http://www.cgd.go.th/ptn/tracing_the_past.html#link2ปัตตานีอยู่ห่างจากกรงเทพมหานครประมาณ 1,055 กิโลเมตร ตั้งอยู่ติดกับอ่าวไทยมีเนื้อที่ 2,109 ตารางกิโลเมตร
เป็นจังหวัดอันดับที่ 13 ของภาคใต้ แบ่งการปกครองออกเป็น 12 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอโคกโพธิ์ อำเภอมายอ อำเภอยะรัง
อำเภอหนองจิก อำเภอปะนาเระ อำเภอสายบุรี อำเภอยะหริ่ง อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอไม้แก่น อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือติดต่อกับจังหวัดสงขลา
ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดนราธิวาส
ทิศตะวันออกติดต่อกับอ่าวไทย
ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดยะลา และประเทศมาเลเซีย
--------------------------------------------------------------------------------
ย้อนรอยอดีตเมืองปัตตานี
จากหลักฐานเอกสารโบราณของจีน อาหรับ ชวา มลายู และจารึกของชาวอินเดียที่ปรากฏนามรัฐสำคัญแห่งหนึ่งบนแหลมมลายู
ซึ่งออกเสียงในแต่ละภาษา เช่น หลังยาซูว หลังยาซีเจีย (ภาษาจีน พุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๒ และ ๑๖ - ๑๘) ลังคาโศกะ อิลังคาโศกะ (ภาษา
สันสกฤต ภาษาทมิฬ พุทธศตวรรษที่ ๙ และ ๑๖) เล็งกะสุกะ(ภาษาชวา พุทธศตวรรษที่ ๒๐) ลังคะศุกา (ภาษาอาหรับพุทธศตวรรษที่ ๒๑)
ลังกาสุกะ (ภาษามลายู พุทธศตวรรษที่ ๒๔) ชื่อที่ปรากฏนี้ นักวิชาการสันนิษฐานว่า จะเป็นชื่อเมืองเดียวกันที่น่าจะเป็นชื่อเมืองเดียวกัน
ที่น่าจะเคยตั้งอยู่ในรัฐเคดะห์ ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย และจังหวัดปัตตานีในประเทศไทย แต่ในสมัยหลังศูนย์กลางของเมืองแห่งนี้
น่าจะอยู่ที่จังหวัดปัตตานี เนื่องจากชาวพื้นเมืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๔ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ยังกล่าวว่าเมืองปัตตานีพัฒนาขึ้นมา
จากเมืองลังกาสุกะสอดคล้องกับตำนานเมืองไทรบุรีที่กล่าวว่าราชามะโรงมหาวงศ์ทรงสร้างลังกาสุกะบนฝั่งตะวันตกที่เคดะห์ และ
พระราชนัดดาของพระองค์ได้มาสร้างลังกาสุกะที่ปัตตานี ชาวพื้นเมืองเรียกแถบนี้ว่าลังกาสุกะ จนกระทั่งแม่น้ำปัตตานีเปลี่ยนทิศทางเดิน
(หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี ,2539:107) ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ชุมชนลังกาสุกะเสื่อมลงไป เนื่องจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และศาสนา
วัฒนธรรมของชาวเมืองเปลี่ยนไป
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของปัตตานีที่บริเวณอำเภอยะรังเป็น ซากร่องรอยของ
เมืองโบราณขนาดใหญ่ซ้อนทับกันถึง ๓ เมือง นักภูมิศาสตร์เชื่อว่า เมืองโบราณขนาดใหญ่ที่บริเวณอำเภอยะรังนั้นหมดความสำคัญลง
น่าจะมีเหตุผลประการหนึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลช่วงระยะเวลา ๑,๐๐๐ ปี ที่ผ่านมาโดยลดลงระดับหนึ่งมีผลทำให้
ชายฝั่งทะเลถอยห่างออกไปจากเดิม ดังนั้น ที่ตั้งของชุมชนจึงไม่เหมาะที่จะเป็นทำเลของการเป็นเมืองท่าค้าขายอีกต่อไป จึงต้องย้ายที่ตั้ง
ศูนย์กลางการปกครองจากเมืองประแวในเขตเมืองโบราณยะรังมาที่เมืองปาตานีบริเวณที่ตั้งมัสยิดกรือแซะ ตำบลตันหยงลุโละ อำเภอ
เมืองปัตตานี และนำมาซึ่งการย้ายที่ตั้งของเมืองในระยะเวลาต่อมา แม้ว่าจะไม่สามารถระบุระยะเวลากำเนิดของเมืองปัตตานีได้อย่าง
ชัดเจน แต่เมืองปัตตานีก็ได้ปรากฏชื่อ และเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาเป็นลำดับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๑๙เป็นอย่างน้อย ในพุทธศตวรรษที่ ๒๔
ศูนย์กลางการปกครองของเมืองปาตานีได้ย้ายมายังจะบังติกอติดกับแม่น้ำปัตตานี และสร้างวังจะบังติกอขึ้นใหม่ มีตลาดการค้าแห่ง
ใหม่เกิดขึ้น คือ ตลาดจีนซึ่งได้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาเป็นเมืองปัตตานีในปัจจุบัน [รวมระยะเวลาทั้งสิ้นรวม ๔๐๐ ปี ที่เมืองปัตตานีที่
กรือเซะและบานาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด จนได้ชื่อว่าเป็น "มหานคร" ภูมิภาคนี้ ] top
อาณาจักรลังกาสุกะ อาณาจักรฟูนัน และอาณาจักรจัมปา ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากอารยธรรมอินเดีย และถือว่าเป็นอาณาจักร
แรกสุดบนแผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นรัฐแห่งอารยธรรมอินเดียมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๖ - ๗ รัฐทั้งสามตั้งอยู่บนคาบสมุทรซึ่ง
เป็นเส้นทางติดต่อกันระหว่างอินเดียกับจีน อาณาจักรฟูนันเจริญสูงสุดในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ลังกาสุกะได้ส่งทูต
และผู้แทนการค้าไปติดต่อสัมพันธ์กับจีน ในช่วงต่อจากนั้นมาชื่อลังกาสุกะ (จีนเรียก ลัง-ยา-ซู) ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เรือสินค้าของ
พ่อค้าชาติต่างๆ นิยมแวะพักจอดเรือและค้าขายที่นี่กันมาก เมื่อถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ อาณาจักรฟูนันก็เสื่อมลง อาณาจักรเจนละของเขมร
เจริญขึ้นมาแทน และสืบทอดแบบแผนของศาสนาฮินดูและพุทธ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ดินแดนของอาณาจักรเจนละก็กลายเป็นอาณาจักร
เขมรโดยสมบูรณ์ ขณะที่อาณาจักรจัมปายังคงครอบครองดินแดนแถบเวียดนามและอาณาจักรลังกาสุกะปกครองดินแดนคาบสมุทรมลายู
พุทธศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ รัฐลังกาสุกะเริ่มเสื่อมอำนาจลงกระทั่งตกเป็นเมืองขึ้นของกษัตริย์กรุงศรีวิชัยและกษัตริย์โจฬะแห่ง
อินเดียใต้ ต่อมาในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ชาวจีนชื่อ เจาจูกัว ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือชื่อ ชูฝันจิ ว่า เมืองลังกาสุกะเป็นเมืองหนึ่ง
ใน ๑๕ เมืองที่เป็นเมืองขึ้นของสันโฟชิหรือศรีวิชัย หนังสือเนเกอราเกอรตาคามาของพระปัญจะก็ว่ากองทัพเรือของอาณาจักรมัชฌปหิต
ได้เข้ายึดครองรัฐต่างๆ บนแหลมมลายู มีปะหัง ตรังกานู กลันตัน และลังกาสุกะ ในปี พ.ศ.๑๘๓๕ ในระยะเดียวกันนี้อาณาจักรสุโขทัย
ได้แผ่อำนาจเข้ามาครอบครองรัฐอโยธยา-สุพรรณภูมิและนครศรีธรรมราชทำให้เกิดพลังสามารถขับไล่อิทธิพลของกษัตริย์มัชฌปหิต
ออกไปจากแหลมมลายูสำเร็จ รัฐลังกาสุกะจึงเข้ามารวมอยู่ในพระราชอาณาจักรของไทยเป็นครั้งแรกภายใต้การควบคุมของเจ้าเมือง
นครศรีธรรมราชตั้งแต่นั้นมา ในปี พ.ศ.๑๘๖๖ อาณาจักรสุโขทัยหลังจากพ่อขุนรามคำแหงสิ้นพระชนม์(พ.ศ.๑๘๔๓) แล้ว กษัตริย์องค์
ต่อๆ มาไม่สามารถดำรงความเป็นผู้นำได้ พระบรมราชากษัตริย์แห่งรัฐอโยธยา(สมเด็จพระบรมชนกของพระเจ้าอู่ทอง) ทรงปฏิเสธ
อำนาจของอาณาจักรสุโขทัย ได้เข้ายึดครองเมืองนครศรีธรรมราชตลอดไปจนถึงหัวเมืองต่างๆบนแหลมมลายู จนกระทั่งถึงเกาะสิงคโปร์
ครั้นถึงพ.ศ.๑๘๘๕ กษัตริย์อโยธยาก็ส่งพระพนมวังนางสะเดียงทอง ออกมาปกครองเมืองนครศรีธรรมราช พระพนมวังได้สร้างเมือง
นครดอนพระ(อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี) ขึ้นเป็นศูนย์กลางการปกครองอยู่ชั่วคราว ต่อมาในปีพุทธศักราช ๑๘๘๗ พระพนมวัง
แต่งตั้งให้พระฤทธิเทวา (เจสุตตรา) ออกไปครองเมืองตานี หนังสือสยาเราะฮ์เมืองตานีเรียกชื่อเมืองตานีสมัยนั้นว่า "โกตามหาลิฆัย"
ส่วนหนังสือเนเกอราเกอตาคามา เรียกว่า "ลังกาสุกะ" และว่าพระฤทธิเทวาได้นำชาวเมืองโกตามหาลิฆัยไปช่วยพระเจ้าอู่ทองสร้าง
กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.๑๘๙๐ - ๑๘๙๓) ครั้นล่วงมาถึงรัชสมัยของพญาอินทิราผู้เป็นเหลนปู่ของพระฤทธิเทวา จึงได้ย้ายเมืองโกตามหาลิฆัย
(หรือเมืองลังกาสุกะ) คือ เมืองโบราณที่ตั้งอยู่บ้านปราวันหรือปราแว อำเภอยะรัง มาสร้างเมืองปัตตานีขึ้นใหม่ ในปีพุทธศักราช ๒๐๑๒
ถึงปี ๒๐๕๗ ณ บริเวณสันทรายใกล้ปากน้ำปัตตานี ได้แก่ ตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานีในปัจจุบัน ขณะเดียวกันอาณาจักรอยุธยาเกิด
ทำสงครามกับอาณาจักรลานนาไทย เป็นเหตุให้เสียรี้พล และยุทโธปกรณ์ไปเป็นอันมาก มะละกาซึ่งเคยเป็นประเทศราชของไทยมาก่อน
กลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านกำลังทหาร เศรษฐกิจ และการเมือง จึงทำการแข็งเมืองไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการแก่ไทย
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ส่งกองทัพไป ตีมะละกาถึงสองครั้งแต่ไม่สำเร็จ ฝ่ายมะละกากลับส่งกองทัพเข้ายึดครองเมืองขึ้นของไทย
จนหมด ได้แก่ ปาหัง ตรังกานู กลันตัน ไทรบุรี ฯลฯ ในขณะเดียวกัน มะละกาก็ทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาอิสลามไปด้วย ปัตตานีซึ่งเคย
นับถือศาสนาพุทธมาก่อนก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามสุลต่านมันสุร์ชาฮ์กษัตริย์มะละกา หันมารับศาสนาอิสลามในรัชสมัยพญาอินทิรา
ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนพระนามเป็นสุรต่านอิสมาเอลชาฮ์ กล่าวกันว่าในสมัยนี้ปัตตานีได้มีการทำลาย พระพุทธรูป เทวรูป โบราณสถานใน
เมืองโกตามหาลิฆัย (หรือลังกาสุกะ)จนหมดสิ้น หลังจากนั้นเรื่องราวของเมืองลังกาสุกะก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ ปรากฎชื่อเมืองปัตตานีโดดเด่นขึ้นมาแทนที่ เมื่อโปรตุเกสเข้ามายึดครองเมืองมะละกาได้จากสุลต่านมะหะหมุด ในปี พ.ศ.๒๐๕๔
และพยายามขยายอิทธิพลทางการค้ามาทางตอนเหนือของคาบสมุทรมลายู และเข้ามาตั้งสถานี การค้าในเมืองชายฝั่งทะเลทำให้เมืองปัตตานี
เป็นเมืองท่าหลักเมืองหนึ่ง แม้ว่าปัตตานีเป็นเมืองประเทศราช แต่เนื่องจากปัตตานีมีความเจริญมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้เจ้าเมืองปัตตานี
ต้องการเป็นอิสระหลายครั้ง ในปี พ.ศ.๒๐๙๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิพม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา พระยาตานีศรีสุลต่านได้
นำกองทัพเรือไปช่วยราชการสงคราม แต่เมื่อเห็นว่ากองทัพกรุงศรีอยุธยาเสียทีแก่พม่า จึงถือโอกาสทำการขบถยกกำลังบุกเข้าไปใน
พระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิหนีข้ามฟากไปประทับบนเกาะมหาพราหมณ์ จนเมื่อกองทัพไทยรวบรวมกำลังได้แล้ว
จึงยกกองทัพโอบล้อมตีกองทหารเมืองตานีแตกพ่ายไป top
ในปี พ.ศ.๒๑๔๖ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมีรับสั่งให้ออกญาเดโช ยกกองทัพไปตีเมืองปัตตานีเพื่อยึดเข้าไว้ในพระราชอำนาจ
แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากปัตตานีได้รับการช่วยเหลือจากพ่อค้าชาวยุโรปทั้งอาวุธใหญ่และทรัพย์สินเงินทอง
ในสมัยพระเพทราชา (พ.ศ.๒๒๓๑ - ๒๒๔๕) เมืองปัตตานีไม่พอใจการสถาปนาขึ้นใหม่ของกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ประกาศ
ไม่ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง ทำให้ปัตตานีเป็นอิสระต่อเนื่องมาจนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน พ.ศ.๒๓๑๐ ตลอดมาจนสิ้น
สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี
ในรัชสมัยพระบาลสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.๒๓๒๕ - ๒๓๕๒) ทรงโปรดฯ ให้
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ยกทัพหลวงลงมาปราบปรามพม่าที่มาตีหัวเมืองทางแหมมลายูจนเรียบร้อย และในปี
พ.ศ.๒๓๒๘ กรมพระราชวังบวรฯ เสด็จลงไปประทับที่เมืองสงขลา ให้ข้าหลวงเชิญกระแสรับสั่งออกไปยังหัวเมืองที่เหลือ คือ เมือง
ปัตตานี ไทรบุรี และเมืองตรังกานู ให้มายอมเป็นเมืองขึ้นเช่นเดิม แต่สุลต่านมูฮัมหมัดพระยาปัตตานีในขณะนั้นขัดขืน จึงมีรับสั่งให้
พระยากลาโหมยกกองทัพไทยไปตีเมืองปัตตานีได้ในปี พ.ศ.๒๓๒๙ กวาดต้อนครอบครัวและศาสตราวุธมาเป็นอันมาก รวมทั้งปืนใหญ่
กลับไปกรุงเทพมหานคร ๒ กระบอก ส่วนอีก ๑ กระบอกได้ตกหายลงในทะเลระหว่างการเคลื่อนย้ายลงสู่เรือรบ เนื่งจากทะเลมีลมและ
คลื่นจัด แล้วจึงนำทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๑ ทรงโปรดเกล้าให้จารึกชื่อเป็น "พญาตานี" ซึ่งนับว่าเป็นปืนใหญ่กระบอกใหญ่ที่สุดของ
ประเทศไทย ปัจจุบันตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร ในปี พ.ศ.๒๓๓๒ ตนกูลามิดดินเจ้าเมืองปัตตานีมีหนังสือไปชวน
องค์เชียงสือเจ้าอนัมก๊กให้ร่วมกันตีหัวเมืองในพระราชอาณาจักร เมื่อรัชกาลที่ ๑ ทรงทราบ จึงโปรดฯ ให้ยกทัพไปตีเมืองปัตตานีอีกครั้ง
ต่อมาปี พ.ศ.๒๓๕๑ ดาโต๊ะปังกาลันได้ก่อความไม่สงบขึ้น จึงทรงโปรดให้เจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาค) ยกทัพหลวงออกไปสมทบกับ
เมืองสงขลา พัทลุง จะนะ ตีเมืองปัตตานีสำเร็จ
ในสมัยพระบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พ.ศ.๒๓๕๒ - ๒๓๖๗) เกิดความไม่สงบบ่อยครั้ง ทรงโปรดฯ ให้พระยา
อภัยสงคราม และพระยาสงขลา(เถี๋ยนจ๋อง) ผู้กำกับดูแลหัวเมืองมลายู แบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมืองได้แก่ เมืองปัตตานี เมือง
ยะหริ่งเมืองสายบุรี เมืองหนองจิก เมืองระแงะ เมืองรามันห์ และเมืองยะลา โดยแต่งตั้งให้พระยาเมืองเป็นผู้ปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๕๙
เป็นต้นมา (Ibrahim Syukri,1985 : 61-62 ; ครองชัย หัตถา ,๒๕๔๑ : ๑๔๐ - ๑๔๒)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกวิธีการปกครองบ้านเมืองแบบจตุสมภ์
(เวียง วัง คลัง นา) ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๕ เป็นต้นมา จัดการปกครองเป็นแบบ ๑๒ กระทรวง มีกระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงการ
แผ่นดิน โดยให้จัดการปกครองเป็นระบบเทศาภิบาล ทรงใช้นโยบายประนีประนอม และทรง ดำเนินการโดยไม่ก่อให้เกิดการกระทบ
กระเทือนต่อการปกครองของเจ้าเมืองทั้ง ๗ หัวเมือง โดยจัดให้ทั้ง ๗ หัวเมือง รวมเข้าอยู่ในมณฑลนครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบด้วย
เมือง ๑๐ เมือง (เพิ่มเมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง และเมืองสงขลา) มีผู้ว่าราชการจังหวัดดูแล อยู่ในการปกครองของข้าหลวง
เทศาภิบาลมณฑล ปี พ.ศ.๒๔๔๙ได้แยกให้หัวเมืองทั้ง ๗ ออกจากมณฑลนครศรีธรรมราช มาตั้งเป็นมณฑลปัตตานี พร้อมทั้งเปลี่ยน
ฐานะเมืองเป็นอำเภอ และจังหวัด ได้แก่ top
จังหวัดปัตตานี รวมเมืองหนองจิกและเมืองยะหริ่ง
จังหวัดสายบุรี รวมเมืองระแงะ
จังหวัดยะลา รวมเมืองรามันห์
นอกจากนี้ยังแยกอำเภอหนองจิกยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอเมืองเก่า ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอมะกรูดและอำเภอโคกโพธิ์ตาม
ลำดับ เมืองปัตตานีเดิมเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอปะกาฮารัง และจัดตั้งอำเภอขึ้นใหม่อีก ๒ อำเภอ คือ อำเภอยะรัง และอำเภอปะนาเระ ขึ้นกับ
จังหวัดปัตตานี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดภาวะเศรษฐกิจของประเทสตกต่ำภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ในปี พ.ศ.๒๔๗๕ รัฐบาลจึงต้องตัดทอนรายจ่ายให้น้อยลงเพื่อรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศ จึงยุบเลิกมณฑลปัตตานีคงสภาพเป็น
จังหวัด ยุบจังหวัดสายบุรีเป็นอำเภอตะลุบัน และแบ่งพื้นที่บางส่วนของสายบุรี คือ ระแงะ และบาเจาะ ไปขึ้นกับจังหวัดนราธิวาส
[(กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๒๘ : ๒๗) พ.ศ.๒๔๔๙ - ๒๔๗๕ ปัตตานีมีการปกครองแบบมณฑล คือ " มณฑลปัตตานี " ]
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๖ เป็นต้นมา จังหวัดปัตตานีมีการปกครองโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีคนแรก คือ
พระยารัตนภัคดี (แจ้ง สุวรรณจินดา) ภายใต้การปกครองตามระบอบประชาธิปไตย กระทรวงมหาดไทยได้ ประกาศพระราชบัญญัติระเบียบ
บริหารราชการแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.๒๔๗๖ จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด และอำเภอ หลังจากนั้นได้มีการ
ปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าว ในปี พ.ศ.๒๔๙๙ และ พ.ศ.๒๕๐๕ และใช้บริหารราชการแผ่นดินมาจนทุกวันนี้
ปัตตานีเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่จัดตั้งขึ้นในภาคใต้ ตั้งอยู่ที่
ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมืองปัตตานี
--------------------------------------------------------------------------------
สรุปลังกาสุกะและปัตตานีในอดีต top
[พรทิพย์ พันธุโกวิท (๒๕๓๖); ครองชัย หัตถา (๒๕๔๑) Michel Jacq-Hergoualc'h (๑๙๙๘)]
ลังกาสุกะ (Langkasuka) อาณาจักรเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเอเซียอาคเนย์ มีอาณาเขตปกครองกว้างขวางครอบคลุมคาบสมุทร
มลายูตอนล่างทั้งหมดโดยพัฒนามาจากเมืองท่าเล็กๆ ของชาวพื้นเมืองจนเติบโตเป็นรัฐและมีฐานะเป็นอาณาจักรมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗
เนื่องจากมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก (East-West Center) เป็นศูนย์กลางการค้า
ระหว่างจีนกับอินเดีย และเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาฝ่ายมหายานระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๙
ศูนย์กลางของลังกาสุกะอยู่บริเวณเมืองโบราณยะรัง ปัจจุบันปรากฎร่องรอยศาสนสถานประเภทสถูปเจดีย์ขนาดใหญ่ จำนวน ๓๓ แห่ง
ในพื้นที่ประมาณ ๙ ตารางกิโลเมตร นอกจากนั้นยังพบร่องรอยกำแพงเก่าอีกหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียงกัน พุทธศตวรรษที่ ๑๙ อาณาจักร
ลังกาสุกะเริ่มเสื่อมลง เนื่องจากชายฝั่งทะเลตื้นเขิน แม่น้ำเปลี่ยนทางเดิน ศาสนาและวัฒนธรรมของชาวเมืองใต้เปลี่ยนแปลงไปรวมทั้ง
อาณาจักรมะละกาซึ่งเจริญขึ้นมาทางตอนใต้ยกกำลังมาโจมตีหลายครั้ง ในที่สุดอาณาจักรลังกาสุกะได้ล่มสลายไปในต้นพุทธศตวรรษ
ที่ ๒๑ โดยมีปะตานี (Patani) เมืองท่าแห่งใหม่เจริญขึ้นมาแทนที่ ปะตานีมีการปกครองที่เข้มแข็ง มีสุลต่านหรือรายาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
พ่อค้าชาวยุโรป เช่น โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ สเปน ฯลฯ มาค้าขายเป็นจำนวนมาก ร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองดังกล่าวปรากฎอยู่ใน
พื้นที่กว่า ๔ ตารางกิโลเมตร ในเขตตำบลบานา บาราโหม และตันหยงลุโละ ได้แก่ มัสยิดกรือเซะ สุสานหลวงหรือกูโบร์มัรโฮม สุสาน
เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่หล่อปืนใหญ่พญาตานี บ่อฮังตูวะฮ์ บ่อชัยคดาโอะ บริเวณที่เคยเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้า ฯลฯ ในเวลานั้นปะตานี
เป็นศูนย์กลางของการศึกษา และเผยแพร่ศาสนาอิสลามที่สำคัญของภูมิภาคนี้ และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ปะตานี ดารุสสลาม คนไทยทั่วไป
เรียกกว่า เมืองตานีหรือปัตตานี
ในปี พ.ศ.๒๓๕๑ ปัตตานีแบ่งการปกครองออกเป็น ๗ หัวเมือง ได้แก่ เมืองตานี ยะหริ่ง หนองจิก สายบุรี ระแงะ รามันห์ และ
ยะลา ต่อมาในปี พ.ศ.๒๓๘๘ ศูนย์กลางการปกครองของเมืองปัตตานีย้ายมาอยู่ที่จะบังติกอสถานที่สำคัญสมยนั้นได้แก่ วังจะบังติกอ
มัสยิดรายา สุสานโต๊ะอาเยาะ ยายถนนหนาวัง แหล่งผลิตเครื่องทองเหลือง ฯลฯ ส่วนตลาดการค้าอยู่ที่หัวตลาดบริเวณ ถนนอาเนาะรูและ
ถนนปัตตานีภิรมย์ เป็นย่านชาวจีนหรือไชน่าทาวน์ในสมัยนั้น สถานที่สำคัญได้แก่ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง บ้านพระจีนคณานุรักษ์ บ้านทรงจีน
ของหลวงสำเร็จกิจกรจางวาง และบ้านหลวงสุนทรสิทธิโลหะ ฯลฯ ปี พ.ศ.๒๔๔๙ ปัตตานีมีการปกครองแบบมณฑล และปี พ.ศ.๒๔๗๖
เปลี่ยนมาเป็นจังหวัดปัตตานี สืบต่อมาถึงปัตตานี
ราชทูตลังกาสุกะ top
ภาพราชทูตลังกาสุกะจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีนที่จตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง ที่มาของภาพปรากฎอยู่ใน
จดหมายเหตุราชวงศ์เหลียง หรือเหลียงชู ของจีน (พ.ศ.๑๐๔๕-๑๑๐๖) บุคคลในภาพนี้ชื่อ อชิตะ (จีนออกเสียงเป็น อาเซ่อตัว) เป็นราชทูต
จากประเทศลังกาสุกะ (จีนออกเสียงเป็น หลังหยาสิ้ว) ซึ่งคุณสังข์ พัธโนทัยได้ให้คำบรรยายภาพว่า "เป็นคนหัวหยิกหยอง น่ากลัว นุ่งผ้า
โจงกระเบน ห่มสไบเฉียง สวมกำไลที่ข้อเท้าทั้งสอง ผิวค่อนข้างดำ" รูปลักษณะของทุตลังกาสุกะ บ่งบอกว่าเป็นคนทางภาคพื้นเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเดินทางไปเยือนราชสำนักจีนในปีศักราชเถียนเจียน (ตรงกับ พ.ศ.๑๐๕๘) สมัยพระเจ้าอู่ตี้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียง
ทางการจีนได้เขียนภาพ อาเซ่อตัว ไว้เป็นที่ระลึกพระเจ้าแผ่นดินแห่งลังกาสุกะในเวลานั้น ทรงพระนามว่า ผอเจี่ยต้าตัว หรือ ภัคทัตตเหลียงชู
บันทึกไว้ว่า หลังหยาสิ้วตั้งอยู่แถบทะเลใต้ห่างจากเมืองกวางโจว(ในกวางตุ้ง) ของจีน ๒๔,๐๐๐ ลี้ ตัวเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงมีประตูเมือง
คู่ มีหอคอยและระเบียงบน เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปที่ใดจะประทับบนหลังช้าง มีกลดสีขาวกางอยู่ พร้อมด้วยฉัตร แส้ ธง และกลอง
ทหารรักษาพระองค์ได้รับการเลือกเฟ้นอย่างดี กษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่แต่งกายคลุมไหล่ด้วยผ้าหยัน-เซีย คาดเข็มขัดทองคำที่เอว ห้อย
ต่างหูทำด้วยทองคำ หญิงหลังหยาสิ้วแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายกันมัน คนทั่วไปในเมืองไม่นิยมสวมเสื้อ ปล่อยผมเป็นกระเซิงมาด้านหลัง
อาณาจักรนี้หากจะเดินจากตะวันออกไปตะวันตกต้องใช้เวลาราว ๓๐ วัน จากเหนือถึงใต้ใช้เวลาราว ๒๐ วัน ลังกาสุกะมีความสัมพันธ์ที่ดี
กับประเทศจีน ในปี พ.ศ.๑๐๖๖ และ ๑๑๑๑ ลังกาสุกะก็ได้ส่งทูตไปจีนอีก ชื่อของลังกาสุกะปรากฎในจดหมายเหตุของจีนและชาติต่างๆ
มาอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ชื่อลังกาสุกะก็หายไปจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ เรื่องราวการทูตของกษัตริย์
ลังกาสุกะต่อจากสมัยพระเจ้าภัคทัตต จดหมายเหตุจีนกล่าวว่า ในปี พ.ศ.๑๐๖๖ ๑๐๗๔ และ พ.ศ.๑๑๑๑ ได้มีการส่งทูตไปสู่ราชสำนักจีนอีก
แต่จีนมิได้ให้รายละเอียดอย่างเช่นคราวราชทูตอชิตะ
จัดทำโดย...สำนักงานคลังจังหวัดปัตตานี