ในนิราศหนองคาย มีอาวุธของไทยและอาวุธต่างประเทศ เข้ามาใช้ในราชการ อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งยกตัวอย่าง
สันนิษฐานว่า เริ่มมีใช้ในกองทัพบกไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยพระราเมศวร (พ.ศ. 1931 - พ.ศ. 1938) คราวยกทัพไปล้อมนครเชียงใหม่ ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่า “ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยิงปืนใหญ่ออกมา กำแพงพังกว้าง 5 วา” คำอธิบายของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวว่า “สมเด็จพระราเมศวรตีเมืองเชียงใหม่ครั้งนี้ ปรากฏว่า ใช้ปืนใหญ่ยิงกำแพงเมืองเชียงใหม่ ข้าพเจ้าสอบหนังสือเอนไซโคลบิเดีย บริตนิคะ ได้ความว่า “ปืนใหญ่พึ่งมีใช้ในยุโรป เมื่อ ค.ศ.1375 ตรงกับปีเถาะ จ.ศ.737 (พ.ศ.1918) ก่อนตีเมืองเชียงใหม่คราวนี้ 9 ปี” เรื่องนี้พอที่จะอวดเกียรติภูมิของไทยว่า เรามีฝีมือสร้างปืนใหญ่ได้รุ่นราวคราวเดียวกับฝรั่งแสดงให้เห็นประจักร ซึ่งวัฒนธรรมทางอาวุธของไทยเราอย่างยอดเยี่ยม ปืนใหญ่ของกองทัพบกไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกตามชนิดและขนาดของมัน เช่น ปืนบะเหรี่ยม ปืนจ่ารงค์ ปืนมนทก ปืนนกกลับ ปืนจินดา ปืนหามแล่น และปืนตระแบงแก้ว ปืนเหล่านี้เป็นปืนใหญ่วิถีกระสุนตรงคล้ายปืนใหญ่ทหารราบสมัยใหม่ กระสุนทำด้วยโลหะบ้างและไม้บ้าง เป็นลูกกลมขนาดต่าง ๆ เวลายิงยัดดินดำเข้าไปทางปากกระบอกก่อน แล้วยัดหมอนและบรรจุกระสุนตามเข้าไป ใช้ไม้กระทุ้งให้แน่นสนิท เมื่อเล็งวิถีกระสุนแล้วก็จุดชนวน ยิงไปยังจุดหมาย แม้ว่าอำนาจปืนในสมัยนี้ไม่สู้จะร้ายแรงนัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังสำแดงพิษสงน่าสะพึงกลัว การรบชั้นประจันบาน ปืนใหญ่คงใช้ยิงไม่ได้เพราะไม่อาจบรรจุกระสุนดินดำได้ทันท่วงที การยิงแต่ละนัดต้องเลือกยิงให้เหมาะและเล็งว่าจะต้องถูกจุดหมายจริง ๆ ปืนใหญ่ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมีรูปร่างและลักษณะดังนี้ คือ
ปืนบะเหรียม หรือบะเรียม เป็นปืนใหญ่ทหารราบ ท้ายปืนมีรูปมน ปากกระบอก เรียวและแคบปืนจ่ารงค์ เป็นปืนใหญ่ทหารราบ ใช้ลาก
ปืนมนทก เป็นปืนใหญ่ทหารราบ ใช้ลาก
ปืนนกลับ เป็นปืนใหญ่ทหารราบ มีขาหยั่ง 2 ขา คล้ายขานกกระยาง บางแห่งจึงเรียกว่า ปืนขานกกระยางปืนจินดา เป็นปืนทหารราบ ปัจจุบันนี้ใช้เป็นปืนยิงในพิธีตรุษ
ที่มา
http://www.navy.mi.th/navalmuseum/002_history/html/his_od_gun_thai.htm ภาพปืนขานกกระยาง