เมื่อคึกฤทธิ์ไปเยือนกัมพูชาในปลาย ค.ศ.1952 ต่อต้น ค.ศ.1953 และเขียนถึงการเดินทางครั้งนั้นไว้ในหนังสือชื่อ ถกเขมร พิมพ์ครั้งแรกในเดือนธันวาคม 1953 นั้น คึกฤทธิ์และคณะไปเยือนเสียมราฐก่อน แวะเที่ยวที่นั่นอยู่หลายเพลาจากนั้นจึงเดินทางต่อมายังกรุงพนมเปญ พำนักที่นั่นเพียงชั่วไม่นานวันแล้วก็กลับเมืองไทย ถ้าใช้คำคึกฤทธิ์เองก็ต้องว่า "ผมอยู่พนมเป็ญไม่นานพอที่จะสังเกตการณ์ได้กว้างขวาง สิ่งที่ได้พบเห็นจึงนับว่าฉาบฉวย" (คึกฤทธิ์ 2506, 220)
เมื่ออยู่ ณ กรุงพนมเปญนั้น คึกฤทธิ์และพวกเข้าไปเที่ยวในพระบรมราชวัง
ในวังนั้นเราได้ยินเสียงใครซ้อมปี่พาทย์ และเราได้เห็นโรงละครขนาดใหญ่อยู่โรงหนึ่ง จึ่งทราบว่าในพระราชวังเมืองเขมรนั้น ยังมีละครในเป็นของออกหน้าออกตาอยู่ ละครในเมืองเขมรนั้นยังรักษาแบบแผนประเพณีและศิลปะละครรำอย่างของไทยไว้ ความจริงละครรำในเมืองเขมรนี้ ราชสำนักเขมรได้นำออกไปจากกรุงเทพฯ บทที่เล่นยังเป็นเรื่องอิเหนา อุณรุธ สุวรรณหงส์ ไกรทอง และสังข์ทอง และอื่นๆ ทำนองนั้น (คึกฤทธิ์ 2506, 209-210)
ที่นี้ลองมาค้นดูใน โครงกระดูกในตู้ อีกครั้ง ในนั้นคึกฤทธิ์เล่าว่าเคยได้ดูละครนอกเมืองเขมร
เช่นเรื่องไกรทอง ผู้เขียนเองก็เคยได้ดู พอได้ยินเสียงคนบอกบท เริ่มต้นว่า "กาลเนาะ โชมเจ้าไกรทองพงซา" ก็ต้องเบือนหน้าไปยิ้มกับฝาข้างโรง เพราะช่างแปล "เมื่อนั้น โฉมเจ้าไกรทองพงศา" ได้ดีแท้ (คึกฤทธิ์ 2514, 80. การเน้นเป็นของผม, tb)
ปัญหาคือ คึกฤทธิ์ไม่ได้เล่าว่าเคยดูละครเรื่องไกรทองดังว่านั้นที่ไหน เมื่อไร
ข้อที่ว่าที่ไหนนั้น เป็นได้มากว่าคือที่กัมพูชา ให้แคบไปกว่านั้นคือที่กรุงพนมเปญ อาศัยเหตุดังนั้น คึกฤทธิ์จะได้ดูก็เมื่อก็ต้องเมื่อไปกัมพูชา
ณ เวลานี้ เท่าที่ผมทราบ คึกฤทธิ์ไปกัมพูชาครั้งแรก, และอาจจะเป็นครั้งเดียว, ในปลาย ค.ศ.1952 ต่อต้น ค.ศ.1953 และเขียนเรื่องการเดินทางครั้งนั้นไว้ใน ถกเขมร ดังที่กล่าวถึงข้างต้น หากแต่ใน ถกเขมร นั้นไม่มีความตอนใดเลยที่กล่าวถึงการชมละคร มีก็แต่ได้ยินและได้เห็นการซ้อมปี่พาทย์ดังความที่ยกมาข้างต้น และความที่ว่า
ผมสนใจเรื่องนี้ [ละครรำ - tb] สักหน่อยก็ไปหาโปรแกรมเก่าๆ ที่เล่นรับแขกเมืองมาดู ปรากกว่าเรื่องอิเหนาและสุวรรณหงส์นั้นยังต้องเล่นเป็นภาษาไทย เพราะตั้งแต่พระเจ้าศรีสวัสดิ์สวรรคตไปแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะแปลงบทละครรำของไทยออกเป็นภาษาเขมรได้อีกต่อไป (คึกฤทธิ์ 2506, 210) [Note 2.2]
นั่นคือคึกฤทธิ์ไม่ได้เล่าว่าได้ดูละครรำ
ถ้าที่ผมเดาไว้ข้างต้น, คึกฤทธิ์ต้องได้ดูละครรำเขมรที่กัมพูชาและคึกฤทธิ์ไปกัมพูชาครั้งแรกและครั้งเดียวในปลายปี 1952 ต่อต้นปี 1953, ไม่ผิดไปจากที่เป็นจริง ก็เป็นได้มากว่าคึกฤทธิ์ไม่เคยดูละครรำเขมร
ความที่เดาข้างต้นนี้มีความเสี่ยงในหลายประการ ข้อสำคัญคือไม่จำเป็นเสมอไปที่ผู้เขียนจะเขียนทุกเรื่องที่เขาเห็น ผมสงสัยว่าคึกฤทธิ์ใน ถกเขมร ก็เป็นเช่นนั้น เช่น เราเห็นภาพการ์ตูนประกอบเขียนเรื่องละครบาซะ โดย ประยูร จรรยาวงษ์ ซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยกับคึกฤทธิ์
คึกฤทธิ์ไม่ได้เล่าเรื่องละครบาซะไว้ใน ถกเขมร แต่ผมค่อนไปทางเชื่อมากว่า คึกฤทธิ์ก็ได้ดูละครบาซะด้วย
กระนั้นก็ดี ผมก็ยังอยากจะเดาอยู่ว่า คึกฤทธิ์ไม่ได้ดูจึงไม่เล่าถึงละครรำไว้ใน ถกเขมร เพราะขนาดถึงว่าขวนขวายไปหา "โปรแกรมเก่าๆ ที่เล่นรับแขกเมืองมาดู" และยังเล่าเรื่องย่อไกรทองสำนวนเขมรไว้ด้วย (คึกฤทธิ์ 2506, 212, 215) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก หากคึกฤทธิ์ได้ดูละครรำมาจริงแล้วน่าที่จะต้องเขียนถึง
พักเรื่อง โครงกระดูกในตู้ ไว้ชั่วครู่แล้วตัดฉากไปที่ นิราสนครวัด
นิราสนครวัด เป็นงานเขียนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เวลาเมื่อยังเป็นที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระฯ ว่าด้วยการเยือนกัมพูชาและโคชินจีนเมื่อปลาย ค.ศ.1924 จับความตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ไปจนกระทั่งและกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม นิราสนครวัด พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1925
ในบ่ายวันที่ 3 ธันวาคม 1924 กรมพระดำรงฯ ไปดูภูมิสถานและของโบราณที่เมืองอุดงค์ ที่นั่น ราชการอาณานิคมฝรั่งเศสได้จัดมโหรี ปี่พาทย์ ลิเก และละคร ไว้รับรองด้วย กล่าวเฉพาะละครนั้น กรมพระดำรงฯ เล่าไว้ว่า
ละครนั้นก็น่าดู ว่าไปหามาจากเกาะแห่งหนึ่งในลำน้ำโขง มีผู้หญิงตัวละคอนสัก 10 คน กับปี่พาทย์เครื่องคู่สำรับหนึ่ง ละคอนแต่งตัวอย่างบ้านนอก แต่แต่งตามแบบละคอนหลวงกรุงกัมพูชา กระบวรเล่นเห็นรำแต่เพลงช้ากับเพลงเร็ว และมีรำเพลงจีนรำพัดได้ เห็นมีหนังสือบทมาวางไว้ ขอเขามาเปิดอ่านดูเปนหนังสือขอม ขึ้นต้นว่า “กาลเนาะ โฉมเจ้าไกรทองพงศา” ก็รู้ได้ว่าเอาบทละคอนไทยไปแปลงนั้นเอง นึกอยากจะให้เล่นให้ดูก็จวนค่ำเสียแล้ว (ดำรงราชานุภาพ 2468, 120. การเน้นเป็นของผม, tb)
น่าแปลกที่เมื่อคึกฤทธิ์เขียนในอีก 40 กว่าปีให้หลังว่าได้ดูละครเขมรก็เป็นต้องจำเพาะว่าได้ดูเรื่องไกรทอง และก็อ้างอิงบทละครวรรคเดียวกันกับที่กรมพระดำรงฯ เล่าไว้ คือวรรคที่ว่า “กาลเนาะ โฉมเจ้าไกรทองพงศา” เป็นแต่คึกฤทธิ์เขียนยักเยื้องให้ออกสำเนียงภาษาเขมรเป็นว่า "กาลเนาะ โชมเจ้าไกรทองพงซา" เท่านั้น
เราจะอธิบายความเหมือนกันอย่างประหลาดนี้อย่างไร ?
ผมเสนอว่ามีคำอธิบายอย่างน้อยสองแบบ
แบบแรก คึกฤทธิ์ไม่เคยดูไกรทองละครเขมร แต่หยิบเอาเรื่องไกรทองเขมร และบทละครไกรทองใน นิราสนครวัด มาดัดให้เป็นของตัว ควรกล่าวด้วยว่ามีผู้อธิบายว่าขนบอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในแวดวงปัญญาชนสยาม คนที่มีปัญญาทันกันก็จะรู้ว่าความข้อนั้นนี้มาจากแหล่งใด (อ้างคำอธิบายของ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ จากความทรงจำของผม, tb) การอ้างอิงตามหลักการทางวิชาการเป็นของฝรั่งที่มาทีหลัง
คุณ Thibodi ลงความเห็นว่าม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไม่เคยดูละครไกรทองเขมร แต่หยิบเอาเรื่องไกรทองเขมร และบทละครไกรทองใน นิราสนครวัด มาดัดให้เป็นของตัว โดยอ้างคำอธิบายของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งเคยลงความเห็นไว้ ในฐานะ "คนมีปัญญาทันกัน"
ถ้าดิฉันเป็นบก.ตรวจบทความของคุณ ดิฉันจะตั้งประเด็นถามว่า
1 ในเมื่อคุณก็ยอมรับว่า"ไม่จำเป็นเสมอไปที่ผู้เขียนจะเขียนทุกเรื่องที่เขาเห็น" ก็เท่ากับคุณยอมรับเป็นไปได้ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์
เคย ดูละครไกรทองเขมร แต่ไม่ได้เล่าลงในหนังสือ "ถกเขมร" ตัวอย่างนั้นคุณก็ยกมาเอง คือละครบาซะ ที่เป็นภาพประกอบในเรื่อง ฝีมือคุณประยูร จรรยาวงษ์ แต่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไม่เอ่ยถึงสักคำ ทั้งๆท่านไปเที่ยวเขมรกับคุณประยูร ย่อมได้ไปดูเช่นกัน
2 ข้อ 1 ก็น่าจะพอแล้วที่จะหักล้างประเด็นในข้อต่อๆมาที่คุณยอมรับว่าคุณเดาเอาเอง ว่าม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไปลอกเรื่องไกรทองมาจากนิราศนครวัด เพราะท่านยกตัวอย่างกลอนบทเดียวกับที่สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงลงไว้ใน "นิราศนครวัด"
3 คุณไม่ได้สืบค้นว่า ละครเขมร "ไกรทอง" เคยมาแสดงที่ประเทศไทยบ้างหรือไม่ ก่อนค.ศ. 1971 อันเป็นเหตุให้ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มีโอกาสได้ดูการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเขมรกับไทย ถ้าคุณยืนยันด้วยหลักฐานทางการเมืองได้ว่าละครเขมรไม่เคยมาแสดงในกรุงเทพ ไม่ว่าโอกาสใดๆทั้งสิ้น ข้อสันนิษฐานของคุณก็มีน้ำหนัก
แต่ถ้าคุณไม่มีหลักฐานเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าละครเขมรเคยมาแสดงให้กรมศิลปากร หรือที่ไหนก็ตามในกรุงเทพดู น้ำหนักเหตุผลของคุณก็อ่อน
4 คุณไม่ได้คิดเผื่อว่า คนอ่านหนังสือสำคัญๆมามากอย่างม.ร.ว.คึกฤทธิ์ย่อมเคยอ่านพระนิพนธ์นิราศนครวัดมาก่อน จำพระนิพนธ์ตอนนี้ได้ เมื่อท่านได้ดูละครเขมรเรื่องไกรทอง(จะที่ไหนก็ตาม) ความจำข้อนี้ก็คืนกลับมา ท่านก็ถึง "บางอ๋อ" ว่ามันเป็นยังงี้เอง เหมือนในพระนิพนธ์เปี๊ยบเลย ท่านจึงเท้าความเอาไว้ใน "ถกเขมร"
5 คุณสรุปว่า เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าถึงละครไกรทองเขมร โดยยกตัวอย่างกลอนบทหนึ่งในนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ยกบทนั้นขึ้นมาเหมือนกัน อย่างนี้ ย่อมแสดงว่าม.ร.ว.คึกฤทธิ์ไป "ฉก" ตอนนี้มาจากสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ โดยตัวท่านเองไม่เคยดูไม่เคยเห็นเรื่องไกรทองเขมร แต่มาคุยโม้เหมือนกับว่าเคยดูมาแล้ว
คำถามคือ การดูละครไกรทองเขมร มันสลักสำคัญเพิ่มความน่าเชื่อถือ เสียจนต้องลงทุนแอบอ้างเชียวหรือ? ถ้ามันสำคัญเสียจนทำแล้วเพิ่มดีกรีให้ตัวท่านเองได้มากมาย ก็พอจะฟังขึ้น แต่ถ้าเป็นประโยคเดียวในหนังสือทั้งเล่ม โดยไม่ได้มีผลอะไรกับประเด็นของหนังสือ ดิฉันก็ยังเห็นว่าคุณต้องหาหลักฐานมามากกว่านี้ จึงจะน่าเชื่อถือถึงแรงจูงใจของท่าน
6 ถ้าหากว่าประเด็นละครไกรทองเขมร คือ "โครงกระดูกในตู้" อีกโครงหนึ่งของม.ร.ว.คึกฤทธิ์อย่างที่คุณเกริ่นไว้ ดิฉันยังไม่เห็นแม้แต่กระดูกหนึ่งชิ้นค่ะ