ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 600 เมื่อ 24 ก.พ. 18, 19:06
|
|
กุ้งเผาสะเดาลวก น้ำปลาหวานปลาดุกย่าง อาหารไทยสุดคลาสสิกครับ เครดิตภาพ : บันทึก(บางวัน)ของบ่งบ๊ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 601 เมื่อ 24 ก.พ. 18, 19:09
|
|
สะเดาน้ำปลาหวานดูเหมือนจะเป็นเมนูที่ทำง่ายๆเพียงลวกสะเดา เผากุ้ง ย่างปลาดุก และทำน้ำปลาหวาน... แต่การจะทำให้อร่อยนั้นยากอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว สะเดานั้น เมื่อลวกในน้ำเดือดจนสุกพอดีแล้วก็จะต้องน้ำมาแช่ในน้ำเย็นเพื่อมิให้เหี่ยวและสีซีด จนกว่าจะกินจึงจะนำออกมาสลัดน้ำแล้วจัดลงจาน กุ้งเผา จะต้องใช้ไฟแรงจากเตาถ่าน จึงจะสุกแบบเนื้อยังนิ่มฉ่ำอยู่ทั้งตัว และมีกลิ่นหอมจากการใหม้ของเปลือกที่ลึกเข้าไปถึงในเนื้อ ปลาดุกย่างก็เช่นกัน น้ำปลาหวาน ใช้น้ำปลาดี น้ำตาลปึก และน้ำมะขามเปียก แล้วก็เคื่องปรุงที่ต้องเจียวให้กรอบแต่ไม่มีกลิ่นใหม้ ซึ่งก็มีหอมแดง กระเทียม และพริกแห้งคั่วหรือทอดจนได้กลิ่นหอมพอดีๆ เนื่องจากน้ำปลาหวานเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ (binder) ของชุดเครื่องปรุงทั้งหมด รสและความเหนียวข้นที่พอเหมาะของมันจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 602 เมื่อ 24 ก.พ. 18, 19:17
|
|
พ้นฤดูดอกและใบอ่อนสะเดาแล้ว เราก็ยังสามารถจะใข้ต้นผักชีทั้งต้นมัดขมวดกันแทนสะเดาก็ได้ อร่อยไม่แพ้กันเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 603 เมื่อ 24 ก.พ. 18, 19:26
|
|
อร่อยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 604 เมื่อ 24 ก.พ. 18, 19:29
|
|
เปลี่ยนจากกุ้งเผาเป็นปลาดุกย่างก็อร่อยนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 605 เมื่อ 24 ก.พ. 18, 19:56
|
|
ในมื้ออาหารที่มีน้ำปลาหวาน-ปลาดุกย่าง-สะเดาลวกนั้น ผมก็จะเพิ่มระดับความสุขในการกินเขาไปอีกหน่อย ก็ไม่มีอะไรมากนัก เพียงทำน้ำปลาใส่หอมซอย พริกขี้หนูสวนซอย บีบมะนาวเล็กน้อย ใช้มือเลาะครีบปลาเอามาจิ้มน้ำปลา หักหัวปลาออกมาแกะส่วนที่เป็นกล้ามเนื้อเล็กๆน้อยๆในหัวปลาเอามาจิ้มน้ำปลา เมื่อเคี้ยวแหลกแล้วก็ตักข้าวใส่ปากตามเข้าไป ก็ยังจำแนกไม่ออกว่าอร่อยที่น้ำปลาหรือที่ก้างและหัวปลา
ปลาดุกย่างทีี่ย่างได้อย่างมีฝีมือนั้น ผมดูจากความสุกที่ต้องมีตลอดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดหาง ส่วนครีบจะต้องแห้งพอที่จะเคี้ยวให้แหลกได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 606 เมื่อ 24 ก.พ. 18, 20:01
|
|
ภาพ คห. 603 เห็นมันแก้วในหัวกุ้งแล้ว อ้า... ไม่ได้เจอะเจอมานานแล้วจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 607 เมื่อ 25 ก.พ. 18, 19:07
|
|
ใบชะมวง ไม้ที่ขึ้นอยู่ในทุกภาคของไทยเราแต่เรียกชื่อต่างกันไป ภาคเหนือเรียก ส้มป้อง ภาคกลางเรียก ชะมวง ภาคใต้เรียก ส้มมวง ภาคอิสานเรียกอย่างไรก็มิทราบ พื้นที่ที่นำเอาใบชะมวงมาทำอาหารจนเป็นกลายเมนูที่โด่งดังประจำภาคและเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือแถบจังหวัดจันทบุรีและตราด ก็ที่เรียกว่าแกงหมูชะมวงนั่นเอง
แกงหมูชะมวงมีการทำที่ค่อนข้างจะหลากหลาย ก็มากพอที่จะกล่าวได้ว่าที่เหมือนกันก็มีเพียงการเป็นแกงในลักษณะน้ำขลุกขลิกและการใส่ใบชะมวง กระนั้นก็ตามที่เรียกว่าแกงนั้น บางที่ก็มีลักษณะใกล้กับการผัดแบบมีน้ำเยอะ ใบชะมวงที่ใส่ลงไปก็มีทั้งแบบใส่ใบสดและแบบอังไฟให้สยบก่อนจะใส่ลงไปในผัดหรือในแกง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 608 เมื่อ 25 ก.พ. 18, 19:54
|
|
ใบชะมวงมีรสเปรี้ยว ช่วยลดทอนความมันของหมูสามชั้นได้มากค่ะ เป็นแกงน้ำขลุกขลิกที่อร่อยมาก เสียแต่ใบชะมวงหายาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 609 เมื่อ 25 ก.พ. 18, 20:10
|
|
น้ำพริกแกงใบชะมวงก็คล้ายๆกับน้ำพริกแกงตามปรกติ ก็มีพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม ข่า และกะปิ สำหรับตะไคร้นั้น มีทั้งแบบใส่และไม่ใส่ น้ำพริกแกงนี้ก็ยังทำได้ทั้งแบบเครื่องสดและเครื่องเผาอีกด้วย
เอกลักษณ์ของแกงหมูชะมวงนั้น นอกจากการใช้ใบชะมวงแล้ว ก็ดูจะเป็นเรื่องของการใช้หมูติดมัน(หมูสามชั้นแบบติดมันไม่มากหรือใช้เนื้อคอหมู) การหั่นหมูเป็นชิ้นใหญ่ และเป็นแกงที่ไม่มีรสเผ็ดหรือร้อนแรงฉูดฉาดซึ่งมีรสหวานแฝงอยู่(ด้วยน้ำตาลปึก)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 610 เมื่อ 25 ก.พ. 18, 20:13
|
|
ใบชะมวงหากินยาก ผักบุ้งหากินง่าย แกงหมูเทโพเลยครับ หมูติดมันเหมือนกันด้วย ชีวิตผมวนเวียนอยู่กับแกงกะทินี่แหละ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 611 เมื่อ 25 ก.พ. 18, 20:26
|
|
แกงหมูเทโพ ของเดิมใช้ปลาเทโพ อยากรู้จริงว่ารสชาติอร่อยกว่าหมูขนาดไหน เห็นรูปก็น่ากินทุกอย่าง กว่าจะจบกระทู้ ไขมันคงท่วมเส้นเลือดละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 612 เมื่อ 26 ก.พ. 18, 18:28
|
|
ตั้งแต่รู้จักแกงนี้มาก็ยังไม่เคยได้ทานแบบที่แกงด้วยปลาเทโพสักครั้งเดียว เคยแต่ทานที่แกงด้วยหมูสามชั้นเท่านั้น แล้วก็มีตั้งแต่แบบที่ใช้หมูสามชั้นชนิดเนื้อแทรกมันไปจนถึงชนิดมันแทรกเนื้อ แบบหั่นหมูสามชั้นเป็นชิ้นแบนหรือแบบเป็นชิ้นเหลี่ยม และก็ยังไม่เคยทานแกงที่เพิ่งจะทำเสร็จใหม่ๆ เคยแต่ทานชนิดที่ผักบุ้งไม่เหลือรูปเป็นทรงกระบอกและใกล้นิ่มแล้ว แกงหมูเทโพ ของเดิมใช้ปลาเทโพ อยากรู้จริงว่ารสชาติอร่อยกว่าหมูขนาดไหน....
ก็เลยอยากรู้เช่นกันครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 613 เมื่อ 26 ก.พ. 18, 19:05
|
|
แกงหมูเทโพ ของเดิมใช้ปลาเทโพ อยากรู้จริงว่ารสชาติอร่อยกว่าหมูขนาดไหน ๏ เทโพพื้นเนื้อท้อง เป็นมันย่องล่องลอยมัน น่าซดรสครามครัน ของสวรรค์เสวยรมย์ ฯกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานและงานนักขัตฤกษ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
แกงเทโพสมัยรัชกาลที่ ๒ ช่างน่าซดเสียนี่กระไร มาจวบจนสมัยนี้แกงเทโพรูปโฉมใหม่มีแต่หมูสามชั้นกับผักบุ้ง
ปลาเทโพหายไปไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 614 เมื่อ 26 ก.พ. 18, 19:10
|
|
ผมคิดว่าคนเก่าแก่ที่ทำแกงเทโพด้วยปลาเหล่านั้นน่าจะต้องมีกรรมวิธีเฉพาะบางอย่างที่จะจัดการกับปลาเทโพ ซึ่งอาจจะยุ่งยากซับซ้อนจนคนรุ่นใหม่เลือกที่จะใช้หมูสามชั้นแทน แล้วก็แน่นอนครับว่าก็อาจจะเป็นเพราะวาตัวปลาเทโพเองก็อาจจะหาได้ยาก ยกเว้นว่าจะตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำสายใหญ่ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี
ก็มีข้อสังเกตอยู่ว่า ปลาเทโพกับปลาสวายเป็นปลาที่มีลักษณะคล้ายๆกัน แยกกันได้ยากหากไม่คุ้นเคยกับปลาทั้งสองชนิด ซึ่งปลาทั้งสองชนิดนี้นิยมเอามาทำอาหารต่างชนิดกัน ปลาเทโพนอกจากเอาไปทำแกงเทโพแล้วก็เกือบจะไม่ได้ยินว่าเอาไปทำอาหารอื่นใด สำหรับปลาสวายนั้น ที่นิยมกันก็จะเป็นปลาสวายแดดเดียว ฉู่ฉี่ปลาสวาย และแกงปลาสวายกับหน่อไม้ดอง แท้จริงแล้ว ปลาทั้งสองชนิดนี้ใช้แทนกันได้ แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยต่างกันเพียงใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|