ในฉากประชันโคลงระหว่างพี่หมื่นกับแม่หญิงจันทร์วาด ในบทละคร ยกวรรคทองในกนกนคร ของ น.ม.ส. ซึ่งเป็นกลอนหกขึ้นมา
ตัวบทเขียนให้ตัวละครในอดีตชื่นชมนางเอกว่ามีฝีมือทางโคลงกลอน ช็อตนี้เป็นช็อตฟุ้งเฟื่องที่สุด
วัฒนธรรมทางวรรณศิลป์ไทยสมัยอยุธยาตอนกลางเป็นฉันท์และโคลงสี่สุภาพ ถามว่าสมัยนั้นมีกลอนสุภาพหรือไม่ คำตอบคือน่าจะมี
แต่คงเป็นฉันทลักษณ์ของชาวบ้าน และมีพัฒนาการถึงขีดสุดในสมัยอยุธยาตอนปลาย ถึงขั้นมีกลอนกลบทเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ตัวละครในอดีตคือพระโหราธิบดี พระยาโกษาธิบดีปาน พระยาโกษาธิบดีเหล็ก คุณพี่หมื่นน่าจะฉงนสนเท่ห์ว่านางเอกกำลังใช้ฉันทลักษณ์อะไร
โดยเฉพาะเป็นกลอนหก ซึ่งปรากฏใช้อยู่เรื่องเดียวในประวัติวรรณคดีไทย คือกนกนครในสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบันด้วย ยิ่งไปกันใหญ่ มันต้องเป็น “นวัตกรรม”
วรรณศิลป์ไทยที่พระโหราธิบดีต้องรีบจดบันทึกในจินดามณีด้วยความตื่นเต้น!!!
จาก "ออเจ้าพูดจาพิกลพิการ : แฟนซีภาษาและวัฒนธรรมต่างสมัย" โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ธเนศ เวศร์ภาดา คณบดีคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย อดีตนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
https://www.facebook.com/notes/ธเนศ-เวศร์ภาดา/ออเจ้าพูดจาพิกลพิการ-แฟนซีภาษาและวัฒนธรรมต่างสมัย-ธเนศ-เวศร์ภาดา/1776053812478072/ โดยคหสต. ในตอนนี้น่าจะให้เหล่ากวีชุมนุมในคืนนั้น เห็นว่า,เข้าใจว่า ออเจ้าแต่ง ฉันท์ชนิด ๑๒ พยางค์
แต่ออเจ้าเป็นมือสมัครเล่น,พูดจาพิกลพิการ ดังนั้นบังคับ ครุ ลหุ จึงคลาดเคลื่อน,ไม่เป๊ะ(แต่ก็ไพเราะและเนื้อหาโดน)
ป.ล. โคลงของคุณพี่หมื่นในคืนนั้นมีอยู่บาทหนึ่งที่หายไปหนึ่งพยางค์
ตะวันลับเหลี่ยมเจ้า เมฆบัง
นกส่งเสียงยังรัง แซ่ซ้อง
จันทร์ฤาแลหลัง < ถึงเมฆ
ดาวจึ่งเจียมจิตป้อง ไป่สู้เทียมจันทร์