ทำไมนักอุดมคติในวรรณกรรมทั้งหลาย ถึงต้องพบจุดจบน่าเศร้ากัน ราวกับเป็นสูตรสำเร็จ
จะฉีกแนวให้นักอุดมคติอยู่ดีมีสุขในตอนจบ ไม่ได้หรือ?
ในวรรณกรรมนั้นผมไม่ทราบ เข้าใจว่านักประพันธ์ต่างก็ต้องการให้เรื่องราวที่ตนประพันธ์โดนใจผู้อ่านแรงๆ จะได้ซาบซึ้งตรึงใจกันไปอย่างนานแสนนาน โดยจบอย่างสุขสมทั้งตัวละครทั้งคนอ่าน (ซึ่งใครๆก็อยากให้เป็นเช่นนั้น) แต่มันจะแนบเนียนจนผู้อ่านไม่รู้สึกสะดุดใจขึ้นมาว่ามันจะเป็นเทพนิยายไปหน่อยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักประพันธ์ ถ้าเก่งก็จะปูพื้นเรื่องอย่างสมจริง ชวนติดตามจนวางไม่ลง แล้วเลือกหักมุมไปจบได้อย่างที่คนอ่านคาดไม่ถึง
ผมทราบแต่ว่าในความเป็นจริง ชีวิตของคนมีทั้งสุขทั้งทุกข์ ความสุขก็ป็นสิ่งชั่วคราว ความทุกข์ก็เป็นสิ่งชั่วคราว อะไรจะมาจะไป จะอยู่นานอยู่สั้น
เลือกไม่ได้ และที่สำคัญ จังหวะที่คนๆนั้นปิดฉากของตน เขาหรือเธออยู่ระหว่างช่วงไหนของกราฟชีวิต ดัชนีความสุขกำลังแสดงค่าเป็นบวก หรือลบ
ความสุขหรือความทุกข์ของรุ้ง หากรอดจากความตายในภาคหนึ่งมาได้ ก็คงจะไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้นตลอดเล่ม สุขที่ได้แต่งงานกับอุไรวรรณ และมีลูกชายน่ารักอย่างที่หวัง แต่โตขึ้นมาหน่อยอาจจะแสดงความน่าเกลียดที่รุ้งไม่ชอบและเป็นทุกข์ขึ้นมาก็ได้ อ้อ ขอประทานโทษครับ ลืมไปว่าท่านอาจารย์รอจะเปิดตัวให้เขาออกมามีบทตอนช่วง14ตุลา ถ้าอย่างนั้นทุกข์หนักๆของรุ้งอาจจะต้องรอจนถึงตอนนั้น
แต่ ถ้าไม่อยากให้รุ้งจมปลักอยู่ในห้วงทุกข์จนทั้งผู้แต่งและผู้อ่านจะรับไม่ได้ ก็ต้องลองดูแบบฉบับนักอุดมคติของท่านสิทธิพร แต่ตอนจบท่านก็เศร้านิดๆนะครับ บางเบิดที่ทรงมานะบุกเบิกหวังจะให้เป็นอาชีพของลูก แต่ปรากฏว่าไม่มีใครเอาด้วยสักคน ลูกชายส่งมาเรียนที่วชิราวุธพอจบมหาวิทยาลัยแล้วเลือกเป็นนายธนาคารดีกว่า ในที่สุดก็ต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดให้จอมพลสฤษดิ์ไป
ถ้าไม่ชอบแนวลูกทุ่ง ก็มีแบบฉบับของท่านสศษอีกคนหนึ่ง อันนี้ใกล้บทบาทของรุ้งตอนสองหน่อย คือทั้งเขียนทั้งวิจารณ์ มั่นคงในจุดยืนของตนดีโดยไม่สนใจใครจะด่าเอาบ้าง หรือเอาไปกักบริเวณจนสมใจอยาก แต่ถ้าท่านไม่เป็นคนอย่างนั้นก็ไม่ดังอีกนั่นแหละ เดี๋ยวจะเหมือนนักอุดมคติส่วนใหญ่ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไป โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆแม้กระทั่งความเด่นความดัง
อ้อ ยังมีนักอุดมคติให้เลือกอีกหนึ่งแบบนะครับ คือประเภทนักบวช จะเอาแบบฉบับอย่างท่านเจ้าคุณนรฯก็ได้ นั่นคือสุดยอดของนักอุดมคติที่ต้องการบวชถวายพระราชกุศลแด่ล้นเกล้าฯผู้ทรงมีอุปการคุณแก่ตน คือแทนที่จะจบแบบให้พิการหรือตายก็ให้รุ้งหันหลังให้โลกที่มีแต่ภาระให้ต้องแบก ต้องทำไม่รู้จักจบจักสิ้น ให้พระเอกคิดได้จึงละทิ้งความปรารถนาในทางโลกเสีย แล้วมุ่งปฏิบัติแสวงหาในทางธรรม ที่มีวันจบภารกิจในชาตินี้ได้
นักบวชที่ประกาศตนเป็นพระแต่มิได้มุ่งสู่โลกุตตระ ชอบเทศน์ชอบวิจารณ์การบ้านการเมืองก็มี แต่รุ้งอย่าเอาดีทางนี้เลยนะครับ ผ้าเหลืองจะร้อนจะรุ่ม เดี๋ยวโยมแห่กันมาด่าหน้ากุฏิจะเป็นทุกข์หนักเข้าไปอีก