เรือนไทย

General Category => ชั้นเรียนวรรณกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:29



กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:29
เขียนเรื่องสั้น 2 ตอนจบไว้เรื่องหนึ่ง     เป็นแนวสัญลักษณ์เชิงสังคม    เขียนเสร็จแล้วเกิดสงสัยว่าจะมีคนอ่านจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน  ก็เลยลองส่งให้อาจารย์สอนวิชาวรรณกรรมวิจารณ์ท่านหนึ่ง   เอาไปให้นักศึกษาอ่าน
ผลออกมา  ดูเหมือนนึกศึกษาก็จะไม่เข้าใจเรื่องนี้  ดูงงๆที่จะให้คำตอบ    ก็เลยตัดสินใจเอามาลงในเรือนไทยที่มีคนอ่านในวงกว้างกว่า
คำถามสำหรับท่านที่เข้ามาอ่านจนจบ  ที่ผู้เขียนอยากได้คำตอบคือ
"เรื่องนี้ ใครผิด?"



พ.ศ. ๒๕๖๐

   ปลิวลงจากรถสองแถวที่จอดลงหน้าตลาดของหมู่บ้าน
        หมู่บ้านนี้ไม่ได้ไกลปืนเที่ยง  แม้ว่าอยู่ห่างกรุงเทพไป ๔๐๐ กว่ากิโลเมตร  ต้องต่อรถสองแถวจากตัวจังหวัดไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง จึงจะถึงที่หมาย แต่ก็เป็นหมู่บ้านที่อยู่สบายพอใช้   ไฟฟ้าเข้าถึง  มีน้ำจากบ่อบาดาลของหมู่บ้านที่ไหลแรงจากก๊อก   มีตลาดขนาดเล็กที่มีของกินของใช้ครบครัน
    บ้านของเขาอยู่ห่างจากจุดจอดรถไปประมาณ ๑๐๐ กว่าเมตร   เป็นร้านขายของชำเก่าแก่ที่เพิ่งเปลี่ยนจากห้องแถวไม้สองชั้นมาเป็นตึกแถวสองชั้นได้หมาดๆ    กลิ่นสียังระเหยกรุ่นอยู่ในร้าน
     ตึกแถวที่ว่านี้มี ๕-๖ ห้องเรียงติดกัน   ร้านของชำอยู่ช่วงกลางๆ   พ่อแม่ของปลิวอาศัยอยู่ชั้นบน  ชั้นล่างเปิดเป็นร้านค้า        มีรายได้ดีพอจะส่งลูกสาวลูกชาย ๓ คนให้เรียนจนจบได้ตามต้องการ
      ลูกชายคนโตและลูกสาวคนกลางเรียนจบจากวิทยาลัยในจังหวัด   ส่วนปลิว คนสุดท้องไปไกลกว่าเพื่อน คือไปเรียนในกรุงเทพ  ไม่ได้กลับมาทำงานในตัวจังหวัดอย่างพี่ทั้งสอง
       พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัย  เขาได้งานแรกเป็นเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิแห่งหนึ่ง ทำงานช่วยเหลือคนประสบเคราะห์กรรมกะทันหัน เช่นบ้านไฟไหม้     หรือประสบภัยธรรมชาติต่างๆ   ต่อมาก็ได้งานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในหน่วยราชการ  ซึ่งมีสิทธิ์สอบเข้าเป็นข้าราชการในภายหลังด้วย   ปลิวจึงลาออกจากงานแรก  แต่ก็ยังหาโอกาสไปช่วยเป็นอาสาสมัครบางครั้งบางคราวเมื่อมีเวลาว่าง
   เขาเดินดุ่มๆผ่านหน้าร้านแต่ละร้าน   ไม่ได้มองหน้ามองตาใคร   แม้ว่าหลายคนจำเขาได้  แต่ก็ไม่มีใครร้องทักทาย  ได้แต่มองๆแล้วเมินไปอีกทาง     


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:30
       เขาผ่านร้านตัดผมของน้าแจ้   มองผ่านกระจกหน้าร้านใหม่เอี่ยมมองเข้าไปเห็นเก้าอี้หน้ากระจกเงาเรียงรายอยู่ ๓-๔ ตัว ล้วนแต่ใหม่พอกัน   บ่ายๆอย่างนี้ร้านว่าง  ไม่ค่อยมีลูกค้า   แกก็เลยออกมานั่งเล่นอยู่หน้าร้าน  จึงเหลียวมาเห็นเขาอย่างจัง
   ปลิวยกมือไหว้ตามความเคยชิน   น้าแจ้จ้องมอง แต่ไม่รับไหว้    สะบัดหน้าไปอีกทางราวกับสาวแสนงอน  แถมถ่มน้ำลายปรี๊ดลงไปบนพื้นถนน
   เขารีบจ้ำให้เร็วขึ้น ไปถึงร้านของชำ  ข้าวของในร้านเพิ่งจัดใหม่ได้ไม่นาน วางเป็นระเบียบอยู่บนชั้น  ฝาผนังทาสีใหม่เอี่ยมสะอาด  กลิ่นสียังอวลอยู่จางๆ      ลูกจ้างที่มีอยู่หนึ่งคนกำลังหยิบของส่งลูกค้า     หล่อนหลบตา  รีบหันหลังให้       ปลิวก็เลยไม่ทักทาย   เดินเข้าไปหาพ่อซึ่งนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หลังโต๊ะสุดมุมร้าน   กำลังนับเงินในลิ้นชัก แยกแต่ละชนิดเป็นปึกเล็กๆ   เพื่อจะเอาไปส่งธนาคารก่อนเวลาปิดทำการ
   เขายกมือไหว้พ่อ    พ่อทำหน้ายู่ยี่เมื่อเห็น   ถามว่า
   “ มาแล้วรึ”
   คำทักมีแค่นี้  นับธนบัตรเสร็จ พ่อก้มหน้าก้มตานับเศษสตางค์ใส่ถุงต่อไป  ไม่มีท่าทีจะพูดด้วยอีก   ปลิวก็เลยเดินเลยไปที่ครัวสร้างใหม่ทางด้านหลัง    ได้กลิ่นหอมฉุยลอยมา แสดงว่าแม่กำลังทำกับข้าวมื้อเย็น
   คำทักของแม่เมื่อเหลียวมาเห็นลูกชายคนเล็ก คือ
   “ เอาของขึ้นไปข้างบนก่อนซี”
   ปลิวไหว้แม่   ชวนคุยว่า
        “ แม่ทำกับข้าวอะไรน่ะ?”
   “ เออ! ทำอะไรก็แด-เข้าไปเถอะ    ถ้าไม่ถูกปาก เอ็งก็ไปหาข้างนอกแด-เอาเอง”
   จบคำทักทายกันแค่นี้   เดินหงอยๆขึ้นไปชั้นบน    ห้องที่สร้างใหม่แบ่งเป็น ๒ ห้อง  ด้านหน้าและด้านหลัง     ห้องเล็กๆด้านหน้าเป็นที่พักของเขา วางเป้ลงบนพรมน้ำมัน  จะให้ขังตัวเองอุดอู้อยู่ในห้องก็ทนไม่ไหว   เขาก็เลยลงบันไดมาชั้นล่าง
   พ่อถามทันที
   “ มึงจะออกไปไหน     อย่าข้ามถนนไปอีกนะ  กูสั่งไว้เลย”
   “ จะไปกินกาแฟร้านเฮียหน่ำหน่อยน่ะ พ่อ”
   ร้านก๋วยเตี๋ยวของเฮียหน่ำอยู่ถัดไปจากร้านของชำของพ่อ   เดิมเป็นร้านไม้เก่าๆมืดๆ  ตอนนี้เป็นร้านใหม่ สีสันยังผ่องสะอาด   โต๊ะเก้าอี้เหล็กของใหม่ทั้งชุด   แต่ยังจัดวางในลักษณะเดิม
        บ่ายๆแบบนี้  ร้านค่อนข้างว่างลูกค้า     เฮียหน่ำก็เลยไม่ได้ประจำการอยู่หลังตู้กระจกด้านหน้าที่แกใช้เป็นที่ปรุงก๋วยเตี๋ยว  แต่ออกมานั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะตัวหน้าสุด


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:32
        ปลิวเดินเข้าไปในร้าน  ยกมือไหว้ชายที่เห็นเขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย    เฮียหน่ำมองตอบ พยักหน้ารับรู้อย่างเสียไม่ได้   ถามห้วนๆ
   “  จะเอาอะไร”
   “ ขอเส้นเล็กต้มยำ  กับกาแฟเย็น ครับ” ปลิวแข็งใจตอบเสียงสุภาพ ทั้งๆเขาเองก็รู้สึกฝืดเฝื่อนขึ้นมาเหมือนกัน
   เฮียหน่ำลุก เดินลากขาไปปรุงก๋วยเตี๋ยว   ท่าทางเห็นชัดว่าแกไม่เต็มใจ  จนปลิวอยากจะคืนคำสั่ง แล้วเดินออกจากร้านไปเสียรู้แล้วรู้รอด    แต่เขาก็รู้ดีว่า ถ้าทำเช่นนั้นจะยิ่งจะเป็นการประกาศศัตรูกับเพื่อนบ้าน ให้เรื่องเลวร้ายหนักยิ่งขึ้นอีก
   เขามองออกไปนอกร้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องสบตาขุ่นเขียวของเฮียหน่ำ    อีกฟากหนึ่งของถนนเป็นห้องแถวร้านค้าสลับบ้านเรือน   บ้านสองชั้นหลังที่เขาจำขึ้นใจยังคงตั้งอยู่  
        ตัวบ้านเก่าโทรม  นอกตัวบ้านยังมีสัมภาระเก่าๆกองสุมอยู่เหมือนขยะ     พื้นดินรกเรื้อด้วยวัชพืช  อย่างเดียวที่ทำให้รู้ว่ายังมีคนอยู่อาศัย  ไม่ใช่บ้านร้าง คือหน้าต่างบางบานเปิดไว้   เช่นเดียวกับประตู     ทุกอย่างเงียบเชียบไม่มีการเคลื่อนไหว
       เฮียหน่ำกระแทกชามก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะ   ตามมาด้วยแก้วกาแฟเย็น     ปลิวจำได้ว่าแกปรุงรสได้เข้มข้นถูกปากลูกค้า ชนิดไม่ต้องเติมพริกป่น หรือน้ำส้มน้ำปลาให้เสียเวลา      แต่ครั้งนี้ก๋วยเตี๋ยวทั้งชามจืดชืดเหมือนต้มกับน้ำเปล่า   ลูกชิ้นยังไม่สุกดีด้วยซ้ำ   กาแฟเย็นที่เคยเข้มข้นก็เฝื่อนเหมือนกินน้ำล้างถุง
เขาไม่ได้คิดไปเอง   เฮียหน่ำส่งถ้อยคำมาในสายตาว่า
       “ มึงกินได้ก็กิน   กินไม่ได้ก็เรื่องของมึง”
       เขากล้ำกลืนอาหารลงไปอย่างฝืดคอ    พยายามจะกินให้หมดก็กินไม่ลง   วางเงินไว้เป็นค่าอาหารโดยไม่รอเงินทอน แล้วลุกออกไป  ได้ยินเสียงเฮียหน่ำกระแทกชามกระแทกแก้วกาแฟอย่างไม่กลัวแตกไล่หลังมา
       เหลืออย่างเดียว คือแกไม่ได้เปล่งคำพูดดังๆออกมาว่า
       “ อย่ามากินร้านกูอีกนะ   ไม่ต้อนรับ”    
   ปลิวเดินเรื่อยเปื่อยไปตามริมถนน    เพื่อนบ้านทุกคนรู้จักเขาดี บางคนก็เห็นมาตั้งแต่เขาเกิด    แต่ทุกคนไม่ทักทาย หรือทักก็อย่างเสียไม่ได้    ผ่านหน้าร้านหนึ่ง เขาได้ยินเสียงด่าลอยๆ แว่วมา
   เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา   ตอนนี้ บ่ายสามโมง   ยังมีรถเที่ยวเย็นออกจากตัวจังหวัดไปกรุงเทพ   แต่กว่าจะถึงสถานีปลายทางก็ใกล้สว่าง  เพราะต้องแวะกลางทางด้วย
   ปกติ ปลิวไม่ชอบนั่งรถข้ามจังหวัดตอนกลางคืน   ไม่ไว้ใจฝีมือคนขับ  ทั้งพวกตีนผีและพวกหลับใน แต่คราวนี้เห็นทีจะต้องยอม
        เขาเดินกลับไปที่ร้าน  เพื่อไปเอาเป้ลงมาจากชั้นบน   แล้วพูดสั้นๆว่าขอลาพ่อแม่กลับกรุงเทพ


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:35
พ.ศ. ๒๕๕๙

       หลังจากไม่ได้กลับบ้านเสีย ๓ ปีนับแต่เรียนจบ     ปลิวก็ตัดสินใจกลับไปเยี่ยมบ้านสักทีในช่วงหยุดสงกรานต์
       เขาไปถึงบ้านเอาตอนบ่ายคล้อย     พ่อนั่งคิดบัญชีอยู่สุดมุมร้านตามเคย  ลูกจ้างสาวคนเดียวในร้านกำลังหยิบของให้ลูกค้า  ส่วนแม่อยู่ในครัวหลังบ้าน
       พ่อแม่ต้อนรับลูกชายคนเล็กด้วอย่างดีอกดีใจ   เล่าข่าวสารทุกข์สุกดิบของลูกชายคนโตและลูกสาวคนรอง ซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด     พี่ชายทำงานเทศบาล     พี่สาวเปิดร้านเสื้อผ้าให้เช่า   แล้วยังเป็นตัวแทนประกัน   เรียกว่ามีรายได้เลี้ยงตัว หมดห่วงกันไปแล้วทั้งคู่
       เมื่อรู้ว่าลูกชายคนเล็กมีโอกาสจะได้บรรจุเป็นข้าราชการ  พ่อแม่ก็ดีใจจนออกนอกหน้า   เก็บไว้ไม่อยู่ ต้องเดินออกไปอวดเพื่อนบ้านใกล้เคียง  จนปลิวนึกกระดากต้องห้ามให้เพลาๆ
        “ ยังไม่ได้เป็น   แม่  ยัง   ต้องสอบก.พ.ให้ได้ก่อน ถึงจะมีสิทธิ์”
         “ โอ๊ย! ยังไงก็ได้” แม่ตอบด้วยเสียงเชื่อมั่น “ พรุ่งนี้ไปขอน้ำมนต์หลวงพ่อท่านรดหน่อยนะ    น้ำมนต์ท่านฉมังนัก”
         ปลิวรู้สึกสบายอกสบายใจที่ได้กลับมาบ้าน     แม้เหงาหน่อยเพราะเพื่อนๆวัยเด็กที่โตเป็นหนุ่มสาวมาด้วยกันต่างแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพที่อื่น   ไม่มีใครเหลือติดหมู่บ้าน
         “ มีแต่คนแก่กับเด็กๆ ที่พ่อแม่มันเอามาฝากปู่ย่าตายายเลี้ยง”
         พ่อพูดถึงชะตากรรมของหมู่บ้านที่ไม่แตกต่างกันนัก  ในแต่ละตำบล
         มีเพื่อนคนเดียวที่เหลือติดบ้านอยู่
         “ ไอ้ต๋องมันยังอยู่ไหม แม่?” เขาถามเรื่อยเปื่อย  คิดว่าคำตอบคงเหมือนก่อนหน้านี้  คือไม่มีใครอยู่บ้านเกิดอีกแล้ว
         “ อยู่  ก็ยังอยู่บ้านมันน่ะละ” แม่ตอบ ตรงกันข้ามกับที่ลูกชายคิด “แต่เอ็งอย่าไปหามันดีกว่า  ต่างคนต่างอยู่ดีแล้ว”
          “ อ้าว! ทำไมล่ะ?” ปลิวแปลกใจ


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:37
      ต๋องเป็นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่ประถมปีที่ ๑    จนจบมัธยมปีที่ ๓ แล้วแยกย้ายกันไป    ปลิวสอบเข้าชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนประจำจังหวัด   ส่วนต๋องไปเรียนด้านอาชีวะ  ไม่ได้เจอกันอีก
      ทางบ้านของต๋องรวยกว่าใครเพื่อนในหมู่บ้าน    นอกจากมีไร่นาหลายสิบไร่แล้ว   พ่อยังเป็นเจ้ามือหวย   แม่เองก็ปล่อยเงินกู้          ต๋องเป็นลูกชายคนเดียวจึงอยู่อย่างอู้ฟู่มากกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน   เขาเป็นคนเดียวที่มีเค้กวันเกิดมาฉลองที่โรงเรียน   ตอนอยู่ม. ๓  ถึงวันวาเลนไทน์ก็มีเงินซื้อกุหลาบแดงงามๆมาแจกให้เพื่อนสาวๆทั้งห้อง     มีเงินเช่ารถสองแถวพาเพื่อนๆไปดูคอนเสิร์ตของนักร้องลูกทุ่งที่มาเปิดในตัวเมือง
     หลังจากแยกทางกันไป  ปลิวไม่เคยเจอเพื่อนเก่าอีก    เวลากลับมาเยี่ยมบ้าน   เขาเดินข้ามถนนไปบ้านต๋องซึ่งอยู่ฟากตรงข้าม   ก็คลาดกันไม่เคยพบ    แม่บอกเขาว่า
     “ ต๋องมันไปเรียนต่อกรุงเทพ”
      ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นกัน  คือเมื่อพ่อของต๋องถึงแก่กรรม   ตั้งศพสวดที่บ้าน     ปลิวไปช่วยงาน  ช่วยจัดเก้าอี้   ยกน้ำเสิฟให้แขก   เห็นเพื่อนเก่าเพียงไกลๆ  ไม่มีโอกาสพูดคุยกัน
      จากนั้น ภาพของต๋องก็เลือนหายไป เช่นเดียวกับเพื่อนเก่าคนอื่นๆ
      จนได้ยินเสียงแม่ห้าม เขาก็นึกแปลกใจ  สงสัยว่าต๋องเจ็บป่วยเป็นอะไรที่แพร่เชื้อติดต่อได้หรือเปล่า
      “ มันป่วยเป็นอะไรรึเปล่า แม่  เลยไม่ให้ไปเยี่ยม”
      “ เหอะ! บอกว่าอย่าไปก็อย่าไปแล้วกัน      แถวนี้ไม่มีใครเขาอยากคบค้ามันหรอก”  แม่ก็เกิดตัดบทขึ้นมาเสียเฉยๆ 
       ในเมื่อแม่ห้าม   ปลิวก็ไม่อาจเดินข้ามถนนไปหาเพื่อนเก่าได้อีก   ได้แต่ยืนมองบ้านนั้นด้วยความพิศวง
      บ้านของต๋องไม่ใช่ร้านค้าอย่างบ้านของเขา  แต่เป็นบ้านไม้สองชั้นหน้าตาโอ่อ่าพอสมควร    เพียงแต่ไม่มีรั้วกั้นทั้งด้านหน้าและด้านข้าง    ตามแบบบ้านในชนบทที่ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องมีรั้วรอบขอบชิด    มีแต่ต้นไม้ปลูกไว้หรอมแหรมพอเป็นแนวเขต  ตัวบ้านดูทรุดโทรมเหมือนเจ้าของปล่อยปละละเลย เกือบจะดูเป็นบ้านร้าง   


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:39
    ตกค่ำ หลังจากกินข้าวแล้ว    ปลิวออกมานั่งรับลมหน้าร้าน    มองไปเห็นหญิงชราเดินก้มๆเงยๆ อยู่หน้าบ้าน   เพ่งหลายทีจึงค่อยจำได้ว่าเป็นแม่ของต๋อง
        ไม่ได้เห็นมาหลายปี   นางดูชราลงไปมาก  จนเหมือนเป็นคราวแม่ของแม่เขา   ไม่ใช่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ปีอย่างในความเป็นจริง
       “ ป้า...ป้าสุข” ปลิวตะโกนเรียก   แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนไม่ได้ยิน
       เขาก็เลยลุกเดินข้ามถนนไปหา    แต่ช้าไปแล้ว   นางสุขเดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งมีแสงไฟสลัวๆส่องลอดออกมา     มีเสียงเอะอะเอ็ดตะโรแว่วจากในห้อง ทำให้ปลิวชะงัก   ลังเล 
       เสียงโหวกเหวกโวยวายตามมาด้วยเสียงภาชนะแตกเพล้งๆๆติดต่อกัน     เสียงหญิงชราร้องอุทานแหบเครือ    ตามมาด้วยเสียงผู้ชายด่าลั่นๆด้วยคำหยาบคาย
       ต่อจากนั้นคือเสียงผู้หญิงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
       “ โอ๊ย! อย่า..อย่าทำ    แม่เจ็บ...ปล่อย!  แม่กลัวแล้ว    ปล่อยแม่เถอะ  ลูกจ๋า    อย่าทำแม่”
       ปลิวหมดความลังเล    เผ่นเข้าไปในบ้าน   ในเมื่อประตูแค่ปิดแง้มไว้เขาจึงเปิดพรวดเข้าไปในห้องได้ทันที


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:42
บทที่ ๒

      ภาพที่เห็นคือผู้ชายร่างผอม ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง กำลังจิกผมหญิงชรา กระชากจนหัวสั่นหัวคลอน   อีกมือก็ฟาดลงไปตามใบหน้าและร่างกายท่อนบนอย่างไม่นับ
      ฝ่ายถูกทำร้าย ร้องกรีดลั่น   ยกมือไหว้ปลกๆขอความเมตตา  แต่อีกฝ่ายจะปล่อยก็หาไม่    ยังคงตบตีไม่ยั้ง
      ปลิวตรงเข้าไปกระชากมือฝ่ายชาย    เหวี่ยงฝ่ายนั้นออกไปเต็มแรง    หงายหลังก้นกระแทกพื้นดัง “ปั้ก” แล้วล้มก้นจ้ำเบ้ากองอยู่ตรงนั้น
      เขาหันไปประคองหญิงชราขึ้น   นางร้องไห้ฮือๆน้ำตาอาบน้ำ ตัวสั่นเทา
      “ ป้าสุข    นี่มันอะไรกันน่ะ ป้า”
       ไม่มีเสียงตอบ    ปลิวจึงหันไปมองฝ่ายชาย   มองฝ่าผมเผ้าหนวดเครารุงรังของชายร่างผอมเกร็งเข้าไปจนเห็นดวงหน้า   ครางออกมา
      “ อ้าว! ไอ้ต๋อง”
      เพื่อนเก่าของเขานั่นเอง    สารรูปไม่ต่างจากคนบ้าที่เดินกระเซอะกระเซิงอยู่ริมถนน     มีแต่แววตาที่มองออกมา แสดงว่ารับรู้ทุกอย่างได้
      เขายันตัวลุกขึ้น ยืนโงนเงนไปมา
      “ ไอ้ระยำ   เรื่องอะไรของมึง  เสือก...” เสียงด่าเขาพรั่งพรูออกมาราวกับห่าฝน
      นางสุขยังคงจับแขนชายหนุ่มไว้แน่น     ตัวสั่นเทิ้ม    ปลิวจึงตัดสินใจประคองนางออกมาจากห้อง  มายังบริเวณด้านหน้าตัวบ้าน   ส่วนลูกชายยังคงยืนจังก้า  ด่าโขมงอยู่ตามลำพัง
      นางสุขลงนั่งบนม้ายาวเก่าๆจะพังมิพังแหล่   ยกชายเสื้อคอกระเช้าขึ้นเช็ดน้ำตา
      “ มันเรื่องอะไรกันน่ะ ป้า” ปลิวซัก “ ไอ้ต๋องมันป่วยหรือครับ  ทำไมไม่มีใครเอาไปโรงพยาบาล”
      “ เอาไปแล้ว” นางสุขตอบ เสียงกะท่อนกะแท่น “ เอาไปหลายหนแล้ว     ไม่นานหมอเขาก็ปล่อยออกมา   มันก็..ก็เป็นงี้แหละ”
      “ โธ่!มันบ้า    ป่วยทางจิตน่ะเอง” ปลิวครางออกมาอย่างเข้าใจ “ แต่ไม่ไหวนะป้า    ต้องให้กินยาสม่ำเสมอ   ไม่งั้นมันคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ทำร้ายป้า   จะไหวหรือ”
       “ ไหวไม่ไหว ก็ต้องไหวละ” นางสุขซับน้ำตาอีก “ ยามันก็กินมั่งไม่กินมั่ง    บางทีมันก็เขวี้ยงยาทิ้ง    ป้าก็จนปัญญา     ไม่รู้จะทำยังไง”


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:44
      นี่ก็ปัญหาอีกข้อที่ปลิวเคยเห็นในตัวคนไข้    หลายครั้ง เขาไปกับรถกู้ภัย ต้องช่วยกันจับคนป่วยที่เอะอะอาละวาดไปส่งหมอ    อย่างหนึ่งที่รู้คือพวกนี้ไม่ค่อยกินยา   อาการก็จะกำเริบได้ง่าย
      เสียงโครมครามในห้องเงียบไปแล้ว   มีเสียงเปิดปิดประตู    แสดงว่าต๋องออกไปจากบ้านทางด้านหลัง
      นางสุขกล่าวขอบอกขอบใจปลิว ก่อนจะกระย่องกระแย่งกลับเข้าไป    ทิ้งท้ายไว้ว่า
      “ ป้าขึ้นห้องใส่กลอน   มันเข้าไม่ได้  ไม่ต้องห่วง”
      แต่ปลิวก็ยังเป็นห่วง    เดินเหลียวหน้าเหลียวหลังข้ามถนนกลับมาบ้าน 

      หน้าบ้าน   พ่อแม่ยืนรออยู่   หน้าบอกบุญไม่รับด้วยกันทั้งคู่
    “ เอ็งไปบ้านยายสุขทำไม   หา!” แม่เท้าสะเอวถามเสียงขุ่นเขียว “แม่บอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าอย่าไปยุ่งกับบ้านนั้น”
     ปลิวเดาว่าพ่อแม่เป็นห่วงเขา ไม่อยากให้เข้าใกล้คนติดยา       เขาก็เลยพยายามอธิบาย
     “ ผมเห็นป้าสุขแกถูกไอ้ต๋องตีเอาๆ เหมือนตีหมูหมา    ผมทนไม่ได้       ไม่มีใครช่วยแก ผมก็ต้องไปช่วย”
     พ่อนิ่วหน้า
    “ ไปแจ้งความให้ตำรวจมาลากคอไปไม่รู้กี่หนแล้ว     ไอ้ต๋องมันติดยาจนเป็นบ้า ฟั่นเฟือน  แทนที่จะเข้าคุกก็ต้องไปโรงพยาบาลแทน    หมอเขารักษาซักพักก็ปล่อยกลับบ้าน  มันก็มีอาการอีก     
     ตรงกับที่ป้าสุขบอกเขา     ปลิวถอนหายใจเฮือกใหญ่
     “ ปล่อยยังงี้ไม่ไหวนะ พ่อ   ป้าสุขแกจะตายคาตีนไอ้ต๋องเอาน่ะซี”
     “ ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน” พ่อพูดเสียงเซ็งๆอย่างหมดท่า “ แต่เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก  ยายสุขมันหนังเหนียว   ไอ้ต๋องก็ผอมโซเหมือนหมาข้างถนน  ไม่น่าจะมีแรงตีแม่ถึงตาย”
      “ อย่าไปยุ่งกับมันก็แล้วกัน  ได้ยินไหม “ แม่กำชับ หน้ายังคงหงิกงอ “ แถวนี้เขากลัวมันทั้งนั้น     ไม่มีใครอยากแส่หาเรื่องมาใส่ตัวหรอก    ปล่อยมันไว้ยังงั้นเหอะ”


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:46
      ปลิวยอมรับว่าหงุดหงิดอยู่บ้างที่พ่อแม่ ตลอดจนเพื่อนบ้านใกล้เคียงกลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ   ไม่ดูดำดูดีหญิงชราน่าสงสารได้ลงคอ   ในเมื่อก็เห็นกันมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว      หลายคนก็เคยเป็นลูกหนี้ไปยืมเงินป้าสุขด้วยซ้ำ
      บัดนี้ฐานะแกตกต่ำ  เหลือบ้านหลังเดียว กับเงินเล็กน้อยพออยู่ไปวันๆ   พวกชาวบ้านที่เคยยกย่องแก เรียก ‘เจ๊’ ทุกคำ  ก็พากันหลีกเลี่ยงราวกับกลัวโรคระบาด

      ปัญหาเกิดขึ้นอีกใน ๒ วันต่อมา
      พ่อแม่กับชาวบ้านอีกหลายคน นัดกันไปงานสวดพระอภิธรรมอดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่ในตัวจังหวัด ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย        จึงต้องปิดร้านเร็วกว่าทุกวัน    ปลิวก็เลยอาสาอยู่เฝ้าร้านให้ เพื่อจะได้เปิดจนค่ำมืดตามปกติ    ส่วนลูกจ้างกลับบ้านไปแล้วตั้งแต่เย็น
      เขาเริ่มปิดประตูเหล็กม้วนหน้าร้าน  ยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากบ้านตรงข้าม     เสียงป้าสุขร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง 
      ปลิวเผ่นพรวดข้ามถนน ตรงไปที่บ้านนั้น   กระชากประตูเปิด  เห็นภาพที่เดาไว้แล้วว่าจะเห็น คือเจ้าต๋องกำลังเงื้อม้านั่งไม้ตัวเล็กๆ ฟาดแม่ที่ทรุดลงไปนั่งพับเพียบ
      ป้าสุขยกมือไหว้ปลกๆขอร้องลูกชาย  ปากก็ร้องลั่น
      “ อย่า..ลูก  อย่า! แม่กลัวแล้ว  แม่กลัวแล้ว”
       ชายหนุ่มถลันเข้าไปแย่งม้านั่งมาจากมือเพื่อนเก่าอย่างง่ายดาย   กระแทกมันผงะหงายล้มลงไป    พอจะลุก ปลิวก็ฟาดม้านั่งลงไป ไม่แรงนัก เอาเท้าเหยียบอกอีกฝ่ายไว้  เงื้อม้านั่งแทนอาวุธ
       “ อย่านะมึง  ไอ้ต๋อง   มึงหยุด   ไม่งั้นกูกระทืบแหลก”
        เจ้าต๋องฟั่นเฟือนขนาดไหนเขาไม่รู้   รู้แต่ว่ามันฟังเขาออกทุกคำ   มันก็หยุดต่อสู้ทันที   นอนครางเสียงอ่อยๆอยู่ตรงนั้น
        ปลิวหันไปทางป้าสุข  ทิ้งม้านั่งในมือ ตรงไปพยุงแกขึ้น   ป้าสุขร้องไห้ฮือๆ  ปล่อยให้เขากึ่งลากกึ่งอุ้มแกออกจากห้อง มานั่งอยู่บนม้าหน้าบ้าน
        “ โธ่!ป้า” เขาคราง สงสารจับใจ เมื่อเห็นรอยแตกที่ปลายคิ้ว เลือดไหลเปรอะ   “ผมสงสารป้าจัง    ทำไมป้าไม่ไปอยู่ที่อื่นให้รู้แล้วรู้รอด     อยู่ยังงี้อีกไม่ช้าต้องตายแน่”
        ป้าสุขเองก็น้ำตาไหลพราก ตอบเสียงเครือ
        “ จะไปไหนล่ะ     ไอ้ต๋องมันจะอยู่ยังไงคนเดียว   เราก็เหลือกันสองคนแม่ลูก”
        “ มันไม่ใช่ลูกแล้วนะป้า  ทำแม่ขนาดนี้   ทำไมป้าไม่ไปขอให้ผู้ใหญ่แดงช่วยล่ะ  เขาคงไม่ปล่อยไว้ยังงี้หรอก”
         ป้าสุขพยักหน้า
         “ ผู้ใหญ่แดงก็พยายามช่วยนะ ไม่ใช่ไม่ช่วย  แต่มันมีบัตรคนไข้  ตำรวจเลยเอามันเข้าคุกไม่ได้     ต้องส่งหมอ  ไม่นานมันก็กลับมา  วนเวียนอยู่ยังงี้..”


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:48
      แกยกชายเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
      “ ป้าก็อยากตายให้รู้แล้วรู้รอดเหมือนกัน”
      เจ้าต๋องไม่ได้ตามออกมา     เมื่อปลิวประคองป้าสุขเข้าไปในบ้านเพื่อส่งแกขึ้นห้องนอน  ก็ไม่เห็นมันอีกแล้ว    ป้าสุขบอกว่าลูกชายชอบเดินเพ่นพ่านไปตามถนนตอนกลางคืน   แต่ไม่ทำอันตรายใคร
      หัวใจปลิวหนักอึ้งเมื่อกลับมาถึงบ้าน      เขานึกไม่ออกจริงๆว่าจะช่วยป้าสุขได้ด้วยวิธีใด     เรื่องจะขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่นั่นอย่าหวัง   แม้แต่เพื่อนบ้านใกล้เคียง ก็ดูเหมือนไม่มีใครอยากข้องแวะด้วย   ทุกคนนิ่งดูดายกันอย่างไม่น่าเชื่อ

    ปลิวไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าเขาเข้าไปช่วยป้าสุขอีกแล้ว   ไม่อยากถูกเอ็ดอีกหลายยก   เวลาผ่านไปทั้งวันโดยไม่มีเรื่องราว   
   คืนนั้นทุกคนเข้านอนตามเวลาที่เคยนอน     ปลิวมาตกใจตื่นกลางดึกเมื่อได้กลิ่นเหม็นไหม้พลุ่งเข้าจมูกจนสำลัก  กระอักกระไอเป็นการใหญ่  ลืมตาตื่นพบควันคลุ้งเต็มห้อง
   ไฟไหม้!
   เขาโดดพรวดลงจากเตียง  พุ่งตัวไปที่หน้าต่าง มองออกไปก็เห็นเปลวเพลิงลุกสว่างจ้าอยู่ข้างล่าง     ไอร้อนระอุลอยพลุ่งขึ้นมา
   ปลิวร้องเรียกพ่อแม่เสียงหลง    วิ่งออกจากห้องไปทุบประตูห้องพ่อแม่  ก่อนจะวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง     ทุกอย่างขาวมัวอยู่ในควันที่ตลบเต็มห้อง 
   พ่อแม่วิ่งถลาล้มลุกคลุกคลาน   แต่มีสติพอจะนึกออกถึงประตูด้านหลัง   ก็วิ่งไปถอดกลอน  พาตัวเองออกมาจากบ้านได้อย่างหวุดหวิด   เสียงเพื่อนบ้านใกล้เคียงเริ่มเอะอะโวยวาย  ร้องบอกกันลั่นเป็นทอดๆไปทั้งถนน
   ไฟลุกโพลงอยู่หน้าร้าน     แล้วลามติดประตูเฟี้ยมบานไม้หน้าร้าน  ลุกลามเข้ามาถึงในร้าน   สินค้าในร้านหลายอย่างกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี     พ่อแม่ลูกหลุดออกประตูหลังมาได้นาทีเดียว ร้านทั้งร้านก็เต็มไปด้วยเปลวไฟ     แล้วลามเลียไปถึงห้องใกล้เคียงทั้งด้านซ้ายและขวา
   เปลวไฟเกิดจากขยะที่มีมือดีขนมาสุมไว้หน้าร้าน  ราดน้ำมันรถแล้วจุดไฟเผา   
        ทุกคนหาตัวมือเพลิงไม่ยาก   เพราะมีรอยน้ำมันหกเรี่ยราดเป็นทางระหว่างหน้าร้านของชำกับบ้านของนางสุข   ขยะบางชิ้นก็หล่นอยู่หน้าบ้าน
        มิหนำซ้ำ   ไอ้ต๋องออกมายืนเท้าสะเอวอยู่หน้าบ้าน ระหว่างชาวบ้านวิ่งกันชุลมุนช่วยกันดับไฟ    หัวเราะชอบอกชอบใจ


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:51
      เมื่อรู้สาเหตุว่าไอ้ต๋องตามมาแก้แค้นปลิว ที่ไปมีเรื่องกับมัน   ผลก็คือคำด่าหลั่งไหลเป็นห่าฝนจากพ่อแม่
      ปลิวไม่เคยเห็นพ่อเดือดดาลเรื่องอะไรมากเท่านี้มาก่อน   ขนาดวิ่งไปคว้าไม้กวาดมาฟาดกระหน่ำบนหลังไหล่หัวหู    ไม่ฟังเสียงร้องลั่นของลูกชาย ตลอดจนคำร้องถาม
     “ พ่อ   พ่ออย่าตี   พ่อทีฉันทำไม    คนเผาบ้านคือไอ้ต๋องนะ ไม่ใช่ฉัน”
     พ่อตีจนไม้กวาดหัก    ลงนั่งหอบแฮกๆ เนื้อตัวสั่นกระเพื่อมไปหมด   ชี้หน้าลูกชาย
      “ ถ้ามึงไม่ไปมีเรื่องกับมัน   ไอ้ต๋องมันจะมาเผาบ้านกูเหรอ    กูห้ามแล้วใช่ไหม ไม่ให้ไปยุ่ง   มึงไม่เชื่อ   จนฉิบหายวายวอดแล้วไหมล่ะ  ไอ้ระยำ”
      แม่เองก็กรากเข้ามาตบตีลูกชายอีกหลายฉาด   เมื่อพ่อหยุดมือแล้วเพราะเหนื่อย
      “ นี่..นี่แน่ะ นี่แน่ะ   ไอ้ลูกเวร    ห้ามเท่าไรไม่ฟัง  คนอย่างมึงเกิดมาล้างผลาญพ่อแม่จริงๆนะ  ไอ้..”
       ไม่ใช่แต่พ่อแม่   เพื่อนบ้านสองข้างร้านก็กรากเข้ามาชี้หน้าด่าเขาเสียไม่นับเหมือนกัน 
       ร้านก๋วยเตี๋ยวเฮียหน่ำถูกไฟไหม้ทั้งหมด     แกกับเมียขวัญหนีดีฝ่อ    คว้าของติดมือออกมาได้เพียง ๒-๓ อย่าง  ส่วนทางขวาของร้านของชำเป็นร้านตัดผมของน้าแจ้  มีน้ำยาสารพัดชนิด    ผ้าม่าน และอะไรอีกหลายชนิดที่ติดไฟแล้วลุกลามดับไม่อยู่  น้าแจ้เนื้อตัวสั่นไปหมดไม่รู้จะขนอะไรหนีก่อน  ได้แต่ยกข้าวของเท่าที่คว้าได้เอาไปกองไว้กลางถนน   แล้วยืนทอดอาลัยมองไฟกลืนร้านของตน
       ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านแห่กันมาช่วยดับไฟ  นับว่าโชคดีที่น้ำประปาของหมู่บ้านไหลแรง   จึงช่วยกันต่อสายยาง และหิ้วถังน้ำใบใหญ่ใบเล็กมาดับไฟได้สำเร็จ  แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่า ๒ ชั่วโมง   ห้องแถวทั้งแถวไหม้เกือบหมด   หรือแต่ห้องปลายสุดเท่านั้นที่รอดมาได้
       ไฟภายนอกดับ  แต่ไฟในอารมณ์ของคนกลับตรงกันข้าม     
       เมื่อรู้ว่าต้นเหตุเกิดจากไอ้ต๋องตามมาแก้แค้นปลิวที่ไปมีเรื่องชกต่อยกับมัน     ทั้งเฮียหน่ำ เมีย   น้าแจ้ และเพื่อนบ้านอื่นๆ  ก็เรียงแถวกันเข้ามาด่าปลิวสาดเสียเทเสีย  แทบจะขุดโคตรขึ้นมา   ผู้หญิงบางคนก็ตรงเข้าตบตี จนต้องมีคนช่วยกันลากออกไป     ส่วนพ่อกับแม่ก็ได้แต่หน้าจ๋อย   ไม่อาจห้ามปรามหรือช่วยพูดแทน
        ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า  ถ้าปลิวไม่ไปทำให้ไอ้ต๋องโกรธ    ชาวบ้านก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนกันหัวถนนท้ายถนนแบบนี้    บ้านอื่นๆนอกจากนี้ ถึงไม่ไหม้   แต่ทั้งหมู่บ้านโกลาหลกันไปหมดในการช่วยกันดับไฟ    เพราะไม่เคยเกิดเหตุร้ายขนาดนี้มาก่อน
        แน่นอนว่าปลิวงุนงง   พยายามเข้าใจเท่าไรก็ไม่เข้าใจ


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:52
     “ คนเผาน่ะไอ้ต๋องนะ     ไม่ใช่ผม    ถ้าด่า ทำไมไม่ไปด่ามันล่ะ”
     “ ไอ้ต๋องมันคนบ้า   จะไปเอาอะไรกับมัน     มันก็อยู่ตามประสามันมาหลายปีแล้ว   ถ้ามึงไม่ไปหาเรื่องมัน ก็ไม่มีเรื่อง”
     “ ผมไม่ได้หาเรื่อง    ผมไปช่วยป้าสุขไม่ให้ไอ้ต๋องมันฆ่าแม่ตาย”
     “ มันฆ่าตายรึยังล่ะ?”
     “ ถ้าเป็นอยู่งี้   ป้าสุขแกก็ต้องตายเข้าสักวัน    ไม่เห็นรึว่าแกช้ำไปทั้งตัวแล้ว”
      “ มันเรื่องของบ้านเขาโว้ย     เรื่องแม่ลูกเขา   มึงไม่ต้องเสือก   เห็นมั้ยว่าเป็นไง   เดือดร้อนกันไปหมดทุกบ้าน”
       “ เออ! จริง  เนี่ย...มันจะลุกขึ้นมาเผาอีกเมื่อไหร่วะ    โว้ย! กูมิต้องอดหลับอดนอนนั่งเฝ้ายามมันทุกคืนรึนี่”
       “   ไอ้ปลิว..มึงนะมึง  มึงคนเดียวทำระยำ  เดือดร้อนกันไปหมด  กูหมดเนื้อหมดตัวเพราะมึง”
       เสียงด่าระงมกันไปทั้งถนน   คืนนั้นทั้งคืนไม่มีใครได้นอน   จนเช้าวันต่อมาก็ไม่ได้นอนอีก  ปลิวกับพ่อแม่พร้อมกับเพื่อนบ้านต้องไปสถานีตำรวจ     วุ่นวายกันไปทั้งหมู่บ้านรวมทั้งพระและครูในโรงเรียน  เพราะต้องช่วยกันหาที่อยู่บนศาลาวัด และหอประชุมโรงเรียนให้ชาวบ้านพำนักชั่วคราว    กลายเป็นเรื่องใหญ่ใช้เวลาทั้งวัน และวันต่อๆมา   
       พ่อกับแม่หอบข้าวของที่เหลือติดตัวไปค้างบ้านลูกชายลูกสาวในตัวจังหวัด    นับว่าโชคยังช่วยอยู่มากที่ลูกสาวเป็นตัวแทนประกัน แนะนำให้พ่อทำประกันอัคคีภัยมาหลายปีแล้ว จึงมีสิทธิ์ได้เงินมาชดเชยค่าเสียหาย       แต่ร้านอื่นๆบางร้านไม่ได้ทำประกัน  ก็สิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน
       พี่ชายดึงตัวปลิวไปพักบ้านเขา  ให้แยกจากพ่อแม่ซึ่งพักบ้านลูกสาว  เพราะรู้ว่าขืนอยู่ด้วยกัน  ลูกชายอาจไม่รอดกำปั้นพ่อและฝ่ามือแม่   
       หลังจากจัดที่ทางให้พ่อแม่อยู่ได้เรียบร้อยแล้ว   พี่สาวก็ขี่จักรยานยนต์มาหาน้องชายที่บ้านพี่ชาย   ทั้งสองรวมทีมกันเทศนาน้องชายอีกกัณฑ์ใหญ่
       พี่สาวลงท้ายว่า
       “พ่อแม่พูดถูก     แกไม่น่าจะไปยั่วโมโหไอ้ต๋องมัน   ไอ้นี่มันติดยาจนคุ้มดีคุ้มร้ายใครๆก็รู้       ขนาดผู้ใหญ่แดงแกยังส่ายหน้า ไม่เอาด้วย   คนอย่างผู้ใหญ่แดงน่ะใครกล้าหือกะแกมั่ง    แกยังเอาไอ้ต๋องไม่อยู่เลย”
       “ จะให้ทำไงล่ะ พี่” ปลิวถามด้วยเสียงอ่อนใจ “จะให้เห็นคนแก่ถูกซ้อมตายไปต่อหน้าต่อตางั้นรึ”


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:54
     “ แหม! ไอ้คนใจบุญ” พี่สาวค้อนขวับ “ อยากเป็นพ่อพระ  ถามจริงเหอะ   ถ้าพ่อแม่หนีไฟไม่ทัน   ตายขึ้นมา    มันคุ้มมั้ยล่ะ”
     ข้อนี้ ปลิวก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน     เขาไม่ได้นึกอะไรไกลขั้นนี้มาก่อน
     “ แล้วเนี่ย   พ่อแม่ก็กลัวจนประสาทจะกินแล้ว   แกรู้รึเปล่า” พี่สาวร่ายยาวต่อไปอีก
      ปลิวส่ายหน้า
     “ ตอนนี้ตำรวจเอาตัวไอ้ต๋องไปก็จริง  แต่ก็ไม่รู้มันจะกลับมาได้อีกเมื่อไหร่     ถ้ามันกลับมาเผาบ้านอีก  จะทำยังไงกัน     มันทำได้หน  มันอาจทำอีก ใครจะรู้       แกมันหาเรื่องให้พ่อแม่ลำบากชัดๆ   ยิ่งพูดยิ่งโมโห   ไม่รู้จะด่าแกยังไงดี”
      พี่ชายยังพอจะเห็นใจน้องชายบ้าง ก็พูดด้วยเสียงปรานี
      “ แกไปกราบขอโทษเพื่อนบ้านเราซะเถอะ    ผ่อนหนักให้เป็นเบา   เขาจะได้หายโกรธมั่ง    ไม่งั้นพ่อแม่แย่เลย  เราเป็นร้านต้นเพลิง  ชาวบ้านจะรุมด่า   เดี๋ยวเขารวมหัวกันเลิกซื้อของขึ้นมา    เราจะซวยกันหมด       บ้านเราอยู่กันดีๆ ต้องมาลำบากลำบนเพราะแกคนเดียว”
     ปลิวนั่งซึมอยู่เป็นครู่  ก่อนพูดอ่อยๆ
     “ ฉันไม่เข้าใจเลยพี่     ไอ้ต๋องมันเป็นคนบ้าเลยมีอภิสิทธิ์ ทำอะไรไม่ผิด   เผาบ้านใครก็ไม่ผิด    คนที่พยายามจะช่วยคนอื่นกลับผิด งั้นหรือ”
      “ ไอ้เรื่องผิดเรื่องถูก  แกอย่าเถียงเลยวะ      ทุกคนเวลามีเรื่อง ก็ว่าตัวเองถูก”
      พี่ชายเริ่มขึ้นเสียงอย่างใกล้จะหมดความอดทน 
      “ที่แน่ๆคือ ตอนนี้ ชาวบ้านหมดเนื้อหมดตัวกันไปหลายบ้าน ดีไม่ดีเขาจะมาเอาเรื่องกับพ่อ     เราอาจต้องจ่ายค่าทำขวัญ หมดเงินไปอีกเป็นแสน   ทั้งหมดนี้นะไอ้ปลิว   ถ้าแกไม่ไปยุ่งกับคนบ้า มันก็ไม่เกิดเรื่องยุ่งขนาดนี้หรอก   จริงไหม”
      “ ทำไมไม่เรียกค่าเสียหายจากป้าสุขล่ะ พี่”
      “ ใครจะไปเอาเรื่องกับยายสุข  ทุกคนก็รู้ว่าแกหมดเนื้อหมดตัว  เอาบ้านไปจำนองเถ้าแก่ฮง  แกจะมายึดบ้านก็ไม่กล้า   เพราะไอ้ต๋องมันไม่ยอมออกไป      ไม่มีใครอยากเอาเรื่องกับมัน”
      “ งั้นฉันก็ควรปล่อยให้ไอ้ต๋องตีแม่จนตาย  ใช่ไหม?”
      “  ถ้าไอ้ต๋องจะตีแม่จนตาย   มันก็บาปของมันเอง   มันผิดของมันเอง    คนอื่นๆไม่เกี่ยว   ไม่มีใครเดือดร้อนนอกจากมันสองคน” 
      พี่ชายก็ตอบไม่ติดขัดเหมือนกัน
      “ ส่วนแกอ้างว่าทำดี ทำดีแล้วได้เลว เรียกว่าดีงั้นเหรอ นี่!  ไม่ต้องพูดมาก    แค่จ่ายค่าเสียหายให้เฮียหน่ำแกก่อน   ทำได้ไหมล่ะ ขอถามไอ้คนทำดีหน่อยเถอะ


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:56
     ปากที่อ้าขึ้นจะตอบโต้  ก็เลยหุบสนิท   ปลิวหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง  นับธนบัตรไม่กี่ใบที่เหลืออยู่   ก่อนเงยหน้าบอกพี่ทั้งสองเสียงอ่อยๆ
     “ เดือนนี้คงไม่ไหว     ต้องรอเดือนหน้า   พี่ว่าผ่อนให้เดือนละ ๑๐๐๐ ไหวไหม   ฉันให้ได้แค่นี้จริงๆ”

พ.ศ. ๒๕๖๕

      เข้าปีที่ห้าแล้ว   ทุกครั้งที่เพื่อนถามก่อนวันหยุดสงกรานต์ว่า
      “ ปีนี้กลับไปเยี่ยมบ้านไหม ปลิว?”
      ก็จะได้คำตอบซ้ำๆกันทุกปีว่า
       “ รับงานพิเศษไว้  เผื่อจะหาตังค์ส่งให้ทางบ้านอีกหน่อย    คงไม่ได้ไปบ้านอีกหลายปีเลยละ


หมายเหตุ  สำนวน “ทำคุณบูชาโทษ” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า no good deed goes unpunished
จบ


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 11:57
ขอต้อนรับทุกความเห็นค่ะ


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: superboy ที่ 14 ม.ค. 24, 13:07
อันที่จริงเรื่องนี้อ่านง่ายเพราะอาจารย์ใส่ปีไว้อย่างเรียบร้อย แต่นักศึกษาอาจไม่ทันสังเกตเลยพลอยสับสนเรื่องช่วงเวลา มีจริงนะครับต้องเขียนตรงๆ ไล่จากหนึ่งสองสามสี่ห้าเท่านั้น

ผมเล่าประวัติส่วนตัวเล็กน้อย สมัยเด็กบ้านผมเป็นห้องแถวไม้และถูกไฟไหม้แบบนี้เลย เหตุเกิดเพราะบ้านหลังหนึ่งทำอาหารเช้าแล้วทำไฟไหม้ ตอนนั้นไม่เห็นมีใครโทษบ้านต้นเพลิงสักคนก็แปลกดี มีแต่พูดคุยเรื่องสร้างบ้านใหม่กับความช่วยเหลือจากทางการอะไรแบบนี้ ไฟเร็วมากบ้านผมหลังสุดท้ายยังขนอะไรแทบไม่ทัน ผมมีประสบการณ์เห็นบ้านตัวเองไฟไหม้ทั้งหลังจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

อาจารย์ถามว่าเรื่องนี้ใครผิด เป็นคำตอบที่ออกได้หลายทางประกอบไปด้วย

1.ต๋องผิดเพราะเป็นคนจุดไฟเผาบ้าน

2.ป้าสุขผิดเพราะดูแลลูกชายไม่ถูกวิธี

3.ปลิวผิดเพราะเข้าไปห้ามต๋องไม่ให้ทำร้ายแม่

4.ตำรวจผิดเพราะไม่จับคนติดยาเข้าคุก

5.เถ้าแก่ฮงผิดเพราะไม่ยึดบ้านที่สมควรเป็นของตัวเอง

6.ชาวบ้านผิดที่เอาแต่นิ่งเฉยดูดายไม่หาวิธีป้องกัน

ผมเข้าใจว่าอาจารย์กำหนดไว้แล้วใครผิดเชื่อมโยงกับสิ่งไหน อาทิเช่นต๋องผิดเพราะเป็นคนก่อเหตุ ตำรวจผิดเพราะกฎหมายไม่เหมาะสม หรือชาวบ้านผิดเพราะเหตุผลเรื่องปากท้อง บังเอิญผมไม่ค่อยสันทัดเรื่องสัญลักษณ์เชิงสังคม ไม่รู้จะอธิบายยังไงฉะนั้นขอจบมันดื้อๆ ตรงนี้

ไม่ได้ช่วยอะไรเลย  ;)


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 14 ม.ค. 24, 13:17
คำตอบคุณ Superboy ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ  แล้วจะมาไขปริศนาทีหลังนะคะ
 
อย่าไปเอาใจใส่คำว่าสัญลักษณ์เชิงสังคมเลยค่ะ  คำนี้เป็นศัพท์ทางวรรณกรรม คนไม่คุ้นอาจรู้สึกว่ามันฟังน่าเกรงขามไปหน่อย    พออธิบายแล้วมันก็ธรรมดาๆนี่แหละค่ะ 


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: ninpaat ที่ 15 ม.ค. 24, 06:44
.
ผู้ผืดต้นเรื่องคือ พ่อแม่ของต๋อง ที่ประกอบอาชีพซึ่งไม่เป็นสัมมาอาชีวะ เป็นเหตุแห่งอบายมุข
..
ผู้ผิดท้ายสุดคือ ปลิวที่เผลอใช้ความรุนแรงกับต๋อง ตอนเข้าช่วยเหลือแม่สุขในครั้งที่สอง ครับ
...


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.พ. 24, 13:49
ได้ความเห็นจากคุณ ส.อ.ก.  ซึ่งส่งอีเมลมาให้ ค่ะ

เรื่องสั้น “ทำคุณ..” ของ ว. วินิจฉัยกุล ทำให้ผู้อ่านต้องถามตัวเองว่า คำพังเพยไทยที่ว่า “ทำคุณบูชาโทษ” ที่กล่าวมานี้มันสอนให้คนเห็นแก่ตัวหรือไม่
ในเนื้อเรื่อง พ่อแม่ปลิวจะเน้นห้ามเขา ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับป้าสุข และต๋องลูกชาย อ้างว่าป้าสุขหนังเหนียว เจ้าต๋องตัวผอม จะทำร้ายแม่ตัวเองคงทำได้ไม่มาก หรือถ้าทำร้ายแม่จนตาย ก็เป็นเรื่องบาปกรรมของสองแม่ลูกเอง คนอื่นไม่ควรเกี่ยวข้อง แค่มีฐานะเป็นคนดูเหตุการณ์ก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน
ทัศนะคติแบบใจไม้ไส้ระกำไม่สนใจต่อสวัสดิภาพของป้าสุขเป็นความคิดและความรู้สึกส่วนรวมของคนในชุมชนนี้ หากคนคิดเห็นแก่ตัวแบบนี้  เราจะมองว่าสังคมที่เขาอยู่นั้นเป็นสังคมแบบไหน
ถ้ามองดูเวลาของเหตุการณ์ในเรื่อง จากปี 2559-2565 คนอ่านไม่ต้องกังขามาก เพราะไม่ใช่เรื่องเกิดในสมัยโบราณ แต่เป็นเรื่องทีเกิดในช่วงเวลาทีคนอ่านมีชีวิตอยู่    เลยต้องหันมาย้อนดูสังคมของตัวเองแล้วถามว่า เราอยู่ในสังคมที่มีความเสื่อมทรามทางศิลธรรม (morally corrupted society) หรือไม่
ทำไมชาวบ้านเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เรื่องป้าสุขและลูกชายต๋อง โดยไม่รู้สึกผิด
ชาวบ้านไปโฟกัสที่เหยื่อของสถานะการณ์ผิดตัวหรือเปล่า ทำไมผู้ใหญ่ดีผู้ที่ชาวบ้านเกรงขามนักหนา ไม่ไปชวนให้ป้าสุข ไปบวชชีเสีย แทนที่จะพา ต๋องไปรักษาหลายครั้งที่โรงพยาบาล แล้วก็ไม่ได้ผลดีเกิดขึ้น
ทำไมชาวบ้านไปโกรธชังปลิว
เพราะคิดว่าปลิวทำให้พวกเขาสูญเสียทรัพย์สิน ทำไมการที่เราเป็นชาวพุทธ เราไม่รู้จักให้อภัย
นี่คือตัวอย่างข้อคิดที่ทำให้คนอ่านต้องถามว่า นีคือชุมชนของพวกถือสากปากถือศีลหรือเปล่า?


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.พ. 24, 13:53
2

สำหรับความเห็นที่ว่า ตัวละครในเรื่องคนไหนที่ควรจะถูกตำหนิมากที่สุด ว่าเป็นคนทำให้เกิดไฟไทมั ทำให้เจ้าของห้องแถวสูญเสียทรัพย์สิน ในความเห็นของตัวเองจะบอกว่า ป้าสุข คือคนมีส่วนรับผิดชอบมากที่สุด
แกเคยพูดให้ปลิวรู้ว่าเจ้าต๋องชอบเดินบ่อยๆบนถนนตอนกลางคืน แต่ไม่ทำร้ายใคร    ห้องนอนของป้าสุขอยู่ชั้นสองของตัวบ้าน บ้านป้าสุขไม่มีรั้วอยู่หน้าบ้าน    แสดงว่าป้าสุขต้องคอยมองดูต๋องเดินตอนกลางคืน ตามประสาแม่ที่รักลูก (ป้าสุขบอกปลิวเอง)  ไม่อย่างนั้นแกจะพูดได้เต็มปากเหรอว่า ต๋องได้แต่เดินไม่ทำร้ายใคร
ในคืนเกิดเหตุไฟไหม้    ป้าสุขน่าจะเป็นคนที่เห็นว่าต๋องลากขยะจากหน้าบ้านตัวเองไปสุมหน้าบ้านพ่อแม่ปลิว   แล้วก่อไฟขึ้น ถ้าแกเห็นต๋องลากขยะ แกก็น่าจะคิดได้ว่าเป็นเรื่องผิดแปลกไปจากการเดินถนน
ป้าสุขน่าจะออกมาจากบ้านตะโกนเตือนชาวบ้าน หรือไม่ก็เสี่ยงตัวออกมาให้เจ้าต๋องตบตี   แล้วเรียกร้องขอความช่วยเหลือ ปลุกให้ชาวบ้านตื่นนอน ก่อนที่จะสายเกินไป
ถ้าคิดแบบคนไทยก็จะว่ารักลูกไม่ถูกทาง ถ้าว่าตามกฎหมาย  ป้าสุขอยู่ในฐานะผู้สมรู้แม้จะไม่ได้ร่วมคิดด้วย
อันที่จริงแล้วเรื่องสั้นนี้มีข้อคิดมากกว่าทำดีได้ร้าย แต่เพิ่มความเห็นที่ว่า   การเพิกเฉยละเลยและเห็นแก่ตัวไม่อาจแก้ปัญหาของชุมชนได้  และชุมชนคงต้องกลับไปถามตัวเองใหม่ว่า ก็สังคมแบบไหนล่ะที่เราอยากเป็นสมาชิกอยู่


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.พ. 24, 14:08
ได้รับความเห็นทางอีเมล จากเพื่อนที่ใช้นามแฝงว่า " A Reader From Utah" ค่ะ

That is a very affecting story.  One can feel the emotions of the characters in the way you have written it.  Even though there is not a lot of description of feelings, the feelings are very clear to the reader to feel.

The first part felt like the start of horror movie or of a bad dream, a nightmare, a very Thai nightmare.  One comes home for a visit and is met by indifference and coldness from one’s family and friends; one is not sure about the cause.  There is no way to ask without creating more bad feeling.  One is trapped in a painful situation.  If he leaves, they will be further offended.  He has to stay and wait for the cause of the pain to be revealed.  In a horror movie that might be a local ghost; in a gangster movie it might be the people in the house across the street; here it is his own family and friends who have been made afraid of the local gangster by something he has done.  Thai hell.

Your use of psychiatric terms and the can’t-get-there-from-here problem of what do with “mentally ill” persons who won’t take their medications makes it both modern and more intractable.  You make it clear.  There is no medical solution here, no “intervention” as it is termed in the US these days.  It makes the sense of powerlessness even stronger — there is nothing these people might do to end the violence against the mother or to remove the threat of violence from the community.

If you were writing a story about a failed psychiatric treatment and failures of the legal system, you would want to fill in some of the story about what has happened over the years with ต๋อง, but then the villain in the story would change.  Now the villain is ปลิว, right? The person who does the “good deed”.

ต๋อง is a demon in this story.  I am wondering if he is representative of something else.  His family background sort of sounds like that of เจ้าพ่อ/นักเลง.  Is that what you want the reader to pickup on?  … You might have made them disgraced policemen or ex-drug lord soldiers …

You seem to say that when one has a demon in one’s midst, one must accept that fate.  And if someone comes in and attempts to control the demon, that person must be expelled from the community.  Do you know Shirley Jackson’s stories?  One in particular, “The Lottery”.  She writes about that, but she would then see that the community was the demon.

It is a very, very hopeless story.  I like it quite a lot.  But I wonder if we read it at all the same. 


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 16 ก.พ. 24, 14:27
(แปล)
    เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่กระเทือนอารมณ์อย่างมาก เราสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของตัวละครในแบบที่คุณเขียน แม้คุณไม่ได้อธิบายความรู้สึกของตัวละครมากนัก แต่คนอ่านก็ได้สัมผัสอารมณ์ชัดเจนมาก
  
    ภาคแรกของเรื่องให้ความรู้สึกเหมือนเป็นฉากเริ่มต้นของหนังสยองขวัญ  หรือฝันไม่ดีของคนสักคน  เป็นฝันร้าย    ฝันร้ายแบบไทยๆ  เริ่มต้นด้วยใครคนหนึ่งกลับมาเยี่ยมบ้าน กลับพบแต่ความเฉยเมยและเย็นชาจากครอบครัวและเพื่อนฝูง   เขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับสาเหตุ  แต่ก็ไม่มีทางที่จะถามโดยไม่สร้างความรู้สึกเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก   เขาติดขังอยู่ในสถานการณ์ที่เจ็บปวด แต่ถ้าเขาเดินออกไป  คนอื่นๆก็จะยิ่งขุ่นเคืองเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
(ยังมีต่อค่ะ)


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 17 ก.พ. 24, 18:51
    เขาจึงต้องอยู่  และรอให้สาเหตุของความเจ็บปวดถูกเปิดเผยออกมาเอง  ในภาพยนตร์สยองขวัญ สาเหตุอาจเป็นปีศาจประจำท้องถิ่น ในหนังเจ้าพ่อ  ต้นเหตุอาจเป็นคนในบ้านฝั่งตรงข้าม แต่นี่คือครอบครัวและเพื่อนฝูงของเขาเองที่ขยาดหวาดกลัวพวกนักเลงท้องถิ่น ว่าอาจเอาเรื่องขึ้นมา  จากสิ่งที่เขาไปทำกับพวกนั้น
นี่แหละนรกแบบไทยๆ
      วิธีที่คุณใช้คำศัพท์ทางจิตเวช และสร้างปัญหาประเภท " ไม่รู้จะหาทางออกยังไง" สำหรับสร้างตัวละครที่ “ป่วยทางจิต” ที่ไม่อาจใช้ยาบำบัดได้  ทำให้เรื่องนี้ทั้งทันสมัยและยุ่งยากในการแก้ไข     คุณเขียนไว้ชัดเจนว่า ที่นี่ไม่มีวิธีแก้ปัญหาทางการแพทย์  ไม่มีการ "ยื่นมือเข้ามาช่วย" ตามที่เรียกกันในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน มันทำให้ความรู้สึกส้ิ้นหวังชัดเจนยิ่งขึ้น   ไม่มีอะไรที่ชาวบ้านสามารถทำเพื่อยุติความรุนแรงต่อยายสุข  หรือขจัดภัยคุกคามรุนแรงออกจากชุมชน


กระทู้: เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เริ่มกระทู้โดย: เทาชมพู ที่ 22 ก.พ. 24, 18:58
     ถ้าคุณกำลังเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความล้มเหลวในการรักษาทางจิตเวช  และความล้มเหลวของระบบกฎหมาย คุณก็คงอยากจะเติมเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมากับต๋อง แต่แล้วตัวร้ายในเรื่องก็จะเปลี่ยนไป   ตอนนี้ตัวร้ายคือปลิวใช่ไหม? คนที่ได้ชื่อว่า สร้างสรรค์ความดี?
   
     ต๋องเป็นตัวปีศาจร้ายในเรื่องนี้ ผมชักสงสัยว่าเขาเป็นตัวแทนของสิ่งอื่นด้วยหรือไม่ ภูมิหลังทางครอบครัวของเขาฟังดูคล้ายกับเจ้าพ่อ หรือไม่ก็นักเลง นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการให้ผู้อ่านคิดแบบนั้นใช่ไหม? … คุณอาจเพิ่มรายละเอียดให้พวกเขาเป็นตำรวจฉ้อฉล หรืออดีตเจ้าพ่อค้ายา...?
 
     
   คุณเหมือนจะบอกว่า เมื่อมีปีศาจร้ายอยู่ร่วมกับเราในสังคม  เราก็ต้องยอมรับชะตากรรม  และถ้ามีใครเข้ามาพยายามจะจัดการกับปีศาจ คนนั้นจะต้องถูกไล่ออกจากชุมชน    คุณเคยอ่านเรื่องของ Shirley Jackson ไหม? โดยเฉพาะเรื่อง “The Lottery ” เธอเขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้   แต่แล้วเธอเห็นว่าชุมชนที่เธออยู่นั่นแหละคือปีศาจร้าย

  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แสดงความสิ้นหวังอยู่มาก  ผมว่าผมชอบมันมากนะ แต่ผมสงสัยว่าเราอ่านแล้วจะคิดตรงกันหรือเปล่า