คำถามข้อที่ ๕๗.
ยกวรรณคดีไทยมา ๒ เรื่อง
ที่ผู้แต่งนำเนื้อเรื่องตอนใดตอนหนึ่ง
หรือเหตุการณ์ตอนใดตอนหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์
มาแต่งเป็นวรรณคดีที่ไม่ใช่วรรณคดีที่ใช้ในการแสดงมหรสพ
พร้อมอธิบายลักษณะวรรณคดีที่ยกมาด้วย
(ผู้แต่ง สมัยที่แต่ง ลักษณะคำประพันธ์ เนื้อเรื่อง)
ข้อนี้ ๑๐ คะแนน ตอบหน้าไมค์ โพสต์ได้ตั้งแต่บ่ายสองโมงยี่สิบสี่นาที
ตอบวรรณคดีซ้ำเรื่องกัน หักคะแนนคนตอบทีหลัง เรื่องละ ๒ คะแนน
ตอบ
ไปค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม
๑. รามเกียรติ์สำนวนท้องถิ่นอีสานที่จะนำมาศึกษาครั้งนี้มี 2 สำนวนด้วยกันคือสำนวนพระลักพระลาม และสำนวนพระรามชาดก
พระลักพระลาม
หนังสือเรื่องพระลักพระลามนี้มี 2 สำนวน สำนวนหนึ่งเป็นหนังสือผูกจารลงในใบลานด้วยตัวอักษรไทยน้อยในลักษณะร้อยกรองโดยคำโคลงเป็นฉบับย่อ สำนวนที่สองเป็นหนังสือมัดมี 2 มัด มัดต้นมี 21 ผูก มัดปลายมี 7 ผูก จารลงในใบลานด้วยตัวอักษรธรรมในลักษณะร้อยแก้วซึ่งคล้ายกับอักษรไทยใหญ่สมัยโบราณ
พระอริยานุวัตร เขมจารี ได้กล่าวว่าเรื่องพระลักพระลามของอีสานที่ท่านชำระ และมูลนิธิ
เสฐียรโกเศศ – นาคะประทีปจัดพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2518 เป็นเรื่องราวโดยย่อมาก มีความยาวเพียง
133 หน้าพิมพ์ เนื้อเรื่องขาดเหตุการณ์สำคัญไปหลายเหตุการณ์ โดยเฉพาะชื่อตัวละครต่างกันจน
เกือบจะเป็นคนละคนทีเดียว
เรื่องพระลักพระลามเป็นเรื่องที่นิยมแพร่หลายมาก ดังความว่า
เรื่อง “พระลักพระนารายณ์ชาดก” ซึ่งไทยโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึง
นิยมนัก ซากเมืองเก่าโบราณ เช่น ฟ้าแดดสูงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น มีใบเสมาใบ
ใหญ่ ๆ นับเป็นร้อย และแกะรูปภาพสลักลงในใบเสมา เป็นรูปภาพเรื่องพระลัก
พระรามยณ์ปฐมสมโพธิทศชาติ แม้ที่เขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ก็มีรูปพระลัก
พระรามยณ์ แกะรูปหนุมานเป็นร้อย ๆ ดังนี้เห็นว่ารามายณะเป็นของเก่าแก่นิยม ซึ่งคาด
คะเนไม่ได้ว่าศตวรรษที่เท่าใด แม้ภาพหน้าปกก็ใช้ภาพหนุมานไปบอกนางสีดาว่า
พระรามจะเข้าตีเมืองลงกา ตามที่พระรามว่า
ผู้แต่ง
เรื่องพระลักพระลามของอีสานไม่ปรากฏในตอนท้ายเรื่องว่าใครเป็นผู้แต่ง
พระอริยานุวัตร เขมจารีกล่าวไว้ว่า
โครงเรื่องใหญ่เรื่องพระลักพระลาม น่าจะมีที่มาจากรามายณะของวาลมีกิเป็นหลักดัง
พระอริยานุวัตรเขมจารี สันนิษฐานว่า เนื่องจากว่าโครงเรื่องใหญ่ของเรื่องรามายณะ และเรื่อง
พระลักพระลามเหมือนกันคือ เป็นเรื่องของการพลัดพรากของตัวเอกฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เนื่อง
จากว่าฝ่ายหญิงถูกลักพาตัว ตัวเอกฝ่ายชายได้ออกติดตามและได้ผู้ช่วยเหลือร่วมมือกันทำสงคราม
กับฝ่ายอธรรมเป็นเวลานานจนได้รับชัยชนะ และสามารถช่วยตัวเอกฝ่ายหญิงกลับคืนมาได้
+++++++++++++
รามเกียรติ์ฉบับล้านนาไทย มี ๔ สำนวน จะยกตัวอย่างเรื่อง หอรมาน
ลักษณะคำประพันธ์
แต่งเป็นร้อยแก้ว มีคาถาภาษาบาลีแทรกเป็นระยะ ๆ แต่งตามแบบนิทาน
คล้ายในมหาชาติ ตัวอย่างเช่น
นโม ตสฺสตฺถุ ฯ วนฺทิตฺวา สิรสา นมามิ ติรตฺนตฺยํ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆญจ ดังนี้ ดูรา
สับปุริสะทังหลาย อาจารย์เจ้าตนวิสัชชนา แต่งแปลงไว้ยังตำนานคร่าวปฐมกัปป์อันนี้
แล เมื่อปฐมกัปป์ตั้งหัวทีนั้นยังมีพรหมตนหนึ่งชื่อว่า ตปรไมสวร ลงมาเกิดเป็นคนก่อน
มีอายุได้อสงไขยปี ลูกตปรไมสวรมี ๓ ชาย ผู้ ๑ ชื่อว่า ธตรัฎฐ ผู้ ๑ ชื่อว่า วุรุฬหะ ผู้ ๑ มี
ชื่อว่า วิรูปักขะ เกิดมาในปีเดียวกันเท่าว่าต่างยามกันแล
เรื่องย่อ
ในปฐมกัปป์พรหมชื่อตปรไมสวรลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มีลูกชายต่างมารดากัน
3 คน คือ ธตรัฏฐะ วิรุฬหะ และ วิรูปักขะ เมื่ออายุได้ 16 ปี ตปรไมสวรได้ส่งไปครองเมืองคนละ
เมืองเพื่อป้องกันการแย่งราชสมบัติ
ธตรัฏฐะได้ครองเมืองพาราณสี มีลูก 3 คน คือ ภารี สุครีพ และนางกาสีราชธิดา
พระยาวิรุฬหะมีลูกชาย 3 คน คือ พระยาราพณาสวร พิเภก และอินทรชิต พระยา วิรูปักขะมีลูก
ชาย 2 คน คือ พระยา รามราช และพระลักขณะ
วันหนึ่งพระยาราพณาสวรได้เนรมิตเป็นพระอินทร์ไปสมสู่กับนางสุชาดา ภาย
หลังนางสุชาดาทราบว่าเสียรู้พระยาราพณาสวร จึงได้ขอพรจากพระอินทร์จุติมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อจะแก้แค้นพระยาราพณาสวร นางสุชาดาไปเกิดเป็นธิดาของพระยาราพณาสวร ปุโรหิต
ทำนายว่านางจะนำความพินาศมาให้บิดา พระยาราพณาสวรจึงนำนางไปลอยแพ มีพระฤๅษีตน
หนึ่งไปอาบน้ำ เห็นกุมารีอยู่ในแพที่บรรจุโกศทองจึงนำไปเลี้ยงให้ชื่อว่า สีตา ต่อมาเลื่อนเป็นสีดา
เมื่อนางสีดาเจริญวัยได้ 16 ปี นางมีรูปร่างงดงามมาก พรานที่ไปล่าเนื้อเห็นความ
งามของนางจึงนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่ราชาของตน และราชาอีกร้อยเอ็ดหัวเมืองต่างก็นำบรรณาการไปสู่
ขอนางสีดาเป็นมเหสี พระฤๅษีให้ขึ้นสายธนู แต่ไม่มีใครสามารถขึ้นสายธนูได้
พระยารามราชและพระลักขณะบุตรพระยาวิรูปักขะ ได้พากันไปศึกษาศิลปศาสตร์
ที่เมืองตักศิลา จนจบไตรเพทแล้วเดินทางกลับพระนคร ระหว่างทางได้เดินผ่านอาศรมของพระฤๅษี
ได้ยินเสียงผู้คน ช้างม้า ดังครึกโครมจึงเข้าไปดู พระยารามราชได้สบตากับนางสีดาเกิดมีใจปฏิพัทธ์
กับนางจึงขอขึ้นสายธนูด้วย ปรากฏว่าพระยารามราชสามารถยิงธนูได้และได้นางสีดามาครอง
พระยารามราชและคณะจึงลาพระฤๅษีกลับพระนคร
พระอินทร์ปรารถนาจะช่วยนางสุชาดาให้สมหวังในการแก้แค้นพระยา
ราพณาสวรจึงได้เนรมิตเป็นกวางทองขาเขยกเดินผ่านหน้ากษัตริย์ทั้งสาม นางสีดาอยากได้
กวางทอง พระยารามราชต้องตามกวางไป ส่วนพระลักขณะเห็นพระยารามราชหายไปนานจึงขอ
ออกตามหาพี่ชาย แล้วได้ฝากนางไว้กับแผ่นดิน เมื่อพระลักขณะพบพระยารามราช พระยารามราช
ไม่พอใจที่พระลักขณะฝากนางสีดาไว้กับแผ่นดิน แผ่นดินโกรธจึงวางนางสีดาลง พระยา
ราพณาสวรจึงสามารถลักนางไปได้
พระยารามราชและพระลักขณะ ออกติดตามนางสีดาจนเหนื่อย จึงหยุดพักใต้ต้น
ไม้ พระยารามราชและพระลักขณะไปพบกับสุครีพซึ่งนั่งร้องไห้อยู่ที่ริมลำธารแห่งหนึ่ง
สุครีพเล่าให้ทั้งสองฟังว่า ตนมีพี่ชายชื่อภารี ซึ่งได้น้องสาวที่ชื่อนางกาสีมาเป็นเมีย
ภารีได้ครองราชสมบัติเมืองพาราณสี วันหนึ่งควายทรพีไปอาละวาดทำร้ายผู้คน นางกาสีซึ่งขณะ
นั้นกำลังมีครรภ์แก่ได้อาสาไปปราบควาย นางถูกควายขวิดจนตาบอด เอวหัก นางได้คลอดลูกคา
ช่องคลอด คนทั้งหลายช่วยดึงลูกของนางออกมาให้ชื่อว่า องษ์คด และวรยศ ภารีให้นางนมเอากุมาร
ไปเลี้ยง ส่วนนางกาสีนั้นถูกละเลยตามยถากรรม นางกลิ้งเกลือกไปด้วยความเจ็บปวดจนไปนอนอยู่
ใต้ต้นมะเดื่อ กินลูกมะเดื่อที่หล่นลงมาเป็นอาหาร
กล่าวถึงพระยาธตรัฏฐะประกาศจะให้รางวัลแก่ผู้ที่สามารถปราบนันทยักษ์ซึ่งมี
นิ้วพิษสามารถชี้ใครให้ตายได้ นางคนธรรพ์อาสาปราบนันทยักษ์โดยการหลอกให้นันทยักษ์รำตาม
นาง ครั้นนางชี้นิ้วไปที่กระหม่อม นันทยักษ์ก็ชี้นิ้วตามจนถึงแก่ความตาย พระยาธตรัฏฐะขอให้นาง
ร่ายรำให้ดู ครั้นเห็นลีลาอันอ่อนช้อยของนางก็เกิดกำหนัดน้ำกามไหล นางคนธรรพ์เห็นดังนั้นจึง
เอาใบบอนมาช้อนน้ำกามไว้แล้วนำไปใส่ปากนางกาสี ต่อมานางกาสีก็ตั้งครรภ์ หลังจากนั้นนางก็
ให้กำเนิดบุตรชื่อหอรมาน
กล่าวถึงภารีและสุครีพได้ออกมาปราบควายบ้าง ภารีได้ตามควายเข้าไปในถ้ำ
ก่อนเข้าไปภารีได้สั่งให้สุครีพปิดปากถ้ำทันทีถ้าเลือดที่ไหลออกมาเป็นเลือดใสนั่นย่อมหมายความ
ว่าตนตายแล้ว ครั้นสุครีพเห็นเลือดใสไหลออกมาจากถ้ำเข้าใจว่าพี่ตายจึงกลับไปครองเมือง ครั้น
ภารีออกมาได้จึงตรงเข้าไปจะฆ่าสุครีพ เพราะคิดว่าสุครีพทรยศสุครีพจึงต้องหนีออกมานั่งร้องไห้
อยู่ที่นี่ สุครีพขอให้พระยารามราชจัดการกับภารี และถ้าตนได้ครองเมืองพาราณสีตนยินดีจะนำ
หลาน 3 คน มามอบให้ คือ องค์คด วรยศ และหอรมาน พระยารามราชและพระลักขณะพาสุครีพ
ไปยังเมืองพาราณสี พระยารามราชให้สุครีพไปท้าภารีและล่อให้เข้าไปในแดนของพระยารามราช
สุครีพออกต่อสู้กับภารีจนถึงแดนของพระยารามราช พระยารามราชยิงภารีจนถึงแก่ความตาย
สุครีพพาหลานทั้งสามมามอบให้พระยารามราช พระยารามราชให้หาผู้ทำหน้าที่
ไปสืบข่าวนางสีดา องษ์คดเสนอหอรมาน พระยารามราชถอดแหวนให้หอรมานนำไปให้นางสีดา
หอรมานนำแหวนที่พระยารามราชฝากไปให้แก่นาง หลังจากนั้นก็จุดไฟเผาลงกาจนวอดวาย
พระยารามราชให้ระดมพลสร้างสะพานข้ามมหาสมุทร หอรมานอาสาตอกเสา
และทำโครงสะพานจนสร้างสะพานเสร็จ พระยาราพณาสวรเรียกพิเภกมาทำนายชะตาเมือง พิเภก
บอกว่าชะตาเมืองและตัวของพระยาราพณาสวรไม่ดีมีแต่เสีย พระยาราพณาสวรโกรธจึงขับไล่พิเภก
ออกจากเมือง พิเภกไปพึ่งพระยารามราช
กล่าวถึงพระยาปัตตหลุ่มได้ไปลักเอาพระยารามราชไปขังไว้ในกรงเหล็ก
หอรมานช่วยพระยารามราชออกมาได้ พระลักขณะออกรบกับอินทรชิตจนถูกศรของอินทรชิตไป
ตรึงอยู่ที่เท้า ส่วนอินทรชิตถูกศรของพระลักขณะตาย หอรมานอาสาไปเอายามาให้ ต่อมาพระยา
รามราชออกรบกับพระยาราพณาสวร พระยารามราชทราบสาเหตุที่พระยาราพณาสวรไม่ตายจาก
พิเภกว่า เพราะเขามีเชื้อสายตปรไมสวร และธนูที่จะสังหารเขาได้คือ ธนูพลควาวชิระ หอรมาน
อาสาไปเอาธนูนั้นมา ในที่สุดพระยารามราชก็สามารถแผลงศรฆ่าพระยาราพณาสวรได้ แล้วอภิเษก
พิเภกเป็นเจ้าเมืองแทน
พระยารามราชยกพลกลับนคร มีการปูนบำเหน็จแม่ทัพและส่งพระยาทั้งหลาย
กลับ พระยารามราชครองเมืองอโยธยาด้วยความสุขสืบมา
วันหนึ่งขณะที่นางสีดามีครรภ์แก่ นางสนมขอร้องให้นางสีดาวาดรูปพระยารา
พณาสวรให้ดู พระยารามราชเห็นรูปนั้นก็โกรธจัดต่อว่านางสีดาต่าง ๆ นานา แล้วให้เพชฌฆาตนำ
ไปประหาร พระลักขณะอาสาประหารนาง แต่ด้วยความสงสารจึงปล่อยนางไป นางสีดาได้เดินทาง
ไปด้วยความทุกข์ทรมานจนไปถึงอาศรมของพระฤๅษี พระฤๅษีรับอุปการะนางไว้ ต่อมาไม่นาน
นางก็คลอดลูกชื่อว่าพระบุตร พระบุตรมีเพื่อนเล่นอีกคนหนึ่งซึ่งพระฤๅษีเสกขึ้นมาจากการวาดรูป
ชื่อพระเทียมคิง
วันหนึ่งทั้งสองได้ไปเที่ยวแดนอโยธยาแล้วเดินตามแม่ค้าขายแตงเข้าเมือง
หอรมานมีหน้าที่เก็บอากรตลาด เมื่อเข้าไปเก็บอากรแม่ค้าขายแตง พระบุตร พระเทียมคิงห้ามแม่ค้า
จ่ายอากรแก่หอรมาน หอรมานไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น พระยารามราชไประงับเหตุ ได้ติดตาม
กุมารทั้งสองไป ทั้งสองฝ่ายสู้รบกัน แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายกันได้ ในตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นพ่อ
ลูกกัน พระยารามราชจึงนำกุมารทั้งสองเข้าเมืองไป
พระยารามราชทราบข่าวนางสีดา จึงได้แต่งขบวนพยุหยาตราออกไปรับนาง เมื่อ
สิ้นอายุขัยนางสีดาก็ไปเกิดเป็นนางสุชาดาตามเดิม