เรือนไทย

ขึ้นต้นเดือนใหม่
ผมก็เปิดวารสาร BBC  History
มาเล่าต่อว่าเดือนนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในอดีตครับ


/>
บังเอิญผมขึ้นไปสก็อตแลนด์เมื่อสองสามอาทิตย์นี้เลยนึกถึงวีรบุรุษของสก็อตที่คนรู้จักกันทั่วโลก
เพราะความกล้าหาญของเขา วีรกรรมของเขานั้นมีคนนำมาสร้างเป็นภาพยนต์เรื่องดัง
Braveheart ใช่แล้วครับ เขาคือ เซอร์วิลเลี่ยม วอลเลส นั่นเอง (Sir William
Wallace of Ellerslie)



William Wallace
ถูกประหารชีวิตโดยพระเจ้าเอ็ดเวอร์ดที่หนึ่งกษัตริยอังกฤษ เมื่อวันที่ 23
สิงหาคม ปีค.ศ. 1305 เจ็ดร้อยกว่าปีมาแล้ว ใครดูหนังคงจำได้ที่ เมล กิบสัน
ตะโกนลั่นว่า FREEDOMMMMMMM ก่อนถูกตัดคอนั่นแหล่ะ


/>
ตามประวัตินั้น William Wallace เกิดประมาณปี ค.ศ. 1272 เป็นบุตรของ Sir
Malcolm Wallace ใครทีดูภาพยนต์แล้ว ก็คงทราบว่าชีวิตของ William Wallace
นั้นลำเค็ญเพียงใด ต้องเหน็ดเหนื่อยต่อสู้เพื่อให้พ้นการเป็นทาสของอังกฤษ
ถูกหักหลัง และ อื่นๆอีกมาก
บิดาของเขานั้นถูกสังหารเนื่องจากไม่ยอมสวามิภักษ์ต่อพระเจ้าเอ็ดเวอร์ดที่หนึ่ง
/>
กษัตริย์อังกฤษ ( ซึ่งได้ครอบมงกุฎในเดือนสิงหาคมนี้เหมือนกัน คือวันที่ 19
สิงหาคม ปี 1274 )

การเสียชีวิตของบิดาสร้างความแค้นให้  William
Wallace และเป็นแรงผลักดันให้เขาต่อต้านอังกฤษมากทีเดียว
/>
แต่ว่ากันว่าแรกผลักดันเริ่มแรกที่ทำให้เขาโหยหาเสรีภาพนั้น มาจากอาของเขา
ซึ่งเมื่อครั้งเขาอายุประมาณ 17-18ปี William Wallace
ถูกส่งให้ไปศึกษาวิชาความรู้กับน้องชายของพ่อ
อาของเขามักจะปรารภกับหลานชายคนเก่งว่า



My son, I tell thee
soothfastlie,

No gift is like to libertie;

Then never live
in slaverie.


/>
(แต่ในภาพยนต์รู้สึกว่าการตายของคนรักจะได้ผลกว่าคำสอนของอา ...
อืม)
src='http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW710x000.jpg'>

ต่อเรื่องของ  Wallace อีกสักหน่อยความจริงน่าจะเล่าเดือนหน้า

แต่เพื่อความต่อเนื่อง โม้ตรงนี้ดีกว่า



...สำหรับวีรกรรมสร้างชื่อของ William Wallace นั้นคือชัยชนะในการรบที่เมื่องสตอริง หรือ The Battle of Stirling Bridge



เมือง Stirling นี้เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นประตูสู่ภาคเหนือของสก็อตแลนด์ ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของสก็อตด้วย ราวๆเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1297 เหล่ากองโจรกบฎของ Wallace ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยกำลังคนที่อ่อนประสบการณ์ ทางการรบ และไม่จัดเจนในการใช้อาวุธ ก็ต้องปะทะกับกองทัพบกที่ในขณะนั้นถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในยุโรป และยังไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้



อย่างไรก็ตามจุดหักเหของการรบครั้งนี้อยู่ที่การข้ามแม่น้ำ สายแคบๆ ซึ่งเปลี่ยนกองทัพที่ยิ่งใหญ่ให้กลายเป็นกองซากศพได้อย่างง่ายดาย William Wallace นั้นตั้งทัพอยู่บนเนินสูงทางเหนือของ Stirling ในขณะที่กองทัพอังกฤษยกทัพเข้ายึดเมืองไว้ เรียบร้อยอิงลิชสคูล ระหว่างทัพทั้งสองนั้นมีแม่น้ำคั่นกลาง และมีสพานเล็กๆ ซึ่งกองทัพม้าอันเกรียงไกรของอังกฤษนั้น ข้ามได้แค่ทีหน้ากระดานเรียงสองเท่านั้น แน่นอนว่าหากข้ามสะพานนี้อังกฤษจะเสียเปรียบสก็อตแลนด์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะด้วยคราวซวยของอังกฤษ บุญญาธิการของ William Wallace หรือจะด้วยความประมาทศัตรูของนายทัพอังกฤษก็ไม่ทราบ ทำให้เลือกที่จะข้ามสะพานไปสู่ความหายนะ ทั้งๆที่ห่างออกไปอีกแค่ไม่กี่ไมล์

ก็จะมีช่วงที่น้ำไม่ลึกนัก ( Kilean Ford ) ซึ่งกองทัพม้าสามารถข้ามไปได้อย่างสบายๆ อย่างน้อยก็สิบหกตัวเรียงหน้ากระดาน



ก็นั่นแหละครับกองทัพอันเกรียงไกรของอังกฤษก็เลยถูก William Wallace ซัดซะจมธรณี จบศึกครั้งนี้ William Wallace ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน โดย โรเบิรดต์  เดอะ บลูส  (Robert Bruce) ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาหักหลังเขา โดยส่งตัว Wallace  ไปให้อังกฤษตัวศรีษะ



ข้างล่างนี่คือแผนที่การรบครั้งกระนู้น...

อันนี้คือภาพวาดของ The Battle of Stirling Bridge




สำหรับประวัติย่อๆ ของ William Wallace เชิญที่นี่ครับ

http://www.waichung.demon.co.uk/william/wallace.htm

ส่วนภาพนี้คือ Wallace Monument ตั้งอยู่บนเนินเขา Abbey Craig ที่เขาตั้งทัพในการรบครั้งนั้น เพื่อละลึกถึง The Battle of Stirling Bridge และวีรกรรมของ William Wallace

12 สิงหาคม วันแม่ครับ
และก็จะมีการฉายภาพยนต์สุดอภิมหาอลังการ สุริโยไท แหะๆ คนอยู่ไกลไม่ต้องกลัวพลาดว่าจะอดดูเพราะเค้าบอกว่าจะฉายในโรงภาพยนต์ 3 เดือน ทราบแล้วเปลี่ยน

สก็อตแลนด์รู้สึกจะไกลไป เช้ามาใกล้ๆหน่อย เปลี่ยนบรรยากาศมาแถวๆอินโดจีนดีกว่า



เห็นว่าคนไทยสมัยนี้ไม่ค่อยจะชอบอเมริกาซักเท่าไหร่นัก ก็เลยย้อนความจำกลับไป เมื่อปี ค.ศ. 1973

วันที่ 13 สิงหาคม 1973 เป็นวันที่ทหารอเมริกาชุดสุดท้ายถูกถอนออกจากเวียดนามใต้ครับ ก่อนที่

ชาวอเมริกันคนสุดท้ายจะหนีหัวซุกหัวซุนออกจากเวียดนาม เมื่อไซ่ง่อนแตกในอีกสองปีต่อมา

ใครจะคิดว่าอเมริกานักเลงโต จะเมาหมัดจนโซซัดโซเซ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน

ใครสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ของสงครามเวียดนามเชิญชมเว็ปไซด์นี้ครับ

http://www.pbs.org/wgbh/amex/vietnam/index.html





วกกลับเข้ามาใกล้ไทยหน่อย สมัยนั้นทหารอเมริกันเต็มไปหมดทั้งพัทยา อุดร และอื่นๆ

คอลัมน์ของคุณ วานิช จรุงกิจอนันต์ ในมติชนสุดสัปดาห์ก็พูดถึงเรื่องเมียเช่าที่เป็นปัญหาสังคมสมัยนั้น

มีเมียเช่าหลายคนกินยาตายเพราะฝรั่งที่เช่าเธอทิ้ง หนีกลับไปอเมริกา ถึงกับมีเพลง จดหมายจากเมียเช่า

ซึ่งเคยร้องกันกระหึ่มผับแถวพัทยา สมัยสงครามเวียดนามเมื่อก่อนผมเกิดโน้น

ผมเห็นว่าเพลงใช้ภาษาน่ารักดี เป็นภาษาอังกฤษบนไทยแบบไม่ค่อยถูกกฎนัก แต่สื่อสารได้

เลยลอกคุณวานิชมาเล่าสู่กันฟังอีกที เพลงเขาว่าอย่างงี้ครับ



"...ไอเขียนเล็ตเตอร์ถึงเธอเดียร์จอห์น เขียนบนแฟลตที่ยูเคยนอนจังหวัดอุดรประเทศไทยแลนด์

ไอโบร็กเก้นฮาร์ตยูมัสต์อันเดอร์สแตนด์ จอห์นจ๋าจอห์นดอลลาร์ขาดแคลนเมียเซ็กคั่นแฮนด์ของยูยังคอย



ยูทิ้งเมียเช่าหิ้วกระเป๋าโกโฮม ทิ้งรอยจูบที่เคยลูบโลมจนเชพไอโทรมเพราะยูเอ็นจอย

ฟอร์เก็ตมีวายจากไปสู่อิลลินอยส์ ไอเสียใจจนเป็นไทฟอยด์เอาไทเกอร์ออยล์มาทากันตาย



โศกเศร้ากว่าแซดมูฟวี่ โอจอห์นยูเม็กมีคราย ไอโลนลี่เสียจนผอมผ่าย อยากตายวายยูทิ้งมี



รอยน้ำตาหยดเปียกรดลงบนลายเซ็น หาซองใส่จ่าหน้าไม่เป็น โอ้เวรเอ๋ยเวรใครช่วยเขียนที

ฉีกทิ้งเล็ตเตอร์หันไปเจอดี.ดี.ที. กู็ดบายสวัสดียูมีตกับมีที่เมืองดินเอนด์ ..."



ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ จีไอยุคนั้นหรือเปล่าที่ทำให้ชื่อเสียงผู้หญิงไทยต้องหม่นหมองลงเรื่อยๆ

จากปัญหาเมียเช่า พัฒนาเป็นปัญหาโสเภณีข้ามชาติ ไม่รู้จะโทษใครดี โทษอเมริกา

โทษผู้หญิง หรือ รัฐบาล จะโทษใครก็แล้วแต่สงครามเวียดนามไม่ได้ทำร้ายแค่เวียดนามประเทศเดียวแน่ๆ

รูปแทรกอยู่ตรงกล่างนี่คุณจอใช้ อภิสิทธิ์ หรือครับ  :-)

นึกได้เลาๆว่าเพลงจดหมายฯ ข้างบนนี้ ผู้แต่งเนื้อที่เฉียบคม
คือศิลปินแห่งชาติ คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ เชียวนา...
ขอไปถามท่านที่เว็บท่านให้แน่ใจก่อน
ส่วนผู้ร้องคือ มานี มณีวรรณ มั้ง (นี่สิเก๋าจริง..อิ อิ)

ลืมไม่ได้นะวันเนี้ย

18 สิงหา ก็วันวิทยาศาสตร์ ไงครับผม

เป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษา คำนวณ และพยากรณ์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์ เมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411

1สิงหาคม พ.ศ.2367 เป็นวันราชาภิเษก ร.3
และวันที่ 1 สิงหาคมเช่นเดียวกัน
พ.ศ. 2447 เยอรมันประกาศสงครามกับรัสเซียซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1  สุดท้ายก็วันที่ 1 สิงหาอีกนั่นแหละ ปี ค.ศ.อะไรไม่แน่ใจค่ะ ฝรั่งเศษได้กำหนดหน่วยเมตริกขึ้นมาใช้  
   ข้อมูลจากรายการวิทยุเพื่อนเยาวชนค่ะ

กระทู้นี้สนุกจัง  หลากหลายเรื่องดี

วันที่ 2 สิหาคม ค.ศ.1939 เป็นวันที่ อัลเบิร์ต

ไอน์สไตล์ เขียน จดหมายหาประธานาธิบดีรุสเวล อ่านจดหมายได้ที่นี่ค่ะ http://www.dannen.com/ae-fdr.html  ใครอ่านแล้วเล่าใจความจดหมายให้ฟังบ้างนะคะแบบว่า อ่านไม่ออกอะ

1 สิงหาคม วันชาติสวิสครับ
ดอกไม้ไฟสวยดีครับ

คุณพี่นิลครับ ทำไมสวิสถึงนับเอาวันที่ 1 เป็นวันชาติครับ พอจะทราบข้อมูลหรือไม่ครับ
ผมว่าสวิสนี่แปลกๆ น่าสนใจนะครับ กษัตริย์ก็ไม่มี แถมเวลาสงครามโลก
ยังวางตัวเป็นกลางได้อีกต่างหาก เห็นยุโรปรบกับดุเดือดเลือดพล่าน
ทำไม่สวิสบอกว่า ฉันเป็นกลาง ได้เฉยๆ หรือว่ามีเบื้องลึกแอบแฝงครับกระผม?

สวิสเป็นประเทศที่ค่อนข้างเป็นกลางจริง ๆ ไม่เคยเข้าร่วมสงครามกับใคร เป็นเพราะธนาคารโลกอยู่ที่ประเทศนี้หรือเปล่า แล้วเรื่องการธนาคาร อย่าง ธนาคารสวิสนี่เค้าก็ว่ารักษาความลับสุดยอดเลย

Once upon a time, about the same time as the reign of King Ramkhamhaeng, (the exact date was 1 August, 1291, or 710 years ago) three men from the communities of Uri, Schwys and Nidwalden decided to join their communities together in a confederation. From this origin, the Swiss Confederation was born; and Uri, Schwys and Nidwalden became the first three cantons of the Confederation. The present name of the country itself came from the name of the Canton of Schwys. There are now 23 cantons in Switzerland.



So you can see that the Swiss people chose not to have a monarchy, and opted for a confederation instead, since the first days of their national history. Before the Confederation was born, these communities was under the rule of the Austrian Empire - under the House of Hapsburg, and even after 1291 the Swiss had to continue to fight the Austrians for their independence. The most famous Swiss legend known the world over is also about this fight against Austrian domination. That's the story of William Tell, the greatest Swiss crossbow marksman. Probably you know the story. Tell didnot bow to the Austrian governor's hat hung in the market, and as a punishment was forced by the evil Austrian governor to shoot an apple on the head ofhis own son. His arrow didnot miss, but he had prepared the second arrow for the evil governor. If he should have missed the apple and killed his son, he would have killed the evil governor with the second arrow.



I believe the Swiss neutrality is called in the textbooks as "armed neutrality". The Swiss are brave, fierce people and good soldiers. They even used to earn their living abroad by being merceneries (taharn rab jang), long time ago. Even now there is still one place which hires Swiss soldiers - the Vatican City. For many hundreds years now the Swiss have served the Popes as papal guards. Therefore, when the Swiss declared their neutrality, European powers didnot want to mess with this little but fierce confederacy. To be neutral does not mean you have to be weak - - and the Swiss, until today, always keep their level of military preparedness high.



The Swiss are very famous for their banks, but the World Bank, created after WW II, is in the USA. Its headquarters (and also IMF's headquarters) is in Washington, DC.

ฟังดูแล้วไม่ทราบเหมือนกันว่า ระหว่าง William Tell กับ โรบิน ฮู็ต นี่ใครจะแม่นกว่ากัน เหอๆๆ

วงกลับเข้าเรื่องไทยๆ โดยบังเอิญ ผมลองหาเรื่องของ William Tell ในอินเทอร์เนต

แต่ดันเจอห้องอาหารสวิสชื่อ William Tell Swiss Restaurant อยู่สุขุมวิทซอย 20 นี่เอง

http://www.william-tell.com/  เพื่อใครยากลองอาหารสวิส (แต่คงต้องเตรียมสตางค์ไปหลายถุงอยู่ อิอิ)

รู้สึกว่าสุขุมวิท 20 จะเป็นซอยโรงแรมวินเซอร์ บังเอิญจริงๆ เพราะชื่อวินเซอร์ทำให้นึกถึงพระราชวังวินเซอร์

ซึ่งเกี่ยวข้องกับ William เหมือนกันไม่ใช่ William Tell แต่เป็นพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 หรือ วิลเลี่ยมเดอะคองเคอะ

กษัตรษ์คนแรกของอังกฤษ ผู้สร้างวังวินเซอร์  .... นอกเรื่องอีกแล้วครับ แหะๆๆ ขออภัย

อ้อ... ไหนๆพูดถึงอังกฤษแล้วก็ต่อสักหน่อย
วันนี้เป็นวันเกิดของ Queen Mum พระมารดาของควีนอลิซาเบตที่สอง
มีอายุครบรอบ 101 ขวบครับผม

มาอ่านเรื่อง William Tell จ้า...
เคยแวะพักกินน้ำชากาแฟย่านภูเขาแห่งหนึ่งในสวิส
ผู้ที่ไปด้วยอธิบายว่า นี่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของวีรบุรุษคนนี้
และอธิบายว่า ภาษาท้องถิ่นอ่านชื่อนี้เป็น
"วิลเฮล์ม" นามสกุลจำไม่ได้ว่าอ่านอย่างไร

อังกฤษนอกจากมีโรบิน ฮู้ด ก็มีไอแวนโฮ และอัศวินโต๊ะกลมด้วยมิใช่หรือ
...ออกนอกเรื่องไปอีกคน..อิ อิ

อ้อ..มีคนวิจารณ์เป็นชาวยุโรป ถึงเรื่องการอยู่รอดของสวิสในสงครามด้วย
ว่าอย่างไรขอไม่บอกดีกว่า..อิ อิ  ก็คงรู้ๆกัน

คุณซินยอริตะ กรุณาช่วยบอกเว็ปไซต์ของคุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ ให้ผมด้วยนะครับ
เพื่อว่าจะได้เข้าไปเยี่ยมชมบ้างนะครับ

คุณอาจินต์ฯ มีเว็บและบอร์ดอยู่สองแห่ง เดิมอยู่ในเว็บ ปราย พันแสง แล้วสร้างใหม่อีกหนึ่ง



http://www.r-jin.com/

http://www.bookcyber.com/cgi-bin5/webboard.pl

In German, William Tell is called Wilhelm Tell. In French, the same name is called Guillaume Tell. There are four official languagues in Switzerland, German, French, Italian, and Romansch (a kind of moutain tribal language).

The original name of Mr. (or Herr) Tell is probably Wilhelm in German, since the legend came from the German-speaking part of Switzerland.

ขอบคุณครับคุณ ซินยอริตะฯ

ไอแวนโฮนี่จำไม่ได้ครับ รอคุณป้าเอ้ยคุณพี่นวลมาเล่าดีกว่า

ผมรู้จักแต่อัศวินโต๊ะกลมของกษัตรย์อาเธอร์ ราชาในตำนานพื้นบ้านของอังกฤษ

( อืมไม่แน่ใจว่าของอังกฤษหรือสก็อตแน่ เพราะที่เมืองหลวงของสก็อตคือเอดินเบอร์ก

มีเนินเขาอยู่ในเมืองชื่อว่า Arthurs seat แต่จำไม่ได้ว่าเกี่ยวอะไรกับอาเธอร์ )



กลับมาเรื่องเดินสิงหาคมดีกว่า

วันที่ 13 สิงหาคม ปีค.ศ. 1927 เป็นวันเกิดของ ผู้นำคิวบา Fidel Castro ครับ

ข้างล่างเป็นรูปคาสโตรกับคู่หู เซ กูวารา ยืนทางซ้ายของรูป ส่วนคนทางขวา

จำชื่อบ่ได้ครับ



รู้สึกว่าวันที่ 13 สิงหาคม ไม่ค่อยจะถูกกับอเมริกาเท่าไรนัก หึๆๆ

7 สิงหาคม  วันรพี (กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์) พระบิดาแห่งกฏหมายไทย
 10 สิงหาคม  วันกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
 12 สิงหาคม   วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และวันแม่แห่งชาติ
 16 สิงหาคม  วันสันติภาพของไทย
 18 สิงหาคม  วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

วันที่ 15 สิงหาคม เป็นวันครบรอบ 56 ปีที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้แก่สัมพันธมิตร
ในสงครามโลกครั้งที่สองครับ หลังจากที่ถูกถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์
เมื่อวันที่ 6 และวันที่ 9 สิงหาคม พศ 2488

เห็นมีข่าวว่าผู้นำญี่ปุ่นคนปัจจุบันคือ นายกรัฐมนตรี จูนิชิโร โคอิซูมิ
ได้เดินทางไปเยือนอนุสรณ์สถานยาสุคูนิในกรุงโตเกียว เพื่อคารวะดวงวิญญาณของทหารญี่ปุ่น
ซึ่งทำความไม่พอใจให้แก่จีน และ เกาหลีใต้อย่างมาก
อนุสรณ์สถานดังกล่าวนอกจากจะเป็นที่บรรจุอัฐิบางส่วนของทหารญี่ปุ่นแล้ว
ยังเป็นที่เก็บอัฐิของอดีตนายกรัฐมนตรี ฮิเดกิ โตโจ ผู้นำญีปุ่นเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่2
และบรรดาผู้นำญี่ปุ่นในสมัยนั้นอีกหลายคน ซึ่งทั้งหมดถูกตัดสินให้เป็นอาชญากรสงคราม

เห็นข่าวแว็ปๆว่าที่เกาหลีมีการประท้วงหนักถึงขั้นตัดนิ้วประท้วงเลยทีเดียว
ตัวนาย โคอิซูมิ เองก็คงยังไม่กล้าเสียงนักถึงได้เลื่อนการเยือนจากวันที่ 15
มาเป็นวันที่ 13 แทน แต่ก็ยังโดนประนามจากจีนและเกาหลีอยู่ดี
ข่าวว่าเกือบมีการปลดรัฐมนตรีต่างประเทศ นาง มาคิโกะ ทานากะ เพราะ
นางไปขัดแย้งไม่เห็นด้วยกับนายกญี่ปุ่นเรื่องการไปเยือนสุสาร
รู้สึกว่าหลายชาติในเอเชีย โดยเฉพาะที่เคยถูกญี่ปุ่นทำทารุณกรรมสมัยสงคราม
จะไม่ค่อยนิยมนายกญี่ปุ่นคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะกลัวแกจะฟื้นฟูลัทธิทหารอีกครั้งหนึ่ง

วันที่31สิงหาคม 2540เป็นวันสิ้นพระชนของเจ้าหญิงDIANA เนื่องจากประาบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่อุโมงค์ข้ามแม่น้ำเชนที่ประเทศฝรั่งเศส

17สิหาคมเป็นวันชาติอินโดนีเซีย