ว
"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสแก่มุขมนตรีแลอำมาตย์ว่า แผ่นดินกรุงกัมพูชากุรุราฐนั้น ผู้ใดครองสมบัติจิตมักเป็นสันดานพาลทุจริต เหมือนพระยาละแวด บิดานักพระสุโทนักพระสุทัน เมื่อศึกกรุงหงสาวดียกมาคราวแรก ครั้งสมเด็จพระอัยการธิราชเจ้าผ่านพิภพใหม่นั้น พระยาละแวกก็ยกทัพเข้ามาพลอยซ้ำตี กวาดเอาครัวอพยพชาวปราจีนบุรีไป จนสมเด็จพระบรมราชอัยกาต้องเสด็จยกทัพออกไปปราบ จึ่งถวายพระสุโท นักพระสุทันราชบุตรเข้ามา
ครั้นทัพพระเจ้าเชียงใหม่ยกมา พระยาละแวด(หมายถึงละแวก) ให้น้องชายเข้ามาช่วยงานพระราชสงคราม น้องชายนั้นมิได้สติสัมปชัญญะดุจหนึ่ง สิงคาละชาติโปดก ฝ่ายพระยาละแวดก็ปราศจากวิจารณ์ปัญญา มีพาลทุจริตในสันดานสุจริตธรรมเสีย กลับยกทัพมาตีปัจจันตชนบทอีกเล่า
พงศาวดารเขมรเรียกการกระทบกระทั่งระหว่างอยุธยากับเขมรว่า เขมรมาทำศึกกับอยุธยา ตีเมืองไหนก็ตาม เมื่อชนะเมืองนั้น ขากลับก็จับเชลยศึกกลับไป ฟังน้ำเสียงทางเขมรก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ของการแผ่พระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนทางพงศาวดารอยุธยาน้ำเสียงโกรธเคืองว่า เขมรถือโอกาสผีซ้ำด้ำพลอย เข้ามากวาดต้อนราษฎรของอยุธยาไป
ส่วนเรื่องนักพระสัตถาส่งพระอนุชาเข้ามาช่วยทัพอยุธยา ก็มีตรงกันทั้งพงศาวดารไทยและเขมร แตกต่างกันในรายละเอียด พงศาวดารเขมรบอกว่าพระนเรศวรขอความช่วยเหลือไป ตอนเสด็จหนีจากหงสาวดีกลับมาอยุธยาแล้ว ส่วนทางไทยบอกว่าเมื่อเกิดศึกกับเชียงใหม่ พระเจ้าแผ่นดินเขมรส่งน้องชายยกทัพมาช่วยเหลือ แต่น้องชายคือพระศรีสุริโยพรรณ คงได้ทำอะไรไม่เหมาะสมในสายตาฝ่ายไทย เป็นเหตุให้สมเด็จพระนเรศวรทรงพระพิโรธถึงกับประณามเอา
จากนั้น ทัพไทยก็ยกไปตีเขมร หลังเสร็จศึกพม่าแล้ว ในพงศาวดารเขมรเล่าว่าเกิดการสู้รบกันอย่างหนักในเมืองพระตะบอง ที่ “กำพงปราก่” หรือกำปงปรัก ฝ่ายเขมรต้านไม่ไหว จึงถอยกลับ สยามจึงตามตีมาถึงเมืองบันทายบริบูรณ์ พระศรีสุริโยพรรณแม่ทัพเขมรจึงได้นำทัพถอยเข้าสู่เมืองละแวก