เรื่องการใช้สระอำ หรือ อัม ความจริงก็พอมีหลักเกณฑ์อยู่ ศาสตราจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม ให้หลักเกณฑ์ไว้กว้าง ๆ แต่ไม่ครอบคลุมถึงคำที่มาจากภาษาจีน
๑. การใช้สระ “อำ”
ก. ในกรณีที่เป็นคำไทยแท้ ๆ เช่น กำ ขำ คำ จำ ดำ ตำ ทำ นำ ฯลฯ หรือเป็นคำเขมรที่เรานำมาใช้ในภาษาไทย ได้แก่คำว่า “อำพราง” (ปิดบังโดยลวงให้เข้าใจไปทางอื่น) “อำแดง” (คำนำหน้าชื่อหญิงสามัญในสมัยโบราณ) “อำปลัง” (เคลือบคลุม) “อำพน” (มาก, ดาษดื่น, ล้วน, น่าดู, งาม, งามสล้าง) “อำพะนำ” (อมความไว้, นิ่งเฉย, ไม่พูด) “อำพัน” (ยางไม้ที่กลายเป็นหิน, สีเหลืองใสเป็นเงา) “อำไพ” (งาม, สว่าง, สุกใส) “อำเภอ” (เขตปกครองท้องที่ เล็กกว่าจังหวัด ใหญ่กว่าตำบล) “อำมหิต” (ดุร้าย, ร้ายกาจ, ทารุณ) “อำยวน” (ความลับ, ปิดบัง, พราง, อำพราง)
ข. คำที่แผลงมาจาก อ ในภาษาบาลีหรือสันสกฤต เช่น
อนรรฆ แผลงเป็น อำนรรฆ (หาค่ามิได้, เกินที่จะประมาณราคาได้)
อมฤต “ อำมฤต (น้ำทิพย์, เครื่องทิพย์)
อมาตย์ “ อำมาตย์ (ข้าราชการ, ที่ปรึกษา)
ค. เป็นคำที่แผลงจาก อ เป็น อำน เช่น
อวย แผลงเป็น อำนวย
อาจ “ อำนาจ
๒. การใช้คำว่า “อัม”
ก. คำที่มาจากภาษาบาลีหรือสันสกฤต ที่มีพยัญชนะในวรรค ป ตามหลัง เช่น อมพาต (โรคที่ทำให้อวัยวะบางส่วนตายไป กระดิกไม่ได้) อัมพวา อัมพวัน (ป่าหรือสวนมะม่วง) อัมพร (ฟ้า, อากาศ) อัมพา (แม่, หญิงดี) อัมพิล (มีรสเปรี้ยว) อัมพุ (น้ำ) อัมพุช (เกิดในน้ำ หมายถึง ปลา) คัมภีร์ สัมมา (โดยชอบ) ฯลฯ
ข. คำที่ถอดมาจากภาษาตระกูลยุโรป ที่ขึ้นต้นด้วย am และไม่มีสระตามหลัง เช่น Ambrose ถอดเป็น “อัมโบรส” Amfortas ถอดเป็น “อัมฟอร์ตาส” Amphibia ถอดเป็น “อัมฟิเบีย” เป็นต้น.
จาก
ภาษาไทยไขขาน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แพร่พิทยา. ๒๕๒๘. หน้า ๓๖๘.