ่คับแผ่นดินยิ้มให้ทุกคนที่เจอหน้า มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงไปรอส่งเขาหลายคน แต่ที่รถผ่านมาเมื่อกี้ ประชาชนที่อยู่ข้างถนนเห็นเขาเข้า ที่ตั้งตัวได้ก็ตะโกนด่า ขณะจับมือคนโน้นคนนี้ร่ำลา หนังสือพิมพ์ที่แสนรู้ก็อุตส่าห์แทรกกายเข้าไปยิงคำถามจนได้
“ท่านไปครั้งนี้แล้วจะกลับเมื่อไหร่ครับ”
“ก็พวกคุณจะให้ผมกลับเมื่อไหร่ล่ะ” เผ่ายังฝืนว่าอารมณ์ดีอยู่
“การไปที่ไม่มีกำหนดกลับอย่างนี้เรียกว่าป็นการเนรเทศใช่หรือเปล่าครับ”
แสบไหมนั่นสำหรับคำถาม เผ่าไม่ตอบ และก้าวเดินออกประตูสู่รันเวย์ที่นกเหล็กลำยักษ์จอดดีเลย์อยู่ครึ่งชั่วโมงแล้ว ก่อนขึ้นกระไดสนาม เขาหันมาโบกมือเป็นครั้งสุดท้ายให้ประเทศไทยเป็นการอำลา

 
เผ่าไม่ได้กลับมาตัวเป็นๆ ชีวิตเขามีเงินมากมายมหาศาล แต่หาความสุขมิได้หลังจากนั้น วันๆหนึ่งหมดไปด้วยการกินเหล้ากับนั่งมองทะเลสาปเจนีวา สามปีเศษๆเท่านั้นเอง ชายผู้หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตก็ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวายในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503  เถ้ากระดูกของเผ่าได้รับการห่อผ้าอย่างดีนำกลับมาเมืองไทย ข่าวว่าทายาทของเขาไม่ได้รับมรดกมากมายเท่าที่ควร

ลูกน้องสองคนสิที่ได้กลับมาตัวเป็นๆเมื่อสิ้นยุคสฤษดิ์แล้ว ต่อมาได้เริ่มลงทุนทำธุรกิจใหญ่โต คนนึงนั้นเป็นประธานบริษัทเงินทุนแห่งหนึ่ง โด่งดังอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะล้มละลายไปคราวเกิดวิกฤตสถาบันการเงินเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ส.ค. 10, 08:40
ไปเจอบล็อคนี้  ไม่แน่ใจว่าคุณ "น้ำเกลือยอดเยี่ยม" เจ้าของบล็อค เล่าประสบการณ์ตัวเอง ตามที่ฟังคุณปู่ของเขาเล่ามา หรือว่านำมาจากหนังสืออื่น
แต่อ่านแล้ว ได้ความว่า "ปู่ "ในบทความนี้คือม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=bestsalt&date=16-02-2006&group=1&gblog=14

ก่อนจะดำเนินเรื่องต่อไป มีเรื่องคุณเผ่า ศรียานนท์ ที่จะนำมาเล่าให้ฟัง ดังได้กล่าวมา จอมพลสฤษดิ์ ยึดอำนาจ จอมพล ป. หนีไปตายที่ญี่ปุ่น คุณเผ่าหนีไปอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากนี้ ปู่ไปประชุมนิติศาสตร์นานาชาติที่กรุงเจนีวา วันหนึ่งเดินกลับที่พัก ผ่านไปเห็นคุณเผ่ากับกลุ่มตำรวจลูกน้องนั่งกินเหล้ากันอยู่ที่ร้านเหล้า ปู่ทำเป็นไม่เห็นเดินผ่านไป คุณเผ่าให้ลูกน้องวิ่งตามมา ขอให้ไปพบคุณเผ่า โดยที่เคยเป็นศัตรูกันมาถึงกับจะเอาชีวิต ปู่ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาท่าไหน แต่เมื่อเขามาขอโดยดีก็จำใจไปพบ คุณเผ่าให้คาราวะเป็นอย่างดี เชิญไปกินแกงไก่ที่บ้านริมทะเลสาบ พาเที่ยวไนต์คลับ จึงได้เห็นความเป็นอภิมหาเศรษฐีของนักการเมืองตกทื่นั่งคนนี้ บ้านที่อยู่อาศัยใหญ่โต ปูด้วยหินอ่อน ประดับทองเหลืองอร่าม ไปเที่ยวไนต์คลับ ผู้หญิงฝรั่งนางรับแขก เฮกันเข้ามาเกาะแขนกอดเอวคุณเผ่า เจ้าตัวไม่ค่อยสนใจ แต่ควักธนบัตรปึกใหญ่ออกแจกฟรี นางเหล่านั้นเรียกคุณเผ่าว่าป๋า

ปู่นึกในใจ เขาคงสบายดี มีเงินทองจ่ายอย่างไม่อั้น คุณเผ่าขอพบปู่ครั้งนี้เพื่อปรึกษาว่า ลูกน้องอยากกลับเมืองไทย แต่มีคดีฆ่า 5 อดีตรัฐมนตรีติดตัว อยากให้ปู่เป็นทนาย ปู่ถามว่า เราเคยเป็นศัตรูกันมา คุณเผ่าจะไว้ใจปู่ให้ช่วยเหลือได้อย่างไร คุณเผ่าหัวเราะชอบใจพลางกล่าวว่า ใครๆก็รู้ว่าท่านนายกฯ ไม่มีอะไรกับใคร ในทางการเมืองก็บำเพ็ญแต่หลักเป็นครูบาอาจารย์ เขาจึงไว้ใจ เมื่อได้ซักถามสมุนมือปืนแล้ว ปู่ให้ความเห็นว่าตามเหตุการณ์และข้อเท็จจริงที่รับรู้กันในเมืองไทย คดีเห็นจะแก้ได้ยาก

วันกลับเมืองไทย คุณเผ่านำรถยนต์เดมเลอร์คันใหญ่ชักธงไทยไปส่งปู่ที่สนามบิน ระหว่างคอยเครื่องบินออก คุณเผ่าปรารภขึ้นมาเองว่า เขาไม่มีความสุข ไม่ทราบว่าคนไทยจะเห็นเขาเป็นคนอย่างไร ที่สุดกล่าวว่า เขาอยากกลับไปก่อการปฏิวัติ ซึ่งในการนี้มีทุกอย่างพร้อมแล้ว ทั้งกำลังเงินและกำลังคน ยังขาดแต่ผู้นำ ซึ่งคุณเผ่ากล่าวว่า ถ้าได้ปู่เป็นผู้นำเขาจะดำเนินการ ปู่ปฏิเสธและถามว่า จอมพล ป. ยังอยู่ที่ญี่ปุ่น ทำไมถึงไม่เอาท่านเป็นหัวหน้า คุณเผ่ากล่าวว่าอย่าไปพูดถึงท่านเลย ปู่ลาคุณเผ่าไปขึ้นเครื่องบิน นึกอยู่ในใจว่าเงินทองมหาศาลไม่ได้ช่วยให้คนเป็นสุข โดยเฉพาะคนที่ทำความชั่วไว้...
เผ่า ศรียานนท์ เจ้าของตำนานอัศวินตำรวจเมืองไทยที่ทุกคนยังจดจำ ภายใต้คำขวัญ ไม่มีสิ่งใดภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 09:17
รูปประกอบนี้อุทิศให้คนที่ใช้เงินซื้อความสุขมิได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 09:19
นำบรรยากาสดอนเมืองเก่าๆมาให้ดูครับ ผู้โดยสารเดินไปขึ้นเครื่องเหมือนสนามบินบางจังหวัดในทุกวันนี้ เครื่องบินโดยสารที่ใช้บินข้ามทวีปเป็นเครื่องใบพัด 4เครื่องยนต์ ที่ดังๆก็มี Super Constellation ของล็อกฮีต มี3แพนหาง เป็นแบบที่K.L.M.ใช้นำเผ่าออกจากเมืองไทยแบบไปแล้วไปลับ

เส้นทางบินก็ต้องแวะลงจอดเติมน้ำมันและรับ-ส่งผู้โดยสารไปตลอดทางเหมือนรถหวานเย็น ถ้าบินจากกรุงเทพไปยุโรปก็จะลง บอมเบย์-ไคโร-เจนีวา-ไปสุดทางที่อัมเตอร์ดัม เครื่องบินแบบนี้พอเก่านิดหน่อยก็ตกเป็นว่าเล่น ในที่สุดสายการบินทั้งหลายก็เลิกใช้ พอดีเข้ายุคเครื่องเจ๊ต พอโบอิ้ง707เข้ามา เครื่องใบพัดก็บินเฉพาะสายสั้นๆในประเทศกันหมด


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ส.ค. 10, 09:25
เมื่อวิทยุออกประกาศแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติฉบับที่1 ซึ่งคุณเพ็ญชมพูเอาสำเนามาลงให้ท่านดูไปแล้วนั้น เป็นเวลาสองยามกว่าแล้ว

อ่านจากประกาศทั้ง ๒ ฉบับแล้ว เที่ยวนี้ไม่เรียกว่าคณะปฏิวัติ

จอมพล ส. ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร

 ;D


ประกาศ ประกาศ

ต่อไปนี้ขอเชิญรับฟังประกาศจากทางราชการ

(http://)

ต่อไปเป็นประกาศของผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร

(http://)

 :o :o :o

ขัดจังหวะคุณนวรัตนสักประเดี๋ยว

ประกาศทั้ง ๒ คงไปเที่ยว เดี๋ยวเดียวคงกลับมา

แต่หากไม่กลับมา

ขอลงสำรองไว้อีกที

 ;)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 10:09
ก่อนที่จะนำท่านผู้อ่านเข้าสูภาคสุดท้ายของจอมพลป2. ซึ่งบัดนี้ผลออกมาแล้วว่ายังไงๆ ท่านก็ไม่ผ่านไปขึ้นป.3ได้ ผมอยากจะใช้เวลาสักนิดจอดตรงนี้ ให้ท่านผู้อ่านตามครูบาอาจารย์ท่านอื่นเข้าตรอกเข้าซอยไปช็อปปิ้งเก็บเกี่ยวความรู้ข้างทางสักพัก ผมมีความรู้ขึ้นว่า ความเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของท่านจอมพลอยู่ตรงช่วงชีวิตสุดท้ายของท่านนี้เอง แม้วิบากที่กำลังได้รับเป็นผลจากอำนาจกรรมที่ท่านก่อไว้ แต่ในขณะดำรงตำแหน่ง ท่านก็ได้ประกอบคุณงามความดีให้แก่ชาติและสังคมไทยมากมาย กุศลกรรมนี้แหละที่นำทางชีวิตบั้นปลายให้ท่านมีสันติสุข ยิ่งกว่านักการเมืองไทยคนใดในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ต้องประสพวิบากกรรมคล้ายกัน ให้ต้องไปใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในต่างประเทศ

ผมต้องละเอียดนิดนึง ขอค้นอีกสักเล่มสองเล่มเพื่อติดต่อเรื่องทั้งหลายให้เนื้อหาสมบูรณ์ อ่านแล้วไม่สะดุด


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 21 ส.ค. 10, 10:11
เมื่อวานไปทัศนศึกษานอกสถานที่แค่วันเดียว กระทู้วิ่งฉิวเลย
แอบดูเนื้อหาแล้วเนื้อเต้นด้วยความอยากอ่าน แต่วันนี้ก็ทำงานค่ะ ฝากไว้ก่อนคืนนี้จะมาเก็บให้หมดเลย

ขอคุณพระคุ้มครองท่านอาจารย์ทั้งหลายให้มีสุขภาพแข็งแรง เป็นมิ่งขวัญของลูกศิษย์ไปนานๆนะคะ  ;)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ส.ค. 10, 10:26
ระหว่างรอคุณนวรัตนขอเล่าเรื่องท่านจอมพลในเขมรต่อ

คณะของท่านจอมพลพำนักอยู่ที่ตำหนักจามกามลด้วยความผาสุก มีหัวหน้ากุ๊กพระราชทานมาคอยดูแลความเรียบร้อย  ภริยาและบุตรของท่านจอมพลหมุนเวียนมาคอยรับใช้อยู่ไม่ขาด  ต่อมาท่านจอมพลก็ได้พาสปอร์ตส่งมาจากนายพจน์ สารสิน นายกรัฐมนตรี จึงเตรียมตัวเพื่อเดินทางต่อไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยติดต่อทูตญี่ปุ่นประจำเขมร

ท่านผู้หญิงละเอียดได้เขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า

"ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจไปพักอยู่ที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นเรื่องที่มีคนตั้งข้อสงสัยกันมาก ความจริงนั้นไม่ใช่เรื่องลี้ลับซับซ้อนอะไรเลย ระหว่างที่มีชีวิตว่าง ๆ อยู่ในเขมร เราก็หยิบอาละบั้มภาพเมืองต่าง ๆ มาดูกัน ในที่สุดก็ตกลงใจกันว่า ญี่ปุ่นเหมาะที่สุดที่เราทั้งสองจะใช้ชีวิตบั้นปลายมากกว่าที่อื่น ในระหว่างที่ยังไม่ทราบว่าจะกลับคืนเมืองไทยเมื่อไร"


ในที่สุด อีก ๗ ปีต่อมา ๒๗ มิถุนายน ๒๕๐๗  ท่านผู้หญิงละเอียด ก็ได้นำอัฐิของท่านจอมพลกลับมาเมืองไทย

:(


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Diwali ที่ 21 ส.ค. 10, 10:41
มาลงชือเข้าเรียน สายๆวันเสาร์ครับ

เสียดายหลายอย่างครับ ตัวกระผมเอง ได้รู้จักทายาทของอัศวินคู่ใจท่านจอมพลตำรวจ
ตอนนั้น ก็ยังไม่เดียงสาพอที่จะถามอะไร

แม้กระทั่งทายาทท่านจอมพลตำรวจเอง ก็เป็นรุ่นน้องสมัยเรียนโรงเรียนมัธยม
ทายาทท่านจอมพลทหารบางท่าน ผมก็ได้ดื่มทานด้วย สมัยผมเรียน ม.ปลาย

กระทั่งตัวท่านจอมพลบางท่าน ที่ในบั้นปลาย มักจะเดินมาเที่ยวตลาดราชวัตรเป็นประจำ
หากผมไปพบ ก็จะต้องเข้าไปทักทายตามประสาผู้เยาว์ และช่วยพยุงท่านเดินต่างไม้เท้า ตามครรลองผู้สูงอายุ

พอมาเรียนหนังสือระดับอุดมศึกษา สาขารัฐศาสตร์ ได้เรียนได้อ่าน
มีคำถามอยากถามท่านต่างๆที่เอ่ยมานั้น แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบปะ
เสียดายช่วงนั้นจริงๆ ครับ

หมายเหตุ
ตอบคุณ NAVARAT.C
ลูกชายท่าน คุณป่านป๊าน และตัวกระผม เคยเดินทางด้วยรถซีตรองคันงามหลายทริปครับ
ก่อนที่จะมาแยกย้ายกัน ตอนที่ลูกชายท่านไปเรียนที่จุฬาฯ
แล้วปีถัดๆมา ผมหนีไปเรียนที่ธรรมศาสตร์ ครับ เลยไม่ได้มีโอกาสนั่งคันงามนั้นอีกครับ
แต่ยังคงจดจำได้ติดตาเป็นอย่างดีครับ :)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 11:12
^
ผมก็มีโอกาสคล้ายกัน แต่ทั้งๆที่มีคำถามในใจอยู่ก็ไม่เคยถามเหมือนกัน รู้สึกว่าคำตอบบางอย่างรู้ไปแล้วก็เท่านั้น เป็นอดีต ผ่านไปแล้วผ่านไปเลยอย่างที่สังคมเข้าใจดีกว่า ยิ่งบรรดาน้องๆรุ่นลูกรุ่นหลานที่นามสกุลคุ้นๆกับในกระทู้นี้ ผมยิ่งคุยเรื่องอื่นไปเลย เขาเกิดไม่ทันข้อเท็จจริงอยู่แล้ว

แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ผมนึกหน้าพวกคุณไม่ออกจริงๆ ว่างๆหลังไมค์มาคุยกันบ้าง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 21 ส.ค. 10, 11:18
ภาพแห่งความหลังครั้งวันชื่นคืนสุข ที่ไม่คืนกลับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 18:07
ขอบคุณคุณศิลา รูปข้างบนสวยมากครับ
แต่ก่อนที่จะเดินเรื่องโฟกัสไปที่ท่านจอมพลป.ตามชื่อกระทู้ ผมจำเป็นที่จะต้องปูพื้นเหตุการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยโดยย่อๆให้ท่านผู้อ่านเข้าใจล่วงหน้า เวลาโยงกับวิถีชีวิตท่านจอมพลจะได้ไม่งง

จอมพลสฤษดิ์ปฏิวัตินั้น มิได้มีการวางแผนล่วงหน้ามาเป็นปีๆโดยมุ่งหวังจะก้าวขึ้นสู่อำนาจยิ่งใหญ่แทนจอมพลป.ผู้ที่ต้องถือว่ามีบุญคุณต่อกันเหลือล้น สฤษดิ์เองสุขภาพมิได้ดีนักตัวเองรู้อยู่ ถึงเป็นใหญ่เป็นโตไปได้ก็อยู่ไม่นาน สิ่งที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นภาคบังคับตามที่โหรว่า ไม่อยากทำก็ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำเขา เขาก็ทำเรา ก่อนลงมือปฏิวัติก็เชคแล้วเชคอีก กลัวจะไม่สำเร็จ เพราะบารมีของจอมพลป.ยังมีมาก ไม่แน่ว่าทหารทุกคนจะเอากับตน สายของกลุ่มราชครูก็มีพล.จ.ชาติชาย ยังคุมกำลังส่วนหนึ่งอยู่ นอกจากเชคกับโหรแล้วมีข่าวว่ายังเชคกับอเมริกาอีก เพราะกลัวว่าปฏิวัติไปแล้วอเมริกาจะไม่รับรองรัฐบาลคณะปฏิวัติ เพราะไปล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยเขา แต่การะบุลอยๆว่าสฤษดิ์ไปขอคำปรึกษากับอเมริกาคงมิได้หมายถึงตัวทูต น่าจะเป็นหัวหน้าสายซีไอเอที่เป็นที่ปรึกษาให้กองทัพบก เหมือนกับบริษัทซีซัพพลายที่เป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจ ซีไอเอทั้งสองสายดำเนินการเหมือนแข่งกันเอง แต่ขึ้นอยู่กับคนๆเดียวที่ไม่รู้ว่าเป็นฝรั่งคนไหน ดังนั้นข่าวลึกๆของตำรวจที่คนนอกไม่น่าจะรู้ แต่ซีไอเอกลับรู้ รู้แล้วยังตัดสินใจกระซิบไปที่สฤษดิ์ ถ้าบ่ายวันนั้นไม่กระซิบไป เผ่าอาจจะปฏิบัติการสำเร็จก็ได้ ไม่แน่

พอปฏิวัติสำเร็จ สฤษดิ์จึงส่งเทียบไปเชิญนายพจน์ สารสิน เลขาธิการใหญ่องค์การซีอาโต้มาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ให้เสร็จภายในสามเดือน การที่นายพจน์มาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ทั้งๆที่ยังอยู่ในตำแหน่งทางซีอาโต้เป็นสิ่งที่เห็นชัดว่าอเมริกาสนับสนุน เพราะรัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลขวาจัดที่แอนตี้คอมมิวนิสต์แน่นอน

คณะปฏิวัติยึดอำนาจได้2วัน ก็มีพระบรมราชโองการให้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งฉีกทิ้งไป มาแก้ใขเฉพาะหมวดส.ส. ให้ทั้งหมดสิ้นสุดสถานภาพลง แล้วเลือกตั้งส.ส.ประเภท1ใหม่ภายใน90วัน และเลือกส.ส.ประเภท2จำนวน 123 ให้คนเข้าไปทำหน้าที่ในสภาในทันที

เมื่อตั้งรัฐบาลนายพจน์ สารสินเสร็จ จอมพลสฤษดิ์ได้บินไปอเมริกาโดยด่วนเพื่อทำการรักษาโรคตับ อันเป็นผลมาจากการดื่มสุราจัดและร่างกายพักผ่อนไม่พอ ระหว่างที่อยู่ในอเมริกาได้มีโอกาสพบประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ รัฐมนตรีต่างประเทศ และรัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือ แสดงถึงการยอมรับของอเมริกาว่านี่คือบุคคลสำคัญตัวจริงของเมืองไทย รัฐบาลพจน์มีเวลาสั้นไปที่จะทำงานให้เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากการแต่งตั้งอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ขึ้นมาไล่เบี้ยกับเผ่าและบรรดาอัศวินในวีรเวรทั้งหลายที่ได้ประกอบไว้กับฝ่ายตรงกันข้าม คดีต่างๆที่หมักดองไว้ถูกนำมาชำระสะสาง เป็นที่พอใจของประชาชนผู้ติดตามข่าวสารโดยทั่วหน้า


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 18:14
การเลือกตั้งที่ปรากฏ ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงขาด แต่โดยที่พรรคสหภูมิได้คะแนนเถือประชาธิปัตย์หน่อยๆ พรรคสหภูมิก็ต้องจัดคณะรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ์ซึ่งค่อยยังชั่วและบินกลับมาแล้ว ได้ไปเกลี้ยกล่อมนายพจน์พร้อมกับถนอมและประภาส ขอให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่นายพจน์ปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาด

งานวันเกิดของจอมพลสฤษด์ ซึ่งบังเอิญเป็นจังหวะใกล้เคียงกันนั้น เมื่อแขกเหรื่อกลับเสร็จ เหลือที่ซี้ๆกันไม่กี่คนคุยกันว่าเรื่องนายกจะเอาอย่างไร ท่านหันมายิ้มให้ประภาสแล้วบอกว่า ไอ้ตุ๊ มึงมันชอบเป็นดาราหน้าปก คือท่านหาว่าประภาสชอบให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์  อ้าว..ก็เขาเพิ่งจะเป็นพระเอกเรื่องเลือกตั้งสะอาด หนังสือพิมพ์ก็ชอบเอาไมค์มาจ่อปากเป็นธรรมดา แต่ท่านกลับบอกว่า กูไม่ให้มึงละกูให้ไอ้หนอมดีกว่า ไอ้หนอมมันยิ้มสวย มันยิ้มสยาม

พล.อ.ถนอม กิตติขจรผู้มียิ้มอันอ่อนโยนเหมือนคนขี้แหย๋จึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีถ.1 ด้วยประการฉะนี้ ผมหารูปจอมพลถนอมกำลังยิ้มสยามไม่ได้ ใครมีช่วยเอามาส่งส่วยให้กระทู้หน่อยครับ

เพื่อให้รัฐบาลถนอมมีเสถียรภาพ สฤษดิ์จึงได้ตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ ชื่อ“ชาติสังคม”โดยลงแรงเป็นหัวหน้าพรรคเอง แล้วลงทุนควักกระเป๋าซื้อตัวส.ส.มาสังกัดพรรคนี้ให้ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา พอจ่ายเงินซื้อฝักถั่วให้พล.อ.ถนอมแถลงนโยบายผ่านสภาแล้วเสร็จ จอมพลสฤษดิ์ก็บินด่วนกลับไปเข้าโรงพยาบาลทันที

ตัวเลขส.ส.ของพรรคชาติสังคมเกินจำนวนแล้วก็จริง แต่ปัญหาตามมาอีกห้าร้อยละลายโจร จ่ายเท่าไหร่ส.ส.ในพรรคก็แบบมือขออีกแบบไม่รู้จักอิ่ม รัฐบาลต้องการแก้นโยบายขาดดุลย์ด้วยการเพิ่มภาษีบางตัว ก็ถูกส.ส.ฝ่ายรัฐบาลด้วยกันตีรวน ยิ้มสยามอย่างเดียวไม่พอเสียแล้ว ต้องมีบารมีด้วย นายกถนอม1ท่านขาดตรงนี้ พูดอะไรออกไปใครก็ไม่ฟังเพราะภาพพจน์มันเป็นแค่พระรองไม่ใช่พระเอก ยิ้มสยามก็กลายเป็นยิ้มแห้งๆลงตามลำดับ จนถึงขั้นยิ้มไม่ออกไปในที่สุด

สฤษดิ์ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่เมืองนอก ก็รู้สึกว่าที่นอนแข็งโป๊กเหมือนศิลาขึ้นมา นอนพักฟื้นอยู่ไม่ได้แล้ว ต้องถอดสายน้ำเกลือบินกลับมาเมืองไทย เรียกประชุมนายทหารชั้นหัวกระทิ20นาย แล้วบอกว่า วันนี้เวลา15.00น.รัฐบาลจะลาออก ข้าพเจ้าจะนำกำลังเข้ายึดอำนาจการบริหาร  ในเวลา21.13น.เป็นฤกษ์ที่ทุกหน่วยจะเคลื่อนออกปฏิบัติการตามจุดต่างๆ ใครเห็นด้วยโปรดยืนขึ้น ใครไม่เห็นด้วยโปรดเชิญไปทางห้องโน้นได้

ไม่มีใครไม่ยืนและขยับตัวเดินไปไหน การปฏิวัติในคืนนั้นจึงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ใช้รถถังไม่กี่คัน ออกมาเดี๋ยวด๋าวก็กลับเข้ากรมไป จอมพลสฤษดิ์ก็เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง เสียงจริงของคณะปฏิวัติ ณ กาลครั้งนั้น หลังจากการทำปฏิวัติครั้งแรกสำเร็จประมาณ1ปี6เดือน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 18:20
การเดินทางออกจากประเทศไทยอีกสำนวนหนึ่ง โดยเล็ก พงษ์สมัครไทย เขียนไว้ในศิลปวัฒนธรรม ซึ่งผมเห็นควรนำมาลงไว้ด้วย


เย็นวันรุ่งขึ้นคือวันที่ ๑๖ กันยายน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหารได้เรียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่หอประชุมกองทัพบก เป็นการประชุมลับแต่ก็เป็นที่รับรู้กันในวงกว้าง สำหรับจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี คงปฏิบัติหน้าที่ดูทีท่าของคณะรัฐประหารอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล มีข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมือง นายทหารร่วมชุมนุมอยู่ด้วย

เมื่อรู้แน่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จอมพล ป. พิบูลสงคราม เดินลงมาจากห้องพักชั้นบนของทำเนียบรัฐบาล พร้อมเรียก พลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ นายฉาย วิโรจน์ศิริ ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรีและดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พันตำรวจเอกเทียบ สุทธิมณฑล นายตำรวจเวร และพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจอารักขา แล้วพูดว่า "ไป"

รถซีตรองประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเคลื่อนออกจากทำเนียบรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เป็นคนขับ พลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ นั่งด้านซ้ายคู่กับจอมพล ป. นายฉาย วิโรจน์ศิริ และพันตำรวจเอกเทียบ สุทธิมณฑล นั่งเบาะหลังทั้ง ๓ คน ฝนตกปรอยๆ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่มีลักษณะรีบร้อนหรือตื่นเต้นแม้แต่น้อย คงสูบบุหรี่และเปิดวิทยุในรถฟังตลอดเวลา จุดแรกที่ไปคือบ้านซอยชิดลม แล้วจอมพล ป. ได้ขึ้นไปบนบ้านและให้พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจติดตามโทรศัพท์ตามหาพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ว่าอยู่ไหน ผลคือไม่สามารถติดต่ออธิบดีกรมตำรวจได้

ทุกคนขึ้นประจำที่ที่รถซีตรองคันเดิม สำหรับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้นำกระเป๋าเอกสารแบบซิปรูดบรรจุเงินสด ๔๐,๐๐๐ บาท รถเคลื่อนตัวออกจากบ้านซอยชิดลมไปตามถนนสุขุมวิท ทุกคนอยู่ในอาการเงียบสงบ ไม่ทราบว่าท่านผู้นำคิดอย่างไร และกำลังจะไปไหน ถึงหน้าสถานีตำรวจพระโขนง ท่านผู้นำจอดรถชั่วขณะแล้วหันมาพูดกับผู้ติดตาม ๓ คนด้านหลังว่า ข้างหลังนั่ง ๓ คนอึดอัด ท่านจึงให้พันตำรวจเอกเทียบ สุทธิมณฑล ลงแล้วหารถกลับเข้ากรุงเทพฯ หากมีโอกาสให้ไปดูสถานการณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล และให้ไปรายงานที่บ้านพักรับรอง บางปู จังหวัดสมุทรปราการ ขณะนั้นฝนตกพรำๆ จากนั้นท่านผู้นำขับรถมุ่งหน้าไปทางสมุทรปราการอย่างไม่รีบร้อนนัก ขณะขับรถ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้แพ้ภัยการเมืองสูบบุหรี่ชนิดมวนต่อมวนไปตลอดทาง ขณะเดียวกันวิทยุในรถเปิดเพลงมาร์ชรักชาติ สลับกับเพลงปลุกใจ เมื่อถึงปากน้ำและมุ่งไปทางบางปู ถึงบ้านพักรับรองท่านผู้นำเพียงแต่หันไปมองชั่วครู่แต่ไม่เลี้ยวเข้า ท่านขับรถเลยไป ขณะนั้นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ฝนเริ่มเม็ดหนาขึ้นทุกที ท้องฟ้ามืดมิด รถมาถึงสะพานบางปะกง ทหารช่างจากแปดริ้วกำลังตั้งด่านตรวจรถ ขณะที่รถของท่านผู้นำไปถึงการตั้งด่านยังไม่เรียบร้อยจึงยังไม่ได้ลงมือตรวจ ท่านผู้นำและคณะจึงผ่านเลยไป เพียงชั่วอึดใจวิทยุในรถประกาศบ่อยครั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ และจอมพลเรือ หลวงยุทธศาสตร์โกศล รองนายกรัฐมนตรี ไปรายงานตัวที่หอประชุมกองทัพบก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 18:23
ท่านผู้นำและคณะได้ยินประกาศนี้ แต่ต่างคนต่างเงียบ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ฟังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงสูบบุหรี่มวนต่อมวน เมื่อถึงศรีราชาท่านจึงพูดว่ามีคนสนิทของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โทรศัพท์มาบอกว่าขอเชิญตัวไปที่หอประชุมกองทัพบก แต่ท่านไม่รอให้ทหารมาเชิญจึงได้ขับรถออกมาทำเนียบรัฐบาลเสียก่อน รถน้ำมันหมดที่ศรีราชาและมอบให้นายฉาย วิโรจน์ศิริ และพลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ นำรถย้อนกลับไปเติมน้ำมันที่ตลาด ส่วนจอมพล ป. กับพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจอารักขาหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมถนน

ครู่ใหญ่รถกลับมาจากเติมน้ำมัน ฝนยังคงหนาเม็ด จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังทำหน้าที่ขับรถต่อไป ท้องฟ้าคะนอง ฝนตกหนักขึ้นทุกที เมื่อถึงสัตหีบท่านผู้นำไม่ยอมแวะไปหาพลเรือตรีประสงค์ พิบูลสงคราม บุตรชายซึ่งเป็นผู้บังคับการฐานเรือสัตหีบ แต่ขับรถเลยไป ถนนจากสัตหีบเริ่มไม่ดี ฝนตกหนัก และเป็นเวลากลางคืน กระจกหน้ามีฝ้าจับมาก ท่านผู้นำต้องขับรถไปอย่างช้าๆ วิทยุในรถยังคงเปิดเพลงมาร์ชและเพลงปลุกใจ สลับกับการประกาศให้บุคคลที่คณะรัฐประหารต้องการตัวไปรายงานตัวที่หอประชุมกองทัพบก

เมื่อรถเลยสัตหีบไปแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ถามขึ้นลอยๆ ว่าถนนที่จะไปเขมร โดยผ่านทางไปพลนั้นมีใครรู้จักเส้นทางบ้างไหม ผู้ติดตามจึงทราบว่าท่านผู้นำจะลี้ภัยการเมืองไปประเทศกัมพูชาแน่นอน เมื่อไม่มีใครรู้จักเส้นทาง ท่านจึงขับรถไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าทางตะวันออกเริ่มสว่าง และรู้ว่าเข้าเขตจังหวัดตราด ท่านจึงเลี้ยวรถเข้าไปในดงมะพร้าว ฝนหยุด กำลังรุ่งสางแล้ว แต่เมฆฝนยังคงทะมึนอยู่ พร้อมที่จะตกได้ทุกเวลา

พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจอารักขา ได้บอกกับท่านผู้นำว่าจะเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อกาแฟ ปาท่องโก๋พร้อมทั้งดูเหตุการณ์ต่างๆ ด้วย จากนั้นจึงถอดเครื่องแบบตำรวจออกคงเหลือแต่เสื้อยืดคอกลมชั้นในเพียงตัวเดียว ขณะนั้นเป็นเวลา ๖ โมงเช้า ชาวตราดฟังวิทยุทราบแล้วว่ามีการปฏิวัติรัฐประหารโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

เช้าวันที่ ๑๗ กันยายน เป็นวันที่อากาศไม่แจ่มใสเสียเลยโดยเฉพาะกับผู้เผชิญปัญหาวิกฤตที่เอาเป็นเอาตายกันถึงชีวิต พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ เดินไปที่ท่าเรือซื้อกาแฟ ปาท่องโก๋ พร้อมทั้งสอบถามชาวเรือถึงการเช่าเรือแถวๆ นั้นด้วย แต่เมื่อชาวเรือถามว่าจะเช่าไปไหนก็ตอบไม่ได้เพียงแต่บอกว่าจะไปเที่ยว ชาวเรือทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามรสุมคลื่นลมแรงอย่างนี้ ไม่มีเรือลำไหนกล้าออกทะเลหรอก และเมื่อคืนนี้มีการปฏิวัติเหตุการณ์ยังไม่สงบ ไม่มีเรือกล้าออกไปไหน ถึงแม้พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ จะบอกว่าจะไปเที่ยวไม่ไกลนัก ชาวเรือก็ปฏิเสธที่จะออกจากฝั่ง พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงหิ้วกระป๋องกาแฟและถุงปาท่องโก๋กลับมารายงานท่านผู้นำ ซึ่งท่านบอกว่ากินกาแฟก่อนแล้วพยายามอีกครั้ง

ช่วงสาย พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ และนายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ออกไปตลาดอีกครั้งเพื่อหาเรือลี้ภัยไปเขมร ผู้คนในตลาดเริ่มพลุกพล่านต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โชคดีของคณะผู้ลี้ภัยที่นายฉาย วิโรจน์ศิริ ได้พบกับครูประชาบาลคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันมาก่อนและมีเรือหาปลาด้วย จึงขอร้องเชิงบังคับขอเช่าเรือออกทะเลโดยมิได้บอกจุดหมายปลายทางว่าจะไปไหน ครูประชาบาลเจ้าของเรือจำเป็นต้องรับปากอย่างไม่เต็มใจ ขณะนั้นท้องทะเลกำลังปั่นป่วน ด้วยคลื่นลมหน้ามรสุม ขณะเดียวกันพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ก็พบลูกน้องเก่าคนหนึ่งที่เคยรับราชการที่จังหวัดระยองด้วยกัน ชื่อนายดาบตำรวจเฉลิม ชัยเชียงเอม เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจแหลมงอบ และยินดีที่จะนำคณะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เดินทางไปยังเกาะกงของเขมร

เมื่อได้รับรายงานจากบุคคลทั้งสอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังคงวิตกกังวลซึ่งสังเกตได้จากใบหน้าของท่าน เมื่อตัดสินใจจะเดินทางในช่วงเที่ยง ท่านผู้นำจึงสั่งให้พลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ เดินทางกลับยังพระนครและให้ไปรายงานต่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่องการลี้ภัยของท่าน และถามพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ว่า

"คุณชุมพล คุณมีปัญหาอะไรไหม หมายถึงมีคดีทางการเมืองบ้างไหม"

"กระผมไม่เคยมีปัญหากับใคร และไม่มีผู้บังคับบัญชาคนไหนใช้ให้กระผมกระทำในสิ่งที่ผิดครับผม" นายตำรวจอารักขาตอบอย่างมั่นใจ

"คุณจะไปกับผมไหม"

"ท่านต้องการกระผมหรือเปล่า กระผมไม่มีเงินติดตัวเลย อาจจะเป็นภาระให้ท่านก็ได้ และท่านก็ใช่ว่าจะมีเงินไปมาก เงินภายนอกประเทศไม่มีเลย อยู่ในต่างประเทศจะหาใครอุ้มชู คงจะยาก เงินที่ท่านมีอยู่เพียงท่านคนเดียวคงไปได้ไม่ไกล" เสียงตอบจากนายตำรวจติดตาม

"ผมอยากให้คุณไปกับผม" จอมพล ป. พูดตัดบทกับนายตำรวจอารักขา

"กระผมทำหน้าที่อารักขาท่าน ขณะนี้หน้าที่ยังไม่สิ้นสุด ถ้าท่านคิดว่าจำเป็นที่จะต้องเอากระผมไปด้วย กระผมก็ยินดีและเต็มใจไปกับท่าน อนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึง ผมเชื่อมั่นว่าภรรยาซึ่งเป็นครูคงจะมีรายได้พอจะเลี้ยงลูกทั้งสี่ของเราได้" พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ตอบอย่างมั่นคงในจิตใจ


จากนั้นพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ได้ฝากเครื่องแบบตำรวจไว้กับพลโทบุลศักดิ์ วรรณมาศ ให้ช่วยไปมอบให้ภรรยาและแจ้งข่าวการอารักขานายกรัฐมนตรีตามหน้าที่ซึ่งจำเป็นต้องเสียสละความสุขส่วนตัว  


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 18:24
สภาพของเรือประมงซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม ใช้ในการลี้ภัยการเมืองไปยังเกาะกง ประเทศกัมพูชา เป็นเรือหาปลาขนาดเล็กเครื่องยนต์ใช้น้ำมันเตา อุปกรณ์การเดินเรืออย่างอื่นไม่มี ไม่ว่าจะเป็นวิทยุติดต่อ แผนที่เดินเรือหรือเข็มทิศ ตอนบ่ายคณะของจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีผู้ติดตามประกอบด้วย นายฉาย วิโรจน์ศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจอารักขา บ่าย ๒ โมงเรือเริ่มเดินเครื่องออกจากท่า แม้จะอยู่ตามชายฝั่งแต่เนื่องจากเป็นเรือเล็กและคลื่นแรงเรือจึงโคลงอย่างหนัก พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ เกิดอาการเมาคลื่นอย่างสาหัส อาเจียนจนหมดเรี่ยวแรง แต่สำหรับจอมพล ป. พิบูลสงคราม แล้วท่านนั่งเฉยไม่มีอาการหวาดวิตกว่าเรือจะโคลง จะโดนคลื่น หรือเรือจะล่ม

เรือหาปลาลำเล็กแล่นฝ่ามรสุมไปอย่างบังคับทิศทางไม่ได้ เรือแล่นไปได้ไกลสักเท่าใดก็ไม่ทราบ ประมาณ ๒ ทุ่มเศษ เรือได้มาถึงหาดเล็กชายแดนไทย-กัมพูชา คณะจอดเรือเพื่อหาอาหารค่ำรับประทานโดยมีผู้ใหญ่บ้านซึ่งทราบเรื่องได้พาลูกบ้านทำข้าวต้มเลี้ยงท่านผู้นำ ขณะเดียวกันวิทยุก็ประกาศให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ไปรายงานตัวต่อคณะปฏิวัติที่หอประชุมกองทัพบก ทำให้ท่านมีสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก เกือบ ๔ ทุ่ม ท่านจึงสั่งให้รีบออกเดินทางทั้งๆ ที่บรรยากาศมืดสนิท ท้องทะเลกำลังบ้า คลื่นลมแรงขึ้น ทั้งนี้เพราะกลัวจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติจะสั่งให้กองกำลังตามจับ

พลตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า

การเดินเรือคราวนี้เลวร้ายกว่าครั้งที่ออกจากตราดมาก ท้องทะเลปั่นป่วนและมืดสนิท พายุโหมกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นแต่ละลูกเหมือนภูเขา น้ำทะเลเข้าไปในเรือแต่ละโครมทำให้เรือถูกกระแทกอย่างแรง จนเอียงวูบเหมือนจะจม แต่ไม่จม ผมเจอทะเลบ้าครั้งนี้ อาเจียนจนไม่มีอะไรจะอาเจียนอีก แต่ยังครองสติได้ เมื่อน้ำทะเลซัดเข้าไปในท้องเรือ น้ำท่วมห้องเครื่อง ผมและลูกเรืออีกคนหนึ่ง พยายามสูบน้ำออกจากห้องเครื่อง แต่ปริมาณน้ำที่สูบออกเหมือน "เยี่ยวเด็ก" แต่น้ำที่เข้าไปเหมือน "ทำนบพัง" เครื่องถึงที่สุดของมันคือดับสนิท

เมื่อเครื่องเรือดับ การบังคับเรือทำไม่ได้เลย เรือหาปลาลำนี้ก็เหมือนกาบมะพร้าวลอยไปตามยถากรรม ตามแรงกระแทกของคลื่นยักษ์ ขณะนี้ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าลงไปช่วยสูบและวิดน้ำออกจากห้องเครื่อง ถ้าเรือจมแน่นอนว่าต้องจมไปกับเรือ

การผจญกับคลื่นลม ความแปรปรวนของท้องทะเล และเรือต้องลอยไปตามยถากรรมนั้น ผมโผล่จากท้องเรือเห็นจอมพล ป. นั่งสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืด ดูเหมือนว่าท่านไม่ได้ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ไม่มีอาการเมาคลื่น หรืออะไรทั้งสิ้น

เรือประมงลำเล็กๆ ของเราจวนเจียนจะจมหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่จม ผมถามกัปตันเรือว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหน อยู่ห่างจากฝั่งเท่าไร เรากำลังอยู่ฝั่งเขมร หรือลอยอยู่ในทะเลไทย กัปตันตอบว่า "ไม่รู้" ขณะที่เครื่องเรือเงียบสนิทและรอให้พายุสงบ

ท้องทะเลยังปั่นป่วนต่อไป เรือจะอับปางลงนาทีหนึ่งนาทีใดก็ไม่รู้ ผมขึ้นจากท้องเรือเพราะสู้กับปริมาณน้ำทะเลที่คลื่นซัดเข้าเรือไม่ไหว มานั่งกอดเสาอยู่หน้าจอมพล ป. ไม่มีอะไรทำที่ดีไปกว่าภาวนา บนบานศาลกล่าวนึกถึงพระนึกถึงเจ้า พร้อมทั้งคิดว่าเราไม่เคยสร้างกรรมชั่วอะไรไว้ ทำไมจะต้องมาตายอย่างทารุณกลางทะเลบ้าอย่างนี้

ผมยังคิดว่า ถ้าตกลงไปในทะเลบ้า หรือมีเหตุให้เรือจม หรือจมไปกับเรือ ผมจะยิงขมับตัวเองทันทีจะไม่ยอมทรมานด้วยการจมน้ำตายเด็ดขาด

เหตุการณ์อันน่าหวาดกลัวและตื่นเต้นที่เกิดขึ้นกับพวกเราในครั้งนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติ พวกเราเองก็รู้ว่ามันต้องเกิดขึ้น ทุกคนได้เตือนแล้ว หน้ามรสุมเช่นนี้ไม่มีใครกล้าออกทะเล แม้จะเป็นเรือขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์การเดินเรือพร้อมก็ตาม แต่เราจำเป็นต้องออก และไม่คิดว่าทะเลจะบ้าคลั่งอย่างรุนแรง น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้ พวกเราปลงตกว่าไม่มีใครแก้ได้ ทุกคนทำอะไรไม่ได้ นอกจากระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองเท่านั้น

ภัยที่พวกเราผจญอยู่ในคืนนั้น มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวสุดขีด คงไม่มีภัยใดที่น่ากลัวเท่านี้หรือกว่านี้อีกแล้ว ในช่วงที่เครื่องเรือดับและเรือผจญคลื่นขนาดใหญ่ของทะเลที่บ้าคลั่ง พายุโหมกระหน่ำอย่างไม่ปรานี การอยู่ในสภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำใจให้สงบพร้อมที่จะตาย เหตุการณ์รุนแรงอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง มันเป็นครึ่งชั่วโมงที่ยาวนาน เป็นครึ่งชั่วโมงที่ทรมานโหดร้ายที่สุดในชีวิต

ลมฝนค่อยเบาลง แน่นอนคลื่นเล็กลงเป็นลำดับ ในที่สุดท้องทะเลก็เงียบสงบอีกครั้ง ผมหายจากอาการเมาคลื่น รีบลงไปใต้ท้องเรือช่วยกันวิดน้ำออกจนหมด เอาผ้ามาบิดให้แห้ง เช็ดเครื่องเรือ เผาหัว ติดเครื่องได้อีกครั้ง

ที่แน่นอนที่สุดของธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ หลังพายุฝนท้องฟ้าจะแจ่มใส ดวงดาวบนท้องฟ้าระยิบระยับ กัปตันเรือสามารถบอกได้ทันทีว่าขณะนี้เราอยู่ที่ไหน ห่างจากฝั่งเท่าไหร่โดยอาศัยดวงดาว ซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่เดินเรือของพวกเขา

ถึงตีห้าเศษๆ คณะจึงรู้ว่าเรืออยู่ทางทิศตะวันออกเพราะท้องฟ้าเริ่มสว่างจ้าเห็นชัดเจนจนมองเห็นฝั่ง และเบื้องหน้าคือ "เกาะกง" จุดหมายการลี้ภัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เรือแล่นเข้าเกาะกงอย่างช้าๆ และก่อนถึงฝั่งทหารประจำเกาะขับเรือเข้าเทียบเรือประมงของคณะผู้ลี้ภัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม แจ้งให้ทหารเหล่านั้นทราบว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน และต้องการมาลี้ภัย ทหารเขมรรับทราบและให้คณะลอยเรือรออยู่ก่อนเพื่อจะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ครู่ต่อมาทหารเขมรได้ขึ้นมาควบคุมเรือแล้วลอยลำเข้าไปยังเกาะและเชิญให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม คุณฉาย วิโรจน์ศิริ และพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ พักอาศัยที่เรือนรับรองในค่ายทหาร ส่วนนายดาบตำรวจเฉลิม ชัยเชียงเอม กัปตันเรือ และลูกเรือ ทางทหารเขมรปล่อยให้เดินทางกลับประเทศไทย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 18:27
ในขณะนั้นสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุ พระประมุขประทับรักษาพระองค์ที่ประเทศฝรั่งเศส และทรงมอบให้สมเด็จพระราชบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐบาลต้องรอรับสั่งจากสมเด็จเจ้านโรดมสีหนุว่าจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงให้ลี้ภัยที่เขมรได้ เพราะครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยลี้ภัยการเมืองที่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน และรับสั่งให้ดูแลรับรองคณะจอมพล ป. พิบูลสงคราม อย่าให้ขาดตกบกพร่อง หลังจากนั้น ๒ วัน ผู้บังคับการค่ายทหารแจ้งแก่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่ารัฐบาลยินดีให้ลี้ภัยได้และรัฐบาลจะจัดรถมารับไปยังกรุงพนมเปญในวันรุ่งขึ้น

รุ่งเช้าของวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ รัฐบาลจัดเรือรบมารับจอมพล ป. พิบูลสงคราม และคณะ จนกระทั่งบ่ายโมงเรือรบเดินทางถึงเมืองเสียมเรียบซึ่งเป็นเมืองชายทะเลของเขมร และคณะต้องเดินทางต่อด้วยรถยนต์อีก ๔ ชั่วโมง จึงถึงกรุงพนมเปญ สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุรับสั่งให้คณะพักที่บ้านหลังใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้หลังพอเหมาะในบริเวณพระราชวังของพระองค์

วันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจอารักขานายกรัฐมนตรีผู้ลี้ภัยได้เดินทางไปยังสถานทูตไทย ณ กรุงพนมเปญเพื่อรายงานตัวและตั้งใจจะเล่าเรื่องราวการเดินทางให้ทูตรับทราบและถูกทูตปฏิเสธไม่ให้เข้าพบโดยแจ้งผ่านเจ้าหน้าที่ว่าไม่อยู่ บังเอิญที่ในเย็นวันนั้นทูตทหารไทยประจำกรุงพนมเปญได้มาเยี่ยมจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อเอาบุหรี่นาวีคัท มามอบให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เพราะท่านชอบสูบบุหรี่ยี่ห้อนี้ พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงมีโอกาสพูดคุยกับทูตทหารท่านนี้และรับทราบว่าผู้มีอำนาจที่แท้จริงของไทยคือจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทูตทหารจะเดินทางกลับประเทศไทยในวันรุ่งขึ้น พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงถือโอกาสขอร้องให้ทูตทหารช่วยเรียนกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือพลโทถนอม กิตติขจร หรือพลโทประภาส จารุเสถียร ท่านใดท่านหนึ่งถึงการทำหน้าที่อารักขานายกรัฐมนตรี และเมื่อหมดหน้าที่แล้วจะขอเดินทางกลับประเทศไทย พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ พูดกับท่านทูตทหารว่าถึงรัฐบาลไม่ให้กลับก็จะกลับเพราะไม่มีความรู้อื่นใด จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่มีเงินพอที่จะอุปการะได้โดยตลอด และยินดีให้รัฐบาลจับถ้าเห็นว่ามีความผิดที่ทำหน้าที่อารักขานายกรัฐมนตรี

๑ สัปดาห์ผ่านไป ทูตทหารกลับจากไทยมาบอกกับพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ว่าได้ไปรายงานต่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่ถึงการลี้ภัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม คณะปฏิวัติพิจารณาแล้วเห็นว่าพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ไม่มีความผิดอะไร ให้เดินทางกลับประเทศไทยได้

สถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญได้ออกหนังสือรับรองสัญชาติไทยให้พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ เพื่อใช้ซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นคนออกค่าตั๋วเครื่องบินของบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ให้ วันเดียวกันนี้ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม พลตรีนิตย์ พิบูลสงคราม บุตรชาย และนาวาโททินกร พันธ์กวี กลับจากประชุมสภาสตรีสากลที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้ไปพบกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เขมร ซึ่งพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ถือว่าได้เสร็จสิ้นภารกิจการเป็นนายตำรวจอารักขาของตนเองแล้ว

วันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ เวลา ๑๖.๐๐ น. พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ได้กราบลาจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีผู้ลี้ภัย และเดินทางถึงสนามบินดอนเมืองในช่วงค่ำ ซึ่งต้องเผชิญกับกองทัพนักข่าว พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ต้องการรายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบก่อนให้ข่าวกับสื่อมวลชน จึงคิดหนีกองทัพนักข่าว โชคดีได้พบกับนาวาอากาศเอกกระแสร์ อินทรัตน์ (ภายหลังเป็นพลอากาศเอก อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ผู้บังคับการกรมอากาศโยธิน จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร นาวาอากาศเอกกระแสร์ อินทรัตน์ จึงนำขึ้นรถจี๊ปของทหารอากาศออกมาทาง กองบิน บน. ๖ แล้วออกถนนพหลโยธิน ไม่มีนักข่าวคนใดตามมาเลย จากนั้นได้ไปรายงานตัวต่อพลตำรวจโท หลวงแผ้วพาลชน ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งได้สอบถามพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ เพียงไม่กี่คำจากนั้นได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ ๒ สันติบาล เป็นผู้สอบสวน ซึ่งถูกสอบอยู่ ๘ ชั่วโมง ไม่ได้เข้าประเด็นอะไร รุ่งขึ้นพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงขอพบพลตำรวจเอกไสว ไสวแสนยากร อธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ แทนพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ และเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง

พลตำรวจเอกไสว ไสวแสนยากร อธิบดีกรมตำรวจ แจ้งว่าไม่มีใครติดใจอะไร และแจ้งว่านายพจน์ สารสิน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องการให้เป็นนายตำรวจอารักขา พันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ปฏิเสธขอไปทำหน้าที่ตำรวจตามวิชาชีพแต่ไม่อาจปฏิเสธได้คงต้องเป็นตำรวจอารักขานายกรัฐมนตรีอีก ๒ ท่าน นายพจน์ สารสิน และพลเอกถนอม กิตติขจร ซึ่งได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ หน้าที่การเป็นตำรวจอารักขาของพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ จึงสิ้นสุดลง

อนึ่งหลังจากลี้ภัยอยู่ในเขมรเป็นเวลา ๒ เดือน จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เดินทางลี้ภัยที่ประเทศญี่ปุ่นพร้อมท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยา ได้อุปสมบทที่พุทธคยาและเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งคราว และถึงอสัญกรรมที่บ้านพักชานกรุงโตเกียว เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ขณะอายุได้ ๖๗ ปี ส่วนพันตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ครองยศสูงสุดคือพลตำรวจเอก และดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมตำรวจ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ๒ สมัย และในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ๒ สมัย และถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ขณะอายุได้ ๘๓ ปี


ข้อมูลจาก "ตำรวจอารักขา" ของพลตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ หนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพลตำรวจเอกชุมพล โลหะชาละ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร วันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๔


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ส.ค. 10, 19:11
นี่เป็นอีกสำนวนหนึ่งของพ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพที่คนนำไปอ้างอิงกันมาก และเป็นตัวอย่างของเรื่องที่เขียนจากเขาเล่าว่า มิได้เห็นด้วยตาและฟังด้วยหูของตนเอง เรื่องเดียวกันแท้ๆ บางสาระก็ผิดเพี้ยนเป็นคนละเรื่องไปเลย

 จอมพล ป. เผ่น !

มาได้ข่าวทีหลังว่า ในวันที่เกิดเรื่องปฏิวัตินั้น ท่านจอมพล ป. ไม่ได้เข้าไปพบหัวหน้าคณะปฏิวัติตามคำประกาศเชิญ ท่านออกจากทำเนียบก็ขึ้นรถหลบหนีไปทางทิศตะวันออกทันที โดยเลียบฝั่งทะเล มุ่งหน้าไปทางเมืองชล ฯ จะไปพักพิงที่สัตหีบ ที่นั่นลูกชายของท่านเป็นผู้บังคับการทหารเรือฝ่ายนาวิกโยธิน อยู่ที่หน่วยนาวิกโยธินสัตหีบ ชื่อ พลเรือตรี ประสงค์ พิบูลสงคราม

ผบ. นาวิกโยธินผู้นี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมเมื่ออยู่โรงเรียนสวนกุหลาบ ไปยังไงมายังไง ถึงได้เป็น ผบ. นาวิกโยธินที่สัตหีบได้ ผมก็ไม่ทราบ

ท่านจอมพล ป. ไปตั้งหลักที่นั่นกับลูกชาย เปิดวิทยุฟัง ท่านมีนายตำรวจประจำตัวท่านติดตามไปด้วย นายตำรวจผู้นั้น ชื่อ พันตำรวจโท ชุมพล โลหะชาละ ผู้กำกับกอง 4 กองบังคับการตำรวจสันติบาล นายตำรวจผู้นี้ ผมส่งไปเป็นนายตำรวจติดตามท่านจอมพล ป. ให้มีหน้าที่อารักขาท่านจอมพล ป. โดยเฉพาะ โดยตำแหน่งเขาก็เป็นผู้บังคับการกองกำลังของตำรวจสันติบาลอยู่ด้วย เป็นหน้าที่ของกอง 4 โดยตรง

ท่านจอมพล ป. ไปเปิดวิทยุฟังอยู่ที่สัตหีบ ท่านได้ยินเขาเชิญให้ไปปรับความเข้าใจเหมือนกัน ท่านพูดกับผู้ที่นั่งฟังวิทยุด้วยกันว่า

“ เดี๋ยวเหอะ มาร์ชตำรวจคงขึ้น คอยฟังกันดีกว่า เผ่า ฯ เอาแน่ ”

แต่มาร์ชตำรวจก็ไม่ดังสักที กลับกลายเป็นประกาศคณะปฏิวัติดังออกมาว่า “ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมตำรวจได้เข้าพบทำความเข้าใจกับหัวหน้าคณะรัฐประหารแล้วที่หอประชุมกองทัพบก ”

ท่านจอมพล ป. ก็อยู่ไม่ได้ ผิดความคาดหมายอย่างจัง ท่านเลยต้องออกจากที่นั่นไป ขืนอยู่ก็ไม่แน่ว่า ทางคณะปฏิวัติจะเอาอย่างไรกับท่าน และลงบุคคลทั้งสองได้พบกันอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตกลงกันได้แค่ไหน ท่านเองก็ได้วางหมากไว้กับบุคคลทั้งสองนี้มามาก

เผ่นดีกว่า !

ท่านจอมพล ป. ใช้พาหนะของนาวิกโยธินที่นั่น อพยพออกไปทางชายแดนด้านนั้น ข้ามแดนเข้าไปในแดนเขมร ท่านเคยช่วยสีหนุไว้แล้ว ตอนที่หนีฝรั่งเศสมาพึ่งไทย ผมเป็นคนไปรับมาจากชายแดนมาไว้ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์คราวนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2500 นั้น สีหนุครองเขมรอยู่ คงจะเป็นที่พักพิงได้ดีกว่าที่จะอยู่ในเมืองไทย

ผู้กำกับชุมพล ฯ ทำหน้าที่ของเขาอย่างสมหน้าที่ เขาติดตามขบวนท่านจอมพล ป. ไปส่งจนถึงชายแดน ข้ามชายแดนเข้าไปในเขมรโดยสวัสดิภาพแล้ว ตัวเขาจึงกลับเข้าเมืองไทย หมดหน้าที่แล้วก็กลับกรุงเทพ ฯ มารายงานตัวกับคณะปฏิวัติ

งานอารักขาบุคคลสำคัญตามคำสั่งจบลงแล้ว กลับเข้ากรมกอง รายงานตัวเข้าที่ตั้งเดิม ไม่มีใครตอแยอะไรกับเขา เขาคงทำหน้าที่ผู้กำกับกอง 4 อย่างปกติ

คณะรัฐประหารกลับชมเชยเขา ในฐานะที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ตามที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา และให้เขาเข้าทำหน้าที่ตามเดิม แถมยังปูนบำเหน็จให้อีกสองขั้น เนื่องจากเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เข้มแข็ง สมกับที่ผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ รักษาความปลอดภัยให้ผู้ใหญ่ที่ตนได้รับคำสั่งให้ไปอารักขาสำเร็จตามหน้าที่

เขาเจริญเติบโตในหน้าที่ราชการอยู่กรมตำรวจจนถึงตำแหน่งสุดยอดของกรม ได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจในยศ พลตำรวจเอก และเกษียณอายุราชการไปบนตำแหน่งนี้

เป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่ท่านับถือในความจริงใจและรักหน้าที่อย่างเคร่งครัด หาได้ยาก

ท่านอธิบดีเผ่า ฯ และพวกผมได้รับทราบข่าวนี้เมื่ออยู่ที่เจนีวา เราก็ชมเชยน้ำใจเขา และรู้สึกภาคภูมิใจไปกับเขาด้วย

ไม่เหมือนกับบุคคลอีกหลาย ๆ คนที่ เมื่อเราพ่ายแพ้ไปอย่างสุภาพบุรุษ กลับหันมาเหยียบย่ำเราอย่างเจ็บแสบ ทั้ง ๆ ที่เมื่อท่านอธิบดีเผ่า ฯ ยังอยู่ในอำนาจ เขาเหล่านั้นก็ได้เข้ามาพักพิงภายใต้ร่มใบบุญ เป็นใหญ่เป็นโตด้วยบารมีของท่าน ที่เขาเข้ามาอาศัยพักพิง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 21 ส.ค. 10, 21:45
รูปนี้จอมพลสฤษดิ์ถ่ายกับโรเบิร์ต เคนเนดี้(ถ้าจำไม่ผิด)  ตอนท่านไปรักษาตัวที่อเมริกา   ที่จริงท่านก็ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี รัฐประหารเสร็จก็ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง    นายกฯคือคุณพจน์    แต่อเมริกาก็ต้อนรับท่านอย่างผู้นำ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 22 ส.ค. 10, 00:19
ไม่ได้เข้าเรียนวิชานี้เสียหลายวัน วันนี้ขอเช็คชื่อเข้าเรียนค่ะ คงจะไม่สายเกินไปนะคะ
มาตามคำร้องขอจาก อาจารย์เทาชมพูที่ให้คนที่เกิดทันจำอะไร ๆ ได้บ้าง มาแบ่งปันเรื่องราวค่ะ

อันที่จริง ยุคจอมพล ป.นั้น ดิฉันยังจำอะไรไม่ได้เลย แต่ครอบครัวได้รับผลกระทบจากคุณเผ่ามากมาย
คุณปู่ดิฉัน (เจ้าของรถ Fiat คันงามของอาจารย์เทา)ได้รับตำแหน่งนักโทษการเมือง เอาไปขังฟรี ๆ ไม่มีการขึ้นศาล เพียงเพราะว่า ไม่ยอม "ใส่ซองกฐิณ" ของคุณเผ่าค่ะ

เราได้รู้จักหน้าตาของที่คุมขังนักโทษการเมือง และ ชะตากรรมที่ไม่มีวันฟื้นหลังการใส่ร้ายป้ายสีนั้น

ความจริง จอมพลแปลก ท่านเสื่อมเพราะคุณเผ่านะคะ จะทำดีอย่างไร ก็ทำไม่ขึ้น 

จอมพลสฤษดิ์นั้น ทำให้บ้านเมืองสงบมาก จำได้แม่น และ ทำให้ทุกคนมุ่งสร้างเศรษฐกิจด้วยคำขวํญที่เราเด็ก ๆ ในสมัยนั้นจะตามอ่านได้จากผ้าใบกันแดดหน้าห้องแถวริมถนนว่า "งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข"

รถ Ford Thunderbird ของจอมผล ป. นั้น เคยได้ยินว่า หลังจากท่านลี้ภัยไปแล้ว รถรุ่นนี้ ได้กลายเป็นของกำนัลที่ จอมพลผ้าข้าวม้าแดง แจกให้นางเล็ก ๆ คนละคัน ที่จำได้เพราะ หนังสือที่กล่าวถึงเรื่องนี้ เอารูปมาลงให้ดูด้วย

หน้าตาของรถ ด้านหัว จะเหมือนปลาเก๋า หัวโต ปากกว้าง และตอนท้าย มีปีกมีครีบ คุณอาดิฉันเป็นตำรวจสันติบาล ไปซื้อรถมือสองสีแดงแจ็ด ขับมารับหลานที่โรงเรียนกลับบ้าน ดิฉันอายเพื่อน ๆ มาก เพราะหน้าตาและสีมันเชยระเบิด

คุณ Navarat C. คะ ขอกราบขอบพระคุณงาม ๆ กับทุกบทความที่นำมาเล่าปะติดปะต่อให้ได้เห็นหน้าตาประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่คนไทยไม่ได้เรียน ไม่มีโอกาสรู้ เพราะเป็นช่วงยุคทมิฬ

ดิฉันเป็นหลานเสรีไทย และหลานนักโทษการเมือง ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในยุคนั้น เพราะสิ่งที่เกิดกับปู่ ทำให้ทุกคนในบ้าน ไม่ยอมพูดการเมืองอีกเลย ลามปามมาถึงวันสอบ Entrance ที่ดิฉันถูกตัดสิทธ์ไม่ให้เลือกบางมหาวิทยาลัย เพราะกลัวจะไปยุ่งการเมือง

เรื่องราวในยุคนั้น ต้องมาค้นหาอ่านเอาเองในภายหลัง จึงมาเป็นแฟนเรือนไทยเงียบ ๆ อยู่นาน ได้รับข้อมูลที่ขาดหายไปมากมายอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ

กราบขอบพระคุณทุกท่านที่มาช่วยกันเติมประวัติศาสตร์ค่ะ และ อยากให้เรื่องในนี้ ได้รับการรวมเล่มนะคะ คุณ Navarat น่าจะรับตำแหน่งผู้เรียบเรียงนะคะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 09:03
^
ที่คุณร่วมฤดีเขียนมาทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ไม่นึกว่าจะมีผลทำให้คนๆหนึ่ง ที่บุคคลในครอบครัวโดนผลกระทบเป็นเหยื่ออธรรมทางการเมือง แต่ไม่ทราบเรื่องทราบราวว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ได้ทราบเรื่องที่มันเกิดขึ้นแล้วในบ้านเมืองนี้จริงๆ บางรายหลงโทษตัวเองว่าไปขวางทางเขา บางรายแม้ทราบว่าตนเองบริสุทธิ์ก็ไม่มีปัญญาอธิบายแก้ตัวต่อสังคม หลายครอบครัวต้องก้มหน้ารับมลทินผ่านจากพ่อมาถึงลูกอย่างหน้าเห็นใจ

ขอบคุณมากครับที่คุณร่วมฤดีสะท้อนความเห็นกลับมาเช่นนี้
เรื่องต่างๆที่เล่ามาก็น่าสนใจมาก ว่างๆถ้าวันไหนไม่ดึกเกินไป ช่วยขยายความให้ยาวๆหน่อยจะได้ไหมครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 22 ส.ค. 10, 09:05
รถที่จอมพลผ้าขาวม้าแดงแจกคือรถฟอร์ดเทานุสค่ะ  กระทรวงการคลังซื้อมาประมาณปี ๒๕๐๒ - ๒๕๐๓  

ผู้บริหารของโรงงานยาสูบได้รับแจกเป็นรถประจำตำแหน่งกันหลายคน

ผู้คนมักจะจ้องมองหญิงสาวที่นั่งรถเทานุส  เรียกกันว่ารถเมียน้อย

ตอนนั้นนายหน้าก็วิ่งหาหญิงสาวหน้าตาดีไปให้ท่านเป่ากระหม่อม

ลือกันเป็นไฟพะเนียงว่า  สาวน้อยนักศึกษาแพทย์จากตระกูลนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของประเทศไทย  ได้สมัครเป็นสมาชิกของฮาเร็ม

โดยถ่ายภาพเปลือยส่ง  เพราะครอบครัวมีปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง     ท่านรับค่ะ

เรื่องนี้กระเทือนใจชาวบ้านอยู่บ้าง  


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 09:20
Ford Taunus 1959 ครับ เข้ามาใหม่ๆก็ฮือฮาดี เพราะหน้าตาสมัยนั้นก็ถือว่าหล่อไม่เบา แต่พอทราบกิตติศัพท์ที่คุณวันดีว่าคนเลยถอยกรูด ทำเอารถยี่ห้อนี้เจ้งไปเลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: sirinawadee ที่ 22 ส.ค. 10, 10:15
เนื้อหาในบลอคที่อาจารย์เทาชมพูลงไว้ให้อ่านในความเห็น 232 ผู้เขียนคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ค่ะ

น่าจะเป็นหนังสือที่ระลึกเนื่องในวาระครบรอบอายุ 60 ปีของท่าน (ผิดถูกอย่างไรโปรดอภัยค่ะ ต้องไปรื้อหนังสือดูอีกครั้ง)

หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกมาก ท่านเขียนเรื่องราวตั้งแต่ท่านเกิด ไปเรียนเมืองนอก กลับมารับราชการ จนถึงช่วงท้ายของชีวิต แต่เล่มที่มีอยู่เนื้อหาบางตอนไม่ได้นำมาลง เนื่องจากท่านผู้เขียนระบุไว้ว่า เดิมทีท่านเขียนให้ลูกหลานอ่าน แต่เมื่อจัดพิมพ์และมีบางช่วงบางตอนที่ (คิดว่า) น่าจะเป็นประเด็นอ่อนไหว เช่น คดีเขาพระวิหารในยุคนั้น จึงได้ถูกตัดออกไปค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 10:19
ลูกชายของท่าน พล.ต.อนันต์ พิบูลสงครามเขียนเล่าเหตุการณ์ในวันที่จอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติว่า ตนนั่งคุยอยู่กับพ่อพร้อมบุคคลอื่นๆถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นร่วมสองชั่วโมง ท่านจอมพลมิได้มีสีหน้าหรือแสดงท่าทีวิตกกังวล น้ำเสียงที่คุยร่าเริงเป็นปกติ สิ่งที่ท่านห่วงคือ “พ่อเกรงคอมมิวนิสต์จะเข้ามา” (ตอนนั้นเพื่อนบ้านของเราทั้งลาว เขมร และญวนล้วนมีกองกำลังฝ่ายซ้ายเปิดสงครามกองโจรกับฝ่ายรัฐบาลเสรีประชาธิปไตยอยู่อย่างเข้มข้น และโยงใยเข้ามาเพาะเชื้ออยู่ที่ภาคอิสานของเราก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แหละเป็นเหตุให้อเมริกากลัวหนักกลัวหนาว่าไทยอาจจะกลายเป็นสมรภูมิอีกแห่งหนึ่งที่จีนคอมมิวนิสต์จะรุกเอาให้ได้)  แต่พล.ต.อนันต์ไม่ได้บอกว่าท่านจอมพลนั่งรอเหตุการณ์อะไรอยู่ที่ทำเนียบ ผมเดาว่าท่านคงจะรอผลปฏิบัติการจู่โจมของเผ่า และคงอดเป็นห่วงไม่ได้หากไม่เป็นไปตามแผนแล้วตำรวจกับทหารรบกัน พวกใต้ดินคอมมิวนิสต์อาจจะโผล่ขึ้นมาซ้ำเติมได้ ผมอ่านหนังสืออีกเล่มหนึ่งว่ามีการเตรียมจะเผาบ้านเผาเมืองอยู่เหมือนกันถ้าเมื่อไรมีการปะทะเกิดขึ้น แต่เขียนเวอร์ๆอยู่ ผมจึงไม่ควรจะกล่าวถึง

พล.ต.อนันต์เขียนว่าตนลาพ่อกลับบ้านตอนนั้นเพิ่งสองทุ่ม มาถึงบ้านได้ข่าวว่ารถถังออกมาจึงรีบกลับไปที่ทำเนียบอีก แต่ก็ถึงเกือบสามทุ่ม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์บอกว่าคุณพ่อขับรถซีตรองออกไปแล้วพร้อมกับคนอื่นๆสามสี่คน เรื่องของเวลานี้ พล.ต.อ.ชุมพลเขียนว่าออกเดินทางประมาณหนึ่งทุ่ม จึงอาจจำผิด นั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่ที่ผมเขียนไปว่า หลังจากสองยามท่านจอมพลได้รับรายงานจากเผ่าว่าสฤษดิ์ปฏิวัติแล้วจึงรีบหนีนั้น คงผิดเสียแล้ว พ.ต.อ.พุฒผู้อยู่ในเหตุการณ์เขียนเล่าไว้ เผ่าไปนั่งกินเหล้าเมาแอ๋กับลูกน้องอยู่แถวซอยสารสินจริง และกว่าจะรู้ว่าสฤษดิ์ลงมือปฏิวัติก่อนก็จากวิทยุ  และไม่ได้กล่าวว่าเผ่าทราบเรื่องแล้วรีบโทรไปรายงานท่านจอมพล แต่ถึงแม้จะโทรเอาตอนนั้น ท่านคงขับรถตะบึงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แสดงว่าสายข่าวของท่านจอมพลเร็วกว่าเยอะ

ใจความสำคัญที่พล.ต.อนันต์เขียนในฐานะที่ได้รู้ได้ฟังด้วยตนเองก็คือ ท่านจอมพลตัดสินใจไปจากแผ่นดินเกิดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทหารและตำรวจ ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันจะฆ่ากันเองโดยเปล่าประโยชน์ และท่าน“พอแล้ว”ทางการเมือง

การที่ท่านจอมพลตัดสินใจหนีเข้าเขมรทางเกาะกงก่อน เพราะมั่นใจในความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ท่านเคยมีกับเจ้าสีหนุ สมัยที่เสด็จหนีฝรั่งเศสมาลี้ภัยทางการเมือง ประทับอยู่โรงแรมรัตนโกสินทร์ที่เมืองไทยหลายเดือนในระหว่างที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี (นี่กระมังที่ทำให้เจ้าสีหนุทรงปิดปากไม่กล้าทวงเขาพระวิหารคืนในสมัยจอมพลป.) ซึ่งก็มิได้ผิดหวัง แม้เจ้าสีหนุจะไปประทับรักษาตัวอยู่ในปารีส ครั้นทรงทราบก็โปรดให้เอาเรือรบหลวงมารับท่านจอมพลถึงเกาะกง ไปอยู่ในพนมเปญ ซึ่งที่นั่นได้พระราชทานตำหนักจามกามนให้อยู่ รวมทั้งข้าวปลาอาหารเสื้อผ้าตลอดระยะเวลา4เดือนที่อยู่ในเขมรด้วย

ทันทีที่ทราบว่าท่านอยู่พนมเปญแล้ว  พล.ต.อนันต์เข้าไปขออนุญาตจอมพลสฤษดิ์พามารดาและน้องไปหาท่านจอมพล จอมพลสฤษดิ์ได้เขียนจดหมายส่วนตัวหลายหน้ากระดาษฝากให้นำไปให้ แล้วกล่าวด้วยเสียงที่แสดงความจริงใจว่า “ผมไม่เคยคิดว่าท่านจะต้องเดินทางระหกระเหินได้รับความยากลำบากถึงเพียงนี้ อยากจะให้ท่านกลับมาอยู่กับพวกเรา อยากจะคุกเข่าลงกราบขอโทษท่าน”

แต่ท่านจอมพลได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะขออยู่ที่ใดก็ได้ที่มีศักดิ์ศรี  มีเกียรติ  และมีความสงบ ซึ่ง..ประการหลังนี้คงหาไม่ได้จากเมืองไทยหากจะกลับมาตามคำวิงวอนของจอมพลสฤษดิ์


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 11:22
เรื่องราวที่ผมจะดำเนินต่อไป จะอาศัยจดหมายที่ท่านจอมพลมีไปถึงครอบครัวเป็นหลัก ผมคัดตัดตอนมาเพื่อให้กระชับ เหมาะสำหรับการนำเสนอในกระทู้ และเป็นเรื่องข้อเท็จจริงอันน่าสนใจยิ่งกว่าฝอยที่ใครๆ(รวมทั้งผม)ชอบเขียนเป็นบันเทิงคดี

ท่านจอมพลเดินทางออกจากเขมรไปอยู่ญี่ปุ่นเพราะค่าครองชีพที่นั่นถูกกว่า ตรงนี้น่าสนใจนะครับ ญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามใหม่ๆ ของบางอย่างถูกมาก อีกอย่างหนึ่งการที่อยู่ใกล้จ้าวนายในพนมเปญ รอรับพระกรุณาจากเจ้าสีหนุ ย่อมจะทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีไทยอย่างท่านอึดอัดแน่นอน แต่ตรงนี้ท่านไม่ได้กล่าวถึง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 11:32
ส่วนท่อนนี้เป็นหลักฐานยืนยัน สายสัมพันธ์ระหว่างจอมพลสฤษดิ์กับท่าน และความรู้สึกแท้จริงของคณะปฏิวัติที่มีต่อท่านจอมพล และจิตใจที่เข้มแข็งของท่านแม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 11:39
ความเป็นผู้เคารพกติกา


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 12:47
ท่านจอมพลอยู่ในย่านชินจุกุ ที่โตเกียว โดยนายวาดะ คหบดีญี่ปุ่นผู้จัดการบริษัทน้ำมันมารูเซนยกบ้านหลังหนึ่งให้พำนักอาศัย ท่านผู้อ่านคงจำบทบาทของนายวนิช ปานะนนท์ คนของจอมพลป1ในการจัดซื้อน้ำมันจากญี่ปุ่น โดยการแลกกับการค้าข้าวได้นะครับ เรื่องบุญคุณ ผู้เจริญแล้วย่อมไม่ลืม

ระหว่างนั้น มีข่าวทางเมืองไทยว่ารัฐบาลพล.อ.ถนอมปีปัญหาเรื่องปิดหีบงบประมาณไม่ลง ต้องเสนองบประมาณติดลบต่อสภา เลยถูกส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเองแสดงความอวดรู้ ดุว่าสั่งสอนนายกรัฐมนตรีเป็นการใหญ่ กว่าจะยอมยกมือปล่อยให้ผ่านได้ก็ต้องตบปากไปคนละหลายหมื่น พอรัฐบาลจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราภาษีบางตัวเพื่อหาเงินมาชดเชย พวกนี้ก็รุมกันด่าท่านอีกทั้งในสภาและนอกสภา พล.อ.ถนอมท่านก็ตอบว่า บาปนี้ท่านไม่ได้ก่อ  แต่เป็นหนี้สาธารณะที่รัฐบาลชุดก่อนสร้างไว้ จำเป็นต้องดึงเงินงบประมาณส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ระยะยาว รัฐบาลของท่านมีหน้าที่ต้องผ่อนส่งคืนแก่เจ้าหนี้ตามข้อผูกพัน ตรงนี้เองที่มีการอ้างอิงไปกระทบกับท่านจอมพล ทำให้ท่านต้องแก้ตัวเขียนบทความมาให้หนังสือพิมพ์ในเมืองไทยเพื่อตอบโต้   บัดนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ซึ่งได้กระทำตัวเป็นศัตรูถาวรกับรัฐบาลป.2 ได้ทีก็เขียนบทความลงสยามรัฐ  วิจารณ์ท่านกลับเป็นคอลัมน์ประจำ โดยใช้สรรพนามเรียกท่านว่าจอมพลแปลกโดยตลอด ท่านจอมพลก็เลยงานเข้า

วิวาทะที่โยนข้ามไปข้ามมาระหว่างญี่ปุ่นกับไทยกลายเป็นการตอบโต้ระหว่าง จอมพลแปลก ที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เรียก กับหม่อมฆึกฤทธิ์ที่ท่านจอมพลเรียก นอกจากนั้นท่านยังได้เสนอ “บทเรียนทางการคลัง” เขียนยาวๆเป็นตอนๆ ทยอยมาให้หนังสือพิมพ์ถึง4บท ท่านอรรถาธิบายว่าท่านมีเวลาว่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เกิดสมาธิเขียนข้อเท็จจริงต่างๆที่ได้ทำลงไป เช่น การกู้เงินมาสร้างเขื่อน สร้างทาง สร้างโรงพยาบาล สร้างสถานศึกษา ชาวไร่ชาวนา ประชาชนได้อะไร มีตัวเลขละเอียดยิบ กู้มาเท่าไหร่ ใช้ไปเท่าไหร่ ผลผลิตเพิ่มเท่าไหร่ เก็บภาษีได้เท่าไหร่ ผ่อนเท่าไหร่ สมัยของท่านหลังจากจ่ายเงินงวดชำระหนี้ ซึ่งรวมหนี้ระยะยาวที่รัฐบาลไทยกู้ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่5 และรัชกาลที่6ด้วยแล้ว งบประมาณยังเป็นบวก เอาไปใช้อย่างอื่นได้อีก  
ถึงตรงนี้ปัญญาชนที่เอางบประมาณเก่าๆของรัฐบาลมาเปรียบเทียบก็ชูมือให้ท่านจอมพลไปแล้ว  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ออกอาการว่า ผมไม่ใช่คนว่างงานจะได้ไปมีเวลาไปขุดค้นเรื่องเก่าๆเพื่อเขียนหนังสือตอบโต้ท่าน ทั้งคู่ซัดกันเหมือนตีปิงปองในอักษรยุทธ์จนรู้แพ้รู้ชนะตรงนี้ประมาณ3เดือน แต่ท่านจอมพลก็ยังต้องต่อสู้ป้องกันตนเองด้วยการเขียนบทความมาลงหนังสือพิมพ์ต่อไปในเรื่องต่างๆอีกจนถึงเดือนสิงหาคม  เรื่องใหญ่กว่าก็มากลบ

พอจอมพลสฤษดิ์ปฏิวัติครั้งที่2 ถือว่าสิ้นยุคประชาธิปไตย ท่านจอมพลได้เดินทางออกจากญี่ปุ่นไปสหรัฐอเมริกา อาจจะเป็นความบังเอิญหากดูจากจดหมายฉบับนี้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 13:02
วันอาทิตย์นี้เงียบจริงน้อ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 13:39
ท่านจอมพลตั้งใจเพียงมาเที่ยวอเมริกา โดยปักหลักอยู่ที่เบิร์คเลย์ ในคาลิฟอร์เนีย เข้าใจว่าท่านได้ซื้อฟอร์ดธันเดอร์เบริ์ดคันที่เห็นในรูปจากพิพิธภัณฑ์ของท่านที่ลพบุรี แสดงว่าไม่ใช่วิหกสายฟ้าตัวแรกและตัวเดียวที่ท่านมี เพียงแต่ท่านเป็นแฟนประจำของรถยี่ห้อนี้มาแต่ไหนแต่ไรจนเป็นสัญญลักษณ์ประจำตัวไปเลย  ท่านขับรถคันนี้พาท่านผู้หญิงละเอียดไปเที่ยวยังเมืองในมลรัฐต่างๆอย่างมีความสุข ประสาคนที่เพิ่งเกษียนตนเองจากงานอันหนักอึ้ง ตระเวณอยู่เกือบปีท่านจึงได้กลับบ้านที่ญี่ปุ่น โดยเลือกกลับทางเรือ เข้าใจอีกว่านอกจากจะเป็นวิธีเดินทางท่องเที่ยวสบายๆอย่างหนึ่งแล้ว น้ำหนักของติดตัวของผู้โดยสารบริษัทเรือเขาไม่จำกัด มีปัญญาขนได้เท่าไหร่ก็ขนไป เข้าใจว่าท่านคงเอาเจ้าวิหกสายฟ้าที่เพิ่งซื้อจากอเมริกาลงเรือมาญี่ปุ่นด้วย ดังข้อมูลของท่านอาจารย์เทาชมพู


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 22 ส.ค. 10, 13:42
และเป็นครั้งแรกที่ท่านปรารภถึงเรื่องจะบวช


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 23 ส.ค. 10, 08:16
รถสีแดง มีปีก มีครีบคันที่คุณ Navarat C แปะมาให้ดูที่ 261คันนี้แหละค่ะ
อาขับรุ่นเปิดประทุน มารับดิฉันที่โรงเรียน สมัยที่ใคร ๆ เขาขับ Citroex Prestige
แล้วถูกเพื่อน ๆ ดิฉันโห่แซวกันสนั่นหวั่นไหว

แต่อาชอบใจมาก พูดไม่หยุดปากเลยว่า คันนี้คือรถในฝันของอาเชียว

รูปครอบครัวท่านผู้นำอบอุ่นพร้อมหน้า(ขณะที่ศัตรูการเมืองของท่านกำลังเร่ร่อนลำบากกัน)
คงจะถ่ายที่บ้านบรรทมสินธุ์ หรือ ปัจจุบันคือ บ้านพิษณุโลกใช่ไหมคะคุณ Sila
ดิฉันเดาเอาจากรูปด้านหลังค่ะ

ขอบคุณคุณ Wandee ที่แก้ไขความจำเสื่อมของดิฉันเรื่อง Ford Taunus

และคุณ Sirinawadee คะ ดิฉันมีหนังสือ ชีวประวัติท่าน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชเล่มที่ว่านี้ด้วยแหละค่ะ ท่านเขียนเล่าเรื่องตัวเองให้หลานฟัง และ ท่านก็เป็นคนซอยเดียวกันกับบ้านดิฉันด้วย

อ่านเพราะอยากรู้ว่า
ทำไมฟ้องเอาผิดอาชญากรสงคราม(จอมพล ป.)ไม่ได้
ว่าความเขาพระวิหารแพ้ได้อย่างไร
เป็นนายกก็ถูกเชิญให้ไปเลี้ยงหลานแทนเลี้ยงลิง
ทั้ง ๆ ที่ท่านเรียนเก่งขนาดเกียรตินิยม
อ่านจบก็ยังไม่ชัดเจนค่ะ คิดว่าทุกเรื่องมีเบื้องหลังทั้สิ้น เลยต้องมาเข้าชั้นเรียนวิชานี้ค่ะ

ประเทศไทยมีนักเรียน Oxford เป็นนายก 3 คนแล้วนะคะ หากจำไม่ผิด ก็ท่านเสนีย์ ท่านคึกฤทธิ์ และ ท่านอภิสิทธิ์ แถมด้วยผู้ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็มาจาก Oxford เช่นกันอีก 1 ท่านค่ะ

สมัยเด็ก เราเรียนวิชาหน้าที่พลเมือง เล่าเรื่องคณะราษฎร์เฉพาะความล้มเหลวว่า คนไทยยังไม่พร้อม...????
สรุปแล้ว เราเปลี่ยนการปกครอง หรือ เปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนหัวโขนกันแน่คะ

 






กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 08:42
รถที่จอมพลผ้าขาวม้าแดงแจกคือรถฟอร์ดเทานุสค่ะ  กระทรวงการคลังซื้อมาประมาณปี ๒๕๐๒ - ๒๕๐๓  

ผู้บริหารของโรงงานยาสูบได้รับแจกเป็นรถประจำตำแหน่งกันหลายคน

ผู้คนมักจะจ้องมองหญิงสาวที่นั่งรถเทานุส  เรียกกันว่ารถเมียน้อย


เรื่องนี้ต้องอาศัยโคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา ตอนหนุมานอมพลับพลา ของ จิตร ภูมิศักดิ์ มาขยาย

กลอนเพลงฉ่อย

โอ…งงโหงย

ฉ้อราษฎร์บังหลวง                                         ตักตวงมือเติบ
ฉวยใช้เฉิบเฉิบ                                              ฉาวฉ่า  
กองสลากกินแบ่ง                                          เพื่อนก็แกว่งตีนกวาด
คุมเสร็จเด็ดขาด                                            "ของข้า"
โอ้เงินรัฐไหงริบ                                             ไปงุบงิบง่ายง่าย
ไปกินแบ่งกันสบาย                                         จริงบา
ยังสลากสองชุด                                             เพื่อนกินรุดสองชั้น  
ปากมอมจนเป็นมัน                                         เหมือนปากม้า
อ้างราชการลับ                                              เสวยฉับเซ็นเช็ค
ให้คุณหนูเล็กเล็ก                                           ของป๋า  
ให้เธอนั่งเทานุส                                             มีบ้านชุดคนใช้
แหวนเพชรเม็ดใหญ่                                        วาวตา
เงินนับร้อยร้อยล้าน                                        ราชการของลับ  
จ่ายเพลินจริงเจียวพับ                                      เอ๋ยผ่า
โควต้าทัพบก                                                เอาไปกกเสียสบัด
ไอ้เสือฟิตอมยัด                                            เอาวา
เงินสวัสดิการ                                                ของทหารชัดชัด
ไหงถึงยักเอาไปยัด                                        เอ๋ยห่…
สวัสดิการของรัฐ                                            มาเป็นสวัสดิกู  
เป็นสร้อยเพชรสีชมพู                                      ของเมียข้า  
โอ้ว่าแสนสงสาร                                            เพื่อนทหารของชาติ  
ไม่ได้เห็นเลยสักบาท                                      อนิจจา
รักษาการณ์หาญฮึก                                        รักษาศึกทรหด
ต้องเหนื่อยอ่อนนอนอด                                    อกอา
ยังถูกเสือกถูกไส                                          เป็นคนใช้อีหนู  
โอ้นี่กูหนอกู                                                ทหารกล้า  
เกียรติทหารของชาติ                                       ถูกประมาทชอกช้ำ  
ศักดิ์ศรีก็จะต้องต่ำ                                          เอ๋ยช้า  
โอ้รักษาเอกราช                                             ยอมเป็นทาสนางบำเรอ
มารักษาอีเป๋อ                                                ของป๋า
โอ้แว่นแคว้นแดนไทย                                      ว่ากว้างใหญ่นั้นจริงหรือ
ไหงมีที่เท่าฝ่ามือ                                            ให้รักษา  
โอ้เจ้าดอกขจร                                               ตอนรุ่ง
หอมหวลแต่ในมุ้ง                                            หุยฮา  
โอ้ว่าเงินสวัสดิการ                                           ผลาญสิ้น  
ทหารเอ๋ยจะต้องกิน                                         น้ำตา  

ชา…เอ๋ฉาชา ฉ่า ชา…หนอยแม่ เอย

 ;D




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 08:48
(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=3438.0;attach=13352;image)

ลายมือท่านจอมพล

(http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/11/K8569383/K8569383-0.jpg)

 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 23 ส.ค. 10, 08:59


โอย....คนซอยเอกมัยนี่เอง    สงสัยว่าจะรุ่นเดียวกันหรือใกล้ ๆ กันด้วย

อาจารย์ใหญ่ท่านขี่จักรยานตระเวณอยู่แถวนั้นนานมากมาแล้ว



ชอบเพลงฉ่อยเพราะลูกคู่ลอยหน้าลอยตายุให้หัวหน้าวงออกลายไปตีกับอีกฟากหนึ่ง   ชาฉ่าชา  หน่อยแม่



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 11:00
ท่านจอมพลไม่มีเรื่องต้องตอบโต้ใครอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความหรือว่ากันสดๆแบบเพลงฉ่อย
 
การใช้เวลาว่างเพื่อพบปะเพื่อนฝูงให้สมองไม่ฝ่อ และได้ออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุไม่มีอะไรดีไปกว่ากอล์ฟ สมัยหนุ่มๆท่านเป็นนักกอล์ฟที่ออกรอบประจำที่สนามม้าราชตฤณามัย นางเลิ้ง ดังนั้น พอมาอยู่ที่ญี่ปุ่นรอบสอง ท่านก็เล่นกอล์ฟเป็นประจำ รอเวลาที่จะไปเที่ยวนมัสการสังเวชนียสถานในอินเดีย และจะอุปสมบทที่นั่นสักระยะหนึ่ง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 11:01
มีเรื่องที่ท่านตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ คือการเดินทางครั้งนี้ เส้นทางจากญี่ปุ่นไปกัลกาตาจะต้องผ่านกรุงเทพ ใจหนึ่งนั้น ท่านอยากกลับมาทำบางสิ่งบางอย่างเรื่องที่ดินเรื่องบ้านของท่านเสียให้เรียบร้อย แต่ท่านก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการดีหรือไม่



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 11:08
เมื่อได้กำหนดแน่นอนที่จะไปจาริกแสวงบุญที่อินเดียแล้ว ท่านจอมพลก็ได้วานให้บุตรชาย พล.ต.อนันต์ ไปแจ้งให้รัฐบาลไทยทราบว่าท่านจะขอแวะไปทำธุระและซื้อเครื่องอุปสมบทที่กรุงเทพสัก1สัปดาห์ หวังว่าคงจะไม่ทำความลำบากให้ใคร

จอมพลสฤษดิ์ได้เรียกพล.ต.อนันต์ไปรอที่ทำเนียบเพื่อฟังคำตอบตามหนังสือที่ส่งไป หลังที่ประชุมปรึกษาหารือกับผู้ร่วมรับผิดชอบ ก็ได้เรียกเข้าไปแจ้งให้ทราบผลต่อหน้านายทหารชั้นผู้ใหญ่ในที่ประชุมว่า ปรึกษากันแล้ว เห็นตรงกันว่าสำหรับคุณพ่อของคุณเชื่อว่าไม่มีอะไร แต่ไม่แน่ใจว่าพรรคพวกใกล้ชิดของท่านในกรุงเทพจะไม่ถือโอกาสไปแบกท่านขึ้นบ่าแห่กันเข้ามาอีก เหมือนวันรัฐประหารคราวโน้น สถานะการณ์บ้านเมืองขณะนี้มันเปลี่ยนไปมาก ตอนนี้ผมไม่อยากให้ท่านเข้ามา…   
….ถ้าท่านจะเข้ามาจริงๆ ผมก็คงต้องจับ

เมื่อลูกชายแจ้งกลับไปให้ท่านจอมพลทราบ ท่านก็เข้าใจและยอมรับโดยดี



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 11:27
ถามคุณเพ็ญชมพู
จิตรเขียนอะไรถึงจอมพลป.บ้างหรือเปล่าคะ   ตอนกบฏแมนฮัตตัน จิตรอายุ 21 แล้ว  เมื่อจอมพลป. พ้นอำนาจในพ.ศ. 2500 จิตรก็อายุ 27  อยู่ในวัยไฟแรง   เขาน่าจะเอ่ยถึงบ้าง

จอมพลป. ดูจะรับชะตากรรมบั้นปลายได้เยือกเย็นดีมาก    เมื่อนึกว่าก่อนหน้านี้ไม่เท่าไร ท่านยังขออยู่ในอำนาจต่อไปอีก 5 ปี      นับอายุที่ท่านเข้ามาในวงการเมืองตั้งแต่พ.ศ. 2475 จน 2500  ก็ 25 ปี  ถ้าอยู่ได้อีก 5 ปี  ก็เป็น 30 ปี   นับเป็นผู้ครองอำนาจยาวนานที่สุดหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย
เรียกว่าทิ้งระยะห่างจากประธานาธิบดีอเมริกา ที่มีวาระคนละ 4 ปี  แบบประธานาธิบดีไม่เห็นฝุ่นท่านจอมพลป. เลยทีเดียว

น่าชมเชยผู้นำอย่างท่านที่รู้ว่า เมื่อพ้นจากอำนาจไปแล้วก็มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้รู้ชนะ   เปิดทางให้ประเทศได้มีคนอื่นมาแสดงความสามารถกันบ้าง  ไม่ผูกขาดเอาไว้คนเดียว
ไม่งั้นบ้านเมืองอาจจะยับเยินก็ได้  เพราะจอมพลสฤษดิ์หรือจะยอม?

ท่านคงจะตั้งใจจริง   เพราะบันทึกของม.ร.ว.เสนีย์ก็บอกให้รู้ว่า พลต.อ. เผ่าอยากจะหวนคืนกลับมารัฐประหารอีกครั้ง   แต่ไม่เอาจอมพลป.มาเกี่ยวด้วย    เป็นไปได้ว่ามีการติดต่อระหว่างบุคคลสำคัญทั้งสองก่อนหน้านี้แล้ว  ท่านจอมพลก็คงยืนยันจุดยืนเรื่องนี้
หรือถ้ามองอีกทางคือพลต.อ.เผ่าอาจจะเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องกุมบังเหียนเอง   ไม่ใส่พานยกให้จอมพลป. อย่างที่จอมพลผินเคยทำ 
เราก็คงไม่มีวันรู้คำตอบแท้จริง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 11:48
ถามคุณเพ็ญชมพู
จิตรเขียนอะไรถึงจอมพลป.บ้างหรือเปล่าคะ   ตอนกบฏแมนฮัตตัน จิตรอายุ 21 แล้ว  เมื่อจอมพลป. พ้นอำนาจในพ.ศ. 2500 จิตรก็อายุ 27  อยู่ในวัยไฟแรง   เขาน่าจะเอ่ยถึงบ้าง

เคยได้พบแต่ข้อเขียนที่จิตรเอ่ยถึงรัฐบาลของจอมพล ป. ภายใต้อิทธิพลของอเมริกา และยกคำปราศรัยของท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ซึ่งอเมริกาเป็นผู้ร่างให้มาเป็นตัวอย่างด้วย


ต่อมาก็มีการแปลสุนทรพจน์ของผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในเมืองไทย เช่น ครั้งหนึ่ง อเมริกามอบหัวรถจักรดีเซลให้การรถไฟไทย จะจัดพิธีมอบ ในพิธีนั้นทางอเมริกากล่าวมอบ และทางไทยกล่าวตอบรับขอบใจ องค์การร่วมมือของอเมริกาก็จะส่งสำเนาคำปราศรัยของทั้งสองฝ่ายมาให้แปล ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ คำปราศรัยกล่าวมอบของฝ่ายอเมริกานั้น ต้องแปลออกเป็นภาษาไทย เพื่อเอาไปให้ รมต.คมนาคมไทยอ่านล่วงหน้าจะได้รู้ว่าผู้มอบจะพูดว่าอย่างไร ส่วนคำตอบรับของ รมต.ไทยนั้น ฝ่ายอเมริกาก็เขียนให้เสร็จเรียบร้อยแต่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าเป็นผู้แปลออกเป็นภาษาไทยที่ไพเราะสละสลวย ซึ่งองค์การร่วมมือของอเมริกาจะนำไปพิมพ์ดีดเรียบร้อยใส่ซองเตรียมไว้ใน รมต.ไทยอ่านตอบรับตามนั้น พูดง่าย ๆ ว่าอเมริกาต้องการจะให้ รมต.ไทยพูดสรรเสริญบุญคุณอย่างไรให้ประชาชนไทยฟัง ก็เขียนลงไป รมต.ไทย ต้อง อ่านตามนั้น ทำท่าเหมือนว่าตนเขียนมาอ่านเอง หรือเหมือนว่า ครม.ไทย ลงมติกันมาให้พูดเช่นนั้นเอง

อีกตัวอย่างหนึ่งคือคำปราศรัยของท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ซึ่งจะปราศรัยเกี่ยวกับปัญหาวัฒนธรรมในนามของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง ในโอกาสวันฉลองรัฐธรรมนูญ คำปราศรัยนั้นไม่เกี่ยวข้องกับอเมริกาเลย เป็นเรื่องของวัฒนธรรมไทยล้วน ๆ แต่ร่างคำปราศรัยกลับเขียนเป็นภาษาอังกฤษ องค์การ่วมมือของอเมริกาเป็นผู้ร่างและส่งมาให้สำนัก  ดร.เก็ดนีย์แปลออกเป็นภาษาไทย ข้าพเจ้าก็แปลและใช้ถ้อยคำให้สละสลวยสำหรับท่านผู้หญิงละเอียดเอาไปอ่านในวันงาน

เอกสารทำนองนี้มีอีกมาก แม้บริการข่าวสาร เช่น บทบรรยายภาพยนตร์ ข่าวเสด็จพระราชดำเนิน ต้นบทก็เป็นภาษาอังกฤษส่งมาจากองค์การร่วมมือของอเมริกา ข้าพเจ้าเป็นผู้แปลออกเป็นภาษาไทย หรือบางครั้งก็มีเจ้าหน้าที่ในสำนักวัฒนธรรมแปลออกเป็นภาษาไทยแล้ว แต่องค์การร่วมมือของอเมริกาก็ยังส่งทั้งฉบับอังกฤษและไทยมาให้สำนักดร.เก็ดนีย์ตรวจสอบว่าแปลตรงตามภาษาอังกฤษอย่างแท้จริงหรือไม่ จนที่สุดแม้จดหมายติดต่อบางฉบับ ก็ส่งมาให้แปล ทั้ง ๆ ที่อัตราค่าแปลสูงมาก (ชั่วโมงละ ๗๕ บาท)

ประสบการณ์เช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกถึงการแทรกแซงและเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของอเมริกาที่มีต่อไทย รู้สึกว่าอเมริกาไม่วางใจวงการรัฐบาลไทยเลย ไม่ว่าอะไรก็ต้องขีดเส้นให้เดินทั้งสิ้น อีกด้านหนึ่งก็รู้สกว่าพวกคณะรัฐบาลของไทยมีแต่คนโง่ และบ้านเมืองถ้าอยู่ในมือของคนพวกนี้ไปเรื่อย ๆ ก็คงจะหายนะสักวันหนึ่ง ความจริงข้าพเจ้าน่าจะมองเห็นทีเดียวว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้แสดงว่าไทยเป็นเมืองขึ้นของอเมริกาชัด ๆ แต่ในขณะนั้นความรู้สึกของข้าพเจ้ายังไม่พัฒนาถึงขั้นนี้ และยังไม่รู้สึกตรง ๆ อย่างจังเช่นนี้

เรื่องชื่อจาก สมจิตร ---> จิตร  ตามรัฐนิยมของจอมพล ป. ก็ยังไม่เคยได้พบว่าจิตรบ่นถึงเรื่องนี้

 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 23 ส.ค. 10, 11:52
อ้างถึง
รูปครอบครัวท่านผู้นำอบอุ่นพร้อมหน้า(ขณะที่ศัตรูการเมืองของท่านกำลังเร่ร่อนลำบากกัน)
คงจะถ่ายที่บ้านบรรทมสินธุ์ หรือ ปัจจุบันคือ บ้านพิษณุโลกใช่ไหมคะคุณ Sila
ดิฉันเดาเอาจากรูปด้านหลังค่ะ

คิดเหมือนกัน ครับ



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 12:00
ผมเชื่อว่าข่าววงในว่าจะปฏิวัติซ้อนมีตลอดเวลาในช่วงนั้น พ.ต.อ.พุฒเขียนไว้ใน"บุรุษเหล็กแห่งเอเซีย"ว่ามีคนแวะเวียนไปเจนีวาเพื่อขอสตางค์มาทำปฏิวัติบ่อยๆ แต่ถูกลูกน้องข้างตัวขัดคอ เผ่าเลยไม่ค่อยได้เสียเงิน ยิ่งทางจอมพลป.ยิ่งไม่แปลก ท่านอยู่แค่ญี่ปุ่น บ้านของท่านมีแขกเสมอๆ และแน่นอนว่าต้องมีคนชวนท่านกลับไปเล่นการเมืองอีก โชคดีที่ท่านฉลาดแล้ว

แต่ข่าวที่เข้ามาในกรุงเทพ บวกกับข่าวลือสารพัดว่า จอมพลสฤษดิ์ถ้าจะไม่ไหว เพราะม้ามใกล้หมดสภาพแล้ว พล.อ.ถนอมก็เหยาะแหยะ พล.อ.ประภาสก็มือไม่ถึง มีการยุยงคนโน้นคนนี้ จอมพลสฤษดิ์เลยปอด ถ้าจอมพลป.แวะเข้ามาจริงๆแล้วลูกน้องไม่ยอมให้ออกไปง่ายๆสงสัยจะยุ่งแน่

ชั่งน้ำหนักกันแล้วบารมีของเผ่าเทียบจอมพลป.มิได้เลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 12:13
^
แสดงว่า นักการเมืองที่ลี้ภัยไปต่างประเทศพร้อมด้วยเงินเต็มกระเป๋า ก็ได้รับการเสนอโปรเจครัฐประหารจากหลายเจ้าด้วยกัน     เป็นของมีมาแต่อดีตแล้ว
ลูกน้องพลต.อ.เผ่า นับว่าใช้ได้ทีเดียวที่ไม่ยุให้นายหมดตัว   ส่วนจอมพลป. ก็คงรู้ว่ากระแสอำนาจนั้น มีแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป   ไหนเลยจะไหลกลับคืนมา

คุณนวรัตนเอ่ยถึงจอมพลถนอมกับจอมพลประภาสมา ๒-๓ หน   ดิฉันก็เลยกลับไปทบทวนความจำว่าจำอะไรได้เกี่ยวกับสองจอมพลนี้บ้าง
จอมพลถนอมตอนขึ้นเป็นนายกฯใหม่ๆแล้วก็พ้นตำแหน่งไปในครั้งแรก   เป็นคนที่สื่อไม่เกลียด  ออกจากชอบด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับนักการเมืองอื่นๆ   
ท่านเป็นคนสุภาพ  เดินเข้างานไหนก็รับไหว้แขกในงานอย่างทั่วถึงพร้อมด้วยยิ้มสยามอย่างใจดี  ราวกับ "เล่าปี่  ผู้พนมมือทั้งสิบทิศ" ของ "ยาขอบ"
สื่อเรียกว่า "นายกคนซื่อ"  น่าจะเรียกจริงมากกว่าหยิกแกมหยอก  เพราะในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ท่านไม่เคยเสียชื่อ
มีคนเล่าว่าจอมพลถนอมเป็นที่เคารพนับถือในกองทัพบก เพราะเป็นอาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหา  และมีลูกน้องที่ได้รับความเมตตาปรานี มาก่อน   

ส่วนจอมพลประภาส มีบุคลิกแข็งและเฉียบขาดกว่าจอมพลถนอม     อำนาจก็ดูจะกว้างไกลกว่าเพราะว่าการทั้งกลาโหมและมหาดไทยในรัฐบาลจอมพลถนอมยุคหลังเมื่อจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมไปแล้ว    แล้วยังเป็นอธิการบดีจุฬา ผู้ไม่ประสงค์จะให้นิสิตนักศึกษาไปยุ่งเรื่องการเมือง   พวกเราก็เลยได้แต่เน้นหนักไปทางกิจกรรมค่ายและชมรมต่างๆ    จะแตะการเมืองได้ก็ตอนยกป้ายเดินในสนามศุภ ในงานบอลประเพณี   


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 12:20
ถามคุณเพ็ญชมพูอีกครั้ง
จิตรไม่แตะจอมพลป. ในเรื่องต่างๆที่เคยทำ  แต่ถ้าเป็นจอมพลสฤษดิ์ จิตรเล่นดุเดือดกว่ามาก   เป็นไปได้ไหมที่จิตรรู้สึกว่าการกระทำของจอมพลป. ไม่ว่าจะตั้งแต่กบฏบวรเดชมาจนยุคอัศวินผยอง   ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตรเป็นส่วนตัว   แต่จอมพลสฤษดิ์สั่งจับจิตรด้วยข้อหา  "สมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน และภายนอกราชอาณาจักรและกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์"  ติดคุกตั้งแต่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ตลอดยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์  เดือนธันวาคม พ.ศ. 2507  จอมพลสฤษดิ์ตายไป 1 ปีแล้ว  เขาจึงได้รับอิสรภาพ
ที่ถามเพราะแปลกใจว่า นโยบายของจอมพลป.และจอมพลสฤษดิ์ ก็แอนตี้คอมมิวนิสต์ และปรปักษ์ไม่ว่าเป็นคอมฯ หรือไม่เป็นคอมฯ พอๆกัน   แต่จิตร ดูจะชิงชังจอมพลสฤษดิ์มากกว่าหลายเท่า


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 13:19
ดิฉันเป็นหลานเสรีไทย และหลานนักโทษการเมือง ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในยุคนั้น เพราะสิ่งที่เกิดกับปู่ ทำให้ทุกคนในบ้าน ไม่ยอมพูดการเมืองอีกเลย ลามปามมาถึงวันสอบ Entrance ที่ดิฉันถูกตัดสิทธ์ไม่ให้เลือกบางมหาวิทยาลัย เพราะกลัวจะไปยุ่งการเมือง

เรื่องราวในยุคนั้น ต้องมาค้นหาอ่านเอาเองในภายหลัง จึงมาเป็นแฟนเรือนไทยเงียบ ๆ อยู่นาน ได้รับข้อมูลที่ขาดหายไปมากมายอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ

อยากจะให้คุณร่วมฤดีรู้ว่า ลูกหลานครอบครัวที่ร่วมชะตากรรมการเมืองคล้ายคลึงกับคุณ ยังมีอยู่อีกค่ะ
ติดต่อกับหลานสาวของพ.ท. โพยม จุลานนท์แล้ว ขอให้เธอเขียนเล่ารายละเอียดบางอย่างมาให้ทางอีเมล์  แล้วจะนำมาเรียบเรียงให้อ่าน  เธอเข้ามาอ่านสม่ำเสมอแต่ไม่ได้โพสต์  เพราะเคยสมัครสมาชิกนานแล้ว  แต่จำ password ไม่ได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 14:50
ถามคุณเพ็ญชมพูอีกครั้ง
จิตรไม่แตะจอมพลป. ในเรื่องต่างๆที่เคยทำ  แต่ถ้าเป็นจอมพลสฤษดิ์ จิตรเล่นดุเดือดกว่ามาก   เป็นไปได้ไหมที่จิตรรู้สึกว่าการกระทำของจอมพลป. ไม่ว่าจะตั้งแต่กบฏบวรเดชมาจนยุคอัศวินผยอง   ไม่ได้มีผลกระทบต่อจิตรเป็นส่วนตัว   แต่จอมพลสฤษดิ์สั่งจับจิตรด้วยข้อหา  "สมคบกันกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน และภายนอกราชอาณาจักรและกระทำการเป็นคอมมิวนิสต์"  ติดคุกตั้งแต่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ตลอดยุคสมัยของจอมพลสฤษดิ์  เดือนธันวาคม พ.ศ. 2507  จอมพลสฤษดิ์ตายไป 1 ปีแล้ว  เขาจึงได้รับอิสรภาพ

ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัวแน่ ๆ

จิตร ภูมิศักดิ์เป็นอะไรหลาย ๆ อย่างแต่สิ่งหนึ่งที่คนอาจลืมเลือนไปคือเขาเป็น "นักหนังสือพิมพ์"

ธรรมชาติของหนังสือพิมพ์มักสนใจในสิ่งที่ทันยุค ยังอยู่ในกระแส

บทวิเคราะห์วิจารณ์จอมพลสฤษดิ์ของจิตรในรูปของบทกวีที่ชื่อ โคลงสรรเสริญเกียรติกรุงเทพมหานครยุคไทยพัฒนา นี้  จิตรเขียนก่อนที่จะออกจากคุกและลักลอบส่งออกมาพิมพ์ในหนังสือ "ประชาธิปไตย" เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗  เกือบ ๑ ปีหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ตายไปแล้ว

หากจะวิจารณ์จอมพล ป. ตอนนั้นคงไม่ทันกระแส

ในฐานะคนหนังสือพิมพ์ จิตรเคยเตือนเพื่อนร่วมอาชีพให้ซื่้อสัตย์ต่อคนอ่านอย่าขายตัุวให้นักการเมืองทุจริต ในบทกวี "วิญญาณหนังสือพิมพ์"

วิญญาณหนังสือพิมพ์       นั้นลุกโรจน์กระพือฮือ
หลอมลนด้วยเปลวบือ      จนเหลือคนที่ทนไฟ

ใครคนหนังสือพิมพ์         ที่ทระนงในนามไทย
มวลชนย่อมชมใจ           และชมชื่นในผลงาน

ใครคนหนังสือพิมพ์         ที่ทรยศอุดมการณ์
เสียงแช่งจะยาวนาน        เป็นเดนปากของปวงชน

ใครคนหนังสือพิมพ์         ที่ทระนงในนามคน
ชื่อเสียงจะคงทน            ดั่งรุ้งทาบนภา.....บา !

ใครคนหนังสือพิมพ์        ที่ขายตัวเพื่อเงินตรา
จารึกบนหนังหมา           ประจานนานถึงหลานเหลน

อาสูพวกกาฝาก             จะตายซากเป็นกากเดน
พื้นฐานนั้นโงนเงน          จะพังพับอยู่นับวัน

อาเพื่อน (ยังเรียกเพื่อน)  จะขอเตือนอีกครั้งครัน
อย่าด้านและดึงดัน         อย่าดื้อดึงจนเกินไกล

"เจ้าซื่อต่อคนคด          แต่ทรยศต่อคนไทย
ลูกหลานจะอายใจ        ที่มีพ่อเป็นคนทราม"

สูเอยประวัติศาสตร์        จะจารึกประจานนาม
ตัวอย่างแสดงความ       สกุลถ่อยแห่งกรุงไทย

ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย     ถ้าไร้อายก็ตามใจ
อย่ารอจนสายไป         จะครางอา....นิจจากู !

ด้วยความปรารถนาดีจากเพื่อนเก่า !

กวี ศรีสยาม
หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย
๑๕ สิงหาคม ๒๕๐๗

***********************************
"เจ้าซื่อต่อคนคด          แต่ทรยศต่อคนไทย
ลูกหลานจะอายใจ        ที่มีพ่อเป็นคนทราม"

คนคดในยุคนั้นของจิตร คือ สฤษดิ์ ธนะรัชต์

 ;D
 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 23 ส.ค. 10, 15:17
อ้างถึง
โอย....คนซอยเอกมัยนี่เอง    สงสัยว่าจะรุ่นเดียวกันหรือใกล้ ๆ กันด้วย

อาจารย์ใหญ่ท่านขี่จักรยานตระเวณอยู่แถวนั้นนานมากมาแล้ว

ไม่ใช่เอกมัยหรอกค่ะคุณวันดีคะ แต่เป็นซอยร่วมฤดีค่ะ เป็นบ้านของม.ร.ว.บุญรับ พินิจชนคดีค่ะ ม.ร.ว.เสนีย์ไปอาศัยอยู่ที่นั่นก่อนจะมีบ้านที่เอกมัยค่ะ
 
และในซอยเดียวกันนี้ ก็มีบ้านของคุณ จำกัด พลางกูรด้วย เสรีไทยผู้นี้ เอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่เมืองจุงกิง
ระหว่างรอคนที่เคยอยู่ซอยเดียวกัน ม.ร.ว.เสนีย์ ขณะที่เป็นทูตไทยใน US ตอบกลับมาว่าจะเอาอย่างไรเกี่ยวกับขบวนการกู้ชาติ

แปลกไหมคะ ที่ต่างทำงานเดียวกัน แต่ในช่วงเวลานั้น ต่างพลัดกันไปคนละที่ ไม่เว้นแม้แต่ปู่ดิฉัน ขณะนั้นก็ไปทำหน้าที่ ๆ อื่น ทั้ง ๆ ที่รู้จักกับพระพินิจชนคดี

ดิฉันไม่บังอาจเทียบรุ่นกับท่านอาจารย์ทั้งหลายที่นี่หรอกค่ะ คงเด็กกว่ากันมาก ขอกราบไหว้เป็นครูบาอาจารย์ดีกว่าค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 15:27
ซอยร่วมฤดี ที่ไหนคะ รู้จักแต่ซอยร่วมฤดีที่ถนนเพลินจิต     :o
เป็นซอยอยู่ติดกันทางรถไฟช่องนนทรีย์ 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 15:39
.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 15:47
แปลกใจตั้งแต่เห็นนามแฝงของคุณร่วมฤดีแล้วค่ะ   
ไม่ทราบว่าบ้านของม.ร.ว.บุญรับอยู่ไหน  แต่เข้าใจว่าบ้านของคุณจำกัด พลางกูร เข้าไปไม่ลึกนัก  ใกล้ๆด้านหลังของโรงแรมพลาซ่า แอทธินี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 16:15
อ้างถึง
ลูกน้องพลต.อ.เผ่า นับว่าใช้ได้ทีเดียวที่ไม่ยุให้นายหมดตัว


ถ้านายหมดตัว ตายแล้วลูกน้องจะหิ้วอะไรกลับบ้านละครับ อุตส่าห์ทุ่มทั้งชีวิตรับใช้สารพัด ทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางก็เท่านั้น
มาอยู่เจนีวาก็หนาวปวดกระดูก จะให้คนอื่นมาประเดี๋ยวประด๋าวแล้วปาดเงินไปง่ายๆ  มันก็คงต้องรูดแหวนเพชรอัศวินไปจำนำฝรั่งเข้าสักวัน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 23 ส.ค. 10, 16:34
อ้างถึง
ไม่ทราบว่าบ้านของม.ร.ว.บุญรับอยู่ไหน  แต่เข้าใจว่าบ้านของคุณจำกัด พลางกูร เข้าไปไม่ลึกนัก

จำตำแหน่งแห่งที่ไม่ได้หมดแล้วค่ะ อาจารย์คะ ตอนเด็กฟังผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าตรงนั้นตรงนี้ เคยตามไปที่นั่นด้วย แต่ยังเล็กมาก นั่งตัวลีบ ๆ เชียว

ซอยนี้ เข้าจากเพลินจิตก็ได้ มาทะลุถนนวิทยุหน้าตึกเคี่ยนหงวนไงคะ เราอยู่กันด้านวิทยุค่ะ ปัจจุบัน ต้องแตกกระสานซ่านเซ็น ไม่ได้อยู่ที่นั่นกันแล้ว คนเก่าคนแก่ก็หายกันไปหมด


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 16:53
อ้างถึง
ลูกน้องพลต.อ.เผ่า นับว่าใช้ได้ทีเดียวที่ไม่ยุให้นายหมดตัว


ถ้านายหมดตัว ตายแล้วลูกน้องจะหิ้วอะไรกลับบ้านละครับ อุตส่าห์ทุ่มทั้งชีวิตรับใช้สารพัด ทั้งถูกกฏหมายและผิดกฏหมาย เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางก็เท่านั้น
มาอยู่เจนีวาก็หนาวปวดกระดูก จะให้คนอื่นมาประเดี๋ยวประด๋าวแล้วปาดเงินไปง่ายๆ  มันก็คงต้องรูดแหวนเพชรอัศวินไปจำนำฝรั่งเข้าสักวัน

หุหุ  แก้ต่างให้อัศวินได้ดีมากค่ะ เห็นเหตุผลและความจำเป็น   ;D
พลต.อ.เผ่าอยู่เจนีวาได้ 3 ปีเท่านั้น  ส่วนจอมพล ป.อยู่ญี่ปุ่นได้นานถึง 7 ปี   

กลับมาคุยต่อกับคุณร่วมฤดี
ค่ะ  ซอยร่วมฤดีมีทางเข้าออกทะลุระหว่างเพลินจิตและถนนวิทยุได้    ตรงปากทางเข้าทางถนนเพลินจิตเป็นร.ร.แพรัตอนุสรณ์ของดร.ชวาล แพรัตกุลมาก่อนจะถูกทางด่วนเวนคืน หายไปทั้งโรงเรียน    เข้ามาในซอย คือด้านหลังของโรงแรมอิมพีเรียลที่ปัจจุบันกลายเป็นพลาซ่า แอทธินี   
วิ่งตรงเข้าไปอีกเกือบจะถึงมุมสุดของซอยก่อนเลี้ยวขวาไปออกถนนวิทยุ  คือด้านหลังของวังท่านปิยะและพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี    เลยไปตรงหัวมุมคือโบสถ์มหาไถ่ของพวกคาทอลิค    และถ้าไม่เลี้ยวออกถนนวิทยุ ตรงเข้าไปตามทางเดินเล็กๆของชุมชน เมื่อก่อนมีทางทะลุไปโปโลคลับ
ปากซอยทางออกถนนวิทยุเป็นบริษัทรถ   ถัดไปริมถนนใหญ่ จำได้ว่าเป็นบ้านของพวก ณ นคร ค่ะ   เมื่อก่อนเป็นตึกใหญ่สวยเชียว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 20:32
อ้างถึง
และคุณ Sirinawadee คะ ดิฉันมีหนังสือ ชีวประวัติท่าน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชเล่มที่ว่านี้ด้วยแหละค่ะ ท่านเขียนเล่าเรื่องตัวเองให้หลานฟัง และ ท่านก็เป็นคนซอยเดียวกันกับบ้านดิฉันด้วย

อ่านเพราะอยากรู้ว่า
ทำไมฟ้องเอาผิดอาชญากรสงคราม(จอมพล ป.)ไม่ได้
ว่าความเขาพระวิหารแพ้ได้อย่างไร
เป็นนายกก็ถูกเชิญให้ไปเลี้ยงหลานแทนเลี้ยงลิง
ทั้ง ๆ ที่ท่านเรียนเก่งขนาดเกียรตินิยม
อ่านจบก็ยังไม่ชัดเจนค่ะ คิดว่าทุกเรื่องมีเบื้องหลังทั้สิ้น เลยต้องมาเข้าชั้นเรียนวิชานี้ค่ะ

ไหนๆก็เข้ามาแล้ว เพื่อไม่ให้ผิดหวังมากนัก ผมจะเอาบทเขียนที่ผู้มีภูมิปัญญาระดับเดียวกันกับท่าน ได้วิจารณ์ท่านไว้ดังนี้ครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 20:34
อีกเรื่องนึง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 20:37
ผู้เขียน นายบุญชนะ อัตถากร ครับ

ส่วนเรื่องอาชญากรสงครามที่เอาผิดจอมพลป.มิได้ อยู่ในมหากาพย์การเมืองตอน “หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น” หน้าตามที่โยงไว้ให้ ตั้งแต่คคห.341ไปครับ แต่ถ้าจะครบเครื่องต้องอ่านตั้งแต่คคห.1โน่นเลย แล้วอย่าลืมไปอ่านเรื่องพระยาทรงสุรเดชอีกด้วย

เอ๋..ให้การบ้านมากไปหรือเปล่า

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3419.240


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ส.ค. 10, 21:06
เคยได้ยินคำว่า ฤๅษีเลี้ยงลิง   และเคยได้ยินว่าม.ร.ว.เสนีย์เป็นนักเรียนกฎหมายที่เปรื่องปราดที่สุดของออกซฟอร์ด ขนาดมีวันเสนีย์หรืออะไรทำนองนั้นเป็นเกียรติ
ส่วนข้อหาว่าท่านควบคุมนักการเมืองในพรรคไม่ได้ ก็เคยอ่านพบเหมือนกันค่ะ  ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ในยุค 6 ตุลา 19

แต่อ่านของท่านอาจารย์บุญชนะแล้วก็เกิดคำถามกับข้อกล่าวหา     แม้ว่าไม่ใช่ปัญญาชนระดับท่านทั้งสอง แต่ก็อยากแก้ต่างให้ม.ร.ว.เสนีย์สักหน่อยว่า  ไอ้คดีที่ว่าแพ้ลูกศิษย์นั้น  อาจารย์บุญชนะก็แค่ได้ยินมา จะจริงเท็จหรือเปล่าก็ไม่อาจยืนยันได้     ต่อให้เป็นความจริงดิฉันก็ไม่รู้ว่าเนื้อหาเป็นคดีแพ่งหรืออาญาหรืออะไร  แพ้ชนะกันตรงจุดไหน     เพราะพูดเรื่องการตัดสินของศาลไทย จำได้ว่าตอนไปรับการอบรมเป็นอนุญาโตตุลาการ   ท่านผู้พิพากษาที่มาอบรมพวกเรา ท่านเอ่ยถึงบางคดีในอดีตว่า แพ้ชนะกันที่ติดอากรแสตมป์ครบหรือไม่ครบเท่านั้นเอง ดังนั้นก็อาจเป็นได้ว่าหลักฐานต่างๆนั้นไปเป็นคุณแก่ฝ่ายทนายลูกศิษย์ของท่านเสนีย์  หาใช่เพราะฝีมือท่านด้อยกว่าลูกศิษย์ไม่

ส่วนเลือกใครบางคนที่ไม่เหมาะสมแต่พวกมากลากไป หรือยอมทำตามบางเรื่องในพรรคที่มีเสียงสนับสนุนพอสมควร     ฟังตามนี้ก็เห็นว่าท่านเสนีย์น่าจะถือหลักประชาธิปไตย   คือทั้งๆท่านไม่เห็นด้วย แต่เมื่อมีเสียงยกมือสนับสนุนมากพอ ท่านก็ต้องอนุโลมตามนั้น    แต่จุดอ่อนของประชาธิปไตยไม่ว่าในพรรคหรือในรัฐสภาเป็นอย่างนี้ คือเลือกเสียงข้างมาก  แต่ไม่ได้ดูว่าเสียงข้างมากนั้นถูกหรือผิด  เหมาะสมหรือไม่เหมาะ
ท่านอาจจะเหมาะเป็นนายกฯของประเทศที่สถานการณ์บ้านเมืองสงบเรียบร้อย  ประชาชนเข้าใจระบอบประชาธิปไตยดี   จะคิดจะทำอะไรก็ถูกต้องตามระเบียบ ก้ได้นะคะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 22:20
กลับมาที่งานบุญดีกว่าครับ

สุดท้าย ท่านจอมพลก็ได้บวชสมมารตปรารถนาที่วัดไทยในพุทธคยา วัดนี้รัฐบาลไทยสมัยท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณให้สร้างขึ้นในวาระฉลองกึ่งพุทธกาลที่รัฐบาลอินเดียเชื้อเชิญให้ชาติที่นับถือพุทธศาสนาไปสร้างวัดที่นั่น โดยรัฐบาลอินเดียจัดที่ดินให้ วัดไทยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมจำลองจากโบสถ์วัดเบญจมบพิตร  ปัจจุบันดูมีสง่าราศีกว่าวัดของชาติอื่นๆมาก

ขณะที่ท่านทำพิธีอุปสมบทนั้น ตัวโบสถ์ยังสร้างไม่เสร็จ นั่งร้านยังค้างอยู่เต็ม แต่ก็พอทำพิธีได้ ครั้งแรกท่านคิดจะนิมนต์สงฆ์ชาติต่างๆที่ตั้งวัดอยู่ที่พุทธคยานั้นมานั่งหัตถบาทในพิธีอุปสมบท เพราะท่านคิดว่าท่านเป็นบุคคลระดับinternational

 แต่พระอุปัชฌาย์ของท่านคงอธิบายว่า เพราะพระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์ไทยเป็นหีนยาน จะมีที่เหมือนกันหน่อยก็สงฆ์ของศรีลังกาและพม่า แต่สงฆ์หลายชาติที่นั่นทั้งธิเบต จีน ญวน ญี่ปุ่นเป็นมหายาน ถือพระวินัยคนละเล่ม การปฎิบัติก็แตกต่างกันมาก แม้ศรีลังกาหรือพม่าก็ไม่ยังอาจร่วมสังฆกรรมกันได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 22:34
จดหมายที่พระมีถึงโยมมารดา อ่านแล้วดูดี และทำให้เพิ่งทราบว่าถึงอายุปูนนี้แล้ว แม่ของท่านจอมพลยังมีชีวิตอยู่


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 23 ส.ค. 10, 22:48
รูปไม่ชัด เอาใหม่ครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 08:08
เดือนมีนาคม ๒๕๐๓

ณ บ้านพัก No. 9 ฮาราอิกาตา มาฉิ ชินจุกุ โตเกียว

การสนทนาและตกลงใจเกี่ยวกับการบวชของท่านจอมพลเริ่มต้นขึ้น

ท่านจอมพล  :  ความปรารถนาที่เราจะต้องทำให้สำเร็จยังมีอีกอย่างนะเธอ

ท่านผู้หญิง   :  เธอปรารถนาอะไรคะ

ท่่านจอมพล  : บวชที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียวยังไงล่ะ ก่่อนบวชฉันอยากจะได้ไปนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แห่งให้ทั่วเสียก่อน

ท่านผู้หญิง   :  โมทนาสาธุ เธอขา ดิฉันดีใจเหลือเกินถ้าเธอไปบวชจริง ๆ แล้วได้บวชที่วัดไทยพุทธคยาด้วย แต่..วัดสร้างเสร็จแล้วหรือเธอ?

ท่านจอมพล  : ข่าวว่ายังไม่เสร็จดี แต่ไม่เป็นไรนี่เธอ ถ้าบวชได้ก็บวช บวชยังไม่ได้ เราก็คอยไปก่อนจนกว่าจะบวชได้ก็แล้วกัน

ท่านผู้หญิง   :  ประเสริฐเลย ตกลงแน่นะเธอ แล้วเธอตั้งใจจะไปเมื่อใด เราจะต้องเตรียมเก็บข้าวของทางบ้านนี้ เพราะเราจะไม่อยู่ แล้วก็ต้องบอกให้ลูกทางกรุงเทพฯ เตรียมเครื่องบวชให้พร้อม ส่งตรงไปที่อินเดียเลย

ท่านจอมพล  :  แน่ซี เธอเตรียมเก็บข้าวจของทางบ้านและที่จะเอาไปด้วยเถอะ แล้วเขียนจอดหมายบอกลูกทางกรุงเทพฯ ให้เตรียมเครื่องบวชให้พร้อม ฉันก็จะเขียนถึงลูกด้วย จีจะกลับกรุงเทพฯ หรือจะไปอินเดียกับพ่อแม่ล่ะลูก

จีรวัสส์         : จะมีโอกาสไหนที่เป็นบุญกุศลยิ่งกว่านี้สำหรับจี่ีที่จะได้มีโอกาสติดตามไปรับใชัคุณพ่อและจะได้ช่วยคุณแม่เวลาคุณพ่อบวช จึถือว่าจีมีบุญมากนักที่ีได้รับใช้คุณพ่อคุณแม่ที่อินเดียค่ะ

ท่านจอมพล  :  ดีแล้วลูก ได้ไปเป็นเพื่อนพ่อแม่ เราเตรียมการกันได้

 ;D




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 08:29
^
เหมือนบทละครวิทยุเลยนะครับนั่น
.
.

ท่านจอมพลที่ครองผ้ากาสาวพัตร์เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาอยู่ได้24วัน ท่านก็ลาสิกขาตามกำหนด การหยุดชีวิตเพื่อหยุดดูตนเองแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ท่านก็เกิดปัญญาขึ้นมาก

เมื่อไม่เป็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม ท่านจอมพลมีชีวิตบนกองทุกข์ทางการเมืองมามาก แต่สมัยรุ่งเรืองท่านเสพย์ติดกับมันโดยไม่เห็น เข้าใจผิดนึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกเช่นเดียวกับความสุข เดี๋ยวอันโน้นก็มาเดี๋ยวอันนี้ก็ไป บัดนี้ท่านพอจะเข้าใจว่าการเมืองเป็นเรื่องของกิเลศมนุษย์ทั้งสิ้น แม้แต่การเมืองในระบบสังคมของโลก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 24 ส.ค. 10, 08:49
แวะเข้ามาเช็คชื่อค่ะ
ช่วงนี้งานยุ่งมากๆ แถมคอมพิวเตอร์ก็ไม่ดีอีก นานๆจะได้เข้ามารายงานตัวซักครั้ง
ขอตัวไปตามบทเรียนก่อนหน้านี้ก่อนนะคะ  :D เดี๋ยวคอมพิวเตอร์เกเร อดอ่านกันพอดี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 09:08
^
เอาเลยครับ ไม่ต้องรีบ

ท่านจอมพลกลับจากอินเดียไปอยู่ที่ญี่ปุ่นในบ้านเช่าหลังหนึ่ง คงจะเห็นว่าไม่ควรจะรบกวนเจ้าของบ้านเดิมที่ให้อยู่ฟรีๆในระหว่างที่ยังไม่ทราบจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรนั้นอีกต่อไปแล้ว ท่านจัดการให้ขายสมบัตินอกกายรวมทั้งที่ดินในกรุงเทพเพื่อจะไปปักหลักชีวิตระยาวของท่านในญี่ปุ่น ด้วยว่าโอกาสจะกลับมาเมืองไทยขณะนั้นยังมองไม่เห็น

หลายปีต่อมา ธรรมะของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ซึมซับไว้ยังคงอยู่ และทำให้จิตท่านสงบลงด้วยอโหสิกรรมแท้จริง ดังที่สะท้อนออกมาในจดหมาย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 09:21
แล้วจอมพลสฤษดิ์ก็เสียชีวิตไปก่อนท่านในวันที่8ธันวาคม2506
ศพยังไม่ทันเผา หนังสือพิมพ์ก็เริ่มลงข่าวถึงขุมทรัพย์อันมหาศาล ว่ากันว่ามีถึงพันล้านบาททีเดียว

เงินพันล้านบาทสมัยนั้นฟังดูมากมายมหาศาล ถ้าเทียบสมัยนี้ก็คูณ10เข้าไป นักการเมืองไทยยุคหลังนี้เห็นตัวเลขแล้วคงจะยิ้มๆ
หมื่นล้านนี่มันฝีมือเด็กๆ

ท่านจอมพลท่านปลงจริงๆ รวมถึงประโยคสุดท้ายที่ผมอยากจะให้ท่านทั้งหลายช่วยแปลความกันด้วย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 24 ส.ค. 10, 10:36
กราบขอบพระคุณ ๆ Navarat C ที่ให้ความกระจ่าง และ ให้การบ้านกองโต จะตามไปอ่านแน่ ๆ ไม่ลดละค่ะ

ประเด็นที่สงสัยนั้น คือ เรื่องร่องรอยของการแทรกแซงจากตะวันตก ที่ทำให้บ้านเมืองเราในช่วง2490 เป็นต้นมาเริ่มวิปริต

แม้แต่กรณีแพ้คดีเขาพระวิหาร ก็มีข่าวว่า คนในกระทรวงต่างประเทศนั่นเองที่ แอบซ่อนหลักฐานสำคัญไว้ หรือ เอาไปให้ฝ่ายตรงกันข้าม ดังนั้น ขอให้ benefit of doubt แก่อาจารย์เสนีย์ในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการตั้งข้อสังเกตุของอาจารย์เทาชมพุที่ว่า
อ้างถึง
ดังนั้นก็อาจเป็นได้ว่าหลักฐานต่างๆนั้นไปเป็นคุณแก่ฝ่ายทนายลูกศิษย์ของท่านเสนีย์  หาใช่เพราะฝีมือท่านด้อยกว่าลูกศิษย์ไม่

ในหนังสือชีวประวัติ ม.ร.ว.เสนีย์ มีรูปสีน้ำมันฝีมือของท่าน และ ผลงานโคลงกลอน รวมทั้ง ภาพที่มีความสุขกับเปียโน
ดิฉันออกจะเห็นด้วยกับคุณ Navarat ว่าท่านเป็นศิลปินมากกว่าอย่างอื่น

และการเมือง เป็นเรื่องของอำนาจ และ การรักษาดุลย์อำนาจ ต้องมีความรู้ทั้ง ศาสตร์และ ศิลป์ที่จะผสมผสานกันได้อย่างมี ประสิทธิภาพค่ะ

ภาพข้างล่างนี้ เอามากฝากอาจารย์เทาชมพูค่ะ ตัดมาจากหนังสือประวัติคุณจำกัด พลางกูรค่ะ คงจะตอบได้ดีว่า บ้านใครอยู่ตรงไหนในซอยดังกล่าว




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 10:43
จอมพลป.ท่านอยู่ในฐานะที่จะเข้าใจโลกธรรม ๘  มีสุขก็เสื่อมสุข  มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา  ก็มักจะปลงได้เป็นธรรมดา   คนส่วนใหญ่มักจะปลงได้ต่อเมื่อประสบด้วยตัวเองครบ ๘ อย่างแล้ว  แต่ถ้าปลงได้ตั้งแต่ยังมีแค่สุข ลาภ ยศ สรรเสริญ โดยยังไม่ทันเสื่อม  ก็จะปล่อยวางได้มากกว่า  มีทุกข์น้อยกว่า
การบ้านในประโยคสุดท้ายที่คุณนวรัตนให้ไว้   ว่า " เป็นเรื่องตามโบราณเขาทำกันมา"   ไม่รู้ท่านจอมพลคิดอะไร  ดิฉันขอเดาว่า ท่านคงเห็นว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือการสะสมเงินทองของคนใหญ่โต    เขาก็ทำกันมาแต่โบราณแล้ว  ไม่แปลกอะไร
อ่านประโยคแค่นี้ ไม่มีขยายความ เลยเดาต่อไม่ถูกว่าท่านเจาะจงหมายถึงใครเป็นพิเศษหรือเปล่า


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 24 ส.ค. 10, 10:53
เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยสำหรับเรื่องบ้านม.ร.ว.เสนีย์นะคะ

หัวมุมปากซอยร่วมฤดี มี 2 ด้าน ๆ ที่ติดกับทางรถไฟ และ ด้านที่เคยเป็นอาคารร่วมฤดีที่ติดกับมหาทุนพลาซ่า

บ้านคุณจำกัด คือ หัวมุมตรงอาคารร่วมฤดี เลขที่ 566  ต่อมาเป็นของ รศ. สลวย กรุแก้ว
ตัวบ้านเดิม ยังพอมองเห็นได้สมัยที่อาคารร่วมฤดียังอยู่ เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น สีเทา ๆ แอบอยู่ด้านหลัง
ปัจจุบันรื้อถอนหมดแล้ว

และ ฝั่งเดียวกัน ถัดเข้าไป ไม่ลึกนัก ก็เป็นที่ดินของ ม.ร.ว.บุญรับ ที่เคยให้อาจารย์เสนีย์พักอาศัยตอนเป็นอาจารย์สอนกฏหมาย ก่อนต้องไปเป็นทูต

พอเกิดสงคราม ญี่ปุ่นเข้าไปยึดอาศัย และ ทำบ้านโทรมจนกลับเข้าไปไม่ได้ ท่านต้องย้ายไปอาศัยบ้านที่ซอยพระพินิจชนคดี และต่อมา ต้องเอาบ้านนี้ให้คนเช่า หลังจากถูกปลดจากราชการในตำแหน่งสุดท้าย คือ นายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
เพราะ บำนาญ 600 บาท ไม่พอเลี้ยงครอบครัวค่ะ ท่านต้องว่าความ และประกอบอาชีพอิสระ จนสามารถสร้างบ้านที่เอกมัยได้ค่ะ

เรืองเหล่านี้ ท่านเล่าไว้ในชีวประวัติท่านค่ะ คนในซอยร่วมฤดี เรียกแถวเพลินจิตว่า สวนฝรั่ง ไม่แน่ใจว่า เพราะมีสวนฝรั่ง หรือ เพราะมีบ้านฝรั่งเยอะ ก็ไม่ทราบ

เกรงใจเจ้าของกระทู้ค่ะ จะหลบไปคุยเรื่องบ้านที่กระทู้บ้านโบราณดีกว่า ตอนนี้ขอไปทำการบ้านที่อาจารย์ Navarat C ให้ไว้ก่อนค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 10:56
ม.ร.ว.เสนีย์แปลโคลงโลกนิติเป็นภาษาอังกฤษ โดยยังสัมผัสแบบโคลงไทยซึ่งยากมหาศาล    เชื่อว่าคุณเพ็ญชมพูน่าจะหามาลงในกระทู้นี้ได้  ส่วนดิฉันจำได้แต่ยังหาหนังสือไม่เจอ
พี่น้องในราชสกุลปราโมช ทั้งคุณชายพี่และคุณชายน้องมีความเป็นศิลปินสูงทั้งสองคน      บางครั้งดิฉันก็เสียดายว่าท่านไม่น่าเสียเวลาไปมีบทบาททางการเมืองเลย
ทุกวันนี้ โลกก็จดจำม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ในด้านผลงานวรรณกรรม   ไม่ใช่ผลงานทางการเมือง

กลับไปทบทวนแผนที่ซอยร่วมฤดีอย่างหนัก   เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเหมือนเก่าแล้ว  เข้าใจว่าบ้านคุณจำกัดน่าจะอยู่ลึกเข้าไปจากปากซอยด้านถนนเพลินจิต  แถวๆด้านหลังโรงแรมพลาซ่า แอทธินี     เมื่อก่อนมีบ้านไม้สองชั้นรุ่นเก่าประมาณรัชกาลที่ ๘  หน้าตาโอ่โถงอยู่ติดกันแถวนั้นสองบ้าน    เลยมาอีกถึงกลางซอยก็มีตึกใหญ่หน้าตาโอ่โถงเช่นเดียวกันแต่ทันสมัยกว่า คงปลูกหลังสงครามโลกอีก ๒ บ้าน

แม่ดิฉันเป็นเพื่อนอักษรรุ่นเดียวกับอาจารย์ฉลบชลัยย์ พลางกูร     แต่ก็แปลกว่าแม่ไม่เคยพูดเลยว่าอาจารย์ฉลบอยู่ในซอยร่วมฤดี  เป็นได้ว่าเป็นบ้านทางฝ่ายสามี  เมื่อคุณกำจัด (ชื่อเจ้าคุณพ่อท่านและตัวท่าน จำยากมาก   คนหนึ่งชื่อจำกัด อีกคนชื่อกำจัด   ดิฉันไม่เคยจำได้เลยว่าคนไหนเป็นคนไหน)เสียไปแล้ว อาจารย์ฉลบอาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 10:59
ชนกับคุณร่วมฤดีกลางอากาศ
สรุปว่าคงบ้านไม้แถวๆนั้นละค่ะ  ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว  กลายเป็นอาคารพาณิชย์ คอนโด อพาร์ตเม้นท์ ไปหมด
เมื่อก่อนอาจเป็นสวนฝรั่งจริงๆก็ได้ เพราะเป็นชานเมือง   ซอยนานาใต้ เมื่อ 50 กว่าปีก่อนยังมีสวนผักอยู่กลางซอยเลยค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 11:06
ม.ร.ว.เสนีย์แปลโคลงโลกนิติเป็นภาษาอังกฤษ โดยยังสัมผัสแบบโคลงไทยซึ่งยากมหาศาล    เชื่อว่าคุณเพ็ญชมพูน่าจะหามาลงในกระทู้นี้ได้  ส่วนดิฉันจำได้แต่ยังหาหนังสือไม่เจอ


มีหนังสืออยู่แต่ยังหาไม่เจอเช่นกัน

คุณนวรัตนเคยบอกไว้ว่าให้ถามคุณกุ๊ก บอกเธอว่า เสนีย์ ปราโมช และ โคลง  สิ่งที่คุณเทาชมพูต้องการจะปรากฏโดยพลัน

ตัวอย่าง

บทที่ ๑

ฝูงชนกำเนิดคล้าย                            คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ                       แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน                           กันหมด
เว้นแต่ชั่วดีกระด้าง                             ห่อนแก้ฤาไหว

บทที่ ๒

รู้น้อยว่ามากรู้                                   เริงใจ
กลกบเกิดอยู่ใน                                สระจ้อย
ไป่เห็นชเลไกล                                 กลางสมุทร
ชมว่าน้ำบ่อน้อย                                มากล้ำลึกเหลือ

บทที่ ๓

พระสมุทรสุดลึกล้น                            คณนา
สายดิ่งทิ้งทอดมา                              หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา                                กำหนด
จิตมนุษย์นี้ไซร้                                 ยากแท้หยั่งถึง


หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษไว้ดังนี้

บทที่ ๑

Born men are we all                        and one,
Brown, black by the sun                   cultured.
Knowledge can be won                    alike.
Only the heart differs                       from man to man

บทที่ ๒

So little yet so much                         one knows,
Like a frog which grows                    in a puddle,
Knowing not oceans so                     ever vast,
Becomes befuddled                          by its small world.

บทที่ ๓

Fathoms deep though the seas          may be,
Measurable are the seas                   in depth.
Scaled can mountains be                  in height.
Immeasurable is the depth,              this heart of man.

จากหนังสือ Interpretative Translations of Thai Poets โดย ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช พ.ศ.๒๕๐๘

โคลงสี่สุภาพอังกฤษ โดย ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem122883.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem123102.html

 ;D



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 24 ส.ค. 10, 11:17
อ้างถึง
แม่ดิฉันเป็นเพื่อนอักษรรุ่นเดียวกับอาจารย์ฉลบชลัยย์ พลางกูร     แต่ก็แปลกว่าแม่ไม่เคยพูดเลยว่าอาจารย์ฉลบอยู่ในซอยร่วมฤดี  เป็นได้ว่าเป็นบ้านทางฝ่ายสามี  เมื่อคุณกำจัด (ชื่อเจ้าคุณพ่อท่านและตัวท่าน จำยากมาก   คนหนึ่งชื่อจำกัด อีกคนชื่อกำจัด   ดิฉันไม่เคยจำได้เลยว่าคนไหนเป็นคนไหน)เสียไปแล้ว อาจารย์ฉลบอาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่น

พระยาผดุงวิทยาเสริม นามเดิมว่า กำจัด คือ เจ้าคุณพ่อของคุณจำกัด อย่าเพิ่งงงนะคะ

และรูปข้างล่างนี่ตอบข้อสงสัยอาจารย์เทาชมพูค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 12:22
ขอแยกซอยไปทางคุณจำกัด พลางกูร
ชอบเพลง In the Persian Market ของริมสกี้ คอสซาคอฟ  เหมือนกันเลย

http://www.youtube.com/watch?v=GVn6LC-QtWo


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 24 ส.ค. 10, 12:46
อ้างถึง
ส่วนเรื่องอาชญากรสงครามที่เอาผิดจอมพลป.มิได้ อยู่ในมหากาพย์การเมืองตอน “หลวงอดุล-หลวงพิบูล คู่รัก, พล.ต.อ อดุล-จอมพล ป. คู่แค้น” หน้าตามที่โยงไว้ให้ ตั้งแต่คคห.341ไปครับ แต่ถ้าจะครบเครื่องต้องอ่านตั้งแต่คคห.1โน่นเลย แล้วอย่าลืมไปอ่านเรื่องพระยาทรงสุรเดชอีกด้วย

ยังทำการบ้านไม่ครบถ้วนดี เกิดข้อสงสัย จึงยกมือขึ้นกลางชั้นเรียน ขอถามอาจารย์ Navarat C ว่า

เกียรตินิยมอันดับหนึ่งทางกฏหมายจาก Oxford ทำไมไม่ทราบว่า พ.ร.บ.อาญากรสงคราม หรือ กฏหมายใด ๆ ก็ตาม ที่ตราออกใช้หลังการกระทำผิด ไม่มีผลย้อนหลังคะ หรือว่า พ.ร.บ.นี้มีก่อนเกิดสงครามกันแน่คะ

คือ แปลกใจว่า ท่าน ม.ร.ว.ผิดพลาดเรื่องพื้น ๆ เช่นนี้เองหรือคะ

กรณียุบพรรคในปัจจุบัน ที่เกิดจากการทุจริตก่อน รัฐประหาร 2549 ที่กำหนดโทษยุบพรรคไว้
ทำไมจึงให้ผลย้อนหลังได้คะ




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 24 ส.ค. 10, 13:01
ขอแวะไปที่ กรณี จิตร ภูมิศักดิ์ กับ จอมพล ป. และ จอมพล สฤษดิ์

ที่ไม่ปรากฏว่าขัดแย้งหรือโจมตีจอมพล ป.รุนแรง เท่ากับที่ตอบโต้กับจอมพลสฤษดิ์นั้น

น่าจะเป็นเพราะว่า ในช่วงท้ายของชีวิตการเมือง จอมพล ป. เริ่มรู้ถึงภัยคุกคามจากอำนาจของอเมริกาแล้ว และ พยายามถ่วงดุลอำนาจด้วยการแอบส่งคนเข้าไปสานไมตรีกับฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ นักคิดนักเขียนทั้งหลายในยุคจอมพล ป. คงจะพอมีที่ยืนอยู่บ้าง

แต่เมื่อจอมพล สฤษดิ์มีอำนาจ คนเหล่านั้นถูกจับขังลืม และ เลยเถิดไปจำกัดเสรีภาพนักหนังสือพิมพ์อย่างร้ายแรง อีกทั้งยังมองงานเขียนของจิตร "ศักดินาในสังคมไทย" เป็นหลักฐานมัดจิตรเข้าคุก นี่คือการสยมยอมต่ออำนาจอเมริกาในสงครามเย็น โดยยอมทำร้ายคนไทยกันเอง น่าจะเป็นเหตุให้จิต ฝังใจแค้นมาก

จะถูกจะผิดประการใด ขอกราบผู้รู้ได้มาแสดงเหตุผลด้วยค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 13:49
ตั้งแต่มีเรื่องโยนบก - หนังสือมหาวิทยาลัย ๒๓ ตุลาคม จิตรก็ถูกมองจากฝ่ายปกครองว่าเป็นคอมมิวนิสต์มาตลอด  "ศักดินาในสังคมไทย" คุณร่วมฤดีคงหมายถึง "โฉมหน้าศักดินาไทย" เป็นเพียงหลักฐานสนับสนุนเท่านั้น

ภายหลังจากกรณีโยนบกอันอื้อฉาว แม้ว่าในทางกฎหมายจะสิ้นสุดไปแล้วเมื่อกองบังคับการตำรวจสันติบาลโดย พ.ต.ต.อรรณพ พุกประยูร ออกหนังสือที่ ๙๘๖/๒๔๙๘ ลงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๙๘ รับรองความบริสุทธิ์ให้จิตร และจิตรเองก็ได้เข้าศึกษาต่อ แต่ชื่อของจิตรก็ถูกจัดเข้าแฟ้มกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และเมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองเมื่อ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๐๑ คำสั่งจับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายซ้ายจึงเกิดขึ้น ชื่อของจิตร ภูมิศักดิ์ ก็อยู่ในจำนวนนั้นด้วย



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 13:54
ขออนุญาตเข้าซอยจิตร ภูมิศักดิ์ ลึกเข้าไปหน่อยถึงผลงานอันลือลั่นของเขา

โฉมหน้าของศักดินาไทย

เช่นเดียวกับปัญญาชนฝ่ายซ้ายในทศวรรษ ๒๔๙๐ ที่รับอิทธิพลความคิด "กึ่งเมืองขึ้น กึ่งศักดินา" จิตรมองว่ารากเหง้าของความขัดแย้งในสังคมไทยเกิดจากการกดขี่ขูดรีดของจักรวรรดินิยมจากภายนอก กับศักดินาจากภายใน แต่จากพื้นฐานความสนใจประวัติศาสตร์ไทย จิตรเริ่มต้นด้วยการสืบค้นรากเหง้าของศักดินาไทย

เมื่อได้รับการติดต่อจากสุวิทย์ ปิติกาญจน์ สหายรุ่นน้องจาก มธก. ที่กำลังจัดทำหนังสือที่มุ่งหวังให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นคือ นิติศาสตร์ฉบับรับศตวรรษใหม่ ให้เขียนบทความวิเคราะห์สังคมไทย จิตรทุ่มเทให้กับการทำงานชิ้นนี้เป็นอันมาก ทวีป วรดิลก ได้บอกเล่าความยากลำบากของการทำหนังสือเล่มนี้ว่า

สุวิทย์ ปิติกาญจน์ ต้องเดินจากโรงพิมพ์ที่คลองหลอดไปยังเชิงสะพานเสาวนีย์บ้านจิตร เพื่อรับต้นฉบับ โดยที่จิตรเขียนวันต่อวัน วันหนึ่งจิตรเขียนได้ ๓ หน้ากระดาษ

จึงเป็นที่มาของบทความประวัติศาสตร์อันลือลั่น "โฉมหน้าของศักดินาไทยในปัจจุบัน" ในนามปากกา สมสมัย ศรีศูทรพรรณ จิตรได้บันทึกถึงหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น

งานที่รับว่าเป็นการเขียนครั้งใหญ่คือ นิติศาสตร์ ฉบับ ๒๕๐๐ ซึ่งข้าพเจ้าเขียนหลายบทความ เป็นจำนวนหน้ากว่าครึ่งหนึ่งของหนังสือนั้น (หนังสือขนาด ๘ หน้ายก หนากว่า ๕๐๐ หน้า แล้วโฉมหน้าฯ หนา ๑๓๖ หน้า)

"โฉมหน้าของศักดินาไทยฯ" ในแง่ขอบเขตของเนื้อหาไม่ต่างจากงานเขียนสกุลดำรงราชานุภาพ ที่ศึกษาสังคมไทยเริ่มจากสมัยสุโขทัย จนถึงกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ ขณะที่งานเขียนสกุลดำรงฯ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพระมหากษัตริย์ในฐานะศูนย์กลางของรัฐและสังคมไทย แต่จิตรได้แสดงให้เห็นอีกด้าน คือการดำรงอยู่ของพระองค์ในฐานะศูนย์กลางปัญหาของรัฐและสังคมไทย

แน่นอนว่างานเขียนเช่นนี้ต้องสร้างความขุ่นเคืองให้แก่ "ฝ่ายนิยมเจ้า" เป็นอย่างมาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงกับต้องเขียนหนังสือออกมาตอบโต้ คือฝรั่งศักดินา

ไม่ทันที่วิวาทะเรื่องศักดินาไทยจะเริ่มต้น สฤษดิ์ก็ทำการรัฐประหารในเดือนตุลาคม ๒๕๐๐ ส่งผลให้นิติศาสตร์ ฉบับรับศตวรรษใหม่ กลายมาเป็นหนังสือต้องห้าม กว่าผลงานชิ้นนี้จะได้รับการเผยแพร่อีกครั้ง ก็ต้องรอจนหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖

เริ่มจากชมรมหนังสือแสงตะวัน ได้นำมาพิมพ์เป็นหนังสือเล่มภายใต้ชื่อโฉมหน้าศักดินาไทย หลังจากนั้นก็ได้มีการพิมพ์ใหม่อีกครั้งนับรวมได้มากกว่า ๑๐,๐๐๐ เล่ม ส่งผลให้มีการจัดสัมมนาเรื่องโฉมหน้าที่แท้จริงของศักดินาไทย ในเดือนธันวาคม ๒๕๑๘ เพื่อวิจารณ์การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของจิตร ภูมิศักดิ์ โดยเฉพาะ

จนเป็นที่มาของวิวาทะรอบใหม่ เมื่อชัยอนันต์ สมุทวณิช เสนอศักดินากับพัฒนาการของสังคมไทย แย้งว่าจิตรมีความสับสนระหว่างสังคมที่มีทาสกับการตีความวิถีการผลิตของสังคมทาสตามความหมายของมาร์กซ์ เนื่องจากศักดินาในตะวันออกมีความแตกต่างจากการมีทาสและสังคมศักดินากับยุโรปสมัยโบราณ ซึ่งชัยอนันต์ได้เสนอว่าแนวคิดสังคมพลังน้ำน่าจะเป็นทฤษฎีที่สามารถอธิบายความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองของสังคมไทยได้เหมาะสมกว่า

งานชิ้นนี้ได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรงจากฝ่ายซ้าย ดังเช่นที่อนุช อาภาภิรม ได้วิจารณ์ข้อเสนอว่า

เป็นการใช้ลัทธิมาร์กซ์ทำลายจิตร ภูมิศักดิ์ และเป็นการยกจิตร ภูมิศักดิ์ มาทำลายลัทธิมาร์กซ์ โดยจะแสดงว่าลัทธิมาร์กซ์ไม่สามารถนำมาใช้กับสังคมไทยได้


จากบทความเรื่อง ชีวิตและงาน จิตร ภูมิศักดิ์ ของ คุณธนาพล อิ๋วสกุล และคณะ จากนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ ๗ ปีที่ ๒๕ วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 24 ส.ค. 10, 14:03
สนใจอ่านเรื่องของจิตร ภูมิศักดิ์มากค่ะ น่าจะตั้งกระทู้เฉพาะเรื่องจิตร ชีวิตและ งาน เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ว่า ยุคสมัย2490-2506  ที่ดิฉันอยากจะเรียกว่า ยุคทมิฬนั้น เกิดอะไรขึ้นบ้าง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 14:06
อ้างถึง
ยังทำการบ้านไม่ครบถ้วนดี เกิดข้อสงสัย จึงยกมือขึ้นกลางชั้นเรียน ขอถามอาจารย์ Navarat C ว่า
อ้างถึง
เกียรตินิยมอันดับหนึ่งทางกฏหมายจาก Oxford ทำไมไม่ทราบว่า พ.ร.บ.อาญากรสงคราม หรือ กฏหมายใด ๆ ก็ตาม ที่ตราออกใช้หลังการกระทำผิด ไม่มีผลย้อนหลังคะ หรือว่า พ.ร.บ.นี้มีก่อนเกิดสงครามกันแน่คะ

สั้นๆนะครับ พ.ร.บ.อาชญากรสงครามนี้ออกเมื่อหลังสงคราม และเป็นมาตรการอย่างหนึ่งที่จะหนีการเป็นผู้แพ้สงคราม ด้วยการหาแพะมารับบาปว่าเป็นตัวการที่ไปร่วมมือกับญี่ปุ่น โดยคนไทยที่เหลือทั้งชาติมิได้เห็นด้วย

ใจความสำคัญของพ.ร.บ.ระบุไว้อย่างชัดเจนในตัวบทกฏหมายว่า ไม่ว่าการกระทำอันบัญญัติว่าเป็นอาชญากรสงครามนั้น จะกระทำขึ้นก่อนหรือหลังวันใช้พระราชบัญญัติก็ดี ผู้กระทำได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรสงครามและจะต้องได้รับโทษตามที่บัญญัติไว้ทั้งสิ้น  

ตรงนั้นแหละที่เป็นตัวปัญหาที่นายปรีดีท่านอ้างว่าได้ทำกับดักทางกฏหมายซ่อนไว้ใต้เหยื่อ ให้นักกฏหมายด้วยกันงับ พอความรุนแรงของเหตุการณ์บรรเทาลงแล้ว ท่านจึงส่งสัญญาณให้มีการขอให้ศาลฏีกาตีความ เรื่องการบังคับลงโทษบุคคลด้วยกฏหมายย้อนหลัง

ข้อบัญญัติที่ว่าให้การกระทำก่อนพระราชบัญญัติเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติด้วยนี้ เป็นกฏหมายย้อนหลัง ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งพระราชอาณาจักรไทยมาตรา14 ที่มีใจความสรุปว่าบุคคลมีเสรีภาพที่จะกระทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ผิดกฏหมายซึ่งออกมาแล้วในขณะนั้น ซึ่งศาลตีความว่า ไม่อาจมีความผิดตามกฎหมายที่ประกาศใช้หลังการกระทำนั้นด้วย ดังนั้นศาลฏีกาจึงได้พิพากษาว่ากฏหมายอาชญากรดังกล่าวเป็นโมฆะตามมาตรา61ของรัฐธรรมนูญ ทำให้ไม่สามารถบังคับใช้ในคดีนี้ได้

ส่วนที่ถามเรื่องยุบพรรคในปัจจุบัน ผมไม่มีความรู้ บทสรุปยังไม่นิ่งครับ ถ้าไม่ใช่ประวัติศาสตร์แล้วผมตอบไม่สามารถตอบ หรือวิจารณ์ได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 14:30
เอ้อ..ผมไม่ได้ว่าว่าม.ร.ว.เสนีย์ท่านงับเหยื่อนะครับ นักกฏหมายฝ่ายตรงข้ามเป็นพหูพจน์ อย่าลืมว่าเราออกกฏหมายนี้เพื่อเอาใจสัมพันธมิตร มิฉะนั้นเขาจะส่งจอมพลป.และจำเลยคนอื่นๆไปขึ้นศาลอาชญากรสงครามของเขาก็ได้ ดังนั้น เพื่อแสดงอำนาจอธิปไตยทางศาลที่เราพึงสามารถพิจารณาโทษคนของเราได้เอง กฏหมายอาชญากรสงครามจึงได้มีการรีบบัญญัติขึ้น และฝ่านการกลั่นกรองของสัมพันธมิตรมาได้เพราะมีใจความในพ.ร.บ.ว่าให้มีอำนาจลงโทษย้อนหลังนั่นเอง ซึ่งถือว่าเป็นใจความดีที่สุดแล้วที่จะนำไปบังคับคดีนี้

แต่อย่างว่าแหละครับ การตีความตามกฏหมายมันเป็นปัจเจกอยู่ดี เขาจึงต้องมีทนายไปสู้กันในศาลไงครับ ตัวบทอักษรในกฏหมายอ่านแล้วเข้าใจตรงกันหมดก็คงไม่มีเรื่องทะเลาะกันให้ทนายรวย แม้ผู้พิพากษาเองยังเป็นองค์คณะ เอาตามความเห็นส่วนใหญ่

แต่แน่ละครับ ในฐานะปุถุชน ความเห็นของผู้พิพากษาก็อาจจะแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม สถานและกาลเวลาได้ โดยเฉพาะคดีการเมือง
เรื่องกฏหมายอาชญากรนี้ ถ้าทางสัมพันธมิตรเอาดาบปลายปืนจี้ให้ศาลฎีกาตีความเสียตั้งแต่บังคับใช้พ.ร.บ.ใหม่ๆ ผลพิพากษาอาจจะเป็นไปอีกทางหนึ่งก็ได้ ก็ใช้เสียงส่วนใหญ่ตัดสิน ใครจะไปรู้ใจใครได้ล่ะครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 24 ส.ค. 10, 14:57
กราบขอบพระคุณค่ะ อาจารย์ Navarat C คะ มีเบื้องหลังซ่อนเงื่อนอย่างนี้เอง อ.ปรีดีเก่งมาก

คำตอบที่ได้ทำให้รู้ต่อไปอีกว่า ทำไมชาวต่างชาติทั้งหลายจึงไม่ค่อยไว้ใจรัฐบาลไทย
แม้แต่การเซ็นสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่น ๆ คงกลัวจอมพล ป. พลิกแพลง จึงให้ไปเซ็นต่อหน้าพระแก้วมรกต



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 16:42
^
นั่นไปเสนอเขาเองครับ เรื่องอย่างนี้ญี่ปุ่นไม่ได้เข้าใจซาบซึ้งในความรู้สึกของคนไทยที่มีต่อพระแก้วมรกต ขนาดมาออกโจทย์เรียกร้องให้ทำอย่างเหมือนกับหนุ่มสาวชวนกันไปสาบานต่อพระแก้วมรกต  ว่าจะครองรักกันจนวันตาย

ดูเหมือนจะเป็นความคิดของหลวงวิจิตร ซึ่งเป้นคนหนึ่งที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย เสนอให้จอมพลป.เห็นชอบ
นัยว่า เพื่อแสดงความจริงใจของฝ่ายไทย

ญี่ปุ่่นก็ชอบใจ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: V_Mee ที่ 24 ส.ค. 10, 16:59
ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ เสวกเอก พระราชธรรมนิเทศ (เพียร  ไตติลานนท์) กล่าวถึงคดีอาชญากรววงครามไว้ว่า  คุณพระฯ ตกเป็นจำเลยในคดีอาชญากรสงครามร่วมกับจอมพล ป.  พิบูลสงคราม และนายสังข์  พัธโนทัย  โดยคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ยื่นฟ้องบุคคลทั้งสามมีใจความว่า สมัครใจเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่น และโฆษณาชักชวนให้ประชาชนเห็นชอบกับการทำสงครามรุกรานสันติภาพของภูมิภาคระหว่างวันที่  ๑๖  กรกฎาคม ถึงวันที่  ๓๑  ธันวาคม  พ.ศ. ๒๔๘๖  ขอให้ลงโทษริบทรัพย์และเพิกถอนสิทธิออกเสียงเลือกตั้งด้วย 

บทบาทของคุณพระฯ กับนายสังข์  พัธโนทัย ที่ถูกกล่าวหานั้นคือ บทบาทของ "นายมั่น - นายคง" ที่ออกอากาศโฆษณาชวนเชื่อในระหว่างสงคราม


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 17:02
รัฐบาลประเทศไหนๆก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นแหละครับ รัฐบาลที่ดีก็ต้องมองประโยชน์ของประเทศตนก่อนประโยชน์ของประเทศอื่น
นโยบายต่างประเทศสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา จากมิตรเป็นศัตรู จากศัตรูเป็นมิตร ถ้าประดักประเดิดนักก็เปลี่ยนตัวรัฐมนตรี เอาคนใหม่มาว่านโยบายใหม่

เวลาอเมริกาชวนบริวารไปรบกับคอมมิวนิสต์ บางประเทศไม่ได้อยากจะเอาด้วยเท่าไหร่หรอก กลัวๆกล้าๆเกรงจีนหันมาเตะเอาเพราะอยู่ในรัศมีเท้าพญามังกร แต่พอหลวมตัวไปล่มหัวจมท้ายกับอเมริกันเต็มที่ อ้าวนิกสันเล่นส่งฟอเรส กั้มม์ไปตีปิงปองกับเขาเสียแล้ว ไทยเองจึงต้องเรียกทัพนักกิฬาปิงปองที่เมื่อก่อนไม่ค่อยมีใครสนใจ ไปเข้าค่ายซ้อมอัดฉีดกันใหญ่ รอเวลาจีนเรียกไปจะได้ตีโต้กับเขาได้หลายป๊อกแป๊กหน่อย

เขมรกับไทย เดี๋ยวรักเดี๋ยวคืนดีกัน ประชาชนไม่ต้องไปอินกับมันมากหรอกครับ เดี๋ยวนักการเมืองเขาคุยเรื่องผลประโยชน์กันลงตัว การเมืองก็จะลงตัวด้วยไม่มีใครอยากรบกับใครหรอก มันเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ว่าให้จับตาย้อนหน้าย้อนหลังดูให้กว้างไกล ที่มันลงตัวหรือไม่ลงกันน่ะ มันผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมือง

อ้าวเพิ่งจะบอกไปว่าไม่อยากวิจารณ์การเมืองในยุคปัจจุบัน นี่ไปแขวะเขาให้อีกแล้ว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: srinaka ที่ 24 ส.ค. 10, 17:35
เรียนอาจารย์ NAVARAT C.

จากความเห็นที่ 256 ที่...

" ท่านจอมพลเดินทางออกจากเขมรไปอยู่ญี่ปุ่นเพราะค่าครองชีพที่นั่นถูกกว่า ตรงนี้น่าสนใจนะครับ ญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามใหม่ๆ ของบางอย่างถูกมาก ......"นั้น
 ท่านจอมพลผู้ครองอำนาจมายาวนานถึง 2 ทศวรรษครึ่ง ดูน่าสงสาร ขัดสน และขาดทุนรอนแม้แต่ในการเลือกที่ลี้ภัย จนต้องตัดสินใจเลือกไปพำนักในสถานที่ที่ๆมีค่าครองชีพถูกๆ.. ดูเป็นนักการเมืองน้ำดี  มือสะอาด ? ไม่เหมือนพลเอกเผ่าที่อยู่สวิทซ์มีสมบัติมหาศาล !!!

แต่เมื่อล่วงมาถึงความเห็นที่ 261ที่...

 " ท่านจอมพลตั้งใจเพียงมาเที่ยวอเมริกา โดยปักหลักอยู่ที่เบิร์คเลย์ ในคาลิฟอร์เนีย เข้าใจว่าท่านได้ซื้อฟอร์ดธันเดอร์เบริ์ดคันที่เห็นในรูป... ทานขับรถคันนี้พาท่านผู้หญิง...ไปเที่ยวยังเมืองในมลรัฐต่างๆอย่างมีความสุข ประสาคนที่เพิ่งเกษียนตนเองจากงานอันหนักอึ้ง ตระเวณอยู่เกือบปีท่านจึงได้กลับบ้านที่ญี่ปุ่น โดยเลือกกลับทางเรือ เข้าใจอีกว่านอกจากจะเป็นวิธีเดินทางท่องเที่ยวสบายๆอย่างหนึ่งแล้ว น้ำหนักของติดตัวของผู้โดยสารบริษัทเรือเขาไม่จำกัด มีปัญญาขนได้เท่าไหร่ก็ขนไป เข้าใจว่าท่านคงเอาเจ้าวิหกสายฟ้าที่เพิ่งซื้อจากอเมริกาลงเรือมาญี่ปุ่นด้วย....."

...ตกลงท่านจอมพล พยายามอดออมค่าข้าว เพื่อจะได้พาเมียไปซื้อรถหรูและเที่ยวรอบอเมริกาหรอกหรือนั่น โธ่ถัง !!!!

ขอบันทึกบทนี้ไว้เพื่อเตือนสติตนเองครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 18:59
อ้างถึง
ท่านจอมพลผู้ครองอำนาจมายาวนานถึง 2 ทศวรรษครึ่ง ดูน่าสงสาร ขัดสน และขาดทุนรอนแม้แต่ในการเลือกที่ลี้ภัย จนต้องตัดสินใจเลือกไปพำนักในสถานที่ที่ๆมีค่าครองชีพถูกๆ.. ดูเป็นนักการเมืองน้ำดี  มือสะอาด ? ไม่เหมือนพลเอกเผ่าที่อยู่สวิทซ์มีสมบัติมหาศาล !!!

ข้อความในล้อมกรอบนี้ผมไม่ได้เขียนนะครับ มันมาปะปนกับที่ผมเขียนจนเนียนไปหมด  และผมไม่เคยนำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจด้วยว่าท่านจอมพลขัดสนเหมือนผู้ก่อการทั้งหลายที่โดนท่านเนรเทศไปลำบากลำบนอยู่ต่างประเทศอย่าสาหัส

ท่านจอมพลท่านมีฐานะดีเท่าที่คนเป็นนายกรัฐมนตรีมาร่วมยี่สิบปีจะพึงมีได้ ข้าราชการในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชนับร้อยคนก็มีฐานะเท่าเทียมหรือดีกว่าท่าน เอาแค่ซื้อที่ดินย่านที่ยังไม่เจริญทิ้งๆไว้ รอให้ถนนหนทางตัดผ่านมาแล้วจึงขายก็ได้กำไรเยอะแล้ว ยิ่งท่านจอมพลรู้ว่าถนนหนทางจะตัดไปทางไหน ต้นทุนท่านยิ่งถูกเมื่อเทียบกับราคาขาย

การซื้อมาขายไปที่ดินดังกล่าว จะหาว่าท่านคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายก็ยาก เพราะท่านก็ไม่ได้ซื้อเป็นร้อยเป็นพันไร่ หรือซื้อจุดสำคัญๆไว้ แล้วตั้งงบประมาณเงินหลวงแพงๆมาซื้ออย่างที่ระยะหลังเขาทำกัน ท่านซื้อเพื่อปลูกบ้านอย่างที่แถวหลักสี่เป็นต้น พอหมดความจำเป็นที่จะหลีกลี้ผู้คน ท่านก็ขาย และได้กำไร

ตรงนี้แหละที่ผมชวนตีความตอนก่อนที่ท่านเขียนว่า “เป็นเรื่องตามโบราณที่เขาทำมา” คือเรื่องรวยตามน้ำของข้าราชการนี้ มันมีมาก่อนนานแล้ว ท่านก็รู้อยู่เต็มอก รัฐมนตรีสมัยท่านบางคนต้องใช้ศัพท์ว่ากินตามน้ำจึงจะถูกด้วยซ้ำ แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเหลือล้นอย่างท่าน หากเป็นคนโลภโมโทสัน ท่านคงรวยได้มากกว่านี้เยอะแยะ คนเป็นข้าราชการไม่ได้แปลว่าต้องจนถึงจะเป็นคนดีนะครับ ถ้ารู้จักหารายได้เสริมโดยสุจริตไม่ทุจริตต่อหน้าที่ ก็รวยได้นี่ครับ เลวตรงไหน
 
ดังนั้นการที่ท่านมีเงินซื้อรถดีๆ(รถในอเมริกาถูกมาก) ขับท่องเที่ยวไปในรัฐต่างๆ(ซึ่งถูกกว่านั่งเครื่อง หรือลงเรือโดยสารกลับญี่ปุ่น ซึ่งค่าโดยสารก็พอๆกับตั๋วเครื่องบิน) ผมถือว่าพอสมควรแก่ฐานะหากอดีตนายกรัฐมนตรีจะทำตามไฝ่ฝันสักครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตหลังเกษียน ไม่น่าเกลียดอะไร และท่านยังมีเงินบำนาญที่จอมพลสฤษดิ์มิได้ตัดสิทธิ์ท่านอีก ได้รับเท่ากับเงินเดือนสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่ง อัตราเงินเดือนนี้สามารถทำให้ท่านอยู่ได้สบายในประเทศไหนๆก็ได้ ถ้าไม่ฟุ่มเฟือยเกินเหตุ

ถึงกระนั้น ท่านก็ขายบ้านขายที่ดินเท่าที่จำเป็นหมดแหละครับ แล้วนำเงินไปซื้อบ้านในญี่ปุ่นในราคาแค่สองแสนบาทเอง บ้านที่ซอยชิดลมนายพจน์ สารสินขายให้ท่านในราคาถูกมากๆ หลังจากท่านถึงแก่อนิจจกรรมแล้วมูลค่ามหาศาลลูกหลานก็ขายหมดอยู่ดี  ผมว่า ท่านคิดถูก และใช้เงินเป็น อย่าไปติดใจท่านตรงนี้เลยครับ



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 24 ส.ค. 10, 20:21
อ้างถึง
ดังนั้นการที่ท่านมีเงินซื้อรถดีๆ(รถในอเมริกาถูกมาก) ขับท่องเที่ยวไปในรัฐต่างๆ(ซึ่งถูกกว่านั่งเครื่อง หรือลงเรือโดยสารกลับญี่ปุ่น ซึ่งค่าโดยสารก็พอๆกับตั๋วเครื่องบิน) ผมถือว่าพอสมควรแก่ฐานะหากอดีตนายกรัฐมนตรี

พยายามกะราคาฟอร์ดธันเดอร์เบิร์ดของจอมพลป.ว่า ราคาควรสักเท่าไร   ในค.ศ. 1960  ดิฉันคิดว่าคงเป็นพันดอลลาร์ต้นๆ   ไม่แน่ใจว่าดอลลาร์เท่ากับกี่บาทในยุคนั้น น่าจะไม่เกิน 20 บาท   เพราะ1/20 คืออัตราดอลล่าร์/บาท  ในช่วง 1970
ก็แสดงว่าวิหคสายฟ้า ไม่น่าจะเกินห้าหมื่น   ก็ถือว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงอดีตนายกรัฐมนตรีไทยจะซื้อไว้ได้ 

ช่วงปีต้นๆของ 1970  ในประเทศไทย รถยนต์ใหม่ราคาเป็นแสน   เฟียตใหม่ก็แสนกว่าหรือสองแสน    ตรงข้ามกับในอเมริกา รถใหม่เอี่ยมล่าสุดราคาไม่กี่หมื่น  นักเรียนไทยในสมัยนั้นจึงขับรถอเมริกันใหม่ๆเป็นว่าเล่น เพราะถูกกว่ารถยนต์ไทยหลายเท่าตัว
อย่าง Pontiac Firebird รุ่น 1970 ต้นๆ   6 สูบ 3500 CC  เมื่อออกสู่ตลาด  ไม่มีออพชั่นพิเศษ ราคา 2200 ดอลล่าร์  เท่ากับ 44000 บาทเท่านั้นเอง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: srinaka ที่ 24 ส.ค. 10, 21:09
เรียนท่านอาจารย์  NAVARAT.C 
 
ข้อความที่ท่านกรุณาโค้ทมาลง เป็นส่วนที่ผมเติมเองแหละครับ(ผมจะก๊อบมาอ้าง อย่างที่ท่านทำมั่ง แหมก็ทำไม่เป็น อายชะมัด) เพราะอยากทราบว่าท่านจอมพลมีฐานะความเป็นอยู่อย่างไรกันแน่ หลังถูกไล่ล่า จะว่าช่วงแรกยังตั้งตัวไม่ทัน แต่ท่านก็มีเวลาเตรียมตัวที่วังกษัตริย์เขมรตั้ง 2 เดือน น่าจะพอมีเวลาเตรียมการเรื่องทรัพย์สิน การเลือกไปญี่ปุ่นซึ่งกำลังฟุ้งฝุ่นกัมมันตรังสีหลังสงครามโลกครั้งที่2 ด้วยการอ้างเหตุผลที่ว่า ค่าครองชีพมันถูกดีเน้อ ปวงชนชาวไทยที่รัก.. (ก็แปลว่าท่านต้องการประหยัดไม่ใช่เหรอครับ จึงขอเลือกไปอยู่ประเทศแพ้สงคราม ที่ข้าวแกงมันถูกดี กระพ้มจะได้มีปัญญาซื้อข้าวมาประทังชีวิตได้ แหม้...อ่านแล้วจ๋งจ๋านท่านจับใจ) แค่ไหง ..แค่คล้อยหลังไม่เท่าไหร่ ท่านกลับพาเมียไปลุยแหลกอเมริกา ที่เพิ่งชนะสงครามมาหมาดๆ (ตามตรรกะเมื่อประเทศแพ้สงคราม ...ค่าครองชีพถูก ประเทศชนะก็ต้องแพงซีครับ จะไปถูกได้ยังไงกัน)...
กระผมไม่มีอะไรติดใจท่านจอมพลหรอกครับ ท่านอาจารย์ เพราะท่านเป็นผู้นำประเทศมานานขนาดนั้น ลำบากตรากตรำมาเยอะ ท่านไม่ได้นอนเสพย์สุขอยู่กับบ้านเฉยๆ มีโปรเจคผ่านมือมาก็คงเยอะ จึงสมควรมีอะไรตามน้ำ - ทวนน้ำ หลงๆมากะเขาบ้างแหละน่า ก็อย่างที่เรียนท่านอาจารย์แหละครับ กระผมซักค้านมาด้วยความเคารพ เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา..เพราะเหตุว่ากรรมมักเป็นเครื่องส่อเจตนา  อีกทั้ง ..ท่านอาจารยน์เองก็เคยบอกไว้ในกระทู้ที่ผ่านมาว่าท่านจอมพลมี"อะไร"กับญี่ปุ่นอยู่หลายประการ ซึ่งอะไรนั่นน่าจะเป็นแรงจูงใจให้ท่านไปลี้ภัยที่ญี่ปุ่นมากกว่าเหตุผลเรื่องข้าวแกงถูก ดังที่อ้างกันมาให้ดูน่าสงสาร..ก็เท่านั้นแหละครับ เอวัง.



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 24 ส.ค. 10, 23:03

น่านน่ะซีครับ
เอาละครับ….เป็นอันว่าผมเข้าใจแล้วว่าคุณเข้าใจ ขอบคุณนะครับที่เพิ่มเติมมา


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 11:03


อันที่จริงท่านจอมพลท่านไม่เคยถูกไล่ล่า ท่านหนีไปเองและคณะปฏิวัติก็ไม่เคยออกประกาศจับ ท่านไปตั้งหลักที่เขมรทีหนึ่งก่อน ผมคิดว่าสองเดือนเร็วไป ท่านคงไม่มีเวลาจะคิดเรื่องของท่านให้ลงตัว และคนคงมากวนใจท่านมากเพราะมันอยู่ใกล้เมืองไทยเกิน ท่านจึงตัดสินใจขยับขยายไปอยู่โตเกียว ส่วนเรื่องค่าครองชีพที่นั่นถูกกว่าพนมเปญน่าจะเป็นเรื่องรองอย่างที่คุณศรีนคะว่า คงเป็นเพราะท่านคงอยากจะหนีพวกคนไทยให้ไกลขึ้น และที่สำคัญ คนญี่ปุ่นยินดีจะตอบแทนบุญคุณท่านบ้างในฐานะที่เคยให้โอกาสกันมา และเรื่องที่ท่านเลยต่อไปอเมริกานั้น คงเป็นความใฝ่ฝันเดิมๆที่ท่านมีโอกาสเติมเต็มในจังหวะที่ว่างๆอยู่ ต้องการปล่อยอารมณ์บ้าง ท่านจึงไปขับรถเล่นนานๆให้ใจตกผลึก ก็น่าเขม่นอยู่ละครับ นักการเมืองไทยที่ถูกเนรเทศใครจะมีทุกข์น้อยกว่าท่าน

แต่ที่ผมเน้นการนำเสนอ คือทุกข์ทางใจ ผู้ต้องวิบากหลายคนที่มีเงินหาความสุขทางกายมากกว่าท่าน ก็ยังดิ้นรนหนีทุกข์ทางใจที่เผาผลาญจนหาความสุขแท้จริงมิได้ ในอดีตก็ต้องดูเผ่า การเลือกวิถีทางดำเนินชีวิตที่ต่างกัน สองสามปีเท่านั้นก็เฉาตายท่ามกลางกองเงินกองทอง ตรงนี้ต่างหากที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ข้อคิดอะไรไปบ้าง

ท่านจอมพลท่านไม่ได้บริสุทธ์สะอาดอะไรนักหรอกครับ ทูตอเมริกันเคยทำรายงานกลับไปสมัยหนึ่ง กล่าวหาว่าท่านเป็นนักคอร์รัปชั่นโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ผมคิดว่า ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่มีตำหนิ มรกตแท้ทุกเม็ดยังมีรอยร้าว ไม่เว้นแม้แต่มรกตที่ประดับยอดมงกุฏจักรพรรดิ์

ท่านจอมพลในฐานะนายกรัฐมนตรีไทยสองยุค ท่านทำทั้งความชั่วและความดี คนเกลียดเท่าๆกับคนรัก แต่ยกสุดท้าย ท่านทำได้ดีมาก การที่รู้จักพอ เพราะเห็นแก่ความสงบสุขของประเทศชาติ ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย และการให้อภัยศัตรูทางการเมือง ที่ท่านปฏิบัติไป ล้วนเป็นสิ่งอันพึงกระทำของรัฐบุรุษโดยแท้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 11:53
สาธุ  :D

บุคคลบางคนในโลกนี้
๑. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑาวุธ และศัสตราวุธ มีความสะอาด มีความเอ็นดู มุ่งหวังประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์อยู่
๒. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการลักทรัพย์ คือ ไม่ถือเอาทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์ เครื่องปลื้มใจของผู้อื่น ซึ่งอยู่ในบ้านหรืออยู่ในป่าที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยจิตเป็นเหตุขโมย
๓. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม คือ ไม่เป็นผู้ประพฤติล่วงในสตรีที่อยู่ในปกครองของมารดา ที่อยู่ในปกครองของบิดา ที่อยู่ในปกครองของพี่ชายน้องชาย ที่อยู่ในปกครองของพี่สาวน้องสาว ที่อยู่ในปกครองของญาติ ที่ประพฤติธรรม มีสามี มีกฎหมายคุ้มครอง โดยที่สุดแม้สตรีที่บุรุษสวมด้วยพวงมาลัยหมายไว้
ความสะอาดทางกาย ๓ อย่างเป็นอย่างนี้แล

บุคคลบางคนในโลกนี้
๑. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการพูดเท็จ คืออยู่ในสภา อยู่ในบริษัท อยู่ท่ามกลางหมู่ญาติ อยู่ท่ามกลางหมู่ทหาร หรืออยู่ท่ามกลางราชสำนัก ถูกเขาอ้างเป็นพยานซักถามว่า "ท่านรู้สิ่งใดจงกล่าวสิ่งนั้น" บุคคลนั้นไม่รู้ก็กล่าวว่า "ไม่รู้" หรือรู้ก็กล่าวว่า "รู้" ไม่เห็นก็กล่าวว่า "ไม่เห็น" หรือเห็นก็กล่าวว่า "เห็น" ไม่กล่าวเท็จทั้งที่รู้เพราะตนเป็นเหตุบ้าง เพราะบุคคลอื่นเป็นเหตุบ้าง เพราะเหตุคือเห็นแก่อามิสเล็กน้อยบ้าง
๒. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการพูดส่อเสียด คือฟังความฝ่ายนี้แล้วไม่ไปบอกฝ่ายโน้นเพื่อทำลายฝ่ายนี้ หรือฟังความฝ่ายโน้นแล้วไม่มาบอกฝ่ายนี้เพื่อทำลายฝ่ายโน้น สมานคนที่แตกแยกกัน ส่งเสริมคนที่ปรองดองกัน ชื่นชมยินดีเพลิดเพลินต่อผู้ที่สามัคคีกัน พูดแต่ถ้อยคำที่สร้างสรรค์ความสามัคคี
๓.เป็นผู้ละขาดจากการพูดคำหยาบ คือ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ ไพเราะ น่ารัก จับใจ เป็นคำของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ
๔. เป็นผู้ละเว้นขาดจากการพูดเพ้อเจ้อ คือ พูดถูกเวลา พูดคำจริง พูดอิงประโยชน์ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดคำที่มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีที่กำหนดประกอบด้วยประโยชน์
ความสะอาดทางวาจา ๔ อย่างเป็นอย่างนี้แล

บุคคลบางคนในโลกนี้
๑. เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของเขา คือ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ทรัพยอันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า ไทำอย่างไร ทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นจะพึงเป็นของเรา"
๒. เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท คือไม่มีจิตคิดร้ายว่า "ขอสัตว์เหล่านี้จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีจิตพยาบาท มีสุข รักษาตนเถิด"
๓. เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นไม่วิปริตว่า "ทานที่ให้แล้วมีผล ยัญที่บูชาและมีแล การเซ่นสรวงมีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและชั่วมี โลกนี้มี โลกหน้ามี มารดามีคุณ บิดามีคุณ โอปปาติกสัตว์มี สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้งมีอยู่ในโลก"

ความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล

(จันทสูตรที่ ๑๐)

ท่านที่อ่านมาแต่ต้น คงจะพิจารณาได้ด้วยตนเองว่าจอมพลป. ท่านได้ทำกุศลกรรมทั้งหมดนี้มามากน้อยแค่ไหน  จึงได้เป็นนักการเมืองหมายเลข ๑  อยู่ได้ยาวนานถึง ๒๕ ปี   และจบลงในบั้นปลายอย่างที่คุณนวรัตนนำมาเล่าสู่กันฟัง
ส่วนดิฉัน เห็นข้อหนึ่งว่ากุศลจากการบวช ๒๔ วันคงทำให้จอมพลป.ปล่อยวางได้ยิ่งขึ้น จากที่เคยปลงตกมาแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อออกจากประเทศไทยไป
จึงไม่มีถ้อยคำที่แสดงความแค้นเคืองผู้ที่ทำให้ท่านพ้นจากอำนาจ   ไม่พยาบาทมาดร้าย   เข้าใจความจำเป็นของจอมพลสฤษดิ์ที่ไม่อยากให้ท่านเหยียบประเทศไทยอีก แม้แต่แค่แวะระหว่างทาง
ท่านดำรงชีวิตอย่างสงบตามอัตภาพอยู่ได้ยาวนานถึง ๗ ปี  แม้จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านก็ไม่ได้กลับมาอีก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 12:06
ปัจฉิมกาลอนุสรณ์
ท่านผู้หญิงละเอียด  พิบูลสงคราม

ชีวาประวัติผู้                 มีนาม
ป. พิบูลสงคราม            ชื่อก้อง
ไม่ร่วมรัฐบาลตาม           ผู้ปฏิ  วัติเฮย
เนรเทศตนเองต้อง          ตกด้าวกัมพูชา

พระกรุณาท่วมท้น           เกษีย์
องค์กระษัตริย์ธิบดี          เด่นเกล้า
อีกสมเด็จราชินี              วรนาถ
พระโปรดรับให้เข้า           ดั่งเช่นแขกเมือง

ค่อยประเทืองเนื่องด้วย      พระมหา   กรุณาเอย
เอมอิ่มมวลโภชนา           โปรดให้
เครื่องนุ่งห่มภูษา             พระราช  ทานแฮ
พำนักสี่เดือนไ้ด้              กราบก้มบังคมลา

"ข้าพระพุทธเจ้าใคร่         เที่ยวไป
สู่ประเทศอาทิตย์อุทัย       อีกครั้ง
พอหายเหนื่อยกายใจ        พระพุทธเจ้าข้า
ต่อจากนั้นจิตตั้ง             ต่อด้วยเดินทาง"  

พลางเผยพระโอษฐ์เือื้อน    โองการ พระเอย
พรประสาทพระราชทาน      ท่วมเกล้า
ดื่มด่ำพระบรรหาร            แห่งกษัตริย์  เขมรนอ
ถอยกลับจากที่เฝ้า           ออกพ้นพระราชฐาน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 12:09
ขอแยกซอยออกไปตามความเคยชิน

นานมาแล้ว   ตามแม่ไปจ่ายของที่ประตูน้ำเป็นประจำ   ขากลับบ้าน รถเลี้ยวเข้าถนนชิดลมซึ่งตอนนั้นเป็นซอยชิดลม มีบ้านงามๆหลายหลัง   พอลงสะพานก็เห็นบ้านหลังหนึ่งทางซ้ายมือ อยู่ตรงเชิงสะพาน  เนื้อที่บ้านติดกับคลองแสนแสบ  เป็นบ้านที่ดิฉันชอบดูเป็นประจำ  ผ่านทีไรมองทีนั้น
เป็นบ้านสองชั้นแบบฝรั่ง หลังไม่ใหญ่โตอะไรนัก  มีสนามหญ้าทอดไปจนจดริมคลองแสนแสบ  ด้านข้างมีลานเล็กๆตั้งเก้าอี้ชิงช้าตัวยาว  เป็นบ้านสวยแบบเรียบๆเงียบๆ น่าสบาย  ไม่เคยเห็นเจ้าของบ้าน  แต่ตัวบ้านและบริเวณ ได้รับการดูแลสะอาดเรียบร้อยน่าชมมาก
หลายปีต่อมา บ้านเปลี่ยนเจ้าของ  ได้ข่าวว่าคุณเรณู โอสถานุเคราะห์ซึ่งเป็นดีไซเนอร์เสื้อลูกไม้ชั้นเยี่ยมแห่งยุคมาซื้อไป    และอ่านพบว่าเป็นบ้านของท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ไม่ทราบว่าใช่หรือเปล่า    เลยมาโพสต์ถามคนในเรือนไทย เผื่อใครจะทราบบ้างค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 12:31
กลับมาเข้าถนนเส้นสุดท้ายที่ทุกคนจะต้องไปถึงไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ไม่มีชีวิตใดในวัฏสังสารที่เริ่มขึ้นแล้วไม่มีจุดจบ เรื่องของท่านจอมพลได้มาถึงบทสุดท้ายที่บ้านในเมืองเล็กๆชื่อ ซากามิฮารา ที่ท่านซื้อไว้ในราคาสองแสนบาท แม้จะมีมิตรสหายทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นแวะมาเยี่ยมเยียนท่านอยู่เสมอ คงไม่มีใครมารบกวนท่านเรื่องการเมืองอีกแล้ว ท่านใช้เวลาว่างในการทำสวนญี่ปุ่นในบ้านบ้าง ไปเดินตีกอล์ฟบ้าง แถมเวลามีสมาชิกในครอบครัวมาพักอยู่ ท่านจะพาลูกหลานนั่งธันเดอร์เบิร์ดขับไปเที่ยวเมืองไกลๆ กินได้ นอนหลับ แม้จะมีเพื่อนใหม่เป็นหมอที่ไปตรวจร่างกายและรักษาสุขภาพที่เริ่มถดถอยเป็นประจำ หลังจากที่เข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดเอานิ่วในถุงน้ำดีออกในครั้งหนึ่งก็ตาม


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 12:33
ลูกชายคนโตลาพักร้อนและพาภรรยาไปเยี่ยมท่านเป็นเวลาเกือบเดือน ท่านก็ขับรถพาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ตามเคย พาไปทานข้าวนอกบ้าน ชาวซากามิฮาร่าต่างรู้จักพิบูลซัง เวลาท่านไปไหนต่อไหนในเมืองนี้ คนจะรู้จักและทักทายท่านด้วยกิริยานอบน้อม ตามมารยาทที่น่ารักของคนญี่ปุ่น เมื่อถึงวันกลับ ขณะเตรียมตัวจะไปสนามบิน ท่านจอมพลพูดกับลูกชายว่าพ่อรู้สึกเจ็บหน้าอก แต่ก็เสริมต่อว่าอีกสักครู่คงหาย  ลูกชายก็ไม่ได้คิดอะไรมาก


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 12:40
พิธีฌาปนกิจศพของท่านได้กระทำขึ้นสองวันต่อมาในวันที่14มิถุนายน2507 ภายใต้การรับเป็นธุระจัดการของเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ต่อมาในวันที่27มิถุนายน2507 ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามและลูกๆก็ได้เชิญอัฐิของท่านจอมพลกลับสู่เมืองไทย โดยมีพิธีต้อนรับอย่างสมเกียรติ ท่ามกลางประชาชนเป็นจำนวนมากที่รักและอาลัยท่าน รวมทั้งพระสงฆ์จำนวนหนึ่งที่ทำให้ดอนเมืองในช่วงนั้นเหลืองอร่ามด้วยสีของผ้ากาสาวพัตร

หลังจากการบำเพ็ญกุศลฉลองอัฐิของท่านที่บ้านซอยชิดลม บ่ายวันที่30มิถุนายน2507 ก็เชิญไปบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุตามความประสงค์ที่ท่านจอมพลเคยสั่งเสียไว้ ร่วมกับอัฐิของบรรดาผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 ที่เคยเป็นทั้งมิตรแท้และศัตรูถาวรในเกมการเมืองที่ทุกคนแสดงจบไปหมดแล้ว

ในบรรดาผู้แสดงนำบนเวทีนี้ จอมพลป. พิบูลสงครามเป็นคนสุดท้ายที่คำนับลาคนไทยเข้าโรงไปตลอดกาล


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 12:54
ก่อนจะจบเรื่องราวของจอมพลป. ผมขอนำหนังสือแสดงความอาลัยของมหามิตรในเครื่องแบบศัตรูผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งมิได้เป็นแค่มิตรแท้ของท่านจอมพล ใจความที่ท่านเขียนยังสะท้อนให้เห็นความเป็นมิตรแท้ของประเทศไทยด้วย ท่านผู้นี้คือ อดีตนายพลโท อาเกโตะ นากามูระ แม่ทัพงิผู้ได้รับคำสั่งจากกองทัพญีปุ่นให้มายึดครองเมืองไทย ท่านได้มีหนังสือนี้ไปถึงท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามดังนี้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 12:56
.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 13:24
การออกจากเขตแคว้น               กัมพูชา
วันที่สองธันวา                        กำหนดไว้
ปีทีท่านจำลา                         ออกจาก  ไทยพ่อ
เพราะคณะปฏิวัติ                     ชนะล้มรัฐบาล

สองพันห้าร้อยพุทธ                  ศักราช  นั่นเฮย
ที่ท่านจอมพลประกาศ               หลีกให้
เพราะความห่วงชีวาตม์               พลฯ ย่อย  ยับพ่อ
ตนปลีกเพื่อเพื่อนได้                 สิทธิ์พร้อมดังแถลง

ชี้แจงจำแนกให้                      ท่่านนัก  ศึกษาเอย
ได้ทราบแจ้งประจักษ์                จิตไท้
ปลีกตัวเพราะใจภัำก-                 ดีต่อ  ชาตินา
สู่ประเทศญี่ปุ่นได้                    อยู่ด้วยไมตรี

ไมตรีมีผูกไว้                         สัมพันธ์  มิตรแฮ
มิตรไป่คิดเดียดฉันท์                 ท่านไท้
ท่านอยู่อย่างสุขสันต์                 สะดวก  สบายพ่อ
สบายอยุ่เกือบปีได้                   สู่ด้าวอเมริกา

ได้ศึกษาสิ้งรู้                         เพิ่มเติม  มากเฮย
ล้วนก่อเกิดสร้างเสริม                 สุขซ้อน
พัฒนาถิ่นที่ประเดิม                   อุตสาห  กสิแล
การเพาะปลูกพืชร้อน                 อีกทั้งพืชหนาว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Wandee ที่ 25 ส.ค. 10, 13:41
ทั้งปาดและเลี้ยวตามท่านผู้นำเทาชมพู    ด้วยความอยากคุย



ระหว่างซอยสมคิดกับชิดลม  ท้ายซอยมีซอยเล็ก ๆ เชื่อมโยงมานานมากแล้วนะคะ

เวลาเข้าซอยสมคิดสามารถทะลุขวาไปถนนวิทยุได้โดยผ่านโรงแรมฮิลตัน  ไก๋ว่าไปแวะที่ร้านกาแฟที่อยู่ติดสวน

ถ้าจะทะลุออกชิดลมก็เข้าซอยเล็กนี้  มีร้านซ่อมรถฝีมือดีแต่แพงอยู่ปากซอย

(ร้านคุณเรณูนั้นมีสหายอาวุโสไปตัดเสื้อ  ก่อนที่จะมีฉลุเป็นลูกไม้  คอลเลคชั่นคือเพ้นท์ดอกกุหลาบ

ผู้สั่งตัดไม่บังควรออกความเห็นว่าอยากได้ดอกกุหลาบชนิดไหนใหญ่เล็กปานใด  เพราะคุณณูเธอจะคิดให้เอง

เคยเห็นงานของคุณณูบางชิ้นที่บ้านมนังคสิลา  ตลึงอยู่นานในงานฝีมืออันรังสรรค์

เรื่องชุดลูกไม้นั้นอยู่เหนือความคาดหมาย     แต่ไม่ชอบผ้าลูกไม้ที่แพงกว่าสวนหลายขนัด

ได้เห็นผ้าเช็ดหน้าฉลุมุม  เพ้นท์ทอง  ติดวัสดุอย่างหนึ่งน่าจะเป็นเพชร      คิดไม่ออกว่าจะมีไว้ทิ้งให้ใครเก็บมาส่งให้ได้)


เยื้องๆ กับร้านคุณณูฝั่งตรงกันข้ามมีประตูเก่า  เป็นทางเข้าสู่บ้านท่านจอมพลค่ะ

ที่จำได้นั้นเพราะเมื่ออายุเยาว์  มีญาติเกี่ยวดองพาไป ๒ หน      คงจะเข้าประตูนี้กระมัง  

ส่วนที่ว่าที่ของขีตสังคะเดิมจะติดคลองแสนแสบหรือไม่  ไม่ทราบค่ะ

จำได้ว่าในห้องนอนห้องหนึ่งจะเป็นของธิดาท่านหรืออย่างไร(คงไม่ใช่ห้องนอนใหญ่แน่)  มี  อ่างอาบน้ำแบบฝัง  

ซึ่งเด็กหญิงวันดีตกใจมากเพราะไม่เคยเห็น

เคยแต่อาบน้ำในตุ่ม



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 14:02
เรื่องราวประวัติศาสตร์ดั้ง             เดิมกาล  เรียนพ่อ
เริ่มก่อตั้งประเทศสถาน               ถิ่นกว้าง
ต่อสู้เผ่าเดิมงาน                      เสียสละ
จวบประกาศอิสระอ้าง                 ระบบถ้วนธิปไตย

ทางไกลขับรถด้วย                    ตนเอง
จากเบิ้คเลย์ไป่เกรง                   เหนื่อยไซร้
ถึงเมืองบอสตั้นเชวง                  เกียรติศึก  ษาแฮ
ทางตลอดระหว่างถึงได้               แต่ล้วนสนใจ

อยู่ในประเทศอ้าง                     อเมริกา
เกือบหนึ่งปีจึ่งปรา-                   รภเร้า
กลับสู่ประเทศอา-                    ทิตย์อุ  ทัยนอ
เมื่อคิดถึงลูกเต้า                       อยู่ใกล้ได้เยือน

ไป่แชเชือนกล่าวถ้อย                 อำลา
มวลมิตรในอเมริกา                    สนิทใกล้
เดินทางสุ่เคหา                         ในญี่  ปุ่นนอ
หนึ่งเก้าห้าเก้าใช้                       ศักราชคริสต์สิงหา

ใช้เวลาล่วงพ้น                         ตามสบาย
เรื่ยนพูดญี่ปุ่นหมาย                    มุ่งหน้า
หัดเขียนอ่านกับสหาย                 ครูญี่  ปุ่นพ่อ
ยามว่างเล่นกอล์ฟท้า                  เพื่อนให้แข่งขัน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 14:13
อ้างถึง
สบายอยุ่เกือบปีได้                   สู่ด้าวอเมริกา

ได้ศึกษาสิ่งรู้                         เพิ่มเติม  มากเฮย
ล้วนก่อเกิดสร้างเสริม                 สุขซ้อน
พัฒนาถิ่นที่ประเดิม                   อุตสาห  กสิแล
การเพาะปลูกพืชร้อน                 อีกทั้งพืชหนาว

การขับธันเดอร์เบิร์ดไปทั่วอเมริกา  ท่านผู้หญิงคงจะเห็นเป็นการดูงาน เพื่อกลับมาพัฒนา "กอุพากรรม" ตามนโนบายของท่านจอมพลป. เมื่อก่อนสงครามโลกด้วย

ป.ล.ศัพท์การพัฒนา  "กอุพากรรม" เป็นศัพท์ไทยที่ได้ตัดมาเฉพาะคำหน้ามารวมกัน  คือ ก-กสิกรรม อุ-อุตสาหกรรม พา-พาณิชยกรรม  

ชนกลางอากาศกับคุณเพ็ญชมพู
ท่านขับรถเที่ยวจากเบิร์กเลย์(คาลิฟอร์เนีย) ไปบอสตัน(แมสสาชูเส็ตต์) ท่องเที่ยวเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี    นับว่าแข็งแรงมากสำหรับคนวัย ๖๐ ปี  สุขภาพท่านคงดีมากในช่วงนั้น


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 14:15
คืนวันล่วงผ่านพ้น                       หนึ่งปี
เราอยู่อย่างสุขขี                        ค่ำเช้า
ทุกข์โคกโรคไป่มี                       มาเบียด  เบียนเลย
ยึดพระธรรมพุทธเจ้า                    ปกป้องครองตน

จอมพลมีจิตตั้ง                          ปณิธาน
เพิ่มศักดิ์ชายชาติทหาร                 เก่งกล้า
อุปสมบทในกาล                        กิจว่าง
สาวกในพระพุทธเจ้า                    เจิดแก้วองค์สาม

ทำตามตั้งจิตด้วย                        ศรัทธา
สู่วัดพุทธคยา                            ท่านสร้าง
เดินทางสู่กัลกัตตา                       ตามกำหนด
พักผ่อนปวดเมื่อยร้าง                    ร่างแล้วแข็งขัน

ก่อนบรรชิตตั้ง                           ดวงมาน
ถึงที่ปูชนียสถาน                         สี่ถ้วน
จักใคร่นมัสการ                          ทุกแห่ง
ท่านฯ ลูกจีร์ ข้อย ล้วน                   จิตล้นศรัทธา

ไคลคลาครบสี่แล้ว                       นมัสการ
กลับพุทธคยาสถาน                      แท่นแก้ว
วัดไทยก่อสร้างตระการ                  ก่องเกียรติ  ไทยพ่อ
พ่อ แม่ ลูก ผ่องแผ้ว                     ตริพร้อมเตรียมงาน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 14:21
ตอบคุณวันดี
บ้านนั้นน่าจะเป็นบ้านท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม จริงๆด้วย :D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 14:53
การอุปสมบทไท้                        ท่านพิบูลฯ
วันที่สาม สิงห์ คูณ                      ฤกษ์พร้อม
ปีชวดศกหกศูนย์                       คริสต์ศัก  ราชเฮย
สิบหก น. เศษน้อม                    นบแล้วองค์สงฆ์

ดำรงสมณเพศเพี้ยง                    พรหมจรรย์
ครบยี่สิบสี่วัน                           นับได้
จึงลาสิกขาบรร-                       จวบโฉลก
ยี่สิบเจ็ด สิงห์ ให้                       ฤกษ์สิ้นสังฆ์คาม

กว่าสามเดือนสถิตด้าว                 ชมพู  ทวีปเอย
ประกาศิตท่านเนรูห์                    ร่มเกล้า
โทรเลขท่านส่งชู                       จิตชื่น  ไม่ตรีแฮ
ขอระลึกพระคุณเจ้า                    อยู่ขั้นกตัญญูู

บูชาพระพุทธเจ้า                       อาศรม  วิสิทธิ์แฮ
อีกพระธรรมแห่งบรม-                 ศาสตร์เจ้า
พระสงฆ์ปฏิบัติพรหม-                 จรรย์เคร่ง  ครัดนา
ท่านพิบูลฯ ใฝ่เฝ้า                      ปฏิบัติพร้อมปณิธาน

สำราญสัมฤทธิ์แล้ว                     ดั่งประสงค์
เราต่างมุ่งหน้าพะวง                     กลับเหย้า
สู่ประเทศญีุ่ปุ่นตรง                      บินผ่าน  ไทยพ่อ
อยู่อย่างสุขห่างเศร้า                    ตราบท้าวอวสาน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 16:51
ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูสำหรับโคลงยาวเหยียด  ท่านผู้หญิงแต่งโคลงเก่งมาก

ขอย้อนกลับไปนับอีกครั้งว่า จาก 2475 ถึง 2507  รวม 32 ปี  ผู้ก่อการฯ คนไหนจากไปแล้ว และยังอยู่บ้าง
พันเอกพระยาพหล ฯ ถึงแก่กรรมด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อพ.ศ. 2490  อายุ 60 ปี
พันเอกพระยาทรงสุรเดช   ถึงแก่กรรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ (คุณหมอ CVT ตรวจอาการทางเน็ต สันนิษฐานว่ากล้ามเนื้อหัวใจตาย )เมื่อพ.ศ.  2487  ที่เขมร   อายุ 52 ปี
พันเอกพระยาฤทธิ์อัคเนย์  มีอายุยืนยาวกว่าคนอื่น  ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2509  อายุ 78 ปี
พันโทพระประศาสตร์พิทยายุทธ์  ไม่ทราบปีที่ถึงแก่กรรม
พลต.อ.อดุล   อดุลเดชจรัส อายุยืนยาวกว่าจอมพลป. หลายปี  ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2512 อายุ 75 ปี
นายปรีดี พนมยงค์  ถึงแก่กรรมที่ฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. 2543  อายุ 83 ปี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 25 ส.ค. 10, 20:39
อ้างถึง
หลังจากการบำเพ็ญกุศลฉลองอัฐิของท่านที่บ้านซอยชิดลม บ่ายวันที่30มิถุนายน2507 ก็เชิญไปบรรจุไว้ที่เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุตามความประสงค์ที่ท่านจอมพลเคยสั่งเสียไว้ ร่วมกับอัฐิของบรรดาผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 ที่เคยเป็นทั้งมิตรแท้และศัตรูถาวรในเกมการเมืองที่ทุกคนแสดงจบไปหมดแล้ว

ในบรรดาผู้แสดงนำบนเวทีนี้ จอมพลป. พิบูลสงครามเป็นคนสุดท้ายที่คำนับลาคนไทยเข้าโรงไปตลอดกาล

ผมคงต้องแก้ไขบรรทัดสุดท้ายเป็นดังนี้

ในบรรดาผู้แสดงนำบนเวทีนี้ จอมพลป. พิบูลสงครามเป็นคนล่าสุดที่คำนับลาคนไทยเข้าโรงไปตลอดกาล



พันโท พระประศาสน์พิทยายุทธ์ (วัน ชูถิ่น) ชาตะ 9 มิถุนายน 2434 มรณะ 4 ธันวาคม 2492 อายุ 58 ปี


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 25 ส.ค. 10, 21:45
พฤษภกาสร         อีกกุญชรอันปลดปลง
โททนต์เสน่งคง       สำคัญหมายในกายมี
นรชาติวางวาย       มลายสิ้นทั้งอินทรีย์
สถิตทั่วแต่ชั่วดี       ประดับไว้ในโลกา


กฤษณาสอนน้อง
พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: CrazyHOrse ที่ 25 ส.ค. 10, 22:31
ขอขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้และผู้ร่วมอภิปรายทุกท่านอีกครั้งหนึ่งครับ เป็นกระทู้ในตำนานได้เลยครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 26 ส.ค. 10, 09:20
  แต่เอ๋ยแต่นี้                 เป็นหมดที่ใฝ่จิตริษยา  
        เป็นหมดที่อุปถัมภ์คิดนำพา  เป็นนับว่า "อโหสิกรรม" กัน  
           เขาจะมีดีชั่วติดตัวไป        เป็นวิสัยกรรมแต่งและแสร้งสรร  
     เรารู้ได้แต่ปวัตน์ปัจจุบัน     ซึ่งทิ้งอยู่คู่กันกับนามเอย

No farther seek his Merits to disclose,
Or draw his Frail ties from their dread Abode,
(There they alike in trembling Hope repose)
The Bosom of his Father and his God.

กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า
จากคำประพันธ์บางเรื่อง
พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ เปรียญ)

An Elegy Written in a Country Churchyard
Thomas Gray


(http://bbznet.pukpik.com/images/upload2/prajin/L9eG20070626140224.jpg)

(http://bbznet.pukpik.com/images/upload2/prajin/uiV620070626141007.jpg)

(http://bbznet.pukpik.com/images/upload2/prajin/hqYI20070626141741.jpg)

(http://bbznet.pukpik.com/images/upload2/prajin/ybfK20070626142922.jpg)

(http://bbznet.pukpik.com/images/upload2/prajin/CQ2620070626143806.jpg)

 :(





กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 26 ส.ค. 10, 18:14
ตำนานมหากาพย์ของเรือนไทย  :D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: prickly heat ที่ 27 ส.ค. 10, 09:59
นักเรียนติดกิจกรรม ขาดเรียนไปอาทิตย์นึง กลับมาชั้นเรียนก็จบซะแล้ว :'(

สงสัยโดนอาจารย์ปรับตกแน่ๆเลยครับ..... :(

ได้ติดตามมหากาพย์มาตั้งแต่ชะตากรรมพระยาทรงฯ,หลวงพิบูล-หลวงอดุลฯคู่รัก,จนมาถึงจอมพลป2.ฯ.....พอเปิดคอมพ์ต้องดิ่งมานั่งเรือนไทยก่อนเลย...

ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านมากๆครับ..... ;D



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ส.ค. 10, 10:28
ชีวิตของจอมพลป.จบน่ะครับ
ห้องเรียนยังไม่จบ ตราบเท่าที่ยังมีคนอ้อยอิ่งอยู่ ผมยินดีจะตอบคำถามหรือเพิ่มเติมเรื่องอะไรที่ท่านยังสนใจ

หรือยังงงกันอยู่ ขึ้นต้นเป็นผู้ร้าย ไหงกลายเป็นพระเอกตอนจบ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ส.ค. 10, 10:33
ชีวิตของจอมพลป.จบน่ะครับ
ห้องเรียนยังไม่จบ ตราบเท่าที่ยังมีคนอ้อยอิ่งอยู่ ผมยินดีจะตอบคำถามหรือเพิ่มเติมเรื่องอะไรที่ท่านยังสนใจ

หรือยังงงกันอยู่ ขึ้นต้นเป็นผู้ร้าย ไหงกลายเป็นพระเอกตอนจบ
ยังเสียดายมหากาพย์ ไม่อยากให้จบค่ะ
งงเล็กน้อย  อยากฟังความเห็นของคุณนวรัตน ว่าในสายตาคุณ จอมพลป.เป็นผู้ร้ายหรือพระเอก
แล้วดิฉันจะมาออกความเห็นบ้างนะคะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 27 ส.ค. 10, 13:41
มีคำถามค่ะท่านอาจารย์คะ (เพราะไม่อยากให้กระทู้นี้จบ)

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ลาออกจาก ส.ส. หลบไปบวช และ แต่ง สี่แผ่นดิน ในช่วง ป.2 (พ.ศ.2496 หากจำไม่ผิด)

หนังสือเล่มนี้ ทรงอิทธิพลกับคนยุคหลังมาก เพราะทำให้หวนคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ทำให้ดิฉันเข้าใจ กบฏบวรเดช ผิดความจริงไปมาก

กว่าจะตาสว่างว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องมาเรียนหนังสือที่เรือนไทยนี่แหละค่ะ

อะไรคือสาเหตุที่ ท่านคึกฤทธิ์ แต่งสี่แผ่นดินออกมาในแนวนั้นคะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ส.ค. 10, 14:02
^
คุณร่วมฤดีถามเหมือนทราบคำตอบ ผมขอให้ท่านอาจารย์เทาชมพูเป็นผู้ขยายก็แล้วกัน ส่วนผมจะตอบคำถามของท่านอาจารย์เทาชมพู
.
.
คนเราเกิดมาตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่เด็กจนแก่นั้น ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่ามีการเกิดและดับทุกขณะจิต เพียงแต่กระบวนการนั้นเร็วมากจนคนที่ไม่ได้ฝึกมาจะไม่รู้สึก เห็นแต่สันตติ(ความต่อเนื่อง) อันนี้ทางวิทยาศาสตร์อธิบายได้ด้วยการเอาฟิมล์ภาพยนต์มาส่องดู จะเห็นว่าเป็นภาพแต่ละภาพจะมีความแตกต่างกันอยู่ทีละนิดๆ แต่พอฉายเรากลับเห็นแต่ความต่อเนื่อง เพราะเราจับช่วงที่มันขาดตอนไม่ทันนั่นเอง จิตของคนนั้นเมื่อดับไปแล้วเกิดจิตดวงใหม่อย่างรวดเร็วกว่าที่เห็นจากภาพยนต์มาก และจิตดวงใหม่จะมีการเปลี่ยนแปลง ผิดแผกไปกับจิตดวงเดิมเสมอ มีเพียงบางอย่างที่ถ่ายทอดมา บางอย่างก็เลิกละไป ด้วยอิทธิพลของกรรมในขณะนั้น

ลองพิจารณาทบทวนดูให้ดี เราเมื่อตอนเด็กๆมีความแตกต่างกับเราในปัจจุบัน แทบจะว่าเป็นคนละคนกันเลยก็ย่อมได้ รูปธรรมนั้นเปลี่ยนแน่ แต่นามธรรม บางอย่างเท่านั้นที่อาจจะสืบเนื่องไป เช่นความจำบางเรื่อง ซึ่งก็ไม่แน่นอนอีกว่าจะจำได้ตลอดไปหรืออีกนานแค่ไหน ส่วนความคิดความอ่านนั้นต่างกันแน่

จึงเป็นไปได้เรื่องผู้ร้ายกลับใจ หรือผู้ทรงศีลกลายเป็นผู้ทุศีล ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ผู้นั้นนำตนเข้าไปดูดซับอยู่

จึงไม่แปลกว่าหลวงพิบูลกับจอมพลป.จะเป็นคนละคนกันได้ด้วยเหตุนี้  สิ่งแวดล้อมในตอนแรกได้สร้างหลวงพิบูลที่ทะเยอทะยาน เป็นทหารที่ต้องฆ่าศัตรูเพื่อตนจะได้เป็นขุนศึก เป็นนักการเมืองที่ไม่กลัวบาปในการขจัดผู้ที่อยู่ตรงกันข้ามเพื่อตนจะได้เป็นใหญ่ เมื่อหลวงพิบูลกลายเป็นจอมพลป. เกมเดิมๆที่เคยเล่นแล้วได้ผลดีอยู่ ก็ชักจะไม่เที่ยงเสียแล้ว ศัตรูที่จะทำลายจอมพลป.ได้มิใช่คนอื่นไกลเช่นแต่ก่อน แต่เป็นพวกเดียวกันเองที่บางคนอยู่เคียงข้างกายด้วยซ้ำ แน่นอนว่าสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ จิตของคนก็ย่อมเปลี่ยนไป ไม่น้อยก็มาก

โชคดีที่จอมพลป.หันเข้าหาพระ จนมีความคิดที่จะสร้างพุทธมณฑลมาจากพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ล้างมืออันเปื้อนเลือดของพระองค์หันมาเป็นพุทธศาสนูปถัมภก นอกจากนั้นแล้ว จอมพลป.ยังมีความคิดที่จะสร้างหนังเรื่ององคุลีมาล เป็นนัยว่าจะบอกใบ้ให้คนไทยทราบว่า ฆาตกรฆ่าคนมาเป็นพันก็ยังสามารถเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านไม่ใช่ฆาตกรอย่างนั้นด้วยซ้ำไป โปรเจคนี้ผมไม่ได้ว่าเรื่อยเปื่อย ท่านมีความคิดที่จะส่งอาจารย์กรุณา กุศลาสัยไปทำการวิจัยเพื่อเขียนบทเรื่องนี้ที่อินเดียด้วย เพียงแต่ยังทันได้ดำเนินการเท่านั้น

ผู้ที่ขี่หลังเสืออยู่ เมื่อเหนื่อยล้า ย่อมหาจังหวะที่จะกระโดดหนี แม้จะต้องโดนเสือกัดบ้างก็ขออย่าให้ถึงตาย คนส่วนมากอาจจะดูว่าจอมพลป.ท่านรอดมาแล้วย่อมไม่อยากกลับไปรนหาที่อีก แต่ผมเชื่อว่าถ้าท่านรู้แพ้รู้ชนะ รู้ละ แล้ววาง ใจเป็นเด็ดเป็นขาดตั้งแต่ตอนขับรถลงจากเวทีไม่ได้คิดกลับไปลุ้นให้บ้านเมืองวุ่นวายอีก 

อ้างถึง
อยากฟังความเห็นของคุณนวรัตน ว่าในสายตาคุณ จอมพลป.เป็นผู้ร้ายหรือพระเอก

ชีวิตคือละครโรงใหญ่ ผู้ที่เล่นเป็นนักการเมืองมีบทให้แสดงอยู่ 8 ประเภทในความเห็นของผม
1 มาอย่างพระเอก ไปอย่างพระเอก
2 มาอย่างพระเอก ไปอย่างจืดๆ
3 มาอย่างพระเอก ไปอย่างผู้ร้าย
5 มาอย่างจืดๆ ไปอย่างจืดๆ
6 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างพระเอก
7 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างจืดๆ
8 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างผู้ร้าย
จอมพลป.ท่านได้รับบทให้โน้มน้าวใจคนดูว่า มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างพระเอก
ส่วนจอมพลสฤษดิ์ได้รับบทให้โน้มน้าวใจคนดูว่า มาอย่างพระเอก ไปอย่างผู้ร้าย
ส่วนจริงๆแล้ว ชีวิตของท่านทั้งสองที่อยู่นอกบทอาจจะเป็นอีกเรื่องนึง ในฐานะที่เป็นปุถุชนที่มีทั้งความชั่วและความดีเหมือนกับคนอื่น และอาจมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ทราบ จึงไม่สามารถฟันธงว่าสรุปบวกลบคูณหารกันแล้ว ใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย

เป็นหน้าที่ที่ท่านผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล วินิจฉัยกันเอาเองนะครับ




กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ส.ค. 10, 14:37
มีคำถามค่ะท่านอาจารย์คะ (เพราะไม่อยากให้กระทู้นี้จบ)

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ลาออกจาก ส.ส. หลบไปบวช และ แต่ง สี่แผ่นดิน ในช่วง ป.2 (พ.ศ.2496 หากจำไม่ผิด)

หนังสือเล่มนี้ ทรงอิทธิพลกับคนยุคหลังมาก เพราะทำให้หวนคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ทำให้ดิฉันเข้าใจ กบฏบวรเดช ผิดความจริงไปมาก
กว่าจะตาสว่างว่าอะไรเป็นอะไร ก็ต้องมาเรียนหนังสือที่เรือนไทยนี่แหละค่ะ
อะไรคือสาเหตุที่ ท่านคึกฤทธิ์ แต่งสี่แผ่นดินออกมาในแนวนั้นคะ

^
คุณร่วมฤดีถามเหมือนทราบคำตอบ ผมขอให้ท่านอาจารย์เทาชมพูเป็นผู้ขยายก็แล้วกัน ส่วนผมจะตอบคำถามของท่านอาจารย์เทาชมพู


ไม่อยากให้คุณร่วมฤดีถือเอาคำตอบในเรือนไทยเป็นการชี้ขาด   แม้ดิฉันเชื่อว่าคุณนวรัตนค้นคว้าศึกษามาดีแล้วก่อนจะตอบก็ตาม  แต่อยากจะให้คุณร่วมฤดีเปิดใจไว้บ้าง   เหมือนเรามองเก้าอี้กลางห้อง มาจากมุมต่างๆของห้อง ก็ย่อมมองเห็นแต่ละมุมภาพของเก้าอี้ ไม่เหมือนกัน

สี่แผ่นดินแต่งขึ้นเมื่อพ.ศ. 2493  เป็นช่วงหลังรัฐประหารของจอมพลผิน  ผู้นำจอมพลป.กลับคืนสู่อำนาจ     กบฏวังหลวงนำโดยนายปรีดีและทหารเรือส่วนหนึ่งซึ่งยึดพระบรมมหาราชวังเป็นที่บัญชาการต้องพ่ายแพ้  หลบหนีออกนอกประเทศไป    ถ้าใครสักคนหนึ่งมองพระบรมมหาราชวังเหมือนสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์   ก็คงจะสะเทือนใจ เมื่อนึกว่าในอดีตที่ตัวเองยังทันเห็น  สถานที่นี้เคยเป็นที่น่ายกย่องอย่างสูง  ผู้คนเคารพยำเกรง  ผ่านมาเพียง 27 ปี  กลายเป็นสนามรบ โดยต่างฝ่ายไม่กลัวเลยว่าปืนหรือรถถังนั้นจะถล่มส่วนไหนให้ทลายลงบ้าง  ไม่เกรงแม้แต่จะกระทบกระเทือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยกราบไหว้บูชากันอยู่  
เพราะมองเห็นข้อนี้   จึงไม่แปลกที่ม.ร.ว. ข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จะเอาประสบการณ์เมื่อวัยเด็ก  คำบอกเล่าของเจ้านาย และหนังสือเก่าๆที่เกี่ยวกับเรื่องราวในวังและนอกวัง  มาผสมผสานผูกเป็นเรื่องขึ้นมา     ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นชาววัง  จะมีอะไรที่ท่านถนัดที่เขียนมากกว่าเรื่องวัง  และในเมื่อท่านรักวัง  ก็เป็นธรรมดาที่ท่านก็บรรยายวังได้งดงามอย่างยิ่งในความรู้สึกของท่าน

เมื่อเขียนขึ้นแล้ว  ท่านก็คงมองจากมุมมองของผู้รักอดีต และรักสถาบัน   เพราะฉะนั้นการโหยหาอดีตจึงมากกว่าพวกเราซึ่งเกิดไม่ทัน หรือเกิดก็คงอยู่ห่างๆ ไม่ได้ผูกพันใกล้ชิด      การมองกบฏบวรเดชว่าเป็นการฆ่ากันระหว่างคนไทย ก็ไม่ใช่มุมมองที่พูดได้ว่าผิดความจริง   ตาอ้น ทหารฝ่ายกบฏที่เสียน้ำตาทุกครั้งที่ต้องประหัตประหารข้าศึกซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันเอง ก็น่าจะมีทหารไทยหลายคนรู้สึกเช่นนี้  ไม่ได้ดัดจริตจนเกินไป  เพราะความเป็นจริง ก็ใช่ว่าทหารล้วนไชโยโห่ร้องที่ยิงกันได้เสียที่ไหน
ส่วนพระองค์เจ้าบวรเดชนั้น ก็อย่างที่คุณนวรัตนกำหนดตัวละครในโลกใบใหญ่ไว้   เราจะมองท่านเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายก็ได้     ถ้าคุณร่วมฤดีเชียร์คณะราษฎร์ว่าทำถูกแล้ว   พระองค์เจ้าบวรเดชท่านก็ต้องเป็นผู้ร้าย       แต่ถ้าคุณร่วมฤดีไม่เห็นด้วยกับคณะราษฎร์  คุณก็อาจจะเสียดายว่าพระเอกทำการไม่สำเร็จ   หรือถ้ารู้สึกกลางๆไม่ได้ชอบฝ่ายไหนเป็นพิเศษ ก็อาจจะมองว่า ก็พอกันละน่า   ต่างฝ่ายต่างก็ประสงค์อำนาจไว้ในมือตนเอง     มันมีความหลากหลายในความคิดเห็น ที่เราเห็นต่างกันได้โดยไม่ต้องหักล้างกัน  
ส่วนตัวดิฉัน ชอบนวนิยายเรื่องสี่แผ่นดิน  เพราะมองเรื่องนี้เป็นนิยายเป็นอย่างแรก และมองว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์เป็นอย่างที่สอง    ข้อมูลอะไรถูกแย้ง  ถูกต่อว่าหรือหักล้างไปบ้างก็ไม่สำคัญ     เพราะมันไม่ได้ไปลดคุณค่าของเรื่องที่เต็มเปี่ยมด้วยวรรณศิลป์   มองได้อย่างนี้แล้วอ่านต่อได้อย่างสบายใจค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ส.ค. 10, 15:03
เป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยมกว่าที่ผมคาดหวังมากครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 27 ส.ค. 10, 15:10
ทีนี้มาตอบเรื่องจอมพล ป.บ้าง

ก็เห็นว่าเป็นธรรมดาของผู้มีอำนาจ ใช้พระเดชมากกว่าพระคุณ   ยิ่งอยู่ในอำนาจนานมากก็มีโอกาสใช้พระเดชได้มาก    เมื่อใช้มากก็ทำบาปได้มาก   ส่วนทำดีกับผู้คนก็คงจะมีอยู่ไม่น้อย  ไม่งั้นท่านคงไม่มีบารมีพอจะนั่งเก้าอี้อยู่ได้ตั้ง 25 ปี   คนอื่นว่าเก่งแค่ไหน หรือดีแค่ไหน ก็ยังหากองหนุนได้ไม่เท่าท่าน
ส่วนการทำบุญกุศลนั้นไม่ทราบรายละเอียดว่าท่านบำเพ็ญไว้มากน้อยแค่ไหน    ถ้าทำเรื่องพุทธมณฑล  ดิฉันก็เผอิญเป็นชาวพุทธที่เชื่อว่าอามิสบูชานั้นได้ผลไม่เท่ากับปฏิบัติบูชา    บางทีท่านบวช 24 วันอาจเป็นมรรคผล ลดละกิเลศได้ดีกว่าเสียอีก    เสียดายว่าท่านไม่ได้บวชนานกว่านี้  
ตอนจบของชีวิตนักการเมืองที่มาด้วยอำนาจ ก็ย่อมไปด้วยอำนาจ    จะเรียกว่าพระเอกหรือผู้ร้ายก็คงเรียกไม่ถูกอยู่ดีละค่ะ   เอาเป็นว่าเห็นต่างจากคุณนวรัตนนิดหน่อย  ว่าท่านน่าจะมาแบบผู้ร้ายครึ่งพระเอก  แต่ไปแบบจืดๆ มากกว่า     ถ้าไปแบบพระเอก ดิฉันขอยกให้พระยาฤทธิ์อัคเนย์ค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 27 ส.ค. 10, 16:22
อ้างถึง
ถ้าทำเรื่องพุทธมณฑล  ดิฉันก็เผอิญเป็นชาวพุทธที่เชื่อว่าอามิสบูชานั้นได้ผลไม่เท่ากับปฏิบัติบูชา    บางทีท่านบวช 24 วันอาจเป็นมรรคผล ลดละกิเลศได้ดีกว่าเสียอีก


เป็นเช่นนั้นครับ

อ้างถึง
เอาเป็นว่าเห็นต่างจากคุณนวรัตนนิดหน่อย  ว่าท่านน่าจะมาแบบผู้ร้ายครึ่งพระเอก  แต่ไปแบบจืดๆ มากกว่า     ถ้าไปแบบพระเอก ดิฉันขอยกให้พระยาฤทธิ์อัคเนย์ค่ะ

เคารพในความเห็นต่างครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 27 ส.ค. 10, 23:16
อ้างถึง
ถ้าคุณร่วมฤดีเชียร์คณะราษฎร์ว่าทำถูกแล้ว   พระองค์เจ้าบวรเดชท่านก็ต้องเป็นผู้ร้าย       แต่ถ้าคุณร่วมฤดีไม่เห็นด้วยกับคณะราษฎร์  คุณก็อาจจะเสียดายว่าพระเอกทำการไม่สำเร็จ   หรือถ้ารู้สึกกลางๆไม่ได้ชอบฝ่ายไหนเป็นพิเศษ ก็อาจจะมองว่า ก็พอกันละน่า   ต่างฝ่ายต่างก็ประสงค์อำนาจไว้ในมือตนเอง     มันมีความหลากหลายในความคิดเห็น ที่เราเห็นต่างกันได้โดยไม่ต้องหักล้างกัน

ดิฉันเคารพในข้อคิดตรงนี้ของอาจารย์ค่ะ เห็นด้วยในความหลากหลาย และไม่ได้รังเกียจ สี่แผ่นดิน

เพียงแต่ รู้สึกเศร้าใจที่ History always repeat itself
เพราะจนถึงทุกวันนี้ ชาติของเรายังหนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์
ที่ผู้นำทางการเมืองหรือทหารยังแย่งชิงอำนาจด้วยการ รัฐประหาร
 
ไม่ใช่การทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หรือ เพราะความจงรักภักดีอย่างบริสุทธิ์

สี่แผ่นดิน เป็นหนังสือที่ดิฉันคิดว่าคนไทยต้องอ่าน นอกจากสาระในเรื่องแล้ว
อัจฉริยะภาพในการเขียนของท่านคึกฤทธิ์ เป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง

ส.ศิวลักษณ์ เคยตั้งข้อสังเกตุว่า ยุคท่านจอมพล ป.
ท่านคึกฤทธิ์วิพากษ์วิจารการเมืองมากกว่ายุคจอมพล สฤษดิ์

ดูเหมือนว่า พี่น้องปราโมชทั้ง 2 ไม่ชอบคณะราษฏร์ค่ะ

 

 



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: alias1124 ที่ 28 ส.ค. 10, 00:21
กว่าจะตามอ่านกระทู้ได้ เล่นเอาเหงื่อหยดครับ เพราะผมตามมาตั้งแต่กระทู้พระยาทรงฯ
แล้วเผอิญไม่มีเวลาติดตามอยู่นาน กลับมาอีกที เพิ่มอีก 2 กระทู้ยาวๆ ขอเรียนท่าน
อาจารย์ทั้งหลายว่าขอบคุณมากที่ให้ความรู้ดีๆที่ไม่เคยได้ทราบ  :)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ส.ค. 10, 10:32
อ้างถึง
ส.ศิวลักษณ์ เคยตั้งข้อสังเกตุว่า ยุคท่านจอมพล ป.
ท่านคึกฤทธิ์วิพากษ์วิจารการเมืองมากกว่ายุคจอมพล สฤษดิ์

ดูเหมือนว่า พี่น้องปราโมชทั้ง 2 ไม่ชอบคณะราษฏร์ค่ะ

ตอบทีละข้อ
ม.ร.ว. เสนีย์ และม.ร.ว.คึกฤทธิ์  เป็นเหลนทวดของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย     ปู่ของท่านคือกรมขุนวรจักรธรานุภาพ พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๒   
ถ้าลำดับญาติกันตามชั่วคน พูดด้วยภาษาสามัญคือ   กรมขุนวรจักรเป็นพี่น้องของรัชกาลที่ ๓ และที่ ๔  พระองค์เจ้าคำรพท่านพ่อของคุณชาย ก็นับได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของรัชกาลที่ ๕   
ส่วนตัวม.ร.ว.เสนีย์และม.ร.ว.คึกฤทธิ์อยู่ในเจนเนอเรชั่นเดียวกับรัชกาลที่ ๖ และ ๗   
ก็เป็นธรรมดาอยู่เอง ที่คนเราจะไม่นิยมยินดีกับผู้ที่เป็นปรปักษ์กับญาติผู้ใหญ่ของเรา และยิ่งปรปักษ์นั้นเหวี่ยงแห เบียดเบียนไปทั้งตระกูล   เราก็คงจะทำใจให้เป็นมิตรกับคนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ดี

จอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกฯที่ไม่ได้มาจากคณะราษฎร์    ไม่ได้มีอุดมการณ์เดียวกัน   ตรงกันข้าม จอมพลสฤษดิ์แสดงให้เห็นด้วยว่าเชิดชูสถาบันกษัตริย์   แม้อำนาจการบริหารอยู่ที่ตัวจอมพลสฤษดิ์   แต่ก็ไม่ได้มองว่าสถาบันเป็น "อำนาจเก่า" ที่จะต้องปราบปรามให้หมดเสี้ยนหนาม อย่างความคิดของจอมพลป.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 28 ส.ค. 10, 11:13
ความแตกต่างระหว่าง จอมพล ป. และ จอมพลสฤษดิ์ คือ

ฝ่ายแรก ใจแคบ กลัวเสียอำนาจ ทนคนคิดเห็นต่างจากตนไม่ได้ หวาดระแวงคนเก่ง โดยเฉพาะฝ่ายนิยมเจ้า ทำให้เหลือแต่คนไม่ดี หรือ มือไม่ถึงในการทำงานให้ประเทศ อันนี้น่าจะเป็นอีกสาเหตุที่ ปราชญ์อย่างท่านคึกฤทธิ์อึดอัดใจ

จอมพลสฤษดิ์ แม้จะไม่ให้เสรีภาพหนังสือพิมพ์เท่าไรนัก แต่ก็ ยอมรับคนเก่งให้ทำงานโดยท่านจะไม่แทรกแซง เราจึงได้เห็น ท่านวรรณไวทยากรณ์ ด.ร.ถนัด คอมันต์ ด.ร.ป๋วย อึ้งภากร เข้ามาร่วมกันพัฒนาชาติ และที่สำคัญ ท่านให้ความเคารพสถาบันอย่างเห็นได้ชัด ยุคนี้ ท่านคึกฤทธิ์น่าจะสบายใจกว่า

ครุกรรม ที่ จอมพล ป.ทำไว้สมัยที่เรืองอำนาจ จะเบาบางหรือลดทอนลงได้ ก็ต้องด้่วย ครุกรรมฝ่ายดีที่มีกำลังมากกว่า

การสร้างพุทธมณฑล พร้อม ๆ กับการโกงเลือกตั้งในเวลาเดียวกัน ย่อมไม่อาจช่วยอะไรท่านได้เลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ส.ค. 10, 11:40
เพื่อนคนหนึ่งที่ติดตามเรือนไทยประจำแต่ไม่ค่อยโพสต์ มองอีกมุมหนึ่งว่า   เรื่องปลงตกหรือปล่อยวางนั้นไม่รู้ละ   แต่เห็นว่าคนที่อยู่ในอำนาจมายาวนานถึง ๒๕ ปี  จนเข้าวัยชรา   คงจะชั่งน้ำหนักได้ว่า ต่อให้กลับมาอยู่ในอำนาจได้อีก ก็คงจะเหลือเวลาไม่มากนักอยู่ดี   การขึ้นสู่อำนาจนั้นเหนื่อยสาหัส แต่การรักษาอำนาจยิ่งหนักหนาสาหัสกว่า    บวกลบแล้วก็คงไม่คุ้ม
ยิ่งถ้าพยายามกลับมาแล้วกลับไม่ได้  ก็อาจจะสูญเสียทุกอย่างที่มีอยู่ในเวลานี้     รัฐประหารต้องใช้ทั้งกำลังเงินและกำลังคน  
นอกจากนี้อำนาจเหมือนสายน้ำ  ไหลผ่านไปแล้วไม่กลับมา    ถึงไม่มีจอมพลสฤษดิ์ ก็มีคนอื่นที่เขาจะขึ้นมาแทน   เรื่องอะไรเขาจะให้ย้อนกลับมาที่ท่าน
ท่านอาจจะตรองด้วยเหตุผล มากกว่าตรองด้วยหลักธรรม  แต่ก็นำไปสู่คำตอบเดียวกัน

เรื่องจอมพลสฤษดิ์   เห็นว่าได้สร้างสังคมที่มั่นคงทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยกว่าสมัยนี้    แต่เสรีภาพทางการเมือง น้อยกว่าสมัยนี้อย่างไม่เห็นฝุ่น      ชาวบ้านในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ถ้ายึดหลัก "งานคือเงิน เงินคืนงาน บันดาลสุข" ก็จะก้มหน้าก้มตาทำงานสร้างตัวกันได้อย่างเป็นสุข ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน   ไม่ต้องไปคิดอะไรเรื่องการบริหารบ้านเมือง ปล่อยไว้ในมือท่านจอมพล

แต่คนๆเดียวที่ทำอะไรก็ได้ไม่มีใครท้วงติง   แม้เริ่มต้นด้วยอุดมการณ์เพื่อบ้านเมือง  แต่นานเข้าก็อาจจะเผลอออกนอกเส้นทางได้เหมือนกัน  ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นเหลือคณานับในตอนจบ
ทำให้พระเอกกลายเป็นผู้ร้ายได้อย่างที่คุณนวรัตนกล่าวมา

ถ้ากระทู้นี้มีคนเข้ามาออกความเห็น มายกมือขานรับว่ายังอยู่ครับ อยู่ค่ะ  ท่านกูรูใหญ่กว่า ผู้เป็นเจ้าของกระทู้ก็คงจะมีอะไรดีๆมาเล่าต่อได้อีกมาก  
ส่วนดิฉันก็กำลังรวบรวมข้อมูล แยกกระทู้ออกไปเป็นเรื่องของพ.ท.โพยม จุลานนท์     แต่ต้องรอให้กระทู้นี้ถึงเรื่องของจอมพลสฤษดิ์ก่อน  คนอ่านจะได้อ่านต่อเนื่องกันไปเลย


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 28 ส.ค. 10, 13:09
อ้างถึง
การขึ้นสู่อำนาจนั้นเหนื่อยสาหัส แต่การรักษาอำนาจยิ่งหนักหนาสาหัสกว่

น้อมรับค่ะ ข้อนี้จริงแท้ทีเดียวค่ะ ประสบการณ์เท่านั้น ที่จะสอน "เผด็จการคนหัวปี" คนนี้ได้


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 28 ส.ค. 10, 14:30
ถ้าคุณร่วมฤดีอ่านนวนิยาย "เมืองนิมิตร ความฝันของนักอุดมคติ" ของม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน คงอ่านพบตอนต้นๆว่า กระแสผู้นำแบบเผด็จการเป็นกระแสที่ฮิทอยู่ในเยอรมันก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2    ฮิตเลอร์เป็นความหวังของคนเยอรมันว่าจะนำประเทศไปสู่มหาอำนาจได้    สยามของเราก็รับกระแสแบบนี้มาเหมือนกัน    ลักษณะของจอมพลป. นายทหารหนุ่มที่มีวาทศิลป์ดี  สั่งการได้เฉียบขาดจึงเป็นที่ถูกใจของคนร่วมยุคสมัย   
แต่เวลาผ่านมาอีกสองศตวรรษกว่า  โลกเปลี่ยนไปถึงยุคสงครามเย็น   ไทยอยู่ในฝ่ายเสรีนิยมของพี่เอื้อยสหรัฐอเมริกา  จอมพลป.ก็เหมือนหมดยุคไปแล้ว  ท่านถือนโยบายเหยียบเรือสองแคม แบบที่ทำกับญี่ปุ่น   แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นรักษาดุลย์ระหว่างจีนและอเมริกา  แต่ทำไม่สำเร็จ   ผู้นำคนใหม่ที่ยึดทางอเมริกาทางเดียวอย่างจอมพลสฤษดิ์ จึงอินเทรนด์ขึ้นมาแทน


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Ruamrudee ที่ 29 ส.ค. 10, 08:12
เมืองนิมิตร เป็นหนังสือที่ดิฉันเฝ้าตามหามาตั้งแต่ปี 2530 ค่ะ กว่าจะหาซื้อได้ ก็เมื่อได้มาอ่านเรือนไทย และทราบว่ามีการพิมพ์ใหม่ จึงรีบตามไปหามาจนได้

ต้องกราบขอบพระคุณผู้ที่ตัดสินใจพิมพ์ครั้งล่าสุดเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้รวมเอาเรื่องที่ดี ๆ เข้าไว้ด้วยกันหมด หนังสือแบบนี้ จึงเป็นหนังสือสะสม มีคุณค่ามากค่ะ

เคยสงสัยว่า ทำไมโลกสมัยสงคราม จึงปรากฏคนเผด็จการโหดเหี้ยมพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกันหลายคน เช่น ฮิตเลอร์ มุสโสลินี เจียงไคเช็ค โตโจ และ ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำไทยในยุคเดียวกัน หรือ นี่คือ ปรากฏการณ์ของ กลียุค

ได้คำตอบจากหนังสือ เมืองนิมิตรนี่เองว่า เป็น กระแสนิยมของลัทธิการเมืองในยุคนั้น

การเปลี่ยนผ่านจากอำนาจกษัตริย์ มายังผู้ปกครองที่เป็นสามัญชน ต้องมีการเรียนรู้และ ปรับตัวทั้งผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครอง

กษัตริย์ เคยใช้อำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว สามัญชนที่ขึ้นมามีอำนาจใหม่ ๆ ก็เลียนแบบ เพราะคิดว่า เป็นสิ่งที่จำเป็น อย่างน้อยในระยะแรก

เผด็จการ จึงเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเรียนรู้และปรับตัว ก่อนจะเปลี่ยนผ่านมาสู่ยุคประชาธิปไตย

แต่สามัญชนที่เป็นผู้นำเผด็จการ มักจะมาจากทหาร นิยมการออกคำสั่งให้ปฏิบัติตามโดยไม่มีการโต้แย้ง

ดิฉันสงสัยว่า สามัญชนอย่าง ดร.ปรีดี หากได้อำนาจปกครอง จะใช้วิธีการไหนในยุคนั้น

จะมีประเทศไหนในโลกบ้าง ที่เปลี่ยนการปกครองจากกษัตริย์มาสู่ประชาธิปไตยของปวงชนได้อย่างสงบและสันติ ปรองดองกันแท้จริง

ดิฉันถูกตำราหลอกมาแต่เด็กว่า การเมืองไทย เปลี่ยนแปลงอย่างสงบไม่มีการนองเลือด นั่นเป็นการพูดเฉพาะระยะแรกเท่านั้นเอง

วันนี้ มีใครรู้ตัวเลขบ้างว่า กบฎ และ รัฐประหารทั้งหลาย เราเสียชีวิตผู้คนไปเท่าไร ใครบ้างที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม ใครบ้างที่ต้องลี้ภัย

เมื่อได้ศึกษาย้อนไปแล้ว รู้สึกว่าเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 และ 6 ต.ค.19 รวมทั้งล่าสุด เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา อาจจะมีคนตา่ยน้อยกว่าเมื่อครั้งกบฎแมนฮัตตั้น (มีคนพูดว่า ตายเป็นพัน จากการต่อสู้ของทหารเรือและ ทหารบก แถวบ้านเก่าดิฉันเอง)

ลักษณะผู้นำ และ รูปแบบการปกครอง จึงเป็นของที่ไม่ควรเลียนแบบกัน

ประวัติศาสตร์ มีคุณค่าต่อการเรียนรู้และปรับตัว ไม่ควรปล่อยให้ ซ้ำรอยเดิมค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: pa15 ที่ 29 ส.ค. 10, 08:37
ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านนะค่ะที่ช่วยเติมเต็มในรายละเอียด และภาพต่าง  ๆในสมัยนั้นให้ชัดเจนขึ้น ติดตามอ่านมาทุกกระทู้ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานี้..เกิดไม่ทัน แต่มีความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนภาพบางอย่างขาดหายไป ไม่อยากให้กระทู้จบค่ะ พาแยกออกตรอกเล็ก ซอยน้อยได้ไหมค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 10, 08:50
ต้องแล้วแต่ท่านเจ้าของกระทู้ค่ะ  ว่าท่านจะฟังเสียงเรียกร้องของแฟนคลับไหม


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ส.ค. 10, 09:35
ผมก็รอฟังอยู่แหละครับว่าจะให้เข้าซอยไหน

ซอยมันแยะไปหมด ผมพาไปเองเดี๋ยวไม่ตรงกับที่ต้องการแล้วจะเฝือ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: proudtobethai ที่ 29 ส.ค. 10, 11:04
ตามอ่านมาเงียบๆตลอดเลยค่ะ ไม่อยากให้จบเหมือนกัน เพราะยังสนุก แล้วเหมือนได้ย้อนเวลา
ไปหาอดีต มองภาพเหตุการณ์ในสมัยก่อน ถ้ารวบรวมกระทู้ต่างๆ เอามารวมเล่มได้ ก็คงจะดีนะคะ :D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: SILA ที่ 29 ส.ค. 10, 11:36
          ลงชื่อขอบคุณคุณนวรัตน และอาจารย์ ตลอดจนข้อมูลจากชาวเรือนไทยทุกคน ครับ

            เรื่องราวของจอมพลป. ทำให้คิดถึง กระทู้ในฝัน ที่อยากอ่านมากๆ ไม่ทราบว่าจะเป็น
ความจริงได้หรือเปล่า นั่นคือ เรื่อง ศิลปะ วัฒนธรรมยุคท่านผู้นำ - จอมพลป.

          นอกจากเรื่องราวทางการเมืองที่เข้มข้น หม่นมืดแล้ว ยุคนั้นยังมีอีกด้านหนึ่งที่สว่าง(?) และ
มีเสน่ห์อย่างยิ่งนั่นก็คือ ศิลปะ วัฒนธรรม
           ไม่ว่าจะเป็น หนัง ละคร เพลงปลุกใจ เพลงจูงใจ ผลงานของหลวงวิจิตรฯ ครูเอื้อ ฯลฯ
สถาปัตยกรรม, ประติมากรรม ปรากฏเป็นตึกราม อนุสาวรีย์ และ วิถีชีวิตวัฒนธรรมการแต่งกาย
ภาษา(วิบัติ) อาหาร

สรุปว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากให้แยกซอยหนึ่งเป็นกระทู้ใหม่เรื่อง   ศิลปะ วัฒนธรรมยุคท่านผู้นำ - จอมพลป. ครับ

จอมพลป. หน้าตึก United States Supreme Court กรุง  Washington D.C.
ซึ่งมีข้อความสลักอยู่ด้านบนหน้าตึกว่า Equal justice under law       


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ส.ค. 10, 11:45
อ้างถึง
นอกจากเรื่องราวทางการเมืองที่เข้มข้น หม่นมืดแล้ว ยุคนั้นยังมีอีกด้านหนึ่งที่สว่าง(?) และมีเสน่ห์อย่างยิ่งนั่นก็คือ ศิลปะ วัฒนธรรม
ไม่ว่าจะเป็น หนัง ละคร เพลงปลุกใจ เพลงจูงใจ ผลงานของหลวงวิจิตรฯ ครูเอื้อ ฯลฯ สถาปัตยกรรม, ประติมากรรม ปรากฏเป็นตึกราม อนุสาวรีย์ และ วิถีชีวิตวัฒนธรรมการแต่งกาย ภาษา(วิบัติ) อาหาร

เข้ามาร้องโอ๊กก่อนจะจากไป
วางการบ้านใส่พาน ส่งให้ท่านอาจารย์นวรัตน ค่ะ
คุณวันดี และคุณเพ็ญชมพู คงจะหาข้อมูลได้

นึกได้ก็กลับเข้ามาอีกที  พอจะพูดถึงครูเอื้อได้บ้างนิดหน่อย  ภาษาวิบัติเคยเขียนไว้ในบทความแล้วค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 01 ก.ย. 10, 10:59
กระทู้นี้แยกไปที่

http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3477.0
ศิลปวัฒนธรรมยุคท่านผู้นำ - จอมพล ป.

เชิญตามไปอ่านได้ค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: smallhands ที่ 01 ต.ค. 11, 12:35
โอย....ตามอ่านมหากาพย์สามกระทู้ -จากพระยาทรง มาจอมพลป.-ถวิล - จนมาจบเอาที่ป.2ไม่ผ่านป.3นี่ อ่านมาสองวันแบบไม่ได้ทำอะไรเลย นอกเหนือไปจากอาบน้ำ กินข้าว ติดหนึบราวอ่านเพชรพระอุมาทีเดียวค่ะ ถ้ามีกระทู้แบบนี้อีกเยอะๆ เห็นทีจะไม่ได้ทำมาหากินแน่ค่ะ มัวแต่อ่าน งานการไม่ทำเลย :D

ขอขอบพระคุณอาจารย์ใหญ่และอาจารย์น้อยทุกท่านที่ได้ให้ความรู้ที่น่าสนใจ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เสริมคุณค่าของหลักใหญ่ใจความของการมอง ปวส ผ่านตัวละครเอกของยุคนั้นไว้อย่างสนุกและเพียบพูนสาระ

โดยส่วนตัวแล้ว ยอมรับว่าอคติกับจอมพลป.มากค่ะ ด้วยความที่ว่าหลักการที่ท่านตั้งใจจะทำเมื่อปฏิวัติ และการกระทำของท่านเมื่อได้อำนาจแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับเหว ทุกอย่างที่ท่านด่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ท่านทำได้ยิ่งกว่าสิ่งที่เคยด่าไว้เป็นอันมาก

แต่อย่างน้อย จุดจบในบั้นปลายของท่านที่ได้อ่านจากกระทู้นี้ ก็ยังทำให้เห็นส่วนดีของท่านบ้าง ว่า"หยุด"เป็น ไม่ลากชาติลงเหวลงไปด้วย

ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ แล้วจะตามอ่านต่อไป ขอเป็นนักเรียนใหม่ขาประจำด้วยอีกคนนะคะ  ;D  ;D  ;D



กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 01 ต.ค. 11, 12:44
ยังมีอีกหลายเรื่องดีๆ ไปเลือกอ่านในคลังกระทู้ได้ครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: smallhands ที่ 01 ต.ค. 11, 19:45
ค่ะ ไว้เดี๋ยวจะไปในคลังไล่หาเรื่องเก่าๆสนุกๆอ่านค่ะ ขอบคุณค่า  :D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 21:21
ไปเจอบทความนี้เข้า เอามาฝากคุณนวรัตน

http://atcloud.com/stories/100476

 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ส.ค. 12, 21:30
อ้าว  ท่านนวรัตนใช้นามแฝงว่าเล่าขลุ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่คะ    :o
ลิ้งค์เรือนไทยในเว็บดังกล่าว มองแทบไม่เห็น และเข้าไม่ได้นะคะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 18 ส.ค. 12, 07:15
ก็ดีนะครับมีคนตั้ง๖๓๐๓คนเข้าไปอ่านในเวปของเขา แล้วคงเข้ามาอ่านต่อที่เรือนไทยด้วย

ข้อเขียนของผมทั้งหมดที่นำลงในเวป ผมตั้งใจให้เป็นวิทยาทาน ใครจะเอาไปใช้ประโยชน์อย่างไรได้ผมก็อนุโมทนาทั้งนั้น ไม่ติดใจว่าจะต้องอ้างอิงชื่อผมหรือไม่ อย่างไรก็ตามก็ขอขอบคุณคุณเพ็ญที่เข้ามาบอกนะครับ เห็นแล้วก็ได้ความภูมิใจเล็กๆ เขาเอาไปเขียนต่อแสดงว่าเขาชอบจนไม่อยากเก็บไว้คนเดียว


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 09:58
 :D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 10:02
ในด้านศีลธรรมก็ควรเป็นอย่างคุณ NAVARAT.C เจ้าของบทความตัวจริงว่าไว้   แต่ในด้านกฎหมายลิขสิทธิ์  คุณเล่าขลุ่ยควรบอกชื่อเจ้าของผลงานให้ชัดเจนนะคะว่าไม่ใช่ฝีมือคุณ   และใส่ลิ้งค์ให้คนสามารถตามเข้าไปอ่านได้ด้วย 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 10:35
ประตูเข้าเรือนไทยไปอ่านต้นฉบับก็มีอยู่

แต่หายากหน่อย

 ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 18 ส.ค. 12, 11:02
ต้องหาอย่างพินิจพิเคราะห์แบบคุณเพ็ญชมพูชอบทำ    ซึ่งหายากทั้งลิ้งค์และผู้หาแบบนี้  ;)
ถ้าจะหาง่ายๆ โดยให้เครดิตคุณเล่าขลุ่ยที่อุตส่าห์นำไปลงในเว็บตัวเองด้วย ก็อาจทำได้แบบนี้ค่ะ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: visitna ที่ 21 ส.ค. 12, 05:21
เพิ่งอ่านประเทศไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ของอาจารย์แถมสุข นุ่มนนท์  ได้มุมมองของจอมพล ป. พอสมควร
ท่านอาจารย์ตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับจอมพล แต่ไปตั้งชื่อเสียอีกอย่าง


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Sujittra ที่ 29 ก.ย. 12, 09:29
^
ขอออกความเห็นตอบกลับไปบ้าง  ชักมัน
ไหนๆอาจารย์ยังควบธันเดอร์เบิร์ดกลับมาไม่ถึง   ห้องเรียนก็ไม่ควรเงียบสนิท  จริงไหมคะ

จิตร เป็นคนหนึ่งที่เหมาะสมกับคำว่า "เกิดก่อนยุคสมัย" หรือ "เกิดผิดยุคสมัย"    รุ้ง จิตเกษมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เหมาะกับสองคำนี้  ต่างกันว่าคนหนึ่งอยู่ในโลกจริง อีกคนอยู่ในจินตนาการ  แต่ก็จบชีวิตก่อนเวลาอันควรทั้งสองคน

ดิฉันขอแบ่งจิตรออกเป็น 2 ภาค   คือจิตรที่เป็นปัญญาชนนักวิชาการ   กับจิตรที่เป็นนักต่อสู้ทางการเมืองเพื่ออุดมการณ์     สองบทบาทนี้ ถ้ามองดีๆจะแยกออกจากกันได้
ถ้าจิตรคงคุณสมบัติข้อแรก  รอดตายจากพ.ศ. 2509 มาได้    เขามุ่งไปทางพัฒนาฝีมือสติปัญญาในเรื่องวิชาการให้ต่อเนื่อง ด้านภาษาและประวัติศาสตร์ อย่างสุขุมลุ่มลึกตามวัย  เขาคงจะได้รับเชิญไปเขียนคอลัมน์ประจำ เป็นเกียรติแก่ค่ายมติชนมาหลายปีแล้ว  
อาจจะได้รับการประกาศชื่อเป็นนิสิตเก่าดีเด่นของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เช่นเดียวกับดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์    และเช่นเดียวกับดร.นิธิ   จิตรอาจปฏิเสธเกียรติเรื่องนี้   จิตรอาจได้รับเชิญไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเป็นประจำ นอกเหนือจากที่ธรรมศาสตร์  สถาบันพระปกเกล้า และที่อื่นๆ  

สวรรค์ส่งให้จิตรเกิดมาเพื่อเป็นนักวิชาการผู้มีคุณค่า     เขาจงเห็นอะไรหลายอย่างที่ปรมาจารย์หลายท่านยังมองไม่เห็น หรือไม่ได้ดูตามเส้นทางนั้น   ชายหนุ่มอย่างจิตรสร้างงานค้นคว้าหลายชิ้นที่น่าทึ่ง  เป็นนวัตกรรมของชาวอักษรศาสตร์  ซึ่งในฐานะที่ดิฉันจบมาจากที่นั่นก็บอกได้ว่า กาลเวลาในคณะอักษรศาสตร์ แน่วแน่ แต่แน่วนิ่ง   พูดภาษาง่ายกว่านี้คือเดินได้ช้ามาก   อาจจะเร็วในยุคนี้ แต่ไม่ใช่ยุคก่อน
จิตรเป็นนิสิตอักษรศาสตร์ที่ไวกว่ายุคมาก   จึงน่าเสียดายว่า จิตรอาจจะไม่รู้ว่าคนอย่างเขาเกิดมาเพื่อควรทำงานอะไรให้เต็มร้อย    เขาจึงแบ่งชีวิตไปให้อีกภาคหนึ่ง คือภาคที่สอง

ภาคที่สองของจิตรในฐานะนักต่อสู้ทางการเมืองที่มีอุดมการณ์   มีชะตากรรมที่ไม่ได้ต่างจากนักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อื่นๆ ทั่วโลก   คือสร้างแบบอย่างไว้ให้เป็นอนุสาวรีย์แก่คนรุ่นหลัง    แต่ตัวเองไม่เคยทันเห็นการบรรลุผล   สิ่งตอบแทนคือความคับแค้นใจ ขมขื่น  เดือดร้อนแก่ตัวเองและครอบครัว     เหมือนแบกรับผลร้ายเอาไว้หมด เพื่อผลดีให้คนรุ่นหลังชื่นชมศรัทธา   แต่จนแล้วจนรอดอุดมการณ์นั้นก็ไม่มีวันเป็นจริง
เป็นชะตากรรมที่เดินเข้าไปแล้วร้อยทั้งร้อยเหมือนกันหมด   แต่พวกนี้ก็เต็มใจเดินเป็นเทียนที่เผาไหม้ตัวเองให้ความสว่างแก่คนอื่น    คนอื่นได้ดีจากผลงานของเขา แต่ตัวเขาไม่เคยได้อะไรเลยตลอดชีวิต    

ถ้าจิตรยังมีชีวิตอยู่จนปัจจุบัน และยังไม่แสวงหาเส้นทางเป็นหัวหน้าพรรคจิตราธิปไตย หรือเสี่ยจิตรเจ้าของสื่อ น.ส.พ. หรือสื่ออื่นๆอะไรก็ตาม    ดิฉันลงความเห็นว่าจิตรไม่สวมเสื้อสีไหนเลย   แถมอาจจะสวดยับอีกด้วย   เพราะมันไม่ใช่อุดมการณ์ของเขา  จิตรอาจมองเห็นว่ามันไม่ใช่อุดมการณ์อะไรเลยด้วยซ้ำ

จิตรไม่ได้โชคดีที่ตายก่อน หรือตายทีหลังเมื่ออายุ ๑๐๐ ปี   คนอย่างจิตรไม่เคยโชคดีเลยตั้งแต่เกิดมา  สังคมต่างหากที่โชคดี ได้มีคนอย่างจิตร

ช่วงนี้ผมพอมีเวลาว่างเลยมาไล่อ่านกระทู้ที่น่าสนใจ
ได้อ่านกระทู้นี้มาหลายวันแล้ว กำลังติดตามอ่านอย่างเมามัน และมีหลายอย่างช่วงที่อยากแสดงความเห็น(แม้จะเป็นกระทู้เก่า) แต่คิดว่า รออ่านให้จบก่อน

บังเอิญมาอ่านของท่านเทาชมพู เลยนึกถึงตัวเอง และนึกถึงเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่กำลังทุ่มเททำงานเพื่อชาติ (หมายถึงเพื่อนผมคนนั้นนะครับ ไม่ใช่ผม)

อ่านความเห็นของท่านเทาชมพูแล้วต้องขอบอกว่า "โดนครับ" โดนมากด้วย

เป็นการใช้คำ และมุมมองที่ควรค่าแก่การได้อ่าน และเป็นการเรียบเรียงถ้อยคำ เรียบเรียงข้อความเพื่อสื่อถึงความคิดเห็นที่ผมต้องแอบขโมยเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ขอบคุณครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Sujittra ที่ 29 ก.ย. 12, 17:25

ชีวิตคือละครโรงใหญ่ ผู้ที่เล่นเป็นนักการเมืองมีบทให้แสดงอยู่ 8 ประเภทในความเห็นของผม
1 มาอย่างพระเอก ไปอย่างพระเอก
2 มาอย่างพระเอก ไปอย่างจืดๆ
3 มาอย่างพระเอก ไปอย่างผู้ร้าย
5 มาอย่างจืดๆ ไปอย่างจืดๆ
6 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างพระเอก
7 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างจืดๆ
8 มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างผู้ร้าย
จอมพลป.ท่านได้รับบทให้โน้มน้าวใจคนดูว่า มาอย่างผู้ร้าย ไปอย่างพระเอก
ส่วนจอมพลสฤษดิ์ได้รับบทให้โน้มน้าวใจคนดูว่า มาอย่างพระเอก ไปอย่างผู้ร้าย
ส่วนจริงๆแล้ว ชีวิตของท่านทั้งสองที่อยู่นอกบทอาจจะเป็นอีกเรื่องนึง ในฐานะที่เป็นปุถุชนที่มีทั้งความชั่วและความดีเหมือนกับคนอื่น และอาจมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ทราบ จึงไม่สามารถฟันธงว่าสรุปบวกลบคูณหารกันแล้ว ใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย

เป็นหน้าที่ที่ท่านผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล วินิจฉัยกันเอาเองนะครับ

ในวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง "ความน่าจะเป็น (Probability)" ถ้า "มา" มี 3 ทางเลือก คือ "มาอย่างผู้ร้าย" "มาอย่างประเอก" "มาอย่างจืดๆ" และ "ไป" มีสามทางเลือกเช่นกัน คือ "ไปอย่างพระเอก" "ไปอย่างผู้ร้าย" "และ "ไปอย่างจืดๆ" แล้ว เหตุการณ์ที่เป็นไปได้ต้องมีทั้งหมด 9 วิธีครับ ที่ขาดคือ "มาอย่างจืดๆ ไปอย่างพระเอก" และ "มาอย่างจืดๆ ไปอย่างผู้ร้าย" (แต่ไม่รู้ว่าในชีวิตจริงจะมีหรือไม่)

ที่คุณลุงเนาวรัตน์ยกมานั้นมีเพียง 7 มิใช่ 8 ครับเพราะไม่มีข้อ 4.

ต้องขอโทษด้วยครับที่แสดงความเห็นล่าช้าไปสองปี เพราะเพิ่งค้นกระทู้พบครับ

เป็นกระทู้ตำนานที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างมาก เพราะให้คติในการดำรงชีวิตอย่างมากมาย

ขอบคุณครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 29 ก.ย. 12, 17:39
อ่านความเห็นของท่านเทาชมพูแล้วต้องขอบอกว่า "โดนครับ" โดนมากด้วย

เป็นการใช้คำ และมุมมองที่ควรค่าแก่การได้อ่าน และเป็นการเรียบเรียงถ้อยคำ เรียบเรียงข้อความเพื่อสื่อถึงความคิดเห็นที่ผมต้องแอบขโมยเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
ขอบคุณครับ


หยิบไปใช้ได้ตามสบายเลยค่ะ  ;)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 29 ก.ย. 12, 18:04
อ้างถึง
ในวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง "ความน่าจะเป็น (Probability)" ถ้า "มา" มี 3 ทางเลือก คือ "มาอย่างผู้ร้าย" "มาอย่างประเอก" "มาอย่างจืดๆ" และ "ไป" มีสามทางเลือกเช่นกัน คือ "ไปอย่างพระเอก" "ไปอย่างผู้ร้าย" "และ "ไปอย่างจืดๆ" แล้ว เหตุการณ์ที่เป็นไปได้ต้องมีทั้งหมด 9 วิธีครับ ที่ขาดคือ "มาอย่างจืดๆ ไปอย่างพระเอก" และ "มาอย่างจืดๆ ไปอย่างผู้ร้าย" (แต่ไม่รู้ว่าในชีวิตจริงจะมีหรือไม่)

ที่คุณลุงเนาวรัตน์ยกมานั้นมีเพียง 7 มิใช่ 8 ครับเพราะไม่มีข้อ 4.

ตามนั้น
.
.
ไม่มีข้อแก้ตัวครับ
 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: ป้าหวัน ที่ 23 พ.ย. 14, 20:03
เพิ่งตามอ่านมาถึงหน้า10 มันหยดติ๋งๆ คุณตาควงท่านออกโรงเยอะทีเดียวตอนนี้ จำได้ว่าท่านฝีปากคม จะตามอ่านด้วยใจระทึก ว่าเมืองไทยทำม้ายจึงมีปฏิวัติเป็นกีฬาประจำชาติ ขอquoteตัวอย่างวาทะเด็ดของ พ.ต.ควง อภัยวงศ์ เช่น

   
ข้าพเจ้า นายควง อภัยวงศ์ เชื่อในพุทธภาษิตที่ว่า 'อฺปปาปิ สนฺตา พหเก ชินนฺติ ' คนดีถึงแม้มีน้อยก็เอาชนะคนชั่วหมู่มากได้ 8)


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 พ.ย. 14, 20:15
ู^


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: ป้าหวัน ที่ 27 พ.ย. 14, 20:27
เพิ่งอ่านจบกระทู้ค่ะ ขอขอบคุณอาจารย์และเพื่อน่วมกระทู้ทุกท่านที่กรุณาแบ่งปันความรู้ ดิฉันเข้ามาอ่านช้ากว่าคนอื่น แต่ก็เห็นกระจ่างว่าประเทศไทยเหมือนตกอยู่ในวังวน มีแต่นักการเมืองที่รักชาติจนน้ำลายไหล แต่ไม่มีใครเป็นรัฐบุรุษ :'( ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างที่อาจารย์ฐิติมาท่านสอนไว้ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนเลวที่ยังรอธรณีสูบ ต้องเร่ร่อนเป็นปีศาจพเนจรอยู่นอกประเทศ 


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: ป้าหวัน ที่ 27 พ.ย. 14, 20:39
และขอคารวะสามจอกแด่อาจารย์เทาชมพูว่าท่านแสดงข้อคิดเรื่องสี่แผ่นดินได้อย่างงดงามและบรรลุถึงความเข้าใจที่มาที่ไปของวรรณกรรมเรื่องนี้ (อ้างถึงความเห็น#๓๔๘)  ดิฉันเองยอมรับว่าเป็นแฟนอาจารย์ มรว คึกฤทธิ์ อย่างแน่นเหนียว ท่านแต่งสี่แผ่นดินอย่างถอดฝีมือจริงๆ อ่านมาห้ารอบแล้วก็ยังรักภาษาเรียบง่ายแต่บรรจงของท่าน ข้าน้อยมิบังอาจวิจารณ์ความสมบูรณ์ในเพชรน้ำเอกนี้ค่ะ ต้องว่าอย่างฝรั่งคือ: - I put สี่แผ่นดิน on a pedelstal.


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: ป้าหวัน ที่ 27 พ.ย. 14, 20:47
ปล. เมื่อก่อนคุณยายดิฉันมีบ้านอยู่ซอยร่วมฤดี ตอนเด็กๆดิฉันรู้สึกว่าโอ่โถงมาก แต่เข้าตำราตกยาก ขายไปนานแล้วค่ะ ดิฉันพอจะจำได้ลางๆว่าซอยนี้มีบ้านอรรครฐานมากหลายหลัง  ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 31 ธ.ค. 14, 10:39
ตอนที่พลโทผิน ชุณหวันปฏิวัติรัฐประหารเสร็จถึงกับร้องไห้ในระหว่างการแถลงข่าวว่าไม่สามารถทนเห็นการโกงกินที่เกิดขึ้นในวงการรัฐบาลพล.ร.ต.ธำรงได้ คนใกล้ชิดค.ร.ม.จากที่กระจอกๆก็ร่ำรวยกันใหญ่ ส่วนตนนั้นขนาดเป็นนายพลยังยากจน กางเกงที่นุ่งอยู่ก็เก่า ขาดแล้วก็ยังต้องปะใช้อยู่  บ้านก็ต้องอาศัยหลวง แต่ตอนที่ได้เลื่อนเป็นจอมพลผินแล้วก็ฐานะอื่นๆท่านผู้นี้ก็ดีขึ้นมากมาย เป็นปฐมบุรุษของนักการเมืองกลุ่มซอยราชครูที่ช่วงหลัง สามารถลงทุนส่งคนในค่ายขึ้นไปชิงแชมป์เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งได้หนึ่งคนคือ พลเอกชาติชาย ชุณหวัน ก่อนหน้านั้นมีเหมือนกันที่คั่วตำแหน่งรองนายกอยู่หลายสมัย คือ พลตรีประมาณ อดิเรกสาร ลูกเขยจอมพลผิน แต่ไม่มีวาสนาได้เป็นนายกเพราะเสียเชิงมวยในค่ายให้นายบรรหาร หลงจู้จากสุพรรณ มาซิวตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทยที่กลุ่มราชครูสร้างมากับมือไปครองเสียก่อนอย่างน่าเจ็บใจ

กลุ่มราชครู ถือกำเนิดได้จากการกุมอำนาจในกองทัพของจอมพลผิน  ภายหลังการทำรัฐประหาร 2490 ตอนแรกรู้จักกันในนามของกลุ่มผิน-เผ่า (ผิน ชุณหะวัณพ่อตา และเผ่า ศรียานนท์ ลูกเขย) เริ่มด้วยการกำจัดกลุ่มปรีดีออกไปจากคณะกรรมการบริหารบริษัทข้าวไทย ตอนนั้นการใช้หนี้สงครามให้พันธมิตรด้วยข้าวได้จบสิ้นไปแล้ว เศรษฐกิจก็กระเตื้องขึ้นโดยอัตโนมัติ ไทยเริ่มส่งออกข้าวได้ตามปกติ แต่ใครจะส่งออกข้าวได้ก็ต้องมีโควต้า พ่อค้าจีนต่างก็วิ่งเต้นตีนขวิดเพื่อให้ได้โควต้าในการส่งออกให้มากที่สุด สมัยนั้นรัฐก็กดราคาข้าวที่ชาวนาพึงจะขายได้ด้วยการตั้งภาษีขาออก เรียกว่าค่าพรีเมี่ยมข้าว ทำให้ราคาข้าวที่ชาวนาได้รับต่ำกว่าราคาข้าวที่ส่งออกไปตลาดโลกมากมาย คนฮ่องกงต้องซื้อข้าวไทยในราคาแพงลิบ เป็นเศรษฐีจึงจะกินได้ แต่ชาวนาไทยก็ยังยากจนค่นแค้นใส่กางเกงตูดปะยิ่งกว่าตัวที่พล.ท.ผินยังโยนทิ้งอย่างไม่ใยดีเสียอีก คนไทยที่รวยก็คือพ่อค้า ตั้งแต่คนกลางยี่ปั้ว ซาปั๊ว ที่รวมข้าวมาให้พ่อค่าส่งออก และคนอนุมัติโควต้าว่าเจ้าโน้นส่งได้เท่านั้นตัน คนนี้ส่งได้เท่านี้ตัน

เชิญชมครับ
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ รัฐประหาร 8 พ.ย. 2490

รัฐประหาร ๒๔๙๐ (http://www.youtube.com/watch?v=nKJ_cthcV6M#)

ภาพยนตร์ข่าวบันทึกเหตุการณ์รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ถ่ายโดย แท้ ประกาศวุฒิสาร ซึ่งเป็นการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่สืบท¬อดจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเผด็จการทหาร

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ ๑ ในปีพ.ศ. ๒๕๕๔

เครดิต พันทิป โดย สมาชิกหมายเลข 1074602


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Almansos ที่ 15 เม.ย. 15, 21:39
ขออนุญาติยกมือถามครับ อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ก็สงสัยมานานแล้ว ตำแหน่ง"จอมพล"คืออะไรครับ แล้วสมัยปัจจุบันตำแหน่งนี้หายไปไหนครับ (รวมถึงพลจัตวาด้วยก็หายเหมือนกัน) และอยากทราบว่าจนถึงปัจจุบัน คนที่ได้รับตำแหน่ง"จอมพล"ในประเทศไทย มีกี่คนครับ (ขอทุกเหล่าทัพเลยนะครับ) ขอขอบพระคุณครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 16 เม.ย. 15, 05:51
คำถามอย่างนี้ วิกิมีคำตอบสำเร็จรูปอยู่แล้ว

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A5_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2) (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A5_(%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2))

ส่วนยศพลจัตวา พลเรือจัตวา พลอากาศจัตวา ถูกยกเลิกไปเพราะเกรงว่านายพลจะล้นกองทัพ ไม่มีตำแหน่งจะให้ต้องไปนั่งในตำแหน่งลอยๆรอเกษียณไม่มีศักดิ์ศรีนายพลเท่าที่ควร เขาจึงไปขยายระดับยศพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก ให้พวกนี้ดำรงยศเดิมแต่เพิ่มคำว่า(พิเศษ)เข้าไปด้วย เป็น พันเอก(พิเศษ) นาวาเอก(พิเศษ) นาวาอากาศเอก(พิเศษ) มีพวกแก่ๆที่ยศนี้ในแต่ละกองทัพแยะเหมือนกัน  ส่วนพวกที่คิดว่าหนทางข้างหน้าในชีวิตทหารตันแล้ว ไปทำอย่างอื่นได้ดีกว่าก็จะขอเออรี่รีไทร์ รับบำเหน็จบำนาญพร้อมยศพลตรีไปทำงานกับเอกชนแทนนั่งหง่าวอยู่ในกองทัพ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Almansos ที่ 20 เม.ย. 15, 17:09
อาจารย์ครับ มีภาคต่อจากนี้ให้ติดตามไหมครับ (สฤษดิ์-ถนอม-ประภาศ) ชอบมากๆเลยครับ ได้ความรู้กว้างขึ้นกว่าเดิมมากเลยครับ คุณวิกกี้ยังละเอียดสู้อาจารย์ไม่ได้เลยครับ ถ้ามีภาคต่อรบกวนอาจารย์ช่วยนำมาลงให้ด้วยนะครับ ด้วยเหตุที่บ้านผมอยู่บนดอย ห่างไกลความเจริญมาก เพราะฉะนั้นการที่จะค้นคว้าหาข้อมูลอะไรนั้น ทำได้ยากลำบากมาก ยังไงก็ขอขอบคุณอาจารย์มากครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 20 เม.ย. 15, 18:40
ตอนนี้ยังไม่มีครับ ถ้ามีแล้วจะขึ้นไปบอกบนดอย จะได้ถือโอกาสเที่ยวไปในตัว ;D


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: Almansos ที่ 27 เม.ย. 15, 20:23
อาจารย์ครับ สงสัยมานานแล้วครับ ไอ้คำพูดต่อท้ายว่า "บรา บรา บรา บรา บรา บรา บรา" มันคืออะไรหรือครับ มันมีความหมายหรือเปล่าครับ รบกวนช่วยชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 28 เม.ย. 15, 07:25
มันมาจากคำภาษาอังอฤษที่ใช้ต่อประโยคคำพูด ที่น้ำท่วมทุ่ง ยาว ไร้ความหมาย ไม่อยากจะเขียนต่อ จึงใช้ blah blah blah แทน

บลา บลา บลา ใกล้เตียงกับภาษาไทย ว่า นั่่นนี่โน่น ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

ยกตัวอย่าง

จอมพลขึ้นเวทีแล้วกล่าวว่า" ถ้าพวกท่านเลือกผมเข้าสภาได้เมื่อไหร่ ผมจะทำให้ท่านกินดีอยู่ดี ไร้หนี้สิน บลา บลา บลา" 

สามารถเขียนอีกอย่างหนึ่งว่า
จอมพลขึ้นเวทีแล้วกล่าวว่า" ถ้าพวกท่านเลือกผมเข้าสภาได้เมื่อไหร่ ผมจะทำให้ท่านกินดีอยู่ดี ไร้หนี้สิน นั่นโน่นนี่ "

หรือ
จอมพลขึ้นเวทีแล้วกล่าวว่า" ถ้าพวกท่านเลือกผมเข้าสภาได้เมื่อไหร่ ผมจะทำให้ท่านกินดีอยู่ดี ไร้หนี้สิน ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ "

หรือเอาให้เห็นภาพหนักเลยก็ได้
จอมพลขึ้นเวทีแล้วกล่าวว่า" ถ้าพวกท่านเลือกผมเข้าสภาได้เมื่อไหร่ ผมจะทำให้ท่านกินดีอยู่ดี ไร้หนี้สิน นั่นโน่นนี่ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ "

พอเข้าใจนะครับ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 14 ส.ค. 18, 10:14
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ รัฐประหาร 8 พ.ย. 2490

https://youtu.be/nKJ_cthcV6M

ภาพยนตร์ข่าวบันทึกเหตุการณ์รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ถ่ายโดย แท้ ประกาศวุฒิสาร ซึ่งเป็นการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลที่สืบทอดจากการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเผด็จการทหาร

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ ๑ ในปีพ.ศ. ๒๕๕๔

คุณแท้ ประกาศวุฒิสาร  (https://th.m.wikipedia.org/wiki/แท้_ประกาศวุฒิสาร)ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปการแสดง พ.ศ. ๒๕๔๒ เสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดย "แท้" นับเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ไทยที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย โดยเพิ่งมีอายุครบ ๑๐๐ ปีในวันที่ ๒๖ พฤษภาคมที่ผ่านมา

ท่านเดินทางไปสู่สุคติ ทิ้งผลงานอันมีคุณค่าไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาและจดจำ


กระทู้: จอมพลป.2 ไม่ผ่านขึ้นป.3
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 14 ส.ค. 18, 13:26
เหตุการณ์เดียวกันครับ

https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%A1%E0%B8%A5-%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99/%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4/1651485414915150/