เมื่อตอนปิดภาคฤดูร้อนที่ผ่านมาดิฉันได้มีโอกาสเรียนวิชา ศิลปะรัตนโกสินทร์ กับ
หม่อมราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ์ ท่านให้ทำงานเก็บสะสมคำศัพท์ค่ะ เลยได้ข้อมูลนี้มา
ท่านได้พูดถึงกระจกเกรียบที่นำมาใช้ในการประดับวัดด้วยว่า กระจกเกรียบนี้ได้สูญไปแล้วเพราะคนที่หุงเป็น คนสุดท้ายได้ตายไปแล้ว แต่ปัจจุบันนี้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งได้พยายามศึกษาค้นคว้าและหาวิธีที่จะหุงกระจกขึ้นมาใหม่ เพื่อคงไว้ซึ่งภูมิปัญญาที่ล้ำค่าค่ะ
ศิลปะ
น. ฝีมือ, ฝีมือทางการช่าง, การทำให้วิจิตรพิสดาร; การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์ด้วยสื่อต่าง ๆ อย่างเสียง เส้น สี ผิว รูปทรง เป็นต้น
(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒)
คำว่าศิลปะมีรากศัพท์มาจากคำว่า “ศิลป” ในภาษาสันสกฤต ซึ่งมีความหมายว่า กรรมอันบุคคลพึงศึกษา มีปรากฏในศิลาจารึกวัดศรีชุมด้วยภาษาสมัยสุโขทัยว่า “สีลป” ในอดีตมีความหมายเกี่ยวกับงานช่างหรืองานสร้าง งานบูรณปฏิสังขรณ์ แต่เมื่อเข้ามาถึงสมัยรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้มีการให้ความหมายของคำว่า ศิลปะ ศิลป์ ศิลปะ ว่าฝีมือ, ฝีมือทางการช่าง, การทำให้วิจิตรพิสดาร; การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึงวิจิตรศิลป์ ซึ่งตรงกับคำว่า Art ในภาษาอังกฤษ แตกต่างจากงานช่างศิลป์ไทยในอดีตซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า Craft ดังนั้น “ช่าง” จึงเป็นคำที่เรียกผู้ทำงานศิลปะมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งหมายถึงผู้ทำงานฝีมือ และมักจะเรียกตามประเภทของงาน เช่น ช่างเขียน ช่างปั้น ช่างทอง ฯลฯ
(สถาพร อรุณวิลาศ. เอกสารคำสอนวิชาอารยธรรมไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๔)
ช่างสิบหมู่
ช่างสิบหมู่ หมายถึงชื่อของกรมช่างสิบหมู่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่มีกำเนิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแต่มิได้เรียกว่า “ช่างสิบหมู่” ชื่อกรมนี้เริ่มเรียกกันมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยซึ่งปัจจุบัน คือ ส่วนช่างสิบหมู่ สถาบันศิลปกรรม กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ณ จังหวัดนครปฐม ช่างต่าง ๆ ในกรมช่างสิบหมู่ไม่ได้มี ๑๐ หมู่หรือ ๑๐ ช่าง ตามรูปคำ หากแต่ในสมัยแรกเริ่มมีการรวมช่างฝีมือไทยต่าง ๆ ไว้เพียง ๑๐ ตามกฎหมายตราสามดวง ได้แก่ ช่างเขียน ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างกลึง ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างหุ่น ช่างรัก ช่างบุ ช่างปูน
(ศิลปากร , กรม. พระพุทธรูปสำคัญ . กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ๒๕๔๓.)
... แท้จริงช่างไทยมีอยู่มากกว่า ๑๐ หมู่ งานช่างที่นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ข้างต้น ได้แก่ ช่างเลื่อย ช่างก่อ ช่างดอกไม้เพลิง ช่างไม้สำเภา ช่างปืน ช่างสนะ(จีน) ช่างสนะ(ไทย) ช่างขุนพราหมณ์เทศ ช่างรัก ช่างหุงกระจก ช่างประดับกระจก ช่างหยก ช่างชาดสีสุก ช่างดีบุก ช่างต่อกำปั่น ช่างทอง
(
http://www.luktungfm.com/dday/chanthai.htm)
ช่างไทยสิบหมู่ (ต่อ)
วัฒนธรรมไทยได้แบ่งออกเป็นหลายสาขา เรื่องศิลปะ เรื่องการช่างต่างๆของไทยเรา ก็จัดเป็นวัฒนธรรมสาขาหนึ่งที่มีความสำคัญควรค่าแก่การอนุรักษ์ สืบสาน ถ่ายทอด ช่างไทยสิบหมู่ เป็นวัฒนธรรมทางด้านศิลปะแขนงหนึ่งในกระบวนช่างไทยได้จำแนกแยกแยะงานช่างได้มากมายแต่ได้หยิบยกที่สำคัญมาเพียง 10 อย่าง โดยผุ้ที่เป็นช่างต้องเรียนรู้กรรมวิธีและมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างๆไป ช่างไทยทั้งสิบหมู่ ได้แก่ ช่างเขียนช่างสลัก ช่างกลึก ช่างหล่อ ช่างปั้น ช่างหุ่น ช่างรัก ช่างบุ และช่างปูนประวัติความเป็นมาเรื่องของ "ช่างสิบหมู่ ในสมัยก่อนเป็นกรมๆหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงอธิบายประทานแก่พระยาอนุมานราชธน ในหนังสือบันทึกความรู้เรื่องๆดังนี้ว่าตามปรกติการปกครองเมืองสมัยโบราณ จัดเป็นจตุสดม คือ เป็นการะทรวงเวียง วัง คลัง นา กระทรวงใดมีกิจจะต้องทำสิ่ง ซึ่งต้องอาศัยฝีมือช่าง ก็ต้องหาช่างชนิดที่ต้องการใช้รวบรวมตั้งไว้เป็นกระทรวงนั้นเพื่อใช้ จึงได้มีการช่างมากมายกระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ หลายกระทรวงด้วยกัน ตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสไว้ ดังจะยกตัอย่างให้เห็น เช่น กระทรวงวัง มีกรมทหารในเป็นกรมรักษาพระองค์ แต่มีกรมช่างทหารในขึ้นอยู่ในกรมทหารในนั้นอีกชั้นหนึ่งเจ้ากรมเป็นหลวงประดิษฐ์นิเวศน์ เห็นได้ตามชื่อว่ามีหน้าที่ปลูกสร้างเรือนหลวงในพระราชนิเวศน์ คงมีขึ้นด้วยเหตุที่เจ้ากรมหรือปลัดกรมคนใดคนหนึ่งในกรมทหารในเป็นผู้เข้าใจการปลูกสร้างจึงตรัสใช้ ผู้รับสั่งนั้นก็ต้องเสาะหา ช่างมาเป็นลูกมือ งานมากขึ้น ช่างมากขึ้นก็ต้องตั้งขึ้นเป็นกรมทหารใน ยังกรมมหาดเล็กก็มีกรมช่างมหาดเล็กเป็นอีกกรมหนึ่งเหมือนกัน มีช่างเขียน ช่างปั้นและอื่นๆ ช่างสิบหมู่จึงเป็นกรมที่รวบรวมช่างไว้มีสิบหมู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้ หมายความว่าในบ้านเมืองมีช่างแค่สิบอย่างเท่านั้น ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่าง ที่ยกมารวมไว้เรียกว่า "ช่างสิบหมู่"แท้จริงช่างไทยมีอยู่มากกว่า 10 หมู่ ดังกล่าว แต่ที่เรียกว่า "ช่าวสิบหมู่" คงประสงค์จะรวบรวมช่างที่เป็นส่วนสำคัญไว้ก่อนเพียง 10 หมู่ แล้วภายหลังคิเพิ่มเติม หรือแยกแขนงออกไแอีกตามลักษณะของงานนั้นเอง ตามบัญชีชื่อช่างที่ขึ้นทำเนียบเป็นช่างหลวง
มีดังต่อไปนี้ ช่างเลื่อย ช่างก่อ ช่างดอกไม้เพลิง ช่างไม้สำเภา ช่างปืน ช่าวสนะ(จีน) ช่างสนะ(ไทย)
ช่างขุนพราหมณ์เทศ ช่างรัก ช่างหุงกระจก ช่างประดับกระจก ช่างหยก ช่างชาดสีสุก ช่างดีบุก ช่างต่อกำปั่น ช่างทอง
(
http://www.luktungfm.com/dday/chanthai.htm)
งานประดับกระจก
การประดับกระจกนั้นเป็นศิลปะการประดับตกแต่งสิ่งของเรื่องใช้และส่วนประกอบทางสถาปัตยกรรม ด้วยการปิดกระจกเพื่อให้เกิดความสวยงามและมีแสงเปล่งประกายออกมาคล้ายอัญมณีเมื่อได้รับแสงสว่างส่องมากระทบ ซึ่งส่วนมากจะประกอบในงานสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่รักษาเนื้อไม้ไว้ได้จากยางรักที่ใช้ก่อนปิดกระจกทับ และกระจกก็ยังทนแดดทนฝนได้ยาวนานอีกด้วย
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้น งานประดับกระจกมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นการใช้ประดับบนลายสลักไม้ตามอาคารและสิ่งของเครื่องใช้ทางศาสนาและที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ต่อมาก็เป็นที่นิยมมากขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ดังจะเห็นได้จากผลงานที่มีอยู่ทั้งที่พระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
งานประดับกระจกนั้นมีทั้งทีประดับแบบพื้นเต็มหน้าซึ่งจะเป็นการประดับให้เกิดการสะท้อนแสงสร้างความแวววาว อีกแบบหนึ่งคือประดับเป็นร่องในพื้นลายหรือที่เรียกกันว่าปิดทองล่องกระจกเพื่อขับให้ลายปิดทองคำเปลวเด่นยิ่งขึ้นโดยใช้กระจกที่มีสี่ค่อนข้างมืดประดับ อีกแบบหนึ่งคืองานประดับกระจกลายยา คือประดับลงบนพื้นไม้ที่ขุดเป็นร่องซึ่งพื้นจะปิดทองทึบ นอกจากนั้นก็อาจจะผสมการประดับกระจกกับการประดับมุก ที่เรียกว่า มุกแกมเบื้อ
ประเภทของกระจกที่ใช้งานประดับกระจกที่ใช้กันมาแต่โบราณ จะมีอยู่ ๒ ชนิด คือ กระจกเกรียบ และกระจกแก้ว
กระจกเกรียบหรือที่เรียกว่ากระจกจีนนั้น เป็นกระจกสีที่คาดอยู่บนแผ่นดีบุก มีทั้งแผ่นบางหรือแผ่นหนา ถ้าบางก็จะบางเหมือนข้าวเกรียบใช้กรรไกรตัดแต่งได้ ใช้ประดับเครื่องศิราภรณ์ ราชวัตรฉัตรธง แผ่นหน้าก็ใช้ประดับตู้ โต๊ะ และสถาปัตยกรรม ปัจจุบันกระจกประเภทนี้ได้เลิกผลิตไปแล้วทั้งในจีนและในไทย ส่วนกระจกแก้วนั้น มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ มีสีต่าง ๆ ผิวกระจกมีความโค้งที่สะท้อนแงให้ความแวววาว ส่วนด้านหลังอาบด้วยปรอทเคลือบน้ำยาเคมี กระจกแก้วจะมีความหนากว่ากระจกเกรียบ ตัดได้หยาบ ไม่ประณีต
วิธีประดับกระจกนั้นเริ่มจากการเตรียมวัสดุมีทั้งรักน้ำเกลี้ยง สมุกผง ถ่านใบตองแห้ง ชันผง น้ำมันยาง ปูนขาว และเครื่องมือเช่น ไม้ตับสำหรับคีบกระจก ไม้ขนาดสำหรับวัดขนาดตัดกระจก เพชรสำหรับตัดกระจก กรรไกรตัดกระจกบาง ๆ แลไม้ไผ่เหลาแตะชิ้นแววกระจก ขั้นตอนต่อไปคือเตรียมลายที่ใช้ในการประดับ โดยออกแบบเป็นรูปเหลี่ยมเรขาคณิต ต่อไปก็ตัดกระจกสีต่าง ๆ ให้เป็นชิ้น ๆ เป็นรูปเหลี่ยมต่าง ๆ และสีตามจำนวนที่ต้องการ จำนั้นก็ทาพื้นที่จะติดกระจกด้วยรักสมุก จากนั้นจึงนำกระจกวางติดลงไป โดยติดจากกลางงานออกไปจากนั้นทิ้งให้แห้ง แล้วกวดผิวกระจกให้จมลงติดพื้นเสมอกัน จึงทำความสะอาดกระจกให้สะอาด
อ้างอิงจาก
- โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย. มรดกช่างศิลป์ไทย. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๒.