เรือนไทย

General Category => ประวัติศาสตร์ไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: ammpere ที่ 19 ก.ค. 14, 16:42



กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 19 ก.ค. 14, 16:42
สวัสดีค่ะคุณเพ็ญชมพู...พอดีตอนนี้หนูกำลังตามหาประวัติบรรพบุรุษ...แล้วได้เปิดไปเจอกระทู้ของคุณเพ็ญชมพูเมื่อนานมาแล้วในเว็บไซด์พันทิพย์(แต่ไม่รู้ว่าใช่คุณเพ็ญชมพูคนเดียวกันรึป่าว)..ในหัวข้อเรื่อง..จดหมายหลวงอุดมสมบัติ...ที่เขียนเกี่ยวกับสงขลา..หนูสนใจในวรรคนึงที่บอกว่า..เมื่อก่อนเรื่องชื่อบุคคลจะมีหน้าที่อะไร(ประมาณนี้)แต่หรูสนใจเกี่ยวกับชื่อของบุคคลที่ปรากฏอยู่มากกว่า เช่นพระยาวิชิตณรงค์     พระณรงค์ชลที  หลวงทิพย์อักษร  ขุนโจรกลับใจ  ขุนพิทักษ์สงคราม(ชื่อนี้แหละที่หนูสะดุดเพราะมันเหมือนชื่อคุนทวด)  หนูเลยอยากรบกวนว่าพอจะมีข้อมูลอะไรอธิบายเพิ่มเติมบ้างรึป่าวเกี่ยวกีับประวัติ  หรือข้อมูลอื่นๆ  เพราะเข้าใจว่าตำแหน่งข้าราชการสมัยก่อนชื่อมักจะเหมือนกัน....รบกวนคุณเพ็ญชมพูและผู้รู้ท่านอื่นๆช่วยหนูด้วยนะค๊ะ..ขอบพระคุณจากใจจริงค่ะ


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 09:05
อรุณสวัสดิ์คุณแอมแปร์ คำถามของคุณแอมมี ๒ ส่วน

ส่วนแรกถามเกี่ยวกับตัวกระทู้เก่าที่พันทิป

สวัสดีค่ะคุณเพ็ญชมพู...พอดีตอนนี้หนูกำลังตามหาประวัติบรรพบุรุษ...แล้วได้เปิดไปเจอกระทู้ของคุณเพ็ญชมพูเมื่อนานมาแล้วในเว็บไซด์พันทิพย์(แต่ไม่รู้ว่าใช่คุณเพ็ญชมพูคนเดียวกันรึป่าว)..ในหัวข้อเรื่อง..จดหมายหลวงอุดมสมบัติ...ที่เขียนเกี่ยวกับสงขลา..
ขออนุญาตตอบคำถามส่วนแรกก่อน เพราะตอบง่ายกว่าส่วนหลัง  ;)

๑. กระทู้ที่คุณแอมกล่าวถึงเป็นของ "คุณนิค" (http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/12/K6166921/K6166921.html) พูดถึงเรื่องหนังสือเก่าที่ไปอ่านที่บ้าน "พี่เบิ้ม"  "เพ็ญชมพู" เป็นเพียงส่วนสนับสนุน

๒. เพ็ญชมพูที่ "พันทิป" และ "เรือนไทย" ใช่อื่นไกลเป็นคนเดียวกัน

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 09:18
ส่วนหลังถามเกี่ยวกับนามบุคคลและประวัติบรรพบุรุษ

หนูสนใจในวรรคนึงที่บอกว่า..เมื่อก่อนเรื่องชื่อบุคคลจะมีหน้าที่อะไร(ประมาณนี้)แต่หรูสนใจเกี่ยวกับชื่อของบุคคลที่ปรากฏอยู่มากกว่า เช่นพระยาวิชิตณรงค์     พระณรงค์ชลที  หลวงทิพย์อักษร  ขุนโจรกลับใจ  ขุนพิทักษ์สงคราม(ชื่อนี้แหละที่หนูสะดุดเพราะมันเหมือนชื่อคุนทวด)  หนูเลยอยากรบกวนว่าพอจะมีข้อมูลอะไรอธิบายเพิ่มเติมบ้างรึป่าวเกี่ยวกีับประวัติ  หรือข้อมูลอื่นๆ  เพราะเข้าใจว่าตำแหน่งข้าราชการสมัยก่อนชื่อมักจะเหมือนกัน....รบกวนคุณเพ็ญชมพูและผู้รู้ท่านอื่นๆช่วยหนูด้วยนะค๊ะ..ขอบพระคุณจากใจจริงค่ะ

นามบุคคลที่คุณแอมกล่าวถึงอยู่ในหนังสือ "หนังสือจดหมายหลวงอุดมสมบัติ" กล่าวไว้ในความคิดเห็นที่ ๒๙ มีรายละเอียดดังนี้

คุณแสนอักษรสั่งการบ้านใน # ๒๑

ใครคือหลวงอุดมสมบัติ  เขียนจดหมาย เรื่องอะไร  ไปถึงใคร  ทำไมถึงต้องเขียน หาอ่านกันเถิดมิตรสหายน้องพี่

ยังหาหนังสือจดหมายหลวงอุดมสมบัติอ่านไม่ได้ อ่านบทวิจารณ์ไปก่อน  

คุณชาญณรงค์ เที่ยงธรรม แห่งศูนย์ศิลปะ วัฒนธรรมและชุมชนสัมพันธ์ ม.หาดใหญ่ เขียนบทวิจารณ์ในเว็บโฟกัสปักษ์ใต้ ไว้ว่า

นาน ๆ ทีจะเจอหนังสือที่บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของภาคใต้ ชนิดที่ว่าอ่านแล้วไม่อยากจะวาง เพราะผู้เขียนบรรยายเรื่องราวได้ละเอียดละออ ทั้งเนื้อหาเหตุการณ์และเกร็ดทางประวัติศาสตร์ ผมจัดให้หนังสือจดหมายหลวงอุดมสมบัติเล่มนี้เป็นหนังสืออีกเล่มที่ผมชอบครับ..

ก่อนจะพลิกไปอ่านเนื้อหาภายในเล่ม จะเห็นบทอธิบายแทรกไว้ในช่วงต้น ซึ่งเสมือนเป็นบทนำของหนังสือ ทรงพระนิพนธ์โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านชี้แจงถึงมูลเหตุอันเป็นที่มาของจดหมายหลวงอุดมสมบัติไว้ยืดยาวพอควร สรุปความได้ว่า พระยาศรีพิพัฒน์ฯ(ทัด)ได้ให้หลวงอุดมสมบัติ ซึ่งมีตำแหน่งในกรมพระคลังสินค้า(ทำนองเป็นเลขานุการ)เป็นธุระในการคอยสืบฟังข้อราชการ เรื่องกองทัพ หรือเรื่องอื่นใดที่ได้มีการปรึกษาหารือกันในกรุงเทพฯ ซึ่งการปรึกษาหารือข้อราชการในสมัย ร.๓ นั้น (สมัยที่หลวงอุดมสมบัติเขียนจดหมาย)

โดยปกติพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จออกพบขุนนางในท้องพระโรง วันละ ๒ ครั้ง ซึ่งในเวลาเช้าจะทรงว่าราชการฝ่ายตุลาการ อาทิ พิพากษาฎีกาของราษฎร ส่วนในเวลาค่ำนั้น จะเป็นราชการบ้านเมือง ซึ่งในเวลาค่ำนี้เองที่เสนาบดีต้องไปเข้าเฝ้าโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด และหากมีใบบอกราชการใด ๆ มาจากหัวเมือง เสนาบดีเจ้ากระทรวงก็จะกราบทูลเบิกขึ้นมา จากนั้นปลัดทูลฉลองก็จะอ่านใบบอกที่คัดนั้นถวายให้ทรงฟัง เมื่อทรงฟังโดยตลอด รวมถึงได้ปรึกษาหารือกับเสนาบดีเพื่อหาข้อยุติแล้ว ทรงตรัสว่าอย่างไร ปลัดทูลฉลองก็จะจดจำพระกระแสรับสั่งนั้นมาดำเนินการ แต่ถ้าเป็นราชการที่สำคัญ ๆ ก็จะต้องให้นำร่างตรานั้นขึ้นถวายให้ทรงตรวจแก้ก่อนเสมอ..

ซึ่งหลังจากที่หลวงอุดมสมบัติได้ฟังข้อราชการแล้ว ก็ให้รายงานบอกมายังพระยาศรีพิพัฒน์ ฯ (ทัด) ซึ่งท่านได้มาตรวจราชการอยู่ที่ภาคใต้ ทำนองว่า มีข้อสนทนาใด ๆ ที่พาดพิง เกี่ยวข้อง หรือเป็นประโยชน์แก่การไปปฏิบัติราชการ ก็ให้บันทึกเป็นจดหมายรายงานมา แต่กระนั้นแม้กระทั่งในพระราชวังไม่ทรงตรัสถามถึง หลวงอุดมสมบัติก็ยังอุตส่าห์บันทึกเน้นแทรกไว้ในจดหมายเป็นระยะ ๆ อาทิ ..ณ วันเดือน ๔ ขึ้น ๑ ค่ำ หาได้ทรงตรัสถามถึงราชการเมืองไทรไม่.. เช่นนี้เป็นต้น

เหตุที่พระยาศรีพิพัฒน์ฯ(ทัด) ได้มอบหมายให้หลวงอุดมสมบัติปฏิบัติงานเรื่องนี้นั้น เสด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงให้ทัศนะไว้ว่า เห็นจะเป็นเพราะท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศครับ ในตอนจบของบทอธิบายเสด็จกรมพระยาดำรงฯได้ทิ้งท้ายไว้ว่า "เรื่องต่อจากนี้ไปจะปรากฏโดยพิสดารในจดหมายหลวงอุดมสมบัติ.." ยิ่งชวนให้น่าติดตามนัก ทีแรกผมก็รู้สึกขันไปกับสำนวนของพระองค์ แต่พออ่านไป ๆ ก็ชักจะเห็นว่าจริง !

รวมจดหมายที่หลวงอุดมสมบัติรายงานแล้วส่งไป นับเบ็ดเสร็จได้ ๑๕ ฉบับด้วยกัน เนื้อความเริ่มตั้งแต่ที่พระยาศรีพิพัฒน์ฯ(ทัด)เป็นแม่ทัพ ยกกองทัพออกจากกรุงเทพฯไปถึงเมืองสงขลา จดหมายฉบับที่ ๑ เริ่มต้นเหตุการณ์ในจุลศักราช ๑๒๐๐ (พ.ศ. ๒๓๘๑) หัวข้อที่สนทนาเป็นเรื่องราวของเมืองต่าง ๆ ในภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ พิจารณาแต่ละฉบับไม่ได้เขียนแบบสั้น ๆเลยครับ ทุกฉบับมีเนื้อหา สาระ รายละเอียด อัดแน่นเต็มเหยียดทุกฉบับ อาทิ ชื่อบุคคล ตำแหน่ง แม้กระทั่งชื่อเรือ ชื่อปืน หรือสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงชื่อเมือง ตำบล หมู่บ้าน ในพื้นที่แถบภาคใต้ตอนล่างไปจนถึงเมืองไทร

บางเรื่องอ่านแล้วก็รู้สึกสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นที่กล่าวขวัญอยู่ในปัจจุบัน เช่น เรื่องแผ่นดินไหว (ปรากฏในจดหมายฉบับที่ ๓ เขียนในจุลศักราช ๑๒๐๐ พ.ศ. ๒๓๘๑) หลวงอุดมสมบัติบันทึกเล่าไว้ว่า ..เพลาคืนนี้แผ่นดินไหวนักหนาทีเดียว ไหวมากกว่าครั้งก่อนจนคนซวนเซตั้งตัวไม่ตรงเลย ทรงทอดดิ่งทอดพระเนตรดูเห็นโยนไกวไปข้างเหนือมาข้างใต้ เจ้าคุณหาบนกราบทูลว่า ไหวครั้งนี้ไหวมาก เจ้าคุณหาบนออกมาจากเรือนซวนออกมาทีเดียว ออกมาเห็นอัจกลับที่แขวนไว้ไกวโยนลอดตะวันไป ทรงตรัสว่า เป็นไรจึงไม่ทอดดิ่งดูบ้างเล่า.. จากความที่ปรากฏ ทำให้เราทราบว่า ใน พ.ศ.๒๓๘๑ (เดือน ๕ ขึ้น ๘ ค่ำ) นั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงมาก (วิเคราะห์จากคำพูดฟังเหมือนว่าการทอดดิ่งเพื่อสังเกตการแกว่งไกวนั้น อาจจะเป็นวิธีหรือเป็นธรมเนียมวัดระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวในยุคสมัยนั้นกระมัง)

นอกจากเรื่องนี้ สิ่งที่ผมอ่านแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ก็เห็นจะเป็นเรื่องชื่อบุคคลที่ปรากฏเกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นครับ คนยุคก่อน ๆ นี่ เขาคำนึงถึงความหมายของการตั้งขื่อกันมากทีเดียว ลองมาทายกันดูเล่น ๆ ไหม ว่าแต่ละท่านมีประวัติหรือมีความสามารถดีเด่นในทางใด เมื่อได้เห็นนัยที่แฝงอยู่ในชื่อ อาทิ พระยาวิชิตณรงค์ พระณรงค์ชลธี ขุนศรีสังหาร ขุนต่างตากรมการ หลวงวิจารณ์เดินบก ขุนจิตรใจรักษ์ หมื่นพิทักษ์นาวา ขุนจำหมื่นจอง(พวกที่ความจำเป็นเลิศ) หลวงทิพอักษร(เสมียนตรา) ขุนพิทักษ์สงคราม หลวงพลพิฆาต หลวงพิทักษ์นที ขุนโจรกลับใจ เป็นต้น

เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือ ที่กล่าวถึงการจัดตั้งค่ายของเมืองสงขลา เพื่อตั้งรับขับสู้กับไพร่พลหัวเมืองมลายู ลักษณะของค่ายเมืองสงขลา ทำเป็นค่ายคูล้อมเมืองในลักษณะของค่ายปีกกา ตั้งแต่เตาอิฐไปจนถึงคลองสำโรงยาว ๓๐ เส้นเศษ ลักษณะของค่ายปีกกานี้ จะมีหัวปีกกา ๒ ข้าง ไม่มีช่องทางที่จะให้ข้าศึกเข้ามาได้ หัวปีกกาข้างหนึ่งเริ่มตั้งแต่เตาอิฐริมทะเลสาบไปจดริมคลองสำโรง สำหรับไพร่พลที่รักษาค่ายมีอยู่ราวๆ สองพัน แบ่งการตั้งรับออกเป็น ๔ ค่าย ได้แก่ ทางเขาเก้าเส้ง ๑ ค่าย ทางปลักแรด ๑ ค่าย(ปัจจุบันไม่ปรากฏชื่อในแผนที่) ทางเขาลูกช้าง ๑ ค่าย(ปัจจุบันเรียกเขารูปช้าง) ทางคลองสำโรง ๑ ค่าย ทั้ง ๔ ค่ายชักปีกกาถึงกัน มีระยะทางห่างกันราว ๑๐ เส้นเศษ และสามารถเดินถึงกันได้ มีการใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการทำค่าย ไม้ที่ใช้ทำเสาค่ายจะมีขนาดใหญ่ ส่วนบนของหอรบมีปืน ส่วนล่างของหอรบจะมีปืนใหญ่ ที่หน้าค่ายมีการลงรั้วขวากหนามดักไว้ นอกจากนี้ที่บ้านคลองสำโรงนั้นก็จะมีการตั้งค่ายล้อมเอาไว้ด้วย เมื่อยิ่งอ่านยิ่งชวนให้เห็นภาพของค่ายเมืองสงขลาปรากฏเด่นชัดขึ้น นี่ถ้าหากว่าค่ายปีกกายังคงหลงเหลือร่องรอยให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน ผมคิดว่าน่าจะเป็นแหล่งศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้ดีอีกแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะประยุกต์เป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวก็ไม่เลวครับ แต่ครั้นสิ่งเหล่านี้ไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้วในชั้นผิวดิน ผมก็คิดแบบสนุกๆ ขึ้นมาว่า..  

"แล้วในชั้นใต้ดินล่ะจะมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ "

ความคิดที่อยากจะออกสำรวจผุดพรายขึ้นมาอีกล่ะ

"แล้วจะไปด้วยกันไหมครับ"

http://www.focuspaktai.com/index.php?file=news&obj=news.view(id=6229) (http://www.focuspaktai.com/index.php?file=news&obj=news.view(id=6229))

จากคุณ : เพ็ญชมพู   - [ 25 ธ.ค. 50 13:12:41 ]


ขออภัยที่กาลเวลาพาให้ลิ้งก์ตันเรื่อง หายไปเสียแล้ว  :o


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 10:10
จดหมายหลวงอุดมสมบัติเขียนรายงานถึงพระยาศรีพิพัฒน์ (ทัด) (ต่อมาคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติในรัชกาลที่ ๔) มีทั้งหมด ๑๕ ฉบับ

ฉบับที่ ๑ ลงวันอังคาร เดือน ๔ แรม ๖ ค่ำ ปีจอสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๐๐ (พ.ศ. ๒๓๘๑)
เล่าถึงเหตุการณ์แลกระแสรับสั่งย้อนเวลาขึ้นไปเริ่มตั้งแต่เดือน ๑๐ เวลาได้ข่าวว่าพวกแขกตีได้เมืองไทร เมืองตรัง แลยกมาตีเมืองสงขลา ทรงพระราชดำริปรึกษาการศึก แลจัดกองทัพกรุงเทพฯ ที่จะยกไป จนพระยาศรีพิพัฒน์แม่ทัพกราบถวายบังคมลา

ฉบับที่ ๒ ลงวันพฤหัสบดี เดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปีจอสัมฤทธิศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๗ วันตอนกองทัพจะยกออกจากกรุงเทพฯ

ฉบับที่ ๓ ลงวันเสาร์ เดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีกุนยังเป็นสัมฤทธิศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๙ วัน ตอนกองทัพจะยกออกจากกรุงเทพฯ แลได้ข่าวว่ากองทัพเมืองนครฯ ยกไปตีเมืองไทร

ฉบับที่ ๔ ลงวันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ปีกุนเอกศก จุลศักราช ๑๒๐๑ (พ.ศ. ๒๓๘๒)
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๖ วัน ตอนเร่งเรือกองทัพกรุงฯ คือเจ้าพระยายมราชเป็นต้นให้รีบยกไป แลได้ข่าวว่ากองทัพเมืองนครฯ ตีได้เมืองไทร

ฉบับที่ ๕ ลงวันศุกร์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๒๘ วัน ตอนสืบสวนถึงเรืองกองทัพกรุงฯ ที่ยกไปและได้ข่าวว่าพวกแขกที่มาตีเมืองสงขลาแตกหนีไป

ฉบับที่ ๖ ลงวันอาทิตย์ เดือน ๖ แรม ๗ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๙ วัน ตอนพระยาศรีพิพัฒน์ไปถึงเมืองไชยา แลได้ข่าวว่าที่เมืองกลันตัน ตนกูปสาเกิดรบกันขึ้นกับพระยากลันตัน

ฉบับที่ ๗ ลงวันพุธ เดือน ๗ ขึ้น ๒ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๙ วัน ตอนกองทัพกรุงเทพฯ เริ่มไปถึงเมืองสงขลาและได้ข่าวว่า ตนกูปสากับพระยาโงยตั้งค่ายล้อมพระยากลันตันไว้

ฉบับที่ ๘ ลงวันพุธ เดือน ๗ ขึ้น ๙ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๕ วัน การปรึกษาด้วยเรื่องระงับเหตุวิวาทที่เมืองกลันตัน

ฉบับที่ ๙ ลงวันอาทิตย์ เดือน ๗ แรม ๕ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๙ วัน ตอนกวาดครัวเข้ามาถึงกรุงเทพฯข้าหลวงลงไปถึงเมืองกลันตัน แลได้ข่าวว่าเจ้าพระยานครฯ ป่วย

ฉบับที่ ๑๐ ลงวันพุธ เดือน ๗ แรม ๘ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๓ วัน มีเรื่องจับฝิ่น (เรื่องจับฝิ่น ที่จริงมีจดหมายแทบทุกฉบับเพราะเวลานั้นกำลังตรวจตราโดยแข็งแรงเพื่อจะมิให้ฝิ่นเข้ามาในพระราชอาณาเขต) แลทรงปรึกษาราชการเรื่องเมืองกลันตัน

ฉบับที่ ๑๑ ลงวันพุธ เดือน ๗ แรม ๑๐ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๑ วัน (เพราะมีเรือจะออกไปติด ๆ กัน) ทรงปรึกษาราชการเรื่องเมืองกลันตัน

ฉบับที่ ๑๒ ลงวันศุกร์ เดือน ๘ ปฐมาสาฒ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๘ วัน ตอนได้ข่าวจากข้าหลวงที่ไปเมืองกลันตัน แลได้ข่าวว่าเจ้าพระยานครฯ ถึงอสัญกรรม ทรงปรึกษาที่จะจัดวางการปกครองเมืองนครฯ แลเมืองไทร

ฉบับที่ ๑๓ ลงวันอาทิตย์ เดือน ๘ ปฐมาสาฒ แรม ๑๐ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๒๓ วัน ตอนได้ข่าวว่าตีเกาะนางกวีแขวงเมืองไทรคืนได้ เรื่องพระยาไชยาแม่ทัพที่เมืองพังงา เกิดอริกับพระตะกั่วทุ่ง เรื่องพระยาศรีพิพัฒน์จัดการห้ามวิวาทที่เมืองกลันตัน แลทรงพระประชวร

ฉบับที่ ๑๔ ลงวันอาทิตย์ เดือน ๘ ทุติยาสาฒ แรม ๒ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๒๓ วัน ตอนพระยาเพชรบุรี (สุข) ยกกองทัพลงไปตั้งที่เมืองสาย ห้ามพวกเมืองกลันตันหยุดรบกัน กวาดครัวแขกเพิ่มเติมเข้ามา แลทรงปรึกษาเรื่องเลือกหาเจ้าเมืองไทร

ฉบับที่ ๑๕ ลงวันพฤหัสบดี เดือน ๙ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีกุนเอกศก
บอกข่าวราชการแลกระแสรับสั่งในระยะเวลา ๒๐ วัน ตอนตกลงจะตั้งแขกเป็นพระยาไทร ที่เมืองกลันตันเลิกการวิวาท แลเตรียมกองทัพกลับกรุงเทพฯ

ข้อมูลจาก http://branch.nlt.go.th/natlibchon/d-library/index.php?p=fstream&fid=4460&bid=2756 (http://branch.nlt.go.th/natlibchon/d-library/index.php?p=fstream&fid=4460&bid=2756)  ;D


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ก.ค. 14, 10:26
อ้างถึง
นอกจากเรื่องนี้ สิ่งที่ผมอ่านแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ ก็เห็นจะเป็นเรื่องชื่อบุคคลที่ปรากฏเกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นครับ คนยุคก่อน ๆ นี่ เขาคำนึงถึงความหมายของการตั้งขื่อกันมากทีเดียว ลองมาทายกันดูเล่น ๆ ไหม ว่าแต่ละท่านมีประวัติหรือมีความสามารถดีเด่นในทางใด เมื่อได้เห็นนัยที่แฝงอยู่ในชื่อ อาทิ พระยาวิชิตณรงค์ พระณรงค์ชลธี ขุนศรีสังหาร ขุนต่างตากรมการ หลวงวิจารณ์เดินบก ขุนจิตรใจรักษ์ หมื่นพิทักษ์นาวา ขุนจำหมื่นจอง(พวกที่ความจำเป็นเลิศ) หลวงทิพอักษร(เสมียนตรา) ขุนพิทักษ์สงคราม หลวงพลพิฆาต หลวงพิทักษ์นที ขุนโจรกลับใจ เป็นต้น

ต่อจากขุนพิทักษ์สงครามแล้ว ช่วยสืบประวัติท่านขุนโจรกลับใจด้วยนะครับ ท่านได้ราชทินนามนี้มาเพราะท่านเองกลับใจ หรือเก่งด้านที่ทำให้พวกโจรกลับใจได้ ถ้าเป็นประการหลังยิ่งน่าสนใจใหญ่ ถ้ามีความสามารถดังกล่าวจริง เป็นแค่ขุนถือว่ายังน้อยไปอย่างน้อยก็ต้องระดับพระยา จะได้เป็นท่านเจ้าคุณเหมือนพระราชาคณะในวัด ;D



กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 10:30
ยังหาหนังสือจดหมายหลวงอุดมสมบัติอ่านไม่ได้   

ณ พ.ศ.นี้พอหาอ่านได้จากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้  คุณนวรัตนลองเข้าไปอ่านอาจจะพบเรื่องของ "ขุนโจรกลับใจ" ก็เป็นได้  ;)

จดหมายฉบับที่ ๑ หน้า ๓๗-๑๐๐     (http://www.finearts.go.th/nakhonsithammaratlibrary/หนังสืออิเล็กทรอนิกส์/book/37-1/2-2013-01-26-21-11-08.html) ;D


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 21 ก.ค. 14, 11:38
สวัสดีค่ะคุณเพ็ญชมพู...หนูรออยู่นึกว่าจะไม่ตอบซะแล้ว...หนูต้องขอบคุณสำหรับข้อมูลนะค๊ะตอนนี้หนูได้หนังสือ(จดหมายเหตุในหัวเมืองปักษ์ใต้..จดหมายหลวงอุดมสมบัติ) มาอ่านแล้วค่ะเนื้อหาด้านในก็เขียนถึงขุนพิทักษ์สงคราม  แต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดมากมาย หนูเลยอยากถามว่า
1.เราสามารถสืบค้นข้อมูล  ประวัติของขุนพิทักษ์สงครามได้จากที่ไหนบ้างค๊ะ  เพราะหนูคิดว่าท่านอาจจะไม่มีบทบาทมากพอเลยไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวท่านว่าเป็นใคร  มาจากที่ไหน  พอจะทราบบ้างมั่ยค๊ะว่าต้องเริ่มต้นสืบค้นจากไหน


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 11:47
ขุนพิทักษ์สงคราม(ชื่อนี้แหละที่หนูสะดุดเพราะมันเหมือนชื่อคุนทวด) 

ก่อนจะวิสัชนาถึงเรื่อง "ขุนพิทักษ์สงคราม"

ขอตั้งปุจฉาว่า ขุนพิทักษ์สงคราม คุณทวดของคุณแอม มีชื่อจริงว่ากระไร รับราชการในตำแหน่งอะไร

ป.ล. ขออนุญาตแก้ไขภาษาไทยของคุณแอม "ค๊ะ" ไม่มีดอก มีแต่ "คะ"  ;D


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 21 ก.ค. 14, 12:49
ก่อนอื่นต้องขออภัยในการใช้ภาษาที่ไม่ถูกต้อง..
...ตามที่เคยได้ฟังเรื่องราวพอที่จะสรุปได้ว่า  คุณทวด ขุนพิทักษ์สงคราม ชื่อเดิมท่าน (นายภู่  ภิทักษธรรม)แต่ปัจจุบันเขียนเป็น พิทักษธรรม,พิทักษ์ธรรม บ้าง  จากคำบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่น ท่านเคยรับราช(น่าจะเป็นตำรวจ)  และที่มาของนามสกุลก็มีเจ้านายที่มณฑลนครศรีธรรมราชตั้งให้...แต่ไม่ทราบว่าใครเพราะในปัจจุบันไม่หลงเหลือหลักฐานใดๆที่จะพิสูจน์ได้..นอกจากคำบอกเล่าจากคนรุ่นก่อนๆคะ


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 14:03
บวกข้อมูลเดิมของคุณแอมที่เคยให้ไว้ในกระทู้ก่อน อยากทราบทีมาของนามสกุล พิทักษธรรมหรือพิทักษ์ธรรม  (http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5455.0)

คุณทวดของคุณแอมมี ๒ ท่านคือ  ขุน (หรือหลวง) พิทักษ์สงคราม (ภู่ พิทักษธรรม) น่าจะเคยรับราชการเป็นตำรวจ และ ขุนอินสุรินทร์ (ขำ  พิทักษธรรม) ตามคำบอกเล่าเรื่องที่มาของนามสกุลคือมีเจ้านายที่มณฑลนครศรีธรรมราชตั้งให้

มีข้อมูลเกี่ยวกับขุนพิทักษ์สงคราม (ซึ่งเป็นคนละคนกับคุณทวดของคุณแอม) ที่ค้นได้จากราชกิจจานุเบกษาและเว็บพระราชวังพญาไทมานำเสนอคุณแอม

นามสกุลพระราชทานลำดับที่ ๖๒๕๔ คือ กฤษณะพันธุ์ (Krishnabandhu) พระราชทานให้ รองอำมาตย์ตรี หลวงชาญธนากร (จ่ำ) ศุภมาตราจังหวัดนครศรีธรรมราช กับนายเผือกบิดา

จาก ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๙ หน้า ๑๔๑ วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๕ (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2465/D/131_1.PDF)

ใน เว็บพระราชวังพญาไท (http://phyathaipalace.org.a33.readyplanet.net/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99/nameA.html) ข้อมูลชื่อของผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล ต่างจากในราชกิจจานุเบกษาเล็กน้อย คือเป็นหลวงชำนาญธนากร (จ่ำ) และให้ข้อมูลเพิ่มว่า ปู่ทวดชื่อขุนจำนงโยธี (ดำ) ปู่ชื่อขุนพิทักษ์สงคราม (ฉิม)

ปู่ฉิมนี้มีสิทธิ์เป็นคนเดียวกับขุนพิทักษ์สงครามของหลวงอุดมสมบัติหรือเปล่า จะได้วิสัชนาต่อไป  ;D



กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: NAVARAT.C ที่ 21 ก.ค. 14, 14:10
อ้างถึง
พอจะทราบบ้างมั่ยค๊ะว่าต้องเริ่มต้นสืบค้นจากไหน
อ้างถึง
จากคำบอกเล่าจากคนรุ่นก่อนๆคะ

อยากแนะนำให้เข้าไปในเว็บนี้เพื่อฟังเสียงจากตัวสะกด สามารถเลือกภาษาไทยได้นะครับ ลองใส่คำดู ทั้ง คะ ขา ค๊ะ ค่ะ แล้วฟังดูว่าเราต้องการจะให้คำที่เขียนไปนั้น ออกเสียงอย่างไร


http://www.oddcast.com/home/demos/tts/tts_example.php?sitepal (http://www.oddcast.com/home/demos/tts/tts_example.php?sitepal)


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 14:22
คุณแอมทำตัวตามสบาย เรียนประวัติศาสตร์ควบคู่กับภาษาไทยก็แล้วกัน

อธิบายเพิ่มเติมเรื่อง คะ-ค่ะ ต่อจากคุณครูนวรัตน

นอกจากคำบอกเล่าจากคนรุ่นก่อนๆคะ

แก้ไขเป็น นอกจากคำบอกเล่าจากคนรุ่นก่อน ๆ ค่ะ

ลองอ่านกลอนสอนภาษาของหมออั้ม เข้าทีดี  ;D


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 21 ก.ค. 14, 14:54
ขอบคุณมากๆค่ะคุณเพ็ญชมพู,คุณนวรัตน ที่สอนภาษาไทยควบคู่กับประวัติศาสตร์หนูจะพยายามใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง
       ที่เป็นปัญหาสำหรับหนูตอนนี้ก็คือ  ในจดหมายหลวงอุดมสมบัติ  ขุนพิทักษ์สงคราม คือใครกันแน่ ระหว่างคุณทวดหนู  ขุนพิทักษ์สงคราม (ภู่) หรือ ขุนพิทักษ์สงคราม (ฉิม)  นี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูต้องอ่านประวัติศาสตร์เพิ่มขึ้นเลยกลายเป็นความชอบและอยากเรียนรู้


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 21 ก.ค. 14, 15:22
ขุนพิทักษ์สงครามของหลวงอุดมสมบัติ อยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ (อาจจะต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ ๔ ก็เป็นได้) เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนเดียวกับขุนพิทักษ์สงคราม (ภู่) คุณทวดของคุณแอม เพราะระยะเวลาห่างไกลเกินไป

แล้วจะเป็นคนเดียวกับขุนพิทักษ์สงคราม (ฉิม) ได้หรือไม่  

หลวงอุดมสมบัติกล่าวถึงขุนพิทักษ์สงครามในจดหมายราว พ.ศ. ๒๓๘๑-๒๓๘๒  ส่วนในราชกิจจานุเบกษามีประกาศว่าหลานของขุนพิทักษ์สงคราม (ฉิม) ได้พระราชทานนามสกุลเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ ระยะเวลาห่างกัน ๘๓-๘๔ ปี  หากท่านขุนทั้งสองเป็นคนคนเดียวกัน ทั้งท่านขุนและบุตรคือนายเผือกก็ต้องมีทายาทเมื่ออายุมากทีเดียว

ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือท่านขุนทั้งสามคือท่านขุนของหลวงอุดมฯ ท่านขุนฉิม และท่านขุนภู่ เป็นคนละคนกัน แต่มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ ทั้งสามรับราชการหรือมีลูกหลานอยู่ในนครศรีธรรมราชเหมือนกัน  ;D


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 21 ก.ค. 14, 18:17
ชี้แจงข้อมูลใหม่คะ คุณทวดหนูไม่ได้รับราชการตำรวจ ทำงานเกี่ยวกับกรมการเจ้าท่า(ประมาณนี้)  เคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน  เป็นกำนัน  และตำแหน่งสุดท้ายก็ไปทำงานราชการเกี่ยวกับกรมการเจ้าท่า(เมื่อก่อนเรียกอะไรไม่ทราบได้) อยู่ที่บ้านปากรอ ปัจจุบันเป็นอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา  ตัวท่านเองเป็นคนพัทลุง แต่มาได้ภรรยาอยู่ที่บ้านปะโอ อำเภอปละท่า (ปัจจุบันเป็นอำเภอสิงหนคร) จังหวัดสงขลา อายุท่านถึงปัจจุบัน บวกลบแล้วก็น่าจะอยู่ที่  175-185 ปี
##ถึงแม้ว่า ขุนพิทักษ์สงคราม ที่กล่าวถึงในจดหมายของหลวงอุดมสมบัติ
จะไม่ใช่คุณทวดของหนูก็ตาม แต่หนูก็อยากรบกวนผู้รู้ทุกท่านช่วยหนูคลายความสงสัย ในชื่อของบุคคลท่านนี้ต่อไปนะคะ


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ก.ค. 14, 08:58
อายุท่านถึงปัจจุบัน บวกลบแล้วก็น่าจะอยู่ที่  175-185 ปี

ดูจากอายุแล้ว สงสัยว่าคุณทวดตามความหมายของคุณแอมคือ คุณพ่อของคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย หรือเปล่า  ???


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 22 ก.ค. 14, 09:12
 ;D ;D ;D  ใช่ค่ะเป็นคุณปู่ของคุณปู่หนูอีกที  จริงๆต้องเรียกอย่างไรไม่แน่ใจแต่ก็เรียกแบบชาวบ้านว่าคุณทวดก็แล้วกัน  เพราะท่านคือบรรพบุรุษ ที่ทำให้หนูอยากศึกษาที่มาของตระกูลตัวเอง


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 22 ก.ค. 14, 09:25
หนูไปพิพิธภัณฑ์สงขลามาคะ เจอสิ่งนี้ซึ่งน่าจะเป็นของ ของขุนอินทสุรินทร์(ขำ  พิทักษธรรม) และภรรยา นางแดงเทียม  ซึ่งเป็นหลานของขุนพิทักษ์สงคราม (ภู่  พิทักษธรรม) แต่ที่พิพิธภัณฑ์ไม่ได้ใส่นามสกุลให้อาจเกิดจากความผิดพลาดทางข้อมูล  เพราะคุณพ่อ คุณป้า  ต่างก็ยืนยันว่าเคยเห็นตอนเด็กก่อนที่จะรื้อบ้านเรือนไทยออกมาสร้างบ้านหลังใหม่


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 22 ก.ค. 14, 09:26
ทางภาคใต้เค้าเรียกว่าคุ่ย 


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ก.ค. 14, 09:44
ใช่ค่ะเป็นคุณปู่ของคุณปู่หนูอีกที  จริงๆต้องเรียกอย่างไรไม่แน่ใจ

บรรพบุรุษที่ต้องการหารายละเอียดคือ "คุณเทียด" ของคุณแอม

ขุนอินทสุรินทร์(ขำ  พิทักษธรรม) และภรรยา นางแดงเทียม  ซึ่งเป็นหลานของขุนพิทักษ์สงคราม (ภู่  พิทักษธรรม)

ขุนอินทสุรินทร์ ต้องนับเป็นคุณปู่ของคุณแอม

มีลำดับการนับญาติดังนี้ คุณเทียด --> คุณทวด --> คุณปู่ --> คุณพ่อ --> คุณแอม --> ลูก --> หลาน --> เหลน --> ลื่อ --> ลืด --> ลืบ

คุณเทียดนับถึงปัจจุบันมีอยู่ประมาณ ๑๗๕-๑๘๕ ปี  ส่วนขุนพิทักษ์สงครามในจดหมายของหลวงอุดมฯ (พ.ศ. ๒๓๘๑-๒๓๘๒) หากขณะนั้นอายุ ๒๕ ปี จนถึงปัจจุบันก็จะมีอายุประมาณ ๒๐๐ ปี นับเป็นรุ่นพ่อของคุณเทียดของคุณแอมได้เลย  ;D


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 22 ก.ค. 14, 10:41
  :-[ 8) ขอบคุณมากคะคุณเพ็ญชมพู ที่ลำดับการนับญาติให้หนู  ได้ความรูเพิ่มขึ้นเลย


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ก.ค. 14, 11:08
มี "หลวงพิทักษ์สงคราม" อีกท่านหนึ่ง เป็นปลัดเมืองจะนะ มีชื่อเป็นผู้หนึ่งซึ่งเข้าเฝ้ารัชกาลที่ ๔ ครั้งเมื่อเสด็จพระราชดำเนินเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสงขลา เมื่อ จุลศักราช ๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๔๐๒) หรือ ๑๕๕ ปีมาแล้ว

@ ณ วันเดือนสามแรมสิบสี่ค่ำปีมเมียสัมฤทธิศก นายกลั่นมหาดเล็กถือหนังสือพระยาศรีเสาวราชภักดีศรีสมุหพระกระลาโหมฝ่ายพลำพังออกมาฉบับหนึ่ง ในหนังสือนั้นว่าพณหัวเจ้าท่านสมุหพระกระลาโหมมีบัญชาสั่งว่า พระบาทสมเด็จบรมนารถบรมพิตรพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินออกมาประพาศทรงทอดพระเนตรฝ่ายหัวเมืองปากใต้ไปจนถึงเมืองสงขลา กำหนดจะเสด็จพระราชดำเนินมาถึงเมืองนครศรีธรรมราชเมืองสงขลาในเดือนเก้าข้างขึ้นปีมแมเอกศก ให้เจ้าคุณผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลามีหนังสือไปหาตัวพระยาแขกหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองสงขลา ให้จัดแจงหาของถวายขึ้นมาเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทให้พร้อมกันที่เมืองสงขลาจงทุกเมือง ในหนังสือพระยาศรีเสาวราชภักดีศรีสมุหพระกระลาโหมฝ่ายพลำพังมีเปนหลายประการ

@ ณ วันเดือนสี่ขึ้นเจ็ดค่ำจุลศักราช ๑๒๒๐ ปีมเมียสัมฤทธิศก เจ้าคุณผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา กรมการ จัดแจงเกณฑ์ไพร่ห้าร้อยคนให้หลวงสมบัติภิรมย์ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา นายกลั่นนายกิ่งมหาดเล็ก เปนผู้กำกับตรวจตราดูแล ให้หลวงคิรีสมบัติเปนนายช่าง หลวงเทพนรินทร์อินทรเดชะยกรบัตร เปนแม่กอง หลวงขุนหมื่นคุมไพร่แจกจ่ายกันทำ เข้าสารเบิกจ่ายให้ไพร่ทำงานพระราชวังแหลมซายทั้งนั้น เปนของเจ้าคุณผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาทั้งสิ้น

.......................

@ ณ วันเสาร์เดือนเก้าแรมสิบสี่ค่ำ เพลาเช้าออกท้องพระโรง พระยาเทพวรชุนทูลถวาย นายทัด นายเรือง นายมิ่ง นายพงษ์ นายกิ่ง นายเสือ นายพุ่ม นายเวียง เปนมหาดเล็ก ตรัสถามว่า คนนั้นบุตรใคร หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ ชี้ตัวถวายให้ทรงทราบว่าคนนั้นเปนบุตรคนนั้น ๆ ทุกคนเสร็จแล้วเสด็จขึ้นอยู่ครู่หนึ่งเสด็จออก พระยาสายบุรี พระยายะหริ่ง พระยาตานี พระยารามัน พระยาระแงะ พระยายะลา พระยาหนองจิก แลพระวิเศษวังษา ผู้ช่วยราชการเมืองยะหริ่ง พระจนะ หลวงพิทักษ์สงครามปลัดจนะ นายกล่อมผู้ว่าราชการเมืองเทพา แลตนกูโนะ ตนกูอาสัน ซึ่งพระยาตรังกานูแต่งให้มาเข้าเฝ้าตั้งของถวาย พระยาเทพวรชุนกราบทูลถวายของ พระยาสายบุรี เป๋าทองคำหกเป๋า ทองคำทรายสิบตำลึงแขก พระยายะหริ่ง เป๋าทองคำสามเป๋า กฤชด้ามทองฝักทองเล่ม ๑ ทองคำทรายสิบตำลึงแขก กะรอกเหลืองกรง ๑ พระยาตานี กฤชด้ามทองเล่ม ๑ หนัก ๕ ตำลึง ทองคำทรายสิบตำลึงแขก พระยารามัน ทองคำทรายหนัก ๒๐ ตำลึงแขก เนื้อลายตัวผู้ ๑ ผู้หญิงหัวพริก ๒ คน พระยาระแงะ สมุกทองทำ ๑ เป๋าทองคำเป๋า ๑ ทองคำทราย ๑๐ ตำลึงแขก คนหัวพริกชายหญิง ๒ คน พระยาหนองจิก เป๋าทองคำ ๒ เป๋า ทองคำทรายหนัง ๕ ตำลึง พระยายะลา เป๋าทองคำ ๖ เป๋า ทองคำทรายหนัก ๔ ตำลึง พระวิเศษวังษา ผู้ช่วยราชการเมืองยะหริ่ง เป๋าทองคำ ๒ เป๋า นกเขาชวาขาว ๑ นกเขาใหญ่ลาย ๑ พระจนะทองคำทรายหนัก ๔ ตำลึงคนหัวพริกคน ๑ หลวงพิทักษ์สงคราม ปลัดจนะ ทองคำทรายหนัก ๔ ตำลึง ผ้าขาวยาวแปดสิบศอกสิบพับ นายกล่อมผู้ว่าราชการเมืองเทพา ทองคำทรายหนัก ๒ ตำลึง ผ้าขาวดอกสีต่างกัน ๔ พับ ของพระยาตรังกานู ผ้ายกอย่างแขก ๔ ผืน หอกตอทองเถลิงทองห้าคู่ ไม้เท้าปลายหอก ๕ เล่ม ม้าสีฝ้าย ๒ ม้า เสร็จแล้วทรงพระดำรัสว่าจะเสด็จออกมาเที่ยวทอดพระเนตร ตามหัวเมืองปากใต้ให้สบายพระหฤไทยดอก พวกแขกหัวเมืองมีน้ำใจพาของเข้ามาถวาย ทั้งนี้ก็ขอบใจอยู่.....


จาก ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕๓ : พงศาวดารเมืองสงขลา ตอนที่ ๒ ฉบับเจ้าพระยาวิเชียรคิรี (บุญสังข์) (http://nasongkhla.com/index.php?option=com_content&view=article&id=158:about-songkhla-history&catid=46:about-article&Itemid=68)

คนนี้แหละที่เข้าเค้า พอจะเป็นคุณเทียดของคุณแอมได้   ;D


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ก.ค. 14, 11:54
มีปริศนามาให้ทาย

พระยารามัน ทองคำทรายหนัก ๒๐ ตำลึงแขก เนื้อลายตัวผู้ ๑ ผู้หญิงหัวพริก ๒ คน  พระยาระแงะ สมุกทองทำ ๑ เป๋าทองคำเป๋า ๑ ทองคำทราย ๑๐ ตำลึงแขก คนหัวพริกชายหญิง ๒ คน  พระยาหนองจิก เป๋าทองคำ ๒ เป๋า ทองคำทรายหนัก ๕ ตำลึง พระยายะลา เป๋าทองคำ ๖ เป๋า ทองคำทรายหนัก ๔ ตำลึง พระวิเศษวังษา ผู้ช่วยราชการเมืองยะหริ่ง เป๋าทองคำ ๒ เป๋า นกเขาชวาขาว ๑ นกเขาใหญ่ลาย ๑ พระจนะทองคำทรายหนัก ๔ ตำลึง คนหัวพริกคน ๑  

ของถวาย "คนหัวพริก" นั้นหมายถึงใคร  ;)


ป.ล. ตรวจงานภาษาไทย

ขอบคุณมากคะคุณเพ็ญชมพู ที่ลำดับการนับญาติให้หนู  ได้ความรูเพิ่มขึ้นเลย
คำแรกเคยแก้ไข       ควรจำไว้ให้จงดี
คำสองลองดูที         ไม้โทนี้มิควรลืม


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 22 ก.ค. 14, 15:03
 :-[ :-[ 


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ก.ค. 14, 15:21
ครั้งเมื่อเสด็จพระราชดำเนินเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสงขลา เมื่อ จุลศักราช ๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๔๐๒) หรือ ๑๕๕ ปีมาแล้ว
พ.ศ. ๒๔๐๒ ปีมะแม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองชายทะเลปักษ์ใต้โดยเรือพระที่นั่งกลไฟมณีเมขลา เสด็จขึ้นประพาสเมืองนครศรีธรรมราชก่อนแล้วเสด็จมาถึงเมืองสงขลา วันที่ ๒๐ สิงหาคมตรงกับวันเสาร์ เดือน ๙ แรม ๗ ค่ำ ประทับแรมที่พลับพลาตำบลแหลมทราย ซึ่งเจ้าพระยาสงขลาจัดทำรับเสด็จริมทะเลถึง ๗ ราตรี การจัดรับเสด็จครั้งนี้แข็งแรงยิ่งนัก แต่เฉพาะบริเวณพลับพลาที่ประทับฝ่ายในมีถึง ๒๒ หลังทำอย่างวิจิตร ยังส่วนที่พักของราชบริพารฝ่ายหน้าอีกเป็นอันมาก ประทับแรมอยู่จนวันที่ ๒๘ สิงหาคมจึงได้เสด็จกลับ เป็นประวัติการณ์ที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกมาถึงเมืองสงขลาปลายพระราชอาณาจักรฝ่ายใต้เป็นครั้งแรก

เมื่อประทับอยู่เมืองสงขลา พระยากลันตันและท้าวพระยาเมืองแขกเข้ามาเฝ้าเว้นแต่พระยาตรังกานู บอกป่วยให้แต่ศรีตวันกรมการมาแทน เสด็จออกพลับพลารับแขกเมือง  และทรงพระกรุณาโปรดให้มีละครหลวงข้างในแสดงที่โรงในค่ายหลวงให้แขกเมืองดูเป็นการสนุกรื่นเริงทั่วกัน

และได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นอเนกประการ พระราชทานเงินแจกคนชราถึง ๓๘๖๓ คน ๆ ละ ๑ บาท กับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่ข้าราชการกรมการเมืองอีกเป็นเงิน ๑๒๗ ชั่งเศษ


จาก หนังสือ "พงศาวดารเมืองสงขลา"  (http://www.finearts.go.th/songkhlalibraryk/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%8C/book/10-2014-05-15-03-27-06/2-2013-01-26-21-11-08.html) ภาคที่ ๒ หน้า ๓๕ เรียบเรียงโดยพระยาสวัสดิ์คีรีศรีสมันตราษฎร์นายก (เย็น สุวรรณปัทม)

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)



กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 22 ก.ค. 14, 15:48
 ที่เรียกว่าผู้หญิงหัวพริกในหนังสือนี้ ที่จริงคือแขกดำชาวอาฟริกา เข้าใจ ว่าพวกมลายูที่ออกไปเมกกะ จะไปซื้อเด็ก ๆ คนพวกนี้มาจากพวกแขกอาหรับ จงมัก จะมีแขกดำชาวอาฟริกาอยู่ตามเมืองมลายูไม่ใคร่ขาด แม้จนทุกวันนั้น ที่เอามาถวาย ๕ คน ครั้นนี้เปนเด็ก ๆ ทั้งนั้น ในหนังสือนี้ว่าเปนผู้หญิงทั้ง ๕ คน แต่ที่จริงมีผู้ชายคน ๑ เมื่อเข้ามาอยู่ในกรุงเทพเรียกกันว่า "อ้ายยิ" โตขึ้นได้เปนตำรวจถือมัดหวายนำเสด็จ มาจนในรัชกาลที่ ๕ ที่เปนผู้หญิงนั้นอยู่ในวัง ข้าพเจ้าเคยเห็น แต่พึ่งรู้ว่าเปนคนถวาย ครั้งเสด็จสงขลาเมื่อในรัชกาลที่ ๔ ต่อเมื่อได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ สอบถามผู้หลัก ผู้ใหญ่ก็ได้ความสมจริง


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 22 ก.ค. 14, 15:53
                             มค้นหาเพิ่มเติมจาก
ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๕๓ พงษาวดารเมืองสงขลา พงษาวดารเมืองนครศรีธรรมราช พงษาวดารเมืองพัทลุง

นางสวิง เสวตะทัต พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพันตำรวจเอก พระยาอาชญาพิทักษ์ (เกษ สุนทรรัตน์) เมื่อปีมะเมีย พ.ศ. ๒๔๗๓


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 22 ก.ค. 14, 16:03
^
ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๕๓  (http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%95%E0%B9%93)

ที่เรียกว่าผู้หญิงหัวพริกในหนังสือนี้ ที่จริงคือแขกดำชาวอาฟริกา เข้าใจ ว่าพวกมลายูที่ออกไปเมกกะ จะไปซื้อเด็ก ๆ คนพวกนี้มาจากพวกแขกอาหรับ จงมัก จะมีแขกดำชาวอาฟริกาอยู่ตามเมืองมลายูไม่ใคร่ขาด แม้จนทุกวันนั้น ที่เอามาถวาย ๕ คน ครั้นนี้เปนเด็ก ๆ ทั้งนั้น ในหนังสือนี้ว่าเปนผู้หญิงทั้ง ๕ คน แต่ที่จริงมีผู้ชายคน ๑ เมื่อเข้ามาอยู่ในกรุงเทพเรียกกันว่า "อ้ายยิ" โตขึ้นได้เปนตำรวจถือมัดหวายนำเสด็จ มาจนในรัชกาลที่ ๕ ที่เปนผู้หญิงนั้นอยู่ในวัง ข้าพเจ้าเคยเห็น แต่พึ่งรู้ว่าเปนคนถวาย ครั้งเสด็จสงขลาเมื่อในรัชกาลที่ ๔ ต่อเมื่อได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ สอบถามผู้หลัก ผู้ใหญ่ก็ได้ความสมจริง

ข้าพเจ้า ในที่นี้คือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ข้อความตอนนี้ทำให้เราทราบว่า "ทาสผิวดำ" จากแอฟริกามิใช่มีเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ในเมืองไทยเราก็มีเหมือนกัน   ::)


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ก.ค. 14, 10:01
ขออนุญาตเข้าซอย "หัวพริก" ประเดี๋ยว

ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็มีการส่งเด็กชายหัวพริกมาจากพัทลุง เด็กคนนี้ไม่ชาวแอฟริกันอย่าง ๕ คนจากสงขลาในสมัยรัชกาลที่ ๔ แต่เป็นคนเผ่า "ซาไก" ที่เราเรียกกันว่า "เงาะป่า" (http://www.sac.or.th/databases/ethnic/Content/Information/sakai.html)  เรา ๆ ท่าน ๆ คุ้นเด็กคนนี้กันดีในชื่อ "คะนัง" (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87_%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%B0)

หัวพริกมีลักษณะอย่างไร มีคำอธิบายไว้ในเรื่อง "สังข์ทอง" พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

เหลือแต่เงาะป่าทรพล            หน้าตาผิดคนทั้งหลาย
หัวพริกหยิกยุ่งหยาบคาย         ตัวลายคล้ายกันกับเสือปลา

..........................

ถึงหนวดเครารุงรังช่างเป็นไร     เอาแหนบถอนเสียได้ดอกน้องเอ๋ย
หัวพริกหยิกยุ่งอย่าเยาะเย้ย      ถ้าหวีเสยสอยหย่งแล้วคงงาม


ภาพซ้ายคือ "คะนัง" ครั้งเพิ่งออกจากป่า ภาพขวาในบท "เจ้าเงาะ" ในเรื่องสังข์ทอง ไม่ต้องสวมหัวเงาะก็เป็นเงาะได้อย่างสมบูรณ์  ;D

 


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 23 ก.ค. 14, 10:12
ทำไมผมที่หยิกเป็นขอดยุ่งแบบนี้ถึงเรียกว่า "หัวพริก"
หัวพริกมีลักษณะเป็นอย่างไรคะ

ป.ล. ตอนนี้มีงานนอกเข้ามาจนถึงวันที่ 31  ขออภัยที่จะไม่มีเวลาเข้าเรือนไทย  เดือนหน้าเจอกันค่ะ


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ก.ค. 14, 11:16
ทำไมผมที่หยิกเป็นขอดยุ่งแบบนี้ถึงเรียกว่า "หัวพริก"

นั่นนะซี ฤๅคำว่า "หัวพริก" เป็นคำสแลงในสมัยนั้น   ;)

คำว่า "หัวพริก" ยังพบในคำบรรยายลักษณะคนแอฟริกันในโคลงภาพคนต่างภาษา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จารึกไว้ในวัดโพธิ์

http://www.youtube.com/watch?v=yRHJ92LeBNE#ws (http://www.youtube.com/watch?v=yRHJ92LeBNE#ws)

หัวพริกหยิกหยาบเผ้า    ผมเงาะ
ปากแสยะยิงฟันขัน      คู่เบื้อ
อยู่เขตรประเทศเกาะ    อาฟริ กาแฮ
โฉดชาติฉวีเนื้อ         แม้นหมึกเขมา ฯ

กางเกงริ้วมลิเลื้อย       ลายสุหรัด
ใส่เซื่อสีขาวเขา         ชอบใช้
เช็ดหน้าจตุรัศจัด        จีบคาด เอวเอย
เครื่องแต่งร่างร้ายไร้     เพศพล ฯ

จ่าจิตรนุกูล


(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม04.png)


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ก.ค. 14, 14:44
นั่นนะซี ฤๅคำว่า "หัวพริก" เป็นคำสแลงในสมัยนั้น    ;)

"หัวพริก" ไม่ใช่คำสแลงดอก แต่มีที่มา

คนไทยคนแรกที่พบเห็นคนแอฟริกันเท่าที่มีบันทึกเห็นจะเป็นออกขุนชำนาญใจจง


(http://www.reurnthai.com/index.php?action=dlattach;topic=4374.0;attach=19057;image)

ออกขุนชำนาญใจจงในปี ค.ศ. 1689 วาดโดย คาร์โล มารัตตา ครับ  ;) เคยอ่านประวัติท่านเป็นทูตไปยังฝรั่งเศส แต่เรือเกิดอับปางแถวแหลมกู๊ดโฮป ท่านหมดตัวไม่มีอะไรจะกิน ต้องเอารองเท้าหนังมาปิ้งไฟกิน และได้เห็นคนป่าเปลือยกาย ซึ่งก็คือ ชาวอัฟริกา ครับ

เคยอ่านพบว่าราชทูตไทยคนนี้แหละเป็นคนแรกที่เรียกคนแอฟริกาว่า "คนหัวพริก"

นักวิชาการระบุว่า คนไทยเพิ่งรู้จัก "พริก" เมื่อ ๔๐๐ กว่าปีมานี้เอง

อ่านหนังสือ "พรรณพืช ในประวัติศาสตร์ไทย" ของ ดร.สุรีย์ ภูมิภมร แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมาอีกหลายส่วน

ดร.สุรีย์ ให้ข้อมูลว่า คนที่ทำให้พริกแพร่หลายในโลกคือ ปีเตอร์ มาร์ทิล ซึ่งเป็นลูกเรือของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา นั่นเอง โดย ปีเตอร์ มาร์ทิล ได้เอาพริกจากทวีปอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิด ไปปลูกที่สเปน เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๐๙๖ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิของกรุงศรีอยุธยา

ต่อมาชาวสเปนและชาวโปรตุเกส ได้นำพริกเข้ามาเอเชีย โดยปลูกในอินเดียประมาณปี พ.ศ. ๒๑๔๓ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งราชวงศ์สุโขทัย ของกรุงศรีอยุธยา

อินเดียเป็นประเทศที่ร่ำรวยในวัฒนธรรมการกินได้ผลิตอาหารรสจัด และเป็นเจ้าตำรับเครื่องแกง พริกที่มีรสเผ็ดก็คงถูกปรับเข้าไปเป็นองค์ประกอบของอาหารเหล่านั้น และได้เผยแพร่วัฒนธรรมการกินไปยังผู้คนในประเทศใกล้เคียงในเวลาต่อมา

ดร.สุรีย์ บอกว่า ในปี พ.ศ. ๒๑๔๓ พริกจากอินเดียได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศจีนและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคงรวมถึงไทยด้วย

ถ้ายึดถือตามข้อมูลดังกล่าว ก็น่าจะสันนิษฐานว่า คนไทยรู้จัก "พริก" เมื่อประมาณ ๔๐๕ ปีที่ผ่านมา

ถ้าอย่างนั้นพริกของท่านออกขุนฯ เป็นพริกชนิดไหนกันแน่  ;)



กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 23 ก.ค. 14, 15:13
มีพริกอีกชนิดหนึ่งที่เป็นพืชพื้นเมืองของไทย ตำราแต่เดิมมักบอกว่าพริกไทยมีแหล่งกำเนิดในอินเดีย แต่ปัจจุบันมีหลักฐานใหม่จากแหล่งโบราณคดีถ้ำผีว่าพริกไทยมีแหล่งกำเนิดในประเทศไทย เมื่อประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว ที่พบทีอินเดียอาจจะแพร่ขยายมาจากบ้านเรา (ข้อมูลจาก ประวัติพรรณพืชทางศิลปวัฒนธรรมไทย  (http://www.lib.ku.ac.th/KUCONF/KC3313002.pdf))

คนไทยแต่เดิมคงเรียกพริกไทยว่า "พริก" เฉย ๆ ทีนี้เมื่อมีพริกของฝรั่งเข้ามาจึงเติมคำว่า "ไทย" เข้าไปเป็น "พริกไทย" ส่วนพริกของฝรั่งเรียกว่า "พริกเทศ"

ภายหลังพริกเทศกลายเป็นของใช้ปรุงอาหารที่สามัญ และนิยมมากกว่าพริกไทย จึงตัดคำว่าเทศไปเหลือพริกเฉย ๆ คำว่าพริกเทศนี้ ยังคงมีปรากฏเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายอยู่ในวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรื่องสิงหไกรภพของสุนทรภู่ ว่า

พระไม่เคยจะเสวย พริกเทศ  เผ็ด     เคี้ยวเข้าเม็ดหนึ่งก็น้ำพระเนตรไหล
อ้ายพรานป่าว่าแม่เจ้าอีชาวไพร       ยังกระไรบ้านกูอยู่ไม่เคย


ในสมัยของท่านออกขุนชำนาญใจจง พริกเทศคงยังไม่เข้ามาหรือเข้าแล้วไม่กี่ปียังไม่เป็นทีรู้จักกันดี ไม่เหมือน "พริก" (ไทย) ของคุ้นเคย ดังนั้น "พริกบนหัว" ของคนแอฟริกาที่ท่านขุนฯเรียกจึงหมายถึง "พริกไทย" เม็ดกลม ๆ นั่นเอง  

ขออภัยที่เข้าซอย "หัวพริก" ไกลไปหน่อย ;D

รจนากับเจ้าเงาะ "หัวพริก (ไทย)"


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 24 ก.ค. 14, 11:37
ตอนนี้กำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ มีอะไรจะแจ้งให้ทราบนะคะ


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 29 ก.ค. 14, 08:55
จะคอยขวัญใจ  (http://www.youtube.com/watch?v=FIZM3mizgGw)

จะคอย จะคอย จะคอย จะคอย ขวัญใจ   จะช้าอย่างใด จะนานเท่าไร ไม่หวั่น

(http://ptcdn.info/emoticons/smiley/อมยิ้ม16.png)


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: ammpere ที่ 10 ก.ย. 14, 15:37
กลับมาใหม่หลังจากหายไปนาน....มีคำถามที่สงสัยเพราะไปอ่านเจอในจดหมายหลวงอุดมสมบัติ..คำถามมีอยู่ว่า  "กรมการสงขลา "  คือตำแหน่งอะไรคะ


กระทู้: เรียนคุณเพ็ญชมพู.....
เริ่มกระทู้โดย: เพ็ญชมพู ที่ 10 ก.ย. 14, 16:03
ตำแหน่ง "กรมการ" เป็นตำแหน่งพนักงานปกครองที่มีมาแต่สมัยโบราณ และได้กำหนดไว้ในข้อบังคับลักษณะการปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๖ เรียกว่า กรมการเมือง ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ

๑. กรมการในทำเนียบ  เป็นตำแหน่งข้าราชการที่มีเงินเดือน ซึ่งจัดเป็น ๒ พวก กรมการชั้นผู้ใหญ่ ประกอบด้วย ปลัด ยกกระบัตร (คือตำแหน่งอัยการในปัจจุบัน) และผู้ช่วยราชการ กับกรมการชั้นผู้น้อย ประกอบด้วย จ่าเมือง สัสดี แพ่ง ศุภมาตรา (คือตำแหน่งผู้ช่วยสรรพากรในปัจจุบัน) และสารเลข

๒. กรมการนอกทำเนียบ เป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ว่าราชการเมืองในการบริหารราชการในเมืองนั้น ๆ แต่งตั้งจากบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิหรือคหบดีในเมืองนั้น ๆ โดยไม่จำกัดจำนวน และถือว่าเป็นกรมการชั้นผู้ใหญ่ บางครั้งก็เรียกว่า กรมการพิเศษ

ข้อมูลจาก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔  ;D